ตอนพิเศษ 2-2
สายตาของเฉียวเวยเวยมองตามกล่องอาหารในมือพวกนางไป น้ำลายก็พลอยสอไปด้วย
แต่หลิงจือกลับไม่สู้พอใจ
“หลิงจือ?” เฉียวเวยเวยมองนางอย่างไม่เข้าใจ
หลิงจือทำท่าจะเอ่ยแต่ก็นิ่งไป พักหนึ่งก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ข้าเป็นศิษย์สายตรงของผู้พิทักษ์ใหญ่ ข้าต่างหากที่ควรได้อยู่เรือนใหญ่ เรือนเล็กแห่งนี้ควรเป็นของนาง”
เฉียวเวยเวย “อ้อ”
หลิงจือลูบศีรษะอีกฝ่าย “ขอโทษด้วยนะ ข้าไม่ได้ความเอง ให้ที่อยู่ที่ใหญ่กว่านี้กับเจ้าไม่ได้”
เฉียวเวยเวยเอ่ยว่า “ข้าไม่ต้องการนี่”
ข้าเพียงแค่อยากมีของกินเท่านั้น
หลิงจือไม่ทันเห็นสายตาหิวโหยของเฉียวเวยเวย สายตาเพ่งมองเพียงกำแพงที่อยู่ข้างหน้าพลางเอ่ยเสียงหนักแน่นว่า “แต่ข้าก็ได้ยินคนบอกว่า คุณสมบัติของข้าไม่ด้อยไปกว่านาง ข้ามีรากปราณที่ผสานขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนนางได้รากปราณมาจากการถ่ายทอด หากไม่มีการถ่ายทอดทางสายเลือด นางยังสู้ข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ ข้าแค่ต้องพยายามให้มากสักหน่อย อย่างไรจะต้องรุดหน้าไปกว่านางได้แน่!”
เฉียวเวยเวย “อ้อ”
เย็นวันนั้น ในที่สุดเฉียวเวยเวยก็ได้กินข้าวสักที แต่เพราะอาหารการกินทั้งหมดล้วนจัดเตรียมตามสภาพร่างกายของหลิงจือ คนฝึกตนอาหารการกินต้องรสอ่อน เน้นกินผักซ้ำยังปริมาณเล็กน้อย ทำเอาเฉียวเวยเวยกินไม่อิ่มเลยทีเดียว
วันต่อมา เหล่าลูกศิษย์ที่รับมาใหม่ก็เริ่มต้นการฝึกที่แสนทรหดและยากลำบาก
เฉียวเวยเวยไม่ต้องฝึกฝน แค่เพียงต้องเก็บกวาดใบไม้ในเรือนให้สะอาดก็พอแล้ว งานอื่นๆ หลิงจือทำเสร็จเองเรียบร้อยแล้ว งานปัดกวาดนี้หลิงจือตั้งใจเก็บไว้ให้นางทำให้ลูกศิษย์ที่เดินผ่านไปมาเห็นเท่านั้น
เฉียวเวยเวยตั้งใจเก็บกวาดใบไม้ พื้นที่ของเรือนไม่ใหญ่นัก ไม่เท่าไรก็เก็บกวาดจนเรียบร้อย
ตอนเฉียวเวยเวยทำงาน เรือนข้างเคียงก็กำลังทำงานอยู่เช่นกัน แต่กลับไม่ใช่หญิงรับใช้คนเดียวคนนั้น แต่เป็นสามสี่คนแทน
พวกนางที่ปัดกวาดก็ปัดกวาด ตักน้ำก็ตักน้ำ แล้วยังมีคนที่ถือกรรไกรตัดแต่งกิ่งไม้ดอกในกระถาง เป็นที่คึกคักยิ่งนัก
ทางด้านเฉียวเวยมีเพียงตนเองกับต้นกล้วยไม้ที่ใกล้แห้งตายอีกสองสามกระถางเท่านั้น
เฉียวเวยเวยรดน้ำต้นไม้ให้กล้วยไม้
พอทำเสร็จก็ไม่มีงานอื่นที่ให้ทำแล้ว นางไปนั่งอยู่ที่บันไดใต้ชายคา สองมือเท้าคาง รอให้หลิงจือกลับมา
พอรอมาจนครึ่งวัน นางก็ทำจมูกฟุดฟิดแล้วลุกเดินออกจากเรือนไป
เฉียวเวยเวยดมตามกลิ่นหอมหวนจากห้องครัวไปจนถึงด้านหลังเขา ด้านล่างเนินเขามีห้องเก็บฟืนที่ถูกทิ้งร้าง ด้านในคุณชายน้อยหรงกำลังใช้กระบะก่อฟืนตั้งแท่นย่างง่ายๆ กำลังย่างเนื้อส่งเสียงซู่ซ่าอยู่
เนื้อของเขามีส่วนคล้ายเนื้อตุ๋นน้ำแดงที่กินตรงตีนเขา ผ่านการตุ๋นมาแล้ว มีสีของซีอิ๊ว เปล่งประกายแวววาว ส่วนของไขมันโดนไฟจนส่งเสียงซู่ซ่าพร้อมน้ำมันที่ไหลออกมา
คุณชายน้อยหรงพอเห็นว่าย่างจนได้ที่แล้วก็หยิบต้นหอมที่อยู่ในกระป๋องมาโรยลงบนเนื้อ
กลิ่นหอมหวนชวนให้น้ำลายสอลอยอบอวลไปทั่วห้อง ท้องของเฉียวเวยเวยร้องดังโครกคราก
“ใครน่ะ” คุณชายน้อยหรงหันมามองด้วยความระวังตัว กลับเห็นว่าเป็นแม่นางน้อยคนที่ได้พบเมื่อวาน แม่นางน้อยเปลี่ยนมาอยู่ในอาภรณ์ของสำนักเชียนหลัน ท่าทางตรงไปตรงมาซ้ำยังน้ำลายไหลเช่นนั้น กลับดูน่ารักกว่าเมื่อวานอยู่เล็กน้อย
คุณชายน้อยหรงถูกจับได้ว่าแอบมากินอะไรคนเดียว กลัวนางจะเอาความลับของตนไปบอก จึงเอาเนื้อที่ย่างดีแล้วในมือยื่นไปให้นาง “กินหรือไม่”
“กิน” เฉียวเวยเวยรับเนื้อชิ้นใหญ่ไป
คุณชายน้อยหรงเอ่ยเตือนสีหน้าเรียบเฉย “ระวังร้อนล่ะ”
เนื้อเสียบอยู่ในไม้ นางจับตรงไม้ จึงไม่ร้อน
คุณชายน้อยหรงเห็นนางกินอย่างเอร็ดอร่อยจึงคาดเดาว่านางจะไม่เอาความลับของตนไปบอก จึงรีบหยิบเนื้ออีกชิ้นที่ย่างดีแล้วขึ้นมากัดคำใหญ่
หลังจากกินไปหลายคำ จู่ๆ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาเองว่า “เจ้าคงสงสัยมากสิท่าว่าเหตุใดข้าถึงไม่ไปฝึก”
เฉียวเวยเวยกำลังกินอยู่
“เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากไปหรือ ด้วยรากปราณอย่างข้า ไม่เคยมีใครพัฒนาขึ้นได้เลย อันที่จริงก็คือคนไร้ค่าเท่านั้น อย่างไรข้าก็ไม่ได้อยู่ต่อ อาจารย์ก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ข้าจึงถูกส่งมาทำงานที่ห้องครัวแทน”
เฉียวเวยเวยยังคงกินเนื้อต่อไป
“พูดให้น่าฟังก็คือ ทำเสร็จแล้วค่อยไปฝึก แต่งานมากเพียงนี้ข้าจะทำเสร็จได้อย่างไร”
เฉียวเวยเวยหันไปมองทางคุณชายน้อยหรง
คุณชายน้อยหรงเอ่ยล้อตนเองว่า “เจ้าก็คิดว่าข้าโชคร้ายเหมือนกันกระมัง หากรู้แต่แรกข้าคงไม่ควรขึ้นมาบนเขา อยู่ที่หรงจี้เป็นคุณชายน้อยของข้าต่อไปก็ดีหรอก”
เฉียวเวยเวยยื่นไม้ที่กินจนสะอาดหมดจดไปให้เขา “อยากได้อีก”
คุณชายน้อยหรง “เอ่อ…”
…
การฝึกของหลิงจือหนักหนาขึ้นทุกวัน อันที่จริงผู้พิทักษ์ใหญ่ไม่ได้เข้มงวดกับนางเพียงนั้น แต่เพียงนางตั้งใจมั่นจะพัฒนาให้เหนือกว่าเพื่อนบ้านนางให้ได้ จึงใช้เวลาฝึกหัดมากขึ้นเป็นสองเท่าตัว
เวลาที่นางกลับไปอยู่ที่เรือนจึงน้อยลง จึงไม่รู้ว่าเวลาที่เฉียวเวยเวยอยู่ในเรือนก็น้อยลงเช่นกัน
แต่เฉียวเวยเวยไม่ร้องบอกว่าหิวอีกเลย นางยังรู้สึกด้วยว่าชีวิตในสำนักเชียนหลันของนางนับว่าดีมากทีเดียว
เฉียวเวยเวยก็รู้สึกว่าดีมากเช่นกัน
เฉียวเวยเวยกำลังกินขาหมูตุ๋นน้ำแดงอยู่ หลังจากดูดเอาหนังของขาที่นุ่มเด้งเข้าไปในคำเดียวแล้ว นางก็ผ่อนลมหายใจด้วยความพอใจ
คุณชายน้อยหรงพึมพำบ่นว่า “ข้าคิดจะบอกกับอาจารย์พรุ่งนี้ว่าข้าจะไม่อยู่ที่สำนักเชียนหลันแล้ว ข้าจะลงเขา”
เฉียวเวยเวยคว้าตัวเขาไว้ “อย่าลงเขา”
หากอีกฝ่ายลงเขา นางก็ไม่มีเนื้อกินแล้วสิ
ช่วงเวลาในสำนักเชียนหลันมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาก็มาถึงปลายเดือนแล้ว
ลูกศิษย์ที่รับเข้ามาใหม่จำเป็นต้องทดสอบรากปราณเดือนละหนึ่งครั้งเพื่อให้มั่นใจถึงความเสถียรของรากปราณรวมถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้น เคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งที่ตอนขึ้นเขามารากปราณเรียบร้อยดีทุกอย่าง หลังจากหนึ่งเดือนผ่านไปกลับถดถอยจนเหลือรากปราณเพียงครึ่งเส้น
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ หากถามหาถึงเหตุผลแล้วก็เป็นเพราะตอนประกอบรวมเป็นรากปราณนั้น ทุกคนจะกินยารวมปราณเข้าไป แต่หลังจากขึ้นเขาแล้วจะไม่ได้รับอนุญาตให้กินยาอีก ต้องดูดซับพลังปราณจากธรรมชาติด้วยตนเอง
การต้องดูดซับเองจากผักจากปลา แน่นอนว่าได้ไม่เร็วเท่าได้จากตัวยา
โดยปกติแล้ว ในเดือนแรกแค่ลูกศิษย์สามารถรักษารากปราณของเดิมเอาไว้ได้จะถือว่าผ่านเกณฑ์แล้ว ที่หดหายลงไม่มากก็สามารถอยู่ต่อได้ แต่หากถดถอยจนเหลือเพียงครึ่งเส้นหรือน้อยกว่านั้น ก็ต้องเก็บข้าวของกลับบ้านไป
คุณชายน้อยหรงมั่นใจว่าตนจะได้กลับบ้าน เพราะถึงอย่างไรหนึ่งเดือนมานี้เขาก็ไม่ได้ฝึกตนเลยสักนิด
การจัดลำดับไม่มีเรียงก่อนหลัง มาถึงก่อนได้ทดสอบก่อน
ก่อนหน้าคุณชายน้อยหรงทดสอบไปแล้วหนึ่งชุด คนที่ถูกคัดออกหลายคนเป็นลูกศิษย์ที่มีรากปราณไม่เต็มเส้นกับลูกศิษย์อีกสิบกว่าคนที่มีรากปราณอยู่ครึ่งเส้น
ไม่เท่าไรก็มาถึงตาคุณชายน้อยหรง เขาอ้วนขึ้นกว่าตอนมาถึง ผู้คนโดยรอบมองเขาด้วยความขบขัน ไม่ว่าพวกเขาจะย่ำแย่เพียงใด แต่อย่างน้อยก็ยังมีคนที่อ่อนด้อยกว่ามิใช่หรือ
“ยืนนิ่งอยู่ไย” ศิษย์พี่ที่คอยควบคุมเอ่ยเรียกเขาด้วยความรำคาญ
คุณชายน้อยหรงได้ยินที่ทุกคนเอ่ยล้อ ได้เห็นสีหน้าของศิษย์พี่ จึงเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หลับตายกมือวางบนศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่
“อ๋า…”
ด้านหลังเขามีเสียงร้องด้วยความตกใจดังระงมรวมถึงเสียงสูดหายใจดังขึ้น
ต่อให้รากปราณไม่เหลืออยู่เลยก็ไม่จำเป็นต้องตกใจเพียงนี้กระมัง เดิมทีข้าก็เป็นคนไร้ค่าอยู่แล้ว
“ศิษย์น้องหรง!” ศิษย์พี่ที่คอยดูอยู่เรียกเขาด้วยความสนิทสนมเช่นนี้เป็นครั้งแรก
คุณชายน้อยหรงคิดในใจว่าแย่แล้วๆ ในที่สุดก็จะขับเขาออกจากสำนักเชียนหลันแล้ว
ศิษย์พี่เอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “รากปราณของเจ้างอกสมบูรณ์แล้ว! เจ้าทำได้อย่างไร!”