ตอนพิเศษ 13
ด้วยเพราะมีมังกรเขียว สำนักเชียนหลันจึงได้สิทธิ์การเข้าแถวมาอย่างง่ายดาย
ถึงแม้เงื่อนไขที่แดนกลางมีนั้นจะยากเย็นแสนเข็ญ แต่ก็ยังคงมีสำนักอีกจำนวนไม่น้อยที่ฟาดฟันกระบี่ไปทั่วทุกยอดเขาเพื่อหาวิธีอื่นมาเสริมรูรั่วที่มียอดฝีมือไม่เพียงพอ ด้วยเหตุนี้ สำนักที่มาต่อแถวจึงยังคงมีมากอยู่ดี
หลังจากรออยู่นานครึ่งเดือน ในที่สุดสำนักเชียนหลันก็ได้รับการตอบกลับจากแดนกลาง อนุญาตให้ย้ายขึ้นแดนกลางได้ในสิ้นเดือนนี้
การทดสอบประจำฤดูของลูกศิษย์ใหม่ก็อยู่ช่วงสิ้นเดือนเช่นกัน แต่การย้ายสำนักสำคัญกว่าการทดสอบ สำนักเชียนหลันจึงเลื่อนการสอบออกไปเป็นเดือนหน้าแทน ส่วนวันที่แน่ชัดไว้รอกำหนดอีกครั้ง หลังจากนั้นสำนักเชียนหลันก็เริ่มจัดการเรื่องย้ายสำนัก
การย้ายไปยังแดนกลางนั้นไม่ได้มีความหมายเพียงย้ายไปอยู่ยังสถานที่แห่งใหม่ แต่ยังหมายความถึงว่าจะต้องละทิ้งถิ่นฐานเดิมไปตลอดกาลด้วย ยอดฝีมือและลูกศิษย์ที่ฝึกตนมานับร้อยปี ครอบครัวที่เป็นปุถุชนธรรมดาล้วนจากโลกนี้กันไปนานแล้ว จึงสามารถละทิ้งความห่วงหาในส่วนนี้ไปได้ แต่คนที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่นาน โดยเฉพาะลูกศิษย์ใหม่นั้น การไปครั้งนี้กว่าจะได้พบคนในครอบครัวอีกครั้งอาจจะเป็นที่หน้าหลุมศพแล้ว
สำนักเชียนหลันเริ่มจากเอ่ยถึงความจริงที่ว่าชีพจรปราณเหือดแห้งก่อน แล้วจึงค่อยเอ่ยถึงการตัดสินใจเรื่องย้ายไปแดนกลาง แต่ไม่ได้บังคับว่าลูกศิษย์ทุกคนจะต้องตามพวกเขาไปด้วย หากมีคนยินดีจะอยู่แดนล่างต่อไป สำนักเชียนหลันก็จะเป็นพื้นที่ของพวกเขาตลอดไป
หรือหากมีใครอยากออกจากสำนัก จะออกไปตั้งตัวเองก็ดี หรือจะย้ายไปอยู่สำนักอื่นก็ดี สำนักเชียนหลันจะไม่มีว่ากล่าวอะไรแน่นอน
วิธีการของสำนักเชียนหลันเรียกได้ว่ามีคุณธรรมมากแล้ว เพราะถึงอย่างไรมาถึงบัดนี้ ก็ไม่เคยมีสำนักใหญ่สำนักใดที่พาผู้ฝึกตนออกจากสำนักมาก่อน ต่อให้สำนักเชียนหลันอ้างกฎสำนักว่าพวกเขาไม่ยินยอมปฏิบัติตาม มาเป็นเหตุเพื่อถอดถอนการฝึกของลูกศิษย์ทุกคนที่ไม่ยินยอมตามไปด้วย ก็จะไม่ทำให้ตนเองถูกวิพากษ์วิจารณ์เด็ดขาด
ลูกศิษย์โดยมากยังยินดีที่จะตามไปยังแดนกลางด้วย มีเพียงไม่ถึงสองร้อยคนที่บอกจะอยู่ต่อที่นี่
เจ้าสำนักสวี่ก็ไม่กลั่นแกล้งคนกลุ่มนี้ คัดเลือกคนหนึ่งที่สามารถเป็นผู้นำได้แล้วมอบยอดเขาเชียนหลันให้กับเขา ที่นี่ยังคงรักษาชื่อสำนักเชียนหลันเอาไว้ พวกเขายังสามารถฝึกตนที่นี่ต่อได้ แต่ความรุ่งโรจน์ไม่ใช่ของพวกเขาอีกต่อไป จากนี้เป็นต้นไปสิ่งที่พวกเขาต้องเผชิญคือความถดถอยภายหลังความรุ่งโรจน์
หลังจากทิ้งศิลาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ไว้ให้แล้ว เช้าตรู่วันหนึ่งที่ลมเย็น แสงอาทิตย์ส่องสว่าง แดนกลางกับสำนักเชียนหลันก็ทำการเชื่อมต่อค่ายรับส่งระหว่างกัน
เหล่าลูกศิษย์ถูกส่งเข้าไปคณะแล้วคณะเล่า หลังจากลูกศิษย์คนสุดท้ายเข้าไปยืนอยู่ในเขตแดนของแดนกลางแล้ว ค่ายรับส่งก็เป็นอันปิดตัวลงโดยสมบูรณ์
ไอปราณในแดนกลางอุ่นหนาฝาคั่งกว่าที่แดนล่างถึงสามเท่าตัว ผ่านไปไม่ถึงชั่วหนึ่งถ้วยน้ำชา รากปราณของลูกศิษย์ทุกคนก็งอกกันครบถ้วนแล้ว รากปราณขั้นต่ำพลันก้าวขึ้นสู่ขั้นกลาง ส่วนที่อยู่ขั้นกลางก็ก้าวขึ้นสู่ขั้นสูง ยังมีลูกศิษย์บางคนที่ยังอยู่ในช่วงฝึกปราณ ก็ขึ้นมาแตะยังเขตกั้นระหว่างปราณขั้นพื้นฐานได้สำเร็จ
ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการมีไอปราณที่มากล้น สุดท้ายแล้วยังจำเป็นต้องอาศัยความสามารถของตนในการก้าวต่อไป แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้ ก็เพียงพอให้พวกเขากระโดดโลดเต้นกันได้แล้ว
ผู้พิทักษ์ใหญ่สูดหายใจยาว จำไม่ได้แล้วว่าตนเคยดูดซับพลังปราณได้ตามใจเช่นนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร
เล่อหยางเจินเหรินเสียสละอย่างยิ่งใหญ่เพื่อสำนัก สำนักเชียนหลันซาบซึ้งในบุญคุณนี้จึงปฏิบัติต่อจีเสี่ยวซิวเป็นอย่างดี
จีเสี่ยวซิวมีรถม้าเป็นของตนเอง เฉียวเวยเวยก็นั่งอยู่ในรถม้าด้วย
ไอปราณหนาแน่นเกินไป เฉียวเวยเวยไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ หางมังกรจึงโผล่ออกมา…
…
ในแดนกลางมีสหพันธ์แห่งแดน เรื่องเล็กใหญ่ในแดนกลางรวมถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างแดนล้วนมีสหพันธ์นี้คอยจัดการ ผู้ที่ดูแลเรื่องการรับคณะพวกเขาในครั้งนี้เป็นทูตขั้นอมตะท่านหนึ่งในสหพันธ์
บุคคลที่อยู่ในขั้นอมตะยามอยู่ในสำนักเชียนหลันสามารถเป็นผู้พิทักษ์ได้แล้ว แต่เมื่ออยู่ที่นี่กลับเป็นเพียงทูตรับคณะคนหนึ่ง ความสามารถที่แท้จริงของแดนกลางจึงพอจะเห็นได้จากเหตุการณ์นี้
ท่านทูตตรวจนับจำนวนคนจนเรียบร้อย หันไปอีกที หน้าต่างทางขวาของรถม้าก็มีหางมังกรเล็กๆ ส่องประกายสีดำโผล่ออกมา
ท่านทูตจึงอึ้งไป เอ๋ เหตุใดจึงเป็นสีดำไปได้ ไม่ได้บอกว่าเป็นมังกรเขียวหรอกหรือ
วินาทีต่อมา หน้าต่างทางซ้ายของรถม้าก็มีศีรษะมังกรที่เขียวเป็นประกายมุดออกมา
ท่านทูตตาโตอ้าปากค้าง สอง สองสีหรือนี่…
เถิงเสอถูกจีเสี่ยวซิวจับไว้อยู่ ศีรษะยื่นออกไปนอกหน้าต่างรถ
เถิงเสอแลบลิ้นออกมา
จีเสี่ยวซิวยื่นมืออ่อนเยาว์ของเด็กสามขวบไปดึงหางของเฉียวเวยเวยกลับมา
หางของเฉียวเวยเวยถูกจับกลับเข้ามาแล้ว หางของเถิงเสอก็ยื่นออกไปอีก คราวนี้เป็นสีเขียว
ท่านทูตพลันเลิกคิ้ว บ้าน่า! เปลี่ยนสีได้หรือนี่!
จีเสี่ยวซิวนึกอยากตีเถิงเสอให้ตายสักที
พอจีเสี่ยวซิวใช้เท้าเกี่ยวหางของเถิงเสอเข้ามา หางของเฉียวเวยเวยก็เด้งออกไปอีก
จีเสี่ยวซิว “…”
ทางด้านนี้ใต้เท้าเจ้าตำหนักกับเจ้า “มังกร” สองตัวนี้กำลังสู้รบกัน อีกด้านหนึ่งท่านทูตก็นำคณะของพวกเขาไปยังสถานที่พักแห่งใหม่ ซึ่งเป็นภูเขาครึ่งลูก ถึงแม้จะเป็นเพียงครึ่งลูกแต่กลับไม่เล็กกว่าเขาเชียนหลัน แต่เมื่อคณะของพวกเขาไปถึงทิวเขานั้น หัวคิ้วของเจ้าสำนักสวี่กลับขมวดคิ้วหากัน “ข้าจำได้ว่าคราแรกไม่ใช่ที่นี่ แต่เป็นทางฝั่งใต้”
ท่านทูตยังนับว่าเกรงใจ คลี่ยิ้มก่อนจะเอ่ยว่า “สหพันธ์มีการปรับเปลี่ยนกะทันหัน ต่อไปสำนักเชียนหลันจะใช้พื้นที่ฝั่งเหนือแทน”
เขาฝั่งเหนือแย่กว่าฝั่งใต้มากนัก ไม่เพียงเล็กไปกว่าครึ่ง ไอปราณก็ยังหนาแน่นสู้เขาฝั่งใต้ไม่ได้ ซึ่งก็เป็นเหตุว่าทำไมเจ้าสำนักสวี่ถึงจะต้องช่วงชิงเอาเขาฝั่งใต้มาให้ได้
เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนี้ คนของสำนักเชียนหลันจึงไม่พอใจ
“พวกเจ้าบอกปรับเปลี่ยนก็ปรับเปลี่ยนหรือ มาถามความสมัครใจของพวกเราหรือยัง” ประมุขเหลยเดิมทีก็คิดอยู่แล้วว่าการมาแดนกลางถือเป็นการลดเกียรติอย่างหนึ่ง เวลานี้เมื่ออีกฝ่ายมาเปลี่ยนเอากลางคัน โทสะจึงปะทุขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
รอยยิ้มของท่านทูตยังคงเป็นรอยยิ้มเช่นเดิม แต่สายตากลับคมกล้าขึ้นไม่น้อย “คราแรกสหพันธ์กล่าวไว้ว่า หากไม่มีผู้อื่นย้ายเข้ามา ทางด้านนั้นก็จะเป็นของพวกเจ้า แต่เวลานี้มีคนย้ายเข้ามาแล้ว”
คำกล่าวนี้เรียกได้ว่าไม่น่าฟังเอาเสียเลย ประมุขเหลยยังคงไม่พอใจ “ฟังเจ้ากล่าวเช่นนี้ พวกเขาเป็นผู้มาทีหลัง ผู้มาทีหลังมีสิทธิ์อะไรมาแทรกอยู่หน้าพวกเรา ทั้งๆ ที่พวกเราเป็นคนเลือกก่อน!”
“เลือกก่อนแล้วมีประโยชน์อันใด แดนกลางเป็นพื้นที่ที่พูดคุยกันด้วยความสามารถ”
น้ำเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นทางด้านหลัง ซึ่งเจือแววเยาะหยันอยู่เต็มเปี่ยม ทำให้สีหน้าของทุกคนพลันบึ้งตึงลงเล็กน้อย
พวกเขาหันไปมองผู้มาใหม่ด้วยสายตาดุดัน
เหลียวเจินเหรินยิ้มอย่างหยิ่งผยอง “คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะได้พบกันเร็วเพียงนี้ ดูท่าแล้วหลังจากนี้คงต้องเป็นเพื่อนบ้านกันสินะ ช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง!”
จะถูกใครแย่งไปไม่ว่า แต่ดันเป็นสำนักว่านเซี่ยงเสียได้!
การหลู่เกียรติครั้งก่อนยังคล้ายเกิดขึ้นเมื่อวาน หากไม่ใช่เพราะอยู่ดีๆ เฉียวเวยเวยมา “หายตัว” ไป ผู้พิทักษ์ใหญ่คงไม่บังเอิญพบตัวจีเสี่ยวซิวที่ถูกจับไปไว้ในหีบเข้า หากจะต้องกล่าวถึงแล้ว พวกเขายังไม่ได้คิดบัญชีนี้กับสำนักว่านเซี่ยงเลย เวลานี้สำนักว่านเซี่ยงจะมาแย่งชิงพื้นที่กับพวกเขาอีกแล้ว!
ผู้พิทักษ์ใหญ่ก้าวขึ้นหน้าไป “สำนักว่านเซี่ยงของพวกเจ้าวิญญาณร้ายไม่สลายไปเสียทีนะ!”
เหลียวเจินเหรินเอ่ยยิ้มๆ “อย่าได้เอ่ยให้ไม่น่าฟังเพียงนั้นเลย คนเดินหน้าขึ้นที่สูง น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ไอปราณในแดนกลางอุดมสมบูรณ์ ไม่ได้มีเพียงสำนักเชียนหลันของพวกเจ้าที่คิดจะย้ายมา สำนักว่านเซี่ยงของพวกเราก็คิดเรื่องนี้ไว้นานแล้วเช่นกัน เพียงแต่ไม่คิดว่าจะบังเอิญเพียงนี้ ดันมาเลือกพื้นที่เดียวกับพวกเจ้าเสียได้”
สำนักว่านเซี่ยงถึงแม้หลายปีนี้จะมีพัฒนาการก้าวกระโดดไปมาก แต่หากลงลึกในรายละเอียดแล้ว พวกเขายังสู้สำนักเชียนหลันไม่ได้ ผู้พิทักษ์ใหญ่หันไปถามท่านทูตด้วยความไม่เข้าใจว่า “พวกเขาอาศัยสิ่งใดมาแย่งพื้นที่ของพวกเราไปหรือ”
เหลียวเจินเหรินยืดอกเอ่ยว่า “ก็อาศัยที่ว่าเจ้าสำนักของพวกเราก้าวข้ามอุปสรรคจนกลายเป็นกึ่งเซียนได้แล้วน่ะสิ!”
เมื่อยอดฝีมือขั้นมหายานฝึกตนจนถึงขั้นหนึ่งแล้ว จะชักพาสายฟ้ามาได้
โดยปกติเมื่อผ่านพ้นคลื่นสายฟ้าไปแล้วจะสามารถโบยบินขึ้นไปได้ แต่หากผ่านไม่ได้ก็จะถูกสายฟ้าฟาดตาย เล่อหยางเจินเหรินนั้นเป็นอย่างหลัง แต่จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ไม่ถูกสายฟ้าผ่าตาย และโบยบินไม่สำเร็จ พูดให้ชัดก็คือคนประเภทนี้คือล้มเหลวในการโบยบิน แต่ด้วยเพราะทานทนสายฟ้ามาได้ การฝึกตนจึงก้าวหน้าขึ้นมาก จึงได้รับการเรียกขานอย่างให้เกียรติว่ากึ่งเซียน
ในยามที่สำนักเชียนหลันไม่มียอดฝีมือในขั้นมหายาน อีกฝ่ายกลับมีคนขึ้นไปกึ่งเซียนแล้ว
คนของสำนักเชียนหลันพากันร้อนรนด้วยความขัดใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ความสามารถของกึ่งเซียนต่อให้อยู่ในแดนกลางก็สามารถเรียกลมเรียกฝนได้ ความไม่พอใจนี้พวกเขาคงต้องทนรับไว้
ด้วยความสามารถของสำนักว่านเซี่ยงในเวลานี้ จะหาพื้นที่ที่ดีกว่านี้ก็ใช่ว่าจะหาไม่ได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ดันมาเป็นเพื่อนบ้านกับสำนักเชียนหลันเสียได้ สำหรับพวกผู้พิทักษ์ใหญ่แล้ว สำนักว่านเซี่ยงกำลังตั้งใจหมิ่นเกียรติของพวกเขา
จีเสี่ยวซิวกลับรู้ว่าพวกเขาตั้งใจทำเช่นนี้เพราะเจ้ามังกรละอ่อนน้อย
ความสามารถของมารมังกรที่โตเต็มวัยแล้ว เพียงพอที่จะทำลายแดนกลางทั้งหมดได้เลยทีเดียว สำนักว่านเซี่ยงทำให้มังกรน้อยยอมเชื่อฟัง เพื่อที่ต่อไปพวกเขาจะได้ใช้งานมันอย่างเต็มที่
หรือหากทำให้มันเชื่อฟังไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไร พวกเขายังสามารถถอดเกล็ด รีดเลือด ควักหัวใจ เลื่อยเขา แล้วค่อยดึงเอ็นมังกรของมันออกมา… ถึงอย่างไรร่างกายทุกส่วนของมารมังกรก็ล้วนมีค่า ต่อให้ได้อย่างใดอย่างหนึ่งมาก็สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
เฉียวเวยเวยยังไม่รู้ว่าตนถูกหมายหัวเข้าเสียแล้ว หางน้อยๆ ของมันกระดิกรัวอย่างอารมณ์ดี นางเปิดกล่องอาหารใบน้อย หยิบถังหูลู่ที่ส่องประกายแวววาวออกมาเลียอย่างเอร็ดอร่อย
จีเสี่ยวซิวเหลือบมองนางทีหนึ่ง “เฮ่อ”
เสี่ยวเวยเวยคิดว่าเขาอยากกิน จึงเอาถังหูลู่ที่เต็มไปด้วยน้ำลายยื่นไปให้เขา
จีเสี่ยวซิวไม่กินด้วยหรอก ใบหน้าเล็กเคร่งขรึม เอ่ยอย่างแก่แดดว่า “ต่อไปอย่าให้หางโผล่ออกมาอีกนะ เข้าใจหรือไม่ หากให้โผล่ออกมาอีกข้าจะตัดทิ้งเสีย! แล้วเอาไปตุ๋นน้ำแดงกิน!”
เฉียวเวยเวยกอดหางของตนไว้อย่างน่าสงสาร