ตอนพิเศษ 21-1 ข้ามขั้นกันถ้วนหน้า เล่นงานสำนักว่านเซี่ย
ตามปกติจะต้องเด็ดผลผูถีหมดแล้วเท่านั้นพลังงานถึงจะหายไป แต่ผลผูถีไม่ได้เด็ดได้ง่ายๆ ในผลของมันซ่อนพลังงานมหาศาลเอาไว้ หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่มีรากปราณอัคคีจะง่ายต่อการถูกลวกเป็นอย่างยิ่ง ตามประสบการณ์ของคนที่ส่งต่อกันมา พลังงานของผลผูถีจะค่อยๆ หายไปทีละนิด ที่อยู่ดีๆ ก็หายวับไปเช่นนี้นับว่าแปลกประหลาดเกินไป
คงไม่ใช่ว่าผลผูถีกำลังออกผลไปได้ครึ่งทางแล้วเกิดเหตุบางอย่างขึ้นทำให้ไม่ออกผลแล้วหรอกนะ
ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่เพราะมีคนทะลุข่ายอาคมเข้าไปแล้วจัดการเด็ดมันทั้งหมดหรอกกระมัง
อย่าว่าแต่ไม่มีใครสามารถเด็ดได้รวดเร็วเพียงนั้นเลย ต่อให้มี ข่ายอาคมก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนคนใดก็ได้สามารถฝ่าเข้าไปได้
ณ ที่นี้คนที่วิชาแก่กล้าที่สุดก็คือเขาแล้ว ข่ายอาคมที่กระทั่งเขายังไม่อาจฉีกขาดได้ ผู้ฝึกตนคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง
แต่ไม่ว่าอย่างไรพลังงานภายในข่ายอาคมก็หายไปแล้วชั่วคราว ชิวอีซานจึงดึงพลังปราณของตนกลับมา
พอเขาดึงกลับมา เจ้าสำนักสวี่ที่ถูกเขาใช้พลังตรึงเอาไว้ก็ขยับร่างกายได้เสียที
เจ้าสำนักสวี่ลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ขาเขาเริ่มชา จึงเดินคล้ายคนขากะเผลกกลับมายังฝั่งตะวันตก
คนอื่นๆ ไปเฝ้ากันอยู่ทางตะวันออก ทางใต้ และทางตะวันตกกันหมดแล้ว ทางนี้นอกจากสำนักเชียนหลานแล้วไม่มีคนอื่นอยู่อีก
ทุกคนพอเห็นเขาเดินมาก็ทั้งสงสารทั้งโมโห เป็นที่แน่ชัดว่าผู้ฝึกตนครึ่งเซียนของสำนักว่านเซี่ยงมองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้าสำนักสวี่ ทั้งยังตั้งใจใช้พลังปราณกดตรึงเขาไว้ ซ้ำยังรุนแรงเสียจนเขาบาดเจ็บอีกด้วย
“เจ้าสำนัก ท่านไม่เป็นอะไรกระมัง” ผู้พิทักษ์รองถาม
ถ้าเทียบกับแผลที่ขาแล้ว เรื่องเสียหน้าทำให้เจ้าสำนักสวี่ไม่พอใจยิ่งกว่า เพราะถึงอย่างไรสำนักผู้ฝึกตนคนหนึ่งแล้ว ศักดิ์ศรีนั้นสำคัญกว่าชีวิตเสียอีก สิ่งที่เขาเสียไปไม่ใช่เพียงเกียรติของตนเอง แต่ยังหมายถึงสำนักเชียนหลันทั้งสำนักอีกด้วย
“ขอโทษด้วย” เขาเอ่ยด้วยความรู้สึกผิด
ห่างไปไม่ไกลมีคนมองมาทางนี้พลางยิ้มเยาะ
ดูท่าเจ้าชิวปากสว่างคงเอาเรื่องเจ้าสำนักเชียนหลันปลอมตัวเป็นลูกศิษย์ขั้นฝึกปราณไปโพนทะนาหมดแล้ว เดิมทีแค่ปลอมตัวเช่นนี้ก็ขายหน้าพออยู่แล้ว แล้วนี่ยังถูกคนของสำนักว่านเซี่ยงบังคับตรึงร่างไว้กับพื้นอีก เรียกได้ว่าขายหน้าไปถึงบรรพบุรุษเลยทีเดียว
ลู่หยวนเจิ่นยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งไปให้ “เจ้าสำนัก”
เจ้าสำนักสวี่รับผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดคราบดินบนหน้า
บรรยากาศในตอนนี้ดูอึดอัดเล็กน้อย
เจ้าสำนักสวี่ระบายยิ้มคล้ายไม่มีอะไรเกิดขึ้น เปลี่ยนเรื่องไปเอ่ยว่า “จริงสิ เกิดอะไรขึ้นกับข่ายอาคม เหตุใดถึงคล้ายว่าพลังงานจากผลผูถีหายไปเสียอย่างนั้น”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ทุกคนก็พากันลืมความไม่พอใจเมื่อครู่ไป
ประมุขเหลยถึงแม้จะไม่ใช่ผู้ที่มีระดับการฝึกตนสูงสุด แต่กลับมีประสบการณ์มากที่สุด ตามลำดับอาวุโสแล้วเจ้าสำนักสวี่ต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ลุงอาวุโส สิ่งที่เขาพบเห็นมาย่อมมากกว่าผู้อ่อนอาวุโสเหล่านี้มากนัก
แต่กระทั่งเขาก็ยังดูไม่ออกว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น
เขาส่ายหน้าบอกว่า “ข่ายอาคมเกิดความเคลื่อนไหว ระเบิดพลังงานออกมารุนแรงเพียงนั้น น่าจะเพราะผลผูถีงอกออกมาแล้ว ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้… ข้าเองก็บอกไม่ได้”
เขาบอกไม่ได้ พวกผู้พิทักษ์ใหญ่กับศิษย์พี่น้องเหวินเหรินเฟิงก็ยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูกเข้าไปใหญ่
มีเพียงจีเสี่ยวซิวคนเดียวที่จับจ้องเฉียวเวยเวย (เด็กผู้หญิงไปทำธุระเบาเจ้าก็ยังคอยมองไม่วางตาเช่นนี้จะดีจริงๆ หรือ) ได้เห็นกับตาว่าเฉียวเวยเวยหายตัวไปด้านหลังต้นไม้ใหญ่
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเฉียวเวยเวยฝ่าเข้าไปในข่ายอาคมแล้ว
เรื่องนี้ดูเหมือนไม่มีอะไรน่าตกใจ เพราะถึงอย่างไรแดนยมโลกนางนึกอยากจะไปก็ไป นึกอยากจะมาก็มาอยู่แล้ว กับเข็มขัดทองคำที่ตัวใต้เท้าเจ้าตำหนักเองยังเอาไม่ออก นางก็สามารถนำกลับมายังแดนมนุษย์ได้
แต่เมื่อลองคิดให้ดี อันที่จริงก็ดูจะไม่ปกติอยู่สักหน่อย
จีเสี่ยวซิวเชื่อว่าด้วยความสามารถของจอมมารหญิงเมื่อครานั้น ที่สามารถฉีกแหวกช่องว่างใดก็ได้ บุกเข้าไปยังแดนใดก็ได้ แต่นั่นถึงอย่างไรก็ต้องอาศัยพลังในการฉีกออก แต่เฉียวเวยเวยกลับคล้ายเป็นพรสวรรค์ ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ดูคล้ายกลับบ้านตัวเองกระนั้น ไปไหนมาไหนได้ตามอำเภอใจ
เจ้าเด็กนี่เป็นเพียงมังกรน้อยตัวหนึ่งจริงๆ หรือ
เฉียวเวยเวยใช้เสื้อตัวเล็กหอบเอาผลไม้กลับมา
บนปากนางยังมีสีแดงฉ่ำจากน้ำผลไม้ ดูออกว่านางกินไปไม่น้อยแล้ว ส่วนที่นางนำออกมาเป็นของเหลือ แต่ก็ยังมีอยู่หลายสิบลูก
ในแดนล่างอันที่จริงก็มีต้นผูถีเช่นกัน ซึ่งก็ออกผลผูถีได้ แต่นั่นเป็นต้นไม้ธรรมดา ส่วนต้นนี้เป็นต้นไม้เซียน ในหนึ่งพันปีมันถึงจะออกผลสักครั้งหนึ่ง ผลของมันหน้าตาเป็นอย่างไร ในบรรดาคนที่อยู่ที่นี่นอกจากจีเสี่ยวซิวแล้วไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน
ดังนั้นตอนเฉียวเวยเวยเอาผลไม้ลูกเล็กสีแดงฉ่ำยื่นไปตรงหน้าทุกคน ทุกคนยังคิดว่านั่นเป็นลูกท้อป่า
ทุกคนที่อยู่ที่นั่นนอกจากสวี่หลีเย่ว์กับเด็กสองคนแล้ว คนอื่นโดยมากล้วนกึ่งอดอาหารหรือไม่ก็อดอาหารกันหมดแล้ว แต่เมื่อเด็กมีน้ำใจให้จึงจะให้เสียน้ำใจไม่ได้
ดังนั้นในขณะที่ชิวอีซานกับผู้ฝึกตนนับร้อยชีวิตที่อยู่อีกด้านหนึ่งกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดรอว่าผลผูถีจะระเบิดพลังออกมาเป็นครั้งที่สองหรือไม่นั้น เหตุการณ์ทางฝั่งนี้กลับเป็นว่า…
เจ้าสำนักสวี่ “ลูกท้อนี้ไม่เลวเลย ไม่มีเม็ด”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “อื้ม หวานมากทีเดียว ไม่เปรี้ยวเลยสักนิด”
ผู้พิทักษ์รอง “ตอนจับว่าเย็น แต่กินเข้าไปกลับร้อนหน่อยๆ”
ประมุขเหลย “อื้มๆ… ไม่เลวเลย”
ลู่หยวนเจิ่น “เวยเวย เจ้าล้างมือรึยังหรือ”
ทุกคน “…”
ลู่หยวนเจิ่นถูกซ้อมจนน่วมไปหมด
สวี่หลีเย่ว์กับเหวินเหรินเฟิงก็ได้แบ่งไปหลายลูกเช่นกัน เหวินเหรินเฟิงเห็นศิษย์น้องหญิงชอบกินก็เลยเอาทั้งหมดของตนให้นางไป
เมื่อกินกันไปพอประมาณและใกล้ถึงเวลาประลอง ช่วงบ่ายจะมีศิษย์ใหม่ของสำนักเชียนหลันสามคนลงสนาม… หลิงจือ อวี๋เจี๋ยและหลินเหมี่ยว ผลผูถีพวกเขาคงรอไม่ไหวแล้ว และจะพลาดการประลองของลูกศิษย์ใหม่ไปอีกไม่ได้
เจ้าสำนักสวี่สอบถามแผนการของเหวินเหรินเฟิงกับสวี่หลีเย่ว์ ด้วยสายตาของเจ้าสำนักสวี่ย่อมมองออกว่าพวกเขา “ลักลอบ” เข้ามาในแดนกลาง แต่พวกเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเด็กทั้งสองคนไว้ เจ้าสำนักสวี่จึงไม่แสดงตัวว่ารับรู้เรื่องนี้
เหวินเหรินเฟิงก็รู้ว่าอีกฝ่ายรู้แต่ไม่พูด ในใจจึงนึกขอบคุณ เวลานี้เขาไม่นึกเสียใจแล้วจริงๆ ที่ตนยอมทำตามที่ศิษย์น้องหญิงบอกแล้วพาเด็กสองคนนี้มาด้วย
เขาประสานหมัดคารวะเจ้าสำนักสวี่ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคารพว่า “ข้ากับศิษย์น้องเดิมทีมาเพื่อตามหาผลผูถี แต่เมื่อมีครึ่งเซียนของสำนักว่านเซี่ยงคอยเฝ้าอยู่ พวกเราคงไม่มีโอกาสแล้ว ข้าเลยคิดว่าจะพาศิษย์น้องหญิงกลับแล้ว ขอลาเพียงเท่านี้”
เจ้าสำนักสวี่ให้หยกชิ้นหนึ่งกับเขา “พ่อหนุ่ม ข้าดูลักษณะเจ้าไม่เลว วันหน้าน่าจะทำการใหญ่ได้ หากไปเจออุปสรรคอันใดเข้าจงเอาหยกชิ้นนี้มาหาข้าที่สำนักเชียนหลัน”
เหวินเหรินเฟิงพอเห็นว่าด้านบนเป็นสัญลักษ์ของสำนักเชียนหลันก็เบิกตาโตด้วยความตกใจ
เจ้าสำนักสวี่ตบไหล่เขาแล้วพาทุกคนลงเขาไป
ชิวอีซานมองคนของสำนักเชียนหลันกลับกันไปราวกับมองมดปลวก พลางส่งเสียงหึด้วยความดูแคลน
ศิษย์พี่น้องเหวินเหรินเฟิงไปกันคนละทางกับสำนักเชียนหลัน จึงเดินกันไปอีกทางหนึ่ง เวลานั้นทุกคนกำลังสังเกตความเคลื่อนไหวของข่ายอาคมอยู่ ไม่มีใครละความสนใจไปคอยมองคนจากแดนล่างคนสองคนที่ “ลักลอบ” เข้ามา
แต่ในขณะที่เหวินเหรินเฟิงกำลังเดินกลับตามทางเดินในอุโมงค์นั้น อยู่ๆ สวี่หลีเย่ว์ก็ชะงักไป
เหวินเหรินเฟิงหันไปมองศิษย์น้องด้วยความงุนงง “มีอะไรหรือ ศิษย์น้องหญิง”
สวี่หลีเย่ว์จับจุดตันเถียนที่มีไอปราณพลุ่งพล่าน เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ข้า…เหมือนว่าข้า…”
นางยังไม่ทันเอ่ยจบเหวินเหรินเฟิงก็รู้สึกถึงพลังปราณอันหนาแน่นที่เอ่อล้นขึ้นมาทุกทิศทุกทาง และกำลังกรูกันเข้าไปในร่างของสวี่หลีเย่ว์
ระดับการฝึกต้นของสวี่หลีเย่ว์พลันทะลุทะลวงขึ้นด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ
เหวินเหรินเฟิงจับข้อมือนาง ส่งพลังปราณเข้าไปตรวจสอบเสร็จก็ถึงกับงงงัน “ศิษย์น้อง เจ้าจะผสานตันแล้ว!”
เปรี๊ยง…