ตอนพิเศษ 23-1 พ่อมาแล้ว
หลังเอาชนะผู้ฝึกตนมารได้ พรสวรรค์อันเหนือชั้นของหลิงจือก็เป็นที่จดจำของยอดฝีมือและลูกศิษย์ที่อยู่ในงานประลองทุกคน พอถึงตาผู้ฝึกตนคนที่สามที่อยู่ในระดับรากฐานขั้นกลางลงสนามมาประลองกับหลิงจือ ก็ถึงกับทำมือทำไม้ไม่ถูก ใช้กระบวนท่าไม่ได้จนพ่ายแพ้ให้กับหลิงจืออย่างหมดรูป
หลิงจือชนะติดกันสามยก และได้สิทธิ์ไปแข่งขันต่อในวันพรุ่งนี้
พอนางลงจากสนามประลอง ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็เรียกนางไปขึ้นเรือเหาะ
นี่เป็นห้องจิบชาห้องหนึ่ง นอกจากผู้พิทักษ์ใหญ่กับหลิงจือแล้ว ไม่มีใครอยู่ในห้องด้วยอีก
ผู้พิทักษ์ใหญ่มองนางด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เจ้าฝึกวิชาเวทย์อื่นด้วยหรือ”
หลิงจือเม้มปาก ก้มหน้าไม่ตอบอะไร
ผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่า “เจ้ามีรากปราณเพียงประเภทเดียว การไปฝึกวิชาเวทย์สายอื่นโดยพลการเช่นนี้จะธาตุไฟเข้าแทรกเอาได้ง่ายๆ”
รากปราณแบบใดก็ฝึกวิชาเวทย์ของรากปราณสายนั้น นี่เป็นหลักการที่สืบทอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน คนที่ฝึกวิชาเวทย์สองสายมันเป็นคนที่มีรากปราณคู่ หรือไม่ก็เป็นรากปราณสวรรค์ นอกจากรากปราณสวรรค์ที่มีข้อได้เปรียบติดตัวมาแต่กำเนิดโดยแท้จริงแล้ว รากปราณคู่คนอื่นๆ ยังเลื่อนขั้นเร็วสู้คนรากปราณเดี่ยวไม่ได้ด้วยซ้ำ
ยิ่งรากปราณมากก็ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อการฝึกฝน
ผู้พิทักษ์ใหญ่บอกว่า “เจ้าอยู่สำนักเชียนหลันมานานเพียงนี้ ไม่ใช่ว่าไม่เข้าใจกระทั่งหลักการข้อนี้หรอกกระมัง เจ้าเป็นรากปราณเดี่ยว อย่างไรเจ้าก็จะก้าวสู่เส้นทางการเป็นเซียนได้เร็วกว่าศิษย์ที่มีรากปราณคู่และรากปราณสามประเภท มีเหตุอันใดให้เจ้าต้องไปฝึกวิชาเวทย์สายอื่นด้วย จะได้ไม่คุ้มเสียเอานะ!”
หลิงจือพึมพำเอ่ยว่า “เหตุใดนางถึงสามารถฝึกวิชาเวทย์สองสายได้ หากรากปราณน้ำเป็นรากปราณที่ดีที่สุดจริงๆ นางเลือกแค่สายรากปราณน้ำก็พอแล้ว แต่นางยังเลือกวิชาเวทย์สายทองอีก!”
เมื่อนางเอ่ยเช่นนี้ ผู้พิทักษ์ใหญ่ก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว ยัยเด็กคนนี้เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกศิษย์ของผู้พิทักษ์รองเสียแล้ว
หลิงจือกัดริมฝีปาก
ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยว่า “หลิงจือ เจ้าอะไรก็ดีหรอก มีแค่ชอบเอาชนะคนเกินไป”
หลิงจือเงยหน้ามองผู้พิทักษ์ใหญ่ “แต่ทั้งๆ ที่ข้าสามารถเรียนได้ ข้าไม่ได้รู้สึกไม่ดีที่ตรงใด ระดับขั้นของข้าก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรสักหน่อย”
ผู้พิทักษ์ใหญ่นิ่งไป ว่ากันตามตรงในจุดนี้นางก็รู้สึกแปลกใจมากเช่นกัน วิถีการฝึกตนของผู้ฝึกตนจะเน้นเอาธาตุรากปราณของตนเป็นหลัก ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนคนไหนสามารถฝึกวิชาเวทย์ของสายอื่นได้ หากเป็นวิชาเวทย์อื่นก็ยังไม่เท่าไร แต่นี่ยังเป็นวิชาเวทย์สายไฟเข้าไปอีก น้ำกับไฟไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เหตุใดนางถึงไม่เป็นอะไรเลย
หรือว่านางจะเป็น…
ผู้พิทักษ์ใหญ่ส่ายหน้า เป็นไปไม่ได้
ผู้พิทักษ์ใหญ่เริ่มมีอารมณ์ นางหันไปมองหลิงจือพลางเอ่ยด้วยความหนักใจ “เจ้าเพิ่งเริ่มฝึก จึงยังไม่มีผลกระทบอะไรมากมาย แต่หลังจากนี้เมื่อเจ้าฝึกมากๆ เข้า พลังปราณสายไฟจะเริ่มยึดครองพลังปราณสายน้ำในตัวเจ้า ถึงเวลานั้นรากปราณของเจ้าจะเสียหาย การฝึกที่ผ่านมาก็จะเสื่อมสลาย เจ้าฟังคำอาจารย์เถิด อย่าได้ดึงดันจะเสี่ยงอันตรายต่อไปเลย”
หลิงจือตอบรับเสียงต่ำ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ อาจารย์”
หลังจากผู้พิทักษ์ใหญ่ไปแล้ว เฉียวเวยเวยกระโดดลงจากเก้าอี้ คว้าห่อผ้าเดินเข้ามา “หลิงจือ”
หลิงจือระบายยิ้มบางพลางอุ้มนางขึ้นมา “ข้าได้ยินว่าวันนี้เจ้าไปเจอคนของสำนักว่านเซี่ยงมาหรือ ไม่เป็นอะไรกระมัง”
เฉียวเวยเวยส่ายหน้า เปิดห่อผ้าของตนแล้วยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่าย
หลิงจือก้มลงมอง “นี่คืออะไรหรือ ลูกท้อหรือ”
เฉียวเวยเวยนิ่งคิด ผู้ใหญ่พวกนั้นก็เรียกกันเช่นนี้ นางจึงพยักหน้า “อื้อๆ”
“ข้าเด็ดเอง” นางบอกต่อ
หลิงจือคลี่ยิ้ม ขาสั้นเท่านี้ เอื้อมถึงผลไม้ด้วยหรือ
หลิงจือถามว่า “เจ้ากินหรือยัง”
เฉียวเวยเวย “อื้อๆ เก็บไว้ให้เจ้า”
หลิงจือหยิบขึ้นมาลูกหนึ่ง ในขณะที่นางกำลังจะเอาเข้าปาก เด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็เดินมาที่หน้าประตู ผู้พิทักษ์รองเป็นคนเรียกนางขึ้นมาบนเรือเหาะ หลังจากนี้นางจะคอยดูการประลองอยู่บนเรือ
นางเหลือบมองผลไม้ในมือหลิงจือแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “กินของสกปรกให้น้อยๆ หน่อยเถิด จะประลองครั้งใหญ่อยู่แล้ว หากเกิดเสาะท้องเข้าคงไม่มีใครช่วยเจ้าได้”
หลิงจือถลึงตาใส่นาง “ใช่เรื่องของเจ้าหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ส่งเสียงหึอย่างเย่อหยิ่ง “ทั้งๆ ที่เป็นรากปราณเดี่ยว แต่ริจะอวดเก่งขึ้นมานั่งบนวอ! เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นข้าหรือ”
หลิงจือเพิ่งรู้หนังสือก็หลังจากมาอยู่ที่สำนักเชียนหลันแล้ว นางยังเรียนมาไม่ถึงคำนี้ ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายความเช่นไร แต่ดูจากท่าทางดูถูกดูแคลนของอีกฝ่ายแล้ว น่าจะไม่ใช่เรื่องดีอะไร
หลิงจือโยนผลไม้ในมือเล่น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าอยากกินก็บอกกันดีๆ ก็ได้ ข้าไม่ใช่ว่าจะไม่ให้เจ้าเสียหน่อย จำเป็นต้องโร่มาเหน็บแนมข้าถึงนี่ด้วยหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์แค่นเสียงอย่างดูแคลน “ใครเขาอยากกินกัน ก็แค่ผลไม้ป่า ให้ข้าเปล่าๆ ข้ายังไม่เอาเลย!”
หลิงจือทำหน้าล้อเลียน
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เดินหน้าตึงจากไป
…
ตกดึก การประลองยกสุดท้ายจบลงแล้ว การแข่งขันในวันแรกปิดฉากลงโดยสมบูรณ์ ลูกศิษย์หนึ่งพันนายหลังจากผ่านการประลองไปสามรอบ เมื่อตัดคนที่ชนะแต่กลับบาดเจ็บสาหัสจนไม่อาจลงสนามต่อได้ ก็เหลือเพียงหนึ่งร้อยสามคนเท่านั้น
ในบรรดาหนึ่งร้อยสามคนนี้ไม่มีชื่อศิษย์พี่อวี๋กับหลินเหมี่ยว
หลินเหมี่ยวเป็นเพราะมีความสามารถไม่พอ เขาเพิ่งขึ้นสู่ชั้นรากฐาน การฝึกตนยังไม่มั่นคง พอเจอศิษย์ในชั้นรากฐานขั้นกลางคนหนึ่งเข้าไปก็ไม่อาจต่อกรด้วยได้
ส่วนศิษย์พี่อวี๋เป็นเพราะโชคไม่ดีเสียมากกว่า ไปเจอเข้ากับผู้ฝึกตนมารที่เก่งกาจคนหนึ่ง อีกฝ่ายอยู่ในระดับชั้นเดียวกับเขาคือชั้นรากฐานสมบูรณ์ด้วยกันทั้งคู่ โดยหลักการแล้วผู้ฝึกตนสายธรรมะจะสู้กับผู้ฝึกตนมารในระดับชั้นเดียวกันไม่ได้ แต่ศิษย์พี่อวี๋ใช้วิชากระบี่ที่เฉียบคมกับปฏิกิริยาตอบสนองที่น่าตกใจ รุกไล่กดดันจนผู้ฝึกตนมารหลุดออกจากวงต่อสู้ได้
จากนั้นก็ช่างบังเอิญ คนที่สองก็ยังเป็นผู้ฝึกตนมารที่รากฐานกึ่งสมบูรณ์อีก
ศิษย์พี่อวี๋สิ้นเปลืองพลังปราณมากเกินไป ถึงแม้จะชนะแต่กลับได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
คนที่สามก็ช่างโชคร้าย เป็นผู้ฝึกตนมารอีกคน
วันนี้มีเขาคนเดียวที่ต้องปะทะกับผู้ฝึกตนมารทั้งสามรอบ หนำซ้ำผู้ฝึกตนมารแต่ละคนยังมีระดับชั้นที่ไม่เป็นรองเขาเลยด้วย ผลสุดท้ายเป็นเช่นไรคงไม่ต้องเอ่ยถึง แต่ต่อให้เขาแพ้ก็ยังถือว่าแพ้อย่างมีเกียรติ
ไม่มีใครรู้สึกว่าเขาแพ้อย่างน่าขายหน้า ในทางกลับกันเมื่อเขาพาเอาร่างกายที่สะบักสบอมลงมานั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่มองเขาด้วยสายตาชื่นชม
กฎการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ต่างกับวันนี้อยู่เล็กน้อย จะมีการแข่งทั้งหมดสามรอบด้วยกันเช่นเดิม แต่จะมีการจัดลำดับ เช่นว่าชนะทั้งหมดสามครั้งถึงว่ายอดเยี่ยม อันดับสองคือชนะสองแพ้หนึ่ง แล้วจึงคัดเลือกเอาสิบห้าคนสุดท้ายเข้าไปแข่งในรอบตัดสิน
และในคืนนั้นคู่ต่อสู้ของผู้ฝึกตนทั้งหมดจะมีการประกาศออกมา
คู่ต่อสู้ทั้งสามคนที่เด็กสาวรากปราณสวรรค์ต้องเจอประกอบด้วย คนที่หนึ่งผู้ฝึกตนมารระดับชั้นรากฐานสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนมารคนนี้เป็นผู้มีระดับชั้นสูงที่สุดในบรรดาผู้เข้าประลองทุกคน เด็กสาวรากปราณสวรรค์เพิ่งมีรากฐานขั้นกลาง ระดับอยู่ห่างจากเขาถึงสองขั้น ว่ากันตามตรงแล้วโอกาสชนะมีไม่มากนัก
เมื่อเทียบกันแล้วหลิงจือดวงดีกว่ามากนัก คู่ต่อสู้สามคนที่จับฉลากมาเจอนางล้วนเป็นผู้ฝึกตนสายธรรมะที่อยู่ระดับรากฐานขั้นกลางหรือต่ำกว่านั้นทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นเป็นศิษย์จากสำนักว่านเซี่ยง ด้วยความสามารถของหลิงจือ โอกาสชนะแทบจะถือว่าไร้ซึ่งแรงกดดัน
“อาจารย์! เช่นนี้ไม่ยุติธรรม!” เด็กสาวรากปราณสวรรค์พอทราบคู่แข่งของตนกับหลิงจือแล้ว ก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือด!
ผู้พิทักษ์รองบอกว่า “จังหวะก็ดี ความสามารถก็ดี ดวงก็ดี โชคชะตาก็ดี ดวงก็นับเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ขมวดคิ้ว “แต่ว่า…”
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยตัดบทนาง “รีบไปพักผ่อน วันพรุ่งนี้จะได้ลงสนามด้วยพละกำลังที่สมบูรณ์ ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ อาจารย์ไม่โทษเจ้าทั้งสิ้น”
แต่ข้าจะโทษตัวเองนะ!
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กำหมัดแน่น กลับไปยังเรือนพักที่สหพันธ์จัดเตรียมให้พวกเขาด้วยสีหน้าบึ้งตึง