ตอนพิเศษ 39-2 พบบิดา ตบหน้าบุรุษสวะ (1)
ยามท้องฟ้าฉายแสงวันรุ่งขึ้น เฉียวเวยเวยก็ตื่นจากนิทรา นางนั่งอยู่ตรงขอบเตียง ขาอ้วนๆ แกว่งไปมา อุ้งมือกำขวดนมใบน้อยดื่มนมของสัตว์วิเศษเสียงดัง อึ้กๆ!
ในฐานะเพื่อนเล่นตัวน้อยเพียงคนเดียวของนาง จีเสี่ยวซิวก็ได้รับนมสัตว์วิเศษมาขวดหนึ่งด้วย ภายในใจจีเสี่ยวซิวต่อต้านอย่างยิ่ง! เขาอายุตั้งเท่าไรแล้ว จะมาดื่มของเด็กน้อยพรรค์นี้ได้อย่าง…
“อื้อ อร่อยจริงเชียว”
จีเสี่ยวซิววัยสามขวบถือขวดนมใบน้อยดื่มนมดัง อึ้กๆ! ฝืนความต้องการของร่างกายไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
ชิงสุ่ยเจินเหรินเดินเข้ามาอุ้มเฉียวเวยเวยที่ดื่มนมจนศีรษะชุ่มเหงื่อแล้วพาไปที่ด้านหลังเรือน
หลิงจือกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ลานด้านหลัง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้านางก็รีบเก็บลมปราณแล้วลุกขึ้นยืนคำนับชิงสุ่ยเจินเหริน “ท่านเซียน”
นางมองเด็กน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนของชิงสุ่ยเจินเหริน แล้วอยากจะพูดบางสิ่งแต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก่อนหน้านี้นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กกำพร้าตัวน้อยที่ไม่มีผู้ใดต้องการ คิดไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายกลับเป็นบุตรสาวของท่านเซียน หลิงจือจึงปรับตัวไม่ถูกอยู่บ้าง
เฉียวเวยเวยบิดก้นน้อยๆ ของตัวเองดิ้นลงมาจากอ้อมแขนของชิงสุ่ยเจินเหริน แล้วเดินมาถึงเบื้องหน้าหลิงจือ หลิงจือลังเลครู่หนึ่งก็อุ้มนางขึ้นมา
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ามาเยือนวันนี้เพราะต้องการจะขอบคุณเจ้าที่ดูแลเวยเวย แล้วยังใช้พลังปราณหล่อเลี้ยงนางมานานถึงเพียงนี้”
หลิงจืองงงวย “ข้าเปล่านะเจ้าคะ”
เฉียวเวยเวยก้มหน้าลงอย่างหวั่นๆ
หลิงจือเห็นท่าทางเช่นนี้ของนางก็รู้แล้วว่านางต้องมีเรื่องอะไรปิดบังอยู่แน่ หลิงจือเลิกคิ้ว “ข้าทำจริงหรือ”
เฉียวเวยเวยกำขวดนมใบน้อย ไม่กล้าสบตาหลิงจือ “ข้า…ข้าถามเจ้าแล้ว เจ้าบอกว่าได้ ข้าถึงสูบ”
เรื่องนี้น่าตกใจอยู่เล็กน้อย หลิงจือพยายามทบทวนความทรงจำอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นึกอะไรบางอย่างออก ตอนนั้นเฉียวเวยเวยเพิ่งถูกท่านยายเก็บกลับมาที่บ้าน ขณะที่เฉียวเวยเวยซุกอยู่ในอ้อมแขนของนาง จมูกน้อยๆ ก็ดมฟุดฟิดแล้วบอกว่า “หลิงจือ บนตัวเจ้ามีกลิ่นหอมๆ ข้าอยากสูบกินเจ้าสักนิดได้หรือไม่”
นางคิดว่าเด็กน้อยใช้คำไม่ถูก จากบอกว่าอยากสูดกลิ่นกลายเป็นสูบกิน ดังนั้นนางจึงตอบอย่างฉับไว “ได้สิ”
“ข้าสูบเท่าไรก็ได้หรือ”
“แน่นอนสิ”
“สูบทุกวันก็ได้หรือ”
“ได้ ได้ทุกวันเลย!”
นี่แปลว่าเฉียวเวยเวยหมายถึงสูบกินจริงๆ แล้วตัวนางยังอนุญาตอีกด้วย!
เจ้าเด็กแสบคนนี้ เหตุไฉนจึงวางหลุมพรางผู้อื่นเช่นนี้เล่า!
หลิงจืออยากจะตีนางเหลือเกิน!
เฉียวเวยเวยรับรู้ไอสังหารจากหลิงจือ นางรีบกระโดดหนีลงพื้นแล้ววิ่งกลับไปหลบหลังร่างของชิงสุ่ยเจินเหริน มือกำขวดนมใบน้อยแล้วโผล่ศีรษะเล็กๆ กลมดิกออกมา
เพื่อเป็นการขอบคุณและเป็นการชดเชย ชิงสุ่ยเจินเหรินมอบวิชาสองวิชากับอาวุธเซียนหนึ่งชิ้นให้แก่หลิงจือ อาวุธเซียนชิ้นนี้ต้องรอให้หลิงจือก้าวเข้าสู่ขั้นบรรลุญาณก่อนจึงจะใช้ได้
หลิงจือไม่ตระหนี่ถี่เหนียวพลังปราณน้อยนิดนั่นหรอก นางเพียงโมโหตนเองที่ปล่อยให้เด็กแสบตัวจ้อยหลอกให้ติดกับ นางสมองหมูหรืออย่างไรจึงไม่เคยเอะใจเลย
ตอนอาบน้ำเจ้าตัวจ้อยคนนี้ไม่เคยยอมให้นางดู คงไม่แคล้วแอบกลายร่างเป็นมังกรน้อยเล่นน้ำล่ะสิ นี่นางหัวทื่อขนาดนี้เชียวหรือ เหตุใดจึงไม่สังเกตเห็นร่องรอยอะไรแม้แต่น้อย
หลิงจือรู้สึกว่านางต้องสำรวจดูสมองของตนเองเสียหน่อยแล้ว
เรื่องที่เฉียวเวยเวยเป็นมังกรน้อยและเป็นสายเลือดของท่านเซียนรู้กันไปทั่วทั้งสำนักเชียนหลันแล้ว หลังจากนั้นผู้คนในสำนักเชียนหลันก็เริ่มสงสัย พวกเขารู้มาว่ามังกรมารแห่งเผ่ามารเริ่มสูญพันธ์ตั้งแต่เมื่อร้อยปีพันปีก่อน ท่านจอมมารเป็นมังกรมารตัวเต็มวัยตนสุดท้าย นางให้กำเนิดบุตรมาเพียงคนเดียว นั่นก็คือบุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์
ถ้าอย่างนั้นแล้ว…มังกรมารน้อยตัวนี้เป็นมาอย่างไรกันเล่า
เรื่องนี้สำคัญใหญ่หลวง เจ้าสำนักสวี่สกัดข่าวไม่ให้แพร่งพรายไปภายนอกชั่วคราว ทว่ากระดาษย่อมห่อไฟไม่มิด เรื่องของมังกรมารน้อยกลับแพร่ไปทั่ว
ผู้ที่ตกตะลึงที่สุดย่อมเป็นสำนักว่านเซี่ยง สำนักว่านเซี่ยงย่อมรู้ว่ามังกรมารน้อยเป็นนายน้อยตัวจริง ส่วนฉินเซวียนเป็นตัวปลอม ทว่าแม้แต่ในฝันพวกเขาก็คงคิดไม่ถึงว่ามังกรมารน้อยดันไม่ใช่บุตรที่เกิดจากรองหัวหน้าสหพันธ์ แต่เป็นลูกของชิงสุ่ยเจินเหริน!
ในอดีตเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เซียนตนหนึ่งกับมารตนหนึ่ง ไปอยู่ด้วยกันได้อย่างไร!
เมื่อข่าวแพร่ออกไปถึงสหพันธ์แดนกลาง เหนือศีรษะของรองหัวหน้าสหพันธ์ก็เขียวโร่จนกลายเป็นทุ่งหญ้า รองหัวหน้าสหพันธ์เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่ามีคนแอบอ้างเป็นเลือดเนื้อของชิงเอ๋อร์ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปเยือนสำนักเชียนหลันสักครั้ง
เขาส่งผู้อาวุโสปี้กับผู้อาวุโสหลิวกลับไปยังเผ่ามารก่อน จากนั้นจึงพาคนสนิทของตนมาโผล่ที่สำนักเชียนหลัน เจ้าสำนักสวี่มาต้อนรับเขาด้วยตนเอง “ไม่ทราบว่ารองหัวหน้าสหพันธ์จะให้เกียรติมาเยือนจึงไม่ได้ออกมาต้อนรับ ขออภัยด้วย”
รองหัวหน้าสหพันธ์สีหน้าเย็นชาเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่ามีคนแอบอ้างเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้ากับชิงเอ๋อร์ มีเรื่องนี้จริงหรือไม่”
“เรื่องนี้…” เจ้าสำนักสวี่กระแอม แล้วยกถ้วยชาขึ้นมา ก่อนจะบอกอย่างไม่รีบร้อนว่า “จะบอกว่าแอบอ้าง…ก็ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่”
รองหัวหน้าสหพันธ์ฟาดฝ่ามือลงบนโต๊ะ “เจ้าสำนักสวี่! เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าจะเป็นศัตรูกับสหพันธ์แดนกลางหรือ อย่าคิดว่าหาครึ่งเซียนคนหนึ่งมาแอบอ้างเป็นเซียนส่งเดชแล้วจะปิดบังดวงตาของสหพันธ์แดนกลางกับเผ่ามารได้นะ! เรื่องนี้ ข้าจะต้องสืบให้ความจริงกระจ่าง!”
เจ้าสำนักสวี่ปวดหัวแล้ว บอกตามตรงตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้เป็นมาอย่างไร ท่านจอมมารมีสามีอยู่แล้วแท้ๆ แล้วท่านจอมมารก็เกือบจะทำลายแดนเซียนไปแล้วแท้ๆ ไม่ว่าอย่างไรจอมมารกับชิงสุ่ยเจินเหรินก็ดูไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้เลย
แต่ชิงสุ่ยเจินเหรินเป็นตัวจริง มังกรมารน้อยก็ไม่ใช่ตัวปลอม
เขายอมรับว่าเขามึนงงจะแย่แล้ว
“คนผู้นั้นอยู่ที่ใด!” รองหัวหน้าสหพันธ์ความโกรธแล่นพล่านขึ้นไปที่ศีรษะ
เจ้าสำนักสวี่ทำไม้ทำมือบอก “ภูเขาด้านหลัง”
ชิงสุ่ยเจินเหรินรักษาอาการบาดเจ็บให้มังกรมารน้อยอยู่ที่ภูเขาด้านหลัง บนร่างของมังกรมารน้อย นอกจากเกล็ดชิ้นหนึ่งที่ตนเองถอดออกไปเอง ก็มีเกล็ดที่ถูกกระแทกหลุดไปอีกไม่น้อย มังกรน้อยผู้งดงามตัวหนึ่งจึงแทบจะเสียโฉม
ชิงสุ่ยเจินเหรินทั้งปวดใจทั้งโกรธเกรี้ยว แต่เขาไม่ยอมให้มังกรมารน้อยมองออก เขาใช้พลังปราณฟื้นฟูร่างมังกรให้นางทีละน้อย ระหว่างกระบวนการฟื้นสภาพจะเจ็บปวดนิดหน่อย แต่ทุกครั้งที่รักษาเสร็จ เกล็ดมังกรก็งอกออกมาเพิ่มหนึ่งเกล็ด
มังกรมารน้อยเห็นเกล็ดมังกรใหม่เอี่ยมสามเกล็ดบนหางก็กระโดดโลดเต้นอย่างดีอกดีใจ ตรงแผ่นหลังกับที่ลำคอยังมีแหว่งไปไม่น้อย บนศีรษะก็มีเกล็ดชิ้นน้อยหลุดไปหนึ่งเกล็ด โชคดีที่เขามังกรยังไม่งอก หากเขามังกรหลุดไป ไม่ว่าอย่างไรก็งอกกลับมาใหม่ไม่ได้แล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหรินใช้พลังปราณรักษาเกล็ดมังกรอีกสองเกล็ดบนหางของมังกรมารน้อย ตอนนี้หางจึงกลับมาสมบูรณ์ ระหว่างกระบวนการนี้มังกรมารน้อยอดทนกับความเจ็บปวดได้อย่างดียิ่ง นางไม่ร้องไห้ ไม่กรีดร้องสักนิด
ชิงสุ่ยเจินเหรินลูบศีรษะของนาง “กล้าหาญจริง เหมือนมารดาของเจ้า”
มังกรมารน้อยยืดหัวออกมา ทำท่าทางบอกเป็นนัยให้เขาช่วยรักษาที่หัวของนางก่อน ก็นางเป็นมังกรที่มีหน้ามีตานี่นา!
ดังนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินจึงช่วยซ่อมเกล็ดมังกรบนศีรษะของนาง จากนั้นมังกรมารน้อยก็วิ่งไปที่ริมน้ำพุแล้วส่อง ‘กระจก’ เมื่อเห็นว่าตนเองกลับมางดงามอีกหน เจ้ามังกรหลงตัวเองก็หมุนไปรอบๆ อย่างร่าเริง
ชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังเตรียมจะรักษาเกล็ดที่ท้องของมังกรมารน้อยต่อ ตอนนั้นเองเจ้าสำนักสวี่ก็เดินนำรองหัวหน้าสหพันธ์ผู้มีไอสังหารพลุ่งพล่านเข้ามา
ชิงสุ่ยเจินเหรินแววตาเย็นยะเยือก เขากางข่ายอาคมด้วยมือเปล่าครอบมังกรมารน้อยไว้ข้างใน นอกจากตัวเขา ไม่ว่าผู้ใดก็จะมองไม่เห็นว่าภายในข่ายอาคมมีสิ่งใด
เจ้าสำนักสวี่นำคนมาถึงก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว บุรุษทั้งสองจับจ้องกันด้วยแววตาเย็นยะเยือก ในอากาศมีไอสังหารประหลาดแผ่ออกมา
รองหัวหน้าสหพันธ์นับว่ารูปงามหล่อเหลา ทั่วทั้งแดนกลางหาคนที่งามเทียบเคียงกับเขาได้ไม่กี่คน ทว่าบุรุษตรงหน้าคนนี้กลับมีรูปโฉมงดงามสมบูรณ์แบบประหนึ่งปทุมา บรรยากาศรอบตัวดูสูงส่งดุจเทพเซียน เรือนกายสูงใหญ่ ไหล่กว้างเอวสอบ ท่อนขายาว ด้วยนิสัยชอบคนงามของชิงเอ๋อร์ หากพบเขาเข้าจริงๆ มีโอกาสแปดเก้าในสิบส่วนที่จะถูกเจ้าปีศาจจิ้งจอกตัวผู้ตัวนี้ล่อลวง!
แต่เดิมรองหัวหน้าสหพันธ์ไม่เชื่อเรื่องที่ลือกัน แต่ตอนนี้ความหึงหวงเริ่มส่งรสเปรี้ยวออกมาจนเขาเข็ดฟัน “เจ้าคือคนที่แอบอ้างว่าเป็นเซียนผู้นั้นหรือ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินสีหน้าเฉยเมยอย่างยิ่ง “ข้าก็คือข้า มิจำเป็นต้องแอบอ้างเป็นผู้ใด”
ตั้งแต่เห็นแวบแรกรองหัวหน้าสหพันธ์ก็รู้แล้วว่าเขามิได้แอบอ้าง ครึ่งเซียนกับเซียน แม้ต่างกันเพียงตัวอักษรเดียว แต่ช่องว่างระหว่างสองขอบขั้นนั้นไม่อาจใช้โอสถ อาวุธหรือสิ่งใดๆ มาถมให้เต็มได้ ต่อให้ชิงสุ่ยเจินเหรินกดระดับการฝึกตนเอาไว้ แต่ปราณเซียนบนร่างเขาไม่ใช่สิ่งที่ขั้นครึ่งเซียนคนใดจะมีในครอบครอง
รองหัวหน้าสหพันธ์กล่าวเสียงเย็นชา “ข้าได้ยินมาว่าเจ้าหาลูกมังกรตัวหนึ่งมาแอบอ้างเป็นลูกของชิงเอ๋อร์”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบว่า “นางเป็นลูกของชิงหลวน”
“ชิงหลวนเช่นนั้นหรือ” รองหัวหน้าสหพันธ์หัวเราะหยัน
ชิงสุ่ยเจินเหรินเล่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ลืมบอกเจ้าไป ข้าไม่ค่อยชอบมังกรนัก เพื่อจะใกล้ชิดข้า ชิงเอ๋อร์จึงปลอมเป็นนกชิงหลวนตัวหนึ่ง คอยเฝ้าอยู่ที่หน้าเรือนข้าทั้งวันทั้งคืน…”
รองหัวหน้าสหพันธ์บันดาลโทสะในพริบตา “หุบปาก! ชิงเอ๋อร์ไม่มีทางทำเช่นนั้น! นางเป็นจอมมาร!”
สิ่งที่นางเกลียดที่สุดก็คือวิหค นางจะแปลงกายเป็นสิ่งที่ตนเองเกลียดที่สุดเพื่อเจ้าปีศาจจิ้งจอกตัวผู้ตัวหนึ่งได้เช่นไรกัน!
ชิงสุ่ยเจินเหรินไม่สนใจว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ เขาจับจ้องอีกฝ่ายนิ่งๆ แล้วพูดต่ออย่างไม่เกรงใจสักนิด “คนแซ่ฉิน เจ้าฟังให้ดี เจ้ากับชิงหลวนไม่เคยร่วมราตรี ลูกชายของเจ้าต่างหากที่เป็นตัวปลอม ลูกชายของเจ้าทำร้ายลูกสาวของข้า หนี้แค้นนี้ข้าจะไม่ยอมจบเท่านี้ เห็นแก่ที่เจ้าไม่รู้เรื่องด้วย วันนี้ข้าจะละเว้นเจ้า แต่เจ้าจงจำคำข้าไว้ เว้นเสียแต่ว่านางไม่ต้องการ สิ่งที่เป็นของเวยเวย ข้าจะทวงคืนมาให้นางไม่ขาดสักอย่างเดียว แม้ว่าข้าจะต้องสังหารพวกเจ้าทุกคนจนหมดก็ตาม”
รองหัวหน้าสหพันธ์โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงจากไป!
เขารู้สึกว่าบุรุษผู้นี้เสียสติไปแล้ว เขากับชิงเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นสามีภรรยากัน พวกเขาจะไม่เคยร่วมราตรีกันได้อย่างไร บุตรชายของเขาต่างหากที่เป็นเลือดเนื้อของจอมมาร!
นับตั้งแต่ที่เขาเห็นเซวียนเอ๋อร์ครั้งแรก เขาก็สัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงของสายเลือดแล้ว เซวียนเอ๋อร์เป็นลูกชายของเขา เขาไม่มีทางมองผิด
ในเทือกเขาแห่งหนึ่งของเผ่ามาร ฉินเซวียนเฝ้าอยู่ข้างกายโหราจารย์หญิง จนกระทั่งนางรักษาบาดแผลของตนเองหายดีแล้วเขาจึงก้าวเข้าไปหา แล้วถามอย่างห่วงใย “อาจารย์ ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
โหราจารย์หญิงนวดหน้าอกที่เจ็บแปลบอยู่จางๆ “ข้าประมาทไปแล้ว”
ฉินเซวียนถามต่อว่า “อาจารย์ เขาเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดแม้แต่ท่านยังถูกทำร้ายได้”
โหราจารย์หญิงตอบอย่างหยิ่งยโส “ข้าเพียงแต่ประมาทจึงถูกเขาทำร้าย หากสู้กันจริงๆ ข้าก็ไม่กลัวเขาหรอก”
อินทรีแดงสองหางบินเข้ามาแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนหนุ่ม แล้วพึมพำสองประโยคข้างหูของฉินเซวียน ฉินเซวียนหน้าถอดสีทันใด “อาจารย์! ข่าวของมังกรมารน้อยเล็ดลอดออกไปแล้ว บิดาของข้าเขา…เขาไปที่สำนักเชียนหลันแล้ว!”
โหราจารย์หญิงสีหน้านิ่งสงบ “บิดาของเจ้าจำเรื่องราวในอดีตไม่ได้ แต่หากเขานึกขึ้นมาได้ว่าเจ้าเป็นลูกของเขากับผู้หญิงอีกคน ฐานะของเจ้า…ก็คงจะพูดยากอยู่บ้าง”
ฉินเซวียนส่ายหน้า “ไม่มีทาง ท่านพ่อรักข้ายิ่งนัก”
โหราจารย์หญิงบอกว่า “ข้ารู้ว่าเขารักเจ้า แต่ข้ากลัวว่าเขาจะทำความลับหลุดออกไป รอต่อไปไม่ได้อีกแล้ว การใหญ่ไม่ควรชักช้า เจ้าจะต้องกลายร่างให้ได้เดี๋ยวนี้ ก่อนที่ผู้อาวุโสทั้งหลายจะพามังกรน้อยกลับมาที่เผ่ามารแล้วเอาสิทธิในการสืบทอดเผ่ามารไป”
ฉินเซวียนกลัดกลุ้ม “แต่พวกเราเอาเม็ดเน่ยตันของมังกรน้อยมาไม่ได้นี่ขอรับ”
โหราจารย์หญิงเปิดกล่องใบหนึ่ง แล้วหยิบเกล็ดมังกรด้านในขึ้นมา “เน่ยตันได้ผลดีที่สุด แต่มีเกล็ดมังกรมากขนาดนี้กับพลังอาคมของอาจารย์ก็น่าจะเพียงพอให้เจ้าผ่านด่านไปจนสุดทางได้เหมือนกัน”