ตอนพิเศษ 45-1 คว้าชัยชนะครั้งใหญ่
นอกเขตต้องห้าม ชาวเผ่ามารรายล้อมรอคอย พวกเขาร้อนรนอยู่เล็กน้อย
นับตั้งแต่มังกรมารน้อยเข้าไปในวังมารก็ผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ แล้ว เวลาเท่านี้สำหรับมังกรมารโตเต็มวัยอาจไม่เป็นอะไร แต่สำหรับลูกมังกรอายุน้อยตัวหนึ่งที่แม้แต่เขามังกรก็ยังไม่งอก หากพบอันตรายอะไรขึ้นมา ไม่ใช่ว่ายากจะหลบเลี่ยงหรอกหรือ
จู่ๆ ผู้อาวุโสใหญ่ก็นึกเสียใจที่ตกลงกับข้อเสนอของโหราจารย์หญิง สาเหตุที่พวกเขาเพียรพยายามจะตามหามังกรมารน้อยกลับมาก็เพื่อป้องกันเพลิงพิโรธของจอมมาร หากมังกรมารน้อยเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตาของพวกเขา…
ผู้อาวุโสใหญ่ไม่กล้าคิดต่อแล้ว
ผู้อาวุโสคนที่เหลือก็คิดเช่นเดียวกันกับเขา พวกเขาเริ่มเป็นห่วงมังกรมารน้อยที่อยู่ในวังมารขึ้นมาแล้ว
ผู้ที่เป็นห่วงมังกรน้อยยังมีพวกเจ้าสำนักสวี่อีกสามคน พวกเขาสามคนถูกอสนีบาตผ่าจนเกรียมนอกนุ่มใน เหนือศีรษะมีควันสีเทาลอยโชย มองไปแล้วเหมือนถ่านดำๆ ก้อนโตสามก้อนปักตั้งอยู่บนพื้น ใบหน้าของพวกเขาดำเกินไปจนมองไม่ออกว่ากังวลอะไรอยู่
มีเพียงคนเดียวที่ยังนิ่งสงบ คนผู้นั้นก็คือชิงสุ่ยเจินเหริน
แน่นอนว่าในใจเขาไม่สงบเฉกเช่นที่เห็นภายนอก นี่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นห่วงว่าเวยเวยจะเอาตรามังกรมารมาไม่ได้ ความจริงเขาเชื่อในพรสวรรค์ของเวยเวย ไม่ว่าอย่างไรนางก็คงจะไม่กลับมามือเปล่า
เขาเพียงแต่คิดถึงนางแล้วก็เท่านั้น คิดถึงมาก คิดถึงมากๆ
ในตอนที่ชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังลังเลว่าจะฝ่าอาคมของวังมารเสี่ยงอันตรายเข้าไปพบหน้าบุตรสาวดีหรือไม่ มังกรมารน้อยก็ยกเท้าก้าวเร็วไวเดินออกมาอย่างองอาจผ่าเผย
ดอกไม้สีแดงที่ทัดอยู่บนศีรษะของนางเอียงกระเท่เร่ แถบผ้าที่ผูกเป็นรูปผีเสื้อก็หลุดลุ่ย แถบผ้ายาวเฟื้อยปลิวสะบัดอยู่กลางอากาศ ริมฝีปากของนางก็เปื้อนหมดแล้ว จากริมฝีปากสีแดงร้อนแรงกลายเป็นพวงแก้มสีแดงร้อนแรง จากแม่สื่อตัวน้อยเลื่อนขั้นกลายเป็นสาวบ้านนอก
มังกรสาวบ้านนอกคาบกล่องสีทองอร่ามใบหนึ่งวิ่งดุ๊กดิ๊กออกมา ชั่วพริบตาที่เห็นว่านางปลอดภัย ทุกคนก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก ในดวงตาของชิงสุ่ยเจินเหรินมีรอยยิ้มปรากฏเลือนราง
เมื่อมังกรมารน้อยวางกล่องลงพื้นดัง ตุ้บ! ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ล้อมวงเข้ามา
ตราในวังมารเป็นสิ่งที่มังกรมารเท่านั้นจะมองเห็นและสัมผัสได้ เมื่อมังกรมารนำตราออกมาจากวังมารแล้วย่อมเท่ากับว่าทำพันธสัญญากับตราชิ้นนั้น เวลานี้มันจึงจะกลายเป็นตรามังกรมารชิ้นหนึ่งอย่างเป็นทางการ หลังจากกลายเป็นตรามังกรมารแล้ว ทุกคนก็จะมองเห็นมันและสัมผัสมันได้
เล่าลือกันว่าตรามังกรมารใช้อัญเชิญสัตว์เทพรุ่นบรรพบุรุษออกมาได้ เพียงแต่ว่าผ่านมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ก็ไม่เคยมีผู้ใดเรียกบรรพบุรุษให้ปรากฏตัวได้มาก่อน ส่วนมากตรามังกรมารจึงกลายเป็นสัญลักษณ์แสดงฐานะของผู้สืบทอดอย่างหนึ่งเท่านั้น
ผู้อาวุโสใหญ่เปิดกล่องออกอย่างยินดีปรีดา ทว่าเมื่อเพ่งสายตามองกลับพบว่าในนั้นมีเพียงเหรียญทองคำจากโลกมนุษย์เหรียญหนึ่ง ผู้อาวุโสใหญ่ผิดหวังอยู่บ้าง
ผู้อาวุโสหลิวถอนหายใจ “มิน่าจึงออกมาเร็วเช่นนี้ ที่แท้ก็ไม่ได้หานี่เอง”
ผู้อาวุโสปี้กล่าวว่า “ออกมาได้ก็ดีแล้ว”
อย่างไรก็ดีกว่าตายอยู่ด้านใน
ผู้อาวุโสใหญ่วางกล่องลงอย่างเสียดาย แม้จะคาดไว้ก่อนแล้วว่าผลลัพธ์อาจกลายเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเวลานี้มาถึงจริงๆ เขาก็ยังรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง
รองหัวหน้าสหพันธ์ที่ได้ข่าวใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายรีบเร่งเดินทางมาทันที เมื่อเขาเห็นเหรียญทองในกล่องก็หัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ “ข้าก็ว่าแล้วว่านางไม่ได้ถูกลิขิตให้กลายเป็นผู้สืบทอด สายเลือดของนางไม่บริสุทธิ์ ไม่มีทางเอาตรามังกรมารมาได้ ตอนนี้ประกาศผลลัพธ์ได้หรือยังเล่า”
ดวงตาใสซื่อของมังกรมารน้อยกะพริบปริบๆ แล้วหันไปมองบิดาของตนเอง ชิงสุ่ยเจินเหรินลูบศีรษะน้อยๆ ของนางแล้วอุ้มนางขึ้นมากอด มังกรมารน้อยพลังปราณไม่มากพอจึงกลายร่างกลับมาเป็นร่างมนุษย์
เฉียวเวยเวยนั่งอยู่ในอ้อมแขนของบิดาแล้วยกนิ้วมือขึ้นมาเกี่ยวกัน “ตราอันนี้ใช่หรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินจะบอกว่าใช่ก็กระดากใจ แต่ก็ตัดใจบอกว่าไม่ใช่ไม่ลง เขามองนางอย่างอ่อนโยน “ยังมีตราชิ้นอื่นอีกหรือ”
เฉียวเวยพยักหน้า แล้วบอกอย่างกลัดกลุ้ม “แต่พวกมันชิ้นใหญ่มากๆ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินนิ่งอึ้ง จากนั้นเฉียวเวยเวยก็บิดก้นน้อยๆ ลื่นไถลลงมาจากอ้อมแขนของบิดาตนเอง
จู่ๆ ชิงสุ่ยเจินเหรินก็โพล่งขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสทุกท่าน! ให้เวยเวยเข้าไปอีกสักหนได้หรือไม่”
ไม่รอให้ผู้อาวุโสทั้งหลายเปิดปาก รองหัวหน้าสหพันธ์ก็หัวเราะอย่างดูแคลน เขากวาดสายตามองเวยเวย หากกล่าวกันด้วยใจที่ไม่อคติ เขาเคยชอบเด็กน้อยคนนี้มาก เพราะบนร่างนางมีกลิ่นอายที่เขาคุ้นเคยอยู่ ทำให้เขานึกถึงชิงเอ๋อร์ ทว่านับตั้งแต่ที่ทราบว่านางคือสายเลือดต่ำช้าของชิงเอ๋อร์กับบุรุษคนอื่น ความรู้สึกดีๆ ที่เขาเคยมีให้นางก็ปลาสนาการหายสิ้นในพริบตา
เขาเก็บสายตาที่จับจ้องใบหน้าของเฉียวเวยเวยกลับมาแล้วหันกลับไปมองชิงสุ่ยเจินเหริน “เจ้าคิดว่าวังมารเป็นสถานที่ใด บอกว่าจะเข้าก็เข้าได้ จะออกก็ออกได้อย่างนั้นหรือ มังกรมารทุกตนมีโอกาสเข้าไปในวังมารเพียงหนเดียว หากจะเข้าไปอีกหนต้องมีตรามังกรมาร แต่นางไม่มีตรามังกรมาร ข้าเสียใจที่จะต้องบอกเจ้าว่าลูกสาวของเจ้าไม่มีโอกาสเป็นนายน้อยของเผ่ามารแล้ว”
“เช่นนั้นหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินส่งสายตาบอกให้รองหัวหน้าสหพันธ์ดูเอาเอง
รองหัวหน้าสหพันธ์มองตามสายตาของเขาไปแล้วก็เห็นเฉียวเวยเวยเข้าไปในวังมารอีกครั้งตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ
ทุกคนตกตะลึงจนตาค้าง
ไหนว่าเข้าไปได้หนเดียวอย่างไรเล่า
หลังจากเฉียวเวยเวยเข้าไปเพียงไม่นานก็กลับออกมา นางวางตรามังกรมารที่ขนาดใหญ่กว่าตำราบนมือของชิงสุ่ยเจินเหริน “ชิ้นนี้ใช่หรือเปล่า”
ชิงสุ่ยเจินเหรินหันไปมองผู้อาวุโสใหญ่ “ใช่สิ่งนี้หรือไม่”
ผู้อาวุโสใหญ่นิ่งอึ้ง
“ไม่ใช่หรือ แต่ชิ้นนี้เล็กที่สุดแล้วนะ” เฉียวเวยเวยไม่รอผู้อาวุโสใหญ่ตอบก็คิดว่าตนเองหยิบมาผิดอีกแล้ว นางวิ่งกลับเข้าไปใหม่แล้วหยิบชิ้นที่เล็กเป็นอันดับที่สองออกมา
ชิ้นนี้ใหญ่กว่าชิ้นก่อนหน้าหนึ่งเท่าตัวเต็มๆ
ผู้อาวุโสใหญ่ตกตะลึงจนพูดไม่ออกแล้ว
“ยังไม่ใช่อีกหรือ” เฉียวเวยเวยวิ่งเข้าไปในวังมารอีกหน มือซ้ายถือมาชิ้นหนึ่ง มือขวาถือมาอีกชิ้นหนึ่ง “แล้วพวกนี้เล่า”
ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกเหมือนจะเป็นลม…
นี่…นี่มัน นี่มันตรามังกรมารจริงหรือ ชิ้นที่จอมมารหาพบเมื่อตอนนั้นยังไม่ใหญ่เท่านี้เลยนะ!
“เหตุใดยังไม่ใช่อีกเล่า” เฉียวเวยเวยกลัดกลุ้มอย่างยิ่ง นางวิ่งเข้าไปในวังมารอีกหน หนนี้นางไม่ใช้มือถือออกมาแล้วเพราะว่าตราใหญ่เกินไป มันใหญ่เท่าป้ายสุสานแผ่นหนึ่ง นางจึงใช้ร่างน้อยๆ แบกมันออกมา
เมื่อนางแบกตรามังกรมารขนาดมหึมาออกมาอย่าง ‘ยากลำบาก’ ผู้อาวุโสใหญ่ก็ตาเหลือกลอย เป็นลมไปอย่างงดงาม
เฉียวเวยเวย ‘แบก’ ตราทั้งหมดออกมา พวกมันมีจำนวนทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชิ้น
เผ่ามารทั้งหมดตกใจจนฉี่แทบราด!
รองหัวหน้าสหพันธ์เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้…มังกรมารตนหนึ่งจะทำสัญญากับตราได้เพียงชิ้นเดียว ในอดีตแม้แต่จอมมารก็ยังทำสัญญากับชิ้นที่สองไม่ได้ ลูกมังกรตัวหนึ่ง…จะเก่งกาจกว่าจอมมารได้อย่างไรกัน”