ตอนพิเศษ 41-1 ความจริงกระจ่าง (1)
ผู้อาวุโสหลิวตบโต๊ะลุกพรวดขึ้นมา “หากสำนักเชียนหลันคิดว่าประจบเซียนตนหนึ่งแล้วจะไม่เห็นเผ่ามารอยู่ในสายตาได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเขาก็คิดผิดมหันต์แล้ว!”
“พวกเราจะต้องให้บทเรียนสำนักเชียนหลัน!”
“ไม่ผิด ต้องให้บทเรียนพวกเขาหนักๆ!”
โหราจารย์หญิงเอ่ยขัดพวกเขา “…ผู้อาวุโสทั้งหลาย อนุญาตให้ข้าพูดสักสองสามประโยคได้หรือไม่”
“เจ้าว่ามาสิ” ผุ้อาวุโสหลิวถาม
โหราจารย์หญิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “สาเหตุที่สำนักเชียนหลันบังอาจมารังแกเผ่ามารเช่นนี้ก็เพราะเห็นว่าพวกเราเป็นมังกรไร้หัว ความจริงแล้ว…จะโทษผู้อื่นว่าไร้ความกลัวเกรงก็มิได้ นับตั้งแต่จอมมารจากไป เผ่ามารก็แตกแยกกระจัดกระจายไปมาก เรื่องอื่นยังไม่ต้องพูดถึง พูดถึงข้ากับผู้อาวุโสทั้งหลายก็พอ พวกเรารักษามารยาทกันต่อหน้าเท่านั้น ภายในเผ่าของพวกเรากระจัดกระจายดุจเม็ดทราย คนนอกจะหวั่นเกรงพวกเราได้เช่นไรเล่า…
…สำนักเชียนหลันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น หากเผ่ามารยังคงมีสภาพเช่นนี้มิเปลี่ยน วันหน้าย่อมไม่ใช้เพียงสำนักเดียวที่จะมารังแกพวกเรา ดังนั้นข้าจึงอยากเสนอว่าสมควรแต่งตั้งผู้นำเป็นสิ่งแรก จากนั้นค่อยจัดการสำนักเชียนหลัน!”
…
การแต่งตั้งจอมมารได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสทั้งหลายอย่างรวดเร็วยิ่งนัก หลังจากนั้นก็ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายด้วย ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ใดคัดค้าน แต่เมื่อเสียงส่วนมากตัดสินใจเช่นนั้น พิธีจึงถูกกำหนดวันอย่างรวดเร็ว วันที่ว่าก็คือสามวันให้หลัง
เวลาสามวันผ่านไปเพียงชั่วพริบตา
แสงอรุณสีแดงฉานอาบไล้หุบเขาเฝินอินยามเช้าตรู่ บนแท่นบวงสรวงที่ใหญ่จนจุคนได้นับพัน ผู้อาวุโสทั้งห้า คนจากตระกูลใหญ่ต่างๆ รวมไปถึงองครักษ์ของเผ่ามารและประชาชนเผ่ามารและโหราจารย์หญิง ทั้งหมดต่างยืนเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบในตำแหน่งของตนเอง
รองหัวหน้าสหพันธ์กับฉินเซวียนถูกเชิญมาที่ใจกลางแท่นบวงสรวง
พิธีสืบทอดหนนี้มีโหราจารย์หญิงเป็นคนประกอบพิธีด้วยตนเอง หลังจากนางอ่านกฎของเผ่าจบ ผู้อาวุโสแต่ละคนรวมไปถึงผู้นำตระกูลแต่ละตระกูลก็ส่งมอบไข่มุกมารในมือพวกเขาออกมา
นี่เป็นเครื่องหมายว่าพวกเขาเห็นด้วยที่จะให้ฉินเซวียนสืบทอดเผ่ามาร ถึงยามนั้นเขตต้องห้ามของเผ่ามารทั้งหมดก็จะเปิดทางให้ฉินเซวียน ฉินเซวียนจะกุมอนาคตของทั้งเผ่ามารเอาไว้
โหราจารย์หญิงยืนอยู่บนแท่นสูง นางอ่านถ้อยคำสาบานจากตำราโบราณด้วยท่าทางอันน่าเกรงขาม ฉินเซวียนกับรองหัวหน้าสหพันธ์ยืนอยู่ด้านล่างของแท่นพิธี สายตาแหงนมองนางอย่างศรัทธา รองหัวหน้าสหพันธ์กุมมือบุตรชาย แล้วสัมผัสได้ถึงเหงื่อบางๆ กลางฝ่ามือของเขา จึงปลอบโยนเสียงเบา “ไม่ต้องตื่นเต้นไป ทุกสิ่งจะเรียบร้อย”
ฉินเซวียนสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ
หากจะบอกว่าไม่กังวลเลยย่อมเป็นเรื่องโกหก แต่สิ่งที่มีมากกว่าคือความตื่นเต้น เพราะเมื่อผ่านพ้นวันนี้ไปเขาก็จะกลายเป็นจอมมารตนใหม่ เผ่ามารจะเป็นของเขา อาวุธศักดิ์สิทธิ์จะเป็นของเขา ทุกสิ่งทุกอย่าง…จะกลายเป็นของเขา!
“ฉินเซวียน”
โหราจารย์หญิงอ่านมาถึงนามของเขา
รองหัวหน้าสหพันธ์ตบเบาๆ บนมือของเขาแล้วยิ้มให้กำลังใจ “ไปเถิด”
ฉินเซวียนก้าวช้าๆ ขึ้นไปบนแท่นสูงท่ามกลางสายตามารมากมาย ผู้อาวุโสกับประมุขตระกูลต่างๆ เริ่มลงคะแนนเสียง แทบจะไม่มีผู้ใดเห็นต่าง ทุกตนต่างล้วงไข่มุกมารของตนเองออกมา
ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนสุดท้าย ทว่าในตอนที่ท่านผู้เฒ่ากำลังจะลงคะแนนเสียงสำคัญนี้เอง ท้องนภาของเผ่ามารก็…ถูกคนผู้หนึ่งแหวกเปิด
จุดที่ท้องนภาฉีกออกมีแสงสีทองสายหนึ่งสว่างเรืองรอง ทุคนหลับตาลงโดยสัญชาตญาณ เพียงชั่วพริบตาที่พวกเขาหลับตา เหนือแท่นบวงสรวงก็มีเรือเหาะลำหนึ่งปรากฏขึ้น
เจ้าสำนักสวี่ยืนอยู่บนเรือเหาะอย่างหยิ่งทะนง เขาเชิดคางเหยียดมองใต้หล้า ทว่าเพียงชั่วอึดใจถัดมาเขาก็ถอยหลบไปด้านข้างอย่างนอบน้อม แล้วผายมือเชิญคนผู้หนึ่ง “ท่านเซียน เชิญขอรับ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินเหาะลงมาบนแท่นบวงสรวง
ดวงหน้างามสมบูรณ์แบบประดุจบัวน้ำแข็ง บรรยากาศอันสูงส่งดุจเทพเซียน ไหล่กว้างเอวสอบ เรือนกายสูงใหญ่ สองขาเรียวยาว เผ่ามารไม่เคยมีบุรุษที่หล่อเหลาสง่างามเช่นนี้มาก่อน ทุกคนมองจนลูกตาแทบจะหลุดออกมา
หญิงสาวเผ่ามารที่เดินทางมาชื่นชมหน้าตาของฉินเซวียนจำนวนไม่น้อย เห็นชิงสุ่ยเจินเหรินแวบแรกก็ร่างกายอ่วนยวบเป็นลมไปทันที แม้แต่บุรุษในที่นั้นก็ได้ยินเสียงหัวใจตนเองเต้นระรัวประหนึ่งกลอง
โหราจารย์หญิงเป็นผู้ที่ได้สติกลับมาเป็นคนแรก นางออกคำสั่งให้องครักษ์เผ่ามารล้อมคนเอาไว้ ผู้อาวุโสใหญ่หรี่ตาลงอย่างใจเย็นและทรงปัญญา เขายกมือขึ้นส่งสัญญาณไม่ให้พวกเขาลงมือบุ่มบ่าม ทว่าในเวลานี้เองผู้อาวุโสหลิวกับผู้อาวุโสปี้กลับจำตราสัญลักษณ์บนเรือเหาะได้ ผู้อาวุโสหลิวอุทานอย่างตกตะลึง “สำนักเชียนหลันหรือ”
เมื่อได้ยินคำว่าสำนักเชียนหลัน บรรยากาศก็ตึงเครียดในพริบตา
เจ้าสำนักสวี่ ประมุขเหลยกับลู่หยวนเจิ่นเหาะลงมา พวกเขามองเผ่ามารที่ตั้งท่าเตรียมพร้อมรบอย่างเย็นชา
ผู้อาวุโสหลิวตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “พวกเจ้าสำนักเชียนหลันยังจะมีหน้าโผล่มาอีกหรือ สังหารองครักษ์เผ่ามารของพวกเราไปตั้งมากมายถึงเพียงนั้นยังจะกล้าบุกมาถึงที่นี่ ก็ดี วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้ามาแล้วมิได้กลับ!”
เขาตวาดออกคำสั่ง ยอดฝีมือขั้นบรรลุญาณสิบกว่าตนเหินออกมาจากหมู่มาร
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่กะพริบตาสักนิด เขาระเบิดปราณเซียนออกมาทีเดียวก็สะกดยอดฝีมือขั้นบรรลุญาณสิบกว่าตนให้หยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ
ผู้อาวุโสหลิวม่านตาหดวูบ
ผู้อาวุโสใหญ่หัวเราะหยัน “ก็แค่เซียนตนหนึ่ง แต่กลับใจกล้าบุกเข้ามาในเผ่ามาร คิดว่าจอมมารไม่อยู่แล้วเผ่ามารจะไม่มีวิธีจัดการคนอย่างพวกเจ้าจริงๆ หรือ”
“เจ้าหมายถึงเขาหรือ” ชิงสุ่ยเจินเหรินยกมือชี้ ทันใดนั้นเซียนมารตนหนึ่งที่เพิ่งจะก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายก็ถูกลำแสงสีทองที่ดูคล้ายอสนีบาตสายหนึ่งโจมตีจนล้มคว่ำอยู่บนแท่นบวงสรวง
เซียนมารก็เป็นดังเช่นนาม พวกเขาคือเซียนของเผ่ามาร พลังของพวกเขาใกล้เคียงกับเซียนทั้งหลายอย่างยิ่ง พลังเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นครึ่งเซียนอยู่ไกลนัก
ปัญหาก็คือหลังจากชิงสุ่ยเจินเหรินเข้ามาในเผ่ามาร เขาไม่ได้ทำให้ระดับการฝึกตนของตนเองกลับไปเหมือนเดิม ตอนนี้เขาจึงยังคงเป็นขั้นครึ่งเซียนคนหนึ่งอยู่ การที่เขาใช้พลังของขั้นครึ่งเซียนโจมตีกระบวนท่าเดียวคว่ำเซียนมารตนหนึ่งได้ ช่าง…ช่างทำให้ผู้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว
ผู้อาวุโสหลิวกลืนน้ำลาย เขาขยับเข้าไปใกล้ผู้อาวุโสใหญ่แล้วเอ่ยเสียงเบา “ผู้อาวุโสใหญ่ พวกเราจะ…”
ผู้อาวุโสใหญ่ยกมือ ผู้อาวุโสหลิวเงียบเสียง
ผู้อาวุโสใหญ่มองชิงสุ่ยเจินเหรินแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านคือ…”
เจ้าสำนักสวี่เอ่ยแนะนำ “ชิงสุ่ยเจินเหริน!”
ผู้อาวุโสใหญ่ตกตะลึง ที่แท้ผู้นี้ก็คือศิษย์น้องเล็กของยอดเซียน คิดไม่ถึงว่าจะอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้ ดูไปแล้วหน้าตาเหมือนเพิ่งจะอายุพ้นยี่สิบ ทั้งหนุ่มแน่นทั้งหล่อเหลา
ผู้อาวุโสใหญ่ถามขึ้นมาว่า “ชิงสุ่ยเจินเหริน เสียมารยาทแล้วๆ มิทราบว่าท่านเซียนเดินทางมาวันนี้มีธุระประการใด”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “ย่อมต้องมีธุระ แต่ก่อนหน้าจะจัดการธุระ ข้าขอยืนยันความจริงเรื่องหนึ่งก่อน เมื่อครู่ข้าได้ยินพวกเจ้าพูดว่าสำนักเชียนหลันสังหารองครักษ์ของพวกเจ้า ข้าคิดว่าพวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว สำนักเชียนหลันไม่ได้ทำ ข้าทำเอง”