ตอนพิเศษ 37-3 บิดาของเด็กแซ่เฉียวมาแล้ว ความจริงของบิดากับบุตรสาว
เฉียวเวยเวยกำลังถือขวดนมใบน้อย แต่เมื่อกลิ่นอายอันตรายเข้ามาใกล้ นางก็ส่งขวดนมให้จีเสี่ยวซิว มังกรมาน้อยจะออกโรงแล้ว
ชั่วพริบตาที่เห็นมังกรมาน้อย ผู้ฝึกตนมารก็อึ้งไปพร้อมกัน มังกรมารน้อยถลึงตาจ้องพวกเขาอย่างดุร้าย แรงกดข่มจากสายเลือดทำให้ผู้ฝึกตนมารทั้งหลายอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
โหราจารย์หญิงพลันพูดขึ้นมาว่า “แค่ลูกมังกรตัวหนึ่งเท่านั้น มีสิ่งใดน่ากลัวนัก ยังไม่รีบไปจับนางมาอีก”
ผู้ฝึกตนมารทั้งสามรวบรวมความกล้ากระโจนเข้าไปหามังกรมารน้อย ทว่ามังกรมารน้อยกลับอ้าปาก เปลวเพลิงร้อนระอุสายหนึ่งพุ่งออกมา
จีเสี่ยวซิวนิ่งอึ้ง เขามองขวดนมใบน้อยในมือ แล้วหันไปมองมังกรมารน้อยที่พ่นไฟได้ในที่สุด “โฮ่ ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว”
เพลิงมังกรไม่ใช่ไฟธรรมดา สิ่งที่มันแผดเผาไม่ใช่กายเนื้อแต่เป็นจิตตั้งต้น
ระดับการฝึกตนของผู้ฝึกตนมารทั้งสามร่วงหล่นลงมาชนิดที่ตาเปล่ามองเห็นได้ พลังปราณน้ำในอากาศใช้ดับเพลิงมังกรไม่ได้ ตอนที่โหราจารย์หญิงใช้อาคมดับเพลิงมังกรให้ แก่นพลังในร่างพวกเขาก็ถูกเผาจนสลายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ดวงตาของฉินเซวียนฉายแววริษยารุนแรงออกมาวูบหนึ่ง เป็นเพียงลูกมังกรตัวหนึ่งก็ร้ายกาจถึงเพียงนี้แล้ว…นี่น่ะหรือพลังของเผ่ามังกร
ผู้ฝึกตนมารจำนวนมากกว่าเดิมโถมเข้าใส่มังกรมารน้อย แล้วก็มีผู้ฝึกตนมารบางส่วนเห็นว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางจึงหันไปโจมตีจีเสี่ยวซิวที่อยู่ด้านหลังนางแทน
ผู้ฝึกตนมารตนหนึ่งใช้ตาข่ายขนาดใหญ่โยนใส่จีเสี่ยวซิว มังกรมารน้อยหันกลับมาพ่นเพลิงมังกรเพียงหนเดียว ตาข่ายขนาดใหญ่ก็ถูกเผาจนขาดวิ่น แต่เพลิงมังกรไม่ใช่สิ่งที่สร้างออกมาได้ไม่หมดไม่สิ้น นางอายุน้อยเกินไป พ่นเพลิงมังกรออกมาไม่กี่หนก็เหลือแต่ควัน
โหราจารย์หญิงเห็นว่าได้โอกาสแล้วจึงทะยานเข้ามาหมายคว้าตัวมังกรน้อยที่ใกล้จะต้านไม่ไหว
ทว่าในตอนนี้เองเงาร่างสีฟ้าขาวร่างหนึ่งก็เหาะเข้ามา กางข่ายอาคมชั้นหนึ่งเหนือศีรษะของมังกรมารน้อย ไม่สิพูดให้ถูกคือเหนือศีรษะของจีเสี่ยวซิว
โหราจารย์หญิงต้านข่ายอาคมไว้ด้วยฝ่ามือเดียว ข่ายอาคมระเบิดพลังปราณอันรุนแรงสายหนึ่งออกมา โหราจารย์หญิงผละกายถอยกลับมาได้ทันเวลา นางเพ่งสายตามอง “ครี่งเซียน…สำนักเชียนหลัน…เจ้าสำนักสวี่หรือ”
เจ้าสำนักสวี่เอ่ยเสียงเย็นชา “โหราจารย์แห่งเผ่ามารหรือ ข้าจำได้ว่าดินแดนของเผ่ามารอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พวกเจ้าเข้ามาในแดนกลางตามใจชอบ แล้วยังจะสังหารศิษย์สำนักเชียนหลันของข้าอีก อะไรกัน พวกเจ้าอยากจะเปิดศึกกับแดนกลางหรือ”
โหราจารย์หญิงยิ้ม “เจ้าสำนักสวี่เข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ได้จะลงมือสังหารศิษย์ของสำนักเชียนหลัน ความจริงพวกเรากำลังช่วยศิษย์ของสำนักเชียนหลันต่างหาก”
“ช่วยหรือ” เจ้าสำนักสวี่ขมวดคิ้ว
โหราจารย์หญิงอธิบายว่า “มังกรมารตัวนี้เป็นคนเผ่ามารของพวกเรา มันไม่เชื่อฟัง แอบหนีออกมา ระหว่างทางพบศิษย์ตัวน้อยของสำนักเชียนหลันเข้าก็คิดจะกินเขา หากไม่ใช่ว่าพวกเรารีบเร่งตามมาทันเวลา ศิษย์น้อยคนนี้คงจะกลายเป็นอาหารกลางวันของมังกรมารแล้ว”
จีเสี่ยวซิว “เจ้าโกหก!”
โหราจารย์หญิงหันไปมองจีเสี่ยวซิวแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่ามังกรมารน้อยดีต่อเจ้ามาก แต่เด็กน้อย เจ้าต้องเข้าใจว่ามังกรมารน้อยตัวนี้มีนิสัยเจ้าเล่ห์ พอมันเล่นเบื่อแล้วมันก็จะกินเจ้า”
มังกรมารมีนิสัยเช่นนั้นจริง มังกรมารเกิดมาก็ดุร้าย อีกทั้งยังชอบหยอกเหยื่อเล่น
เจ้าสำนักสวี่เริ่มหลงเชื่อแล้ว
โหราจารย์หญิงหลอกล่อต่อ “หากไม่ใช่เพื่อมาจับมังกรมาร พวกเราไยต้องข้ามดินแดนมาเล่า พวกเราเคารพแดนกลางอย่างยิ่ง นายน้อยของพวกเราก็เป็นบุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์แดนกลาง พวกเราไยต้องทำเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อแดนกลางด้วย”
คำพูดนี้ฟังดูแล้วมีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ
โหราจารย์หญิงถามขึ้นมาว่า “ตอนนี้ อนุญาตให้ข้าพามังกรมารกลับไปได้แล้วใช่หรือไม่”
จีเสี่ยวซิวกอดมังกรมารน้อยไว้ “ใม่ได้นะ!”
“เสี่ยวซิว!” เจ้าสำนักสวี่คว้าจีเสี่ยวซิวขึ้นมา “เจ้าบ้าหรือเจ้าโง่ มันกินเจ้าได้นะ!”
โหราจารย์หญิงสืบเท้าเข้ามาช้าๆ ท่าทางไม่เผยความเป็นอริแต่อย่างใด
เจ้าสำนักสวี่ไม่ขัดขวางนาง
มังกรมารน้อยเหน็ดเหนื่อยจนหมอบกระแตอยู่ที่พื้น มันกำลังคิดจะแปลงกายกลับเป็นมนุษย์ ทว่าโหราจารย์หญิงล้วงห่วงแสงวงหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วรัดใส่ลำคอของนางก่อน มังกรมารน้อยกลายร่างไม่ได้เสียแล้ว
โหราจารย์หญิงลูบลำคอมังกรมารน้อยอย่างอ่อนโยน “เจ้าสำนักสวี่ ตอนนี้ข้าพานางกลับไปได้แล้วใช่หรือไม่”
เจ้าสำนักสวี่มองมังกรตัวน้อยด้วยสีหน้าซับซ้อน เขาบอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดในใจจึงรู้สึกไม่ค่อยดีนัก แต่นี่เป็นเรื่องภายในเผ่ามารของผู้อื่น ไม่เหมาะที่เขาจะสอดมือเข้าไปยุ่ง “พวกเจ้าไปเถิด”
โหราจารย์หญิงใช้อาคมเสกกรงออกมาหนึ่งกรงแล้วขังมังกรมารน้อยไว้ด้านใน
“ฮึอออ!” มังกรมารน้อยสะอื้นอย่างเศร้าสร้อย
จีเสี่ยวซิวปิดตาลง จิตตั้งต้นของใต้เท้าเจ้าตำหนักเข้าไปในแดนยมโลก พยายามจะพามังกรมารน้อยเข้าไปด้วยกัน แต่กลับพบว่าห่วงแสงอันนั้นตรึงมังกรมารน้อยอยู่กับที่
บนห่วงแสงนั่นมีปราณเซียนอยู่!
แปลกแล้ว เหตุไฉนเผ่ามารจึงเอาสิ่งของของพวกเซียนมาได้
ขณะที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักกำลังคิดไม่ตก บนท้องฟ้าก็มีแถบกระดาษแผ่นหนึ่งลอยละล่องลงมา เขาคลี่ออกอ่าน ‘หากหนหน้ากล้าไม่เคารพท่านเซียนผู้นี้อีก ข้าจะจับเจ้าไปขังไว้ข้างใน’
ใต้เท้าเจ้าตำหนักขยี้กระดาษแผ่นนั้นจนแหลก กงซุนฉางหลี ดี ดีมาก!
จีเสี่ยวซิวลืมตาแล้วบอกเจ้าสำนักสวี่ว่า “นางคือเวยเวย นางไม่ใช่คนของเผ่ามาร! จะให้พวกเขาพานางไปไม่ได้!”
“เจ้าพูดเหลวไหลอันใด” เจ้าสำนักสวี่หน้าบึ้ง
จีเสี่ยวซิวพูดต่อ “ข้าไม่ได้พูดเหลวไหล! นางคือเวยเวย!”
โหราจารย์หญิงปิดประตูกรงอย่างเชื่องช้า “เขาคงจะต้องมนตร์มายาของมังกรมารอยู่”
เจ้าสำนักสวี่ก็คิดว่าเด็กน้อยคนนี้ต้องมนตร์มายาเช่นกัน หากเวยเวยเป็นมังกรมารจริงๆ เหตุใดพวกเขาจึงสัมผัสกลิ่นอายของมังกรมารไม่ได้สักนิดเลยเล่า
เจ้าสำนักสวี่ใช้อาคมปิดปากของจีเสี่ยวซิวแล้วอุ้มจีเสี่ยวซิวขึ้นไปบนเรือเหาะ
เรือเหาะแล่นฟิ้วหายลับไป มังกรมารน้อยที่ถูกทอดทิ้งเอาตัวกกระแทกกรงอย่างสุดกำลัง กระแทกจนเกล็ดมังกรหลุดออกมา โหราจารย์หญิงเก็บเกล็ดมังกรโชกเลือดพวกนั้นขึ้นมาส่งให้ลูกน้องด้วยใบหน้าเรียบเฉย “เอาไปทำอาวุธ”
…
ณ แดนเซียน ชิงสุ่ยเจินเหรินเลิกเก็บตัวฝึกวิชาแล้ว
สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากเลิกเก็บตัวฝึกวิชาก็คือเรียกศิษย์ที่เพิ่งกลับมาจากแดนมนุษย์มาถามว่า “เป็นเช่นไรบ้าง สืบข่าวของนางมาได้หรือไม่”
ศิษย์ตอบอย่างนอบน้อม “พบตัวคุณหนูแล้วขอรับ นางอยู่ที่สำนักเชียนหลัน ผู้พิทักษ์ของสำนักเชียนหลันเป็นคนตามหานางพบ”
ชิงสุ่ยเจินเหรินดีใจยิ่งนัก “ผ่านไปเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ตามหานางพบเสียที เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…นางอยู่ที่สำนักเชียนหลันสินะ”
ศิษย์ตอบว่า “ขอรับ ท่านเซียน คุณหนูอยู่ที่สำนักเชียนหลัน หลายเดือนก่อนสำนักเชียนหลันยังอยู่ที่แดนล่างอยู่ แต่ตอนนี้พวกเขาย้ายมาที่แดนกลางแล้ว ท่านเซียน ท่านจะไปแดนกลางหรือไม่”
ชิงสุ่ยเจินเหรินดีอกดีใจจนเสียงเริ่มสั่นพร่า “แน่นอนต้องไปสิ ข้าตามหานางมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดก็ได้ข่าวของนางเสียที…เจ้าเตรียม…ช่างเถิด ไม่ต้องเตรียมแล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
“โธ่ ท่านเซียน! ท่านเซียน! ยอดเซียนเรียกท่านไปหานะขอรับ! ท่านเซียน!”
…
ชิงสุ่ยเจินเหรินลงมายังโลกมนุษย์แล้วกดพลังของตนให้ลงมาที่ขอบขั้นครึ่งเซียน แม้จะทำเช่นนี้แล้วแต่ยามที่เขาเหยียบเข้ามาในแดนกลาง ท้องนภาของแดนกลางก็ยังสั่นไหวอย่างห้ามไม่ได้
ชิงสุ่ยเจินเหรินเหาะไปที่สำนักเชียนหลัน
ท่ามกลางศิษย์ของสำนักเชียนหลันที่กำลังนั่งสมาธิซึมซับพลังปราณอยู่ จู่ๆ คุณชายน้อยหรงก็ตะโกนขึ้นมา “เอ๊ะ! พวกเจ้าดูสิ!”
ทุกคนมองไปตามทิศทางที่เขาชี้ เห็นท้องนภาแหวกออกเป็นช่องสีทอง ชายหนุ่มผู้งามสง่าดุจเทพเซียนคนหนึ่งเหาะออกมาจากด้านใน ชั่วพริบตานั้นพลังปราณในสำนักเชียนหลันก็เพิ่มพรวดขึ้นหลายเท่า
ทุกคนต่างตกตะลึง
ชิงสุ่ยเจินเหรินเหาะลงมาเบื้องหน้าทุกคน ผู้ดูแลหลิวมองเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อ เพียงมองอีกฝ่ายแวบเดียวเขาก็รู้สึกว่าตนเองได้บรรลุมรรคาสวรรค์ เขารู้สึกว่าตนเองกำลังจะเลื่อนขั้นแล้ว!
ไม่เพียงแต่ผู้ดูแลหลิวที่เป็นเช่นนี้ ศิษย์ที่นั่งอยู่ตรงนั้นมีหลายคนไม่เลื่อนขั้นมาหลายสิบปีแล้ว แต่เพียงเพราะมองเห็นชิงสุ่ยเจินเหรินเพียงแวบเดียว พวกเขาก็บรรลุวิชา
ศิษย์หนึ่งคน สองคน สามคน สี่คน…สิบคน…ยี่สิบคน!
ศิษย์ทั้งหมดยี่สิบคนเริ่มเลื่อนขั้นตรงนั้น!
ผู้ดูแลหลิวกดความต้องการที่จะเลื่อนขั้นเอาไว้ แล้วเดินมาตรงหน้าชิงสุ่ยเจินเหริน “ขอเรียนถามมิทราบว่าท่านคือ…”
ชิงสุ่ยเจินเหรินตอบเสียงอ่อนโยน “ข้าคือชิงสุ่ยเจินเหริน”
“ท่านพ่อหรือเจ้าคะ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก้าวออกมาจากหมู่คน
ชิงสุ่ยเจินเหรินหันมามองนาง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ปลดผ้าคลุมหน้าที่ไม่เคยถอดต่อหน้าผู้ใดออกอย่างเชื่องช้า นางตื้นตันจนขอบตาแดงระเรื่อ ตื่นเต้นยินดีจนหัวใจมิอาจสงบ “ท่าน…ท่านคือชิงสุ่ยเจินเหรินจริงหรือเจ้าคะ”
“ใช่แล้ว”
“ท่านพ่อ!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์โผเข้าไปหาอ้อมกอดของเขา
ทว่าชิงสุ่ยเจินเหรินกลับยื่นมือออกมาแตะหน้าผากของนาง “เจ้าจำคนผิดแล้ว ข้ามิใช่บิดาของเจ้า”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ตกตะลึงนิ่งอึ้ง
ผู้ดูแลหลิวก็ตกตะลึงเช่นกัน
ชิงสุ่ยเจินเหรินเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “บุตรสาวข้านามว่าเวยเวย นางเป็นมังกรน้อยตัวหนึ่ง”