หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 4-2 เวยเวยผู้เหี้ยมโหด

ตอนพิเศษ 4-2 เวยเวยผู้เหี้ยมโหด

ตอนพิเศษ 4-2 เวยเวยผู้เหี้ยมโหด

สิงโตขาวกระโจนเข้ามาจะงับคุณชายน้อยหรง…

“ศิษย์พี่อวี๋! ศิษย์พี่อวี๋ดูนั่น! ใกล้ถึงแล้ว!” ศิษย์น้องคนหนึ่งชี้ไปยังศิลาหน่วงนำที่เปล่งแสงเจิดจ้า “สิงโตขาวขั้นสามอยู่ไม่ไกลนี่แล้ว!”

ศิษย์พี่อวี๋พลันยินดี ชักกระบี่ออกมา ในขณะที่กำลังจะเดินนำศิษย์น้องออกไปสังหารสัตว์อสูรตัวนั้น จู่ๆ ศิลาหน่วงนำก็พลันอับแสง

นี่หมายความว่าสัตว์อสูรตัวนั้นหายไปแล้ว

ศิษย์น้องคนเมื่อครู่พลันอึ้งไป “ศิษย์พี่อวี๋ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”

ศิษย์พี่อวี๋ก็กำลังงุนงงอยู่เช่นกัน หากไม่ได้มั่นใจว่าศิลาหน่วงนำก้อนนี้เป็นศิลาที่อาจารย์ให้เขามากับมือเมื่อเช้า น่ากลัวว่าเขาคงคิดว่ามันใช้การไม่ได้เสียแล้ว

ศิลาหน่วงนำก้อนนี้มีการตอบรับกับค่ายกลใหญ่ที่ปกป้องเขานี้อยู่ เมื่อใดก็ตามที่ในค่ายกลมีสัตว์อสูรที่ขั้นสูงกว่าขั้นสองขึ้นไป ศิลาหน่วงนำจะคอยส่องแสงเตือนจนกว่าภัยอันตรายนั้นจะถูกกำจัดไปแล้ว สัญญาณเตือนถึงจะหายไป

“น่าจะว่า…ออกไปแล้วกระมัง” ศิษย์พี่อวี๋เอ่ย

อย่างไรก็คงไม่ใช่ว่าตายไปแล้ว เพราะถึงอย่างไรสัตว์อสูรที่เก่งกาจเพียงนี้ ก็ไม่มีทางที่ศิษย์ใหม่กลุ่มนั้นจะสามารถรับมือได้แน่นอน

เขารู้ว่าผู้พิทักษ์รองจะต้องให้อาวุธวิเศษเด็กสาวรากปราณสวรรค์ไว้ป้องกันตัวอย่างแน่นอน แต่อาวุธวิเศษก็จำเป็นต้องใช้พลังปราณในการใช้งาน ด้วยพลังปราณของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ในเวลานี้ ไม่สามารถใช้งานอาวุธวิเศษที่สามารถสังหารสัตว์อสูรขั้นสามได้ อย่างมากก็คงเป็นแค่ไข่มุกซ่อนปราณเท่านั้น

นางที่มีอาวุธวิเศษติดตัวยังไม่อาจสังหารสัตว์อสูรขั้นสามได้ ศิษย์ใหม่คนอื่นยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้เข้าไปใหญ่ ดังนั้นสิงโตขาวขั้นสามจะต้องเดินออกจากค่ายกลไปเองแน่นอน

ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เฉียวเวยเวยนั่งอยู่บนพื้น หลังพิงต้นไม้ มือน้อยๆ ลูบท้องที่อ้วนกลมพร้อมเรอออกมาอย่างน่ารักน่าชัง

เรื่องสิงโตขาวขั้นสามถึงแม้จะผ่านไปแล้ว แต่ศิษย์พี่อวี๋ยังไม่กล้าวางใจ รอบด้านของทิวเขามีค่ายกลล้อมอยู่ สัตว์อสูรขั้นสองขึ้นไปหากออกไปแล้วจะไม่อาจกลับเข้ามาได้อีก เขาไม่กังวลว่าสัตว์อสูรขั้นสามจะกลับเข้ามา แต่เขากังวลว่าในป่าแห่งนี้จะยังมีสัตว์อสูรตัวอื่นที่ข้ามขั้นขึ้นมาอีก

การเลื่อนขั้นของสัตว์อสูรมักขึ้นอยู่กับพื้นที่ เมื่อมีตัวหนึ่งเลื่อนขั้นได้แล้ว อีกตัวหนึ่งก็คงอีกไม่นานนี้

ศิษย์พี่อวี๋รีบเรียกลูกศิษย์ใหม่กลับมา และให้การฝึกภาคปฏิบัตินี้สิ้นสุดลงก่อนกำหนด

เพราะเวลาที่เข้าไปสั้นเกินไป ลูกศิษย์โดยมากยังไม่ได้แตะกระทั่งขนของสัตว์อสูรด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการได้เม็ดเน่ยตันมาเลย เพียงแต่กลับมีศิษย์หญิงคนหนึ่งที่โชคดียิ่งนัก นางมีเพียงรากปราณอยู่ครึ่งส่วน แต่ระหว่างทางไปเจอหมาในขนแดงขั้นหนึ่งที่ไม่รู้ถูกผู้ใดยิงตายเข้า

เวลานี้โดยรอบไม่มีคนอื่นอยู่ นางจึงทำใจกล้าควักเอาเม็ดเน่ยตันของหมาในขนแดงตัวนั้นออกมา นางจึงกลายเป็นลูกศิษย์คนเดียวที่ปฏิบัติภารกิจสำเร็จในการฝึกภาคปฏิบัติครั้งนี้

ศิษย์พี่อวี๋ชื่นชมเป็นที่ยิ่ง “…กลับไปหลังจากข้ารายงานท่านอาจารย์แล้ว ข้าจะพาเจ้าไปที่หาเก็บอาวุธ”

ลูกศิษย์หญิงถามด้วยความตื่นเต้น “ข้าสามารถเลือกอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ชิ้นหนึ่งหรือ”

ศิษย์พี่อวี๋ยิ้มน้อยๆ “ได้สิ”

ลูกศิษย์หญิงดีใจแทบเนื้อเต้นเลยทีเดียว!

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ปรายตามองหลิงจือที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงชัดเจนว่า “บอกแต่แรกแล้วว่าให้เจ้าควักเอาไป เวลานี้ดีเลย กลายเป็นคนอื่นได้ประโยชน์ไปเสีย”

เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่สนใจอาวุธวิเศษเล็กน้อยพวกนั้น เพราะถึงอย่างไรนางก็เป็นบุตรีของท่านเซียน อยากได้อาวุธวิเศษอะไรมีหรือที่จะไม่ได้ หอเก็บอาวุธนั่นนางไม่สนใจสักนิด!

หลิงจือกลับไม่เป็นเช่นนั้น ของที่นางไม่สนใจเหล่านั้น หลิงจือแทบอยากจะร้องขอเลยทีเดียว

เสลี่ยงคันหรูมาถึงแล้ว เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก้าวขึ้นนั่งบนเสลี่ยงเฉพาะของนางกลับสำนักเชีนหลันท่ามกลางสายตาอิจฉาของทุกคน

สีหน้าของหลิงจือดูไม่ดีนัก

ศิษย์พี่อวี๋เหลือบมองหลิงจือทีหนึ่ง สายตาสั่นไหว ไม่ได้กล่าวอะไรแล้วพาทุกคนเดินออกไป

คุณชายน้อยหรงก็ออกมาจากค่ายกลแล้วเช่นกัน เขารวบรวมข่าวที่ได้ยินจากทุกคนก็พอเดาได้ว่าสิงโตขาวที่ทำตนตกใจจนสลบไปนั้น เป็นสัตว์อสูรขั้นสามตัวหนึ่ง

บ้าจริง พวกเขาสองคนรอดมาได้อย่างไร…

เวลานี้หลิงจือเดินอยู่ข้างหน้านั่นแล้ว แต่เขาไม่กล้าพอจะเดินเข้าไปสารภาพว่าตนพาน้องสาวของนางมาด้วย เขาเองยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่พวกตนรอดมาได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าหากรากรากปราณน้ำล่วงรู้เรื่องนี้ จะต้องเอาเขาตาย จะต้องเล่นงานเขาอย่างโหดเหี้ยมแน่นอน!

“แม่ทูนหัว เจ้ากลับไปแล้วอย่าบอกความลับนี้กับพี่สาวเจ้าได้หรือไม่”

คุณชายน้อยหรงขอร้องเฉียวเวยเวยไปตลอดทาง

เฉียวเวยเวยกินอิ่มนอนหลับ ส่งเสียงหายใจด้วยความสบายมาจากในตะกร้า

ตอนหลิงจือกลับไปถึงเรือนของตน เฉียวเวยเวยนั่งรอนางอยู่ตรงระเบียงทางเดินแล้ว

ความหงุดหงิดใจตลอดวันของหลิงจือพลันมลายหายไปเมื่อได้เห็นใบหน้าน้อยๆ อ่อนเยาว์ของเฉียวเวยเวย

นางจูงเฉียวเวยเวยกลับเข้าห้อง บนหน้าเฉียวเวยเวยมีโคลนเปื้อนอยู่เล็กน้อย นางเดาว่าอีกฝ่ายคงไปเล่นดินโคลนมา เด็กเล็กเพียงนี้กำลังอยู่ในวัยเล่นดินเล่นโคลน นางไม่ได้คิดว่ามีอะไรผิดปกติ

นางไปตักน้ำอุ่นมาล้างหน้าให้เฉียวเวยเวย

ตอนอาบไปได้ครึ่งทาง ศิษย์พี่อวี๋ก็มาหา

“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่นะ” หลิงจือจับตัวเฉียวเวยเวยไปวางบนเก้าอี้แล้วหมุนตัวเลิกผ้าม่านเดินออกไป

เวลานั้นเข้าสู่ยามราตรีแล้ว ลูกศิษย์ที่มีชั้นเรียนยามดึกก็ไปเข้าเรียน ส่วนที่ไม่มีก็กลับห้องไปพักผ่อน ระหว่างทางจึงไม่มีใครให้เห็น

แต่ศิษย์พี่อวี๋ก็ยังรักษาธรรมเนียมเป็นอย่างดี ไม่ก้าวเข้าไปในเรือนเลยแม้แต่ครึ่งก้าว

หลิงจือเดินออกมา เอ่ยกับเขาอย่างมีมารยาทว่า “ศิษย์พี่อวี๋ เข้ามาดื่มชาก่อนสิ”

ศิษย์พี่อวี๋บอกว่า “ข้าชื่ออวี๋เจี๋ย หลังจากนี้เจ้าเรียกชื่อข้าก็แล้วกัน”

“เรื่องนี้…” อีกฝ่ายโตกว่านางหลายปี จะให้หลิงจือเรียกขานเขาด้วยชื่อ เลยออกจะกระดากปากอยู่สักหน่อย

ศิษย์พี่อวี๋ยื่นกล่องใบหนึ่งให้หลิงจือ

หลิงจือเปิดกล่องดูก็เห็นว่าเป็นกริชที่ส่องประกายสีดำเล่มหนึ่ง

ศิษย์พี่อวี๋ “ถึงแม้…จะไม่ใช่อาวุธวิเศษที่ดีเลิศอะไร แต่บนกริชมีพลังจินของอาจารย์ข้าอยู่ หากเจ้าพบเจออันตราย สามารถใช้มันป้องกันการโจมตีของสัตว์อสูรขั้นสามได้หนึ่งครั้ง”

หลิงจือรีบบอก “ของล้ำค่าเช่นนี้ข้ารับไว้ไม่ได้”

ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยยิ้มๆ “รับไว้เถิด นี่เป็นอาวุธวิเศษที่ข้าชนะได้มาจากการฝึกภาคสนามครั้งแรกตอนเป็นลูกศิษย์ใหม่ หลายปีมานี้ไม่ได้ใช้มันเลย เวลานี้เมื่อไม่ได้ใช้แล้วจะวางไว้เฉยๆ ก็เสียดายของ”

ศิษย์พี่อวี๋เป็นลูกศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาศิษย์ใหม่กลุ่มนั้น อาวุธวิเศษเช่นนี้ไม่เหมาะกับความสามารถของเขาแล้ว แต่สำหรับลูกศิษย์ใหม่อย่างหลิงจือ นับได้ว่าดีกว่าไข่มุกซ่อนปราณนั่นเสียอีก

หลิงจือเม้มปาก “เช่นนี้จะไม่ถูกต้องตามกฎหรือไม่”

ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยยิ้มๆ “เจ้าวางใจได้ ข้าแจ้งกับผู้พิทักษ์ใหญ่แล้ว เจ้ารับไว้เถิด”

ในเมื่อผู้พิทักษ์ใหญ่ยังเห็นด้วยแล้ว หลิงจือก็ไม่มีอะไรให้ลังเลอีก “ขอบคุณมากศิษย์พี่…อวี๋…เจี๋ย”

ศิษย์พี่อวี๋จากไปพร้อมรอยยิ้ม

หลิงจือกอดกล่องใบนั้นเดินกลับเข้าห้องด้วยความยินดี อยากอวดอาวุธวิเศษของตนให้เฉียวเวยเวยดูแทบทนไม่ไหว “เวยเวย ข้าก็มีอาวุธวิเศษกับเขาแล้วเหมือนกันนะ! เจ้าดูสิ!”

เฉียวเวยเวยเบือนหน้านี้ด้วยความรังเกียจ

หลังจากหลิงจือไปอาบน้ำ เฉียวเวยเวยก็หยิบกริชเล่มนั้นมาโยนไปใต้เตียงด้วยความรังเกียจเหลือแสน

หลิงจืออาบน้ำกลับมาอีกที ในกล่องนั้นก็มีกริชหน้าตาแบบเดียวกับเล่มเดิมทุกอย่างวางอยู่แล้ว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset