ตอนพิเศษ 5-1
ลูกศิษย์ใหม่ของสำนักเชียนหลันทุกครั้งที่จบการฝึกภาคปฏิบัติจะได้หยุดพักหนึ่งวัน
ฟ้ายังไม่ทันสางหลิงจือกับเฉียวเวยเวยก็ลุกจากเตียงแล้ว
หลิงจือเป็นลูกศิษย์สายตรงของผู้พิทักษ์ใหญ่ ในแต่ละเดือนนอกจากจะมีข้าววิเศษจัดไว้ให้ในปริมาณที่กำหนดแล้ว ยังมีเบี้ยหวัดเพิ่มเติมเฉพาะของตนอีกด้วย
เมื่อวานตอนหลิงจือไปรายงานตัวกับผู้พิทักษ์ใหญ่ก็ได้รับเงินเบี้ยหวัดเดือนแรกมาแล้ว มากถึงสิบตำลึงทีเดียว
เงินจำนวนนี้ในสายตาศิษย์เอกไม่นับว่ามากมาย แต่สำหรับหลิงจือกับเฉียวเวยเวยที่ยากจนข้นแค้นแล้วนับว่าพอให้พวกนางใช้ไปได้นานโขทีเดียว
อย่างน้อยหลิงจือก็คิดเช่นนั้น
เฉียวเวยเวยนั่งอยู่บนเตียง เตะขาน้อยๆ ของตน “ไปไหนหรือ”
หลิงจือจับขาเฉียวเวยเวยที่เตะไม่หยุดแล้วใส่รองเท้าให้นาง “ลงเขาน่ะสิ”
“ไม่กลับมาแล้วหรือ” สีหน้าเฉียวเวยเวยดูเคร่งเครียดขึ้นโดยพลัน!
หลิงจือหัวเราะเบาๆ “ต้องกลับมาสิ แค่ลงเขาไปซื้ออะไรนิดหน่อยเท่านั้น ข้าไม่ได้บอกไว้แล้วหรือ ไว้ข้ามีเงินแล้วจะซื้อเสื้อผ้าดีๆ ให้เจ้าหลายๆ ตัว จะได้ใส่ไม่ซ้ำวันกันเลยอย่างไร”
“อ้อ” เฉียวเวยเวยเลยเบาใจ
หลิงจือเห็นท่าทางของนางจึงยิ้มน้อยๆ “เจ้าชอบที่นี่มากหรือ”
เฉียวเวยเวย “อื้ม”
มีเนื้อให้กิน
เดิมทีหลิงจือยังเป็นกังวลที่ตนมักปล่อยให้นางอยู่ที่เรือนคนเดียวนางจะรู้สึกไม่คุ้นที่ทาง คิดไม่ถึงว่าจะติดใจเพียงนี้
เมื่อคิดอีกที หากเทียบกับตอนอยู่ด้านล่างที่วันๆ ต้องอดมื้อกินมื้อแล้ว เวลานี้อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนหิวทนหนาวอีก ดูเหมือนจะไม่เลวเลยจริงๆ
หลังจากแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว หลิงจือก็สะพายห่อผ้าเปล่า จูงมือเฉียวเวยเวยออกจากเรือนไป
วันนี้ไม่ได้มีแค่พวกนางสองคนที่ลงเขา กระทั่งเพื่อนบ้านของนางก็พาสาวใช้ออกไปแต่เช้าแล้วเช่นกัน พวกนางถึงแม้จะพักอยู่ใกล้กัน แต่แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่กันเลย เด็กสาวรากปราณสวรรค์ย่อมไม่เชื้อเชิญให้หลิงจือกับเฉียวเวยเวยติดรถม้านางไปด้วย
หลิงจือยอมรับความจริงข้อนี้แล้ว และไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายกับการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมกันเช่นนี้เหมือนเช่นคราแรก
“ไปกันเถิด” หลิงจือเอ่ยกับเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยนิ่งไม่ขยับ
“ทำไมหรือ” หลิงจือถาม
เฉียวเวยเวยยื่นแขนเล็กๆ ของตนออกมา “อุ้ม”
อีกด้านหนึ่ง คุณชายน้อยหรงก็เก็บของเรียบร้อยเตรียมตัวลงจากเขาแล้วเช่นกัน พอเดินพ้นออกจากเรือนลูกศิษย์ใหม่ พ่อครัวก็เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงเข้ามาหา คว้าหูคุณชายน้อยหรงพร้อมเอ่ยปากต่อว่าทันที “เจ้าเด็กบ้า! อย่าคิดว่ารากปราณเจ้างอกสมบูรณ์แล้วแล้วข้าจะไม่กล้าทำอะไรเจ้านะ! บอกข้ามาซะดีๆ! เจ้าไปก่อเรื่องอะไรมา”
คุณชายน้อยหรงไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ซ้ำยังเจ็บจนร้องโอ้ยๆ ไม่หยุด “ข้าไปก่อเรื่องอะไรเมื่อไรกัน ท่านพูดมาให้ชัดเจนสิ!”
“ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้อีกใช่หรือไม่ ได้สิ เจ้าตามข้ามา!” พ่อครัวพาตัวคุณชายน้อยหรงไปที่สวนสัตว์วิเศษ ชี้ไปทางหมู่สัตว์วิเศษที่ผอมจนเหลือแค่หนังหุ้มกระดูกพลางเอ่ยว่า “นี่คือสัตว์วิเศษที่เจ้าให้อาหารมาตลอดหนึ่งเดือนหรือ เจ้าดูเข้าว่าผอมโกรกแค่ไหนแล้ว เจ้าให้อาหารอย่างไรกัน!”
คุณชายน้อยหรงกะพริบตาด้วยความละอาย เอ่ยเสียงงึมงำว่า “ก็ ก็ให้เช่นนี้อย่างไร”
“เจ้าให้แล้วจริงๆ หรือ”
“ให้ ให้แล้วนี่”
ก็แค่ให้น้อยหน่อยเท่านั้นเอง…
พ่อครัวมองเขาด้วยสายตาข่มขู่ “เจ้าบอกข้ามาซะดีๆ เจ้าเอาอาหารไปขายใช่หรือไม่”
คุณชายน้อยหรงเบิกตาโตเอ่ยว่า “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร นอกจากฝึกตนภาคปฏิบัติครั้งนั้น เดือนที่ผ่านมาข้าไม่ได้ลงเขาเลยนะ!”
พ่อครัวคิดตามแล้วก็เห็นว่าจริง ลูกศิษย์ใหม่หากไม่มีป้ายคำสั่งจะไม่สามารถออกจากสำนักเชียนหลันได้ แต่หากไม่ใช่เจ้าเด็กนี่เอาอาหารของสัตว์วิเศษไปขาย สัตว์วิเศษจะมีสภาพเหมือนไม่ได้กินอะไรเช่นนี้ได้อย่างไร
“เจ้าแอบเก็บไปกินเองใช่หรือไม่” พ่อครัวถาม
พอเอ่ยถึงเรื่องนี้ คุณชายน้อยหรงก็เริ่มมีความมั่นใจกลับมา เขายืดอกบอกว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร เนื้อตั้งมากเพียงนั้น ข้าคนเดียวจะกินหมดหรือ จริงอยู่ที่ข้าแอบกินวันละชิ้นสองชิ้น แต่ส่วนที่เหลือไม่ใช่ข้ากินแน่นอน!”
เจ้าเด็กเปี๊ยกนั่นต่างหากที่กิน!
“ข้าสาบานต่อฟ้า!” คุณชายน้อยหรงเอ่ยด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
พ่อครัวก็คิดว่าเจ้าเด็กนี่กินมากเพียงนั้นไม่ไหว แต่สัตว์วิเศษเหล่านี้เหตุใดถึงได้รับสารอาหารไม่พอกันไปหมดเช่นนี้
พ่อครัวเอ่ยด้วยความรำคาญ “เอาล่ะๆๆๆ! ต่อไปเจ้าไม่ต้องมาให้อาหารแล้ว!”
ให้อาหารจนสัตว์วิเศษที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ของเขาผอมแห้งหมดแล้ว ไม่รู้สัตว์วิเศษของเขาพบเจอกับอะไรมา!
ตรงตีนเขาสำนักเชียนหลัน มุ่งหน้าไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณสิบลี้จะเป็นเมืองอวี้เหอที่เจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองเหลียนฮวาอยู่ไม่น้อย เมืองนี้ได้ชื่อนี้มาจากแม่น้ำสีเขียวหยก รอบเมืองสามด้านล้อมด้วยแม่น้ำ อากาศเปียกชื้น ทิวทัศน์งามตา
หลิงจืออุ้มเฉียวเวยเวยไปครึ่งทางก็เริ่มอุ้มไม่ไหว นางปล่อยอีกฝ่ายลงให้เดินเอง
นางซื้อถังหูลู่ให้เฉียวเวยเวยไม้หนึ่ง เฉียวเวยเวยจูงมือหลิงจือพลางเคี้ยวถังหูลู่ตุ้ยๆ เดินเบียดเสียดไปท่ามกลางฝูงชน
แต่จู่ๆ นางก็หันขวับไปเห็นน้ำตาลวาด
นางไม่ยอมเดินต่อ
หลิงจือหยุดเดิน มองตามสายตานางไปแล้วจึงถามว่า “เจ้าอยากได้หรือ”
เฉียวเวยเวยพยักหน้า
หลิงจือจูงมือนางเดินเข้าไป ชี้ไปยังแท่นเสียบน้ำตาลวาดที่ทำไว้แล้ว “เจ้าอยากได้อันไหน”
น้ำตาลวาดมีหลากหลายรูปแบบ มีทั้งเสือ ทั้งมังกร ทั้งหงส์และก็มีทั้งดอกท้อ ลูกท้ออายุยืน และรูปเด็กเป็นต้น
เฉียวเวยเวยอยากได้รูปหงส์
“ห้าอีแปะ” เถ้าแก่บอก
หลิงจือเอาเงินให้แล้วหยิบน้ำตาลหงส์ส่งให้เฉียวเวยเวย เฉียวเวยเวยกินถังหูลู่หมดพอดีจึงกินอันนี้ต่อเสียเลย
หลิงจือพาเฉียวเวยเวยไปยังร้านตัดชุดต่อ นางซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปให้เฉียวเวยเวยอีกหลายตัว หลังจากนั้นนางก็จับจ่ายข้าวของในชีวิตประจำวันอีกหลายอย่าง
ก่อนหน้านี้นางไม่รู้หนังสือ แต่พอได้เข้าสำนักเชียนหลันก็เริ่มเรียนรู้การจำแนกตัวอักษร นางจึงเห็นว่าเวยเวยควรได้เรียนด้วย แต่จะเอาหมึกของสำนักเชียนหลันมาใช้สุรุ่ยสุร่ายก้ไม่ดี จึงใช้เบี้ยหวัดที่ได้มาซื้อชุดเครื่องเขียนมาชุดหนึ่ง
หลังจากซื้อของเหล่านี้เสร็จ นางก็หมดเงินไปพอสมควรทีเดียว
ในขณะที่นางคิดจะเดินทางกลับเรือน เฉียวเวยเวยก็ไปถูกใจพัดสีทองในร้านขายของเก่าร้านหนึ่ง
พัดสีทองอันนั้นแท้จริงแล้วไม่ใช่ของโบราณ แต่การทำประณีตงดงาม สีสันสดใส ส่องประกายทองอร่าม ราวกับเปล่งประกายได้กระนั้น
เฉียวเวยเวยมองตาไม่กะพริบเลยทีเดียว
แต่ของสิ่งนี้หลิงจือซื้อไม่ไหวนะ!
อย่าว่าแต่ตอนที่ใช้เงินไปบ้างแล้วเลย ต่อให้ยังไม่ได้ใช้ เงินสิบตำลึงก็ไม่มีทางซื้อพัดสีทองได้แน่นอน
ในขณะที่หลิงจือกำลังคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมเฉียวเวยเวยไปอย่างไรดีนั้น ร่างโปร่งบางของใครคนหนึ่งก็เดินผ่านตัวนางไปเอ่ยกับเจ้าของร้านว่า “พัดนี้ข้าขอซื้อ”
หลิงจือได้ยินเสียงคุ้นหูจึงหันขวับไปด้วยความตกใจ “ศิษย์พี่อวี๋?”
ศิษย์พี่อวี๋หัวเราะเบาๆ “ยังเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกหรือ”
หลิงจือจึงเอ่ยด้วยความขัดเขิน “อวี้…”
เรียกไม่ออก
ศิษย์พี่อวี๋จ่ายตั๋วเงินออกไปสองใบเพื่อซื้อพัดสีทองเล่มนั้น จากนั้นก็เอาพัดสีทองส่งให้เฉียวเวยเวย “ข้าให้”
หลิงจือคิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่อวี๋จะซื้อมาให้เวยเวย นางรีบบอกปฏิเสธ “ไม่ได้ๆ…”
ยังไม่ทันพูดจบ เฉียวเวยเวยก็รับพัดมากอดไว้เสียแล้ว
หลิงจือตีหน้าดุ “เวยเวย”
เฉียวเวยเวยกอดพัดสีทองไว้แน่น
หลิงจือเริ่มทำหน้าไม่ถูก
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยยิ้มๆ “แค่พัดเล่มหนึ่งเท่านั้น อย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย”
หลิงจือเอ่ยว่า “สูงค่าเกินไป ข้ารับไว้ไม่ได้”
ศิษย์พี่อวี๋หัวเราะเบาๆ ก่อนบอกว่า “ของทำจากเงินจากทองเหล่านี้ สูงค่าเมื่อไรกัน”
หลิงจือเข้าใจทันที ผู้ฝึกตนใช่ว่าแตกฉากทางโลกแล้ว แต่กลับไม่สนใจเงินทองอัญมณีเหล่านี้ ในสายตาพวกเขา สิ่งที่ใช้เงินหาซื้อได้นั้นหาได้นับเป็นอะไรไม่ เคล็ดวิชากับอาวุธที่ยากจะร้องขอให้ได้มาต่างหากถึงเป็นของล้ำค่าที่พวกเขาตามหา
หลิงจือบอกว่า “ไม่ว่าอย่างไร ก็ขอบคุณ…เจ้ามาก”
ห่างไปไม่ไกล มีคนคอยมองเหตุการณ์นี้จากด้านบนโรงน้ำชา
“คุณหนู ดูสิเจ้าคะ นั่นไม่ใช่ศิษย์เอกที่ดูแลเรือนลูกศิษย์ใหม่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่กับเจ้าเด็กบ้านนอกสองคนนั่นได้ ซ้ำยังซื้อของให้น้องสาวนางอีก ข้าได้ยินว่าเขายังให้อาวุธวิเศษกับนางด้วยนะเจ้าคะ ใช่ว่านางอิจฉาที่คุณหนูมีอาวุธวิเศษแล้วนางไม่มีใช่หรือไม่ ถึงได้ตั้งใจไปขอจากศิษย์เอกอวี๋เช่นนี้”
ผู้ที่กล่าวไม่ใช่ใครอื่น เป็นสาวใช้ข้างกายของเด็กสาวรากปราณสวรรค์นั่นเอง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ปรายตามองอีกฝ่ายเรียบๆ “ใครอนุญาตให้เจ้ากล่าวถึงผู้อื่นลับหลังเสียๆ หายๆ เช่นนี้ หากปากยังอยู่ไม่สุขอีก ระวังเถิดข้าจะส่งเจ้ากลับลั่วหยาง!”
พอได้ยินว่าจะถูกส่งตัวกลับลั่วหยาง สาวใช้ก็รีบสงบปากสงบคำทันที
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มีบิดาเป็นท่านเซียน ไม่ว่าจะด้วยคุณสมบัติหรือพื้นฐานครอบครัวล้วนอยู่เหนือกว่าหลิงจือ นางไม่เห็นหลิงจืออยู่ในสายตาด้วยซ้ำ จึงย่อมไม่มีนึกอิจฉาหรือสนใจของที่หลิงจือมีแน่นอน
เจ้าเด็กน้อยนั่นดีกว่า…
ความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เด็กสาวรากปราณสวรรค์หันขวับไปมองเฉียวเวยเวย
เฉียวเวยเวยกำลังจับพัดในมือเล่นไม่ยอมปล่อย ระหว่างที่เล่นยังมีการหอมพัดไปด้วย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ส่งเสียงหึอย่างดูแคลน “เด็กบ้านนอก”
เฉียวเวยเวยหันขวับไปทันที!