ตอนพิเศษ 12-2
ไอปราณในแดนล่างเหือดแห้ง เดิมทีไม่เพียงพอต่อความต้องการของมังกรละอ่อน เฉียวเวยเวยอยู่ที่นี่แล้วไม่โต หากอยากให้นางเติบโตอย่างแข็งแรง จะต้องพานางไปยังสถานที่ที่มีไอปราณอุดมสมบูรณ์
แต่นางไม่มีทางไปจากเด็กสาวที่ชื่อหลิงจือผู้นี้ และหลิงจือก็ไม่ยอมไปจากสำนักเชียนหลัน…
จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบถอนหายใจ เพื่อเลี้ยงมังกรตัวหนึ่งให้โต ข้าเองก็ต้องทุ่มเต็มที่เหมือนกัน
ด้วยคุณสมบัติของสำนักเชียนหลันในเวลานี้ยังไม่เพียงพอจะย้ายไปสู่แดนกลางได้ แต่หากมีเฉียวเวยเวยเพิ่มเข้ามาก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่คิดจะเปิดเผยฐานะของเฉียวเวยเวยให้ทุกคนรู้
ตกดึก จีเสี่ยวซิวกลับไปยังห้องของตนตามปกติ เฉียวเวยเวยมาจุ๊บที่พระจันทร์เสี้ยวของตนเหมือนที่ทำประจำเช่นกัน จีเสี่ยวซิวไม่ได้ปัดป้องแม้สักนิด ปล่อยให้นางจุ๊บอย่างให้ความร่วมมือเต็มที่
กว่าจะจุ๊บเสร็จหน้าเขาก็บวมแล้ว
หลิงจือมาอุ้มเฉียวเวยเวยไป จีเสี่ยวซิวเอ่ยเสียงเล็กเสียงน้อยว่า “ให้นางนอนกับข้าก็แล้วกัน”
เด็กตัวเล็กเพียงนี้ นอนด้วยกันแน่นอนว่าไม่มีอะไรไม่ดี แค่ว่าอาจารย์อาน้อยดูแล้วตัวผอมแห้ง นางกังวลใจนักว่าเวยเวยจะพลิกตัวไปทับเขา
แต่หลิงจือคิดอีกที ในห้องนี้มีแม่นมอยู่ นางจะคอยช่วยดูเด็กสองคนนี้ให้
หลิงจือจึงออกไปด้วยความสบายใจ
คืนเดือนมืด ลมพัดแรง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์พลิกตัวไปมานอนไม่หลับอยู่ในห้อง คนที่เป็นผู้ฝึกตน เรื่องต้องห้ามที่สุดคือจิตใจไม่สงบนิ่ง นางลุกขึ้นนั่ง คิดจะข่มความขุ่นข้องในใจออกไป แต่ผลที่ได้กลับเป็นในทางตรงกันข้าม
เวลานี้นางเป็นผู้ฝึกตนขั้นล่าง จิตใจจะว้าวุ่นไปบ้างยังไม่เป็นอะไร แต่หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงแล้ว จะธาตุไฟเข้าแทรกได้ง่ายๆ
เด็กสาวรากปราณสวรรค์รู้ว่าตนกำลังจิตใจว้าวุ่นเรื่องอะไร นางพูดจาเสียใหญ่โตต่อหน้าหลิงจือไปแล้ว แต่ท่านพ่อของนางจะมาเมื่อใด อันที่จริงนางไม่มั่นใจเอาเสียเลย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์นวดศีรษะด้วยความหงุดหงิด เอาเสื้อคลุมมาสวมแล้วเดินออกไปที่ลานด้านนอก
เดินไปเดินมาก็มาถึงเรือนของผู้พิทักษ์รอง
ช่วงหลายวันนี้มีเรื่องยุ่งๆ จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่เวลานี้เมื่อได้มายืนอยู่ที่นี่ จึงนึกถึงเสียงที่ได้ยินในตำหนักใหญ่ขึ้นมา รวมถึงเฉียวเวยเวยที่หายตัวเข้าไปในตำหนักใหญ่อย่างน่าอัศจรรย์
ถึงอย่างไรก็นอนไม่หลับ เด็กสาวรากปราณสวรรค์จึงตัดสินใจเข้าไปที่ตำหนักใหญ่อีกครั้ง
ครั้งนี้นางเข้าไปยังจุดที่ต่างไปจากครั้งที่แล้ว
ทั้งๆ ที่นางจำได้ว่าตนเดินวนอยู่ในตำหนัก แต่ไม่รู้เหตุใด ชั่วพริบตานางกลับมายืนอยู่บนทางเดินที่มืดสลัว
ท้องฟ้าไร้ดาวไร้เดือน แต่ไกลออกไปที่ปลายของฟ้ากลับมีแสงสว่างอ่อนๆ ส่องลงมา
บนทางเดินเล็กๆ นี้เริ่มเย็นยะเยือก แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงเบาๆ เพิ่มเข้ามา
นางกะพริบตาก็เห็นว่าบนทางเดินที่เดิมที่ว่างเปล่า ไม่รู้มีคนจำนวนหนึ่งเพิ่มเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด
คนเหล่านี้ไม่เหมือนกับคนที่นางเคยพบเห็นมาเลย พวกเขาดูหม่นหมอง ใบหน้าขาวซีด สีหน้าเรียบเฉย
เด็กคนหนึ่งเดินผ่านนางไป
นางตบไหล่เด็กคนนั้นเบาๆ คิดอยากถามเด็กคนนั้นว่าที่นี่เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่ แต่เด็กคนนั้นกลับหันขวับกลับมา สองตาที่ดุดันนั้นทำนางตกใจจนก้าวถอยหลังไปหลายก้าว
จากนั้นนางไม่รู้ไปชนกับใครเข้า จึงรู้สึกเจ็บที่หัวไหล่
นางหันไปก็เห็นว่าเป็นบุรุษที่แต่งกายเหมือนเจ้าหน้าที่ทางการ
เจ้าหน้าที่ทางการก็เห็นนางเช่นกัน เจ้าหน้าที่ทางการได้กลิ่นไอจากตัวนาง สีหน้าจึงพลันดุดัน ยื่นมือไปจับหัวไหล่นางไว้
เด็กสาวรากปราณสวรรค์คิดจะปัดออก แต่นางก็ต้องสิ้นหวังเมื่อได้พบว่าวิชาที่ตนฝึกมาใช้การไม่ได้เลยสักนิด
ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการหยิบโซ่มาจะจับตัวนางกลับไปซักถามนั้น ทางด้านหน้าก็มีเสียงกระดิ่งที่ฟังดูเลื่อนลอยดังขึ้น
เจ้าหน้าที่ทางการรีบดึงมือกลับ หันไปคุกเข่าคารวะกับพื้นอย่างเคร่งครัด
ผู้คนรอบด้านล้วนทำเช่นเดียวกัน ทรุดตัวลงคุกเข่า ค้อมกายลง หน้าผากแนบติดกับพื้น
เด็กสาวรากปราณสวรรค์มองไปข้างหน้าอย่างอึ้งงัน จึงเห็นว่าท่ามกลางแสงอันแสนสลัว มีสัตว์กิเลนสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกำลังลากราชรถสีแดงเข้มลอยมาท่ามกลางแสงจันทร์
กระดิ่งที่อยู่เหนือหลังคารถเสียงไม่ดังนัก แต่กลับมีพลังที่คล้ายสั่นสะเทือนใจคนได้ ทั่วทั้งทางเดินมีแต่ความเงียบงัน
ภายนอกราชรถมีผ้าโปร่งคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง ลมอ่อนๆ พัดพาให้ผ้าโปร่งปลิวไสวขึ้นเล็กน้อย จึงพอจะเห็นร่างที่กำยังและเย็นยะเยือกที่อยู่ภายใน
เขาผู้นั้นนั่งนิ่งๆ อยู่ในราชรถ สง่างามและสบายๆ เจือกลิ่นอายเกียจคร้านเล็กน้อย
เด็กสาวรากปราณสวรรค์เงยหน้ามอง สายตาไล่ตามร่างนั้นไปไม่วางตา นางเห็นรูปลักษณ์อีกฝ่ายไม่ชัด แต่รัศมีที่ราวกับจักรพรรดินั้น กดดันจนนางเกือบหายใจไม่ออก
วินาทีต่อมาหัวใจนางพลันเต้นโครมคราม
นางไม่รู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เกิดจากอะไร คล้ายว่าหัวใจไม่ใช่ของตน
บุรุษผู้นั้นอุ้มเด็กอยู่คนหนึ่ง เด็กผู้นั้นดูเหมือนจะหลับอยู่ มือน้อยๆ วางอยู่บนหน้าเขา นิ่งไม่กระดุกกระดิกสักนิด
เด็กสาวรากปราณสวรรค์อยากดูว่าทั้งสองคนหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ราชรถกลับลอยผ่านศีรษะนางไป
…
ราชรถมุ่งตรงไปทางตะวันออก ก่อนจะไปหยุดที่สระน้ำแร่ในพื้นที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
ผู้พิพากษาชุยตามราชรถคันนั้นจนมาถึงที่นี่ กวาดตามองบ่อน้ำแร่ที่ไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวแล้วเอ่ยอย่างไม่เกรงใจว่า “ใต้เท้าเจ้าตำหนักมา งูเล็กงูน้อยเช่นพวกเจ้ายังไม่รีบออกมาต้อนรับอีกหรือ”
งูเหลือมตัวเขื่องทอประกายดำขลับสะบัดหางว่ายขึ้นมาเหนือน้ำ มันอ้าปากที่เต็มไปด้วยเขี้ยวคมกริบ แลบลิ้นพุ่งเข้ามาหมายจะกัดผู้พิพากษาชุย แต่มันยังไม่ทันกัดถูกผู้พิพากษาชุยแม้แต่ปลายเล็บ ก็ชนเข้ากับตาข่ายใหญ่ไร้รูปเข้าเสียก่อน จึงกระดอนกลับลงน้ำไปทั้งตัว
ผู้พิพากษาชุยเอ่ยว่า “เถิงเสอ เจ้าถูกขังมานานเพียงนี้ เคยคิดจะออกไปหรือไม่”
เถิงเสอสะบัดหน้าหนี หันก้นใหญ่ๆ ของตนให้เขา!
ผู้พิพากษาชุยบอกว่า “ข้าจะให้โอกาสเจ้าได้ทำคุณชดใช้โทษ หากทำได้ดี ต่อไปเจ้าจะไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก เจ้ายินดีหรือไม่”
…
วันต่อมาฟ้ายังไม่ทันสาง ผู้พิทักษ์ใหญ่ยังนั่งอยู่ในห้อง ก็มีลูกศิษย์วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามา “อาจารย์!อาจารย์! ทางชีพจรปราณนั้นพบเจออะไรบางอย่างขอรับ!”
ผู้พิทักษ์ใหญ่อึ้งไป “ชีพจรปราณ? หรือว่ามีไอปราณขึ้นมาแล้ว”
ผู้พิทักษ์ใหญ่รีบไปยังเขตต้องห้ามของสำนักเชียนหลัน ผู้พิทักษ์รองรวมถึงเจ้าสำนักสวี่ทะยอยกันไปถึงที่นั่น คนแรกที่พบว่าชีพจนปราณดูไม่เหมือนเดิมคือประมุขเหลย
เมื่อกลางดึกเขานั่งศึกษาวิถีสวรรค์อยู่ในห้อง แล้วอยู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณจำนวนมหาศาลที่พวยพุ่งออกมาจากชีพจรปราณ เขายังคิดว่าชีพจรปราณฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ที่ไหนได้พอไปดูถึงได้รู้ว่าเป็นมังกรเขียวเจ็บหนักตัวหนึ่ง
ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามังกรเขียวตัวนี้มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่มันล้มอยู่บนชีพจรปราณของสำนักเชียนหลัน นี่เรียกได้ว่าเป็นความตั้งใจของสวรรค์ สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งสำนักเชียนหลัน!
เจ้าสำนักสวี่ซึ้งใจจนเกือบร้องไห้ “ประมุขเหลย เจ้าติดตามข้าไปยังแดนกลางเดี๋ยวนี้!”