ตอนพิเศษ 46-2 จุมพิต คู่หมั้น
พลบค่ำ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็ออกเดินทางไปที่แดนเซียน
เด็กน้อยทั้งสองคนอาบน้ำเสร็จก็ปีนขึ้นไปนอนบนเตียงของแต่ละคน เฉียวเวยเวยนอนหลับสบายยิ่งนัก เพียงไม่นานก็กรนดังคร่อก ฝ่ายจีเสี่ยวซิวกลับนอนไม่หลับเพราะเขาเจ็บใบหน้า เขาพลิกตัวไปมาอยู่ครึ่งค่อนคืนกว่าจะรู้สึกง่วงขึ้นมานิดๆ แต่ตอนนั้นเองผู้พิพากษาชุยก็มาปรากฎตัวในห้องของเขา
จีเสี่ยวซิวหน้าดำทะมึนเล็กน้อย “ยังมีหน้ามาอีกหรือ แค่น้ำแกงยายเมิ่งถ้วยเดียว เจ้าต้องใช้เวลาเป็นร้อยเป็นพันปีกว่าจะเอามาให้ข้าได้หรืออย่างไร”
“อะแฮ่ม” ผู้พิพากษาชุยกระแอม “มังกรน้อยได้พบบิดาบังเกิดเกล้าแล้ว ฐานะของนางกระจ่างแล้ว นางยังจะขาดแคลนผลมังกรสักสองสามผลหรือไร”
จีหมิงซิวสีหน้าเฉยเมย “น้ำแกงยายเมิ่งเล่า”
ผู้พิพากษาชุยเบ้ปากแล้วหยิบขวดใบหนึ่งจากในแขนเสื้อกว้างส่งให้เขา “ใช้ครั้งละหนึ่งหยด หนึ่งวันสามเวลา รับประกันว่าในหนึ่งเดือนให้หลังผลมังกรที่รสชาติอร่อยล้ำเลิศที่สุดในหกดินแดนต้องออกผลแน่”
จีเสี่ยวซิวอายุสามขวบรับมันมาด้วยท่าทางจริงจัง
ผู้พิพากษาชุยมองจีเสี่ยวซิวอยู่นาน แสงในห้องเลือนรางสลัวประหนึ่งแสงดาวดวงเล็กๆ ฉายแสงประปราย ทว่าคนของแดนยมโลกสายตาดียิ่ง ผู้พิพากษาชุยจึงเห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง “ใต้เท้า หน้าของท่านเหตุไฉนจึงบวมเช่นนั้น ท่านถูกผู้อื่นทุบตีมาหรือ”
จีเสี่ยวซิวพองขน “เจ้าสิถูกผู้อื่นทุบตีมา!”
หนังศีรษะของผู้พิพากษาชุยชาหนึบ “ไม่ถูกตีก็ไม่ถูกตีสิ ใต้เท้าจะโกรธถึงขนาดนั้นทำอะไร”
จีเสี่ยวซิวลูบแก้มที่ถูกจุ๊บจนบวม แล้ววางหน้าเคร่งขรึมถามด้วยน้ำเสียงอ้อแอ้ว่า “เจ้ามาหาข้าเพราะน้ำแกงยายเมิ่งหนึ่งขวดหรือ”
ผู้พิพากษาชุยตอบว่า “ย่อมไม่ใช่ ข้ามาส่งข่าวให้ใต้เท้าด้วย ข้าตามหาเพลิงปีศาจหมื่นพิภพเจอแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักต้องการจะสร้างร่างจริงขึ้นมาใหม่ จึงจำเป็นต้องรวบรวมโลหิตมังกรมารและสิ่งของห้าธาตุให้ครบ ในหมู่สิ่งของเหล่านั้นศิลาตัดวิญญาณที่เป็นของธาตุทองกับน้ำพุหมื่นราตรีที่เป็นของธาตุน้ำได้มาอยู่ในมือแล้ว ยังเหลือไม้พันหงสา เพลิงปีศาจหมื่นพิภพกับดินของเทพธิดาหนี่ว์วาที่กำลังค้นหาอยู่
“อยู่ที่ใด” จีเสี่ยวซิวถาม
“แดนปีศาจ” ผู้พิพากษาชุยตอบ
จีเสี่ยวซิวแค่นเสียงหยัน “ทุกคนต่างรู้ว่ามันอยู่ที่แดนปีศาจ มันคือดวงไฟที่ราชาปีศาจสืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น เรื่องนี้เจ้าเรียกว่าตนเองสืบพบได้ด้วยหรือ”
ผู้พิพากษาชุยตอบอย่างซื่อตรง “ข้าพูดจริงนะขอรับ เพลิงปีศาจหมื่นพิภพหายไปเมื่อหลายพันปีก่อน ราชาปีศาจก็ตามหามันมาตลอด แต่ไม่นานมานี้ มันปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว หากพวกเราตามหามันพบก่อนราชาปีศาจ บางทีอาจเลี่ยงการต่อสู้อันเลวร้ายได้”
เพลิงปีศาจหมื่นพิภพเป็นสิ่งที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักต้องเอามาให้จงได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ในมือราชาปีศาจหรือไม่ ข้อแตกต่างก็คือเอามาได้อย่างง่ายๆ หรืออย่างยากลำบาก หากต้องแย่งมันมาจากมือของราชาปีศาจย่อมต้องจ่ายค่าแลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน
หากไม่จำเป็นจริงๆ ใต้เท้าเจ้าตำหนักย่อมไม่คิดจะจ่ายสิ่งแลกเปลี่ยนที่ไม่จำเป็นต้องจ่าย
“แดนปีศาจ…” มือน้อยๆ สีขาวน้ำนมของจีเสี่ยวซิวเคาะบนโต๊ะเบาๆ “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไปแดนปีศาจไม่ได้”
ผู้พิพากษาชุยหัวเราะ “แต่มังกรน้อยกับชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังจะเดินทางไปที่นั่นนี่ขอรับ! ท่านตามไปด้วย ย่อมไม่มีผู้ใดจับได้”
จีเสี่ยวซิวลังเลครู่หนึ่ง
ผู้พิพากษาชุยรู้ว่าเขากำลังลังเลอะไร เดิมทีเพลิงปีศาจหมื่นพิภพเป็นสิ่งที่น่าจะได้มาตั้งแต่หลายพันปีก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะใต้เท้าเจ้าตำหนักรีรอไม่ยอมไปที่แดนปีศาจจนเพลิงปีศาจหมื่นพิภพหายไป เขาอยากจะเอามาก็เอามาไม่ได้แล้ว
ตอนนี้ลำบากนักกว่าจะมีโอกาสสักหน ผู้พิพากษาชุยคิดว่าใต้เท้าสมควรจะคว้าโอกาสไว้ให้มั่น
“หากจิตตั้งต้นของข้าย่างกรายเข้าไปในโลกปีศาจ…”
คำพูดต่อจากนั้นจีเสี่ยวซิวไม่พูด แต่ส่งสายตาให้ผู้พิพากษาชุยเข้าใจเอาเอง
ผู้พิพากษาชุยหัวเราะ เขาล้วงยันต์แผ่นน้อยสีทองออกมาจากอกเสื้อ “ข้าทราบดี จิตตั้งต้นของท่านถูกราชาปีศาจประทับตราไว้ ขอเพียงท่านไปที่แดนปีศาจ ราชาปีศาจก็จะสัมผัสได้ เรื่องเหล่านี้ข้าคิดแทนใต้เท้าเอาไว้แล้ว นี่เป็นยันต์เร้นวิญญาณของยายเมิ่ง ขอเพียงใต้เท้าพกมันไว้กับตัว ข้ารับประกันว่าราชาปีศาจจะสัมผัสจิตตั้งต้นของใต้เท้าไม่ได้”
…
ค่ำคืนดึกสงัด
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กลับมาจากการฝึกวิชา นางเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน แต่เดิมล้มตัวลงบนเตียงก็สมควรจะนอนหลับ แต่นางกลับนอนไม่หลับสักนิด ความจริงนับตั้งแต่รู้ว่าตนเองไม่ใช่บุตรสาวของชิงสุ่ยเจินเหริน นางก็เริ่มนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน
นางรู้สึกว่าตนเองกลายเป็นเรื่องตลกของคนทั้งใต้หล้า แม้จะไม่มีผู้ใดมาหัวเราะต่อหน้านางสักคน แต่นางมักจะรู้สึกว่าในที่ที่นางมองไม่เห็น ทุกคนกำลังหัวเราะเยาะนางอยู่
นางนึกถึงตอนที่ตนเองเคยบอกหลิงจืออย่างยโสโอหังว่าวันใดนางได้พบกับท่านเซียนผู้เป็นบิดา นางจะมอบอาวุธเซียนสักชิ้นให้หลิงจือ วันนี้หลิงจือได้รับอาวุธเซียนแล้วจริงๆ แต่นางกลับมิใช่บุตรสาวของท่านเซียนอีกต่อไป
เด็กสาวรากปราณสวรรค์อับอายจนอยากจะหารูสักรูหนึ่งแล้วฝังตนเองลงไป
ยิ่งนางคิดเช่นนี้ก็ยิ่งยากจะสงบใจได้
มือซ้ายของนางเริ่มปวดแปลบ นี่เป็นวันที่สองแล้ว แต่เจ็บปวดได้ไม่นานเท่าไร ยันต์แคล้วคลาดที่หน้าอกก็แผ่ไอเย็นออกมา ไอเย็นแผ่ลามไปทั่วร่าง ปลอบประโลมความเจ็บปวดจากกลางฝ่ามือ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เหงื่อเย็นหลั่งทั่วร่าง นางเช็ดเหงื่อแล้วหอบหายใจ จากนั้นจึงเปิดลิ้นชัก หยิบยารวมสมาธิสงบใจที่ผู้พิทักษ์รองให้มาขวดนั้นมากินหนึ่งเม็ด
หลังจากกินยานางก็รู้สึกง่วง นางล้มตัวลงนอนบนเตียงกว้าง หนังตาค่อยๆ หนักอึ้ง ไม่ทันไรก็เข้าสู่ห้วงฝัน
นางฝันประหลาดยิ่งนัก นางฝันว่าได้พบบิดามารดาที่เมืองลั่วหยาง บิดามารดาพานางที่อายุเพียงสี่ขวบไปเที่ยวตลาดกลางคืนของเมืองลั่วหยาง เมืองลั่วหยางเจริญรุ่งเรืองนัก ทิวทัศน์นครยามค่ำคืนงดงามจับตา บนถนนมีรถม้าสัญจรดุจสายน้ำ ผู้คนเดินขวักไขว่ไหล่ชนกัน
ท่านพ่อกลัวว่านางจะพลัดหลงจึงให้นางขี่คอของเขา
ท่านแม่ของนางซื้อถังหูลู่ไม้หนึ่งมาให้ “หลิงเอ๋อร์ ให้เจ้า”
นางคว้าถังหูลู่ไม้นั้นมา แต่เพิ่งจะคว้าได้ ภาพก็พลันเปลี่ยน ท่านพ่อกับท่านแม่หายแล้ว เมืองลั่วหยางก็หายไปแล้ว นางยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าสำนักเชียนหลัน มองชิงสุ่ยเจินเหรินผู้สวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัวอย่างนิ่งงัน
นางโยนถังหูลู่ในมือทิ้ง ดวงตาสองข้างน้ำตาเอ่อคลอวิ่งเข้าไปหา “ท่านพ่อ! ข้าเอง หลิงเอ๋อร์!”
ชิงสุ่ยเจิเหรินมองนางอย่างเย็นชา “เจ้าไม่ใช่บุตรสาวของข้า เวยเวยต่างหาก”
นางร่ำไห้เถียงว่า “ไม่ใช่เวยเวย! ข้าต่างหาก! ข้าต่างหากที่เป็นลูกสาวของท่าน! ข้าต่างหากที่เป็นสายเลือดของท่านเซียน!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินจูงมือเฉียวเวยเวยเดินผ่านหน้านางแล้วหายไป นางวิ่งไล่ตามสองคนนั้น ไล่ตามไปเรื่อยๆ ก็มาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนนางจะเคยรู้จัก
นี่เป็นถนนที่มืดมิดเส้นหนึ่ง รอบด้านมีหมอกสลัว ท้องนภาไกลๆ มีแสงเรืองๆ รถห้อยกระพรวนเทียมกิเลนเพลิงบินผ่านเหนือศีรษะของนางอย่างเชื่องช้า ในรถมีบุรุษนั่งอยู่คนหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นสวมอาภรณ์ตัวยาว ชายแขนเสื้อกว้างสีดำสนิท ยามชายแขนเสื้อโบกสะบัดทั้งที่ไร้ลมดูเหมือนร่ายระบำอยู่ในตัวรถ นางมองบุรุษผู้นั้นอย่างนิ่งอึ้ง แต่เหมือนเขาจะมองไม่เห็นนางแม้แต่นิดเดียว นางพยายามใช้พลังปราณเหาะขึ้นไป แต่กลับพบว่าตนเองใช้พลังไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“ไม่มีประโยชน์หรอก ต่อให้อยู่ในฝัน เจ้าก็บินขึ้นไปไม่ได้“
เสียงขบขันของสตรีนางหนึ่งดังขึ้นด้านหลังเด็กสาวรากปราณสวรรค์
“ผู้ใด” เด็กสาวรากปราณสวรรค์หันหลังกลับไปอย่างระแวง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นสตรีสวมอาภรณ์ประหลาดคนหนึ่ง นั่นมิใช่อาภรณ์ของสำนักใดในแดนกลางอย่างแน่นอน แล้วก็ดูไม่เหมือนของแดนล่างอีกด้วย
“เจ้าคือผู้ใด” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถามอย่างระแวง
หญิงสาวยิ้มน้อยๆ “ข้าคือคนที่ช่วยเจ้าได้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถามว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องใด”
หญิงสาวหัวเราะ “บิดาผู้เป็นเซียนจะมาอยู่ในมืออยู่แล้วแต่กลับถูกผู้อื่นแย่งไป รู้สึกไม่ยินยอมใช่หรือไม่”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โต้เสียงเย็นชา “เกี่ยวอันใดกับเจ้า”
หญิงสาวยังหัวเราะเช่นเดิม “ความจริงเจ้าไม่ยินยอมเรื่องนี้เรื่องเดียวเสียที่ไหน ด้านฐานะ เจ้าพ่ายแพ้มังกรน้อยตัวหนึ่ง ด้านรากปราณ เจ้าก็สู้หลิงจือไม่ได้…แต่เดิมเจ้าสูงส่งเหนือผู้ใด แต่สุดท้ายกลับพบว่า เด็กข้างบ้านคนหนึ่งกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเจ้า หากข้าเป็นเจ้า…”
“เจ้าหุบปากเสีย!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตวาดขัดนาง
หญิงสาวหัวเราะไม่กล่าวสิ่งใดต่อ นางชี้รถม้าประดับกระพรวนที่จอดนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า นั่นย่อมไม่ใช่รถม้าจริงๆ เป็นเพียงภาพวาดภาพหนึ่งเท่านั้น
หญิงสาวกล่าวว่า “ข้าจะพูดสั้นๆ บุรุษผู้นั้นคือเจ้าตำหนักในแดนยมโลก ด้วยฐานะของเจ้าในตอนนี้ ไม่มีวันครองคู่กับเขาได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าหาก…”
“ถ้าหากอะไร”
หญิงสาวอมยิ้มเดินไปหาเด็กสาวรากปราณสวรรค์ มือเรียวงามดุจหยกยกขึ้นผูกสายคาดเอวตรงหน้าอกของเด็กสาวรากปราณสวรรค์เบาๆ “ถ้าหากเจ้าตามหาตัวตนที่แท้จริงของตนเองพบ เจ้าก็จะพบว่าเจ้าคือคู่หมั้นของเขา”