ตอนพิเศษ 22 ฉุดไม่อยู่ ชนะๆๆ
คนของสำนักเชียนหลันข้ามขั้นกันเป็นหมู่คณะแล้ว
เจ้าสำนักสวี่กลายเป็นครึ่งเซียนที่เก่งกาจกว่าชิวอีกซานยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประมุขเหลยก้าวเข้าสู่ชั้นมหายาน ผู้พิทักษ์รองกับผู้พิทักษ์ใหญ่ก็ตามกันขึ้นสู่ชั้นครึ่งเซียน กระทั่งลู่หยวนเจิ่นที่ชั้นการฝึกตนอ่อนบางที่สุดยังผสานภายในร่างกายจนกลายเป็นอมตะได้สำเร็จ
ถึงแม้แต่ละคนจะถูกสายฟ้าฟาดใส่จนสภาพดูไม่จืด โดยเฉพาะประมุขเหลยที่เส้นผมดกดำถูกสายฟ้าฟาดจนเกิดเป็นห้วงน้ำตรงกลาง แต่การข้ามชั้นโดยไม่ต้องใช้อาวุธวิเศษหรือยาเม็ดปรานสายฟ้าใดๆ นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งจริงๆ
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ช่างเกิดขึ้นอย่างน่าประหาด พวกเขาพอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับผลลูกท้อป่าที่เฉียวเวยเวยเด็ดกลับมา เพราะถึงอย่างไรนอกจากกินผลท้อพวกนั้นเข้าไปแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ทำเรื่องอื่นใดเหมือนกันอีก
แต่พวกเขาคาดเดาไปไม่ได้เลยว่า “ลูกท้อป่า” ที่รสหอมหวานแสนอร่อยนั้น ก็คือผลผูถีที่หนึ่งพันปีจะออกผลหนึ่งครั้งเท่านั้น
เหตุผลมีสองข้อ ข้อแรก ด้านนอกผลผูถีมีข่ายอาคมที่ท่านเซียนสักคนหนึ่งสร้างเอาไว้ อย่าว่าแต่เด็กคนหนึ่งที่ไม่มีรากปราณเลย ต่อให้กวาดมองไปทั้งแดนกลาง ก็ไม่มีใคร สัตว์อสูรตัวใดหรืออาวุธญาณอันใดที่สามารถทำลายมันได้ เหตุผลข้อสองคือ ได้ยินว่าผลผูถีมีฤทธิ์อัศจรรย์ที่สามารถรักษาบาดแผลทุกอย่างได้ แต่ไม่เคยได้ยินว่ามันสามารถช่วยเลื่อนชั้นการฝึกให้กับผู้ฝึกตนได้
อันที่จริงหลังจากผ่านวิถีการฝึกฝนและประสบการณ์มานานปี ภายในร่างกายมากน้อยอย่างไรก็ต้องมีบาดแผลสะสมอยู่บ้าง บาดแผลเหล่านี้ในยามปกติจะไม่ชัดเจนเท่าไรนัก แต่เมื่ออยู่ในช่วงเวลาสำคัญกลับกลายเป็นเหมือนคอขวดที่ขวางกั้นไม่ให้ผู้ฝึกตนก้าวข้ามลำดับชั้นไปได้ นี่ก็เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงแม้คนจำนวนมากมุ่งหน้ามาที่นี่ และพร้อมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้ได้ผลผูถีมาครอบครอง
หากพวกเขากินผลผูถีลงไปจริงๆ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อวิถีการฝึกตนในภายภาคหน้า ในยามข้ามขั้นก็จะพบเจอคอขวดน้อยไปสักอย่างหรือสองอย่าง แต่จะบอกว่าสามารถข้ามขั้นได้เลยเดี๋ยวนั้น นับว่ายังไม่ค่อยน่าเป็นไปได้
จีเสี่ยวซิวเหลือบมองเฉียวเวยเวยที่ผู้พิทักษ์ใหญ่อุ้มอยู่ และกำลังจับผมผู้พิทักษ์ใหญ่เล่น เจ้ามังกรละอ่อนนี่ เข้าไปทำอะไรกับผลผูถีมากันแน่…
แน่นอนว่าต่อให้คนทั้งสำนักเชียนหลันคาดเดาไม่ออกว่านั่นคือผลผูถี แต่ก็น่าจะคิดว่านั่นเป็นผลไม้วิเศษอะไรสักอย่างเป็นแน่
เจ้าสำนักสวี่กระแอมเบาๆ เอ่ยด้วยสีหน้าใจดีว่า “เวยเวยเอ๋ย เจ้าไปเด็ดผลไม้เหล่านั้นจากไหนมาหรือ ยังมีอีกหรือไม่” หากยังมีอีกพวกเขาจะไปเด็ดกลับมาให้หมด!
เฉียวเวยเวยแบมือ “ไม่มีแล้ว ข้าเด็ดหมดแล้ว”
เด็ดหมดแล้วก็เด็ดหมดแล้ว เจ้าสำนักสวี่อันที่จริงก็พอใจแล้ว เมื่อคิดถึงฝ่ามือเมื่อครู่ที่ฟาดใส่ชิวอีซานไป เจ้าสำนักสวี่ก็รู้สึกสาแก่ใจยิ่งนัก!
เจ้าสำนักสวี่หมุนตัวไปด้วยความสบายใจ เดินอาดๆ ไปชื่นชมทิวทัศน์ด้านนอกเรือเหาะ
ทุกคนตาโตอ้าปากค้างขณะมองด้านหลังเขา
ลู่หยวนเจิ่นพึมพำถามว่า “จะว่าไป…พวกเราควรบอกเขาหน่อยไหมว่าอาภรณ์ของเขาถูกสายฟ้าฟาดใส่จนเสียหายหมดแล้ว เนื้อก้นเขายังโผล่พ้นออกมาแล้วด้วยน่ะ…”
…
เมื่อได้ผลผูถีมาแล้ว ต่อไปก็เป็นศิลาตัดวิญญาณของใต้เท้าเจ้าตำหนักแล้ว
การจะได้ศิลาตัดวิญญาณมาก็เป็นเรื่องง่าย แค่หาใครสักคนไปขุดมาก็ได้แล้ว แต่งานกุลีเช่นนี้ ใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้สูงศักดิ์ไม่มีทางลงมือทำเองแน่นอน
เถิงเสอช่วยเจ้าสำนักสวี่รับอัสนีวิบากไปเส้นหนึ่ง เวลานี้กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเพียงห้องเดียวบนเรือเหาะซึ่งเป็นห้องเฉพาะของเจ้าสำนักสวี่
เถิงเสอนอนแผ่อยู่บนพื้นไม้พร้อมเนื้อตัวที่ดำเมี่ยม ไม่สนใจจีเสี่ยวซิวสักนิด
จีเสี่ยซิว “ก็แค่ขุดหินก้อนเดียวเองมิใช่หรือ ให้มังกรน้อยพาเจ้าเข้าไปในข่ายอาคม เดี๋ยวเดียวก็ขุดได้แล้ว”
เถิงเสอขยับปีกที่ถูกสายฟ้าฟาดใส่จนกลายเป็นรูดำๆ สองรู เป็นการบอกว่าข้าช่วยเจ้ากันสายฟ้าให้แล้วอย่างไร เจ้ายังจะเอาอย่างไรอีก!
จีเสี่ยวซิวเอ่ยอย่างขี้โกงว่า “ข้าไม่ได้ให้เจ้ากันอัสนีวิบากให้สักหน่อย ข้าเรียกเจ้ามาขุดดิน เจ้าเข้าไปขวางเองต่างหาก”
เถิงเสอ “?!?!?!”
จีเสี่ยวซิวเอ่ยเอาใจต่อว่า “อีกอย่างนะ เขาหมิงหวังเจ้าก็เป็นเจ้าถิ่น หากเจ้าไม่ไปขุดแล้วใครจะไปขุดเล่า”
เถิงเสอไม่สนใจ ไม่สนใจ ไม่สนใจ ยังไงก็ไม่สนใจ!
จีเสี่ยวซิวเอ่ยเรียกเสียงเบา “เถิงเสอ~”
เถิงเสอทำหน้าบูดแล้วสะบัดหน้าหนีไป หันก้นใหญ่ๆ ใส่จีเสี่ยวซิวแทน!
จีเสี่ยวซิวเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง “มังกรบินน้อย~”
ตึ่ง!
เถิงเสอหันกลับมา บินฟิ้วออกไปรับตัวเฉียวเวยเวย แล้วหายตัวมุดเข้าไปในข่ายอาคมทันที
…
การประลองในช่วงบ่ายเริ่มต้นในยามเว่ยสองเค่อ สำนักที่ไปพักกลางวันกันทยอยกลับมาแล้ว เรือเหาะของสำนักเชียนหลันก็กลับมาถึงทันเวลา
ลูกศิษย์ใหม่คนนั้นที่ถูกจีเสี่ยวซิวแปะยันต์ชะงักงันก็ได้ลู่หยวนเจิ่นไป “ช่วย” กลับมาแล้ว ไม่มีใครคิดว่าจีเสี่ยวซิวเป็นคนทำ คิดเพียงว่าเป็นเจ้าพวกคนชั่วจากสำนักว่านเซี่ยง
เขาหมิงหวังอยู่ไม่ไกลจากแท่นครึ่งวงเดือน เมื่อครู่ที่อัสนีวิบากกับมหาอัสนีวิบากฟาดลงมารุนแรงเพียงนั้น ผู้ฝึกตนที่อยู่ทางนี้มองเห็นกันทุกคน ซึ่งไม่มีใครเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดถึงมีคนข้ามชั้นกันมากเพียงนั้น ทั้งยังมีคนหนึ่งที่เลื่อนชั้นเป็นครึ่งเซียนอีกด้วย
พวกเขายังคิดว่าเป็นผู้ฝึกตนของคนละสำนักกัน แล้วไปเจอเหตุการณ์ประหลาดอะไรที่เขาหมิงหวังเข้า แต่พอเรือเหาะของสำนักเชียนหลันมาถึง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงไอพลังบนเรือเหาะที่ต่างออกไป
“เป็นคนของสำนักเชียนหลัน!”
“พระเจ้า พวกเขาไปทำอะไรมา เมื่อครู่ที่พวกเขาออกไปพร้อมกันก็เพื่อไปหาที่เลื่อนชั้นอย่างนั้นหรือ”
“คงไม่ใช่ว่า…กินผลผูถีเข้าไปหรอกกระมัง” มีบางคนที่คาดเดาอย่างใจกล้า
แต่ไม่เท่าไรการคาดเดาของเขาก็ถูกสหายปัดตกไป “เป็นไปไม่ได้ ข่ายอาคมยังไม่ขาดเลย ผลผูถียังไม่สุกงอม”
“เช่นนั้นนี่เกิดอะไรกับพวกเขา”
“ใครจะไปรู้เล่า”
เหล่าผู้ฝึกตนคาดเดากันไปคนละทางสองทาง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุปกลับมา
แต่ที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ ทุกคนตกใจกันยิ่งนัก ในความตกใจนั้นยังมีความอิจฉาริษยาอยู่ด้วย
สำนักเชียนหลันยามอยู่แดนล่างนั้นเป็นมังกรตัวหนึ่ง แต่หลังจากมาอยู่แดนกลาง คุณสมบัติอ่อนด้อย ทั้งยังมีเรื่องผิดใจกับสำนักว่านเซี่ยง เลยทำให้ถูกกีดกันมาตลอด กระทั่งการประลองของลูกศิษย์ใหม่ก็ยังถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งวงนอกที่ทำเลไม่ดีที่สุด ไม่เกินไปเลยที่จะกล่าวว่า สำนักเชียนหลันตกลงสู่บ่อโคลนไปแล้ว
ไม่มีใครคาดคิดว่าแค่เพียงชั่วเวลาพักกลางวัน สำนักเชียนหลันจะมีผู้ประเสริฐในขั้นกลายเป็นเซียนสองคน ผู้ประเสริฐในขั้นหินยานหนึ่งคน รวมถึงครึ่งเซียนอีกหนึ่งคน
ทุกคน ณ ที่นั้นจึงเริ่มอยู่กันไม่นิ่ง
เรือเหาะกลับมายังตำแหน่งของมันเอง ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศเหนือลานประลอง
แต่แล้วอยู่ๆ ศิษย์ของสหพันธ์คนหนึ่งก็เหาะกระบี่เข้ามายืนบนกาบเรือเหาะ ประสานหมัดใส่เจ้าสำนักสวี่ที่ยืนชมการแข่งขันอยู่ไม้กั้นเป็นการคารวะ เขาชี้ไปยังตำแหน่งว่างที่อยู่ในวงในทางด้านบน “ข้าได้รับคำสั่งจากหัวหน้าสหพันธ์ ให้มาเชิญสำนักเชียนหลันไปชมการประลองที่ด้านนั้น”
เจ้าสำนักสวี่พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ารู้แล้ว ฝากบอกหัวหน้าสหพันธ์ของเจ้าด้วยว่า ข้าน้อยสวี่ขอบคุณมาก”
ลูกศิษย์ประสานหมัด “ขอรับ”
เจ้าสำนักสวี่ข่มความร้อนรุ่มในจิตใจเอาไว้ หมุนตัวไปด้วยสีหน้าราบเรียบแล้วออกเดินไปทางห้องของตนอย่างสงบนิ่ง
ชั่วขณะที่หมุนตัวนั้นเอง ศิษย์จากสหพันธ์ผู้นั้นก็ไม่รู้มองเห็นอะไรเข้า ดวงตาเบิกโต ตัวโงนเงนหงายหลังตกจากกระบี่ของตน…
หลังจากนั้นสองสามเดือน เจ้าสำนักสวี่ก็ได้รับสมญานามที่ใช้เรียกกันลับหลังว่า…สุดเด้งแห่งแดนกลาง
พอไปถึงหูเจ้าตัว ก็ไม่รู้ว่าตรงส่วนไหนของตนที่เด้ง เขาไม่มีหางสักหน่อย จริงหรือไม่?
แน่นอนว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากนั้น กลับมาเอ่ยถึงเวลานี้ การประลองของลูกศิษย์ใหม่ในครึ่งหลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว
ศิษย์พี่อวี๋ หลินเหมี่ยวกับหลิงจือลงสนามในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน
เฉียวเวยเวยอยากดู ผู้พิทักษ์รองเลยยกเก้าอี้สองตัวมาวางตรงข้างรั้ว เฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวยืนอยู่บนเก้าอี้คนละตัว มือวางอยู่บนรั้ว ยื่นศีรษะออกไปชมความเคลื่อนไหวในสนามกันตาไม่กระพริบ
คนที่เฉียวเวยเวยดูย่อมเป็นหลิงจือ
หลิงจือเป็นผู้ฝึกตนในชั้นรากฐานขั้นต้น คู่ต่อสู้คนแรกของนางก็มีรากฐานขั้นต้นเช่นเดียวกัน แต่อีกฝ่ายเป็นรากปราณไฟ ในด้านคาถาอาคมหลิงจือที่มีรากปราณน้ำสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้แล้ว
วิชาเวทย์วารีสวรรค์ของหลิงจือสามารถดับอาวุธวิเศษธาตุไฟของอีกฝ่ายได้อย่างสนิทนิ่ง
การประลองครั้งนี้ หลิงจือชนะโดยไม่ต้องออกแรงเป่าเลย
คู่ต่อสู้คนที่สองของหลิงจือคือผู้ฝึกตนสายมารคนหนึ่ง
“ผู้ฝึกตนสายมารเชียวหรือ!” ผู้พิทักษ์รองขมวดคิ้ว “แดนกลางนี่ช่างมีตาปลาผสมกับไข่มุกจริงๆ กระทั่งผู้ฝึกตนสายมารก็ยังสามารถเข้าร่วมการประลองครั้งใหญ่เช่นนี้อย่างเปิดเผยได้!”
แดนกลางเป็นสถานที่ที่น่าอัศจรรย์ ที่นี่ไม่เคยแบ่งแยกฝ่ายธรรมะกับฝ่ายอธรรม ขอเพียงเคารพในกฎของสหพันธ์ ไม่กระทำเรื่องที่เป็นภัยต่อวิถีสวรรค์ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนมารก็สามารถได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนในสายธรรมะ
ผู้ฝึกตนมารแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนสายธรรมะในระดับเดียวกัน แน่นอนว่ายามพวกเขาเลื่อนชั้น อัสนีวิบากที่ต้องพบเจอก็จะน่ากลัวกว่าเช่นกัน หากบอกว่าในผู้ฝึกตนสายธรรมะสิบคน มีเจ็ดคนที่สามารถอดทนจนผ่านการทรมานจากอัสนีวิบากได้ เช่นนั้นในผู้ฝึกตนมารก็จะมีเจ็ดคนที่ไม่อาจทนผ่านด่านอัสนีวิบากไปได้
แต่ในเวลานี้ไม่ใช่การทนทรมานจากอัสนีวิบาก สถานการณ์ไม่เป็นผลดีต่อหลิงจือนัก
ผู้ฝึกตนมารใช้วิชาคมวายุ พลังปราณน้ำของหลิงจือยังผนึกรวมไม่สำเร็จ ก็ถูกคมวายุของอีกฝ่ายพัดกระจายไปหมดแล้ว
หลิงจือรีบผสานอินอีกครั้ง แล้วฟาดพลังใส่ปราณสวรรค์ของผู้ฝึกตนมารอย่างรุนแรงทันที
สายตาผู้ฝึกตนมารพลันเปลี่ยนเป็นดุดัน ร่ายวิชาเวทย์ ฝ่ามือของหลิงจือถูกทำให้แข็งค้าง
หลิงจืออึ้งงัน กระบี่ยาวถูกชูขึ้นขนานกับฟ้า “คาถาวารีสวรรค์!”
พลังปราณน้ำอันแข็งแกร่งหลอมรวมกลายเป็นคมน้ำจำนวนนับไม่ถ้วน พุ่งทะยานไปยังอีกฝ่ายอย่างมืดฟ้ามัวดิน!
คาถาวารีสวรรค์มีทั้งหมดเก้าชั้น ด้วยระดับของหลิงจือในเวลานี้ สามารถใช้ได้แค่เพียงชั้นแรกเท่านั้น แต่กระนั้นต่อให้เป็นเพียงชั้นแรกก็สามารถท้าทายอีกฝ่ายได้แล้ว
แต่กระบวนท่านี้ดูเหมือนจะใช้กับผู้ฝึกตนมารไม่ได้เลยสักนิด
ผู้ฝึกตนมารแค่ใช้มือข้างเดียวปัดออก คมวารีเหล่านั้นก็ชะงักงันไปทันที จากนั้นคมวารีที่นิ่งค้างก็ถูกผู้ฝึกตนมารควบคุม พลิกหันหัวกลับมาโจมตีใส่หลิงจือ!
คนของสำนักเชียนหลันตกใจจนลุกขึ้นยืน!
กระบี่ยาวของหลิงจือกันคมวารีเหล่านี้ไม่ได้ ในช่วงเวลาสำคัญนั้น หลิงจือชักกริชที่เอวออกมาฟันแรงๆ ประกายไฟอันแสนดุดันวูบหนึ่งทะยานออกไป!
ทุกที่ที่ประกายไฟพุ่งออกไป คมวารีทั้งหมดเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า กระทั่งผู้ฝึกตนมารยังไม่อาจกันเปลวไฟอันรุนแรงนั้นได้ ร่างกายพลันร้อนผ่าวคล้ายถูกเพลิงภูผาพ่นไฟอ่อนๆ เข้าใส่จนตัวกระเด็นออกจากวงประลอง
ทุกคนได้แต่ตาโตอ้าปากค้าง
ลู่หยวนเจิ่นถึงขั้นหุบปากไม่ลงเลยด้วยซ้ำ เขากระตุกแขนเสื้อผู้พิทักษ์ใหญ่ “ศิษย์พี่หญิง หลิงจือไม่ใช่รากปราณน้ำหรือ เหตุใดถึงใช้วิชาเวทย์สายไฟได้”