ตอนพิเศษ 37-2 บิดาของเด็กแซ่เฉียวมาแล้ว ความจริงของบิดากับบุตรสาว
แดนยมโลกเป็นดินแดนที่กว้างขวางที่สุดในทั้งหมดหกดินแดน มันทับซ้อนกับดินแดนทุกแห่ง เหมือนกับมิติแห่งหนึ่งที่ทับอยู่กับมิติอีกแห่งหนึ่ง ทางเข้ากับทางออกของมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ชั่วพริบตาก่อนใต้เท้าเจ้าตำหนักยังอยู่ที่แดนเซียน แต่ชั่วพริบตาต่อมาเขาก็มาถึงถ้ำของเผ่าเงือกแล้ว
ข่ายอาคมนี้เป็นสิ่งที่ราชาเงือกสร้างขึ้น เขาย่อมมีหนทางเข้าไป เมื่อทั้งสองคนเข้าไปในถ้ำก็เห็นชาวเผ่ากำลังดูแลราชินีเงือกที่นอนอยู่บนเตียง
ยามนี้ทั้งสองคนเป็นเพียงเสี้ยววิญญาณ นอกจากเฉียวเวยเวยไม่มีผู้ใดมองเห็นพวกเขา
ราชาเงือกก้าวเท้าอันหนักอึ้งเข้าไปหาภรรยาทีละก้าว เขาเอื้อมมือออกมา ปรารถนาจะสัมผัสดวงหน้าของภรรยา ทว่ามือกลับทะลุใบหน้าของนางไป
ใต้เท้าเจ้าตำหนักกล่าวว่า “เจ้ามีเพียงเศษเสี้ยววิญญาณ สัมผัสนางไม่ได้”
ดวงวิญญาณไม่มีน้ำตา แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักรู้สึกว่าราชาเงือกกำลังร่ำไห้
ร่างของราชาเงือกสั่นเทาเบาๆ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักกล่าวว่า “แต่ถึงเจ้าจะสัมผัสร่างกายของนางไม่ได้ แต่เจ้าสัมผัสจิตตั้งต้นของนางได้”
ราชาเงือกชะงักกึก เขาหันขวับมาอย่างไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเขาก็เห็นราชินีเงือกหลั่งน้ำตามองเขาอยู่ด้านหลังไม่ไกลนัก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักลูบคาง จิตตั้งต้นหลั่งน้ำตาได้ด้วยหรือนี่
ราชาเงือกเดินเข้าไปหาอย่างเผลอไผล “อาเหยา!”
น้ำตาของราชินีเงือกร่วงพรูลงมา “ฝ่าบาท!”
ราชาเงือกยกมืออันสั่นเทาขึ้นมาสัมผัสดวงหน้าของนางอย่างระมัดระวัง แม้จับต้องได้ไม่เหมือนจริงเท่ากายเนื้อ แต่ก็นับว่าสัมผัสนางได้แล้ว “อาเหยา…ข้ากลับมาแล้ว…”
ราชินีเงือกกดฝ่ามือของเขาที่ทาบอยู่บนใบหน้าของตนเอง น้ำตาทะลักออกมาดั่งน้ำพุ “ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว…ข้าคิดว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่ได้พบท่านอีกแล้ว…”
เสียงโครมดังสนั่นเลือนลั่น ถ้ำสั่นระริก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตะโกนทักคำหนึ่งว่า “เผ่ามารใกล้จะบุกเข้ามาแล้ว อย่าเพิ่งพลอดรักกันจะได้หรือไม่”
หลังจากราชินีเผ่าเงือกปาดน้ำตา นางก็กุมมือสามีแล้วบอกว่า “ฝ่าบาท ข้ารับปากใต้เท้าเจ้าตำหนักไว้ว่าขอเพียงเขาพาดวงวิญญาณของท่านกลับมา ท่านจะรักษามังกรน้อยตัวนั้นให้”
“มังกรน้อยหรือ” ราชาเงือกประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นจึงหันไปมองเฉียวเวยเวย
ตอนที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักออกไป เฉียวเวยเวยกำลังกินปลาน้ำแข็งอยู่ ตอนกลับมานางก็ยังกินปลาน้ำแข็งตัวน้อยอยู่เช่นเดิม นางนั่งอยู่ในกรงเช่นนั้นโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองถูกผู้อื่นขังอยู่สักนิด
“นางอย่างนั้นหรือ” ราชาเงือกจำเฉียวเวยเวยได้ “ลูกของจอมมารสินะ”
“เจ้าก็รู้หรือ ตอนที่นางเกิดเหมือนจะเป็นหลังจากที่เจ้าเข้าไปอยู่ในหอสงบวิญญาณนะ” ใต้เท้าเจ้าตำหนักถามจบก็นึกเสียใจ เผ่าเงือกมีพลังวิญญาณแข็งแกร่งอย่างน่าตะลึง ราชาเงือกเป็นเงือกที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งที่สุด เขาย่อมรับรู้เรื่องราวได้มากเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ
ไม่ผิดจากที่คาด ราชาเงือกตอบว่า “จิตตั้งต้นของข้ายังอยู่ ข้าจึงรับรู้ยามที่จอมมารให้กำเนิดนาง จอมมารยังไม่ทันประกาศแก่ใต้หล้าก็ถูกมหาอัสนีวิบากฟาดใส่จนกายเนื้อมลาย จิตตั้งต้นของจอมมารมิรู้ว่าพลัดไปอยู่ที่ใด น่าสงสารเด็กคนนี้ ใบหน้าของมารดาผู้ให้กำเนิดยังมิทันได้เห็นก็ถูกผู้อื่นจับโยนลงทะเลมรณะ…
…แต่ก่อนจอมมารจะจากไป นางใช้ดวงจิตเสี้ยวหนึ่งห่อหุ้มตัวบุตรสาวเอาไว้ ระหว่างที่เด็กน้อยลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหลายปีจึงได้ดวงจิตของจอมมารปกป้องมาตลอด ต่อมาดวงจิตของจอมมารถูกใช้ไปจนหมดสิ้นแล้ว นางจึงถูกทะเลมรณะกลืนกิน ข้าคิดว่านางตายไปแล้วเสียอีก คิดไม่ถึงว่าจะยังมีชีวิตอยู่ ดูท่าทางแล้วคงมีชีวิตอยู่ดีเสียด้วย เหมือนว่าจะมี…ใครบางคนคอยใช้พลังปราณหล่อเลี้ยงนางมาตลอด แต่อาการบาดเจ็บของนางไม่ใช่สิ่งที่พลังปราณจะรักษาได้”
ราชาเงือกพูดพลางก็หันไปมองใต้เท้าเจ้าตำหนัก “ให้จิตตั้งต้นของภรรยาข้ากลับเข้าร่างก่อนเถิด ข้าต้องการความช่วยเหลือของนาง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพยักหน้า จากนั้นจึงส่งจิตตั้งต้นของราชินีเงือกกลับเข้าไปในร่างของนาง
ราชินีที่อยู่บนเตียงลืมตาขึ้นมา ชาวเผ่าเงือกร้องตะโกนอย่างดีอกดีใจ
ราชินีเงือกเดินเข้าไปในกรงของเฉียวเวยเวยแล้วมองเฉียวเวยเวยอย่างอ่อนโยน “กินอิ่มแล้วหรือไม่ เวยเวย”
เฉียวเวยเวยกะพริบตาปริบหนึ่งแล้วหันมามองนาง ก่อนจะร้องอื้อออกมาคำหนึ่งแล้ววางปลาน้ำแข็งตัวน้อยในมือ
ราชินีเงือกอุ้มเฉียวเวยเวยขึ้นมา เฉียวเวยเวยไม่ขัดขืนสักนิด นางมองดวงตาใสดุจน้ำพุที่ทำให้คนหวั่นไหวคู่นั้นของราชินีเงือก แล้วจู่ๆ ก็ขยับเข้าไปจุ๊บบนดวงตาของนางเบาๆ แม้แต่หลิงจือ นางก็ยังไม่เคยจุ๊บมาก่อนเลยนะ แต่ดวงตาคู่นี้งดงามเกินไปแล้วจริงๆ
ราชินีเงือกยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วอุ้มเฉียวเวยเวยเข้ามาในห้องนอนของตนเอง ราชินีเงือกวางนางลงบนเตียงกว้างอันนุ่มนิ่ม แล้วฮัมเพลงเสียงไพเราะสะท้อนก้องไปมาเบาๆ เปลือกตาของเฉียวเวยเวยเริ่มหนักอึ้ง จากนั้นศีรษะเล็กจ้อยก็พับตกไปด้านข้างจมลงสู่ห้วงนิทรา
ราชาเงือกอธิบายให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักฟังว่า “กระบวนการนี้จะเจ็บปวดอยู่บ้าง ดังนั้นให้นางสลบไปจึงดีที่สุด”
“รักษาหายแล้วนางจะเติบโตได้หรือไม่” ใต้เท้าเจ้าตำหนักถาม
“ประเดี๋ยวเดียวก็จะเห็นผล” ราชาเงือกเอ่ยตอบ
ราชาเงือกทาบมือลงบนหน้าผากของเฉียวเวยเวย จากนั้นกรอกพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งสายหนึ่งเข้าไป บีบให้ไอมรณะในร่างของเฉียวเวยเวยเคลื่อนออกมาทีละน้อย เมื่อไอมรณะสายสุดท้ายถูกไล่ออกมาจากร่าง ร่างกายของเฉียวเวยเวยก็พลันเปล่งแสงสีทอง
ปุ้ง!
ไอหมอกสีขาวห้อมล้อมเฉียวเวยเวย เมื่อหมอกสีขาวกระจายหายไป เฉียวเวยเวยก็ตัวใหญ่ขึ้นมา….หนึ่งมิลลิเมตร
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหน้าดำทะมึน
ราชาเงือกกระแอม แล้วบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “โตขึ้นเพียงน้อยนิดเท่านี้ท่านก็ควรยิ้มแล้ว ท่านคิดว่ามังกรมารเลี้ยงง่ายนักหรือ นางไม่เคยได้กินน้ำนมแม้แต่คำเดียวด้วยซ้ำ”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสีหน้าเย็นชาทันควัน “ข้าไม่มีวันป้อนนมให้นางอย่างเด็ดขาด!”
หนึ่งเค่อหลังจากนั้นจีเสี่ยวซิวผู้อายุสามขวบก็ออกไปปล้นเหอหลี[1] น้อยที่ยังอยู่ในช่วงกินนมตัวหนึ่ง จากนั้นจึงเชิดคาง ยัดขวดใบน้อยที่บรรจุน้ำนมเหอหลีใส่มือของเฉียวเวยเวยอย่างองอาจ!
เฉียวเวยเวยกอดขวดนมใบน้อยแล้วดื่มอึกๆ
ในเมื่อเรื่องของมังกรน้อยคลี่คลายแล้ว ตอนนี้ก็สมควรคุยเรื่องสำคัญอีกสองเรื่องเสียที
จีเสี่ยวซิวบอกราชินีเงือกว่า “ข้าจะเบิกเนตรสวรรค์ให้เจ้า ต่อให้เจ้าออกไปจากแดนยมโลกแล้วก็จะยังมองเห็นจิตตั้งต้นของเขาอยู่ แต่คนในเผ่าของเจ้าจะมองไม่เห็น แล้วก็ข้าลงผนึกไว้นอกจิตตั้งต้นของเขา ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้หอสงบวิญญาณจะไม่รับรู้ถึงกลิ่นอายวิญญาณเซียนของเขา แต่ผนึกนี้คงอยู่ได้ไม่นานนัก พวกเจ้าจะต้องหาร่างที่เหมาะสมให้เขาภายในสามเดือน มิเช่นนั้นดวงวิญญาณเซียนของเขาจะถูกหอสงบวิญญาณเก็บกลับไปอีกหน”
สองสามีภรรยามองตากันแล้วพยักหน้า
เรื่องนี้ไม่ยาก ขอเพียงพวกเขากลับไปที่ทะเลหนานไห่ได้ ย่อมหาได้อย่างรวดเร็ว
จีเสี่ยวซิวเอ่ยต่อว่า “เรื่องที่สอง แล้วก็เป็นเรื่องสุดท้าย น้ำพุหมื่นราตรีที่พวกเจ้ารับปากข้าไว้เล่า”
ราชาเงือกสีหน้าบึ้งตึงขึ้นมาทันควัน “ท่านว่าอะไรนะ”
“น้ำพุหมื่นราตรี อะไร คิดจะกลับคำหรือ”
“เจ้า…”
“ฝ่าบาท!” ราชินีเงือกห้ามเขาไว้ “ท่านโปรดระงับโทสะก่อน ข้าเป็นคนยินยอมเอง ข้ารับปากใต้เท้าเจ้าตำหนักเอาไว้ว่าหลังเรื่องนี้บรรลุ ข้าจะยกน้ำพุหมื่นราตรีให้เขา”
“แต่ว่าเจ้า…”
ราชินีเงือกยิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าไม่เป็นอะไร ขอเพียงได้ท่านกลับมา ข้าไม่มีน้ำพุหมื่นราตรีก็ได้”
จีเสี่ยวซิวมองทั้งสองคนอย่างฉงนสงสัย
ราชินีเงือกยิ้มน้อยๆ แล้วยกมือขึ้นลูบตรงดวงตาเบาๆ ไข่มุกแวววาวสีฟ้าอ่อนสองเม็ดพลันปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือของนาง เมื่อนางกำฝ่ามือเข้าหากัน ไข่มุกแวววาวพลันประสานเป็นหนึ่งเดียว
“น้ำพุหมื่นราตรีก็คือดวงตาของข้าเอง”
นางเอ่ยอย่างไม่เสียดายแต่อย่างใด
…
การโจมตีของเผ่ามารรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข่ายอาคมเริ่มปรากฏรอยแตกร้าว เผ่าเงือกไม่ถนัดการต่อสู้แต่กำเนิด นอกจากราชาเงือก ชาวเงือกตนอื่นต่างไม่มีพลังพอจะต่อกรกับเผ่ามาร ราชาเงือกไม่ต้องการเสี่ยงอันตราย เขาต้องการพาคนในเผ่าของเขาหนี แต่เขาไม่อาจพาจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวยไปด้วยได้ เพราะพวกเด็กๆ จะล่อเผ่ามารให้ตามมา
ราชาเงือกรู้ชัดว่าสิ่งที่เผ่ามารต้องการที่สุดคือสิ่งใด หากไม่ใช่เพราะมีมังกรน้อยตัวนี้ ชั่วชีวิตพวกเขาก็คงไม่อาจสลัดหลุดจากการไล่ล่าของเผ่ามาร แต่ตอนนี้เผ่ามารต้องการมังกรน้อยตัวนี้มากกว่า นี่เป็นโอกาสหนีเอาชีวิตรอดเพียงหนึ่งเดียวของพวกเขา
ราชาเงือกไม่รู้สึกว่าเขาทำสิ่งใดผิดต่อเจ้าตำหนักกับมังกรน้อยสักนิด แม้แต่ดวงตาของภรรยาเขา เขาก็ยกให้ไปแล้วนี่!
ราชาเงือกทิ้งข่ายอาคมชั้นหนึ่งไว้ให้เด็กน้อยทั้งสอง “หวังว่าพวกเจ้าจะทนได้จนถึงตอนที่สำนักเชียนหลันมาถึง”
หลังจากนั้นราชาเงือกก็ใช้จิตตั้งต้นอันแข็งแกร่งเปิดข่ายอาคมพาคนในเผ่าจากไป
ฉินเซวียนเห็นการเคลื่อนไหวบนท้องฟ้าเป็นคนแรก “อาจารย์ ท่านดูนั่น พวกเผ่าเงือก! พวกเขาจะหนีแล้ว!”
โหราจารย์หญิงหรี่ตาลง “ราชาเงือกกลับมาแล้ว! ช่างเถิด ปล่อยพวกเขาหนีไป ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมังกรน้อยตัวนั้น ส่วนเผ่าเงือก…วันหน้าค่อยคิดหาวิธีจัดการ!”
ไม่มีราชาเงือกปกป้อง ข่ายอาคมนี้ย่อมอ่อนแอจนแทบจะไม่ทนสักการโจมตี โหราจารย์หญิงซัดฝ่ามือหนึ่งเข้าใส่ ข่ายอาคมก็ส่งเสียงดัง เพล้ง! ระเบิดกระจุยเป็นชิ้นๆ ในทันที
“ไป ไปจับมังกรน้อยตัวนั้นมา”
โหราจารย์หญิงออกคำสั่ง ผู้ฝึกตนมารระดับประสานเม็ดตันสามตนเดินเข้าไปหาเฉียวเวยเวย
[1]เหอหลี คือบีเวอร์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลฟันแทะชนิดหนึ่ง สร้างรังด้วยการนำไม้ หินและโคลนมาสร้างเขื่อนกั้นน้ำตามแหล่งน้ำ