ตอนพิเศษ 40 พบบิดา ตบหน้าบุรุษสวะ (2)
สามวันให้หลัง อาการบาดเจ็บของเฉียวเวยเวยก็หายเป็นปลิดทิ้ง
เฉียวเวยเวยยังอยู่ที่เรือนของหลิงจือกับจีเสี่ยวซิว ชิงสุ่ยเจินเหรินอยากให้เฉียวเวยเวยไปอาศัยที่เรือนของตนเองอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าตนเองไม่ได้อยู่ในชีวิตของนางมาเนิ่นนานถึงเพียงนั้น เรื่องบางอย่างจะรีบร้อนไม่ได้
วันนี้ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง ชิงสุ่ยเจินเหรินก็แวะไปที่เรือนของหลิงจืออีกครั้ง
หลิงจือไปฝึกวิชาแล้ว ก่อนหน้านี้นางฝึกวิชาสายน้ำกับวิชาสายไฟ หลังจากนั้นก็ฝึกวิชาสายไม้วิชาหนึ่งที่ได้มาจากการชนะการประลอง หนนี้ชิงสุ่ยเจินเหรินมอบวิชาสายดินกับวิชาสายทองให้นางอย่างละวิชา เมื่อนับรวมกันนางจึงมีวิชาทั้งห้าสายครบถ้วนแล้ว
นางไม่มีปัญหาเรียนรู้ไม่ไหวแม้แต่น้อย วิชาแต่ละสายนางล้วนอยากฝึกทั้งสิ้น
ตอนที่ชิงสุ่ยเจินเหรินเข้ามาในห้อง เฉียวเวยเวยก็ตื่นแล้ว นางกำลังนั่งอยู่บนเตียง มือน้อยกำภาพวาดที่ในสายตาคนนอกเป็นกระดาษเปล่า แล้วยกขึ้นมาจุ๊บไปจุ๊บมาบนริมฝีปาก
จีเสี่ยวซิวอายุสามขวบนั่งอยู่ข้างกายนาง เขาทำหน้าเหยียดหยันดูแคลน ดื่มนมจากขวดนมใบน้อยของตนเอง จากนั้นก็ไปดื่มของเฉียวเวยเวยต่อ
เมื่อเห็นชิงสุ่ยเจินเหรินเข้ามา จีเสี่ยวซิวก็ฝืนต้านความปรารถนาอันรุนแรงของร่างกายที่ต้องการน้ำนม แล้วโยนขวดนมใบน้อยไปด้านข้าง ก่อนจะกระโดดลงไปยืนบนพื้น เดินเชิดคางออกไปข้างนอกอย่างองอาจห้าวหาญ!
ชิงสุ่ยเจินเหรินลูบศีรษะของเจ้าไก่ชนตัวน้อยเบาๆ จากนั้นครู่หนึ่งก็เดินไปนั่งที่ริมเตียง เฉียวเวยเวยยังสนใจแต่จุ๊บภาพวาด ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยปากเรียก “เวยเวย”
แต่เฉียวเวยเวยปากกำลังยุ่งอยู่ “หืม”
ชิงสุ่ยเจินเหรินบอกเสียงอ่อนโยน “พ่อมาแล้ว”
เฉียวเวยเวย “อืมๆ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่รู้ว่าสมควรจะพูดอะไรต่อดี เฉียวเวยเวยโตขนาดนี้แล้ว แต่ความทรงจำจริงๆ จังๆ ของนางเริ่มต้นขึ้นหลังออกมาจากทะเลมรณะ ระหว่างที่ดวงจิตของมารดาช่วยห่อหุ้มตัวนางเอาไว้นางตกอยู่ในสภาพหลับใหลมาตลอด เมื่อนางตื่นขึ้นมานางก็อยู่ในทะเลมรณะ นางใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายแหวกว่ายมาถึงชายฝั่ง หลังจากนั้นก็ไม่รู้ว่าระเหเร่ร่อนอย่างไรจนมาถึงหมู่บ้านของหลิงจือ ต่อมาท่านยายของหลิงจือก็เก็บนางกลับไป นับแต่นั้นนางจึงใช้ชีวิตอยู่ในบ้านซอมซ่อหลังนั้น
บางทีนางอาจไม่รู้แม้กระทั่งท่านพ่อกับท่านแม่หมายความว่าอะไร
บุรุษที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อ ในสายตานางก็ไม่แตกต่างประการใดกับเจ้าสำนัก พวกผู้พิทักษ์กับประมุขทั้งหลายของสำนักเชียนหลัน เพียงแต่ว่าคนหนึ่งเรียกว่าเจ้าสำนัก แต่อีกคนหนึ่งเรียกว่าท่านพ่อก็เท่านั้น
ในใจชิงสุ่ยเจินเหรินปวดร้าวเล็กน้อย เขามองสิ่งที่นางจุ๊บไปจุ๊บมาไม่หยุดแล้วถามว่า “นี่คือสิ่งใดหรือ ให้พ่อดูหน่อยได้หรือไม่”
เฉียวเวยเวยลังเลครู่หนึ่งก็ส่งภาพวาดให้เขา
การกระทำเล็กๆ น้อยๆ อันเรียบง่ายเช่นนี้ทำให้ชิงสุ่ยเจินเหรินตระหนักได้สองเรื่อง เรื่องแรกภาพวาดภาพนี้สำคัญกับนางมากยิ่งนัก เรื่องที่สองก็คือตนเองยังไม่สำคัญสำหรับนางขนาดนั้น
ชิงสุ่ยเจินเหรินเศร้าใจ เขาเป็นบิดาแท้ๆ แต่กลับสู้ภาพวาดภาพหนึ่งไม่ได้ ด้วยพลังอาคมของชิงสุ่ยเจินเหริน เขาย่อมมองเห็นสิ่งที่อยู่บนนั้น เขาประหลาดใจเล็กน้อย นี่มันภาพเหมือนของมารดาบังเกิดเกล้าของเวยเวย “เวยเวย เจ้าเอาภาพวาดภาพนี้มาจากที่ใด”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้า
ชิงสุ่ยเจินเหรินคิดว่านางจำไม่ได้แล้วจึงไม่จี้ถามความเป็นมาของภาพวาดภาพนี้ต่อ แต่ถามนางเกี่ยวกับคนบนภาพวาด “รู้หรือไม่ว่านางเป็นผู้ใด”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้าอีกครั้ง
ชิงสุ่ยเจินเหรินบอกเสียงอ่อนโยน “นางคือมารดาของเจ้า”
เฉียวเวยเวยมองเขาด้วยสีหน้ามึนงง
ชิงสุ่ยเจินเหรินถามว่า “นามของเจ้า มารดาของเจ้าเป็นผู้ตั้งให้ ตอนที่เจ้าเกิดน่าจะเคยพบมารดาของเจ้าแล้ว เจ้าจดจำนามของตนเองได้ ก็คงจดจำนางได้ด้วยใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเวยเพียงส่ายหน้าอีกครั้ง
ชิงสุ่ยเจินเหรินลูบศีรษะของนาง “เจ้ายังเล็ก จำไม่ได้ก็ไม่เป็นอันใด ต่อให้จำไม่ได้แล้ว เจ้าก็ยังชอบนางมากใช่หรือไม่”
เฉียวเวยเวยคว้าภาพวาดมากอด
ชิงสุ่ยเจินเหรินเห็นนางกอดไม่วางมือเช่นนี้ สิ่งที่แต่เดิมเคยลังเลว่าจะตัดสินใจเร็วเพียงนี้เลยดีหรือไม่ ตอนนี้ก็ตัดสินใจได้เสียที
เขาใช้อาคมเสกสิ่งของกองพะเนินออกมา มีตั้งแต่อาวุธเซียน คัมภีร์วิชา โอสถ ลูกคิด ตำรา สี่สมบัติแห่งห้องอักษร อาภรณ์แพรพรรณ ไปจนถึงตราราชลัญจกรของเผ่ามาร สิ่งของมากมายมีจำนวนมากถึงหนึ่งร้อยยี่สิบอย่าง
เขาถามเสียงอ่อนโยน “เวยเวย เจ้าต้องการสิ่งใด เจ้าเลือกสักชิ้นสิ”
เฉียวเวยเวยเอื้อมมือน้อยอ้วนป้อมไปคว้าหมับที่ตราราชลัญจกรหยกที่เปล่งแสงสีทองเรืองรอง
…
ไม่นานมานี้เผ่ามารเกิดเรื่องใหญ่สองเรื่อง เรื่องที่หนึ่งก็คือเผ่ามารพบศพขององครักษ์เผ่ามารจำนวนหนึ่งร้อยร่างบนเทือกเขาหานปิง สาเหตุการตายคือร่วงตกจากที่สูง ด้วยระดับการฝึกตนของพวกเขา ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องเช่นนั้น นี่ดูเหมือนพวกเขาต่างลืมเลือนว่าตนเองเป็นผู้ฝึกตน แล้วร่วงหล่นลงมาจากกลางท้องนภาเหมือนกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนทั้งโกรธเกรี้ยวและตกตะลึงจริงๆ
มารบางตนจำได้ว่ามารกลุ่มนี้เคยเป็นลูกน้องของโหราจารย์หญิง ดังนั้นผู้อาวุโสทั้งหมดในเผ่ามารจึงเรียกตัวโหราจารย์หญิงไปที่หุบเขาเฝินอินเพื่อสอบสวนนาง
ผู้อาวุโสทั้งห้าคนนั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้ โหราจารย์หญิงยืนอยู่กลางห้องโถงกว้างอย่างนิ่งสงบ
หลังจากจอมมาร ‘จากโลกไป’ งานในเผ่าล้วนมีผู้อาวุโสทั้งหลายกับโหราจารย์หญิงร่วมกันดูแลมาตลอด สองฝ่ายต่างแบ่งงานกันอย่างให้เกียรติ หลายปีที่ผ่านมาจึงนับว่าค่อนข้างสงบสุข
โหราจารย์หญิงมองมารทั้งห้าตนอย่างไม่หวั่นเกรง “วันนี้ผู้อาวุโสทั้งหลายเรียกข้ามาเพราะเรื่ององครักษ์เหล่านั้นหรือ”
ผู้ที่เอ่ยตอบคือผู้อาวุโสปี้ที่ปกติมักจะสงวนถ้อยคำ ผู้อาวุโสปี้เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่นอกจากเรื่องนี้แล้วก็ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง”
แววตาของโหราจารย์หญิงสั่นไหว
ผู้อาวุโสปี้เกริ่นว่า “โหราจารย์เหยา เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราพบสิ่งใดที่หุบเขาแห่งนั้น”
“สิ่งใดหรือ” โหราจารย์หญิงหยั่งเชิงถาม
ผู้อาวุโสปี้ตอบว่า “ข้ากับผู้อาวุโสหลิวรีบเร่งเดินทางไปที่หุบเขาทันทีหลังจากเหล่าวิหคนำข่าวมาบอก แล้วพวกเราก็พบว่ามุกมังกรตอบสนองของกลิ่นอายของมังกรมาร”
สีหน้าของโหราจารย์หญิงไม่ผิดปกติแต่อย่างใด “ผู้อาวุโสปี้ต้องการจะบอกอันใด”
ผู้อาวุโสปี้ตอบว่า “ข้าเพียงอยากถามว่าสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ เหตุใดคนของเจ้าจึงเดินทางไปที่นั่น แล้วเหตุใดจึงถูกผู้อื่นสังหาร”
โหราจารย์หญิงยิ้มจางๆ “ความจริง ต่อให้ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่เรียกข้ามา ข้าก็ตั้งใจจะไปบอกกล่าวข่าวดีเรื่องนี้กับผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่แล้ว นายน้อยกลายร่างได้แล้ว กลิ่นอายมังกรมารที่พวกท่านใช้มุกมังกรสัมผัสได้ก็คือกลิ่นอายที่นายน้อยทิ้งเอาไว้”
“คำพูดนี้จริงหรือ” ผู้อาวุโสสี่คนที่เหลือถามขึ้นมาพร้อมกัน
โหราจารย์หญิงพยักหน้าอย่างมั่นอกมั่นใจ “จริงแท้แน่นอน กล่าวไปแล้ว เรื่องในค่ำคืนนั้นก็ทำให้ข้าคับแค้นเช่นเดียวกัน ข้าได้ยินว่านายน้อยเคยกลายร่างหนหนึ่งแล้วบนเทือกเขาระหว่างการประลองศิษย์ใหม่ของสหพันธ์แดนกลาง ข้าอยากจะไปดูว่าจริงหรือไม่ ดังนั้นจึงตั้งใจให้คนไปรับตัวนายน้อยมา แต่ไม่ทันที่องครักษ์ของข้าจะออกเดินทาง อินทรีแดงสองหางก็บินมาแจ้งข้าว่านายน้อยพบอันตราย…
…อินทรีแดงสองหางตรงมาที่เผ่ามารเช่นนี้ย่อมหมายความว่าสถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง ข้าไม่มีเวลาแจ้งคนในเผ่า จึงรีบร้อนพาองครักษ์หนึ่งร้อยนายไปดู เมื่อข้ารีบเร่งเดินทางไปถึงที่นั่นก็พบนายน้อยที่กลายร่างได้แล้วกำลังต่อสู้กับคนของสำนักเชียนหลัน นายน้อยถูกพวกเขาทำร้ายบาดเจ็บ ข้าไม่มีทางเลือกจึงสั่งให้องครักษ์ลงมือ แต่สิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงก็คือ สำนักเชียนหลันกลับมีครึ่งเซียนมาด้วยสองคน พวกเขา จัดการองครักษ์ของข้าจน…จน…”
กล่าวมาถึงตรงนี้หน้าอกของโหราจารย์หญิงก็พองขึ้นยุบลงอย่างรุนแรง ขอบตาเริ่มแดงระเรื่อ ความโกรธเกรี้ยวและโศกเศร้าอัดแน่นอยู่บนสีหน้าของนาง “ข้าเองก็ได้รับบาดเจ็บ ข้าเศร้าใจกับการตายขององครักษ์ยิ่งนัก ข้ายากจะปฏิเสธความผิด ข้าคิดไม่รอบคอบ ประเมินศัตรูต่ำเกินไปเอง แต่ข้าไม่เสียใจ สถานการณ์ในยามนั้นหากข้าแจ้งข่าวกับคนในเผ่าก่อนแล้วค่อยนำกำลังพลที่ฝีมือเก่งกาจมากกว่านั้นไป บางทีนายน้อยอาจพบเรื่องร้ายที่คาดไม่ถึงไปก่อนแล้ว ถึงพวกเขาจะตาย แต่พวกเขาปกป้องชีวิตของนายน้อยเอาไว้ได้ พวกเขาย่อมตายอย่างคุ้มค่าแล้ว”
ผู้อาวุโสทั้งหลายฟังจบ สีหน้าก็ย่ำแย่อย่างยิ่ง
สำนักเชียนหลันบังอาจมากเกินไปแล้ว ถึงกับกล้าจ้องเล่นงานนายน้อยของเผ่ามาร!
ผู้อาวุโสหลิวลูบหนวด แล้วถามอย่างแปลกใจ “ประเดี๋ยวก่อน สำนักเชียนหลันมีครึ่งเซียนเพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ มีเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งตั้งแต่เมื่อใด”
โหราจารย์หญิงตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่าสำนักเชียนหลันมีทายาทสายเลือดเซียนอยู่คนหนึ่ง เผ่ามารของพวกเรากับแดนเซียนไม่ลงรอยกันมาตลอด จะเป็นไปได้หรือไม่ว่า…สำนักเชียนหลันตั้งใจจะมาจับนายน้อยของเผ่ามารเอาความดีความชอบไปประจบเซียนตนหนึ่ง”
เผ่ามารไม่อาจตัดความเป็นไปได้นี้ทิ้ง ไม่ว่าอย่างไรเรื่องที่ก่อนหน้านี้จอมมารเคยเกือบจะถล่มแดนเซียนจนพินาศก็เป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนรู้กันทั่ว เพื่อจับตัวจอมมาร ยอดเซียนถึงกับลงมือเอง แม้ว่าสุดท้ายเขาจะจับตัวจอมมารไม่ได้ แต่ก็ได้ผูกแค้นกันแล้ว
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดตอนนั้นแดนเซียนจึงเกือบจะพินาศ แล้วก็ไม่มีผู้ใดรู้ว่าที่ยอดเซียนออกประกาศจับจอมมารไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น แต่เป็นเพราะจอมมารดันไปร่วมราตรีกับศิษย์น้องเล็กผู้บริสุทธิ์ไร้ราคีที่สุดของยอดเซียนเข้า ยอดเซียนโกรธแทบวางวายจึงลงมือกับจอมมารด้วยตนเอง
ทว่าต่อสู้กันจนถึงท้ายที่สุด ยอดเซียนกลับเป็นฝ่ายถูกจอมมารกำราบจนราบคาบ แต่เพื่อรักษาหน้าของเหล่าเซียน ยอดเซียนจึงประกาศกับผู้คนภายนอกว่า ‘ต่อสู้เสมอกัน’
และสาเหตุที่จอมมารไม่ก้าวออกมาบอกความจริงก็เป็นเพราะว่ายอดเซียนส่งศิษย์น้องเล็กผู้บริสุทธิ์ไร้ราคีของเขาไปให้จอมมารร่วมราตรีอย่างหวานชื่นอีกหนึ่งคืน