หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 25 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (1)

ตอนพิเศษ 25 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (1)

ตอนพิเศษ 25 พรสวรรค์อันยิ่งใหญ่ (1)

เฉียวเวยเวยตกลงไปอยู่ในอ้อมแขนที่หนากว้างและอบอุ่น เห็นได้ชัดว่าเจ้าของอ้อมแขนนั้นไม่คิดว่าเด็กคนนี้จะหนักขนาดนี้ แขนเขาถึงกับชาไปเล็กน้อย แต่ก็เป็นเพียงชั่วแวบหนึ่งเท่านั้นก่อนจะถูกพลังปราณอันหนาแน่นซ่อมแซมให้กลับมาเป็นดังเก่า

เขาก้มมองเด็กในอ้อมแขน เฉียวเวยเวยก็หันมองเขา

สายตาของเฉียวเวยเวยดูห่างเหินยิ่งนัก

อีกฝ่ายส่งยิ้มให้บางๆ “จำข้าไม่ได้แล้วหรือ”

เฉียวเวยเวยเอียงคอ “หือ?”

“จำไม่ได้แล้วจริงๆ เสียด้วย” รองหัวหน้าสหพันธ์หัวเราะด้วยความไม่พอใจ

อีกด้านหนึ่งจีเสี่ยวซิวที่ตกลงมาหน้าทิ่มจนหน้าเบี้ยวจมูกช้ำลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ยกมือปาดเลือดกำเดาด้วยสีหน้าบูดบึ้งแล้วยกขาสั้นๆ เดินเข้าไปเตะลู่หยวนเจิ่นที่พอตกลงมาก็ตะลึงค้างให้ทีหนึ่ง!

ขาของเด็กสามขวบคนหนึ่งไม่ได้มีพลังทำลายล้างอะไรมากมาย แต่กลับเรียกให้สติของลู่หยวนเจิ่นกลับเข้าร่าง

ลู่หยวนเจิ่นเดินเข้าไป มองประเมินบุรุษที่ดูเหมือนผู้ฝึกตนมารแต่ก็ไม่เหมือนผู้ฝึกตนมารเสียทีเดียว แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้เสียกิริยา เพียงยื่นมือออกไปพร้อมเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณมาก”

ในตอนนั้นรองหัวหน้าสหพันธ์ถึงได้หันไปมองลู่หยวนเจิ่น ตอนไม่มองยังไม่อะไร แต่พอมองแล้วก็เห็นว่าลู่หยวนเจิ่นกับเฉียวเวยเวยและเด็กผู้ชายอีกคนที่พบเมื่อวานแต่งกายด้วยเครื่องแบบสำนักเดียวกัน เขาจึงพอเข้าใจว่าทั้งสามมาด้วยกัน

แต่ในขณะที่สายตาเขามองแขนของลู่หยวนเจิ่นที่ยื่นเข้ามา เขากลับไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายต้องการจะทำอะไรเสียอย่างนั้น จนกระทั่งลู่หยวนเจิ่นหันไปบอกเฉียวเวยเวย “เวยเวย มานี่สิ”

เฉียวเวยเวยยื่นมือน้อยๆ ไปทางลู่หยวนเจิ่น

รองหัวหน้าสหพันธ์ยิ้มเขินๆ พลางส่งตัวเด็กน้อยไปให้ลู่หยวนเจิ่น

เวยเวย เขาจดจำชื่อเด็กน้อยเอาไว้

ลู่หยวนเจิ่นกำลังจะถามชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่าย แต่ในเวลานั้นกลับมีศิษย์ของสหพันธ์คนหนึ่งเดินเข้ามา

ศิษย์คนนั้นประสานมือคารวะรองหัวหน้าสหพันธ์ “รองหัวหน้าสหพันธ์”

สีหน้าของลู่หยวนเจิ่นพลันอ่อนลง

ลู่หยวนเจิ่นไม่คิดว่าในที่แห่งนี้ยังมีใครคนอื่นที่ลูกศิษย์ของสหพันธ์จะเอ่ยเรียกว่ารองหัวหน้าสหพันธ์อีก เขาสวมใส่อาภรณ์ผ้าไหม เลยทำให้ลู่หยวนเจิ่นคิดว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่เก่งกาจมาจากที่ใด คิดไม่ถึงว่าจะเป็นศัตรูตัวฉกาจของสำนักเชียนหลัน!

ใช่แล้ว สำนักเชียนหลันกับสำนักว่านเซี่ยงแตกหักกันแล้ว ทุกอย่างที่ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับสำนักว่านเซี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรองหัวหน้าสหพันธ์ที่ยังมีการแต่งงานสานสัมพันธ์กับสำนักว่านเซี่ยงด้วย ล้วนถูกลู่หยวนเจิ่นทำสัญลักษณ์ว่าไม่อาจไปมาหาสู่ด้วยได้

“บุญคุณยิ่งใหญ่ของรองหัวหน้าสหพันธ์ครั้งนี้ ข้าน้อยลู่จดจำไว้แล้ว วันหน้าจะต้องใช้คืนให้แน่ หากไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ข้าน้อยลู่ขอตัวก่อน” ลู่หยวนเจิ่นเอ่ยอย่างเย็นชาจบก็พาเด็กสองคนกลับไปประจำที่ผู้ชมดังเดิม

รองหัวหน้าสหพันธ์มองแผ่นหลังที่เดินไกลออกไปด้วยความไม่เข้าใจ เขาถามลูกศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ว่า “พวกเขาเป็นคนจากสำนักใด เหตุใดจึงไม่เคยพบหน้ามาก่อน”

ลูกศิษย์ตอบอย่างนอบน้อมว่า “เรียนรองหัวหน้าสหพันธ์ พวกเขาเป็นคนสำนักเชียนหลัน สำนักเชียนหลันเพิ่งย้ายมาอยู่แดนกลางได้ไม่นาน จึงไม่แปลกที่ท่านจะไม่รู้จัก”

พอได้ฟังเช่นนี้รองหัวหน้าสหพันธ์ก็เข้าใจว่าเหตุใดท่าทีของอีกฝ่ายถึงได้นึกจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนเสียเฉยๆ เช่นนั้น บุตรชายของเขาถูกใจคุณหนูของสำนักว่านเซี่ยง ส่วนสำนักว่านเซี่ยงกับสำนักเชียนหลันก็ไม่ถูกกันราวน้ำกับไฟ…

รองหัวหน้าสหพันธ์ส่ายหน้าไม่ได้พูดอะไรอีก เหาะกลับสำนักของแดนกลางไป

เรื่องที่อยู่ๆ หัวหน้าสหพันธ์ก็ปรากฏตัวมาช่วยลูกศิษย์ตัวน้อยของสำนักเชียนหลัน มีคนที่อยู่ในเหตุการณ์มองเห็นกันไม่น้อย จะบอกว่าไม่ตกใจคงเป็นไปไม่ได้ โดยมากคิดว่าเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า… บังเอิญว่าเด็กคนนั้นตกลงมา และบังเอิญว่ารองหัวหน้าสหพันธ์เดินผ่านมาพอดีเลยช่วยเอาไว้ก็เท่านั้น

ส่วนที่ว่าเด็กคนนั้นมีฐานะเช่นไรหาได้สำคัญไม่

เจ้าสำนักว่านเซี่ยงนั่งอยู่ภายในตำหนักของแดนกลาง เห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยสองตาตนเอง แต่กระทั่งเขายังรู้สึกว่าเป็นเหตุบังเอิญ เขาจึงไม่ได้คิดอะไร ก็เป็นแค่แม่หนูน้อยที่ไม่มีอำนาจบารมีอะไรคนหนึ่งเท่านั้น ช่วยก็ช่วยไปเถิด

รองหัวหน้าสหพันธ์มาถึงแล้ว

เจ้าสำนักว่านเซี่ยงพาว่านจื่อเยียนกับบุตรสาวคนเล็กว่านจื่อซินเข้าไปคารวะรองหัวหน้าสหพันธ์

ว่านจื่อเยียนไม่ได้พูดอะไรมาก ลักษณะท่าทางดูอ่อนหวาน

ว่านจื่อซินที่อายุสี่ขวบดูสดใสกว่ามากนัก เรียก “ท่านลุง” ไม่ขาดปาก ปากหวานเสียยิ่งกว่าอะไร ซ้ำยังเอาของดีๆ ที่ตนได้มาตลอดเช้าไปแสดงความกตัญญูต่อรองหัวหน้าสหพันธ์เสียด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น นางยังตั้งใจทำเป็นหกล้ม แสร้งทำว่าตัวซุ่มซ่าม ทั้งยังแสดงท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูมากมาย เรื่องเหล่านี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นทำ คงน่าคลื่นไส้น่าดู แต่กระนั้นนางดันอยู่ในวัยน่ารักน่าเอ็นดู ทั้งยังมีใบหน้าที่ใสซื่อและงดงาม ความรู้สึกขัดใจจึงไม่เกิดขึ้นสักนิด

คนทั้งสำนักบนล้วนถูกท่าทางของนางทำให้หัวเราะกันยกใหญ่ ต่างรู้สึกว่าในใต้หล้านี้ไม่มีเด็กคนใดน่ารักเกินนางอีกแล้ว

ทุกคนให้ของดีๆ กับนางไม่น้อย คนที่นั่งอยู่ในตำหนักล้วนเป็นบุคคลสำคัญของแดนกลาง พวกเขาหยิบจับอะไรให้ก็ล้วนเป็นของมากมูลค่าเทียบเท่าเมืองเมืองหนึ่งทั้งสิ้น

ว่านจื่อซินได้ของไปเต็มตัว ตรงอกเสื้อยังมีข้าวของยัดอยู่ไม่น้อย อีกด้านหนึ่งเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวถูกลู่หยวนเจิ่นพาตัวไปนั่งลงยังที่นั่งผู้ชมของสำนักเชียนหลัน

ที่นี่ย่อมไม่สบายเท่าบนเรือเหาะ แต่อยู่ใกล้สนามประลองมากกว่า มองเห็นได้ชัดกว่า

หลิงจือลงสนามแล้ว คู่ต่อสู้คนแรกของนางคือผู้ฝึกตนจากสำนักเก่าแก่ของแดนกลาง ผู้ฝึกตนคนนี้อายุไม่น้อยแล้ว แต่คุณสมบัติไม่ดีนัก ฝึกตนมาหลายปีแล้วแต่ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่ระดับรากฐานขั้นต้น นี่เป็นครั้งที่สองของเขาที่เข้าร่วมการประลองของลูกศิษย์ใหม่ ว่ากันตามจริงคนผู้นี้ออกจะหน้าหนาเล็กน้อย เขาเป็นผู้ฝึกตนนับสิบปีแต่ยังคงเป็นลูกศิษย์ใหม่อยู่เลย เห็นได้ว่าการฝึกตนของเขายังสู้ลูกศิษย์รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้ แต่ทุกคนก็ทำเพียงหลับตาข้างหนึ่ง

เขามีรากปราณคู่น้ำกับไม้ เมื่อมีระดับชั้นเดียวกัน วิชาก็ไม่ต้านกัน หลิงจือจึงชนะอย่างสบายๆ

คู่ต่อสู้คนที่สองของหลิงจือไม่ง่ายดายเช่นคนแรกแล้ว คนที่สองเป็นผู้ฝึกตนในระดับรากฐานขั้นกลาง ซ้ำยังเป็นรากปราณดินอีกด้วย ด้วยพลังการป้องกันที่กล้าแข็งทำให้หลิงจือบุกทะลวงเข้าไปได้ยากยิ่งนัก

มีประโยคหนึ่งกล่าวว่าทหารมาใช้ขุนพลต้าน น้ำมาใช้ดินต้าน พลังปราณดินสามารถต้านทานพลังปราณน้ำได้ประมาณหนึ่งจริงๆ

เพียงแต่ว่าลูกศิษย์ที่มีรากปราณน้ำยามฝึกตนจะทำได้รวดเร็วว่าศิษย์ที่มีรากปราณดิน ดังนั้นในสายตาคนโดยมาก รากปราณน้ำยังคงได้เปรียบรากปราณดินอยู่

แต่ต่อให้ได้เปรียบอย่างไรต้านทานอีกฝ่ายที่ฝึกมามากกว่าถึงสองปีไม่ได้ อีกฝ่ายยังสูงกว่าหลิงจือถึงหนึ่งขั้นเต็มๆ

พอผ่านไปหนึ่งเค่อ พลังปราณน้ำของหลิงจือก็เหือดหายไปจนหมดสิ้น บนตัวยังมีแผลเล็กน้อยอีกด้วย

หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ต้องสู้กันแล้ว อีกฝ่ายน่าจะหิ้วนางไป “ส่ง” ออกจากสนามได้เลย

“หลิงจือ” เฉียวเวยเวยพึมพำ

ลู่หยวนเจิ่นถอนหายใจทีหนึ่ง รากปราณดินไม่ได้น่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคืออีกฝ่ายบังเอิญมีระดับชั้นที่เหนือกว่าหลิงจือ ในพลังทั้งห้าสาย ดินชนะน้ำ น้ำชนะไฟ ไฟชนะทอง ทองชนะไม้ ไม้ชนะดิน หากคิดอยากกำจัดคู่ต่อสู้ที่ระดับขั้นสูงกว่าตน วิธีการที่ดีที่สุดคือต้องใช้พลังคาถาในการเอาชนะเขา

ลู่หยวนเจิ่นลูบศีรษะเฉียวเวยเวย “หากพี่หลิงของเจ้าต้องการชนะ จำต้องใช้คาถาสายไม้ให้ได้…”

พอเขาพูดจบ ในอากาศก็มีพลังปราณไม้จำนวนมหาศาลหมุนวนขึ้นมาทันที

เขาหันไปมองด้วยความตกใจก็เห็นว่าพลังปราณไม้สีเขียวอ่อนเหล่านั้นกำลังพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของหลิงจือจากทุกทิศทุกทาง

หลิงจือที่เห็นอยู่ว่าพลังปราณเหือดแห้งเต็มที่ จู่ๆ รอบกายนางก็มีแสงสีเขียวอ่อนโอบล้อม ทั่วทั้งตัวแผ่พลังแห่งชีวิตออกมา

นางกระชับกระบี่ชูดาบขึ้นฟ้า

หลิงจือไม่เคยฝึกวิชาสายไม้มาก่อน แต่เหนือศีรษะขึ้นไป ศูนย์กลางอยู่ที่ปลายกระบี่ ได้รวบรวมพลังปราณไม้อันงดงามเอาไว้ ภายใต้การโจมตีของขุมพลังไม้นี้ เหล่าอาวุธวิเศษที่ลอยอยู่ในอากาศล้วนถูกพัดจนลอยมาชนกันเอง

เจ้าสำนักสวี่กางข่ายอาคมทันทีเพื่อรักษาเรือเหาะของตนให้มั่นคง อาวุธวิเศษที่อยู่ทั้งสองด้านลอยเข้ามาจะกระแทกกับเรือเหาะ แต่เมื่อกระแทกถูกข่ายอาคม จึงกระดอนกลับไปอีกครั้ง

รองหัวหน้าสหพันธ์ก็กางข่ายอาคมเช่นกัน ใช้สำหรับคุมพลังปราณไม้ของหลิงจือ

หลิงจือไม่เคยควบคุมพลังปราณไม้มาก่อน แขนจึงสั่นเล็กน้อย ในขณะที่นางใกล้จะต้านทานไม่อยู่นั้น นางทำการวาดกระบี่ให้พลังปราณไม้ก้อนใหญ่ที่อยู่เหนือศีรษะพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้อย่างดุดัน!

คู่ต่อสู้รีบสร้างกำแพงดินหนาๆ ขึ้นมารับ แต่พลังปราณไม้เกิดขึ้นก็เพื่อทำลายดิน จึงโจมตีถูกร่างของเขาในทันที ตัวเขากระเด็นลอยไปล้มหนักๆ ลงด้านล่างเวที ตามด้วยกระอักเลือดสดๆ ออกมา

หลิงจือชนะแล้ว!

ด้านล่างมีแต่เสียงโห่ร้อง เฉียวเวยเวยก็ปรบมือกับเขาด้วย

ลู่หยวนเจิ่นกลับตั้งตัวไม่ค่อยติด เขาพูดลิ้นพันกันว่า “ให้ตายสิ…ข้าไม่ได้ตาฝาดไปกระมัง นั่นใช่หลิงจือหรือ”

เขาหันไปมองเฉียวเวยเวยที่กำลังออกแรงปรบมือ กระตุกหางเปียนางพลางถามว่า “พี่สาวเจ้ามีรากปราณน้ำใช่หรือไม่”

เฉียวเวยเวยพยักหน้า “อื้อๆ”

ตอนทดสอบออกมาว่าเป็นอย่างนั้นนี่

ลู่หยวนเจิ่นนึกสงสัยยิ่งนักว่าจะเกิดข้อผิดพลาดกับการทดสอบ มีคนรากปราณน้ำที่ไหนที่ใช้ทั้งคาถาสายไฟเป็น แล้วยังมีพลังปราณไม้อีก?

ความสงสัยเดียวกันนั้นเกิดขึ้นกับพวกเจ้าสำนักสวี่เช่นกัน เจ้าสำนักสวี่ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “กลับไปจัดการทดสอบรากปราณของเด็กคนนั้นอีกครั้ง”

รากปราณไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากแล้วจะดี ด้วยใจจริงแล้วเจ้าสำนักสวี่หวังให้หลิงจือเป็นรากปราณน้ำ แต่ศิษย์ที่มีรากปราณน้ำไม่มีทางมีพลังปราณไฟและพลังปราณไม้ในชั่วข้ามคืน

ผู้พิทักษ์ใหญ่นิ่งไป “เจ้าสำนักกำลังสงสัยว่า…”

เจ้าสำนักสวี่พยักหน้า “ถูกต้อง ข้ากำลังสงสัยว่านางก็คือรากปราณผสมในตำนานไม่ได้พานพบมานับหมื่นหมื่นปี”

รากปราณผสมเป็นรากปราณที่ดีเลิศยิ่งกว่ารากปราณสวรรค์ มันสามารถเรียกรวมพลังปราณใดก็ได้ ยามฝึกวิชาคาถาประเภทใดก็จะรวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่หลายเท่า หรืออาจถึงขั้นสิบเท่าก็เป็นได้ ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกตนที่มีรากปราณผสมเมื่อพบเจอกับมหาอัสนีวิบากก็สามารถเจอพร้อมกับอัสนีวิบากได้ ไม่เกินไปเลยที่จะเอ่ยว่า รากปราณผสมนั้นเกิดขึ้นเพื่อคนที่จะกลายเป็นเซียน

หากหลิงจือเป็นรากปราณผสมจริง สำนักเชียนหลันคงได้ถูกกำหนดให้มีท่านเซียนคนหนึ่งแล้ว

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset