ตอนพิเศษ 16-1 ยารวมปราณ การประลองครั้งใหญ่ของศิษย์ใหม่
เด็กสาวที่เมื่อครู่ยังวางท่าสูงสง่านั่งอยู่บนหลังสิงโตสีม่วง เพียงพริบตาก็ตกลงมาจมกองเลือดด้วยความเจ็บปวด
ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทุกคนที่ล้อมรอบอยู่ต่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เหตุใดสิงโตตัวนี้ถึงแว้งกัดเจ้านายของตนเองได้
ถึงแม้จะไม่ใช่เจ้านายโดยตรง แต่เมื่อครู่ตอนเด็กสาวออกคำสั่ง มันก็แผ่พลังกดดันออกมา เห็นได้ว่าเดิมทีมันน่าจะเชื่อฟังคำสั่งของเด็กสาวอยู่
หญิงรับใช้ตกใจจนตะลึงค้าง คุณหนูของสำนักว่านเซี่ยงตกใจจนฉี่รดตัวเองไปแล้ว
หลิงจือก็ตกใจมากเช่นกัน ตอนสิงโตสีม่วงนั่นทะยานกลับมา มีแวบหนึ่งที่นางคิดว่ามันตั้งใจจะกัดตน…
เจ้าสิงโตตัวนี้คงไม่ได้กัดผิดคนกระมัง…
ไม่มีเวลาให้หลิงจือคิดอะไรมากนัก เฉียวเวยเวยยังยืนอยู่ตรงนั้น หลิงจือรีบเดินเข้าไปอุ้มเฉียวเวยเวยขึ้นมา แล้วใช้มือข้างหนึ่งปิดตานางไว้
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสอู๋ที่เป็นขั้นอมตะคนหนึ่งของสำนักว่านเซี่ยงตามมาถึง
เดิมทีผู้อาวุโสท่านนี้เดินทางมาพร้อมกับเด็กสาวเพื่อคุ้มครองเด็กสาวไปยังสหพันธ์ เวลานี้ก็กำลังจะกลับไปสำนักว่านเซี่ยงพร้อมกับสหพันธ์ แต่บุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์จะให้สัตว์เลี้ยงของตนไปส่งคุณหนูกลับบ้าน คุณหนูเห็นว่าแปลกใหม่ดี จึงขี่สิงโตม่วงตัวนี้ออกมาก่อน
คนทั้งแดนกลางจำสัตว์เลี้ยงของคุณชายได้ ผู้อาวุโสอู๋จึงไม่คิดว่าจะมีใครกล้าคิดทำร้ายสิงโตม่วงรวมถึงคุณหนูของตน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เร่งร้อนจะตามไปให้ทัน
ไหนเลยจะรู้แค่เผลอเรอไปเพียงชั่วครู่ก็เกิดเรื่องกันคุณหนูเสียแล้ว
ผู้อาวุโสอู๋รีบใช้คาถาห้ามเลือดเพื่อควบคุมบาดแผลของคุณหนูไว้ก่อนชั่วคราวแล้วรีบพาตัวคุณหนูกลับไป ไม่มีเวลาไต่ถามโดยละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ระหว่างทางที่มานี้พอจะได้ยินเด็กสาวถามว่าคนของที่ใดที่ทำร้ายศิษย์สำนักว่านเซี่ยง
หลังจากนั้นไม่นานเด็กสาวก็เกิดเรื่อง
ตอนสายตาของผู้อาวุโสอู๋เห็นกระบี่ยาวเล่มนั้นในมือหลิงจือ เขาก็ไม่แปลกใจที่ได้เห็นว่าหลิงจือเป็นศิษย์ของสำนักเชียนหลัน
เพียงแต่ว่า หลิงจือเพิ่งฝึกตนอยู่ในขั้นรากฐานเท่านั้น หากจะบอกว่าเป็นนางที่เล่นงานเด็กสาวกับสิงโตม่วง ก็ดูจะไม่น่าเป็นไปได้สักเท่าไร
แต่ศิษย์สำนักเชียนหลันที่อยู่ตรงนั้น นอกจากนางแล้วก็มีแค่เด็กที่นางอุ้มอยู่
เด็กคนนั้นเพิ่งอายุได้สามสี่ปี แค่ดูก็รู้ว่าไม่มีรากปราณ หากบอกว่านางเป็นคนทำคงยิ่งไม่มีใครเชื่อเข้าไปใหญ่
แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นเพราะพวกนางสองคนพี่น้อง ควรจะจับตัวพวกนางสองคนกลับไปก่อนดีหรือไม่
ในขณะที่ผู้อาวุโสอู๋กำลังลังเลว่าควรจับตัวพวกนางพี่น้องกลับไปดีหรือไม่นั้น จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบก็เดินเข้ามา ตัวเล็กกระเปี๊ยกพร้อมสายตาเย็นยะเยือกประหนึ่งสระเหมันต์เข้ามาขวางทางผู้อาวุโสอู๋เอาไว้ทั้งอย่างนั้น
ผู้อาวุโสอู๋ฝึกตนถึงขั้นอมตะแล้ว เขารับรู้ได้มากกว่าคนทั่วไปมากนัก จีเสี่ยวซิวเป็นเด็กธรรมดาๆ คนหนึ่งก็จริง แต่ไอสังหารที่แผ่ออกมาพร้อมกับสายตานั้นทำให้ใจผู้อาวุโสอู๋เต้นไม่เป็นส่ำขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“อ๊า…”
เด็กสาวที่สลบไปอยู่ๆ ก็ฟื้นขึ้นมาเพราะความเจ็บปวดอีกครั้ง
ผู้อาวุโสรู้ดีว่าบาดแผลของเด็กสาวไม่อาจชักช้าได้ เขามองจีเสี่ยวซิวด้วยสายตาดุดัน ก่อนจะพาเด็กสาวกับคนของสำนักว่านเซี่ยงจากไป
สิงโตสีม่วงก็ถูกพวกเขาพาไปด้วย
หลิงจือถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อครู่อันตรายมากจริงๆ หากทำไม่ดีเข้าบางทีนางอาจจะถูกฆ่าตายอยู่กลางถนนก็ได้ ในแดนกลางถึงแม้ไอปราณจะมาก แต่กลับไม่สงบเรียบร้อยเช่นแดนล่าง ดูท่าในวันหน้านางคงต้องระมัดระวังตัวมากกว่านี้
หลิงจือไม่อยู่ซื้อน้ำยาปรับพื้นฐานต่อ นางจูงมือเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวขึ้นรถม้ากลับสำนัก
เมื่อผู้เกี่ยวข้องจากไปกันหมดแล้ว คนที่ล้อมดูก็ค่อยๆ สลายตัวไป
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ยืนอยู่หน้าร้านชาแห่งหนึ่ง เพ่งมองจุดที่เกิดเหตุ ตอนสิงโตสีม่วงคลุ้มคลั่งขึ้นมานั้นนางรับรู้ได้ลางๆ ถึงพลังกดดันอันแสนประหลาดยิ่ง นางไม่รู้ว่าตนรู้สึกไปเองหรือไม่ เพราะดูจากปฏิกิริยาของผู้ฝึกตนคนอื่นแล้วดูไม่รับรู้ถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ในบรรดาพวกเขา มีผู้ที่ฝึกตนไม่เป็นรองนาง ขนาดนางยังรับรู้ได้ถึงพลังกดดัน คนเหล่านั้นไม่มีเหตุผลที่จะไม่รู้สึกถึงจะถูก
ไม่รู้เหตุใดในสมองเด็กสาวรากปราณสวรรค์มีใบหน้าน้อยๆ ของเฉียวเวยเวยที่งุนงงไม่รู้ประสาแวบขึ้นมาในหัว
“คุณหนู พวกเราก็กลับเถิดเจ้าค่ะ” สาวใช้ใหญ่เอ่ยขึ้นเบาๆ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์หลุดจากภวังค์ บางทีนางอาจจะคิดไปเองจริงๆ กระมัง
…
เรื่องนี้สร้างแรงกระทบกระเทือนให้สำนักว่านเซี่ยงอย่างใหญ่หลวง
หลังจากผู้อาวุโสอู๋พาเด็กสาวกลับสำนักว่านเซี่ยงแล้ว เจ้าสำนักว่านเซี่ยงรีบเชิญครึ่งเซียนคนเดียวในสำนักนามชิวอีซานมารักษาบาดแผลให้บุตรสาวอันเป็นที่รัก
ดูจากคุณสมบัติของรากปราณแล้ว หากคนที่มีรากปราณไม้ใช้วิชาเวทย์ในการรักษาจะให้ผลที่ดีกว่าเล็กน้อย เพียงแต่ว่าบาดแผลของว่านจื่อเยียนดูจะเกินกว่าความสามารถที่ลูกศิษย์สายไม้สามารถรักษาได้อย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นการที่สำนักว่านเซี่ยงตามตัวชิวอีซานมาจึงนับว่าถูกต้อง
“อาจารย์อาชิว บาดแผลของจื่อเยียนเป็นอย่างไรบ้าง สามารถรักษาได้หรือไม่” เจ้าสำนักว่านเซี่ยงสอบถามด้วยความร้อนใจ
ชิวอีซานส่ายหน้าด้วยความเสียใจ “รักษาไม่ได้แล้ว”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมากลางวันแสกๆ ตัวแข็งเป็นหินไปทั้งตัว พักใหญ่เขาถึงหาเสียงตัวเองเจอ “อาจารย์อาชิว จื่อเยียนเพียงบาดเจ็บที่มือ ด้วยระดับการฝึกตนของเจ้าต้องช่วยนางต่อกลับไปอย่างเดิมได้ใช่หรือไม่”
ชิวอีซานตอบว่า “ต่อกลับเข้าไปนั้นไม่ยาก เพียงแต่นับจากนี้จะไม่สามารถใช้ได้แล้ว”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงรู้สึกสะเทือนใจอีกครั้ง “เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้”
ชิวอีซานอธิบายว่า “สิงโตม่วงสองปีเป็นสัตว์มาร ในตัวมันเต็มไปด้วยไอมาร ชีพจรตรงส่วนมือของจื่อเยียนถูกไอมารทำลายจนสิ้นแล้ว หากเจ้าต้องการรักษานางให้หายต้องตามหาผู้ฝึกตนมารที่มีรากปราณไม้ ระดับการฝึกตนของเขาอย่างน้อยต้องเหนือกว่าบรรลุญาณพร้อมเป็นเซียน เท่าที่ข้ารู้ทั่วทั้งแดนกลางผู้ฝึกตนมารที่อยู่เหนือขั้นบรรลุญาณพร้อมเป็นเซียนมีอยู่ไม่ถึงเจ็ดคน ในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีคนที่มีรากปราณไม้เลยสักคนเดียว”
“ท่านพ่อ…” ว่านจื่อเยียนได้สติแล้ว พอได้ยินที่ชิวอีซานเอ่ยนางก็โผเข้าหาอ้อมกอดของเจ้าสำนักว่านเซี่ยงแล้วร้องไห้โฮออกมา
อารมณ์เจ้าสำนักว่านเซี่ยงหดหู่ยิ่งนัก ชีวิตนี้ของเขาไม่มีบุตรชาย บุตรทั้งเจ็ดที่มีล้วนเป็นบุตรสาว หนึ่งในนั้นมีบุตรสาวสี่คนที่รากปราณไม่งอกซึ่งแต่งงานกับปุถุชนไปแล้ว บุตรสาวสามคนที่เหลือล้วนมีคุณสมบัติไม่เลว กระทั่งว่านจื่อซินที่เป็นคนสุดท้องยังมีรากปราณคู่ไฟกับดิน ส่วนในบรรดาสามคนนี้ คนที่เขาให้ความสำคัญที่สุดคือจื่อเยียน
จื่อเยียนไม่เพียงมีคุณสมบัติดี นางยังสร้างรากฐานได้เร็วตั้งแต่อายุยังน้อย ซ้ำยังมีรูปลักษณ์ที่ดูราวกับเทพธิดา ในการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับบุตรชายรองหัวหน้าสหพันธ์ครั้งนี้ เขาก็เลือกนางโดยที่แทบจะไม่ลังเลเลยสักนิด
ส่วนบุตรชายของรองหัวหน้าสหพันธ์ก็ดูจะพอใจนางอย่างเห็นได้ชัด ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ส่งสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของตนให้กลับมาส่งนาง
แต่ความพอใจนี้เมื่อมีรากฐานที่ดีประมาณหนึ่งแล้ว หากให้รองหัวหน้าสหพันธ์รู้ว่าสะใภ้ในอนาคตของตนจะกลายเป็นคนพิการ การแต่งงานครั้งนี้จะดำเนินต่อไปได้หรือไม่คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว “เรื่องนี้อย่างเพิ่งแพร่งพรายออกไป ไม่ว่าใครถามคนให้บอกเพียงว่าแผลของจื่อเยียนไม่นานจะหายดี เข้าใจหรือไม่”
สาวใช้ทุกคนรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ!”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงเรียกสาวใช้ที่ติดตามบุตรสาวตนในวันนี้เข้ามา “เจ้าบอกความจริงกับข้ามา วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
สาวใช้ใส่สีตีไข่เรื่องราวของพวกหลิงจือเสียยกใหญ่ “…น้องสาวของศิษญ์หญิงคนนั้นแย่งน้ำตาลวาดของคุณหนูจื่อซิน ซ้ำยังลงมือลงไม้กับคุณหนูจื่อซินด้วย พวกเขาเลยเข้าไปร้องหาคำอธิบายกับนาง นางก็เลยลงมือกับพวกเรา ตอนหลังคุณหนูจื่อเยียนมาถึงจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ จากนั้นไม่รู้นางทำอะไรกับคุณหนูจื่อเยียน คุณหนูจื่อเยียนเลยตกลงมาจากหลังสิงโตม่วง…”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงไม่ใช่คนโง่ ฟังถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจเรื่องราวแล้ว อย่าว่าแต่ลูกศิษย์ที่อยู่ในขั้นรากฐานคนหนึ่งไม่สามารถทำอะไรจื่อเยียนไม่ได้เลย ต่อให้สามารถทำได้ จื่อเยียนก็ไม่มีทางบาดเจ็บด้วยเหตุนี้ จื่อเยียนถูกสิงโตตัวนั้นกัดเสียเฉยๆ
ใครร่ายมนต์ใส่สิงโตตัวนั้นให้คลุ้มคลั่ง นี่ต่างหากถึงเป็นหัวใจสำคัญ
“ข้าจะฆ่าไอ้เดียรัจฉานนั่น! ข้าจะฆ่ามัน!” ว่านจื่อเยียนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงมีหรือไม่คิดอยากฆ่ามัน แต่นั่นเป็นสัตว์เลี้ยงตัวโปรดของครอบครัวรองหัวหน้าสหพันธ์ ไม่ใช่สัตว์ที่พวกเขาจะลงมือด้วยได้!
ว่านจื่อเยียนเดือดดาลจะแย่อยู่แล้ว!
หากรู้แต่แรกนางคงไม่ขี่สิงโตตัวนั้นแล้ว! เป็นเพราะเจ้าสิงโตตัวนั้นทีเดียว เล่นงานนางจนต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต!
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับเขาแล้ว! สิงโตของเขาทำให้ข้ากลายเป็นเช่นนี้!”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงมองใบหน้ารวดร้าวที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำตาของบุตรสาว ในหัวมีความคิดแปลกประหลาดผุดขึ้นมา
ชิวอีซานอ่านความคิดในใจบุตรสาวออก จึงเอ่ยเสียงขรึมว่า “ทำร้ายพวกเราส่งผลดีเช่นไรต่อสหพันธ์? คุณชายฉินยังอยากได้ยาของพวกเราอยู่ เขาไม่มีทางทำร้ายจื่อเยียน และยิ่งไม่มีทางใช้วิธีการเช่นนี้บีบบังคับให้พวกเรายกเลิกการแต่งงาน”
เจ้าสำนักว่านเซี่ยงก็รู้ว่าตนคิดมากเกินไป แต่เขาไม่เข้าใจ อยู่ดีๆ สิงโตตัวนั้นเหตุใดถึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาได้
จุดนี้อย่าว่าแต่เจ้าสำนักว่านเซี่ยงไม่เข้าใจเลย กระทั่งผู้พิทักษ์ใหญ่ของสำนักเชียนหลันก็ไม่เข้าใจเช่นกัน