ตอนพิเศษ 32-2 ความรักเพิ่งจะผลิบาน เตียงก็หักเสียแล้ว (1)
ฉินเซวียนยิ้มจางๆ “มันก็คือเม็ดเน่ยตันของลูกมังกรน้อย”
ผู้ฝึกตนหนุ่มถามอย่างฉงน “เหตุใดอาจารย์ของท่านจึงเขียนคำนี้ส่งมาให้เล่า”
ฉินเซวียนใช้เคล็ดวิชาเผากระดาษจดหมายทิ้ง หลังจากนั้นมุมปากจึงยกโค้งเป็นรอยยิ้มกล่าวตอบว่า “อาจารย์จะบอกข้าว่า ขอเพียงข้าเอาเม็ดเน่ยตันของมังกรน้อยมาได้ นางก็มีวิธีทำให้ข้ากลายร่างเป็นมังกรมาร”
…
ณ สำนักเชียนหลัน ขุนเขาเขียวขจีธาราทอประกายระยิบระยับงามตา เรื่องราวทั้งหลายจากงานประลองศิษย์ใหม่ค่อยๆ พ้นผ่าน ทุกคนกลับมาทุ่มเทกับการฝึกตนอันตึงเครียดและน่าเบื่ออีกครั้ง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เลื่อนระดับต่อเนื่องสองขั้น ก่อนคิมหันต์ฤดูสิ้นสุด นางก็ก้าวเข้าสู่ระดับรากฐานขั้นปลายแล้ว ทว่าในวันเดียวกันนี้ หลิงจือก็ก้าวเข้าสู่ระดับรากฐานขั้นปลายแล้วเช่นกัน
เด็กสาวรากปราณสวรรค์โมโหจนกัดฟันกรอด นางคือสายเลือดของท่านเซียน ฝึกตนได้รวดเร็วเป็นเรื่องสมควรแล้ว แต่คนบ้านนอกคอกนาคนหนึ่งอาศัยอันใดมายืนเทียบเคียงกับนาง!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์จึงเริ่มฝึกตนเพิ่มมากขึ้น นางสาบานว่าจะสลัดหลิงจือทิ้งให้ไม่เห็นฝุ่น นางใช้เวลาไม่ถึงครึ่งเดือนก็ก้าวจากระดับรากฐานขั้นปลายเข้าสู่ระดับรากฐานขั้นกึ่งสมบูรณ์ ความเร็วอันน่ามหัศจรรย์เช่นนี้ นอกจากคุณชายน้อยหรงที่บังเอิญโชคดีก็ไม่มีผู้ใดทำได้เหนือกว่านางอีก
ทว่าตอนที่นางกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องกับตนเองก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น หลิงจือบรรลุระดับรากฐานขั้นกึ่งสมบูรณ์แล้วเหมือนกัน
จิตใจของหลิงจือยังเป็นผู้ใหญ่ไม่มากพอ ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ต้องการให้ผู้คนเทิดทูนนางมากเกินไปจนย้อนกลับมาทำลายนาง ดังนั้นจึงปิดบังเรื่องที่หลิงจือมีแก่นปราณผสมจากคนภายนอก หลิงจือเองก็ไม่ใช่คนปากเปราะ อาจารย์ไม่พูด นางก็ไม่ไปโพนทะนาใครฟัง ด้วยเหตุนี้เด็กสาวรากปราณสวรรค์ให้ตายก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลิงจือจึงไล่ตามนางทัน
นางสงสัยว่าหลิงจือโกง นางอาจกินบางสิ่งที่ช่วยเพิ่มระดับการฝึกตนเข้าไป นางจึงลอบสะกดรอยหลิงจือ ต้องการดูให้รู้ว่าพักนี้หลิงจือติดต่อคบหากับผู้ใดบ้างหรือไม่ ผลปรากฏว่านางไปพบอวี๋เจี๋ย
“เวยเวย ผลไม้สีแดงที่เจ้าให้ข้าหนก่อนยังมีเหลืออยู่หรือไม่” หลิงจือปิดประตูบ้านแล้วกระซิบถามเฉียวเวยเวยเสียงเบา
เฉียวเวยเวยวางภาพเหมือนที่จุ๊บมาตลอดทั้งบ่ายลงแล้วตอบว่า “อืม ข้าไปหาก่อนนะ”
ภาพเหมือนภาพนั้นใช้วัสดุจากแดนยมโลกทำขึ้นมา คนธรรมดาจึงมองไม่เห็น มีเพียงเฉียวเวยเวยที่มองเห็น ในสายตาของหลิงจือ สิ่งที่เฉียวเวยเวยจุ๊บเป็นเพียงกระดาษเซวียนจื่อหนึ่งแผ่น แม้จะประหลาดอยู่บ้าง แต่เด็กน้อยก็ทำตัวประหลาดกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ
หลิงจือจึงไม่คิดอะไรมาก
เฉียวเวยเวยเปิดหีบร้อยสมบัติของตนเองแล้วรื้อค้นอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นนางก็แกะ ‘ดวงตา’ สีแดงเพลิงข้างหนึ่งออกมาจากตุ๊กตาผ้า “ให้หลิงจือ”
หลิงจือ “…”
หลิงจือโอบกอดความรู้สึกผิดบาประดับสิบขณะที่นางยื่น ‘ของเล่น’ แสนรักของเฉียวเวยเวยให้อวี๋เจี๋ยที่ยืนอยู่ตรงประตูเรือน “เรื่องถุงเฉียนคุนเมื่อหนก่อน ข้ายังไม่ได้ตอบแทนเจ้า ดังนั้นสิ่งนี้ขอมอบให้เจ้า มันเป็นของดี ทำให้เลื่อนระดับการฝึกตนได้”
อวี๋เจี๋ยยิ้มน้อยๆ “เจ้ากินเองถิด”
ใบหน้าของหลิงจือแดงระเรื่อ ก้มหน้าไม่กล้ามองตาเขา “ข้ากินไปแล้ว ผลนี้เก็บไว้ให้เจ้า…ข้าหมายความว่าเวยเวยมอบให้เจ้า เวยเวยเอาถุงเฉียนคุนไปแล้ว นางชอบใจมาก ดังนั้น…ดังนั้นเลยให้ข้ามาขอบคุณเจ้า!”
อวี๋เจี๋ยคลี่ยิ้ม ดวงตาทอประกายวิบวับ ฟันขาวเป็นประกาย ใต้แสงจันทราส่องสว่าง ท่ามกลางสายลมโชยพัด หัวใจของหลิงจือเต้นรัวเร็วขึ้นหลายส่วน
“สิ่งของพวกนี้ยกให้เจ้า” อวี๋เจี๋ยส่งตำราพันอักษรกับคัมภีร์ตรีอักษรมาตรงหน้าหลิงจือ “เจ้าบอกว่าจะสอนหนังสือให้น้องสาวของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าเอาไปสอนนางเถิด”
หลิงจือรับตำรามา ตอนนั้นเองปลายนิ้วของนางก็แตะถูกปลายนิ้วของอวี๋เจี๋ยอย่างไม่ตั้งใจ นางรู้สึกราวกับตนเองถูกสายฟ้าฟาด หัวใจตื่นตระหนกจนเกือบจะหยุดเต้น!
อวี๋เจี๋ยบอกอย่างอ่อนโยน “ข้าไปก่อนนะ”
“อืม…สิ่งนี้ สิ่งนี้เจ้าเอาไปด้วย! มันเลื่อนระดับการฝึกตนได้จริงๆ นะ!” หลิงจือยัดผลไม้สีแดงเข้าไปในมือของอวี๋เจี๋ย หลังจากนั้นก็ไม่กล้ามองอวี๋เจี๋ยอีก นางกอดตำราวิ่งเข้าไปในห้องราวกับวิ่งหนี
เฉียวเวยเวยโคลงศีรษะมองนาง “หลิงจือ หน้าของเจ้าแดงก่ำเชียว”
…
หลังจากนั้นหลิงจือก็เริ่มสอนเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวให้อ่านตัวอักษร
“ฟ้าสีคราม ดินสีเหลือง จักรวาลเวิ้งว้าง ตะวันขึ้นแล้ว…แล้ว…แล้วตด”
จีเสี่ยวซิวแก้สีหน้าเคร่งขรึม “ขึ้นแล้วตก”
หลิงจืออ่านหนังสือออกแค่งูๆ ปลาๆ นางสู้จีเสี่ยวซิวไม่ได้เสียด้วยซ้ำ นางอ่านตำราพันอักษรอย่างตะกุกตะกักจนจบ ปรากฏว่าอ่านผิดไปแล้วครึ่งหนึ่ง
คำที่ถูกต้องเฉียวเวยเวยจำไม่ได้สักคำ แต่คำที่อ่านผิดดันจำได้ขึ้นใจ พออาบน้ำเสร็จนางก็กระโดดไปมาบนเตียง “ขึ้นแล้วตด! ขึ้นแล้วตด! ขึ้นแล้วตด!…”
โครม!
เตียงหักเสียแล้ว…
…
หลิงจือสอนหนังสือให้เฉียวเวยเวยเตือนให้ใต้เท้าเจ้าตำหนักระลึกขึ้นมาได้ว่ามังกรน้อยตัวนี้เอาแต่กินกับเล่นถูกตามใจจนจะนิสัยเสียแล้ว ถึงเวลาให้นางร่ำเรียนวิชาบ้างเสียที ไม่อย่างนั้นมีคนชั่วมากมายถึงขนาดนี้ นางย่อมเติบใหญ่มาอย่างสงบสุขได้ยากยิ่ง
หากไม่เติบใหญ่ย่อมไม่มีโลหิตมังกรมาร เมื่อไม่มีโลหิตมังกรมาร เขาก็สร้างร่างจริงขึ้นมาไม่ได้
ทุกสิ่งนี้ข้าทำเพื่อตัวเอง ข้าเพียงจะใช้ประโยชน์จากนางเท่านั้น ข้าเป็นเจ้าตำหนักผู้เห็นแก่ตัว!
เจ้าตำหนักผู้เห็นแก่ตัวพาร่างเล็กจ้อยอย่างเด็กสามขวบของตนเองไปสวมเสื้อผ้า ผูกสายคาดเอว สวมรองเท้า แปรงฟัน แล้วป้อนถั่วเคลือบน้ำตาลเม็ดน้อยให้เฉียวเวยเวยอย่างชำนิชำนาญ จากนั้นจึงจูงมือน้อยอันนุ่มนิ่มของนางวิ่งพลางกระโดดโลดเต้นไปทางภูเขาด้านหลัง!