ตอนพิเศษ 46-1 จุมพิต คู่หมั้น
การเดินทางไปเผ่ามารหนนี้ได้กำไรกลับมาไม่น้อย นอกจาก ‘สมบัติทั้งหลาย’ ของเผ่ามารที่ถูกเฉียวเวยเวยรังเกียจเดียดฉันท์ ฐานะของเฉียวเวยเวยก็ได้รับการยอมรับแล้ว นับจากวันนี้เป็นต้นไปนางคือนายน้อยแห่งเผ่ามาร นางเข้าออกเผ่ามารได้อย่างสง่าผ่าเผย แม้ว่าตัวนางเองจะไม่อยากไปนักก็ตาม
สิ่งที่ได้กลับมาอีกอย่างหนึ่งก็คือข่าวที่อยู่ของจอมมาร จะบอกว่าที่อยู่ก็ออกจะไม่ถูกต้องนัก จากสิ่งที่ผู้อาวุโสใหญ่เปิดเผย หลายปีก่อนมุกมังกรสัมผัสถึงกลิ่นอายของจอมมารได้ แต่มันไม่ได้อยู่ในเผ่ามาร แต่อยู่ที่แดนปีศาจ
แดนปีศาจเป็นพื้นที่ผืนเล็กที่สุดบนแผนที่ของหกดินแดน ดูจากแผนที่แล้ว มันใหญ่สู้แดนกลางยังไม่ได้ แต่แดนปีศาจมีหลุมสวรรค์อยู่นับไม่ถ้วน หลุมสวรรค์แต่ละหลุมซ่อนมิติอีกแห่งหนึ่งเอาไว้ ดังนั้นแม้แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินก็ไม่รู้แน่ชัดว่าแท้จริงแล้วแดนปีศาจใหญ่โตเท่าใด
หากจอมมารเคยปรากฏตัวที่แดนปีศาจจริง ถ้าเช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านางจะพลัดหลงเข้าไปในมิติสักแห่ง
“ยังไม่เคยส่งคนไปตามหานางหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินถาม
ผู้อาวุโสใหญ่ละอายใจนัก พวกเขาหลบจอมมารกันแทบจะไม่ทัน ไหนเลยจะกล้าส่งคนไปตามหากันเล่า หากยังไม่ได้ส่งต่อเผ่ามารให้นายน้อย พวกเขาก็เฝ้าภาวนาอย่าให้จอมมารปรากฏตัว
แน่นอนว่านั่นเป็นเพียงหนึ่งในสาเหตุเท่านั้น สาเหตุที่สำคัญกว่าก็คือความสัมพันธ์ระหว่างเผ่ามารกับแดนปีศาจไม่ค่อยดีนัก ตั้งแต่หลังจอมมารขึ้นรับตำแหน่งสองฝ่ายก็ตัดขาดการติดต่อกันอย่างสิ้นเชิง
นี่จึงเป็นสาเหตุที่แดนกลางมีผู้ฝึกตนมารนับไม่ถ้วน แต่ไม่มีปีศาจจิ้งจอกแม้แต่ตัวเดียว
ผู้อาวุโสใหญ่เอ่ยว่า “พวกเรามิอาจไปเหยียบแดนปีศาจ ไม่เช่นนั้นราชาปีศาจจะไล่ล่าสังหารพวกเรา พวกเราไม่กลัวการถูกไล่ฆ่า กลัวก็แต่ว่าท่านจอมมารยังไม่ทันเปิดเผยร่องรอยของตนเอง แต่พอพวกเราพรวดพราดเข้าไปกลับทำให้ผู้อื่นเดาเงื่อนงำอะไรได้ ในครานั้นกายเนื้อของจอมมารถูกทำลายไปแล้ว ดวงจิตเองก็แตกกระสานซ่านเซ็น ข้าไม่แน่ใจว่านางฟื้นสภาพได้เท่าไรแล้วจึงไม่กล้าปล่อยให้คนของเผ่าปีศาจตามหานางพบ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยักหน้า “พวกเจ้าทำถูกต้องแล้ว”
ผู้อาวุโสใหญ่กระแอมเบาๆ หนึ่งหน “เรื่องในอดีตล่วงเกินท่านแล้ว พวกเราเองก็ถูกคนชั่วล่อลวง คนชั่วผู้นั้นถูกอัสนีวิบากผ่าตายไปก็นับว่ากรรมชั่วตามสนองแล้ว หวังว่าหลังจากท่านเซียนตามหาท่านจอมมารพบ จะช่วยพูดแทนพวกเราสักสองสามประโยค”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่ปฏิเสธแต่ก็ไม่ตอบตกลง เขาพาเฉียวเวยเวยที่ร่ำไห้เหมือนฟ้าดินจะถล่มกลับไปที่สำนักเชียนหลัน
ในช่วงเวลาหลายวันที่ผ่านมาเกิดเรื่องวุ่นวายมากมายขึ้นในเผ่ามาร แต่ที่สำนักเชียนหลันกลับไม่มีเรื่องใหญ่ใดๆ เกิดขึ้นทั้งสิ้น ชีวิตปกติสุขเฉกเช่นวันวาน
ผู้ดูแลหลิวพาศิษย์ใหม่ออกมาฝึกวิชา คุณชายน้อยหรงถูกลงโทษให้ไปที่ห้องครัว จากนั้นก็ถูกพาตัวกลับมาที่สำนักศิษย์ใหม่
หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ต่างขยันหมั่นเพียรฝึกวิชาภายใต้การสอดส่องดูแลของผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองทุกวัน
จีเสี่ยวซิวไม่อ่านตำราและไม่คิดจะฝึกวิชายุทธ์ เขาแสร้งทำเป็นป่วยด้วยความเจ้าเล่ห์ พอเฉียวเวยเวยกลับมาถึงสำนักเชียนหลัน อาการ ‘ป่วย’ ของเขาก็หายดี
เฉียวเวยเวยเห็นจันทร์เสี้ยวน้อยอีกครั้งหลังจากถูกความอัปลักษณ์ที่เผ่ามารทำให้ร้องไห้มาตลอดทาง นางก็รู้สึกชมชอบจันทร์เสี้ยวน้อยมากกว่าเดิม
เฉียวเวยเวยประคองใบหน้าของจีเสี่ยวซิวมาจุ๊บหนึ่งที จุ๊บสองที จุ๊บแล้วจุ๊บอีก
ทำให้ใบหน้าของจีเสี่ยวซิวบวมขึ้นมาด้วยความเร็วที่ตามองเห็นได้…
ชิงสุ่ยเจินเหรินสอนให้เวยเวยเป็นเด็กรู้ความ ระหว่างทางกลับจึงให้เฉียวเวยเวยหาของขวัญมาให้ทุกคนด้วย
ของขวัญจากเผ่ามารคิดแล้วคงจะไม่ธรรมดา ทุกคนต่างคาดหวังอย่างยิ่ง ทว่าเมื่อเฉียวเวยเวยหยิบดอกไม้สีแดงสดสองดอกออกมามอบให้ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รอง หยิบแถบผ้าสีชมพูแถบหนึ่งมอบให้หลิงจือ กับกระดาษชาดสีแดงร้อนแรงแผ่นหนึ่งให้จีเสี่ยวซิว ทุกคนก็ตัวแข็งเป็นหินไปทันที…
…
เรื่องที่ชิงสุ่ยเจินเหรินลงมาที่โลกมนุษย์เพื่อตามหาบุตรสาวย่อมปิดบังยอดเซียนไม่ได้ ชิงสุ่ยเจินเหรินเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากดินแดนก้าวแรก ยอดเซียนก็ส่งกระเรียนเซียนสุดรักออกไปตามหาชิงสุ่ยเจินเหรินในโลกมนุษย์แล้ว
กระเรียนเซียนลงไปที่แดนล่างก่อน แต่มันไม่พบคนจึงบินมาที่แดนกลาง
แดนกลางกว้างใหญ่เช่นนี้ จะตามหาเซียนที่กดระดับการฝึกตนกับกลิ่นอายของตนเองอยู่คนหนึ่งย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจวบจนชิงสุ่ยเจินเหรินกลันมาจากเผ่ามาร กระเรียนเซียนจึงเพิ่งกระพือปีกพรึ่บพรั่บมาหาถึงประตู
เฉียวเวยเวยกำลังหิ้วบัวรดน้ำรดน้ำดอกไม้ใบหญ้าอยู่ในเรือน เมื่อหันกลับมาก็เห็นกระเรียนเซียนตัวหนึ่งบินลงมาจากท้องฟ้า นางก็กะพริบดวงตากลมโตของตนเอง “โอ๊ะ ห่านสีขาวตัวโต”
กระเรียนเซียน “!”
กระเรียนเซียนเซวูบ ล้มลงไปที่พื้นดัง ตุ้บ!
เฉียวเวยเวยคว้าลำคอของกระเรียนเซียนไว้ น้ำลายไหลออกมาจากปาก
ชิงสุ่ยเจินเหรินเดินออกมาพอดี เขาบอกเฉียวเวยเวยที่ตะกละจนน้ำลายไหลยืดว่า “เวยเวยเด็กดี กระเรียนเซียนตัวนี้กินไม่ได้ มันไม่ใช่อาหาร”
เฉียวเวยเวยสูดน้ำลาย แต่ก็ปล่อยกระเรียนเซียนอย่างเชื่อฟัง
ชิงสุ่ยเจินเหรินส่งนมสัตว์วิเศษให้นางหนึ่งขวด เฉียวเวยเวยหยิบขวดนมใบน้อยแล้วออกไปหาจีเสี่ยวซิว กระเรียนเซียนของยอดเซียนมีคุณสมบัติถ่ายทอดเสียงแม้อยู่ห่างไกลพันลี้ มันยืนบนพื้นหญ้าอย่างมั่นคงแล้วอ้าปาก เสียงของยอดเซียนดังออกมาอย่างไม่มีติดขัดสักนิด
ยอดเซียน “ข้ามีธุระกับเจ้า กลับมาเดี๋ยวนี้!”
ชิงสุ่ยเจินเหริน “เรื่องใดเร่งร้อนเช่นนั้น”
ยอดเซียน “เรื่องใหญ่! สรุปก็คือเจ้าต้องกลับมาเดี๋ยวนี้!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “ตอนนี้ข้ายังกลับแดนเซียนไม่ได้ ข้ามีธุระ”
ยอดเซียน “เจ้าจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วค่อยกลับไปใหม่!”
ชิงสุ่ยเจินเหรินพยายามคาดเดาว่ามีเรื่องเร่งด่วนอันใดจึงต้องการตัวเขาเท่านั้น แต่หากใช้เวลาไม่นาน ตนเองพยายามรีบจัดการให้เร็วสักหน่อยก็น่าจะไม่ช้าเท่าไรนัก “ข้าตามหาเวยเวยพบแล้ว ข้าจะพานางกลับไปด้วย”
ยอดเซียนพองขน “พามาด้วยทำอะไร ห้ามพามาด้วย! ข้าไม่เคยยอมรับนาง! ก่อนฟ้ามืดจงกลับมาเสีย ตกลงกันเช่นนี้!”
กล่าวจบเสียงจากกระเรียนเซียนก็เงียบหายไป กระเรียนเซียนสะบัดหัวอย่างหยิ่งยโส จากนั้นกระพือปีกอันงดงามสองสามที
ชิงสุ่ยเจินเหรินเลิกคิ้ว “เวยเวย”
เฉียวเวยเวยที่กำลังดื่มนมสัตว์วิเศษเดินต้วมเตี้ยมเข้ามาหา
ชิงสุ่ยเจินเหรินมองกระเรียนเซียนที่ทำท่าหยิ่งยโสตัวนั้น แล้วเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้กินห่านขาวตัวโตได้แล้ว”
…