หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 31-1 ความจริง

ตอนพิเศษ 31-1 ความจริง

ตอนพิเศษ 31-1 ความจริง

รากปราณผสมจริงๆ ด้วย!

หลิงจือมองหินทดสอบที่แต่เดิมควรจะเป็นสีน้ำเงิน แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นสีเทาจางๆ “อาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ”

สีของรากปราณน้ำคือสีน้ำเงิน รากปราณทองเป็นสีทอง รากปราณไฟเป็นสีแดง รากปราณดินเป็นสีน้ำตาล รากปราณไม้เป็นสีเขียว ส่วนรากปราณผสมเป็นสีเทาอ่อน

ความจริงแล้วรากปราณผสมหายากมาก หินทดสอบปกติจึงไม่มีคุณสมบัติพอจะทดสอบมัน ในวันรับศิษย์ใหม่ รากปราณผสมบังเอิญตอบรับกับพลังปราณน้ำของศิษย์คนอื่นพอดี ผลการทดสอบของหลิงจือจึงผิดพลาด

หลังจากเข้ามาในสำนักเชียนหลัน หลิงจือก็ดูดซับปราณน้ำมาตลอด วิชาที่ฝึกก็เป็นวิชาธาตุน้ำ รากปราณในร่างจึงดำรงอยู่ในรูปลักษณ์ของรากปราณน้ำตลอดมา จึงไม่แปลกที่ผลการทดสอบทั้งหมดของนางจะบอกว่าเป็นรากปราณน้ำ

หากไม่ใช่เพราะการประลองใหญ่หนนี้ หลิงจือถูกไล่ต้อนจนดึงศักยภาพออกมา ชั่วชีวิตนี้นางก็คงไม่รู้ว่าความจริงว่าตนเองมีรากปราณผสมที่หมื่นปียากจะพบสักคน

แม้ผู้พิทักษ์ใหญ่จะคาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้ว แต่ชั่วพริบตาที่ยืนยันได้จริงๆ นางก็ข่มกลั้นความยินดีเอาไว้ไม่ได้ “หลิงจือ เจ้ามีรากปราณผสม”

“ราก…รากปราณผสมหรือเจ้าคะ” หลิงจือตกตะลึง

ผู้พิทักษ์ใหญ่ตอบอย่างยินดีปรีดา “นี่เป็นรากปราณที่หมื่นปีจะปรากฏสักหน อธิบายให้เจ้าฟังเช่นนี้ก็แล้วกัน ผู้ที่ครอบครองรากปราณผสมก็เท่ากับครอบครองรากปราณห้าธาตุไว้ในคนเดียว”

หลิงจือไม่เข้าใจ “ถ้าเช่นนั้นมิใช่ว่ารากปราณผสมจะฝึกวิชาไม่ได้หรือเจ้าคะ”

ผู้พิทักษ์ใหญ่ยกมุมปากยิ้มจางๆ “เจ้าฟังอาจารย์พูดให้จบก่อนสิ คนที่มีรากปราณหลายธาตุไม่อาจฝึกวิชาได้เพราะมีรากปราณมากเกินไป พวกเขาจำเป็นต้องฝึกรากปราณทุกชนิดให้บรรลุเงื่อนไขจึงจะพัฒนาระดับการฝึกตนของตนเองได้ แต่คนปกติทั่วไปดูดซับปราณชนิดเดียวก็สิ้นเปลืองแรงมากพอแล้ว ไหนเลยจะแบ่งพละกำลังไปดูดซับปราณชนิดอื่นได้อีก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าปราณห้าชนิดแต่ละชนิดต่างข่มกันอยู่ ต่อให้ดูดซับปราณไม่หยุดสักเพลา แต่ปราณส่วนมากก็จะถูกธาตุที่ไม่เข้ากันข่มกันไปมาจนสลายไปหมดสิ้นอยู่ดี…

…แต่รากปราณผสมแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะรากปราณน้ำก็ดี รากปราณไฟก็ดี ขอเพียงพวกมันคงสภาพอย่างหนึ่งอย่างใดไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง ไม่ว่าเจ้าจะฝึกวิชาของสายไหน ขอเพียงระดับการฝึกตนของเจ้าเพิ่มขึ้น รากปราณธาตุอื่นก็จะพัฒนาตามขึ้นไปด้วย นี่จึงเป็นสาเหตุที่เจ้าไม่เคยฝึกวิชาธาตุไม้เลยแท้ๆ แต่กลับแสดงพลังปราณธาตุไม้ออกมาได้”

เมื่ออธิบายเช่นนี้หลิงจือก็เข้าใจแล้ว ดวงตาของหลิงจือกลอกไปมาวูบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเบาหวิว “ถ้าเช่นนั้นรากปราณผสมอะไรนี่ของข้า…ก็ดีกว่ารากปราณสวรรค์หรือเจ้าคะ”

นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว ทว่านางกลัวว่าเด็กคนนี้จะทะนงตนเกินไป ผู้พิทักษ์ใหญ่จึงเก็บงำไว้ไม่ตอบออกมา

หลังจากหลิงจือออกไปแล้ว ผู้พิทักษ์ใหญ่จึงมุ่งหน้าไปที่โถงซงชุ่ย แขกผู้มาเยือนมีจำนวนมากอยู่สักหน่อย เจ้าสำนักสวี่จึงมอบหมายให้ลู่หยวนเจิ่นกับผู้พิทักษ์รองไปต้อนรับ

ผู้พิทักษ์ใหญ่รายงานเรื่องของหลิงจือกับเจ้าสำนักสวี่

เจ้าสำนักสวี่ดวงตาเป็นประกาย “นี่เป็นเรื่องดียิ่ง หลิงจือมีรากปราณผสม นางจะต้องบรรลุเป็นเซียนได้อย่างแน่นอน!”

แต่ผู้พิทักษ์ใหญ่กลับนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นมาว่า “แต่ข้าไม่เข้าใจอยู่เรื่องหนึ่ง”

“เรื่องใด” เจ้าสำนักสวี่ถาม

ผู้พิทักษ์ใหญ่มองเขาแล้วถามขึ้นมาว่า “รากปราณผสมเป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดหรือว่าได้มาภายหลัง”

เจ้าสำนักสวี่ลงเลครู่หนึ่งก็ตอบ “เรื่องนี้…ข้าเองก็ไม่แน่ใจนัก รากปราณชนิดนี้หายากเกินไป ตำราโบราณแทบไม่มีบันทึกเกี่ยวกับมันอยู่สักเท่าไร”

ผู้พิทักษ์ใหญ่ครุ่นคิด “ข้ากำลังคิดว่าต่อให้มันเป็นสิ่งที่ได้รับมาภายหลัง แต่นับจากหลิงจือกินยารวมปราณและเข้ารับการทดสอบหนแรกเวลาก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ในเวลาครึ่งปีนี้รากปราณของนางไม่พัฒนาขึ้นแม้แต่ขั้นเดียว เรื่องนี้แปลกอยู่บ้าง หากเป็นรากปราณอื่นก็คงไม่แปลกเท่าไร ในหมู่บ้านมีไอปราณน้อย ทั้งนางยังไม่เคยร่ำเรียนวิชาดูดซับพลังปราณย่อมยากที่จะทำให้รากปราณของตนเองแข็งแรง แต่รากปราณผสมดูดซับพลังจากตะวันจันทราไปจนถึงพลังปราณของฟ้าดินได้ด้วยตนเอง นางสมควรจะเลื่อนขั้นแล้วจึงจะถูกสิ”

เจ้าสำนักสวี่ขมวดคิ้วเอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าสงสัยว่ามีผู้ใดสูบพลังปราณของนางไปหรือ”

ผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ปฏิเสธ “นอกจากสาเหตุนั้น ข้าก็คิดไม่ออกแล้วว่าเหตุใดตอนที่นางเพิ่งมาถึงสำนักเชียนหลันรากปราณจึงอ่อนแอถึงเพียงนั้น”

เจ้าสำนักสวี่ขานตอบคำหนึ่ง แล้วเอ่ยต่ออย่างช้าๆ “เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นอดีตแล้ว หากเจ้ามีโอกาสก็ลองสืบดูสักหน่อย แต่หากไม่มีโอกาสก็อย่าฝืนดึงดันถามเด็กคนนั้น เดี๋ยวนางจะนึกหวาดกลัวย้อนหลังจนจิตใจว้าวุ่นเสียเปล่าๆ”

ผู้พิทักษ์ใหญ่พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”

อีกด้านหนึ่งขณะที่หลิงจือกลับไปที่เรือนหลังน้อยอย่างดีอกดีใจ เฉียวเวยเวยก็รอนางอยู่ที่ประตูบ้านแล้ว จีเสี่ยวซิวก็อยู่ตรงประตูเหมือนกัน เด็กน้อยสองคนขนม้านั่งตัวน้อยออกมานั่งเรียงแถวกัน

นับตั้งแต่มีภาพวาดภาพนั้น เฉียวเวยเวยก็ไม่จุ๊บจันทร์เสี้ยวน้อยอีก ต้องบอกก่อนว่าก่อนหน้านี้น่ะ นางจุ๊บเช้าหนึ่งหน เย็นหนึ่งหน ระหว่างมื้ออาหารอีกหลายหน แล้วตอนกลางดึกตื่นขึ้นมาก็ยังจุ๊บอีกหนึ่งหน!

จีเสี่ยวซิวอายุสามขวบนั่งยกขาซ้ายขึ้นมาพาดบนขาขวา มือน้อยๆ ยกขึ้นมากอดอก วางหน้าอย่างที่ตนเองคิดว่าเย็นชาเสียเหลือเกิน ก่อนจะพูดออกมาอย่างขุ่นเคืองว่า “เหอะ เจ้าตัวน้อยไร้มโนธรรม!”

เฉียวเวยเวยลุกพรวดขึ้นมายืน

จีเสี่ยวซิวเชิดคางขึ้นอย่างยโส “ตอนนี้เพิ่งอยากจะจุ๊บหรือ ข้าไม่ให้แล้ว”

แม้ปากจะพูดเช่นนี้ แต่เขาก็ยังขยับหันจันทร์เสี้ยวน้อยบนใบหน้าไปให้ด้วยท่าทางอันหล่อเหลา

“หลิงจือ” เฉียวเวยเวยกลับวิ่งฉิวผ่านหน้าของเขาไป

“…” ใต้เท้าเจ้าตำหนักตัวแข็งเป็นหินอยู่กับที่!

เฉียวเวยเวยยื่นแขนน้อยๆ ออกไป “หลิงจือ”

หลิงจือคว้ามือของนางมาจับจูง แต่เฉียวเวยเวยกลับไม่ยอมเดิน หลิงจือทั้งฉิวทั้งขบขัน อุ้มนางขึ้นมาในหนเดียว “อ้วนขึ้นแล้วนะ ดูสิข้าเจ็บแขนหมดแล้ว”

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset