ตอนพิเศษ 3-1
คุณชายน้อยหรงหน้าตางุนงง ตบหน้าตัวเองแรงๆ ทีหนึ่ง เขาเจ็บจนร้องโอ้ยถึงได้มั่นใจว่าตนไม่ได้ฝันไป
สวรรค์ รากปราณของเขางอกขึ้นมาแล้ว!
เขารู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นคนมีพรสวรรค์!
เขาไม่ต้องฝึกตนก็สามารถทำให้รากปราณงอกขึ้นมาได้ เขาเกิดมาเพื่อสำนักเชียนหลันชัดๆ!
คนที่ก่อนหน้านี้ยังหัวเราะเยาะคุณชายหรงอยู่ เวลานี้ให้ตายก็หัวเราะไม่ออกแล้ว พวกเขากำลังห่อเหี่ยวที่ต้องถูกขับลงจากเขา แต่เจ้ารากปราณไร้ประโยชน์นี่กลับได้อยู่ต่อเสียอย่างนั้น
เรื่องราวของคุณชายน้อยหรงแพร่สะพัดไปทั่วสำนักเชียนหลันอย่างรวดเร็ว
ว่ากันตามตรง ในประวัติศาสตร์ของสำนักเชียนหลันเคยมีตัวอย่างของคนที่มีรากปราณครึ่งส่วนแล้วขยันขันแข็งฝึกตนจนได้รากปราณที่สมบูรณ์อยู่ไม่น้อย แต่รากปราณเพียงหนึ่งในสามส่วนที่งอกจนสมบูรณ์ได้นั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน เดิมทีศิษย์พี่อวี๋ไม่คิดจะพาคุณชายน้อยหรงขึ้นเขามาด้วยด้วยซ้ำ เพียงแต่กฎของสำนักมีอยู่ ศิษย์พี่อวี๋ทำอะไรไม่ได้ ถึงได้กลั้นใจรับตัวเขาเข้ามาด้วย
กระทั่งอาจารย์ของลูกศิษย์คณะใหม่นี้ยังไม่มีความหวังในตัวเขา เพิกเฉยไล่เขาไปทำงานที่ห้องครัว เดิมทีคิดว่าพอครบเดือนเจ้าเด็กโชคร้ายนี้จะต้องเก็บข้าวของลงเขา แต่จู่ๆ รากปราณของเขากลับงอกขึ้นมา
ลูกศิษย์ขี้อิจฉาบางคนเริ่มตั้งข้อสงสัยในแง่ร้าย
“คงไม่ได้แอบกินยารวมปราณหรอกกระมัง”
“จริงด้วยๆ รากปราณอ่อนด้อยอย่างเขาหากไม่กินยารวมปราณ รากจะงอกเร็วเพียงนี้ได้อย่างไร”
คนอื่นมีรากครึ่งส่วนยังจำเป็นต้องใช้เวลาสองถึงสามเดือนถึงจะงอกจนสมบูรณ์ได้เลย
ผู้ดูแลหลิวเป็นอาจารย์ของลูกศิษย์ใหม่คณะนี้ พอเขาได้ทราบเรื่องก็รีบมาทันที เขาก็เป็นเช่นเดียวกับลูกศิษย์ที่ไม่ยอมเชื่อ สิ่งแรกที่เขาคิดคือเจ้าเด็กนี่แอบกินยารวมปราณเข้าไปใช่หรือไม่
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลงเข้ามาคว้าตัวคุณชายน้อยหรงไว้ ตรวจดูร่างกายเขาโดยละเอียด
ยารวมปราณถึงแม้จะเป็นยาชั้นดีแต่ใช่ว่าจะไม่ส่งผลข้างเคียงต่อร่างกาย ขอเพียงกินยาลงไป คนที่กินจะชีพจรเต้นอ่อนกว่าคนปกติ แต่เห็นได้ชัดว่าชีพจรของคุณชายน้อยหรงดูไม่มีข้อน่าสงสัยเช่นนั้น
ผู้ดูแลหลิวดึงมือตนกลับ
ท่าทางของผู้ดูแลหลิวช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคุณชายน้อยหรงได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเรื่องนี้จึงยิ่งแพร่สะพัดไปหนักกว่าเดิม จนกระทั่งบุคคลที่เก่งกาจยิ่งกว่ามาถึง คำวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับคุณชายน้อยหรงจึงค่อยๆ ซาลงไป
วันนี้ลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามาใหม่ทุกคนจำเป็นต้องผ่านการทดสอบรากปราณ เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือก็ไม่มีข้อยกเว้น ทั้งสองต่างออกจากจุดฝึกตนของตน ถึงจะไม่ได้อยู่ทางเดียวกันแต่ก็ช่างบังเอิญที่มาถึงจุดทดสอบแทบจะพร้อมกัน
เครื่องแบบของสำนักเชียนหลันล้วนมีพื้นเป็นสีขาว ชุดคลุมด้านนอกของศิษย์ชายจะเป็นผ้าโปร่งสีฟ้าน้ำแข็ง ส่วนศิษย์หญิงจะเป็นผ้าโปร่งสีเหลือสด
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เดินเข้ามาอย่างผึ่งผาย ถึงแม้จะสวมใส่อาภรณ์เช่นเดียวกับทุกคน แต่เมื่ออยู่บนตัวนางกลับให้รัศมีที่แตกต่างจากคนทั่วไป
นางสวมใส่ผ้าโปร่งปิดหน้าสีเหลืองสด ผมยาวรวบขึ้นสูง ตรงหน้าผากมีหยกเหลืองงดงามห้อยประดับ ขับให้นางดูงดงามเปล่งปลั่ง นัยน์ตาวาวใสราวกับบ่อน้ำแร่ก็มิปาน
การมาถึงของนางทำให้เสียงเอะอะโวยวายเงียบกริบลงโดยพลัน
เมื่อเทียบกับนางแล้ว หลิงจือที่ร่างกายจะโตไม่เต็มที่ยิ่งดูไม่เป็นที่สะดุดตาเข้าไปใหญ่
ผู้คนพากันเปิดทางให้นาง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เดินไปตรงหน้าแท่นทดสอบ ยื่นมือเรียวยาวประหนึ่งยกไปแตะเบาๆ ลงบนศิลาศักดิ์สิทธิ์
ศิลาศักดิ์สิทธิ์พลันเปล่งแสงสีทองที่รุนแรงกว่าวันทดสอบออกมาทันที ศิษย์พี่ผู้ควบคุมการทดสอบประกาศขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “รากปราณสวรรค์ ขั้นกลาง!”
ทุกคนพากันตะลึงค้าง
รากปราณก็มีลำดับขั้นเช่นกัน ไล่จากต่ำขึ้นไปก็คือ รากปราณไร้ค่า ซึ่งก็คือรากปราณหนึ่งในสามหรือน้อยกว่านั้น รากปราณครึ่งส่วน และรากปราณสมบูรณ์ตามลำดับ หลังจากรากปราณสมบูรณ์มั่นคงดีแล้วก็จะเลื่อนขึ้นไปเป็นรากปราณขั้นต่ำ
เหนือรากปราณขั้นต่ำขึ้นไปยังมีรากปราณขั้นกลางและรากปราณขั้นสูง หลังจากรากปราณถึงขั้นสูงแล้ว จะสามารถเริ่มฝึกฝนวิชาของสำนักเชียนหลันได้
พวกเขาทุกคนยังอยู่ในขั้นสร้างรากฐานรากปราณให้มั่นคงอยู่เลย ในขณะที่พวกเขายังไม่มีรากปราณขั้นต่ำด้วยซ้ำนั้น นางกลับเลื่อนลำดับขึ้นมาได้ถึงขั้นกลางแล้ว!
ความเร็วในการฝึกฝนเช่นนี้นับว่าแข็งแกร่งเหนือผู้ใดโดยแท้จริง!
ถึงแม้จะบอกว่านางกับต้นอ่อนของรากปราณน้ำล้วนเป็นเกี้ยวแห่งสวรรค์ แต่เห็นได้ชัดว่านางยังเหนือกว่าอยู่ขั้นหนึ่ง!
คนที่อยู่หลังเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็คือหลิงจือ
หลิงจือมักอยู่ต่อหลังนางพอดีเสมอ ครั้งก่อนเป็นเช่นนี้ ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนี้
หลิงจือเดินไปตรงหน้าแท่นทดสอบ สูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนจะนำมือที่ผอมแห้งไปแตะลงบนศิลาศักดิ์สิทธิ์
ดูออกว่านางรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย นางไม่ได้เป็นกังวลว่าตนจะรักษาความสมบูรณ์ของรากปราณเอาไว้ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็ทุ่มเวลาฝึกฝนมากเป็นสองเท่า หากกระทั่งรากปราณยังรักษาไว้ไม่ได้ เช่นนั้นนางก็ไร้ประโยชน์เกินไปแล้ว ที่นางกังวลคือตนจะตามเด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่ทัน
“รากปราณน้ำ ขั้นกลาง!”
ศิษย์พี่ผู้คุมการทดสอบเอ่ยประกาศผลของหลิงจือด้วยความตื่นเต้น
หลิงจือตกใจจนยกมือปิดปากตนเอง
ส่วนอีกด้านหนึ่ง เด็กสาวรากปราณสวรรค์ที่ไม่ได้คิดจะอยู่ฟังผลการทดสอบของหลิงจือ ทั้งๆ ที่หมุนตัวเดินออกไปแล้ว แต่พอได้ยินผลคะแนนของนางก็ถึงกับหันกลับมาอีกครั้ง
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่นางหันมามองหลิงจือตรงๆ
หลิงจือใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเชียนหลันมาหนึ่งเดือน ถึงแม้จะตัวโตขึ้นไม่น้อย แต่ยังคงตัวเล็กกว่าอายุอย่างเห็นได้ชัด
เด็กน้อยชาวบ้านถึงกับได้ผลลัพธ์เช่นเดียวกับเลือดเนื้อเชื้อไขของผู้เป็นเซียน เรียกได้ว่าน่าอัศจรรย์มากทีเดียว
เมื่อมีรากปราณขั้นกลางเกิดขึ้นสองคน เรื่องคุณชายน้อยหรงเลยค่อยๆ เงียบไป ระหว่างทางเดินกลับทุกคนเอาแต่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องของหลิงจือกับเพื่อนบ้านของนาง
“นี่เพิ่งนานเท่าไรเอง นางได้ถึงขั้นกลางแล้ว ข้าได้ยินศิษย์พี่อวี๋บอกว่า การทดสอบครั้งแรกของนาง นางยังได้ไม่ถึงขั้นต่ำด้วยซ้ำ”
“ศิษย์อาหลิงจือไม่ใช่ว่ายังได้ไม่ถึงขั้นต่ำเหมือนกันหรอกหรือ แต่วันนี้ศิษย์อาหลิงจือก็ได้ขั้นกลางเหมือนกันนี่! ข้าว่านะ ศิษย์อาหลิงจือไม่ได้ด้อยไปกว่านางเลย”
ลูกศิษย์สาวรุ่นเดียวกับศิษย์พี่อวี๋หลายคนพูดคุยหัวร่อต่อกระซิกกันผ่านระเบียงทางเดินไป
หลิงจือเดินออกมาจากอีกฝั่งของระเบียงทางเดิน บนหน้ามีรอยยิ้มพอใจยินดี… ครานี้พูดถึงนางกันบ้างเสียทีนะ
…
ผู้ฝึกตนตามวิถีเน้นกินผักเป็นหลัก แต่ไม่ถึงกับไม่กินเนื้อสัตว์เลย วันนี้หลิงจือลำดับขั้นสูงขึ้นเป็นรากปราณขั้นกลาง ผู้พิทักษ์ใหญ่จึงให้ห้องครัวส่งเนื้อย่างมาให้หนึ่งชุด ซึ่งนี่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ป่าหรือสัตว์เลี้ยงในครัวเรือนทั่วไปที่หาได้ตามด้านล่างเขา แต่เป็นเนื้อของสัตว์วิเศษ
อาหารทุกมื้อของหลิงจือล้วนมีข้าวศักดิ์สิทธิ์สามเม็ดผสมอยู่ ส่วนเนื้อหนึ่งชิ้นของสัตว์วิเศษจะเทียบเท่ากับข้าวศักดิ์สิทธิ์ยี่สิบเม็ด เรียกได้ว่าเป็นอาหารบำรุงขั้นเลิศเลยทีเดียว
หลิงจือทำใจกินไม่ลง เลยให้ทั้งหมดกับเฉียวเวยเวยแทน
ช่วงนี้เฉียวเวยเวยได้กินเนื้อทุกวันจึงไม่อยากกินเหมือนเมื่อก่อนอีก นางเอ่ยกับหลิงจือว่า “เจ้ากินเถอะ”
หลิงจือลูบศีรษะนางพลางเอ่ยว่า “ข้าไม่ชอบกินเนื้อสัตว์ เจ้ากินเถิด ข้ารู้ว่าเจ้าอยากกิน”
เฉียวเวยเวยสูดน้ำลาย ถึงอย่างไรนางก็ต้านทานแรงดึงดูดของเนื้อสัตว์ไม่ได้จริงๆ
เฉียวเวยเวยก้มหน้ากินเนื้อย่างในถาดจนหมด
“อร่อยรึไม่” หลิงจือถามยิ้มๆ
เฉียวเวยเวยเลียมุมปาก “อร่อย”
ขึ้นเขามานับว่าตัดสินใจถูกจริงๆ ในที่สุดพวกนางก็มีข้าวให้กินอิ่มทุกวันแล้ว
ที่หลิงจือไม่รู้ก็คือ อันที่จริงเฉียวเวยเวยยังกินไม่อิ่ม
พอกินมื้อเย็นเสร็จ หลิงจือไปตักน้ำมาให้เฉียวเวยเวยอาบ
ตอนเฉียวเวยเวยอาบน้ำ นางไม่ให้คนอื่นตามไปด้วย หลิงจือคุ้นชินกับเรื่องนี้แล้ว ถึงแม้หลิงจือจะคิดว่าเด็กตัวเท่านี้น่าจะยังอาบน้ำเองไม่เป็น แต่เวยเวยของนางอาบได้สะอาดเรียบร้อยดีทุกครั้ง ช่างเป็นเด็กน้อยที่รู้ความเสียจริง!
เฉียวเวยเวยอาบน้ำเย็นอย่างสบายตัว ตอนหลิงจือกลับเข้าห้องมาอีกที เฉียวเวยเวยก็ซุกตัวเข้าไปหลับในผ้าห่มแล้ว
…
วันต่อมาหลังจากหลิงจือทดสอบเสร็จ ลูกศิษย์ใหม่ทั้งหมดที่ได้อยู่ต่อจะมีศิษย์พี่ทั้งชายและหญิงพาไปยังจุดที่กำหนดเพื่อฝึกจากประสบการณ์จริง
จุดที่ใช้ในการฝึกอยู่ไม่ไกลจากสำนักเชียนหลัน แต่ด้วยความยากของภารกิจ พวกเขาจึงจะไม่ได้กลับมาในสามวันห้าวัน
หลิงจือลังเลอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ยังตัดสินใจไม่พาเฉียวเวยเวยไปด้วย ประเด็นสำคัญคือนางพาไปไม่ได้ “ข้าไปบอกกับห้องครัวไว้แล้ว พวกเขาจะส่งอาหารมาให้ตามเวลาทุกวัน เจ้าอยู่ทางนี้กินข้าวให้เรียบร้อย เสื้อผ้าก็เก็บเอาไว้รอข้ากลับมาซักให้ ข้าบอกกับศิษย์พี่หญิงอวี้เซียงไว้แล้ว ตอนเย็นนางจะมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ก่อนข้าจะกลับมา นางจะคอยดูแลเจ้าอย่างดี”
เฉียวเวยเวยบอกนางว่า “ข้าจะไปด้วย”
หลิงจือสวมอาภรณ์ชิ้นสุดท้ายให้เฉียวเวยเวยจนเรียบร้อย “ที่นั่นอันตรายเกินไป ได้ยินว่ามีสัตว์อสูรขั้นหนึ่งอยู่ไม่น้อย ขั้นสองก็มี ด้วยความสามารถของข้าในเวลานี้ยังไม่สามารถปกป้องเจ้าได้เลย”
ไม่รู้คำใดไปสะกิดต่อมของเฉียวเวยเวยเข้า เฉียวเวยเวยถึงกับสูดน้ำลายขึ้นมา
หลิงจือกลัดกระดุมเม็ดสุดท้ายให้นาง “เอาล่ะ ข้าต้องไปแล้ว จำไว้ว่าต้องเชื่อฟังศิษย์พี่หญิงอวี้เซียงนะ”
เฉียวเวยเวยโบกมือให้