ตอนพิเศษ 20-1 เวยเวยผู้เก่งกาจ เจ้าสำนักคิดจะฉวยโอกาส
ภายในถ้ำ เหวินเหรินเฟิงพอเห็นฉือเฟิงวิ่งไปบนผิวน้ำแข็ง เขาก็ขยับลุกขึ้นเช่นกัน
แต่เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นฉือเฟิงคล้ายถูกคนร่ายคาถาชะงักงันหรือติดยันต์ชะงักงันบนร่าง นิ่งงันไปอย่างน่าประหลาด กระทั่งพลังงานที่เคลื่อนอยู่รอบกายก็พลอยหยุดชะงักไปด้วย
เหวินเหรินเฟิงกลัวจะเป็นกับดักจึงไม่กล้าผลีผลามลงมือ
เหวินเหรินเฟิงมองแผ่นหลังอีกฝ่ายด้วยความระแวดระวัง ยืนรอนิ่งๆ อยู่กับที่พักหนึ่ง
สวี่หลีเย่ว์เดินเข้าไปหา “ศิษย์พี่?”
เหวินเหรินเฟิงยกมือขึ้น “อย่าขยับ ข้าจะไปดูหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่”
สวี่หลีเย่ว์ก็รู้ว่าการฝึกตนของตนช่วยอะไรศิษย์พี่ไม่ได้ มีแต่จะเป็นตัวถ่วงให้ศิษย์พี่เท่านั้น ดังนั้นจึงยืนรออยู่กับที่อย่างว่าง่าย
เหวินเหรินเฟิงถือกระบี่เพลิงอัคคี ก้าวเข้าไปหาฉือเฟิงด้วยความระมัดระวัง
ในขณะที่เขาเดินไปได้ครึ่งทาง เตรียมจะเดินพลังปราณเพื่อโจมตีใส่ฉือเฟิงให้ถึงตายนั้น ร่างของฉือเฟิงกลับล้มลงไปเสียอย่างนั้น
เหวินเหรินเฟิงสะดุ้งตกใจ!
คนผู้นี้เหตุใดถึงล้มไปได้ล่ะ ครานี้คงไม่ใช่กับดักแล้วกระมัง
เหวินเหรินเฟิงทำใจกล้าเดินเข้าไปหาฉือเฟิง ค่อยๆ ย่อตัวลงมองใบหน้าที่ราวกับร่างไร้วิญญาณของอีกฝ่ายพลางขมวดคิ้วมุ่น
จากนั้นเขาก็ยื่นมืออกไป ใช้พลังปราณสำรวจดูตรงหว่างคิ้วของฉือเฟิง สำรวจเสร็จเขาก็ทะลึ่งตัวขึ้นยืนทันที!
สวี่หลีเย่ว์งุนงงกับท่าทางประหลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของศิษย์พี่ตัวเอง นางคิดแล้วก็วิ่งเข้าไปหา “ศิษย์พี่ เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
เหวินเหรินเฟิงขมวดคิ้ว “เขาตายแล้ว”
“อะไรนะ ตายแล้ว? ตาย…ตายได้อย่างไร” สวี่หลีเย่ว์อยู่ในเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วย ยอดฝีมือขั้นผสานตันผู้นี้มีพลังมหาศาลเชียวนะ สามารถเรียกสัตว์มารที่ร้ายกาจเช่นนั้นมาได้ การจะปะทะฝีมือกับศิษย์พี่นางยิ่งไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อครู่ศิษย์พี่นางยังไม่ทันได้ลงมือเลย ยอดฝีมือผู้นี้เหตุใดถึงมาตายเสียได้
เหวินเหรินเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาด “จิตตั้งต้นของเขาแตกสลายแล้ว”
คนคนหนึ่ง หากร่างกายเป็นเถ้าถ่านแล้วแต่ยังมีจิตตั้งต้นอยู่ ก็สามารถตามหาร่างใหม่หรือก่อร่างใหม่ไปเป็นเทพได้ แต่เมื่อจิตตั้งต้นแหลกสลาย เช่นนั้นกระทั่งโอกาสจะเวียนวายอยู่ในวิถีทั้งหกก็ยังไม่มี
สวี่หลีเย่ว์กะพริบตาเอ่ยว่า “แหลกสลายได้อย่างไร”
เหวินเหรินเฟิงคาดเดาว่า “น่าจะถูกยอดฝีมือสักคนทำลาย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ตัวเขาเอง”
ทหารผู้ฝึกตนถอดจิตจากร่างจริงมีไม่น้อย แต่ไม่มีใครทำลายจิตตั้งต้นของตัวเอง ดังนั้นจะต้องเป็นฝีมือของบุคคลที่สาม อีกฝ่ายลงมือใต้สายตาเขาได้อย่างไร เขาสัมผัสไม่ได้เลยสักนิด
สวี่หลีเย่ว์หันมองรอบตัวด้วยความหวาดหวั่น
เหวินเหรินเฟิงตบหลังมือนาง “เจ้าไม่ต้องกังวล คนผู้นั้นน่าจะไม่มีประสงค์ร้ายต่อพวกเรา อาจเป็นได้ว่าคนผู้นี้ไปทำคนที่ไม่ควรไม่พอใจเข้ากระมัง”
สวี่หลีเย่ว์พยักหน้า เอ่ยอย่างเพิ่งนึกกลัวว่า “เมื่อครู่น่ากลัวมากจริงๆ ข้าเกือบคิดว่าพี่จะถูกสัตว์อสูรตัวนั้นกินเข้าไปเสียแล้ว”
เมื่อเอ่ยถึงอสูรต้านน้ำ เหวินเหรินเฟิงก็นึกขึ้นได้ว่ามันถูกเงาดำเงาหนึ่งทะยานใส่จนตกลงในรูน้ำแข็ง เงาดำนั้นรวดเร็วเกินไป ถึงแม้เขาจะมองลักษณะของมันไม่ชัด แต่เขาได้ยินเสียงคำรามของมังกรดังแว่วๆ พอใจเย็นลงแล้ว เขาจึงคิดว่านั่นเป็นเงาของมังกรตัวหนึ่ง
เขาได้ยินว่าสำนักเชียนหลันที่ได้ย้ายมาอยู่แดนกลางก็เพราะเจอมังกรเขียวตัวหนึ่งเข้า
บางทีอาจจะเป็นมังกรเขียวตัวนั้นก็ได้
เหวินเหรินเฟิงรีบวิ่งไปยังจุดที่สัตว์สองตัวนั้นตกลงไป ตรงนั้นมีรูใหญ่ขนาดเท่าห้องห้องหนึ่งที่เกิดจากสัตว์สองตัวนั้น แต่ตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดรูนี้กลับหายไปแล้ว
“อสูรต้านน้ำว่ายน้ำไม่ได้ กว่าครึ่งคงถูกมังกรเขียวลากจมหายไปยังสักที่แล้วกระมัง” เหวินเหรินเฟิงนึกมั่นใจว่าเงาดำที่ช่วยตนไว้ก็คือมังกรเขียวของสำนักเชียนหลัน ในเมื่อรู้แล้วว่าเป็นมังกร ก็ไม่ต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะตกอยู่ในอันตราย ถึงแม้บนบกมังกรเด็กตัวหนึ่งจะเอาชนะสัตว์มารโตเต็มวัยที่เก่งกาจเพียงนั้นไม่ได้ แต่ยามอยู่ในน้ำ อสูรต้านน้ำไม่สามารถใช้ความสามารถได้เลย
“มังกรเขียวน้อยคืออะไรหรือ” เมื่อครู่สวี่หลีเย่ว์มองอะไรไม่ชัดทั้งสิ้น
“เป็นสัตว์วิเศษของสำนักเชียนหลัน อาจจะได้กลิ่นไอของลูกศิษย์สำนักเชียนหลันเลยมาตามหาพวกเขา แล้วเลยช่วยข้าไว้” ในตอนนั้นเหวินเหรินเฟิงนึกดีใจที่ตนไม่ได้ทอดทิ้งเด็กสองคนนั้น แต่เมื่อคิดอีกที ภยันตรายครั้งนี้ก็เกิดขึ้นจากเด็กสองคนนั้น ความยินดีในใจเลยค่อยๆ ลดหายไปจนไม่เหลือ “ใช่สิ เด็กสองคนนั้นเล่า”
“ข้าให้พวกเขาไปหลบอยู่หลังพุ่มไม้แล้ว” สวี่หลีเย่ว์พูดพลางพาเหวินเหรินเฟิงไปยังจุดที่ให้เด็กๆ หลบไว้
ใต้เท้าเจ้าตำหนักพาเฉียวเวยเวยกลับมาแล้ว
จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบกับเฉียวเวยเวยนั่งคู่กันอยู่บนพื้นหญ้า เฉียวเวยเวยกิ่นจนอิ่มหนำเลยเริ่มง่วง หนังตาปิดลงมาแล้ว ศีรษะผงกขึ้นลงราวกับไก่จิกข้าว ไม่รู้ว่าฝันถึงอะไรอยู่ บนปากเล็กๆ แดงอวบอิ่มยังมีประกายน้ำลายไหลออกมาด้วย
เหวินเหรินเฟิงเห็นเด็กสองคนไม่เป็นอะไรก็ลอบถอนหายใจ มังกรน้อยเป็นสัตว์ของสำนักเชียนหลัน ยอดฝีมือคนนั้นแปดเก้าส่วนก็น่าจะใช่เช่นกัน หากศิษย์ของสำนักเชียนหลันเกิดเรื่องขึ้นตอนอยู่กับพวกเขา ด้วยความสามารถของอีกฝ่ายเกรงว่าคงบดขยี้เขากับศิษย์น้องหญิงให้ตายได้ง่ายๆ
เพียงแต่ ในเมื่อเขาอยู่แถวๆ นี้ก็ควรรู้สิว่าเด็กสองคนนี้อยู่ที่ไหน เหตุใดถึงประวิงเวลาไม่ยอมปรากฏตัวเสียที
สวี่หลีเย่ว์เห็นศิษย์พี่ของตนมองซ้ายมองขวาก็ถามอย่างไม่เข้าใจว่า “ศิษย์พี่กำลังมองหาอะไรหรือ”
เหวินเหรินเฟิงบอกว่า “ไม่มีอะไร ยอดฝีมือท่านนั้นไม่ยอมปรากฏกาย อาจเพราะมีเหตุที่ไม่สะดวกจะปรากฏกาย พวกเราพาเด็กๆ ไปด้วยแล้วกัน ไว้ได้ผลผูถีแล้วค่อยส่งพวกเขากลับไป”
ทั้งสองพาจีเสี่ยวซิวกับเฉียวเวยเวยเดินผ่านถ้ำไปอีกหลายถ้ำ หลังจากเดินผ่านถ้ำที่ทอดยาวไปหลายถ้ำ ในที่สุดก็มาถึงจุดที่ใกล้กับจุดหมาย
ที่นี่เป็นหุบเขาที่มีหญ้าซวินอีขึ้นอยู่เต็มไปหมด เวลานี้ไม่ใช่ช่วงที่หญ้าซวินอีจะออกดอก ในหุบเขาจึงเขียวจนรู้สึกโดดเดี่ยว
ความรู้สึกโดดเดี่ยวเช่นนี้ไม่เท่าไรก็ถูกคนที่มาช่วงชิงผลผูถีทำลายลง
หุบเขาตรงส่วนนี้เป็นเพียงภาพหลอนเท่านั้น พื้นที่โดยรอบมีการสร้างข่ายอาคมเอาไว้ ทิวทัศน์ภายในไม่ใช่แบบนี้เลย ทุกคนคิดแต่อยากจะอยู่ให้ใกล้ข่ายอาคมมากขึ้นอีกนิด มีบางคนเลือกทางตะวันออกเฉียงใต้ บางคนเลือกทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ฝึกตนที่มามีมากเกินไป จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการกระทบกระทั่งกัน
ผู้ฝึกตนหลายคนมีเรื่องกันจนเลยเถิดมาถึงตรงที่พวกเขาอยู่
จีเสี่ยวซิวเพ่งสายตามอง “ประมุขเหลย?”