ตอนพิเศษ 24-2 พ่อลูกได้พบหน้า
บนลานประลอง ฝ่ายจัดงานของสหพันธ์ใช้พลังปราณขีดเส้นแบ่งเป็นอาณาเขตที่ต่างกันไป ในแต่ละอาณาเขตจะมีวงกลมที่ใช้พลังปราณสร้างขึ้น ขอเพียงล้มออกนอกวงจึงถือว่าแพ้การประลองทันที
ทางด้านสำนักเชียนหลัน คนแรกที่ลงสนามคือเด็กสาวรากปราณสวรรค์
เรื่องที่นางเป็นสายเลือดของท่านเซียนแพร่ไปเป็นไฟลามทุ่ง ผู้ฝึกตนในแดนกลางมีมากเพียงนั้น บุตรสาวของท่านเซียนกลับมีนางเพียงคนเดียว ความสนใจที่นางได้รับจึงสูงมาก ตอนเอ่ยชื่อนางขึ้นมา ตรงที่นั่งผู้ชมถึงกับเกิดเสียงฮือฮาขึ้นเบาๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินว่าคู่ต่อสู้ของนางในยกนี้เป็นผู้ฝึกตนมารที่มีระดับชั้นสูงสุด ทุกคนก็ถึงกับแตกตื่น
ยิ่งเป็นเช่นนี้นางยิ่งรู้สึกกดดัน
หากนางเป็นเพียงคนธรรมดา หากนางไม่มีรัศมีของสายเลือดท่านเซียนติดตัว นางแพ้ก็แค่แพ้ แต่เวลานี้หากนางแพ้ นางคงต้องหาทางลงไม่เจอเป็นแน่
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยืนอยู่ในเพิงรอประลอง นางกระชับอาวุธในมือ ไม่รู้ว่านางรู้สึกไปเองหรือไม่ แต่นางรู้สึกแปลกๆ ที่มือซ้ายของนาง นิ้วมือกระตุกน้อยๆ อย่างไม่อาจควบคุมได้ ฝ่ามือยังสั่นเบาๆ อีกด้วย
นี่เป็นมือที่จับดอกไม้ดอกเมื่อวาน
“นี่ ถึงตาเจ้าแล้ว ยังยืนเฉยอยู่ไย” หลิงจือเดินเข้ามา พอเห็นนางเอาแต่จ้องมือซ้ายของตนจึงถามด้วยความไม่เข้าใจว่า “มือเจ้าเป็นอะไร บาดเจ็บหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รีบคลายมือออก หันไปเอ่ยกับหลิงจือว่า “ไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่าได้พูดซี้ซั้ว!”
หลิงจืออึ้งไปเล็กน้อย “ข้าพูดอะไรหรือ”
ขนตาเด็กสาวรากปราณสวรรค์สั่นระริก ถือกระบี่เลือดมังกรลงสู่สนาม
กระบี่เล่มนี้ยามอยู่ในแดนล่างยังเป็นเพียงอาวุธวิเศษธรรมดาๆ เล่มหนึ่ง แต่เมื่อมาที่แดนกลาง ผู้พิทักษ์รองพานางไปจับสัตว์มารขั้นหนึ่งตัวหนึ่ง แล้วเอาวิญญาณของสัตว์มารตัวนั้นหลอมเข้าสู่กระบี่ เวลานี้มันจึงนับเป็นอาวุธญาณชิ้นหนึ่งแล้ว
ผู้ฝึกตนมารผู้นั้นกลับไม่พกพาอาวุธใดๆ มาเลย ลองคิดดูก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนมารที่รากฐานสมบูรณ์พร้อมแล้วอันที่จริงแทบจะสามารถสู้ตัวต่อตัวกับผู้ฝึกตนฝ่ายธรรมะชั้นผสานตันได้แล้ว จะมาเกรงกลัวลูกศิษย์ใหม่ที่มีรากฐานขั้นกลางคนหนึ่งได้อย่างไร
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ได้แต่เจ็บใจที่ตนไม่รีบฝึกให้เร็วกว่านี้ หากให้เวลานางสักสองปีสามปี นางคงไปถึงชั้นผสานตันแล้ว และคงสามารถเล่นงานอีกฝ่ายจนล้มคว่ำลงกับพื้นได้แล้ว!
อยู่ๆ นางก็เกิดเสียใจขึ้นมา เมื่อคืนเหตุใดนางถึงวู่วามด้วยการทิ้งดอกไม้ไปเช่นนั้น หลิงจือไม่ได้เป็นอะไรกับนางเสียหน่อย คราวนี้เลยดีกับหลิงจือแต่โหดร้ายกับนางแทน!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ชักกระบี่ออกมาด้วยความหงุดหงิด
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องมาที่นาง ซึ่งยิ่งทำให้นางอารมณ์เสียเข้าไปใหญ่
ผู้ฝึกตนมารฝั่งตรงข้ามเพิ่งมีอายุยี่สิบกว่าปีเท่านั้น หน้าตาไม่นับว่าน่ามองนัก เพียงแต่ลักษณะท่าทางดูน่ากลัว จึงไม่มีผู้ฝึกตนสนใจรูปลักษณ์ของเขามากนัก
พอเห็นเด็กสาวรากปราณสวรรค์ชักกระบี่ ผู้ฝึกตนมารก็ยิ้มเยาะ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ถูกยั่วยุจนไฟโทสะพุ่งขึ้นมาสุมทรวง ร่ายวิชาวารีสวรรค์พุ่งเข้าใส่อีกฝ่ายอย่างดุดันทันที!
คาถาวารีสวรรค์หลิงจือก็เคยใช้มาก่อน แต่หลิงจือใช้เป็นเพียงรูปแบบที่หนึ่ง แต่นางกลับสามารถร่ายคาถาแบบที่สองที่ร้ายกาจกว่าได้ เห็นเพียงคมน้ำที่ดูเป็นของจริงพาเอาความดุดันที่พร้อมพุ่งทะลุหัวใจวิ่งเข้าโจมตีผู้ฝึกตนมารที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างดุดัน
ผู้ฝึกตนมารเป็นรากปราณไฟ ดูจากธาตุแล้วเขาไม่ถือว่าได้เปรียบ แต่ด้วยระดับชั้นของเขาที่สูงกว่า แค่ดีดนิ้ว คมน้ำที่รวดเร็วและรุนแรงนั้นก็ถูกพลังปราณของเขาทำให้ละลายหายวับไปจนหมด
ผู้ฝึกตนคนหนึ่งจะสามารถสะสมพลังปราณจำนวนมหาศาลไว้ในร่างกายได้ก็ต่อเมื่อผสานตันเรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านั้นผู้ฝึกตนจะต้องอาศัยพลังปราณที่อยู่ในพื้นพิภพ เมื่อใดก็ตามที่ดึงพลังปราณน้ำจากสภาพแวดล้อมไม่ได้ ต่อให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์เก่งกาจเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
แน่นอนว่านางยังฝึกวิชาสายทองด้วย
นางใช้กระบวนท่ากระบี่ดาวกระบวยใหญ่
“สถานการณ์ไม่ค่อยดีนะ” เจ้าสำนักสวี่เอ่ยพร้อมทอดถอนใจ
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “จะโทษหลิงเอ๋อร์ไม่ได้ เป็นเพราะระดับชั้นต่างกันมากเกินไปจริงๆ ต่อให้นางฝึกคาถาวารีสวรรค์ได้ถึงท่าที่สาม ก็ยังไม่อาจโจมตีไฟที่ลุกโชนของอีกฝ่ายง่ายๆ ได้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไอออกมาอย่างหนัก หลังจากมั่นใจว่านางไม่มีแรงเหลือพอจะโจมตีกลับแล้ว ผู้ฝึกตนมารก็เริ่มการโจมตี
ในขณะที่ผู้ฝึกตนมารกางฝ่ามือออกเตรียมจะโจมตีใส่เด็กสาวรากปราณสวรรค์อย่างดุดันนั้น จู่ๆ มือซ้ายของเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็สั่นระริกขึ้นมาอย่างหนัก ฝ่ามือปวดแปล๊บ ไม่รู้ว่าชั่วขณะนั้นนางคิดอะไรอยู่ คล้ายมีวิญญาณสั่งให้นางยกมือซ้ายขึ้นรับฝ่ามือของผู้ฝึกตนมาร
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว ผู้ฝึกตนมารที่คิดว่าฝ่ามือเมื่อครู่จะควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้แล้ว กลับถูกเด็กสาวรากปราณสวรรค์กระแทกใส่จนกระเด็นออกไป
เขาล้มหนักๆ ลงกับพื้น กระอักเลือดสดๆ ออกมา ไฟลุกโชนของเขาดับไปแล้ว พลังปราณน้ำจำนวนมหาศาลในอากาศพวยพุ่งเข้าสู่ร่างเด็กสาวรากปราณสวรรค์ เด็กสาวรากปราณสวรรค์เงื้อกระบี่ “คาถาวารีสวรรค์!”
คมน้ำจำนวนมหาศาลพุ่งเข้าทิ่มร่างผู้ฝึกตนมารจนตัวเขากระเด็นออกไปทั้งตัว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งตัว เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็ได้รับชัยชนะไปแล้ว
คนของสำนักเชียนหลันก็ประหลาดใจมากเช่นกัน หากบอกว่าในสนาม ผู้ฝึกตนมารตั้งใจอ่อนข้อให้บุตรสาวของท่านเซียน พวกเขาคงเชื่อ เพียงแต่ผู้ฝึกตนมารผู้นี้ไม่ได้ทำเช่นนั้น พวกเขาตั้งใจมองกันอยู่ เขาพยายามสุดความสามารถที่จะเอาชนะเด็กสาวรากปราณสวรรค์ แต่เขาแพ้แล้ว
“ฝ่ามือเมื่อครู่…ดูไม่ธรรมดา” เจ้าสำนักสวี่พึมพำเสียงเบา
เฉียวเวยเวยหันไปกะพริบตามองคนสองคนที่อยู่ทางด้านหลัง
ผู้พิทักษ์ใหญ่ลูบศีรษะนาง สายตามองสนามประลองพลางเอ่ยว่า “อาจไปกระตุ้นสายเลือดของท่านเซียนเข้ากระมัง”
เจ้าสำนักสวี่พยักหน้าอย่างใช้ความคิด “สายเลือดตื่นรู้ ก็นับว่าเป็นไปได้”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองมือข้างซ้ายของตน ตรงฝ่ามือมีหมอกสีดำอบอวลอยู่ นางไม่รู้ว่าสิ่งนี้คืออะไรจึงตกใจจนหน้าซีด
สัญชาตญาณนางบอกว่าเรื่องนี้จะให้คนอื่นรู้ไม่ได้ นางเอามือแนบติดกับกระโปรง เก็บกระบี่เดินลงจากสนามด้วยสีหน้าขาวซีด
คนต่อไปที่ลงสนามคือหลิงจือ
คู่ต่อสู้ของหลิงจือคือผู้ฝึกตนของสำนักตันคนหนึ่ง สำนักตันนั้นเป็นไปตามชื่อ สำนักของเขาขึ้นชื่อเรื่องการทำยาเม็ดตัน สำนักตันจะรับเฉพาะลูกศิษย์ที่มีรากปราณไม้ ดิน และทองเท่านั้น วิชาของรากปราณสามประเภทนี้จะมุ่งเน้นไปที่การตั้งรับป้องกัน พลังการโจมตีไม่นับว่าโดดเด่น แต่บางครั้งการใช้ความอ่อนสยบความแข็งกร้าวก็นับเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ควบคุมศัตรูอย่างหนึ่ง
หลิงจือเดินลงสนามด้วยท่วงท่าองอาจ
หลังจากไปอยู่ที่สำนักเชียนหลันมาหลายเดือน ไม่เพียงเฉียวเวยเวยที่ได้รับการเลี้ยงดูจะขาวอวบเท่านั้น กระทั่งนางเองก็ยังสูงขึ้นไม่น้อย ลักษณะใบหน้าเหมือนเด็กวัยเดียวกัน มีแค่เครื่องหน้าที่ยังไม่โตเต็มที่ สวยก็สวยอยู่หรอก แค่เพียงเป็นความสวยอย่างเด็กๆ
เฉียวเวยเวยเขย่งปลายเท้า “หลิงจือ หลิงจือ”
นางอยากลงไป
นางกระโดดอยู่ริมรั้วหลายครั้ง ยื่นหน้าออกไปคอยมองด้านล่างไม่หยุด
อาจเพราะศีรษะของนางหนักเกินไป หัวเลยทิ่มลงไปข้างล่าง!
ด้านหลังนางมีเชือกมัดไว้อยู่ แต่เชือกดีดเปรี๊ยะแล้วขาดผึง!
ลู่หยวนเจิ่นที่จับเชือกอยู่ถึงกับงุนงงไปเลยทีเดียว “เจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดถึงได้ตัวหนักเพียงนี้!”
เฉียวเวยเวยตัวลอยละลิ่วตกจากเรือเหาะ พอดีว่าในเวลานั้น ผู้พิทักษ์รองกับเจ้าสำนักสวี่กลับเข้าห้องน้ำชาไปแล้ว ส่วนประมุขเหลยไม่ได้ออกมาตั้งแต่แรก เก็บตัวฟื้นฟูผมกลางศีรษะของตนอยู่ในห้องเงียบๆ ลู่หยวนเจิ่นเป็นคนเดียวที่คอยดูแลพวกเขา
จังหวะที่เฉียวเวยเวยตกลงไปนั้น ลู่หยวนเจิ่นรีบทะยานตามไปลง
จีเสี่ยวซิวพลันเดือดดาล นี่ๆๆ เจ้าลืมไปแล้วหรือไรว่าในมือเจ้ายังมีเชือกอีกเส้นหนึ่งอยู่น่ะ!
จีเสี่ยวซิววัยสามขวบตกลงไปด้วย…
จีเสี่ยวซิวได้แต่กรอกตาบน!
ลู่หยวนเจิ่นคว้าตัวไว้ไม่ได้ พอมีเขาตกลงมาอีกคนเลยยิ่งทำอะไรไม่ถูก!
ในตอนนั้นคนในชุดสีน้ำตาลทะยานเข้ามารับตัวเฉียวเวยเวยที่กำลังร่วงหล่นเอาไว้
ลู่หยวนเจิ่นตะลึงค้าง
จีเสี่ยวซิวร่วงหล่นอยู่ด้านหลังเขา
นี่ๆๆ ยังมีข้าอีกคนนะ ข้าด้วย!
แขนขาเล็กๆ ของจีเสี่ยวซิวตีให้วุ่นไปหมด หน้าคว่ำลงตกกระแทกพื้นดังผลั่ก!