ตอนพิเศษ 11-3 เล่นงานเทพสายน้ำ มังกรน้อยมา
ภารกิจในครั้งนี้สำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ถึงจะไม่รู้ว่าปีศาจน้ำปลาปักเป้านั้นไปทำอะไรมาถึงได้อยู่ในสภาพเช่นนั้น (บางทีอาจจะฝึกหนัก ธาตุไฟเข้าแทรกจนสมองเสื่อมไป?) แต่ขอเพียงภารกิจสำเร็จก็พอแล้ว
ลูกศิษย์ใหม่รับผิดชอบเพียงปราบปีศาจน้ำให้ได้ ส่วนจะจัดการมันกับผู้ฝึกตนสายมารอย่างไรนั้นจะมฝ่ายลงทัณฑ์มารับช่วงต่อไปเอง
ศิษย์พี่อวี๋ส่งข่าวกลับไปให้สำนักเชียนหลัน
หลังจากเหล่าลูกศิษย์และอาจารย์อาของฝ่ายลงทัณฑ์มาถึงแล้ว ศิษย์พี่อวี๋ก็พาลูกศิษย์ใหม่ทั้งสามกลับสำนักเชียนหลันไปรายงานตัวต่อผู้ดูแลหลิวรวมถึงผู้พิทักษ์ทั้งสอง
…
ลูกศิษย์ใหม่มีผลงานโดดเด่น สามารถใช้การบำเพ็ญตนขั้นพื้นฐานเอาชนะยอดฝีมือขั้นผสานตันได้ ถึงแม้จะเป็นเพราะโชคช่วยอยู่ไม่น้อย แต่จะโชคก็ดีหรือฝีมือก็ดี โชคก็นับเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถ เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การฉลอง แต่น่าเสียดายที่ทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่มีใครมีแก่ใจจะฉลองกันสักคน
สำนักเชียนหลันในเวลานี้ปกคลุมไว้ด้วยความอึมครึมและความไม่สบายใจ
ในที่สุดเจ้าสำนักสวี่ที่เก็บตัวปลีกวิเวกมานานก็ออกมาเสียที ที่เขาเก็บตัวปลีกวิเวกครั้งนี้ก็เพื่อเอาชนะการขึ้นเป็นเซียนของมหายานให้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่สำเร็จ กระทั่งจะดึงดูดสายฟ้ามาทดสอบก็ยังไม่ได้
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเขา ด้วยคุณสมบัติการบำเพ็ญตนของเขา หากเป็นเมื่อหลายร้อยปีก่อน คงขึ้นไปอยู่แดนเหนือโลกได้แล้ว แต่สำนักเชียนหลันในเวลานี้ ไอปราณบางเบา ไม่เพียงพอที่จะโบยบินขึ้นไปได้
อันที่จริงอย่าว่าแต่บินขึ้นไปเลย กระทั่งยอดฝีมือทุกท่านที่นั่งอยู่ก็ไม่ได้ข้ามขั้นกันมาหลายปีแล้ว
ผู้พิทักษ์ใหญ่หยุดอยู่ที่ระดับกลางของขั้นอมตะ นางก็อยากเลื่อนขึ้นไปอยู่อีกขั้นเช่นกัน แต่นางไม่กล้ากระทั่งดูดไอปราณให้มากขึ้นอีกนิด
ทุกคนพยายามประหยัดไอปราณกันเต็มที่ เพื่อให้เพียงพอต่อยอดเขาศิษย์ใหม่ แต่ไอปราณก็ยังอัตคัด
วันนี้มีการเปิดประชุมด่วนเพื่อประกาศเรื่องที่แสนปวดใจเรื่องหนึ่ง… ชีพจรปราณของสำนักเชียนหลัน…เหือดแห้งแล้ว
เจ้าสำนักสวี่เอ่ยว่า “ครานั้นเล่อหยางเจินเหรินไปถึงขั้นหินยานและเตรียมจะทะลุขึ้นไปเป็นเซียนนั้น ก็มองออกแล้วว่าชีพจรปราณเหือดแห้ง เขาจึงพยายามจะลอยสู่แดนบนให้เร็วที่สุด”
ยามใครคนหนึ่งจะลอยขึ้นไป จะมีการเปิดเส้นทางสู่แดนบนในช่วงสั้นๆ พลังปราณจากแดนบนจะวิ่งลงมาอย่างไม่ขาดสาย ซึ่งจะช่วยเติมชีพจรปราณให้สำนักเชียนหลัน แต่ต่อให้ลอยขึ้นไปไม่สำเร็จ ขอเพียงดึงสายฟ้ามาได้ ในสายฟ้าก็จะมีพลังปราณจำนวนมหาศาลเจืออยู่ ซึ่งพอจะช่วยประวิงเวลาไปได้สักระยะ
“คิดไม่ถึงว่าจะประวิงไว้ได้แค่เพียงสองเดือน” ผู้พิทักษ์รองเอ่ยด้วยความหม่นหมอง
ผู้พิทักษ์ใหญ่ “สองเดือนนี้ก็ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย หากไม่ใช่เพราะอาจารย์ช่วยต่ออายุชีพจรปราณให้สำนักเชียนหลัน พวกเราคงฝึกลูกศิษย์ใหม่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ไม่ได้”
ด้วยเพราะความเหือดแห้งของชีพจรปราณทำให้พวกเขาไม่กล้ารับลูกศิษย์มากมายนัก ลูกศิษย์ใหม่คณะนี้นับว่าน้อยที่สุดตั้งแต่เคยมีมา แต่กลับมีคุณภาพมากที่สุด
เพียงแต่ต่อให้คุณภาพสูงเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ เมื่อใดก็ตามที่พลังปราณเหือดแห้ง การฝึกตนของพวกเขาก็จะย่ำอยู่กับที่ไม่ไปไหน
ผู้พิทักษ์รองเอ่ยว่า “ไว้รอให้ชิงสุ่ยเจินเหรินได้มาพบกับบุตรสาวก่อน จะต้องช่วยพวกเราเติมชีพจรปราณให้แน่”
ผู้พิทักษ์ใหญ่สาดน้ำเย็นๆ ลงมาทันที “แค่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อใด”
ชิงสุ่ยเจินเหรินกำลังเก็บตัวปลีกวิเวกอยู่ คนเป็นเซียนเมื่อได้เก็บตัวปลีกวิเวกแล้ว จะไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองปี พวกเขาสวดอ้อนวอนอยู่ทุกวันขอให้พรุ่งนี้เมื่อลืมตาตื่น ท่านเทพจะมาปรากฏตัว แต่เพราะผิดหวังมาครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาจึงไม่กล้าเดิมพันกับอีกฝ่าย
เจ้าสำนักสวี่บอกว่า “เวลานี้ดูแล้วคงมีเพียงหนทางเดียว”
ทุกคนหันไปมองเขา
เขาบอกว่า “ไอปราณของแดนล่างลดน้อยลงทุกวัน การเติมชีพจรปราณก็ไม่ใช่แผนการที่ยืนยาว พวกเราจำเป็นต้องการพื้นที่ที่มีไอปราณอุดมสมบูรณ์”
ผู้พิทักษ์ใหญ่ถามว่า “หรือเจ้าสำนักคิดจะ…ย้ายเข้าสู่แดนกลาง?”
แดนกลางเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างแดนล่างกับแดนบน ในอดีตเคยเป็นส่วนหนึ่งของแดนล่าง แต่พื้นที่แห่งนั้นมีชนเผ่ามารอยู่มาก ด้วยเหตุนี้จึงมีสำนักฝ่ายธรรมะเลื่องชื่อไปอยู่ไม่มากนัก สำนักที่ย้ายไปอยู่ที่นั่นจึงถูกคนในแดนล่างดูแคลน
แดนล่างจึงเป็นฝ่ายตัดขาดแดนกลางออกไป
ในตอนนั้นไอปราณของแดนล่างไม่ได้มีน้อยไปกว่าแดนกลาง
แต่ผู้ใดจะคิดว่าหลังจากผ่านไปร้อยปีพันปี ไอปราณของแดนล่างใกล้จะเหือดแห้งเต็มที่ แต่ในแดนกลางกลับยังคงหนาแน่นดังแสงอาทิตย์ในยามเที่ยงวัน
พวกที่หัวเราะเยาะคนที่ย้ายไปยังแดนกลาง เวลานี้น่ากลัวว่าคงหัวเราะไม่ออกกันแล้ว
เดิมทีเป็นแดนล่างเองที่คิดจะตัดขาดกับแดนกลาง เวลานี้หากคิดจะย้าย แน่นอนว่าคนในแดนกลางคงจะไม่ยอม
ผู้พิทักษ์คนหนึ่งจากยอดเขาเหลียนเอ่ยว่า “ข้าได้ยินว่า แดนกลางมีเงื่อนไขที่แสนโหดร้ายต่อสำนักที่คิดจะย้ายเข้าไป ว่าจะต้องมีผู้ฝึกตนขั้นผสานตันยี่สิบคน ยอดฝึมือขั้นอมตะแปดคน รวมถึงผู้เจริญขั้นเซียนอีกห้าคน ถึงจะได้รับสิทธิ์เข้าแถว”
นี่ยังเป็นเพียงแค่สิทธิ์เข้าแถวเท่านั้น หลังจากผ่านการต่อแถวแล้วยังต้องผ่านการเปรียบเทียบและทดสอบอีก ผู้ที่คุณสมบัติโดดเด่นกว่าเท่านั้นถึงจะสามารถย้ายเข้าไปได้
“หึ! นี่จะรังแกกันเกินไปแล้ว!” ผู้เจริญชั้นเซียนท่านหนึ่งไม่พอใจ “สำนักเชียนหลันเป็นถึงสำนักอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้า แต่เวลานี้กลับต้องทำตัวราวกับคนเร่ร่อน พยายามทุกวิถีทางเพื่อขอให้ผู้อื่นรับตัวไป เช่นนี้แล้ว ไม่เท่ากับเป็นการหลู่เกียรติกันหรือ!”
ต่อให้เป็นการหลู่เกียรติก็เถิด แต่ในคราแรกพวกเขาก็เคยหลู่เกียรติคนแดนกลางเช่นกัน แค่เพียงกรรมกลับมาตามสนองเท่านั้น
เจ้าสำนักสวี่ถอนหายใจเอ่ยว่า “ประมุขเหลยโปรดระงับโทสะด้วย การย้ายสู่แดนกลางนั้นเพื่อประโยชน์ส่วนรวม การย้ายเข้าสู่แดนกลางเป็นเพียงหนทางเดียวที่จะทำให้พวกเรามีพลังปราณมากพอที่จะลอยสู่แดนบนได้ ถึงจะทำให้สำนักของเราเปล่งประกายได้ เวลานี้เมื่อชีพจรปราณเหือดแห้งไปแล้ว ศิลาศักดิ์สิทธิ์ยื้อไว้ได้อีกไม่นาน พวกเราจะต้องรีบย้ายไปให้เร็วที่สุด”
ประมุขเหลยพูดไม่ออก
ผู้พิทักษ์รองขมวดคิ้ว “แต่ต่อให้พวกเราอยากย้ายไป ก็ใช่ว่าจะมีคุณสมบัติพอนี่”
พวกเขามีผู้ฝึกตนขั้นผสานตันอยู่เพียงสิบคน ยอดฝีมือขั้นอมตะห้าคน กับผู้เจริญขั้นเซียนสามคนเท่านั้น เช่นนี้กระทั่งจะไปเข้าแถวก็ยังไม่ได้เลย!
คนของแดนกลางแสดงออกชัดว่าต้องการสร้างความลำบากให้กับแดนล่าง ไม่อยากให้มีคนย้ายขึ้นไป!
ทุกคนเดือดดาลกันไม่น้อย
ผู้พิทักษ์รองคิดบางอย่างได้ อยู่ๆ จึงถามขึ้นว่า “แต่ก่อนหน้านี้ไม่นาน ไม่ได้มีสำนักจินเตาย้ายเข้าแดนกลางหรอกหรือ พวกเขาไม่มีผู้เจริญขั้นเซียนอยู่สักคน กระทั่งผู้ฝึกต้นขั้นผสานตันก็มีเพียงสามคนเท่านั้น เหตุใดพวกเขาถึงทำได้”
ข่าวของยอดเขาเหลียนเฟิงรวดเร็วที่สุดแล้ว ผู้พิทักษ์ของยอดเขาเหลียนเฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉาว่า “พวกเขาไปเจอมังกรน้ำมาตัวหนึ่ง”
มังกรน้ำที่ว่านั่นไม่ใช่มังกรจริงๆ ตามชื่อ แต่เป็นปีศาจน้ำประเภทหนึ่งที่เป็นสายเลือดของชนเผ่ามังกร อยากก้าวข้ามได้สำเร็จ ก็จะมีโอกาสแปลงเป็นมังกรโดยแท้จริง
ผู้พิทักษ์แห่งยอดเขาเหลียนเฟิงเอ่ยเสริมอีกว่า “คนในสำนักจินเตามีไม่มาก แค่มังกรน้ำตัวเดียวก็เพียงพอ แต่สำนักเชียนหลัน… น่ากลัวว่าต้องเป็นมังกรตัวจริงถึงจะเพียงพอ”
ผู้พิทักษ์รองเลยถึงกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ “พวกเราจะไปหามังกรมาจากที่ใดกัน”