หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรักตอนพิเศษ 17-1 การประลองครั้งใหญ่เริ่มขึ้น จับมังกรน้อย

ตอนพิเศษ 17-1 การประลองครั้งใหญ่เริ่มขึ้น จับมังกรน้อย

ตอนพิเศษ 17-1 การประลองครั้งใหญ่เริ่มขึ้น จับมังกรน้อย

สุดท้ายสำนักเชียนหลันตัดสินใจเข้าร่วมการประลอง ส่วนลูกศิษย์ที่จะร่วมการประลองมีกฎกำหนดไว้ว่าแต่ละสำนักส่งได้ไม่เกินห้าคน หลังจากเจ้าสำนักสวี่กับผู้พิทักษ์หลายคนหารือร่วมกันแล้วก็ตัดสินใจให้สวีเจี๋ย เด็กสาวรากปราณสวรรค์ หลิงจือ คุณชายน้อยหรงรวมถึงลูกศิษย์คนหนึ่งที่อยู่ในรากฐานขั้นกลางเข้าร่วมการประลอง

ก่อนออกเดินทาง ลูกศิษย์ที่อยู่ในรากฐานขั้นกลางรีบร้อนจะพัฒนาตนเพื่อรับมือการประลองครั้งใหญ่ แต่กลับทำให้ชีพจรบาดเจ็บโดยไม่ทันระวัง ปลังจากใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ผู้ดูแลหลิวเสนอลูกศิษย์ใหม่ของกลุ่มนี้นามหลินเหมี่ยว

หลินเหมี่ยวฝึกปราณอยู่ในช่วงท้าย ห่างจากขั้นรากฐานเพียงก้าวเดียวเท่านั้น และเขาก็ไม่ทำให้ผู้ดูแลหลิวผิดหวัง ก่อนวันประลองครั้งใหญ่สองวัน เขาก็ขึ้นมาสู่ขั้นรากฐานได้สำเร็จ

เมื่อเป็นเช่นนี้ลูกศิษย์ที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคนจึงฝึกตนอยู่ในขั้นรากฐานกันทั้งสิ้น การจัดกระบวนทัพเช่นนี้ต่อให้อยู่ในแดนกลางก็นับว่ามีหน้ามีตาแล้ว

การประลองครั้งใหญ่เช่นนี้เมื่ออยู่ในแดนกลางอาจไม่นับว่าพบเห็นได้ยากนัก แต่ในแดนใต้แทบไม่มีให้เห็น เจ้าสำนักเชียนหลันกับเหล่าผู้พิทักษ์ตั้งใจให้เหล่าลูกศิษย์ออกไปพบเห็นโลกภายนอกบ้าง ซึ่งร่วมถึงจีเสี่ยวซิวด้วย

จีเสี่ยวซิวลังเลว่าตนจะไปหรือไม่ไปดี

กับแค่การประลองของลูกศิษย์ใหม่ ยังไม่คู่ควรให้ต้องเสียสายตาอันล้ำค่าของใต้เท้าเจ้าตำหนัก ยิ่งไปกว่านั้นที่สำนักว่านเซี่ยงเสนอให้สำนักเชียนหลันเข้าร่วมการประลอง จุดประสงค์นั้นอยู่ที่ “มังกรละอ่อนน้อย” อย่างเขาตัวนี้ สำนักเชียนหลันก็ไม่ทำให้สำนักว่านเซี่ยงผิดหวัง หาทางพาเขาไปด้วยจนได้จริงๆ

จีเสี่ยวซิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือน้อยๆ ข้างหนึ่งที่อวบอูมอย่างมือเด็กใช้นิ้วมือเคาะเบาๆ ลงบนโต๊ะ “ผู้พิพากษาชุย”

ผู้พิพากษาชุยรับคำแล้วมาปรากฏตัว บนตัวเขาสวมเพียงกางเกงตัวโคร่ง เนื้อตัวเปียกปอน เห็นได้ชัดว่ากำลังแช่น้ำอยู่แล้วถูกใต้เท้าเจ้าตำหนักบังคับ “เร่ง” ให้มาที่นี่

เขาเป็นคนของแดนยมโลก ยามอยู่นอกแดนจะใช้วิชาเวทย์ซี้ซั้วไม่ได้ มิเช่นนั้นจะนำพาการลงทัณฑ์จากสวรรค์มาสู่ตนได้ เขาไม่อาจเสกอาภรณ์มาได้ จึงจำต้องคว้าเอาผ้าห่มมาห่อตัวไว้ลวกๆ พร้อมเอ่ยด้วยหน้าตาบูดบึ้งว่า “ใต้เท้า ครั้งหน้าหากจะเรียกข้าช่วยบอกกล่าวกันก่อนจะได้หรือไม่”

หากเกิดเขาทำธุระส่วนตัวอยู่จะทำเช่นไร

หากเกิดเขากำลังทำงานตามหน้าที่อยู่จะทำเช่นไร

หมายเลขหนึ่งร้อยสิบเอ็ดยังมาไม่ถึง จึงยังไม่รู้ว่าเป็นผู้โชคดีจากสำนักใด

ไม่เท่าไรผู้พิทักษ์ใหญ่ ผู้พิทักษ์รอง ผู้พิทักษ์สามของยอดเขาเหลียนเฟิงรวมถึงผู้ดูแลหลิวกับลูกศิษย์คนที่เหลือก็มาถึง หากตัดพวกหลิงจือทั้งสี่คนที่มาร่วมการประลองออกไป ยังมีศิษย์ชั้นเลิศอีกสิบคนที่ผ่านการทดสอบลูกศิษย์ใหม่และได้อยู่ในสำนักต่อไป

พวกเขาถึงแม้จะไม่ได้เข้าร่วมการประลอง แต่มาดูระดับของลูกศิษย์ใหม่สำนักอื่นแล้ว ได้เห็นโลกมากขึ้นสักนิดก็นับเป็นเรื่องดี

เหล่าผู้พิทักษ์กับเจ้าสำนักไม่อยากให้เจอคู่แข่งที่เป็น ‘อริตัวฉกาจ’ ตั้งแต่วันแรก ยังดีที่โชควันนี้ไม่เลว ไม่ต้องเจอตั้งแต่รอบแรก

“เจ้าได้หมายเลขอะไร” ผู้พิทักษ์รองถามเด็กสาวรากปราณสวรรค์

เด็กสาวรากปราณสวรรค์บอกว่า “เจ็ดสิบหกเจ้าค่ะ คู่แข่งของข้าคือหมายเลขหนึ่ง”

นี่หมายความว่าน่าจะเป็นคนแรกที่ออกไปประลอง

แท่นครึ่งวงเดือนไม่ได้มีสถานที่ประลองแค่แห่งเดียว เหนือแท่นบูชามีการใช้พลังปราณวาดเป็นวงกลมไว้สิบวง อีกเดี๋ยวจะมีคู่ประลองทั้งหมดสิบคู่ขึ้นประลองพร้อมกัน

หลิงจือได้หมายเลขที่ห้าร้อย คู่แข่งของนางคือหมายเลขแปดร้อยห้า ซึ่งเป็นหมายเลขที่อยู่ในช่วงบ่าย

ศิษย์พี่อวี๋กับหลินเหมี่ยวได้หมายเลขติดกัน ห้าร้อยสามกับห้าร้อยสี่ คู่ต่อสู้ของทั้งสองล้วนเป็นหมายเลขหกร้อยไปแล้ว จึงอยู่ในช่วงบ่ายเช่นกัน

การประลองกำหนดไว้เป็นช่วงเช้าของวันที่แปด สถานที่คือแท่นครึ่งวงเดือนที่อยู่ห่างไปหนึ่งร้อยลี้ แท่นครึ่งวงเดือนไม่มีค่ายกลรับส่ง คนส่วนใหญ่จึงเลือกการขี่กระบี่ไป

ลูกศิษย์ใหม่บังคับกระบี่เหินเวหากันได้ตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อนแล้ว ยกเว้นแต่คุณชายน้อยหรง

เขากลัวความสูง

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้นั่งเรือเหาะของเจ้าสำนักสวี่

เรือเหาะนั้นมีความหมายตามชื่อ นั่นคือเป็นเรือที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ จะว่าไปแล้วมันก็คืออาวุธวิเศษขั้นสองชิ้นหนึ่ง ด้านในผนึกญาณวิหคปีกกระดูกขั้นผสานตันตัวหนึ่งเอาไว้ วิหคปีกกระดูกนั้นมีปีกที่กว้างใหญ่ ขนโปร่งแสง มองดูจึงคล้ายว่ามีเพียงโครงกระดูกตรงปีก ชื่อของวิหคปีกกระดูกจึงได้มาด้วยเหตุนี้

วิหคปีกกระดูกมีทั้งความนิ่งและความเร็ว กอปรกับได้พลังปราณของเจ้าสำนักสวี่ในการขับเคลื่อน ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็มาถึง

คนที่นั่งอยู่บนเรือเหาะด้วยกันยังมีเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิว

เฉียวเวยเวยกำลังกินถังหูลู่อยู่ เรียบร้อยว่าง่ายยิ่งนัก

จีเสี่ยวซิวสงสัยยิ่งนักว่านางจะกินจนฟันมังกรของนางผุเสียหายหรือไม่ พอนางกินไม้ที่สองเสร็จจึงไม่ยอมให้นางกินอีก

เฉียวเวยเวยก็ไม่กินถังหูลู่อีก แต่หันไปกินขนมเปี๊ยะกุ้ยฮวาแทน

“…” จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบทำหน้าเป็นห่วงกังวลราวกับบิดาวัยชรา

การประลองครั้งนี้ผู้ที่เป็นแม่งานคือฝ่ายสหพันธ์ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดรวมถึงค่าเดินทาง (ระยะทางสิบลี้เท่ากับศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีหนึ่งก้อน) ล้วนรับผิดชอบโดยสหพันธ์ทั้งสิ้น ได้ยินว่าสำนักที่เข้าร่วมการประลองทั้งหมดมีสามร้อยกว่าสำนัก เป็นครั้งที่มีผู้เข้าร่วมเยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะทำให้ประเพณีอันดีงามของทั้งหกแดนเสียหายไม่น้อย

ในวันนี้ลูกศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมการประลองทั้งหมดจะต้องผ่านการประลองหนึ่งต่อหนึ่งทั้งสามรอบ ในแต่ละรอบจะกำหนดคู่แข่งด้วยการจับฉลาก

ผู้เข้าร่วมเมื่อมาถึงแล้วต้องไปขึ้นทะเบียนเพื่อรับป้ายก่อน บนป้ายจะมีชื่อ สำนัก ระดับการฝึกตนรวมถึงประเภทรากปราณของตน คุณชายน้อยหรงเป็นคนแรกของสำนักเชียนหลันที่มาถึง ตอนเขาไปขึ้นทะเบียน ข้างหน้าเขาเพิ่งมีมากันสิบคนเท่านั้น เขาอยู่ลำดับที่สิบเอ็ด ฝ่ายจัดงานจับฉลากคู่แข่งให้เขาเป็นหมายเลขหนึ่งร้อยสิบเอ็ด

จีเสี่ยวซิวไม่ได้สนใจผลผูถีมากนัก ผลผูถีสำหรับผู้ฝึกตนแล้วนับว่าเป็นยาวิเศษที่ช่วยรักษาบาดแผลได้ดี แต่เขาเป็นวิญญาณ ได้มาก็ไม่มีประโยชน์ ประโยชน์ต่อมังกรละอ่อนน้อยก็ไม่มาก หากบังเอิญเจอเข้าเด็ดผลสองผลมาให้มังกรน้อยเล่นก็ยังพอได้ แต่จะให้ไปตามหา ให้ไปรอจริงๆ จังๆ นั้นไม่คุ้มค่าสักเท่าไร

จีเสี่ยวซิวเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริง (เด็ก) จัง (น้อย) ว่า “พวกเขาตามหาผลผูถีของพวกเขา ข้าไปเอาศิลาตัดวิญญาณของข้า เจ้ากังวลว่าข้าจะไปเจอพวกที่ตามหาผลผูถีพวกนั้น ทั้งสองที่นั้นอยู่ใกล้กันมากหรือ”

ผู้พิพากษาชุยรู้สึกเอ็นดูกับเสียงเด็กน้อยของใต้เท้าตนยิ่งนัก จนลืมความไม่พอใจที่มีต่อใต้เท้าเมื่อครู่ไปเสียหมด คิดแต่อยากจะยื่นมือไปขยี้ศีรษะใต้เท้าของตนให้หายมันเขี้ยวสักที

“แค่ก!” ผู้พิพากษาชุยเก็บความคิดของตนกลับมา เอ่ยแหยๆ ว่า “ศิลาตัดวิญญาณ…ฝังอยู่ใต้ต้นผูถีนั้นเอง”

เช่นนี้ก็แย่แล้ว คนอื่นเขาแค่เพียงจะไปเด็ดผลผูถี เขากลับต้องถือจอบไปขุด “รากต้นผูถี” คนพวกนั้นจะไม่ฉีกทึ้งเขาสิแปลก

“หรือไม่ให้ข้าไปก็แล้วกัน” ผู้พิพากษาชุยบอก

จีเสี่ยวซิวเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ต้อง ข้าไปเอง วิชาเวทย์เท่านั้นของเจ้า เก็บไว้รับอาญาสวรรค์จะดีกว่า”

ถือวิสาสะหาวิธี “จุติ” ให้ใต้เท้าเจ้าตำหนัก เรื่องนี้หากสวรรค์รู้เข้าคงได้ส่งสายฟ้าฟาดมาสังหารเขาแน่

ผู้พิพากษาชุยก็แค่พูดไปอย่างนั้น เขากล้าไปจริงๆ เมื่อไรกัน แน่นอนว่าหากใต้เท้าเจ้าตำหนักบังคับเขาก็ต้องไป เขาไม่อยากไปก็ต้องไป โชคดีที่ใต้เท้าเจ้าตำหนักยังพอมีจิตเมตตาอยู่บ้าง

จีเสี่ยวซิวเอ่ยอีกว่า “หญ้ามังกรออกดอกแล้ว แต่ไม่ยอมออกผลเสียที เจ้ารีบไปเอาน้ำแกงเบญจรสของท่านยายเมิ่งมาลองดูที”

ผู้พิพากษาชุยไม่มีหยุดคิด ตอบออกไปทันทีว่า “นางไม่ให้หรอก”

จีเสี่ยวซิวมองค้อนอีกฝ่ายทีหนึ่ง “นางไม่ให้เจ้าก็ขโมยไม่เป็น?”

ผู้พิพากษาชุยพลันขนลุกซู่ “ขโมยของท่านยายเมิ่ง? ท่านสู้ให้ข้าถูกสายฟ้าฟาดตายไปเลยดีกว่า!”

จีเสี่ยวซิวยื่นมือออกไป “คุกเข่าลง”

ผู้พิพากษาชุยไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร แต่ก็ยอมคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย

คราวนี้จีเสี่ยวซิวเอื้อมถึงแล้ว จีเสี่ยวซิวตบไหล่เขา “ตกลงตามนี้นะ”

ผู้พิพากษาชุย “…”

เขายุ่งมากเชียวนะ!

จีเสี่ยวซิวปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย บนหน้าเขียนไว้ชัดเจนว่าข้าจะเรียกเจ้าเมื่อไรก็จะเรียกเมื่อนั้น “ข่าวที่ให้เจ้าสืบเล่า”

ผู้พิพากษาชุยกระชับผ้าห่มด้วยท่าทางขุ่นเคือง กล้าเคืองแต่ไม่กล้าขัด ได้แต่ตอบไปตามตรงว่า “การประลองครั้งใหญ่เป็นเรื่องจริง จัดขึ้นสิบปีครั้งจริงๆ สำนักว่านเซี่ยงแค่เพียงเสนอชื่อสำนักเชียนหลัน แต่นอกจากนี้ไม่ได้เล่นตุกติกอะไร”

“ข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้”

“ท่านอยากถามเรื่องตารางการแข่งขัน?”

จีเสี่ยวซิวมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้าอยากรู้ว่าการประลองครั้งนี้ข้าสมควรไปหรือไม่”

ผู้พิพากษาชุยพลันขนหัวลุก คิดในใจว่าท่านให้ข้าสืบหาข้อมูลตั้งมากมายเพียงนั้น ไม่ใช่เพราะอยากไปหรือ

ใจคิดอย่างหนึ่ง แต่ฉากหน้ายังคงเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบอกตามตรง การประลองครั้งนี้สำนักที่ได้สิบอันดับแรกจะมีสิทธิ์ได้เข้าร่วมกับสหพันธ์ หากได้เข้าร่วม ลำดับก็จะเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง นอกจากนี้แล้ว ลูกศิษย์ในสิบอันดับแรกยังจะได้รับยาล้ำค่าอีกหนึ่งกล่อง ได้ยินว่าสามารถยกระดับการฝึกตนได้ ยิ่งไปกว่านั้นลูกศิษย์ในสามอันดับแรกยังจะได้รับวิชาเวทย์ที่เหมาะกับตนอีกหนึ่งชุด ซึ่งล้วนเป็นวิชาเวทย์ขั้นลึกลับทั้งสิ้น หาได้ยากยิ่งนัก ยังมีอีก ที่หนึ่งจะได้รับอาวุธวิเศษขั้นสามหนึ่งชิ้นอีกด้วย”

อาวุธวิเศษขั้นสามเรียกได้ว่าเป็นของที่หาได้ยากยิ่งนัก ก่อนหน้านี้เมื่อครั้งสำนักว่านเซี่ยงมาท้าทายถึงที่นั่น ทั้งหมดที่ใช้ก็คืออาวุธวิเศษขั้นหนึ่งชิ้นหนึ่ง อาวุธวิเศษขั้นหนึ่งยังร้ายกาจถึงเพียงนั้น พลังของอาวุธวิเศษขั้นสามคงยิ่งไม่ต้องพูดถึง ทั้งสำนักเชียนหลันมีอาวุธวิเศษขั้นสามอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น

แน่นอนว่าสิ่งของเหล่านี้ในสายตาใต้เท้าเจ้าตำหนักแล้วไม่นับว่ามีอะไรน่าสนใจ

ผู้พิพากษาชุยจึงเอ่ยต่อว่า “สถานที่ประลองอยู่ที่แท่นครึ่งวงเดือน ด้านหลังแท่นครึ่งวงเดือนก็คือเขาหมิงหวัง ศิลาตัดวิญญาณเคยปรากฏอยู่ที่นั่น เพียงแต่…”

“เพียงแต่อะไร” จีเสี่ยวซิวถาม

ผู้พิพากษาชุย “แต่เขาหมิงหวังยังมีต้นผูถีอยู่ ได้ยินว่าใกล้จะออกลูกผูถีแล้ว ช่วงนี้จึงมีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยที่เข้าเขาหมิงหวังไปตามหาผลผูถี”

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก

Score 10
Status: Completed
นิยายแปลไทยเรื่อง : หม่ามี๊ตัวร้ายกับเสนาบดีตื๊อรัก ผู้เขียน : เพียนฟางฟาง (偏方方) แนะนำเรื่องย่อ เมื่อหมอสาวยุคปัจจุบันต้องทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแถมพ่วงด้วยลูกแฝดอีกสอง ทำขนม ดักสัตว์ ทำไร่ ทำทุกอย่างที่ได้เงิน! เฉียวเวย เด็กกำพร้าไร้ญาติขาดมิตรจู่ๆ ก็ทะลุมิติมายังยุคโบราณที่ไม่รู้จัก นอกจากจะมาอาศัยร่างคนอื่นอยู่แล้ว ร่างเดิมนี้ยังมีลูกแฝดอีกสองชีวิตให้ต้องเลี้ยงดู! นางที่ไร้ซึ่งความทรงจำใดๆ ในโลกใบใหม่แต่พราะทักษะติดตัวสมัยยังต้องดิ้นรนในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำให้ชีวิตไม่ลำบากเกินไปนัก ทำขนม ดักสัตว์ ปลูกพืช รักษาคน จากนี้นางจะเลี้ยงลูกๆ ให้เติบใหญ่ด้วยมือของนางเอง! เจ้าซาลาเปาน้อยจูงมือบุรุษใบหน้าเคร่งขรึมเข้ามา "ท่านแม่ ท่านลุงบอกว่าเขาเป็นพ่อของข้า" เฉียวเวยยิ้มละไม "ลูกรัก บอกพ่อเจ้าหน่อย ว่าต้องทำเช่นไรถึงจะพิสูจน์ว่าเป็นพ่อของเจ้าได้" เจ้าซาลาเปาน้อยเปิดสมุดทองคำ พูดอย่างชื่อๆ ว่า "ข้อที่หนึ่งร้อยหนึ่งของ 'กฎครอบครัวเฉียว' หลอกลวงเด็กสาวที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะมีโทษตัดอวัยวะสืบพันธุ์ ท่านลุง หากท่านเป็นพ่อของข้าจริงๆแล้วล่ะก็..." โดยไม่รอให้เจ้าซาลาเปน้อยจะพูดจบ ปลายนิ้วอันย็นเฉียบของชายคนนั้นก็บีบคางของเฉียวเวย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เย็นชาและเป็นอันตราย "หากข้าจำไม่ผิด คืนนั้น เหมือนเจ้าจะเป็นคนบังคับขืนใจข้า!"

Options

not work with dark mode
Reset