ตอนพิเศษ 15-1 พลังมังกร สังหารทั่วทิศ
ข่าวคราวรู้น้อยเกินไปอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี เดี๋ยวสองตาจะมืดบอด กระทั่งเหตุใดตนถูกเพิกเฉยก็ยังไม่รู้ชัด พวกผู้พิทักษ์ใหญ่เห็นว่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรต้องออกไปเดินเที่ยวด้านนอกให้มากขึ้นสักหน่อย
เจ้าสำนักสวี่เสียความรู้สึกไม่น้อย แดนกลางกับแดนล่างช่างต่างกันจนเกินไป ความศรัทธาและความเชื่อที่สั่งสอนกันมารุ่นสู่รุ่น เมื่อมาถึงที่นี้ดูจะกลายเป็นเมฆหมอกอันเลือนรางเสียหมด กระทั่งผู้ฝึกตนเป็นมารที่ผู้คนรังเกียจ ยามอยู่ในแดนกลางยังกลายเป็นที่ช่วงชิงของคนเช่นรองหัวหน้าสหพันธ์ไปได้
เจ้าสำนักสวี่ส่ายหน้าเป็นการบอกว่าตนจำเป็นต้องใช้เวลาในการปรับอารมณ์สักหน่อย จึงจะไม่ออกไปกับพวกเขาด้วย
ผู้พิกทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์ที่เหลือจึงพากันลงเขาไป
วันนี้เดิมทีไม่ได้วางแผนจะฝึกตนอยู่แล้ว คิดแต่จะอยู่รอรับแขก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคนมา จะไล่ลูกศิษย์ให้กลับไปฝึกก็ดูไม่ค่อยดี จึงถือโอกาสให้พวกเขาได้หยุดพักเสียเลย
ลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยก็ลงเขาไปเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าลงจากเขาได้ เฉียวเวยเวยก็เริ่มนั่งไม่ติด
หลิงจือต้องเข้าเมืองไปซื้อของบางอย่างพอดี จึงพาเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวไปด้วยกัน
ทิวเขาฝั่งเหนือกับทิวเขาฝั่งใต้มีเส้นทางเข้าออกเป็นของตนเอง จึงไม่ต้องพบเจอกันให้ตะขิดตะขวงใจ เพียงแต่หลังจากลงเขาไปแล้วยังต้องเจอกับรถม้าที่เรียงต่อกันยาวเป็นหางมังกร เวลานี้ใกล้จะเย็นย่ำแล้ว แต่ยังมีแขกใหม่มารอเยี่ยมคารวะอีก ดูท่าคนกว่าครึ่งแดนกลางคงมาแสดงความยินดีกับสำนักว่านเซี่ยงกันหมด
ในใจหลิงจือรู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย แต่ที่เศร้าหมองยิ่งกว่าคือเด็กสาวรากปราณสวรรค์
ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นสายเลือดของท่านเซียน คนพวกนี้ต่อให้ไม่เห็นแก่หน้าสำนักเชียนหลัน ก็ควรจะเห็นแก่หน้านางบ้างไม่ใช่หรือ
สายตาเด็กสาวรากปราณสวรรค์ดูดุดันขึ้นเล็กน้อย
เดิมทีหลิงจือกับนางก็ไม่ได้สนิทสนมกันอยู่แล้ว เวลานี้เมื่อเห็นหน้านางดูบึ้งตึงยังคิดว่านางเป็นอะไร จึงไม่อยากไปพร้อมกับนางเข้าไปใหญ่ จูงเฉียวเวยเวยกับจีเสี่ยวซิวขึ้นนั่งรถม้าออกไป
แผนที่ของแดนกลางกว้างใหญ่มาก ทั้งหมดแบ่งออกไปสี่เขตคือเหนือใต้ออกตก สถานที่ที่พวกเขาอยู่อยู่ในเขตเหนือ เมืองเล็กที่กำลังจะไปเรียกว่าเป่ยเจิ้น
เป่ยเจิ้นใหญ่กว่าเมืองอวี้เหอถึงสามเท่า ภายในเมืองคึกคักยิ่งนัก ในแดนกลางเป็นพื้นที่ที่มีคนหลายประเภทอยู่รวมกัน คนที่อยู่ที่นี่นอกจากผู้ฝึกตนแล้ว ยังมีชาวบ้านธรรมดา คนที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนหากคิดจะอยู่ที่นี่แล้วไม่มีคนคอยหนุนหลังนั้นคงจะไม่ได้ ดังนั้นร้านค้าในเมืองที่ฉากหน้าเป็นของชาวบ้านธรรมดา แต่เบื้องหลังของเขากลับมีโอกาสที่จะเป็นสำนักที่เก่งกาจสักสำนักหนึ่ง
หลิงจือไปเจอสำนักจินเตาที่ย้ายเข้ามาอยู่แดนกลางก่อนหน้าพวกเขาหนึ่งเดือน สำนักจินเตาเปิดร้านขายอาวุธร้านหนึ่ง กิจการออกจะเงียบเหงา
ข่าวที่สำนักเชียนหลันย้ายมาอยู่แดนกลางแพร่ออกไปแล้ว หลิงจือไม่เชื่อว่าสำนักจินเตาจะไม่ได้ยินข่าวนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่กระทั่งมาแสดงความยินดี หลิงจือก็ไม่สู้อยากจะอุดหนุนกิจการของพวกเขานัก
หลิงจือจูงมือเด็กทั้งสองเดินผ่านหน้าร้านขายอาวุธไป
เฉียวเวยเวยมองร้านที่ขายถังหูลู่พลางสูดน้ำลาย
หลิงจือจึงซื้อถังหูลู่มาสองไม้ ไม้หนึ่งให้เฉียวเวยเวย อีกไม้หนึ่งให้จีเสี่ยวซิว
จีเสี่ยวซิวนึกรังเกียจยิ่งนัก จึงเอาถังหูลู่ให้เฉียวเวยเวยไปทันที
ภาพเช่นนั้นในสายตาของหลิงจือกลับเป็นเพียงเด็กสามขวบที่มีความชอบไม่เหมือนเด็กทั่วไปเท่านั้น หลิงจือไม่กล้าลูบศีรษะอาจารย์อาน้อยของตน จึงลูบศีรษะเฉียวเวยเวยพลางบอกว่า “อาจารย์อาน้อยช่างใจดียิ่งนัก”
เฉียวเวยเวยปากกำลังวุ่นกับการกิน จึงแค่พยักหน้า “อื้อๆ”
ลูกศิษย์ที่ก้าวเข้าสู่ขั้นพื้นฐานสามารถใช้ศิลาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว ในมือหลิงจือมีศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดีที่ผู้พิทักษ์ใหญ่ให้ไว้ไม่น้อย ได้ยินว่าที่นี่สามารถนำศิลาศักดิ์สิทธิ์มาแลกเป็นสิ่งของได้ นางจึงอยากนำมาเปลี่ยนเป็นน้ำยาปรับพื้นฐานกับยาผสานปราณ
น้ำยาปรับพื้นฐานนางจะเอามาใช้เอง นางจะนำมาใส่ในน้ำที่ตนอาบทุกวัน ได้ยินว่ามีผลช่วยอบอุ่นเส้นชีพจรได้ดี
ส่วนยาผสานปราณจะเอามาให้เฉียวเวยเวยใช้ จนถึงทุกวันนี้เฉียวเวยเวยยังไม่มีรากปราณงอกออกมาเลย ได้ยินว่ายาผสานปราณให้ผลดีกว่าผงผสานปราณ นางจึงอยากลองดู
ก่อนมานี่นางไปถามมาจากเหล่าศิษย์อาของยอดเขาเหลียนเฟิงมาแล้ว ในเมืองเหนือมีเพียงร้านเดียวที่ขายยาเม็ดผสานปราณ ลองถามดูไม่เท่าไรก็หาจนพบ
ก่อนหน้านี้หลิงจือยังคิดว่าที่มีเพียงร้านเดียวเพราะยาผสานปราณขายไม่ค่อยดีที่นี่ คุณภาพก็อาจจะไม่เท่าไร ไหนเลยจะรู้ว่าพอไปถึงแล้วถึงได้เห็นว่าที่หน้าร้านมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด เล่นเอาทั้งถนนติดขัดไปหมด
ที่แท้ไม่ใช่เพราะคุณภาพของมันไม่ดี แต่เพราะคุณภาพดีเกินไปจนทำให้ร้านขายยาผสานปราณร้านอื่นต้องปิดตัวไปกันหมด กระทั่งคนในเมืองอื่นๆ ยังมาซื้อจากที่นี่กันไม่น้อย
หลิงจือจูงมือเด็กทั้งสองไปต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ
เฉียวเวยเวยมีถังหูลู่ให้กินจึงอยู่นิ่งดีมาก
จีเสี่ยวซิวมีแผนการของตนเอง เขาไม่สนใจยาเม็ดรวมปราณ แต่เขาสนใจเศษหญ้าในกล่องที่ใส่เม็ดยารวมปราณ
คนในแดนกลางเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าหญ้าซวินเฉ่า มันมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หลังจากตากแห้งแล้วจะมีสรรพคุณช่วยป้องกันเชื้อราได้ประมาณหนึ่ง มีคนเอาใส่ในกล่องเพื่อเก็บรักษาตัวยา และมีบางคนเอามันไปบดทำเครื่องหอม ในความเป็นจริงหญ้าชนิดนี้มีชื่อเดิมว่าหญ้ามังกร เดิมทีมันไม่ควรอยู่ในแดนกลางเช่นนี้ แต่ไม่รู้ผู้ใดเอาเมล็ดของมันมาที่นี่ หญ้ามังกรสามารถออกดอกและออกผลได้ สรรพคุณในผลของมันให้ผลดีกว่ายาเม็ดผสานปราณนับร้อยเท่า และให้ผลดีอย่างมากต่อมังกรในวัยละอ่อน เพียงแต่คนทั่วไปปลูกจนมันออกผลไม่ได้
จีเสี่ยวซิวครุ่นคิดว่าจะหาหญ้ามังกรสดๆ จากในร้านเอากลับไปปลูกที่เรือนของตนได้อย่างไร
“ข้าอยากไปปลดทุกข์!” อยู่ๆ จีเสี่ยวซิวก็เอ่ยขึ้น
หลิงจืออึ้งไปเล็กน้อย “ตอน ตอนนี้?”
จีเสี่ยวซิวพยักหน้า
หลิงจือไม่วางใจที่จะทิ้งเฉียวเวยเวยไว้ที่นี่คนเดียว และยิ่งไม่วางใจให้จีเสี่ยวซิวไปปลดทุกข์คนเดียว จึงจำต้องเรียกสารถีให้มาพาจีเสี่ยวซิวไปห้องสุขาแทน
แน่นอนว่าจีเสี่ยวซิวไม่ได้ไปเข้าห้องสุขา แต่ไปหาหญ้ามังกรสดจากในร้าน
ในที่สุดก็ถึงคราวหลิงจือกับเฉียวเวยเวยเสียที
“ยาเม็ดผสานปราณขายอย่างไรหรือ ข้าอยากซื้อด้วยศิลาศักดิ์สิทธิ์” หลิงจือถาม
เสี่ยวเอ้อร์ในร้านถามว่า “ชั้นดีหรือไม่ หากเป็นชั้นดีจะใช้สิบก้อน”
หลิงจือตาเบิกโต “สิบ สิบก้อน? ยาผสานปราณหนึ่งเม็ดหรือ”
เสี่ยวเอ้อร์ถามกลับว่า “เจ้าอยากได้ครึ่งเม็ดหรือไร”
“เหตุใดจึงแพงเช่นนี้” หลิงจือบ่นเบาๆ “เจ้าไม่ได้จะปล้นข้ากระมัง”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ร้านของเราเปิดมาสิบกว่าปีแล้ว ขายราคานี้มาตลอด หากแม่นางไม่เชื่อ ก็ไปซื้อที่ร้านอื่นเอาเถิด”
หลิงจือสะอึกไป “ข้าซื้อ”
เสี่ยวเอ้อร์เอากล่องมาใส่ยาผสานปราณเม็ดหนึ่งแล้วส่งให้นาง
หลิงจือควักศิลาศักดิ์สิทธิ์ถุงหนึ่งออกมา “ข้าอยากได้สองเม็ด”
เสี่ยวเอ้อร์จึงหยิบใส่กล่องให้นางอีกเม็ด
หลิงจือนับศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดียี่สิบเม็ดไปจ่ายเขา
เสี่ยวเอ้อร์รับเอาศิลาศักดิ์สิทธิ์ไปช่างด้วยมือดู เขาสุ่มหยิบขึ้นมาเม็ดหนึ่ง ใช้มือลองสัมผัสดูพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยกับหลิงจือว่า “ศิลาศักดิ์สิทธิ์ประเภทนี้ซื้อได้แค่เม็ดเดียว”
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้บอกว่าศิลาชั้นดีสิบก้อนได้ยาเม็ดผสานปราณหนึ่งเม็ดหรือ ข้าไม่ได้ให้เจ้าขาดไปสักเม็ด”
“ศิลาศักดิ์สิทธิ์นี้ของเจ้าดีกว่าศิลาชั้นกลางอยู่เพียงน้อยนิด แต่ห่างจากศิลาชั้นดีอยู่มากทีเดียว”
หลิงจือมองอีกฝ่ายอย่างไม่อยากเชื่อ
เสี่ยวเอ้อร์หยิบศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ดูวาวใสออกมาจากอกเสื้อ “นี่ต่างหากถึงเรียกศิลาศักดิ์สิทธิ์ชั้นดี!”
หลิงจือรับมาจับไว้แล้วเดินพลังปราณเข้าไปตรวจดูรอบหนึ่ง ก็พบว่าอีกฝ่ายไม่ได้หลอกนาง ศิลาก้อนนี้บริสุทธิ์กว่าของนางมากจริงๆ
“เพิ่งมาใหม่สิท่า” สีหน้าเสี่ยวเอ้อร์ดูเบื่อหน่าย เห็นได้ชัดว่าคุ้นชินกับผู้ฝึกตนที่เอาศิลาชั้นดีจากแดนล่างมาซื้อยาที่ร้านแล้ว “จะซื้อของในแดนกลาง ก็ต้องใช้มาตรฐานของแดนกลางเป็นหลัก”
ข้างๆ มีคนส่งสายตาเยาะหยันมาให้นาง
ใบหน้าหลิงจือร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อย นางควักศิลาศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกถุงหนึ่ง “เอ้า อีกยี่สิบเม็ด”
เสี่ยวเอ้อร์รับถุงไปแล้วจึงส่งกล่องให้นาง
หลิงจือซื้อยาผสานปราณเสร็จแล้วก็ยังไม่เห็นจีเสี่ยวซิวกับสารถีกลับมาเสียที ดังนั้นนางจึงไปเลือกอาวุธที่ร้านข้างๆ ต่ออีกพักหนึ่ง
สำนักเชียนหลันมีการจัดสรรอาวุธให้กับลูกศิษย์ทุกคน แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว การเลือกอาวุธก็เหมือนกับสตรีเลือกเครื่องประดับ ไม่มีใครรังเกียจที่จะมีเพิ่มอีกสักชิ้นสองชิ้น
ถังหูลู่ของเฉียวเวยเวยกินหมดแล้ว จึงมองตรงไปยังคนขายน้ำตาลวาดต่อ ในถุงเงินนางยังมีแผ่นเงินอยู่อีกหลายแผ่น ระหว่างที่หลิงจือต่อราคากับคนในร้านอยู่นั้น นางก็เอาแผ่นเงินเดินไปยังร้านน้ำตาลวาด
น้ำตาลวาดเหลือตัวสุดท้ายแล้ว เป็นนกหงส์ตัวหนึ่งที่ทอประกายทองอร่าม เฉียวเวยเวยเขย่งปลายเท้าเอาเงินไปวางไว้ให้
เงินเท่านี้อันที่จริงไม่พอซื้อ แต่เมื่อเห็นท่าทางเขย่งปลายเท้ากับน้ำลายไหลไม่หยุดของนางแล้ว เจ้าของร้านก็ให้น้ำตาลวาดนางมาอย่างไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เฉียวเวยเวยเพิ่งได้น้ำตาลวาดมาอยู่ในมือ แม่นางน้อยคนหนึ่งที่แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยหินอัญมณีก็เดินเข้ามาด้วยท่าทางราวกับเทพเซียน แม่นางน้อยมองดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าเฉียวเวยเวย แต่ก็ดูว่ายังไม่ถึงห้าขวบ นางมีรูปลักษณ์งดงาม เพียงแต่ท่าทางออกจากกร่างอยู่สักหน่อย “ข้าอยากได้น้ำตาลวาด! เอาแบบเดียวกับนาง!”