ตอนพิเศษ 39-1 พบบิดา ตบหน้าบุรุษสวะ (1)
เมื่อชิงสุ่ยเจินเหรินมาเยือน กองทัพเผ่ามารย่อมย่อยยับทั้งกองทัพ
หลิงจือยืนอยู่บนกระบี่บิน พลังปราณน้ำที่เคลื่อนมาได้ครึ่งทางรวมตัวกันอยู่ที่ปลายนิ้ว ตอนนั้นเองนางก็ค้นพบว่าศัตรูรอบด้านกลับร่วงลงไปเบื้องล่างส่งเสียงดัง ตุ้บ! ตุ้บ! ตุ้บ! ราวกับเมล็ดถั่ว
หลิงจือตกตะลึงจนตาโตอ้าปากค้าง
ด้านหลังเนินเขาอีกฝั่งหนึ่ง ฉินเซวียนที่ประจักษ์ภาพนี้ตกใจจนพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน องครักษ์เผ่ามารหนึ่งร้อยตนนี้ล้วนเป็นคนสนิทของอาจารย์ ตนที่ระดับต่ำที่สุดก็คือผู้ฝึกตนมารขั้นรากฐานขั้นกลาง คนที่เก่งกาจที่สุดเป็นถึงยอดฝีมือขั้นอมตะคนหนึ่ง ทว่าเพียงชั่วพริบตาพวกเขากลับถูกผู้อื่นกำจัดจนเกลี้ยง
บุรุษที่ปรากฏตัวขึ้นมาจากความว่างเปล่าคนนั้นคือผู้ใดกัน!
ฉินเซวียนดวงตาวาวโรจน์จ้องแผ่นหลังของอีกฝ่าย ทว่าอีกฝ่ายกลับเพียงยืนนิ่งมองมังกรน้อยที่กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กลางอากาศตัวนั้น ฉินเซวียนรู้สึกเหมือนตนเองพอจะเดาเงื่อนงำบางอย่างออก แต่เขาไม่อยากยอมรับว่ามังกรน้อยกับบุรุษที่แข็งแกร่งขนาดนี้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดอะไรกัน
…ใช่แล้ว เขาอิจฉา
ฉินเซวียนมองโหราจารย์หญิงที่อยู่ด้านข้าง แต่เดิมเขาภาวนาว่าอาจารย์จะออกโรงจัดการบุรุษผู้นั้น แต่เมื่อเหลือบเห็นท่าทางของอาจารย์ ดูเหมือนนางจะไม่มีแผนการทำเช่นนั้น
เขาอ้าปากถาม “อาจารย์…”
สายตาของโหราจารย์หญิงจับจ้องแผ่นหลังของบุรุษผู้นั้น แม้ว่าฉินเซวียนจะส่งเสียงเรียกแต่นางก็ไม่ละสายตา โหราจารย์หญิงยกมือขึ้นขัดเขา “ข้ารู้ว่าเจ้าอยากพูดสิ่งใด แต่ตอนนี้ไม่ใช่จังหวะที่ดี”
“เหตุใดเล่า” ฉินเซวียนไม่เข้าใจ
ดวงตาของโหราจารย์หญิงฉายแววคมกริบ เอ่ยตอบว่า “ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเผ่ามาร หากเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น ในเผ่าคงจะได้รับข่าวอย่างรวดเร็วยิ่งเป็นแน่ ทางที่ดีก่อนหน้านั้นพวกเราต้องรีบหาวิธีตัดตัวเองออกจากเรื่องนี้ให้หมดจด”
แม้ฉินเซวียนจะรู้สึกไม่ยินยอม แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าอาจารย์พูดถูกต้องแล้ว หากคนของเผ่ามารเดินทางมาถึง พวกเขาจะต้องสืบพบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเป็นแน่ หากเผ่ามารรู้ตัวตนของมังกรน้อยตัวนั้น แผนการทั้งหมดของพวกเขาก็สูญเปล่า
ยามนี้พวกเขาถ่วงเวลาชักช้าไม่ได้แล้ว ต้องออกไปให้เร็วที่สุด เมื่อพวกเขาไปแล้ว ยอดฝีมือคนนั้นกับมังกรน้อยจึงจะจากไปด้วย
แต่หัวใจเขามันไม่ยินยอมจริงๆ!
“อาจารย์ จะปล่อยมังกรน้อยตัวนั้นหนีรอดไปเช่นนี้หรือ”
โหราจารย์หญิงย้อนถาม “ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร เจ้าก็เห็นพลังของเขาแล้ว หากอาจารย์ต่อกรกับเขาชั่วครู่ชั่วยามคงตัดสินแพ้ชนะกันไม่ได้ ถึงยามนั้นหากคนของเผ่ามารเดินทางมาถึง อาจารย์จะอธิบายเรื่องมังกรน้อยตัวนั้นกับเผ่ามารเช่นไรเล่า”
ฉินเซวียนสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง แล้วข่มอารมณ์ที่กำลังโหมกระหน่ำลงไป แล้วถามขึ้นมาอย่างช้าๆ “อาจารย์ เขาเป็นผู้ใดกันแน่ ข้าไม่เคยได้ยินว่าแดนกลางมีคนเช่นนี้”
ครึ่งเซียนในแดนกลางมีไม่ถึงห้าคน เขาเคยพบมาแล้วหมดทุกคน บุรุษผู้นี้ต่อให้เขาเห็นเพียงแผ่นหลัง แต่ปราณเซียนที่เหมือนจะแผดเผาจิตตั้งต้นของเขาได้นั่นก็ทำให้เขาแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ใช่หนึ่งในครึ่งเซียนทั้งห้าคนนั้นอย่างแน่นอน
โหราจารย์หญิงหรี่ตาลง “บางที…เขาอาจจะไม่ใช่คนของแดนกลาง”
ฉินเซวียนยังอยากจะถามอะไรอีก แต่โหราจารย์หญิงกลับคว้าแขนของเขาไว้แล้วขว้างไข่มุกเคลื่อนย้ายก่อนจะพาเขาเข้าไปในค่ายกลเคลื่อนย้าย
ทว่าแม้นางจะเข้าไปด้านในแล้วแต่ก็ยังถูกปราณเซียนอันแข็งแกร่งนั่นจู่โจมจนบาดเจ็บหนัก นางรู้สึกเหมือนแผ่นหลังของตนถูกท่อนไม้ยักษ์ท่อนหนึ่งกระแทกอย่างแรง แรงกระแทกทำให้อวัยวะภายในเหมือนจะเคลื่อนออกจากตำแหน่ง
นางกระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง!
ฉินเซวียนตกใจรีบเข้าไปประคองนางไว้ “อาจารย์! อาจารย์! อาจารย์!”
…
หลังจากศึกใหญ่ผ่านพ้นที่แห่งนั้นก็เงียบสงบ ในหุบเขามีศพของกองทัพเผ่ามารนอนตายระเกะระกะ หลิงจือสูดอากาศที่สมควรจะอบอวลด้วยกลิ่นคาวเลือด แต่กลับได้กลิ่นหอมรวยรินของดอกบัวอันเย็นสบาย
มังกรมารน้อยไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรอบด้านแม้แต่น้อย นางกลิ้งไปกลิ้งมา ล้มตัวไปล้มตัวมา หันหัวกลับลงมาด้านล่าง กระดุกกระดิกหาง ตีลังกาอยู่ในก้อนพลังปราณ
ชิงสุ่ยเจินเหรินจ้องมองนาง ความอ่อนโยนในแววตาแทบจะคั้นออกมาเป็นน้ำได้ พอเห็นนางเล่นอย่างสนุกสนาน ชิงสุ่ยเจินเหรินก็ดึงก้อมเมฆมาก้อนหนึ่ง มังกรมารน้อยลื่นไถลพรวดเขาไปในก้อนเมฆ
ร่างมังกรมากกว่าครึ่งถูกเมฆารายล้อม มีเพียงหางน้อยๆ ที่เคลื่อนไหวปัดป่ายไปมาอย่างตื่นเต้น แต่สะบัดได้ครู่เดียว หางน้อยก็หยุดนิ่ง ดูเหมือนว่ามังกรมารน้อยจะหมอบอยู่ในก้อนเมฆนุ่มนิ่ม นอนหลับลมหายใจสม่ำเสมอไปแล้ว
ชิงสุ่ยเจินเหรินเหาะเข้ามาอุ้มมังกรมารน้อยออกมาจากในก้อนเมฆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมาถอดห่วงทองคำบนลำคอของนางออก มังกรน้อยแปลงร่างดัง ปุ้ง!
หลิงจือเห็นเด็กในอ้อมแขนของชิงสุ่ยเจินเหรินก็อ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง “เวยเวย!”
ไม่นานประมุขเหลยกับลู่หยวนเจิ่นก็รีบเร่งเดินทางมาถึง
พวกเขาสองคนมาตามหาเจ้าสำนักสวี่ พวกเขาจำได้ว่าเจ้าสำนักสวี่ถูกอสนีบาตฟาดจนปลิวมาแถวนี้ เหตุไฉนจึงสัมผัสกลิ่นอายของเขาไม่ได้เลยนะ
ทั้งสองคนบินลงมาในหุบเขา
ลู่หยวนเจิ่นร่อนลงมาเหยียบพื้น ดินในหุบเขาช่างดีจริงๆ นุ่มนิ่มแล้วยังเด้ง เขาเหยียบๆ เหยียบๆ แล้วก็เหยียบอีกหน “โฮ่ สบายดีจริง! ประมุขเหลย เจ้าสำนักคงไม่ได้ตายแล้วกระมัง”
เจ้าสำนักสวี่ที่ถูกเหยียบก้น “…”
จู่ๆ ก็ไม่อยากพูดกับเจ้าเด็กคนนี้แล้ว
…
เรื่องของชิงสุ่ยเจินเหรินกับมังกรมารน้อยแพร่ไปทั่วสำนักเชียนหลันแล้ว ผู้ใดก็คิดไม่ถึงว่าบุตรสาวของชิงสุ่ยเจินเหรินกลับไม่ใช่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดา แต่กลับเป็นเฉียวเวยเวยเจ้าซาลาเปาน้อยไร้ประโยชน์ แน่นอนไม่มีผู้ใดคิดว่าความจริงแล้วเจ้าตัวน้อยไร้ประโยชน์เฉียวเวยเวยคนนี้เป็นมังกรมารน้อยตัวหนึ่ง
หากจะถามว่าเรื่องใดทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจมากกว่ากัน ก็คงต้องแล้วแต่มุมมองของแต่ละคน
นับตั้งแต่เด็กสาวรากปราณสวรรค์รู้ความจริงก็ขังตนเองอยู่ในห้อง นางไม่กินข้าวสักเมล็ด ใช้น้ำตาล้างหน้า
ผู้พิทักษ์รองเดินเข้าไปปลอบโยนนาง “…อาจารย์ผิดเองที่เข้าใจผิดทำให้เจ้าดีใจเก้อเสียได้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ร่ำไห้ “เข้าใจผิดได้เช่นไรกัน ข้ามีรากปราณสวรรค์ ไม่ใช่ว่ามีแต่สายเลือดของเซียนจึงจะมีรากปราณสวรรค์หรอกหรือ แล้ว…อีกอย่างอาจารย์ก็ใช้อาวุธทดสอบข้าแล้วด้วย ท่านบอกว่าบนร่างของข้ามีกลิ่นอายของชิงสุ่ยเจินเหรินจริงๆ นี่นา”
“เรื่องนี้…” ผู้พิทักษ์รองไม่รู้ว่าสมควรจะอธิบายเรื่องนี้กับนางอย่างไร ความจริงแล้วนางเสียใจมากเท่าใด ผู้พิทักษ์รองมีแต่จะเสียใจมากกว่า ตอนนั้นนางทุ่มสุดชีวิตตามหาเด็กคนนี้จนพบ แล้วยังยอมละเมิดกฎอย่างไม่เสียดาย เอานางเข้ามาเป็นศิษย์ของตนเอง แต่เดิมคิดว่าในที่สุดนางก็ชนะศิษย์พี่ของนางได้สักหน ผู้ใดจะคิดว่าสุดท้ายนางก็ยังถูกศิษย์พี่ตบหน้ารัวๆ อยู่ดี
ผู้พิทักษ์รองคับแค้น อัดอั้นตันใจยิ่งนัก!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ร่ำไห้ “อาจารย์ ท่านตอบมาสิเจ้าคะ!”
ผู้พิทักษ์รองถอนหายใจ “แรกเริ่ม…ข้าไม่รู้ว่าบุตรของชิงสุ่ยเจินเหรินอายุเท่าใด ชิงสุ่ยเจินเหรินกลัวว่าจะมีผู้ใดทำร้ายบุตรของตนจึงไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับบุตรของเขา รู้เพียงว่าเป็นบุตรสาว ยามนั้นสำนักมากมายต่างช่วยกันสืบหาที่อยู่ของบุตรสาวของเขา…
…ข้าบังเอิญพบเจ้าที่ตระกูลฉิน ข้าพบว่าตัวเจ้ามีกลิ่นอายของชิงสุ่ยเจินเหริน ข้าถามครอบครัวของเจ้าก็ทราบว่าเจ้าเป็นเด็กที่เก็บมาเลี้ยง ตอนมารดาของเจ้าคลอดบุตร เด็กน้อยคนนั้นโชคร้ายไม่รอด บิดาของเจ้ากลัวว่ามารดาของเจ้าจะโศกเศร้า ดังนั้นจึงไหว้วานคนให้ซื้อเด็กน้อยมาคนหนึ่ง เด็กคนนั้นก็คือเจ้า เจ้าไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของตระกูลฉิน แล้วยังมีกลิ่นอายของชิงสุ่ยเจินเหริน…ดังนั้นข้าจึงพาเจ้ากลับมาที่สำนักเชียนหลัน ต่อมาเมื่อทดสอบพบว่าเจ้ามีรากปราณสวรรค์ ข้าจึงยิ่งมั่นใจว่าเจ้าคือสายเลือดของชิงสุ่ยเจินเหริน”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยอย่างเศร้าเสียใจ “ถ้าเช่นนั้นเหตุใดข้าจึงไม่ใช่เล่า”
ผู้พิทักษ์รองตอบว่า “ครานั้นที่ชิงสุ่ยเจินเหรินลงไปแดนล่างเพื่อตามหาบุตร เขาเคยช่วยทารกที่ถูกทอดทิ้งไว้คนหนึ่ง”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์แววตาสั่นระริก “ข้าหรือ”
ผู้พิทักษ์รองพยักหน้า
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ดังนั้นรากปราณของข้า…กลิ่นอายของข้า…ล้วนแต่เป็น…”
ผู้พิทักษ์รองถอนหายใจ กล่าวต่อว่า “ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยเจินเหรินทิ้งเอาไว้ให้เจ้ายามที่เขาช่วยเจ้า เขาไม่มีเวลาคอยเฝ้าดูเจ้าตลอดไป ดังนั้นจึงทิ้งปราณเซียนเอาไว้ให้เจ้าค่อยๆ รักษาตัวเองจนหายดี แต่การที่เจ้าสร้างรากปราณสวรรค์ออกมาได้นับว่าเป็นโชควาสนา ชิงสุ่ยเจินเหรินเคยช่วยคนเจ็บไข้ได้ป่วยในแดนล่างมานับไม่ถ้วน คนที่ถือกำเนิดรากปราณได้มีจำนวนไม่น้อย แต่คนที่สร้างรากปราณสวรรค์ออกมาได้มีเจ้าเพียงคนเดียว”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะร่ำไห้ด้วยความเศร้าเสียใจ
ผู้พิทักษ์รองรู้ดี ไม่ว่าตนจะพูดอะไรก็คงไม่ทำให้นางรู้สึกดีขึ้น สิ่งที่นางสูญเสียไปมิใช่บิดาคนหนึ่ง แต่เป็นฐานะและอนาคตที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากนางเป็นสายเลือดของเซียน…
แต่บนโลกใบนี้มีคำว่าถ้าหากที่ไหนเล่า
ความเลินเล่อหนหนึ่งของตนทำให้เด็กน้อยคนนี้ต้องแบกรับผลลัพธ์และผลพวงอันแสนสาหัสเช่นนี้
ผู้พิทักษ์รองหยิบยันต์แคล้วคลาดใบหนึ่งมาคล้องบนลำคอของเด็กสาวรากปราณสวรรค์อย่างแผ่วเบา “นี่เป็นคำขอโทษเล็กน้อยของอาจารย์”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ร่ำไห้ยิ่งกว่าเดิม
ผู้พิทักษ์รองกลับไปที่ห้องของตนเอง ผู้พิทักษ์ใหญ่ เจ้าสำนักสวี่ ประมุขเหลยและลู่หยวนเจิ่นรออยู่ที่นั่นนานแล้ว เจ้าสำนักสวี่ก้นบวมอยู่เล็กน้อยเขาจึงนั่งไม่ลง
เมื่อเขานั่งไม่ลง ผู้อื่นย่อมไม่กล้านั่ง
ในเมื่อความจริงเกี่ยวกับมังกรมารน้อยปรากฏแล้ว เรื่องของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ย่อมปกปิดไว้ไม่อยู่ ระหว่างทางที่กลับมา เพื่อให้ความจริงยามนั้นกระจ่าง ชิงสุ่ยเจินเหรินจึงเล่าทุกสิ่งให้พวกเขาฟังแล้ว
ฉินหลิงเอ๋อร์…ไม่ใช่ทารกที่ถูกทอดทิ้งธรรมดา
ในตอนนั้นชิงสุ่ยเจินเหรินช่วยเปลี่ยนรากปราณให้นางก็เพื่อช่วยชีวิตของนาง
“สวมยันต์แคล้วคลาดให้นางแล้วหรือยัง” เจ้าสำนักสวี่ถาม
ผู้พิทักษ์รองพยักหน้า “สวมแล้วเจ้าค่ะ”
เจ้าสำนักสวี่ทอดสายตามองรัตติกาลอันไร้ที่สิ้นสุด “หลังจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็ต้องดูโชคชะตาของเด็กคนนี้แล้ว”
…