ตอนพิเศษ 36-2 โหราจารย์มาเยือน เงือกแห่งทะเลหนานไห่
อีกด้านหนึ่ง จีเสี่ยวซิวพบกับ ‘ผู้อยู่อาศัย’ ภายในถ้ำแล้ว เขาคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นเงือกแห่งทะเลหนานไห่ผู้มีสีหน้าเย็นชาประหนึ่งน้ำแข็งกลุ่มใหญ่
เงือกเป็นเผ่าพันธุ์อันน่าอัศจรรย์เผ่าพันธุ์หนึ่ง พวกเขามีตัวเป็นมนุษย์มีหางเป็นมัจฉา ไม่ว่าบุรุษหรือสตรีล้วนรูปงาม พวกเขาครอบครองรูปโฉมที่งดงามที่สุดในใต้หล้า เงือกแต่ละตนล้วนเหมือนก้าวออกมาจากภาพวาดประดับฝาผนัง เสียงเพลงของพวกเขาทำให้คนลุ่มหลงประหนึ่งเสียงจากสรวงสวรรค์ ตำนานเล่าว่าเสียงเพลงของพวกเขามีพลังล่อลวงจิตใจผู้คน ผู้ที่ได้ยินเสียงเพลงของเงือกจะมอบวิญญาณของตนให้ไปโดยควบคุมตนเองไม่ได้
ถึงขั้นมีตำนานเล่าว่าพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งของเผ่าเงือกได้มาจากการกลืนกินดวงวิญญาณมากมายของผู้ถูกสะกด
จีเสี่ยวซิวคิดว่าตำนานเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ
เพราะเสียงของเงือกเหล่านี้ไม่ไพเราะสักนิด มีแต่ดุร้ายทั้งนั้น!
เงือกชายตนหนึ่งลอยอยู่ในน้ำ มันใช้หอกยาวในมือจิ้มเส้นผมของจีเสี่ยวซิว “เด็กน้อย เจ้าเป็นเผ่ามารใช่หรือไม่!”
จีเสี่ยวซิวตอบว่า “ข้าไม่ใช่เผ่ามาร พวกเราเพียงไม่ทันระวังพลัดเข้ามาเท่านั้น มิได้มีเจตนาจะล่วงเกินพวกท่าน พวกท่านปล่อยพวกเราไปเถิด”
เงือกชายสูดดมกลิ่นบนตัวเขา เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง จึงเอ่ยกับเขาว่า “เจ้าไปได้ แต่นางไปไม่ได้! นางเป็นมังกรมาร พวกเราต้องสังหารนางเสีย!”
สิ้นคำพูดของเขา แววตาของจีเสี่ยวซิวพลันเย็นยะเยือกลงทันที
เพียงพริบตาต่อมาเหล่าเงือกที่แต่เดิมอยู่ในถ้ำก็ร่วงหล่นลงไปในสถานที่อันดำมืดแห่งหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีหมอกสลัวปกคลุม มีแสงสลัวๆ เพียงเสี้ยวเดียวอยู่ตรงขอบฟ้าอันไกลโพ้น จิตตั้งตนของใต้เท้าเจ้าตำหนักลอยอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองพวกเขาจากเบื้องบน แรงกดข่มอันแข็งแกร่งกดทับจิตตั้งต้นของเหล่าเงือกราวกับภูเขาไท่ซาน
เงือกทั้งหลายตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง พวกเขาไม่เข้าใจว่านี่คือสถานที่ใด เหตุไฉนจู่ๆ พวกเขาจึงออกจากถ้ำมาได้ ข่ายอาคมทลายแล้วหรือ
เสียงเย็นชาของใต้เท้าเจ้าตำหนักดังเอื่อยเฉื่อยขึ้นเหนือศีรษะของทุกตน “หากนางตาย พวกเจ้าทุกตนก็ต้องลงสุสานเป็นเพื่อนนางด้วย”
“รวมถึงตัวท่านเองด้วยหรือไม่”
เสียงอ่อนโยนฟังดูล่องลอยเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังของทุกคน เสียงนี้ไพเราะยิ่งนัก มันนุ่มนวลดุจก้อนเมฆ เย็นฉ่ำดุจสายวาโย นำความเพลิดเพลินอันอธิบายไม่ถูกมาให้กับผู้ฟังทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกสบายปลอดโปร่งไปทั่วร่าง
เจ้าของเสียงคือเงือกสาวที่เสกหางให้กลายเป็นสองขาคนหนึ่ง ร่างกายของนางสูงโปร่งกว่าหญิงสาวปกติทั่วไปเล็กน้อย เรือนผมยาวเป็นสีฟ้าอ่อน ดวงหน้างามวิลาสแต่บรรยากาศรอบตัวกลับดูลึกลับ
นางมีดวงตางดงามชนิดที่โลกหล้ายากจะหาผู้ใดเทียบเทียม แม้แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้มีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปีก็เพิ่งเคยพบดวงตาสุกสกาวที่งดงามถึงเพียงนี้ในหกดินแดนเป็นหนแรก
เงือกที่ถูกกดทับจนไม่อาจกระดิกตัวได้กลุ่มนั้นมองนางราวกับเห็นผู้ช่วยชีวิต “ท่านราชินี!”
ริมฝีปากบางของใต้เท้าเจ้าตำหนักยกโค้งขึ้นเล็กน้อย “ที่แท้ก็ราชินีแห่งเผ่าเงือกนี่เอง”
ราชินีเงือกคลี่ยิ้มอย่างเชื่องช้า นางสะบัดแขนเสื้อ กลางอากาศพลันปรากฏภาพของร่างสีขาวพิสุทธิ์ร่างหนึ่ง เงาร่างนี้มิใช่ใครอื่น นางก็คือโหราจารย์แห่งเผ่ามารนั่นเอง “ตอนนี้ ใต้เท้าเจ้าตำหนักยังจะสังหารคนของเผ่าข้าหรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหัวเราะเบาๆ “หากไม่สังหาร เจ้ามีวิธีการจัดการกับนางหรืออย่างไร”
ราชินีเงือกตอบว่า “อย่างน้อยก็ต้านไว้จนกว่าผู้ฝึกตนสำนักเชียนหลันจะเดินทางมาถึงได้”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหรี่ตาลง
ราชินีเงือกเอ่ยว่า “พวกเราเผ่าเงือกกับเผ่ามารเป็นอริกัน แต่เมื่อเทียบกับมังกรน้อยในกรงตัวนั้น เจ้าพวกที่อยู่ด้านนอกต่างหากที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของพวกเรา”
“มังกรน้อยหรือ” นางเป็นคนแรกหลังจากเขาที่มองร่างจริงของเฉียวเวยเวยออก
ราชินีแห่งเผ่าเงือกเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ต้องตกใจ นอกจากสิ่งนี้ ข้าก็ไม่มีความสามารถอื่นใดแล้ว”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบว่า “ราชินีช่างตรงไปตรงมาเสียจริง“
ราชินีเงือกเอ่ยต่อ “ตอนนี้ปล่อยคนในเผ่าของข้าได้แล้วกระมัง”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ถูกเกลี้ยกล่อมง่ายเช่นนั้น “หากราชินีมีความสามารถก็พาพวกเขาออกไปเอง หากไร้ความสามารถก็ปล่อยพวกเขาไว้เป็นตัวประกันของข้า เมื่อใดคนของสำนักเชียนหลันมาถึง ข้าจะปล่อยพวกเขาเมื่อนั้น”
จิตตั้งต้นมิอาจออกจากร่างได้นานนัก ผู้ใดจะรู้ว่าคนของสำนักเชียนหลันจะมาถึงเมื่อใด หากมาถึงตอนเที่ยงคืน ร่างกายของชาวเงือกคงเย็นสนิทแล้ว ถ้าเช่นนั้นต่อให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักปล่อยจิตตั้งต้นของพวกเขาออกมา พวกเขาก็กลับเข้าร่างไม่ได้แล้ว
ราชินีเงือกกล่าวขึ้นมาว่า “ใต้เท้าเจ้าตำหนัก ความจริงแล้วพวกเราร่วมมือกันได้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดพวกเราเผ่าเงือกจึงถูกขังไว้ที่เทือกเขาหานปิง”
“ถูกขังหรือ” ใต้เท้าเจ้าตำหนักเลิกคิ้ว
ราชินีเงือกพยักหน้า “ใช่แล้ว แต่เดิมพวกเราชาวเงือกแห่งหนานไห่อาศัยอยู่ในพระราชวังเงือกที่หนานไห่ เมื่อพันปีก่อนในงานฉลองวันเกิดของท่านยอดเซียน ข้ากับสามีของข้าพาชาวเผ่าจำนวนหนึ่งเดินทางไปอวยพรวันเกิดของท่านยอดเซียนที่แดนเซียน…
…คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางกลับ ในเผ่าจะมีคนทรยศ ร่วมมือกับคนของเผ่ามารต้องการจะสังหารพวกเรา สามีของข้าถูกแผนการร้ายของพวกเขาทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส แต่สามีของข้าไม่ยอมให้พวกเขาทำสำเร็จสมประสงค์ สามีของข้าสู้สุดกำลังจนพวกเขาต้องล่าถอยกลับไป…
…เพียงแต่ว่าสามีของข้ากับเงือกในเผ่าทุกตนต่างบาดเจ็บหนักเกินกว่าจะหวนกลับไปยังหนานไห่ได้ สามีของข้ากังวลว่าคนพวกนั้นจะยกพลกลับมาอีก เขาจึงเผาผลาญจิตตั้งต้นของตนเองตั้งข่ายอาคมนี้ขึ้นมา”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักควรสงสัยว่าเผ่ามารโจมตีเผ่าเงือกทำไม แล้วได้ผลประโยชน์อันใด แต่เขากลับเหลือบมองเฉียวเวยเวยที่อยู่ในกรง แล้วไม่รู้ว่าเทพยดาอง์ใดดลใจให้โพล่งถามออกมาว่า “เรื่องนั้น…คงจะไม่เกี่ยวข้องกับจอมมารหรอกกระมัง”
แม้แต่แดนเซียน จอมมารยังเกือบจะทำลายมาแล้ว เผ่าเงือกเล็กๆ เผ่าหนึ่ง นางจำเป็นต้องใช้แผนการร้ายด้วยหรือ
ราชินีแห่งเผ่าเงือกส่ายหน้า “ข้าไม่ทราบ แต่ต่อให้นางมีส่วนเกี่ยวข้อง ลูกของนางก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าไม่โยนความผิดให้มังกรน้อยแน่นอน”
ประโยคนี้นับว่าน่าฟัง ใต้เท้าเจ้าตำหนักถามต่อ “แล้วเหตุใดเผ่ามารจึงต้องการจะกำจัดพวกเจ้า พวกเขาต้องการสิ่งใดจากพวกเจ้า หรือว่า…”
ราชินีเงือกตอบอย่างเศร้าสร้อย “หากต้องการเพียงสิ่งของ พวกเราคงมอบให้พวกเขาไปแล้ว แต่สิ่งที่พวกเขาต้องการดันเป็นชีวิตคนทั้งเผ่าของเรา”
“ชีวิตหรือ” ใต้เท้าเจ้าตำหนักย้อนถาม
ชาวเผ่าเงือกถอนหายใจ “ชาวเผ่าเงือกอย่างพวกเราเกิดมาก็ครอบครองพลังรักษาอันแข็งแกร่ง พวกเราแหวกว่ายได้แม้แต่ในทะเลมรณะ พวกเขาจึงอยากจะนำพวกเราทั้งเผ่าไปสร้างเป็นอาวุธญาณ”
นี่เป็นเรื่องโหดร้ายยิ่งนัก
ราชินีแห่งเผ่าเงือกยกแขนเสื้อสีฟ้าอ่อนขึ้นมาชี้ไปทางเฉียวเวยเวยแล้วปัดเบาๆ บนร่างของเฉียวเวยเวยพลันมีไอสีดำแดงจางๆ ปรากฏขึ้นมาหลายจุด “นางเคยแช่อยู่ในทะเลมรณะ บนร่างของนางยังมีกลิ่นอายของทะเลมรณะหลงเหลืออยู่ แม้ไม่รู้ว่านางมีชีวิตรอดมาได้ด้วยพลังปราณของผู้ใด แต่หากนางไม่ขจัดไอมรณะที่เหลือในร่าง นางก็จะไม่เติบโต”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพึมพำว่า “มิน่ากินของดีเข้าไปมากขนาดนั้นก็ไม่เห็นโตเสียที”
ราชินีเงือกยิ้มอย่างอ่อนโยน “หากพูดถึงการต่อสู้ พวกเราสู้ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ได้ แต่หากพูดถึงการรักษา ใต้เท้าเจ้าตำหนักย่อมสู้พวกเรามิได้ หากใต้เท้าเจ้าตำหนักตกลงจะร่วมมือกับข้า ข้าสัญญากับใต้เท้าเจ้าตำหนักว่าจะรักษาอาการบาดเจ็บของนางให้หายดี”
“เงื่อนไขเล่า” ใต้เท้าเจ้าตำหนักมิชอบอ้อมค้อม
ราชินีแห่งเผ่าเงือกก็ชอบคนตรงไปตรงมาเช่นเดียวกัน “ยามตั้งข่ายอาคมนี้สามีของข้าขวางเผ่ามารอยู่ด้านนอก แต่ขังพวกเราไว้ด้านใน ก่อนจิตตั้งต้นของเขามอดไหม้หมดสิ้น จะไม่มีชาวเผ่าคนใดออกไปจากที่นี่ได้ ตัวข้าหวังจะพาชาวเผ่าหวนกลับทะเลในเร็ววัน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่ต้องการให้จิตตั้งต้นของเขามอดไหม้หมดสิ้น”
“พวกเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด” ใต้เท้าเจ้าตำหนักถามอย่างตรงไปตรงมา
“พาสามีของข้ากลับมา” ราชินีแห่งเผ่าเงือกตอบ
ใต้เท้าเจ้าตำหนักครุ่นคิด “สามีของเจ้าเป็นเซียน จิตตั้งต้นที่ถูกเผาผลาญของเขาจะไม่สลายไป และจะไม่ไปที่แดนยมโลก แต่จะเหลือเป็นเศษเสี้ยววิญญาณไปอยู่ที่หอสงบวิญญาณของแดนเซียน เจ้าต้องการให้ข้าไปนำดวงวิญญาณของเขาที่อยู่ในหอสงบวิญญาณกลับมาหรือ”
ราชินีเงือกมองเขา “ท่านทำได้หรือไม่”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยิ้มจางๆ “หากเลือกระหว่างหอสงบวิญญาณกับเผ่ามาร ไม่ว่าผู้ใดก็คงไม่เลือกบุกหอสงบวิญญาณเป็นแน่”
คำตอบนี้ไม่ผิดจากที่ราชินีเงือกคาดไว้นัก ไม่ว่าอย่างไรหอสงบวิญญาณก็เป็นสถานที่เก็บดวงวิญญาณของเซียนทั้งหลาย เทียบกันแล้วสำคัญกว่าเผ่ามารมาก ผู้ที่เฝ้าพิทักษ์ย่อมเก่งกาจอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าอยากจะบุกก็บุกเข้าไปได้
หากร่างจริงของเขายังอยู่ บางทีอาจลองดูได้สักหน แต่ยามนี้เขาเหลือเพียงเสี้ยววิญญาณเสี้ยวหนึ่ง พลังของเขามีไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วนของตอนที่พลังเต็มเปี่ยม หากเดินทางไปหอสงบวิญญาณทั้งสภาพนี้ แทบจะไม่มีโอกาสชนะ
ราชินีเงือกถอนหายใจ “ข้ารู้ว่าเงื่อนไขเช่นนี้คงจะยากสำหรับท่าน แต่อาการบาดเจ็บของมังกรน้อย มีเพียงพลังวิญญาณของสามีข้าที่รักษาหาย”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักยิ้มอย่างมีเลศนัย “ราชินีช่างขุดหลุมพรางเก่งเหลือเกินนะ”
ราชินีเงือกจ้องเข้าไปในดวงตาของใต้เท้าเจ้าตำหนัก “ข้ารู้ว่าใต้เท้าเจ้าตำหนักสูญเสียร่างจริงไปแล้ว ท่านต้องการสร้างร่างจริงขึ้นมาใหม่จึงจำเป็นจะต้องรวบรวมศิลาตัดวิญญาณ ไม้พันหงสา น้ำพุหมื่นราตรี เพลิงปีศาจหมื่นพิภพ ดินของเทพธิดาหนี่ว์วา แล้วก็ต้องการโลหิตของมังกรมาร หากไม่รักษามังกรน้อยตัวนี้ ใต้เท้าเจ้าตำหนักจะเอาโลหิตมาจากที่ใดเล่า”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักตอบเสียงเย็นชา “ก็ไม่ใช่ว่ามีแต่พวกเจ้าที่รักษาได้นี่”
ราชินีแห่งเผ่าเงือกไม่ปฏิเสธ “แน่นอน ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของใต้เท้าเจ้าตำหนัก จะต้องมีสักวันที่ตามหาหมอคนที่สองพบ แต่นั่นต้องใช้เวลานานเท่าใดกัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หรือหนึ่งร้อยปี ใต้เท้าเจ้าตำหนักรอไหวหรือ ต่อให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักรอไหว แต่สมบัติเหล่านั้นเล่า ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ต้องการแล้วหรือ สิ่งอื่นข้าไม่รู้ว่าใต้เท้าจะหาพบหรือไม่ แต่น้ำพุหมื่นราตรี ใต้เท้าจะต้องไม่มีอย่างแน่นอน”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่ถามว่านางรู้ได้อย่างไร เผ่าเงือกมีพลังวิญญาณที่น่าตกตะลึง ราชินีย่อมเป็นผู้ที่มีพลังโดดเด่นในหมู่ชาวเผ่า สิ่งใดที่เขารู้ นางก็คงจะรู้อยู่พอประมาณ “น้ำพุหมื่นราตรีอยู่ที่เผ่าเงือกของพวกเจ้าหรือ”
ราชินีแห่งเผ่าเงือกตอบว่า “ถูกต้องแล้ว ดังนั้นใต้เท้า ขอเพียงท่านพาสามีของข้ากลับมาได้ ข้าไม่เพียงแต่จะให้สามีของข้ารักษาอาการบาดเจ็บของมังกรน้อย แต่ยังจะถวายน้ำพุหมื่นราตรีให้ใต้เท้าด้วยตนเอง”
“ชาวเงือกแห่งหนานไห่ ข้ารู้ว่าพวกเจ้าอยู่ด้านใน แล้วก็รู้ด้วยว่าพวกเจ้าได้ยินคำพูดของโหราจารย์คนนี้! ข้าจะเตือนพวกเจ้าเป็นหนสุดท้าย หากไม่ส่งตัวมังกรน้อยออกมา โหราจารย์คนนี้จะทำลายข่ายอาคมเสีย!”
ราชินีแห่งเผ่าเงือกมองข่ายอาคมเหนือศีรษะที่เริ่มโปร่งใสขึ้นทีละนิดแล้วเอ่ยอย่างกังวล “แย่แล้ว เผ่ามารเริ่มบุกโจมตีแล้ว! จิตตั้งต้นของสามีข้ากำลังถูกเผาไหม้เร็วขึ้นกว่าเดิม! หากจิตตั้งต้นของสามีข้ามอดไหม้หมดสิ้น ดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ในหอสงบวิญญาณก็จะรวมกันจนครบ ยามนั้นเขาก็จะถูกบีบให้ไปเกิดใหม่ ไม่อาจหวนกลับมาได้อีก”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักมองเฉียวเวยเวยที่อยู่ในกรงแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าจะปล่อยจิตตั้งต้นของคนในเผ่าเจ้าออกไป แต่เจ้าต้องอยู่ที่นี่ หากตอนที่ข้ากลับมา เส้นผมของนางขาดหายไปแม้สักเส้น ข้าจะทำให้เจ้าไม่ได้ก้าวออกไปอีกเลย”
ราชินีเงือกหลับตาลง “ได้ ข้าจะอยู่”
จิตตั้งต้นของนางจึงรั้งอยู่ในแดนยมโลก ชาวเผ่าของนางช่วยกันนำเตาอุ่นกับผ้าห่มมาดูแลร่างกายของนาง หลังจากนั้นนอกจากเฉียวเวยเวยที่ตั้งอกตั้งใจกินปลาน้ำแข็งตัวน้อยอยู่ ทุกคนก็เริ่มรอคอยอย่างร้อนรนและหวั่นวิตก