ตอนพิเศษ 48-2 ราชาปีศาจปรากฏตัว (1)
หญิงสาวแค่นเสียงหยัน “เป็นมารแล้วไม่ดีตรงที่ใด มังกรน้อยตัวนั้นก็เป็นมังกรมารตัวหนึ่งมิใช่หรือ”
“ข้าไม่ใช่มาร…ข้าไม่ใช่…ข้าไม่ใช่…” เด็กสาวรากปราณสวรรค์นึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาเป็นประกายวาบแล้วเอ่ยว่า “มารดูดซับปราณปีศาจไม่ได้ ข้าดูดซับปราณปีศาจได้ ข้าไม่ใช่มาร!”
มุมปากของหญิงสาวยกโค้งเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเป็นกึ่งมารกึ่งปีศาจ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คำราม “ข้าไม่ใช่! ข้าไม่ใช่!”
“นี่ เจ้าเป็นอะไรไป” จู่ๆ หลิงจือก็โผล่มาอยู่ด้านหลังของเด็กสาวรากปราณสวรรค์
เด็กสาวรากปราณสวรรค์สะดุ้งอย่างหวาดผวา นางเผลอระเบิดพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว พลังสายนี้พุ่งโจมตีหลิงจืออย่างรุนแรง
บนร่างของหลิงจือสวมเกราะมังกรที่ทำจากเกล็ดมังกรของเฉียวเวยเวยอยู่ การโจมตีนี้จึงทำร้ายนางไม่สำเร็จ ทว่านางไม่ทันตั้งหลักป้องกันแม้แต่น้อยจึงสะดุดล้ม ศีรษะไปกระแทกกับก้อนหินก้อนหนึ่งจนหมดสติไปทันที
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หน้าถอดสี “หลิงจือ!”
หญิงสาวรีบบอกว่า “ยังจะรอสิ่งใด ยังไม่รีบฆ่านางอีก”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองหลิงจือที่หมดสติอยู่อย่างหวาดกลัว นางหอบหายใจหนักหน่วง
หญิงสาวล่อลวง “เกราะมังกรบนร่างนางหอกดาบฟันแทงไม่เข้า น้ำไฟมิกล้ำกราย หากสังหารนางเสีย เกราะมังกรก็จะเป็นของเจ้า อีกอย่างเรื่องที่นางมีรากปราณผสมเจ้าก็คงรู้แล้ว ควักรากปราณของนางออกมาเสีย เจ้ามีร่างหยินบริสุทธิ์ เจ้ามีโอกาสครึ่งหนึ่งที่จะผสานรากปราณของนางเข้ากับตัวเองได้”
การผสานรากปราณมิใช่ศาสตร์ที่รู้กันทั่วไปในหกดินแดน เพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีเพียงร่างหยางบริสุทธิ์กับร่างหยินบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถผสานรากปราณได้และมิใช่ว่าการผสานทุกครั้งจะสำเร็จ หากไม่สำเร็จก็จะถูกรากปราณย้อนกลับมากลืนกิน
หากเป็นเช่นนั้นแม้แต่รากปราณของตนเองก็มีโอกาสสูงมากที่จะเสียหายไปด้วย นี่เป็นวิชามารวิชาหนึ่ง แล้วก็เป็นวิชาต้องห้ามวิชาหนึ่ง มันอันตรายมากยิ่งนัก ผู้ฝึกตนทั่วไปล้วนไม่เสี่ยงใช้มัน
แต่ความเสี่ยงที่ว่านี้ ไม่ใช่สำหรับผู้ที่มีร่างกายกึ่งมารกึ่งปีศาจ
หญิงสาวเอ่ยเร่ง “เจ้ายังจะนิ่งทำอันใด รีบลงมือเร็วเข้าสิ! จัดการนางก่อน แล้วค่อยพาตัวมังกรน้อยตัวนั้นมา หากชักช้ารอจนเจ้าเซียนนั่นกับอาจารย์ของเจ้ากลับมา เจ้าอยากลงมือก็ไม่มีโอกาสแล้ว รากปราณของนางเป็นยาบำรุงชั้นเลิศสำหรับเจ้า หากผสานไม่สำเร็จก็ไม่เป็นอันใด เจ้าเป็นกึ่งมารกึ่งปีศาจ แต่เดิมเจ้าก็กลืนกินรากปราณของผู้ฝึกตนเพื่อเพิ่มระดับการฝึกตนของตัวเองได้อยู่แล้ว ไม่มีความเสี่ยงอะไรทั้งสิ้น เจ้าเชื่อข้าสิ!”
“ข้าไม่ใช่กึ่งมารกึ่งปีศาจ!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์หันกลับมาอย่างเย็นชา นางมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นพูดกับนาง “ข้าคือลูกศิษย์ของสำนักเชียนหลัน ข้าจะไม่ทำร้ายคนของสำนักเชียนหลัน แล้วข้าก็จะไม่แตะต้องมังกรน้อยตัวนั้นด้วย เจ้าเลิกหวังเสียเถอะ!”
“หรือว่าเจ้าไม่อยากพบราชาปีศาจ…”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยขัดนาง “ข้าไม่อยาก! ราชาปีศาจกับข้าไม่เกี่ยวข้องกัน ข้าคือฉินหลิงเอ๋อร์ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน แล้วก็นับจากนี้ เข้าใจแล้วเจ้าก็รีบไสหัวไปเสีย! พอพวกอาจารย์ของข้ากลับมา ข้าจะบอกพวกเขาว่าเจ้าคอยตามราวีอยู่ข้างกายข้า!”
หญิงสาวกำหมัด “ฉินหลิงเอ๋อร์ สักวันหนึ่งเจ้าจะช่วยข้าแน่!”
…
กล่าวถึงอีกฝั่งหนึ่งหลังจากเฉียวเวยเวยกอดจีเสี่ยวซิวเข้านอนไปแล้ว ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ส่งจิตตั้งต้นแวบเข้าไปในแดนยมโลก
ผู้พิพากษาชุยรอคอยอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นเขาปรากฏตัวก็รีบเดินเข้าไปหา “ใต้เท้า ท่านมาเสียที หากไม่มา ข้าคงต้องไปหาท่านแล้ว!”
“มีเรื่องอันใด” ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยถาม
ผู้พิพากษาชุยตอบว่า “ข้าสืบพบแล้วว่าเพลิงปีศาจหมื่นพิภพอยู่ที่ใด มันอยู่ในเขตแดนลับเขาอวี๋ซาน”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเลิกคิ้ว “นั่นมันเขตแดนลับที่พวกชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังมุ่งหน้าไปไม่ใช่หรือ”
ผู้พิพากษาชุยตกตะลึง “พวกเขามุ่งหน้าไปที่เขตแดนลับแห่งนั้นหรือ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพยักหน้า “อืม เพิ่งไปเมื่อครู่”
ผู้พิพากษาชุยครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “เรื่องนี้คงไม่เป็นอะไร พวกเราอยู่ในแดนยมโลกย่อมไม่เผชิญหน้ากับพวกเขาอยู่แล้ว”
แดนยมโลกเป็นโลกที่อยู่อีกมิติหนึ่ง มันซ้อนทับกับพื้นที่ใดก็ได้ แต่หากไม่ใช่คนของแดนยมโลกก็มักจะสัมผัสการมีตัวตนของมิติแห่งนี้ไม่ได้
ผู้พิพากษาชุยคิดอะไรขึ้นมาได้จึงถามอีกหน “ท่านไปแบบนี้ จะไม่เป็นอะไรหรือขอรับ”
“ไม่เป็นไร” คืนนี้เขาจงใจนอนค้างอยู่กับเฉียวเวยเวย ก็เพราะต้องการจะอาศัยร่างมังกรน้อยให้ความอบอุ่นกับร่างของจีเสี่ยวซิว เมื่อมีมังกรน้อยคอยให้ความอบอุ่น ตลอดคืนนี้ร่างกายก็คงไม่เย็นสนิท เมื่อยังไม่เย็นสนิท เขาก็ยังกลับมาได้
ผู้พิพากษาชุยไม่พูดพร่ำอีก เขาพาใต้เท้าเจ้าตำหนักมุ่งหน้าไปยังเขตแดนลับ
เขตแดนลับแห่งนี้มีกฎของตนเองอยู่ การจะพาแดนยมโลกเข้าไปซ้อนทับไม่ง่ายเช่นนั้น
ปกติแล้วจิตตั้งต้นของผู้ฝึกตนล้วนเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในแดนปีศาจ แดนมารกับแดนมนุษย์ แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักหลงเหลือเพียงเศษวิญญาณขาดวิ่น ยามเขาออกมานอกแดนยมโลกล้วนสุ่มเสี่ยงที่ดวงจิตจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ
“จะทำเช่นไรดีขอรับ” ผู้พิพากษาชุยเอ่ยถาม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักบอกว่า “ออกจากแดนยมโลกกันเถิด”
“แต่ว่า…”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักบอกอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “เพียงประเดี๋ยวเดียวย่อมไม่เป็นอันใด หนก่อนไปแดนเซียนก็มิใช่ว่าเคยออกไปหนหนึ่งแล้วหรือ ข้าก็ยังอยู่ดีมิใช่หรือไร”
ผู้พิพากษาชุยพึมพำ “นั่นเพราะท่านสิงร่างฉางหลีซั่งเซียน! หากจิตตั้งต้นของท่านไปอยู่ที่แดนเซียนนานขนาดนั้นจริงก็คงฉีกขาดเป็นชิ้นๆ แล้ว!”
“ราชาปีศาจไม่อยู่ใช่หรือไม่”
“ไม่อยู่ ท่านวางใจเถิด!”
“อืม” ในเมื่อราชาปีศาจไม่อยู่ก็ไม่มีสิ่งใดให้กังวลแล้ว เงาร่างของใต้เท้าเจ้าตำหนักขยับฟิ้วออกไปจากแดนยมโลก ผู้พิพากษาชุยส่ายหน้าก่อนจะทำใจติดตามไป
ทั้งสองคนโชคไม่ค่อยดีนัก เพิ่งเข้ามาในเขตแดนลับก็พบกับจิ้งจอกเพลิงที่มีพลังมหาศาลตัวหนึ่ง ร่างกายของจิ้งจอกเพลิงขนาดไม่ใหญ่นัก ทว่ามันกลับแผ่ลมปราณที่น่ากลัวยิ่งกว่าเซียนออกมา
นี่คือลมปราณของเซียนปีศาจ
ต่อให้อีกฝ่ายสลายเป็นเถ้าถ่าน ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็จดจำได้ “ไม่พบกันหลายพันปี คิดไม่ถึงว่าเขาจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนปีศาจแล้ว”
ผู้พิพากษาชุยเบิกตาโต “เฮ้ย นี่ นี่ นี่มันราชาปีศาจมิใช่หรือ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหรี่ตาลงอย่างเหี้ยมๆ เจ้าจำได้แล้วหรือ ไหนว่าราชาปีศาจไม่อยู่อย่างไรเล่า
ผู้พิพากษาชุยเหงื่อเย็นไหลพราก ก็เมื่อครู่…เมื่อครู่ไม่อยู่จริงๆ นะ…
ยามนี้พวกเขามีเพียงจิตตั้งต้น ราชาปีศาจจึงมองไม่เห็นพวกเขา กลัวก็แต่…
“อะแฮ่ม ท่านคงไม่ได้ถอดยันต์เร้นวิญญาณออกใช่หรือไม่ขอรับ” ผู้พิพากษาชุยกระแอมถาม
ใต้เท้าเจ้าตำหนักขานตอบคำหนึ่ง ก่อนนอนเขาตรวจดูแล้วว่ามันยังสวมอยู่บนคอของจีเสี่ยวซิวตลอด ขอเพียงจีเสี่ยวซิวสวมยันต์เร้นวิญญาณอยู่ จิตตั้งต้นของเขาก็จะไม่ถูกราชาปีศาจจับได้
จิ้งจอกเพลิงไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาจริงๆ มันถีบขาหลังพุ่งลึกเข้าไปในเขตแดนลับ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเอ่ยเรียบๆ “ราชาปีศาจจะต้องมาเพราะเพลิงปีศาจหมื่นพิภพแน่”
ผู้พิพากษาชุยตอบว่า “แต่เดิมเพลิงปีศาจหมื่นพิภพก็เป็นของในครอบครองของเขา เขาจะจับสัมผัสมันได้ก็มีเหตุผล”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเหล่ตามองอย่างเย็นชา “เจ้าหาข้ออ้างให้การทำงานพลาดของตนเองเก่งจริงนะ”
ผู้พิพากษาชุยอับอาย
ใต้เท้าเจ้าตำหนักเลิกคิ้ว “ไปกันเถิด จะให้เจ้าปีศาจเฒ่าตนนั้นชิงตัดหน้าไม่ได้”