ตอนพิเศษ 10-2 เพื่อนเล่นวัยกระเตาะ เทพสายน้ำปรากฏกาย
ผู้พิทักษ์ใหญ่พาตัวศิษย์น้องเล็กกลับไปที่เรือนของตน
ผู้พิทักษ์ใหญ่กับผู้พิทักษ์รองล้วนอยู่ที่ยอดเขาของตน แต่เพื่ออบรมลูกศิษย์ใหม่ เวลาโดยมากของพวกนางจึงมาอยู่ที่ยอดเขาศิษย์ใหม่
ระหว่างทางกลับ ผู้พิทักษ์ใหญ่เอ่ยถึงชาติกำเนิดของศิษย์น้องเล็กกับหลิงจือ
ที่แท้ศิษย์น้องเล็กก็เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเล่อหยางเจินเหริน เล่อหยางเจินเหรินเป็นผู้เจริญที่ฝึกตนได้สูงที่สุดของสำนักเชียนหลัน ความสามารถอยู่ในจุดสูงสุดที่จะกลายเป็นเซียนได้แล้ว เมื่อสิบปีก่อน เขาแต่งงานกับหญิงสาวปุถุชนคนหนึ่ง หลายปีต่อมา สตรีนางนั้นตั้งครรภ์ คลอดบุตรออกมาเป็นเด็กชาย ซึ่งก็คือศิษย์น้องเล็กคนนี้
สตรีนางนั้นคลอดบุตรได้ไม่เท่าไรก็ล้มป่วยเสียชีวิต
เล่อหยางเจินเหรินเลี้ยงดูเขามาตัวคนเดียวจนถึงทุกวันนี้ แต่เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ เล่อหยางเจินเหรินเจอกับบททดสองทางหินยาน ต้องเผชิญกับสายฟ้าฟาด หากผ่านพ้นไปได้ก็จะขยับเข้าใกล้ความเป็นเซียนอีกก้าวหนึ่ง แต่กระนั้นเขากลับไม่อาจผ่านพ้นไปได้ ถูกสายฟ้าฟาดใส่ร่างจนกลายเป็นเถ้าถ่าน
“เดิมทีหากมียาหลิงตันสายฟ้าพวกนี้ อาจารย์ท่านอาจจะสามารถฝืนทนไปได้…”
เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนรับลูกศิษย์ใหม่ ลูกศิษย์ใหม่โดยมากจึงไม่รู้เรื่องนี้
เล่อหยางเจินเหรินกับภรรยาที่เสียไปไม่มีญาติมิตรที่ไหน หลังจากตัวเขาจากโลกนี้ไป เด็กคนนั้นจึงกลายเป็นเด็กกำพร้าโดยสมบูรณ์
เด็กคนนั้นเดิมทีก็ใจเสาะอยู่แล้ว เมื่ออยู่ๆ มาเสียบิดาไป จึงร้องไห้จนน่าเวทนา ไม่เท่าไรก็ล้มป่วย เมื่อหลายวันก่อนผู้พิทักษ์ใหญ่ยังไปเยี่ยมเขาอยู่เลย เขาเหลือแค่เพียงลมหายใจแล้ว เดิมทียังคิดว่าเขาจะไม่รอด…
ผู้พิทักษ์ใหญ่เหลือบมองเด็กน้อยที่ตั้งแต่เข้ามาก็ไม่พูดอะไรสักคำ
เห็นเพียงเจ้าเด็กนั่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตัวเล็กกระเปี๊ยกแต่กลับกางแขนอ้าขาราวกับคุณชายใหญ่ สองมือกอดอก ใบหน้าเคร่งขรึมบอกบุญไม่รับ ราวกับมีใครไปขุดสุสานบรรพบุรุษของเขากระนั้น
ผู้พิทักษ์ใหญ่คิดว่าร่างกายของเด็กคนนี้น่าจะรอดมาได้แล้ว มีแค่สมอง… สมองอาจจะเหลือผลข้างเคียงอยู่บ้างเล็กน้อย
ผู้พิทักษ์ใหญ่แจ้งคนของยอดเขาเหลียน ให้พวกเขามารับศิษย์น้องเล็กกลับไป
คนของยอดเขาเหลียนมาแล้ว
ใต้เท้าเจ้าตำหนักไม่อยากไป เขาอยากลงจากเขา
ศิษย์ของยอดเขาเหลียนเกลี้ยกล่อมจนไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมอย่างไร ชักแม่น้ำทั้งห้ามาแล้วใต้เท้าเจ้าตำหนักก็ยังไม่ขยับตัวเสียที
ในขณะที่เหล่าลูกศิษย์ยอดเขาเหลียนเค้นสมองหากทางว่าจะล่อให้เด็กน้อยผู้นี้กลับไปอย่างไรดีนั้น เฉียวเวยเวยที่ไปหาอะไรกินที่ห้องเก็บฟืนมาครึ่งท้องก็เดินลูบท้องที่เหี่ยวแห้งเล็กน้อยกลับมา
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นไออันคุ้นเคยของใต้เท้าเจ้าตำหนักที่พาให้คนขนหัวลุกมาแต่ไกล
ใต้เท้าเจ้าตำหนักได้แต่ภาวนะขอให้เจ้าเด็กคนนั้นอย่ารู้ว่าตนอยู่ที่นี่
แต่กระนั้นเฉียวเวยเวยก็รู้เสียแล้ว
เฉียวเวยเวยเบิกตาโตวาวใส เดินตัวปลิวเข้ามา
ใต้เท้าเจ้าตำหนักที่ถูกหมายตา “…”
เวลานี้กลับไปยอดเขาเหลียนยังทันหรือไม่
…
บุตรชายของเล่อหยางเจินเหรินดูจะเข้ากับผู้อื่นไม่ค่อยได้ ไม่ว่าจะเป็นลูกศิษย์สำนักเชียนหลันหรือเด็กจากข้างล่างที่เชิญมาเพื่อเล่นกับเขาโดยเฉพาะ ก็ล้วนเล่นกับเขาไม่ได้ บอกไม่ถูกว่าเขารังเกียจอีกฝ่ายหรือว่าอีกฝ่ายรังเกียจเขา สรุปก็คือไม่เจอใครสักคนที่เข้ากับเขาได้
คราวนี้ดีเลย ในที่สุดก็เจอเพื่อนเล่นของเขาเสียที!
ดูเจ้าเด็กสองคนนี้กอดกันเข้า แม่นางน้อยยังจุ๊บเขาเสียด้วย
เฉียวเวยเวยจับหน้าเขาขึ้นมา ลูบจันทร์เสี้ยวสีทองที่ผู้อื่นไม่เห็นแล้วจัดการ จุ๊บแล้วจุ๊บอีกอยู่อย่างนั้น
ร่างของปุถุชน ไหนเลยจะทนการกอดหอมของมังกรตัวหนึ่งได้
ใต้เท้าเจ้าตำหนักหน้าบวมฉึ่งไปหมด
“ศิษย์น้องไม่ใช่ว่าไม่อยากกลับยอดเขาเหลียนหรอกหรือ เช่นนั้นก็อยู่ที่นี่ อยู่เล่นกับแม่นางน้อยก็แล้วกัน”
“ยากนักที่จะเจอคนที่เข้ากันได้”
“จริงด้วยๆ ดูศิษย์น้องดีใจเข้า”
ใต้เท้าเจ้าตำหนักที่ถูกเหยียบกระทำชำเราจนตาเหลือก: พวกเจ้าตาบอดกันใช่ไหมนี่!
เย็นวันนั้น ใต้เท้าเจ้าตำหนักถูกจับแต่งตัวเสียน่ารัก ตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่งถูกจับยัดมาให้เขาอุ้มไว้ และได้เข้าไปอยู่ในเรือนของหลิงจือกับเฉียวเวยพร้อมความ (อย่าง) ยิน (น่า) ดี (สงสาร)
อาศัยบารมีของใต้เท้าเจ้าตำหนัก เวลานี้ในเรือนมีสาวใช้ประจำแล้ว ส่วนเฉียวเวยเวยจากที่เคยเป็นสาวใช้ของหลิงจือ ก็ได้เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนเล่นของใต้เท้าเจ้าตำหนัก
หลังจากได้รับการเลี้ยงดูอยู่ในสำนักเชียนหลันมาสองเดือน เฉียวเวยเวยก็ไม่ได้หน้าเหลืองตัวซีดเหมือนยามอยู่ในป่าอีก หน้าตานางเริ่มมีเนื้อมีหนัง ตัวขาวอวบ คิ้วโก่งงอน ตาโตใสแจ๋วดูคล้ายดาวบนท้องฟ้า ปากน้อยๆ แดงระเรื่อ ดูน่ารักอย่างบอกไม่ถูก
ใต้เท้าเจ้าตำหนักก็มีใบหน้าที่ดูดี สำนักเชียนเหลียนมากล้วนด้วยไอปราณ คนที่ถูกเลี้ยงดูที่นี่ รูปลักษณ์ไม่มีทางแย่ ยิ่งไปกว่านั้นพื้นฐานของเขาดีอยู่แล้ว เครื่องหน้าชัดเจนดูราวกับภาพวาด
เด็กน้อยทั้งสองนั่งเรียงอยู่ด้วยกัน ภาพที่ได้เห็นดูเจริญตาอย่าบอกใคร
ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วในใจเจ้าตำหนักมีแต่ความต่อต้าน แต่เฉียวเวยเวยจับมือเขาไว้ เขาก็คล้ายถูกกรงเล็บจิกไว้อยู่อย่างนั้น
บุตรชายของเล่อหยางเจินเหรินมีชื่อเรียก เขาแซ่จี นามเสี่ยวซิว
อย่าดูแต่ว่าจีเสี่ยวซิวอายุยังน้อย แต่ฐานะกลับไม่ต่ำเตี้ย กระทั่งผู้ดูแลหลิวของเรือนศิษย์ใหม่ยังต้องเรียกขานเขาด้วยความเคารพว่าอาจารย์อาน้อย ด้วยเหตุนี้ ตามปกติเวลาจีเสี่ยวซิวเดินไปไหนในยอดเขาศิษย์ใหม่ คำเรียกขานที่ได้ยินจึงเป็น…
“สวัสดีอาจารย์ปู่น้อย!”
“คารวะอาจารย์ปู่น้อย!”
“อาจารย์ปู่น้อยกินข้าวรึยัง”
“อาจารย์ปู่น้อยจะไปที่ไหนหรือ”
ว่ากันตามตรงแล้ว จีเสี่ยวซิวที่อายุสามขวบก็เป็นเพียงเด็กทั่วไปที่มีลูกหลานนับพันนับหมื่นคนเท่านั้น ดังนั้นการที่เขาถูกมังกรละอ่อนใช้กรงเล็บตรึงตัวเอาไว้จึงไม่น่าอาย ไม่น่าอายเลย
…
การมาถึงของใต้เท้าเจ้าตำหนัก ไม่ได้ส่งผลในเชิงลบกับการใช้ชีวิตของหลิงจือเลยสักนิด ในทางกลับกัน เพราะมีบ่าวมาคอยดูแลเฉียวเวยเวยมากขึ้นอีกคนหนึ่ง กลับทำให้หลิงจือมีสมาธิกับการฝึกมากขึ้นด้วยซ้ำ
ในที่สุดหลังจากมุ่งมั่นตั้งใจฝึกอยู่ครึ่งเดือน หลิงจือก็ขึ้นสู่การฝึกขั้นพื้นฐานได้สำเร็จ
ลูกศิษย์ที่มีพื้นฐานใหม่ล้วนต้องออกไปฝึกภาคปฏิบัติหนึ่งครั้ง เดิมทีจะไปยังดินแดนลับแห่งหนึ่ง แต่กระนั้น คืนหนึ่งก่อนออกเดินทาง มีเจ้าหน้าที่จ้าวจากเมืองซิ่งฮวามาแจ้งแก่สำนักเชียนหลันว่า ในเมืองพวกเขาเกิดเหตุการณ์ประหลาด… มีเด็กหายตัวไปติดต่อกันหลายคน ด้วยเหตุนี้สำนักเชียนหลันจึงเปลี่ยนแผนกะทันหัน ส่งศิษย์ใหม่ที่ฝึกขั้นพื้นฐานไปยังเมืองซิ่งฮวาแทน
การฝึกภาคปฏิบัติครั้งนี้ยังคงมีศิษย์พี่อวี๋เป็นผู้พาไป คุณชายน้อยหรงก็ได้ติดตามคณะไปด้วย
หากจะถามว่าเหตุใดเขาถึงได้ไปด้วย ไม่ใช่เพราะใดอื่น เป็นเพราะเขาที่วันๆ หนึ่งไม่ได้ฝึกฝนเลย กลับขึ้นมาเป็นขั้นพื้นฐานได้อย่างน่าอัศจรรย์
คุณชายน้อยหรงเอ่ยด้วยความทรมาน “…ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีปีศาจน้ำ ตัวใหญ่กว่าเสือดำขั้นห้านั่นอีก!”
เฉียวเวยเวยสูดน้ำลาย
คุณชายน้อยหรงสะพายตะกร้าใบเล็กไปรวมตัวกับศิษย์พี่อวี๋ที่ตีนเขาศิษย์ใหม่ โดยไม่รู้สักนิดว่าเฉียวเวยเวยเข้าไปนั่งอยู่ในตะกร้าเขาเพื่อลงเขาไปพร้อมกันแล้ว
คนที่ลงเขาไปด้วยกันยังมีใต้เท้าเจ้าตำหนักผู้สูงศักดิ์หาใดเทียบอีกคน เขาถูกเฉียวเวยเวยตีจนสลบแล้วยัดใส่ตะกร้ามา
ศิษย์พี่อวี้พาลูกศิษย์ขั้นพื้นฐานทั้งหมดไปถึงเมืองซิ่งฮวา คนที่รอรับพวกเขาคือเจ้าหน้าที่จ้าวที่ขึ้นเขาไปขอความช่วยเหลือ
เจ้าหน้าที่จ้าวผู้นี้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดของเมืองซิ่งฮวา ทรัพย์สินที่อยู่ในชื่อเขามีมากล้น ร่ำรวยเงินทองจนใช้ไม่หมด แต่งอนุเข้าเรือนไปแล้วสิบแปดห้อง ภรรยารองสองห้อง น่าเสียดายที่อับโชคเรื่องทายาท อายุสี่สิบปีเข้าไปแล้วเพิ่งมีบุตรหนึ่งคนธิดาหนึ่งคนเท่านั้น
เด็กสองคนนี้อายุสี่ขวบแล้ว คนหนึ่งเกิดจากภรรยาหลัก อีกคนเกิดจากภรรยารอง เกิดห่างกันแปดวัน มักมีคนเข้าใจว่าเป็นท้องแฝดชายหญิง
เจ้าหน้าที่จ้าวรักใคร่บุตรทั้งสองยิ่งนัก ตามปกติมักประคบประหงมราวกับของมีค่า กลัวยิ่งนักว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันใดๆ ขึ้น แต่ผู้ใดจะคิดว่าภัยพิบัติจากสวรรค์ในปีนี้จากมาถึงคราวบุตรของตนแล้ว!
พวกเขามองเจ้าหน้าที่จ้าวด้วยความไม่เข้าใจ
เขาถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “พวกเจ้าอาจจะไม่รู้ เมืองซิ่งฮวาแท้จริงแล้วมีเทพแห่งสายน้ำที่เก่งกาจมา”
“เทพแห่งสายน้ำ?” ศิษย์พี่อวี๋งุนงง
เด็กสาวรากปราณสวรรค์กับหลิงจือกะพริบตาด้วยความงงงวย เห็นได้ชัดว่าไม่เข้าใจว่าเทพสายน้ำที่เขาเอ่ยถึงหมายความว่าอะไร
เท่าที่พวกนางรู้ในแดนล่างนี้ไม่มีเทพอยู่
เซียนกับเทพมีการบำเพ็ญตนที่สูงส่งเกินไป เมื่อใดก็ตามที่ลงสู่แดนล่าง ทั่วทั้งแดนล่างจะล่มสลาย ไม่อยากล่มสลายก็ได้ แต่เช่นนั้นก็ต้องพยายามกดวิชาที่ตนฝึกเอาไว้ทั้งหมด แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่มีเรื่องเก่งหรือไม่เก่งเข้ามาเกี่ยวข้อง
เจ้าหน้าที่จ้าวบอกว่า “มาเมื่อปีใดนั้นข้าจำไม่ได้แน่ชัด เมืองของพวกเราน่ะ เมื่อก่อนยากลำบากมาก ชาวบ้านกินไม่อิ่มท้อง เสื้อผ้าไม่พอใส่ แต่ตั้งแต่มีเทพสายน้ำมา ชีวิตของทุกคนก็ค่อยๆ ดีขึ้น การค้าของพวกเราก็ใหญ่โตขึ้น ก็ต้องขอบคุณบารมีของเทพสายน้ำ แต่บารมีของเทพสายน้ำนั้น…ต้องมีสิ่งตอบแทน”
“สิ่งตอบแทนอะไร” ศิษย์พี่อวี๋ถาม
เจ้าหน้าที่หยวน “เทพสายน้ำต้องให้พวกเราเซ่นไหว้ด้วยเด็กชายทองกับเด็กสาวหยกทุกปี หากไม่มีไปเซ่นไหว้ ปีหน้าก็จะเกิดน้ำหลากฝนถล่ม ชาวบ้านใช้ชีวิตกันไม่เป็นสุข และหากไม่มีเซ่นไหว้ เช่นนั้นคนทั้งเมืองก็จะต้องเผชิญกับบทลงโทษของเทพสายน้ำ ข้าจำได้ว่ามีอยู่ปีหนึ่ง เด็กสองคนที่จะเอาไปเซ่นไหว้เทพสายน้ำหนีหายไป เดิมทีทุกคนยังเป็นกังวล แต่จะให้สละเด็กอีกสองคนก็ไม่มีใครยอม ดังนั้นจึงคอยดูความเปลี่ยนแปลกันอยู่เงียบๆ โดยหวังว่าจะโชคดี ผู้ใดจะรู้ว่าวันต่อมา ในเมืองก็เกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ เมืองทั้งเมืองจมอยู่ใต้น้ำ ตั้งแต่นั้นมา ก็ไม่มีใครกล้าเพิกเฉยไม่เคารพต่อเทพสายน้ำอีกเลย”
ศิษย์พี่อวี๋คิดถึงเด็กที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่เหล่านั้น ใบหน้าฉายแววดุดัน “ปีนี้มาถึงคราวบ้านเจ้า นั่นหมายความว่าเจ้าต้องสละบุตรของตนสินะ”
เจ้าหน้าที่จ้าวเอ่ยด้วยความเสียใจ “อันที่จริง ในหนึ่งครั้ง ครอบครัวหนึ่งต้องสละเด็กหนึ่งคน เพียงแต่เมื่อสิบปีก่อนข้าไม่มีบุตร เมื่อข้าไม่มีให้ ผู้อื่นจึงให้แทน แต่เวลานี้ถึงตาข้าแล้ว หนี้เมื่อสิบปีที่แล้วก็ควรต้องชดใช้”
หลิงจือเอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ! เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่ขึ้นไปสำนักเชียนหลันให้เร็วกว่านี้”
เจ้าหน้าที่จ้าวสะอึกไป “ไม่กล้าน่ะสิ! หากไม่ใช่เพราะข้ามีบุตรอยู่เพียงสองคนนี้ หากสละไปข้าก็จะไร้ทายาทสืบสกุล ข้าก็คงไม่แพร่งพรายเรื่องนี้…”
ศิษย์พี่อวี๋เอ่ยปลอบว่า “เจ้าวางใจเถิด ในเมื่อพวกข้ามาแล้ว ก็จะต้องไม่ให้เกิดเรื่องกับบุตรของเจ้า”
เจ้าหน้าที่จ้าวจะคุกเข่าให้พวกเขา แต่ถูกศิษย์พี่อวี๋ดึงตัวไว้
ศิษย์พี่อวี๋ไปที่ห้องของเจ้าหน้าที่จ้าว ให้คนอุ้มเด็กสองคนนั้นออกมา เขาสร้างปราการป้องกันไว้ด้านนอกห้อง กำชับเจ้าหน้าที่จ้าวว่าไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ห้ามให้เด็กๆ ออกจากห้องนี้เด็ดขาด