ตอนพิเศษ 17-2 การประลองครั้งใหญ่เริ่มขึ้น จับมังกรน้อย
ช่วงเช้ามีเพียงเด็กสาวรากปราณสวรรค์กับคุณชายน้อยหรงที่ได้ลงลานประลอง
ขาคุณชายน้อยหรงถึงกับสั่นระริก เขาใช้วิชาเวทย์อะไรไม่ได้เลย วิชากระบี่ก็จำไม่ได้ วิชามีดนับว่าเก่งกาจ แต่นั่นเขาเอาไว้หั่นผัก…
สำนักทั้งหลายทยอยมากันถึงแล้ว
จุดชมการประลองของเหล่าลูกศิษย์กับเหล่าอาจารย์นั้นอยู่แยกกัน เหล่าลูกศิษย์จะนั่งอยู่รอบด้านลานประลอง ส่วนเหล่าอาจารย์จะนั่งอยู่บนอาวุธวิเศษของสำนักตน ซึ่งลอยชมการประลองอยู่กลางอากาศ แต่สถานที่ประลองก็มีอยู่เท่านั้น ฝ่ายจัดงานวาดแบ่งให้เป็นวงในหนึ่งวง วงนอกหนึ่งวง ทั้งยังกำหนดความสูงไว้แล้ว วงในล้วนเป็นสำนักที่มีหน้ามีตาในแดนกลาง คนใหม่ที่เพิ่งย้ายมาอย่างสำนักเชียนหลันย่อมถูกจัดให้อยู่ที่วงนอก
วงนอกจะอยู่ต่ำว่าวงในประมาณหนึ่ง ถึงแม้จะอยู่ห่างไปสักนิดแต่ยังสามารถมองเห็นได้
เพียงแต่ความรู้สึกที่คล้ายมีคนขี่อยู่บนหัวนั้น ออกจะไม่ค่อยดีอยู่สักหน่อย
ทางใต้ของวงในเป็นตำหนักหลังเล็กที่มีสีทองอร่าม ซึ่งก็เป็นที่วางอาวุธวิเศษขั้นสามที่จะให้เป็นรางวัลกับผู้ชนะ ตำหนักแห่งนี้ใช้บุกก็ได้ใช้ป้องกันก็ได้ สามารถเปลี่ยนได้หลากหลาย ซ้ำยังมีอาวุธวิเศษขั้นอมตะอยู่อีกชิ้นหนึ่ง นั่นคือ… วิหคยักษ์ปีกเงิน
ภายใต้พลังกดดันของวิหคยักษ์ เหล่าอาวุธวิเศษที่อยู่โดยรอบพากันตัวสั่นงันงก
เวลานี้ผู้ที่นั่งอยู่ในตำหนักคือหัวหน้าสหพันธ์รวมถึงคนสนิทฝีมือดีอีกจำนวนหนึ่ง เดิมทีรองหัวหน้าสหพันธ์ก็ควรมาด้วย แต่ได้ยินว่าบุตรชายของเขาอาการป่วยกำเริบ จึงต้องรั้งอยู่ที่บ้าน
แต่ถึงเขาจะไม่มา แต่เจ้าสำนักว่านเซี่ยงที่จะเกี่ยวดองกับเขากลับมา เจ้าสำนักว่านเซี่ยงนั่งอยู่ถัดลงมาด้วยท่าทางดั่งเทพเซียน ข้างกายเขาคือพี่น้องว่านจื่อเยียนกับว่านจื่อซิน
ว่านจื่อเยียนไม่ได้เข้าร่วมการประลองด้วย เหตุผลคือยังรักษาบาดแผลอยู่
แต่ว่านจื่อเยียนมองเห็นเฉียวเวยเวยกับหลิงจือที่อยู่ด้านล่างในทันที นัยน์ตานางมีแวววเคียดแค้นวาบผ่าน
ไม่เท่าไรการประลองก็เริ่มต้นขึ้น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง ประเดิมสนามด้วยชัยชนะ หลังจากนั้นพอทุกคนประลองรอบแรกเสร็จ ก็จะจับฉลากรอบสอง ตามด้วยรอบสาม
โชคข้างนางไม่ดีไม่เลว คนที่จับได้ล้วนเป็นศิษย์ในขั้นรากฐาน มีคนหนึ่งที่เป็นถึงช่วงปลายของขั้นรากฐาน แต่ก็ถูกนางใช้กระบี่เล่นงานจนฟุบได้ในทีเดียว
สำนักเชียนหลันกำลังใจมา หลังจากนั้นก็ถึงตาคุณชายน้อยหรง
ว่ากันตามตรงสำนักเชียนหลันไม่คาดหวังใดๆ กับคุณชายน้อยหรง ถึงแม้ระดับขั้นของเขาจะไม่เลว แต่แค่กระบี่เล่มเดียวเขายังถือให้มั่นคงไม่ได้ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะเจ้าสำนักสวี่ใจอ่อน คิดอยากให้โอกาสเขาได้ฝึกฝน ผู้ดูแลหลิวยังคิดอยากปล่อยให้เขาให้อาหารสัตว์วิเศษอยู่ที่สำนักด้วยซ้ำ
แต่คุณชายน้อยหรงก็ไม่รู้ไปโชคดีมาจากไหน คู่ต่อสู้คนแรกจึงเป็นเพียงผู้ฝึกปราณขั้นกลางของสำนักเล็กๆ สำนักหนึ่งเท่านั้น
อีกฝ่ายพอเห็นคุณชายน้อยหรงตัวสูงใหญ่ ซ้ำยังอยู่ในขั้นรากฐานแล้ว จึงขวัญเสียเป็นลมไปเอง
คุณชายน้อยหรงจึงชนะด้วยประการฉะนี้
ช่างแสนบังเอิญ การประลองรอบที่สองก็เป็นลูกศิษย์ของสำนักเดียวกันนี้ ซ้ำยังเป็นศิษย์น้องของคนก่อนหน้าอีกด้วย กระทั่งศิษย์พี่ยังขวัญเสียจนเป็นลมไป ศิษย์น้องยังจะกล้าประลองต่ออีกหรือ
คุณชายน้อยหรงแค่ชักมีดออกมา เขาก็ตกใจจนวิ่งหนีไปแล้ว!
คุณชายน้อยหรงเก็บมีดหั่นผักที่หยิบออกมาผิดกลับเข้าไปเงียบๆ…
ตอนประลองรอบที่สาม คุณชายน้อยหรงก็ไม่โชคดีเพียงนั้นสักที อีกฝ่ายมีรากฐานอยู่ในขั้นกลาง ที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงก็คือ การฝึกตนของคุณชายน้อยหรงยกระดับขึ้นอีกเมื่อสามวันก่อน กลายเป็นรากฐานขั้นกลางแล้ว
แต่รากฐานขั้นกลางของตนกับอีกฝ่ายใช่รากฐานขั้นกลางแบบเดียวกันหรือ
แค่กระบวนท่าเดียวก็ซัดเขาหมอบได้แล้ว!
อีกฝ่ายชักกระบี่ออกมา
คุณชายน้อยหรงรีบกอดศีรษะตนเอง “ข้ายอม…”
คำว่า “แพ้” ยังไม่ทันหลุดออกจากปาก อีกด้านหนึ่งลูกศิษย์หญิงของสำนักว่านเซี่ยงฟาดฝ่ามือใส่ศิษย์ชายรากฐานขั้นกลางคนหนึ่งจนกระเด็น
ศิษย์ผู้ชายตัวลอยมากระแทกถูกศีรษะของคู่ต่อสู้คุณชายน้อยหรงเข้าอย่างจัง
อีกฝ่ายจึงตาลอยคว้างก่อนจะสลบไป
คุณชายน้อยหรงชนะอีกแล้ว
…
คุณชายน้อยหรงกลายเป็นคนเดียวของการประลองช่วงเช้าที่ไม่ได้ใช้สักกระบวนท่าก็สามารถเอาชนะคู่ต่อสู่อันแข็งแกร่งได้ติดต่อกันสามคน ชื่อเสียงของเขาขจรกระจายไปทั่ว เล่นเอาเด็กสาวรากปราณสวรรค์ถูกกลบไปเลยทีเดียว
ทางด้านนี้การประลองยังคงดำเนินต่อไป
จีเสี่ยวซิวกลับหมดความอดทนที่จะดูต่อ เดิมทีเขาไม่ได้คิดอยากมาดูสิ่งเหล่านี้ ที่นั่งอยู่ได้นานเพียงนี้ก็นับว่าให้เกียรติสำนักเชียนหลันแล้ว
เขาไม่มีทางยอมรับว่าตนถูกเฉียวเวยเวยจับมือไว้จึงขยับตัวไม่ได้สักนิด…
ใต้เท้าเจ้าตำหนักสุดท้ายก็ละทิ้งอุดมการณ์ หยิบลูกกวาดเม็ดหนึ่งออกมา เฉียวเวยเวยเลยปล่อยมือ แต่ผ่านไปยังไม่ทันถึงหนึ่งวินาที ก็ถูกนางจับไว้อย่างเดิมอีกครั้ง
ใต้เท้าเจ้าตำหนักที่สลัดมังกรน้อยไม่หลุดจึงจำต้องพามังกรหนีไปด้วย
จีเสี่ยวซิวนั่งอยู่ด้านล่าง บนที่นั่งชมการประลองของลูกศิษย์ เขาหันไปมองทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ทางด้านหลัง แล้วเอ่ยกับผู้ดูแลหลิวว่า “ที่นี่น่าเบื่อจะแย่ ข้าออกไปเล่นทางด้านนู้นสักเดี๋ยวจะได้หรือไม่”
ผู้ดูแลหลิวเห็นว่าตรงทุ่งหญ้ามีลูกศิษย์เด็กๆ อยู่ไม่น้อย คิดดูแล้วคงทนนั่งเฉยๆ กันไม่ไหวจึงพยักหน้า แล้วเรียกให้ลูกศิษย์ใหม่คนหนึ่งตามเขาไป “อย่าไปไกลล่ะ”
ลูกศิษย์ใหม่พาเด็กสองคนออกไป
พวกเขาเดินเล่นในทุ่งหญ้าไปรอบหนึ่ง จีเสี่ยวซิวก็ชี้ไปทางป่าที่อยู่ไม่ไกล “พวกเราไปตรงนั้นกันเถิด! ตรงนั้นมีผลไม้!”
ป่านั้นไม่นับว่าอยู่ไกล ลูกศิษย์ใหม่ลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะพาพวกเขาไป
พอเข้าไปในป่าจีเสี่ยวซิวก็แปะยันต์ชะงักงันบนตัวเขา
จีเสี่ยวซิวจูงเสี่ยวเวยเวยเข้าไปในป่า ป่าแห่งนี้ไม่ใหญ่ เดินผ่านไปก็จะเป็นเขาหมิงหวังแล้ว
จีเสี่ยวซิวคิดเอาไว้ง่ายดายมาก แต่เมื่อลงมือทำขึ้นมากลับยากเย็นกว่าในจินตนาการนัก
เฉียวเวยเวยไม่ยอมเดินเอง
เขาลืมไปแล้วว่านี่เป็นมังกรขี้เกียจที่นิดๆ หน่อยๆ ก็ต้องให้อุ้ม!
ร่างกายของเด็กอายุสามขวบนี้อุ้มนางไม่ไหว
ลูกตาดำสนิทราวกับก้อนนิลของจีเสี่ยวซิวกรอกไปมา เปิดห่อผ้าแล้วเอาลูกกวาดวางลงบนพื้นหญ้าที่ละเม็ด
เฉียวเวยเวยเดินไปกระโดดไป เก็บลูกกวาดเข้าปาก
จีเสี่ยวซิวยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินห้าก้าววางหนึ่งเม็ด เดินสิบก้าววางหนึ่งเม็ด วางไปไม่เท่าไรก็เดินออกจากป่าแล้ว
ในตอนที่เด็กทั้งสองเดินตามกันออกจากป่านั้น ห่างไปไม่ไกลด้านหลังต้นอู๋ถงที่ใบรกชัด ร่างของร่างที่แปะยันต์พรางตัวและพกไข่มุกซ่อนปราณเอาไว้ก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มสมใจออกมา
“ฉือเฟิง เจ้าเด็กคนนั้นไม่ผิดตัวใช่หรือไม่” คนที่ถามหาใช่ใครอื่น ก็คือเหลียวเจินเหรินแห่งสำนักว่านเซี่ยงนั่นเอง
ฉือเฟิงพยักหน้า “ถูกต้อง เขานี่แหละ”
เหลียวเจินเหรินยิ้มชั่วร้าย “ยามตามหาเดินจนรองเท้าสึกก็หาไม่พบ ยามจะเจอก็เจอเสียง่ายๆ ข้ายังคิดว่าสำนักเชียนหลันจะมีคนคอยคุ้มกันเขาอย่างแน่นหนาจนยากที่จะได้ตัวเขาเสียอีก”
ฉือเฟิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เจ้าอย่าได้ดูถูกมังกรน้อยตัวหนึ่งเชียว การฝึกตนของท่านยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาด้วยซ้ำ”
เหลียวเจินเหรินถึงกับตกใจ เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นประสานตันเชียวนะ เอาชนะมังกรละอ่อนตัวหนึ่งยังไม่ได้เชียวหรือ
แต่เขารู้ดีว่าฉือเฟิงจะไม่หลอกเขา หลังจากตกใจไปชั่วขณะสั้นๆ เขาก็ยิ้มพร้อมพลางเอ่ยว่า “ไม่ใช่ว่ายังมีเจ้าหรอกหรือ”
ฉือเฟิงไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงเลิกคิ้วขึ้นเรียบๆ “เดิมทีข้าก็คิดว่าเขาจัดการได้ง่าย เพียงแต่หลังจากเกิดเรื่องสิงโตม่วงนั่นแล้ว ข้าคงต้องมองเจ้ามังกรน้อยนี้เสียใหม่”
เหลียวเจินเหรินตกใจอีกครั้ง “เจ้าจะบอกว่าเรื่องสิงโตม่วงเป็นฝีมือเขาหรือ”
สายตาของฉือเฟิงมองไปยังแผ่นหลังเล็กๆ ของจีเสี่ยวซิว “ตอนนั้นเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย มิใช่หรือ”
เหลียวเจินเหรินตกใจจริงๆ
ฉือเฟิงเอ่ยเสียงเรียบว่า “แต่เจ้าวางใจได้ ต่อให้เก่งกาจอย่างไรก็เป็นเพียงมังกรเด็กตัวหนึ่ง”
“เจ้าคิดจะทำเช่นไร” เหลียวเจินเหรินถาม
ฉือเฟิง “ย่อมต้องจับกลับไป จะยังทำอะไรได้อีก”
เหลียวเจินเหรินเอ่ยพรางยิ้มแหยๆ “ข้าถามได้หรือไม่ว่า…นายน้อยคิดจะทำเช่นไรกับมังกรเด็กตัวนี้” หากเขาจะเก็บไว้เลี้ยง เช่นนั้นก็คงผ่านไป แต่หากเขาคิดอยากสังหาร บางทีสำนักว่านเซี่ยงของพวกเขาอาจจะพอได้ส่วนแบ่งอะไรบ้าง
ฉือเฟิงเอ่ยหน้าดุดันว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรใส่ใจ เจ้าจำไว้เพียงว่าการแต่งงานระหว่างนายน้อยของข้ากับสำนักว่านเซี่ยงทำให้พวกเจ้าพบมังกรตัวนี้ จะได้มังกรน้อยมาหรือไม่ นายน้อยจะไม่มีทางเอาเปรียบพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้ากล้าคิดจะเก็บมังกรน้อยเอาไว้เอง เช่นนั้นก็อย่าโทษหากนายน้อยจะไม่เกรงใจพวกเจ้า!”
เหลียวเจินเหรินรีบบอกว่า “มิกล้าๆ! สำนักว่านเซี่ยงของพวกเราไม่มีทางคิดเป็นอื่นต่อนายน้อยอย่างแน่นอน!”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” ฉือเฟิงพูดพลางเรียกโซ่เหล็กที่เต็มไปด้วยไอมารออกมา
เหลียวเจินเหรินถูกไอมารอันแข็งแกร่งนั้นกระตุ้นจนหัวหมุนตาลายไปหมด “นี่คือ…”
ฉือเฟิงเอ่ยเรียบๆ ว่า “โซ่หาดมังกร มีไว้ใช้กับเผ่ามังกรโดยเฉพาะ แต่ก็สามารถทำร้ายผู้ฝึกตนได้เช่นกัน อีกเดี๋ยวเจ้าอยู่ให้ห่างหน่อย”
เหลียวเจินเหรินเลยรีบหลบไปเสียเดี๋ยวนั้น!
ฉือเฟิงเดินพลังปราณ เล็กตรงไปยังแผ่นหลังของจีเสี่ยวซิว แล้วขว้างโว่หาดมังกรออกไปทันที!