ตอนพิเศษ 49 ราชาปีศาจปรากฏตัว (2)
เขตแดนลับแห่งนี้มองจากด้านนอกเหมือนหุบเขาแห่งหนึ่ง หลังจากเข้ามาในหุบเขาก็จะพบสถานที่ประหนึ่งสรวงสวรรค์อันตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่เพียงมีขุนเขาเขียวขจีธารน้ำใสสะอาด แต่ยังมีทิวทัศน์งามตระการ สิ่งที่พิเศษยิ่งกว่านั้นก็คือที่แห่งนี้กลับเป็นเวลากลางวัน
ผู้พิทักษ์รองอุทานอย่างตกใจ “ฟ้าสว่างแล้วหรือ พวกเราเพิ่งจะเดินทางออกมาเอง”
“น่าจะไม่ใช่เพราะตะวันขึ้น…” ผู้พิทักษ์ใหญ่ส่ายหน้า แต่แท้จริงเป็นเพราะเหตุใด นางก็ตอบไม่ได้ มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่าอ่านตำราหมื่นเล่มมิสู้เดินทางไกลหมื่นลี้ หนนี้หากมิใช่เพราะชิงสุ่ยเจินเหรินออกเดินทางมาด้วย เกรงว่าชั่วชีวิตนี้นางก็คงหาเขตแดนลับอันมหัศจรรย์เช่นนี้ไม่พบ
ชิงสุ่ยเจินเหรินชะงักครู่หนึ่ง “เวลาของที่แห่งนี้ไม่เท่ากับด้านนอก ส่วนจะเร็วกว่าหรือช้ากว่า ยามนี้ยังไม่รู้”
หากเร็วกว่าย่อมไม่น่ากลัว กลัวก็แต่จะช้ากว่า หากพวกเขาอยู่ที่นี่หนึ่งคืน ด้านนอกกลับผ่านไปแล้วหนึ่งปี เด็กๆ ต้องตกใจกลัวกันแย่แน่
ผู้พิทักษ์ใหญ่เข้าใจทันที นางมองรอบด้านแล้วบอกว่า “ชิงสุ่ยเจินเหริน มิสู้พวกเราแยกกันเคลื่อนไหวเถิด ทำเช่นนี้จะได้ค้นหาในเขตแดนลับลุล่วงเร็วขึ้นสักหน่อย”
ชิงสุ่ยเจินเหรินล้วงเกล็ดมังกรสองเกล็ดออกมาจากอกเสื้อของตน เกล็ดมังกรเหล่านี้คือเกล็ดมังกรของเฉียวเวยเวย มันคือเกล็ดมังกรที่หล่นอยู่ในกรงตอนที่นางถูกโหราจารย์หญิงจับขัง หลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินเก็บกลับมา เขาก็สร้างเกราะมังกรให้หลิงจือหนึ่งตัว แต่ยังเหลือสองเกล็ดที่ยังไม่ใช้ “หากชิงหลวนอยู่ใกล้ๆ แล้วได้กลิ่นของเวยเวย นางย่อมเป็นฝ่ายออกมาหาพวกเจ้าเอง”
ทั้งสองคนรับเกล็ดมังกรมาแล้วแยกกับชิงสุ่ยเจินเหริน
ชิงสุ่ยเจินเหรินมุ่งตรงไปทางเหนือ เขาออกเดินทางมาได้ไม่นานเท่าไรก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันร้อนระอุอย่างยิ่ง จอมมารเป็นมังกรมารไฟ กลิ่นอายนี้ไม่แน่อาจเป็นเพลิงมังกรของนาง ชิงสุ่ยเจินเหรินรีบเร่งแกะรอยไปยังทิศทางนั้น
บังเอิญยิ่งนักเวลานี้ราชาปีศาจก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่คล้ายคลื่นความร้อนนั่นแล้วเช่นเดียวกัน เขาสับเท้าอย่างรวดเร็ว ขยับตัวฟึบเดียวก็ทะลุมาถึงที่หมาย
เปลวเพลิงร้อนแรงดวงนั้นหลบอยู่ในซอกผาแห่งหนึ่ง
เมื่อราชาปีศาจเห็นผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์คนหนึ่งเข้าใกล้มัน เขาก็พ่นลูกไฟลูกหนึ่งใส่อีกฝ่ายโดยสัญชาตญาณ
ชิงสุ่ยเจินเหรินเสกโล่วารีขึ้นมาดับลูกไฟ แม้จะดับลงได้ แต่การถูกผู้อื่นโจมตีอย่างไร้เหตุผลก็ทำให้ชิงสุ่ยเจินเหรินมีโทสะ
เมื่อราชาปีศาจเห็นผู้ฝึกตนเผ่ามนุษย์คนนั้นดับลูกไฟของตนเองได้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้น เขาก็พลันรู้สึกว่าอำนาจของตนถูกท้าทายอย่างรุนแรง ซ้ำร้ายเขายังรับรู้ถึงไอสังหารท่วมฟ้าที่แผ่ตามมาติดๆ จากตัวอีกฝ่าย
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคือราชาปีศาจ แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินรู้ว่ามีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ชิงหลวนอาจซ่อนตัวอยู่ในเขตแดนลับแห่งนี้ จิ้งจอกตัวนี้พ่นเปลวเพลิงโจมตีมาทางด้านนี้แน่ๆ หรือว่ามันจะพบร่องรอยของชิงหลวนแล้ว
หากปล่อยให้ปีศาจตัวนี้ค้นพบว่ามังกรจากเผ่ามารซ่อนตัวอยู่ในดินแดนของพวกมัน พวกมันต้องยกพวกบุกมาสังหารชิงหลวนเป็นแน่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็คิดจะขยี้จิ้งจอกเพลิงตัวนี้ให้ตาย!
ในใจจิ้งจอกเพลิงคิดว่า มารดามันเถอะ ข้าเพียงต้องการจะเตือนเจ้าเท่านั้น เจ้าถอยออกไปก็จบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ แต่เจ้าดันกล้าท้าทายกันเช่นนี้!
หนึ่งเซียนกับหนึ่งจิ้งจอกจึงเริ่มประมือกันด้วยประการฉะนี้
แต่เดิมชิงสุ่ยเจินเหรินกดระดับพลังของตนเองเอาไว้ ทว่าเมื่อต่อสู้กับจิ้งจอกเพลิงไปเรื่อยๆ พลังระดับครึ่งเซียนก็ไม่เพียงพอให้รับมือศัตรู
แดนปีศาจไม่อ่อนแอเหมือนแดนกลาง มันรองรับอำนาจของเซียนคนหนึ่งได้เฉกเช่นเดียวกับที่เผ่ามาร ดังนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินจึงคืนพลังของตนกลับไปขั้นเดิม
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายเป็นถึงเซียนตัวจริงเสียงจริงตนหนึ่ง ราชาปีศาจก็ตกตะลึงเล็กน้อย
เหตุไฉนยามนี้พวกเซียนจึงหมายตาเพลิงปีศาจหมื่นพิภพของดินแดนตน เหอะ ว่าแล้วเชียวว่าเจ้าพวกสารเลวในแดนเซียนหาใช่ตัวดีอะไร!
เมื่อใต้เท้าเจ้าตำหนักกับผู้พิพากษาชุยรีบเร่งเดินทางมาถึงสถานที่นั้น พวกเขาก็เห็นภาพชิงสุ่ยเจินเหรินกับราชาปีศาจต่อสู้กันอย่างโรมรันพันตู
ผู้พิพากษาชุยอ้าปาก “เอ่อ…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดพวกเขาสองตนจึงต่อสู้กัน”
แดนเซียนกับแดนปีศาจไม่มีความแค้นอันใดต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาทั้งสองตน ตนหนึ่งมาตามหามังกร อีกตนหนึ่งมาตามหาเปลวเพลิง เหตุไฉนจึงต่อสู้กันเช่นนี้เล่า
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมิสนใจว่าเหตุใดพวกเขาสองตนจึงต่อสู้กัน ในเมื่อมีคนคอยดึงราชาปีศาจไว้ย่อมเป็นเรื่องดีแล้ว เขาจะได้ทำตัวเป็นชาวประมงฉวยโอกาสยามนกปากซ่อมกับหอยกาบทะเลาะกัน
ใต้เท้าเจ้าตำหนักแอบล้วงมือเข้าไปในซอกผา
เพลิงปีศาจหมื่นพิภพใต้ซอกผาชมดูการต่อสู้ของท่านเซียนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองจนตาค้าง จึงไม่ทันสังเกตจิตตั้งต้นอันแข็งแกร่งดวงหนึ่งที่เคลื่อนเข้ามาใกล้
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยื่นมือออกไปคว้าหมับที่เพลิงปีศาจหมื่นพิภพ!
เพลิงปีศาจหมื่นพิภพตกใจอย่างยิ่ง!
ทว่าอึดใจต่อมามันก็ถูกใต้เท้าเจ้าตำหนักดึงเข้าไปในแดนยมโลกแล้ว
ราชาปีศาจจับสัมผัสของเพลิงปีศาจหมื่นพิภพได้อย่างว่องไว เพียงชั่วพริบตาที่มันหายไป จิ้งจอกเพลิงก็ตะโกนเตือนทันที “เพลิงปีศาจหมื่นพิภพ!”
มือที่กำลังทำท่าสัญลักษณ์เพื่อใช้เคล็ดวิชาของชิงสุ่ยเจินเหรินชะงักกึก เขาเพิ่งค้นพบว่าดวงเพลิงดวงนั้นหายไปแล้ว “เพลิงอะไรนะ”
“เพลิงปีศาจหมื่นพิภพน่ะสิ!” ราชาปีศาจแปลงกายเป็นร่างมนุษย์ บุรุษผู้งามเลิศล้ำจนทำให้คนแทบจะหยุดหายใจคนหนึ่งเผยร่างเปล่าเปลือยเบื้องหน้าชิงสุ่ยเจินเหริน
บุรุษผู้นี้มีเรือนร่างเป็นรูปสามเหลี่ยมคว่ำอันงดงามสมบูรณ์แบบ ผิวขาวผ่องดุจผิมะ กล้ามเนื้อแข็งแกร่งบึกบึน ดวงตาสองข้างแดงดุจหินโมรา เส้นผมสีแดงเพลิงทิ้งตัวยาวสยายอยู่หลังบั้นเอว
ปีศาจจำแลงกายเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกมันไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงไม่มีความรู้สึกอายเฉกเช่นที่เผ่ามนุษย์สมควรมี
ราชาปีศาจอวด ‘นกหั่วเลี่ย[1]’ ของตนเอง โดยไม่สังเกตสักนิดว่าใบหน้าของชิงสุ่ยเจินเหรินดำทะมึนเหมือนถ่าน เขาเท้าสะเอว เอ่ยอย่างวางมาดดุร้าย “เจ้ามิได้เข้ามาในเขตแดนลับเพื่อตามหาเพลิงปีศาจหมื่นพิภพหรือ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินขมวดคิ้ว “เมื่อครู่นั่นคือเพลิงปีศาจหมื่นพิภพหรือ”
ราชาปีศาจแค่นเสียงหยันย้อนถามว่า “แล้วเจ้าคิดว่ามันเป็นดวงไฟอะไรเล่า”
เรื่องนี้จะโทษว่าชิงสุ่ยเจินเหรินมองผิดก็ไม่ได้ ความจริงก็คือเขาไม่เคยเห็นเพลิงปีศาจหมื่นพิภพมาก่อน นอกจากเพลิงไตรสมาธิขององค์เทพผู้ยิ่งใหญ่ เขาก็เคยเห็นแต่เพลิงมังกรของชิงหลวนที่พอจะสำแดงพลังอันแข็งแกร่งระดับนี้ออกมาได้ เขาจึงหลงคิดว่านั่นคือชิงหลวน…
ในเมื่อไม่ใช่ ถ้าเช่นนั้นตนเองมาเสียเวลาอยู่เนิ่นนานกับ…
ชิงสุ่ยเจินเหรินกวาดสายตารังเกียจเดียดฉันท์มองเรือนร่างของราชาปีศาจ ราชาปีศาจแอ่น ‘นกหั่วเลี่ย’ ของตนเองมาด้านหน้า การอวดส่วนนั้นสำหรับปีศาจแล้วไม่เพียงมิใช่เรื่องน่าเกลียด แต่ยังเป็นความภาคภูมิใจ กวาดสายตาหาในเผ่าปีศาจอย่างไรก็หาผู้ใดมีส่วนนั้นใหญ่โตมากกว่าเขาไม่ได้แล้ว!
เขาภาคภูมิใจมาก!
เจ้าปีศาจตัวนี้ต้องเสียสติเป็นแน่แท้!
ชิงสุ่ยเจินเหรินเผ่นพรวดจากไปอย่างรังเกียจเดียดฉันท์!
ราชาปีศาจกลายร่างกลับเป็นจิ้งจอกเพลิงแล้วออกค้นหาร่องรอยของเพลิงปีศาจหมื่นพิภพต่อ เพลิงปีศาจหมื่นพิภพย่อมหายวับไปกับอากาศมิได้ มันเหมือนถูกยอดฝีมือที่ร้ายกาจคนใดบังคับจับตัวไปมากกว่า
ผู้พิพากษาชุยที่อยู่ในแดนยมโลกกลั้นลมหายใจ เขามองจิ้งจอกเพลิงเดินทะลุผ่านร่างของเขา แม้จะรู้ว่าจิ้งจอกเพลิงสัมผัสการมีอยู่ของเขากับใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้ แต่เขาก็ยังหวาดหวั่นอย่างช่วยไม่ได้ เหงื่อเย็นไหลทะลักออกมา
“ใต้เท้า จะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ขอรับ” เขาถามเสียงเบา
ใต้เท้าเจ้าตำหนักจิ้มเพลิงปีศาจหมื่นพิภพที่อยู่กลางฝ่ามือแล้วยิ้มละไม “จะมีเรื่องอะไรได้เล่า”
พูดยังไม่ทันขาดคำ เฉียวเวยเวยที่นอนอยู่บนเตียงก็พลิกตัว อุ้งมือน้อยวาดไปเกี่ยวยันต์เร้นวิญญาณบนลำคอของจีเสี่ยวซิว นางสะลึมสะลือกระตุกมือหนเดียว ยันต์เร้นวิญญาณก็ถูกกระชากหลุดออกมา…
กลิ่นอายของใต้เท้าเจ้าตำหนักแผ่ออกมาภายนอกในพริบตา!
ปลายจมูกแหลมของจิ้งจอกเพลิงขยับฟุดฟิดแล้วหันขวับกลับมา ดวงตาดุจคบเพลิงถลึงตามองรอยประทับสีแดงที่ตนเคยประทับไว้บนจิตตั้งต้นของใต้เท้าเจ้าตำหนัก ใช่แล้ว เขามองไม่เห็นใต้เท้าเจ้าตำหนัก แต่เขาเห็นตราประทับของตนเอง
ชั่วพริบตาที่เห็นตราประทับ จิ้งจอกเพลิงก็เข้าใจแล้วว่าเพลิงปีศาจหมื่นพิภพหายวับไปกับอากาศได้อย่างไร
ปุ้ง! เขากลายร่างมาเป็นร่างมนุษย์ แล้วเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ที่แท้ ก็ เจ้า นี่เอง!”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักโยนเพลิงปีศาจหมื่นพิภพให้ผู้พิพากษาชุยแล้วบอกว่า “รีบหนีเร็ว!”
ผู้พิพากษาชุยรีบนำเพลิงปีศาจหมื่นพิภพหนีเข้าไปในแดนยมโลก
หลังจากเพลิงปีศาจหมื่นพิภพเข้าไปอยู่ในแดนยมโลก จิ้งจอกเพลิงก็มองไม่เห็นมันแล้ว เขามองไม่เห็นผู้พิพากษาชุยเช่นกัน สิ่งเดียวที่จิ้งจอกเพลิงเห็นก็คือตราประทับของใต้เท้าเจ้าตำหนัก
จิ้งจอกเพลิงไม่รู้ว่าใต้เท้าเจ้าตำหนักมีพรรคพวกอยู่ด้วย เขาจึงเชื่อมั่นว่าตราประทับอยู่ตรงไหน เพลิงปีศาจหมื่นพิภพก็ต้องอยู่ตรงนั้น
“คนแซ่จี เจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
ออกไปก็บ้าแล้ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเหาะกลับโรงเตี๊ยม ขอเพียงเขากลับไปถึงร่างของจีเสี่ยวซิวแล้วสวมยันต์เร้นวิญญาณกลับไปใหม่อีกหน เขาก็จะหนีจากสัมผัสรับรู้ของราชาปีศาจได้
ทว่าที่แห่งนี้คือแดนปีศาจ ราชาปีศาจคุ้นชินกับภูมิประเทศมากกว่าเขา เมื่อเห็นทิศทางที่อีกฝ่ายหนีไป เขาก็เดาออกแล้วว่าจุดหมายของอีกฝ่ายคือสถานที่ใด
เมื่อใต้เท้าเจ้าตำหนักคืนจิตตั้งต้นกลับร่าง จีเสี่ยวซิวลืมตาโพลงขึ้นมา ท้องฟ้าก็ใกล้สว่างแล้ว
เขาอยู่ในเขตแดนลับไม่ถึงชั่วจิบชาชัดๆ แต่ที่แห่งนี้กลับผ่านไปแล้วเกือบครึ่งค่อนคืน ดูท่าเวลาในเขตแดนลับจะไหลเร็วกว่าแดนปีศาจมาก
จีเสี่ยวซิวรีบมองข้างกายตนเอง เขาค้นพบเรื่องที่คาดไม่ถึงแต่ก็พอเดาได้เรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเฉียวเวยเวยกับหลิงจือหายไปแล้ว เหลือแต่ปีศาจกระต่ายหยกที่ตกใจกลัวราชาปีศาจนอนสลบเหมือดอยู่ในกรง
แม้จะคาดเดาได้ว่าอาจเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่จีเสี่ยวซิวก็ยังเอาน้ำสาดปีศาจกระต่ายหยกจนฟื้นแล้วถามเสียงเข้ม “เมื่อครู่ผู้ใดมาที่นี่”
ปีศาจกระต่ายหยกตกใจกลัวจนฉี่ราด มันตอบอย่างใจสั่นขวัญผวา “ท่าน ท่านราชาปีศาจให้ข้าถ่ายทอดคำพูดให้…ให้คนที่ปลุกข้าฟัง เจ้า…เจ้าคือคนที่ปลุกข้าใช่หรือไม่”
จีเสี่ยวซิวสีหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง “เลิกพูดพล่ามได้แล้ว!”
ปีศาจกระต่ายหยกตัวสั่นระริก นางไม่กล้ามองเขาเป็นเด็กน้อยอายุสามขวบอีกต่อไป นางบอกตามตรงออกมาในรวดเดียว “ท่านราปีศาจบอก…บอกว่าหากท่านอยากไถ่ตัวพวกนางคืนก็จงเอา…เอาเพลิงปีศาจหมื่นพิภพมาแลก!”
[1]นกหั่วเลี่ย คือนกฟลามิงโก ชื่อภาษาจีนของมันแปลว่านกไฟลุก ตรงนี้ใช้เปรียบเปรยหมายถึงอวัยวะเพศชาย