ตอนพิเศษ 14-1 จอมมารปรากฏตัว
สำนักเชียนหลันลงหลักปักฐานที่ทิวเขาฝั่งเหนือ ถึงแม้ทิวเขาฝั่งเหนือจะยิ่งใหญ่และไอปราณอุดมสมบูรณ์สู้ทิวเขาฝั่งใต้ไม่ได้ แต่ดีร้ายอย่างไรก็มีที่ให้อยู่อาศัย แต่ละยอดเขาจึงเริ่มแบ่งเขตของตน
ในสำนักเชียนหลันไม่เคยแต่งตั้งอาจารย์ใหญ่เจินเหรินมาก่อน ในสถานการณ์ปกติจะมีผู้พิทักษ์หนึ่งคนประจำอยู่หนึ่งยอดเขา ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองก็มียอดเขาที่ตนต้องดูแล แต่ทั้งสองยังคงไม่ค่อยได้ไปยอดเขาของตน เพียงมอบหน้าที่การดูแลให้กับศิษย์เอกที่เป็นหัวหน้าเท่านั้น ส่วนตนยังคงพาหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์เข้าพักยังยอดเขาลูกศิษย์ใหม่
การสร้างบ้านเรือนสำหรับผู้ฝึกตนที่ร่ายเวทย์เป็นนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ใช้เวลาแค่เพียงหนึ่งคืนเท่านั้น ทิวเขาทางฝั่งเหนือก็ถูกเนรมิตให้เหมือนกับสำนักเชียนหลันยามอยู่ในแดนล่าง
นี่ทำให้เหล่าลูกศิษย์ที่ต้องย้ายถิ่นฐานซ้ำยังถูกแย่งพื้นที่กะทันหันรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน สภาพจิตใจจึงไม่นับว่าย่ำแย่เพียงนั้นอีก ทุกคนทยอยหอบหิ้วสัมภาระของตนย้ายเข้าไป
ด้วยเพราะสร้างขึ้นตามแบบเดิมทุกอย่าง หลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์จึงยังคงได้เป็นเพื่อนบ้านกันเช่นเดิม สิ่งเดียวที่ต่างไปก็คือ ด้วยความที่ทางฝั่งหลิงจือมีจีเสี่ยวซิวผู้เป็นที่รักใคร่เพิ่มเข้ามาหนึ่งคน รวมถึง “มังกรเขียว” ที่มักมาที่นี่เป็นประจำ เรือนของหลิงจือจึงขยายใหญ่ขึ้น มีห้องเพิ่มขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายห้องยังไม่เท่าไร ด้านหลังยังตั้งใจสร้างลานไว้ให้เด็กๆ วิ่งเล่น รวมถึงสระน้ำที่เอาไว้ให้ “มังกรเขียว” แช่น้ำอีกด้วย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรือนของหลิงจือจึงขยายใหญ่กว่าเดิมเป็นเท่าตัว
ผู้ฝึกตนที่สร้างเรือนไม่รู้ไปรู้มาจากที่ใดว่าเฉียวเวยเวยชอบรดน้ำต้นไป จึงตั้งใจขุดบ่อน้ำไว้ให้นางที่ลานด้านหน้า แล้ววางโอ่งน้ำหน้าตาสวยงามไว้ให้หลายใบ ในโอ่งน้ำใบหนึ่งเลี้ยงดอกบัวไว้ ส่วนอีกใบหนึ่งเลี้ยงปลาจิ่นหลี
ปลาจิ่นหลีหายไปในวันนั้น…
เฉียวเวยเวยชอบเรือนนี้มาก คว้าเอาบัวรดน้ำไปรดน้ำต้นไม้ใบหญ้าในสวน
จีเสี่ยวซิวเดินตามไปด้านหลังนางพร้อมวางมาดเต็มที่
หลิงจือกำลังเอาสัมภาระบนรถม้าย้ายเข้าไปข้างใน พอดีว่าในเวลานั้นเด็กสาวรากปราณสวรรค์ก็กำลังหอบข้าวของกองใหญ่เดินมาเช่นกัน ในขณะที่กำลังจะเข้าประตูนั้นไม่ทันระวังชนเข้ากับหลิงจือ ม้วนหนังสือที่นางถืออยู่จึงตกลงพื้นแล้วกลิ้งเปิดออก
ภาพที่อยู่ด้านในเป็นราชรถที่ลากด้วยกิเลนไฟ มีม่านโปร่งแขวนไว้รอบทิศ ม่านโปร่งถูกลมพัดม้วนขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นบุรุษในชุดกรุยกรายสีน้ำตาล
ใบหน้าของบุรุษผู้นั้นพร่าเลือนอยู่ใต้ม่านโปร่ง แต่รัศมีที่แผ่ออกมารอบตัวดูเย็นยะเยือกและสูงส่งอย่างบอกไม่ถูก
หลิงจืออึ้งไปเล็กน้อย เก็บภาพวาดมาส่งคืนให้เด็กสาวรากปราณสวรรค์พร้อมถามด้วยความสงสัยว่า “นี่เป็นใครหรือ”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์ฉวยเอาภาพวาดกลับไป เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
หลิงจือมองนางด้วยสายตาประหลาด “ประหลาดเสียจริง!”
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เอาภาพเดินเข้าห้องของตนไป
หลิงจือยังไม่ประสา ไม่เข้าใจว่าแม่นางคนหนึ่งพกภาพวาดของบุรุษผู้หนึ่งไว้นั้นหมายความเช่นไร นางรู้สึกเพียงว่าปฏิกิริยาของเพื่อนบ้านนางดูจะประหลาดเล็กน้อย คล้ายจะหน้าแดงอยู่หน่อยๆ ด้วย
หลิงจือใจคิดแต่เรื่องฝึกวิชา ย่อมไม่เก็บเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนเช่นนี้มาใส่ใจนัก ไม่เท่าไรนางก็ลืมเรื่องนี้ กลับห้องไปเก็บข้าวของของตนกับเฉียวเวยเวยต่อ
หลังจากจีเสี่ยวซิวย้ายมาแล้ว ข้าวของของเด็กสองคนเลยออกจะระเกะระกะ แค่เก็บของก็ใช้เวลากว่าครึ่งวันแล้ว
อีกด้านหนึ่ง คุณชายน้อยหรงก็ย้ายเข้าที่พักของตนแล้วเช่นกัน เพราะเขาฝึกตนขึ้นมาถึงขั้นสูงแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้มีเรือนแยกเป็นของตนเช่นเดียวกับหลิงจือกับเด็กสาวรากปราณสวรรค์ แต่กลับมีห้องส่วนตัวเป็นของตนเอง ไม่ต้องปูฟูกนอนเบียดเสียดกับศิษย์พี่เหล่านั้น ซึ่งก็นับว่าไม่เลวทีเดียว ไม่เสียแรงที่เขาอุตส่าห์หอบสัมภาระจากบ้านมา
เถิงเสอถูกจัดให้ไปอยู่ในบ่อน้ำที่นับเป็นหัวใจสำคัญที่สุดของสำนักเชียนหลัน พื้นที่โดยรอบของที่นี่ล้วนเป็นทิวเขาที่อุดมไปด้วยไอปราณ เหมาะแก่การบำเพ็ญตนยิ่งนัก ถึงแม้เถิงเสอไม่คิดจะบำเพ็ญตนเลยสักนิดก็ตาม
ศิษย์ของสำนักเชียนหลันทำทุกอย่างได้รวดเร็วมีประสิทธิภาพ ชั่วเวลาเพียงสองวันหนึ่งคืน ทุกคนก็ลงหลักปักฐานกันเรียบร้อย
แต่สำนักเชียนหลันไม่ได้ทุ่มเทกับการฝึกตนในทันที ไม่ว่าอย่างไรสำนักเชียนหลันก็เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งแดนล่าง เวลานี้เมื่อย้ายมาอยู่ในแดนกลางแล้ว ย่อมมีสหายเก่ามาเข้าเยี่ยมจำนวนไม่น้อย หรือต่อให้เป็นคนไม่รู้จัก พอได้ยินชื่อสำนักเชียนหลันก็คงอยากมาเยี่ยมคารวะเช่นกัน
พวกเจ้าสำนักสวี่มารออยู่ที่โถงซงชุ่ยซึ่งเป็นโถงรับแขกกันตั้งแต่เช้า
จีเสี่ยวซิวมีอาวุโสสูง จึงมานั่งอยู่ที่นี่ด้วย
พวกเด็กสองคนตัวติดกันทั้งวัน เมื่อเขาไป เฉียวเวยเวยก็ย่อมต้องตามไปด้วย
ฟ้ายังไม่ทันสาง เด็กสองคนก็ถูกควักออกจากผ้าห่ม ทั้งเปลี่ยนชุด ทั้งถักผมเปีย แต่งเนื้อแต่งตัวเสียสวยงามก่อนจะส่งตัวไปยังโถงซงชุ่ย
เด็กสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ดูไม่พอดีตัวเลยสักนิด อ้าปากหาวกันหวอดๆ
ครึ่งชั่วยามผ่านไป
หนึ่งชั่วยามผ่านไป
สองชั่วยามผ่านไป…
เฉียวเวยเวยท้องหิวแล้วก็ยังไม่มีแขกมาเยี่ยมสักคน
พวกเจ้าสำนักสวี่อดรู้สึกเก้อเขินไม่ได้
ในขณะที่ทางฝั่งนี้เงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว สำนักว่านเซี่ยงที่อยู่อีกด้านหนึ่งมีคนถือของขวัญไปเข้าเยี่ยมกันแทบจะเหยียบธรณีประตูของสำนักว่านเซี่ยงจนแบนราบ เสียงอึกทึกวุ่นวายขนาดอยู่ห่างไปหนึ่งทิวเขากั้นก็ยังได้ยินเสียง สีหน้าของพวกเจ้าสำนักสวี่จึงยิ่งย่ำแย่หนักกว่าเดิม
เพื่อต้อนรับแขกในวันนี้ ทุกคนเลื่อนการฝึกตนออกไป ศิษย์จากแต่ละยอดเขาออกมาปัดกวาดสำนักกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางก็เพื่อให้ตอนมีคนมา สามารถดูแลได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาถึงขั้นคัดเลือกกระทั่งลูกศิษย์ที่คอยออกมาต้อนรับเอาไว้แล้ว ไหนเลยจะคิดว่าสุดท้ายแล้วจะไม่มีโอกาสได้ใช้งาน
การถูกเมินเฉยเช่นนี้ พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อนยามอยู่ในแดนล่าง
ยามอยู่แดนล่าง อย่าว่าแต่การย้ายสำนักที่เป็นเรื่องใหญ่น่ายินดีนี้เลย ต่อให้เป็นวันเกิดของผู้ดูแลสักคนก็ยังมีคนนำของขวัญชั้นดีมาแสดงความยินดีกันนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าใครก็ล้วนอยากสานสัมพันธ์กับสำนักเชียนหลันทั้งสิ้น สำนักเชียนหลันควบคุมตนเองได้ดีมาตลอด ไม่เคยปฏิเสธไม่ต้อนรับคนในวิถีเดียวกัน แต่ก็จะไม่ทำตัวสนิทสนมจนเกินไป แต่ด้วยท่าทีที่ไม่ชัดเจนเช่นนี้ก็ยังทำให้คนในแดนล่างแห่กันมาอยู่ดี
เรียกได้ว่าสำนักเชียนหลันเคยแต่มีคนเทิดทูนตลอดมา สถานการณ์เช่นในวันนี้พวกเขาไม่เคยแม้แต่จะคาดคิดกันมาก่อนเลยจริงๆ
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยด้วยความไม่พอใจว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ย้ายมาวันเดียวกันแท้ๆ เหตุใดสำนักว่านเซี่ยงถึงได้คึกคักเพียงนั้น ในเมื่อไปที่สำนักว่านเซี่ยงกันหมด จะไม่คิดมาที่สำนักเชียนหลันบ้างเลยหรือไร”
ทุกคนต่างไม่มีอะไรจะเอ่ย
ลูกศิษย์ของยอดเขาเหลียนเฟิงหลายคนพากันก้มหน้างุด