ตอนพิเศษ 18-2 รอดพ้นอันตราย
พักหนึ่งนางถึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่ อันที่จริงต่อให้พวกเราไปช่วงชิงก็ไม่แน่ว่าจะได้มาจริงหรือไม่ แต่หากพวกเราส่งพวกเขากลับไป พวกเขาต้องมีชีวิตรอดแน่”
“ศิษย์น้องหญิงเจ้า…”
สวี่หลีเย่ว์มองเหวินเหรินเฟิงนิ่ง
เหวินเหรินเฟิงถึงกับสะอึก เช็ดหน้าผากด้วยความหงุดหงิด “พาพวกเขาไปด้วย หลังจากหาผลผูถีเจอแล้วค่อยพาพวกเขากลับไปส่งที่สำนัก”
สวี่หลีเย่ว์คลี่ยิ้มหวาน “ศิษย์พี่ เจ้าเป็นคนดีจริงๆ!”
ศิษย์พี่น้องสองคนจึงพาเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวไปด้วย ทั้งยังบอกด้วยว่าพวกตนกำลังจะไปเด็ดผลไม้ในป่า ไว้เรียบร้อยแล้วจะส่งตัวพวกเขากลับไป
เด็กทั้งสองก็เชื่อฟังดีมาก ไม่ร้องกระจองงองแง ไม่รบกวน มีเพียงเรื่องเดียวคือเฉียวเวยเวยไม่ยอมเดินเอง
สวี่หลีเย่ว์อุ้มเฉียวเวยเวย เดินไปไม่เท่าไรก็เหงื่อแตกเต็มหน้า “ข้าว่าเด็กคนนี้หนักเอาเรื่องอยู่นะ…”
จีเสี่ยวซิว: ที่เจ้าอุ้มอยู่นั่นเป็นมังกรเชียวนะ
เหวินเหรินเฟิงกับสวี่หลีเย่ว์น่าจะไม่ได้เพิ่งขึ้นเขาหมิงหวังเป็นครั้งแรก ทั้งสองคุ้นเคยกับภูมิประเทศในป่าเป็นอย่างยิ่ง ช่วงแรกจีเสี่ยวซิวยังสัมผัสได้ว่าแถวนั้นมีผู้ฝึกตนคนอื่นอยู่ แต่หลังจากเดินไปได้พักหนึ่งผู้ฝึกตนทั้งหมดก็ถูกทิ้งห่างออกไป เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่น้องคู่นี้เดินในเส้นทางเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้
อายุของสวี่หลีเย่ว์ดูแล้วไม่ต่างกับเหวินเหรินเฟิงมากนัก แต่เหวินเหรินเฟิงเป็นผู้ฝึกตนในขั้นผสานตันแล้ว อายุขัยของผู้ฝึกตนในขั้นนี้ยืนยาวกว่าตะพาบน้ำเสียอีก อย่ามองเพียงว่าเขาอายุเพิ่งสามสิบกว่าปี ไม่แน่ว่าอาจจะอยู่มาหลายร้อยปีแล้วก็เป็นได้
สวี่หลีเย่ว์กลับมีอายุยี่สิบปีจริง ด้วยอายุเท่านี้สามารถฝึกจนมีรากฐานสมบูรณ์ได้ก็นับว่ามีพรสวรรค์พอสมควรแล้ว
เพียงแต่ว่าบนตัวนางมีบาดแผลที่ดูประหลาดยิ่งอยู่ คล้ายถูกผู้ฝึกตนมารทำร้ายอย่างหนักมาก่อน ทำให้นางไม่อาจข้ามขั้นได้อีก
มิน่าเล่าพวกเขาถึงต้องการตามหาผลผูถี
จีเสี่ยวซิวดึงความคิดกลับมา เดินตามศิษย์พี่น้องไปอย่างว่าง่าย
เส้นทางที่ทั้งสองเดินแปลกประหลาดยิ่งนัก ไม่เพียงออกห่างจากผู้ฝึกตนคนอื่น กระทั่งเจ้าสองคนนั่นของสำนักว่านเซี่ยงก็หายไปด้วย ในตอนนี้อันที่จริงสามารถแยกกันได้แล้ว
แต่จีเสี่ยวซิวเหลือบมองสวี่หลีเย่ว์ที่อุ้มเฉียวเวยเวยจนเหงื่อตกไปหมดแล้วหันมามองถั่วเคลือบน้ำตาลในถุงที่เหลืออยู่ไม่มากจึงคิดว่ามีคนอุ้มเจ้ามังกรน้อยก็ดีเหมือนกัน
ทั้งสองเดินผ่านหุบเขาที่ทอดยาวไปจนถึงพื้นที่ที่มีคนมาก ผู้ฝึกตนบางคนที่ข่มความใจร้อนไม่อยู่เริ่มต่อสู้กันแล้ว แต่เมื่อใดที่พบเจอเหตุการณ์เช่นนี้ เหวินเฟรินเฟิงกับสวี่หลีเย่ว์ก็จะเลี่ยงออกไปด้วยความระมัดระวัง
ถึงอย่างไรพวกเขาก็พละกำลังน้อยอยู่แล้ว จะมาเสียพลังปราณในช่วงเวลาเช่นนี้ก็ดูจะขาดสติเกินไป พวกเขาต้องเลี่ยงการปะทะ เก็บแรงเอาไว้ เช่นนี้ตอนแย่งชิงผลผูถีถึงจะมีโอกาสชนะได้
ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าสู่ป่าไป๋ฮว่านั้น จู่ๆ เหวินเหรินเฟิงก็ยื่นแขนมาขวางหน้าศิษย์น้องหญิงกับจีเสี่ยวซิวไว้
สวี่หลีเย่ว์ถามว่า “มีอะไรหรือ ศิษย์พี่?”
“มีคนมา รีบหลบเร็วเข้า!” เหวินเหรินเฟิงพาทั้งสามไปหลบด้านหลังเนินเขาแห่งหนึ่ง แล้วสร้างข่ายอาคม ซ่อนไอปราณของพวกเขาเอาไว้ แต่พวกเขายังสามารถได้ยินเสียงจากข้างนอกได้อยู่
คนที่เดินมาเป็นบุรุษวัยผู้ใหญ่สองคน
บุรุษคนที่หนึ่งเอ่ยว่า “คนอื่นมากันหรือยัง”
บุรุษอีกคนหนึ่งตอบว่า “มาแล้ว ไปกันหมดแล้ว รอดูแค่ว่าใครจะไปถึงก่อน”
“หวังว่าจะเป็นพวกเรา เจ้าสำนักไม่ได้บอกไว้แล้วหรือ ใครสามารถเอาผลผูถีไปให้คุณหนูจื่อเยียนได้ คนผู้นั้นก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเจินเหรินหัวหน้ายอดเขา”
“เจ้าก็ช่างคิดง่าย เจ้าคิดว่ามีแค่คนของสำนักว่านเซี่ยงเราที่ไปหรือ คนในแดนกลางตั้งไม่เท่าไรที่เฝ้ารอผลผูถีอยู่ กระทั่งสหพันธ์ยังส่งคงไปด้วย ภายนอกทุกคนไม่พูดอะไร แต่ลับหลังทุ่มกำลังกันน่าดูทีเดียว”
“แล้วอย่างไร พวกเราเอาอาวุธวิเศษมาด้วยเชียวนะ”
ทั้งสองพูดพลางหัวเราะ เสียงค่อยๆ ดังห่างไปเรื่อยๆ จนไม่ได้ยินอะไร
เหวินเหรินเฟิงถอนข่ายอาคม
สวี่หลีเย่ว์กอดปลอบเฉียวเวยเวยที่อุ้มอยู่พลางถามเหวินเหรินเฟิงว่า “ศิษย์พี่ พวกเขาเป็นคนของสำนักว่านเซี่ยง ที่พวกเขากล่าวเมื่อครู่หมายความเช่นไร”
เหวินเหรินเฟิงขมวดคิ้ว “ข้าได้ยินว่าคุณหนูของสำนักว่านเซี่ยงถูกสัตว์มารกัดจนเป็นแผลที่มือ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังรักษาแผลอยู่”
“แผลฉกรรจ์มากหรือ” สวี่หลีเย่ว์ถาม
เหวินเหรินเฟิง “หากเป็นบาดแผลทั่วไป ยาธรรมดาสามารถใช้ได้ แต่หากเป็นแผลที่ถึงขั้นต้องใช้ผลผูถี กว่าครึ่งคงเป็นแผลที่ไม่อาจรักษาให้หายได้”
สวี่หลีเย่ว์รู้ดีที่สุดแล้วว่าอะไรคือแผลที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ นางชะงักไป ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา “หรือว่ามือนางจะใช้การไม่ได้แล้ว”
เช่นนั้นคงเลวร้ายมากทีเดียว
สวี่หลีเย่ว์ต่อให้โง่เขลาเพียงใดก็ยังรู้ว่าคุณหนูของสำนักว่านเซี่ยงจะแต่งงานกับบุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์ แต่รองหัวหน้าสหพันธ์ไม่มีทางอยากได้ลูกสะใภ้ที่มือพิการ ที่สำนักว่านเซี่ยงปิดบังข่าวนี้ก็คงเพื่อรอให้ได้ผลผูถี รักษาให้หายอย่างเงียบๆ แล้วค่อยส่งบุตรสาวไปแต่งงาน
ภายในสถานการณ์เช่นนี้เพื่อให้ได้ผลผูถีมา สำนักว่านเซี่ยงจะต้องยอมทุ่มหมดหน้าตักแน่นอน
โอกาสที่นางกับศิษ์พี่จะชิงเอาผลผูถีมาได้…คงไม่มากเสียแล้ว
ในใจเหวินเหรินเฟิงพลันเป็นกังวล แต่เขาไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา เขาตบไหล่ศิษย์น้องหญิงแล้วบอกว่า “ไปกันเถิด หากพวกเราตามหาผลผูถีเจอก่อนพวกเขา ก็น่าจะยังมีหวังอยู่”
ต้นผูถีอยู่ตรงกลางทิวเขานี้เอง แต่อยู่ตรงส่วนไหนของทิวเขานั้นไม่มีผู้ฝึกตนคนใดรู้
ด้านนอกต้นผูถีถูกคนที่ปลูกมันเอาไว้ตั้งข่ายอาคมเอาไว้ชั้นหนึ่ง แอบซ่อนตัวต้นผูถีเอาไว้ ตำนานเล่าว่าคนที่ตั้งข่ายอาคมเป็นท่านเซียนที่เก่งกาจมากท่านหนึ่ง ในแดนกลางผู้ประเสริฐคนใดสามารถทำลายหรือบุกเข้าไปในข่ายอาคมของท่านเซียนได้ แต่ชั่วขณะที่ต้นผูถีออกผลนั้น พลังอันมหาศาลจะฉีกข่ายอาคมออกช่วงสั้นๆ ในตอนนั้นคนแรกที่บุกเข้าไปได้ ก็จะได้ผลผูถีไปครอง
เมื่อหนึ่งพันปีก่อน มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้ผลผูถีไป พอจะจำอาณาเขตของต้นผูถีได้คร่าวๆ
ต้นผูถีปลูกอยู่ที่ใดจึงไม่ใช่ความลับระดับชั้นฟ้าอะไรอีก แต่ปากทางเข้าข่ายอาคมจะฉีกขาดที่จุดใดก็ไม่ใช่สิ่งที่เหล่าผู้ฝึกตนสามารถควบคุมได้แล้ว
สวี่หลีเย่ว์หลุบตาเอ่ยว่า “ฟังจากน้ำเสียงของสำนักว่านเซี่ยง คนของพวกเขามากันจำนวนมาก น่าจะล้อมอาณาเขตไว้หมดแล้ว”
พวกเขาไม่มีกระทั่งที่ให้ยืน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจะเป็นคนแรกที่ฝ่าเข้าไปได้เลย
เหวินเหรินเฟิงก็เข้าใจว่าความหวังช่างแสนริบหรี่ แต่เขาไม่อยากยอมแพ้ “ไปทางอุโมงค์ก็แล้วกัน”
อุโมงค์เป็นทางที่สั้นที่สุดที่มุ่งหน้าไปยังต้นผูถี แต่ได้ยินว่าข้างในมีสัตว์อสูรที่เก่งกาจยิ่งนักอาศัยอยู่ ดังนั้นจะต้องมีอันตรายอย่างแน่นอน
หากเป็นก่อนหน้านี้ เพื่อรักษาพลังเอาไว้แล้ว เหวินเหรินเฟิงไม่มีทางเลี่ยงเช่นนี้เด็ดขาด แต่เวลานี้เขาสนใจเรื่องนั้นอีกไม่ได้แล้ว
“เอามาให้ข้าเถิด” เหวินเหรินเฟิงเอาตัวเฉียวเวยเวยไปอุ้ม แล้วหาผ้าผืนหนึ่งมารัดนางไว้กับหลังของตน
จังหวะที่เด็กขึ้นมาอยู่บนหลังนั้น เหวินเหรินเฟิงรู้สึกเพียงว่าขาของตนแทบจะปักลงไปในดินมากขึ้นหลายส่วน เจ้าเด็กคนนี้โตมาด้วยอะไร เหตุใดถึงได้หนักราวกับลูกตุ้มเช่นนี้!
เหวินเหรินเฟิงไม่อยากสิ้นเปลืองพลังปราณ จึงใช้กายเนื้อแผลนางไปทั้งอย่างนั้นจนกระดูกกระเดี้ยวเขาแทบหักเลยทีเดียว!