บทที่ 459 หุ่นเชิดแห่งเทพสงคราม
ต่อไปนี้ เกือบจะเป็นในตอนที่โอหยางรั่วสุ่ยเขินอายจนเกินไปจนทำให้สมองพร่าเบลอ ลู่เสี้ยงหยางก็จัดการบาดแผลให้เธอจนเสร็จเรียบร้อย
จนกระทั่งตอนนี้ ใบหน้าของโอหยางรั่วสุ่ยแดงปลั่งทั้งสองข้าง จนดูเหมือนว่าจะมีเลือดหยดออกมาได้อย่างไรอย่างนั้น ลู่เสี้ยงหยางเพิ่งจะทำแผลให้เธอ ทั้งสัมผัส ทั้งกดบนขาของเธอ นั่นถูกกำหนดไว้แล้วว่ามันจะจารึกอยู่ในส่วนลึกในหัวใจของเธอไปตลอดชีวิต
แต่ลู่เสี้ยงหยางที่ทำแผลให้เสร็จแล้วก็เตรียมตัวจะจากไป แต่ว่าก่อนจะแยกจากกัน ก็กำชับกับโอหยางรั่วสุ่ยไว้หนึ่งประโยค “ตอนนี้แผลของคุณไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว แต่หลังจากนี้จะต้องไปทำแผลใหม่ที่โรงพยาบาล ถ้าหากไม่มีอะไรผิดพลาด ภายในหนึ่งเดือนแผลของคุณก็จะหายเป็นปกติ”
“อื้ม ขอบคุณนะคะ” โอหยางรั่วสุ่ยพยักหน้า พูดเสียงอ่อน
ลู่เสี้ยงหยางไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่ยกยิ้มและหมุนตัวออกไปดูข้างนอกห้อง แบบนี้คือตั้งใจจะจากไปแล้ว
โอหยางรั่วสุ่ยสีหน้ายุ่งเหยิง ในใจยิ่งสับสน
วินาทีต่อมา รอจนกระทั่งลู่เสี้ยงหยางเดินไปจนถึงข้างประตู ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าพูดออกไป “ท่านผู้มีพระคุณ วันนี้คุณช่วยชีวิตฉันเอาไว้ หลังจากนี้ฉันจะหาคุณพบและขอบคุณคุณได้อย่างไร”
วันนี้เธอชอบผู้ชายคนหนึ่งเอาง่าย ๆ จะให้เขาจากไปแบบนี้ได้อย่างไร จะต้องให้เขาทิ้งช่องทางติดต่อไว้สักทาง สะดวกต่อการพัฒนาในภายภาคหน้า
แต่ลู่เสี้ยงหยางส่ายศีรษะ ปฏิเสธออกไปตรง ๆ “พบความอยุติธรรมระหว่างทาง ผมจำเป็นต้องเข้าช่วยเหลือ มันเป็นหน้าที่อยู่แล้ว คุณไม่ต้องรู้สึกขอบคุณผม”
หลังจากพูดจบ ลู่เสี้ยงหยางก็เดินออกไปจากห้อง ปิดประตูห้องไป
โอหยางรั่วสุ่ยนั่งอยู่บนเตียงคนเดียว สีหน้าเหม่อลอยไปไกล ภายในใจรู้สึกปวดใจอยู่บ้างอย่างอธิบายไม่ได้ ราวกับว่าของที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอได้จากเธอไปแล้ว
นั่งเหม่ออยู่อย่างนี้มาครึ่งค่อนวันเธอถึงจะตั้งสติได้ ทำอย่างไรก็ไม่สามารถลบความรู้สึกเศร้าในใจไปได้
เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่า วันหนึ่งตนจะสามารถชอบคนคนหนึ่งได้มากมายขนาดนี้ ผู้ชายที่ไม่เคยเห็นหน้าตาที่แท้จริงมาก่อน
“เห้อ” ถอนหายใจครั้งหนึ่งพลางโยกศีรษะไปมา โอหยางรั่วสุ่ยเตรียมจะลงจากเตียงแล้วออกจากโรงแรมนี้ไป
แต่ในตอนนี้เองเธอยื่นมือไปบนเตียง ดูเหมือนจะคลำไปเจออะไรบางอย่าง จึงหยิบขึ้นมาดู นึกไม่ถึงว่าจะเป็นป้ายห้อยเอวก้อนหนึ่ง
ป้ายห้อยเอวก้อนนี้งานฝีมือประณีตละเอียดลออ แถมคุณภาพของวัสดุที่ใช้ทำยังเป็นหยกอุ่นชั้นดี ด้านหน้าสลักสัญลักษณ์ที่ลึกซึ้งยากจะเข้าใจ ด้านหลังเป็นลวดลายคู่มังกรหงส์มงคล
โอหยางรั่วสุ่ยหยิบก้อนป้ายห้อยเอวก้อนนี้ขึ้นมาดูดี ๆ อยู่พักหนึ่ง ด้วยสายตาของเธอแน่นอนว่าต้องสามารถแยกแยะได้ว่าป้ายห้อยเอวป้ายนี้เป็นหลักฐานยืนยันฐานะ
ถึงแม้ว่าคนสมัยนี้จะไม่เหมือนกับคนสมัยโบราณที่ทุก ๆ คนต่างก็มีสิ่งของยืนยันตัวตน แต่บางตระกูลใหญ่ก็ยังคงใช้รูปแบบของสมัยโบราณมาจนถึงตอนนี้
เพียงแต่ในบรรดาตระกูลของพวกเขา ทุก ๆ คนจะต้องพกป้ายห้อยเอว เป็นทั้งหลักฐานยืนยันตัวตนและเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อตระกูล
“ป้ายห้อยเอวนี่จะต้องเป็นของชายลึกลับเมื่อกี้แน่ ๆ ขอเพียงไขความลับของป้ายห้อยเอวนี้ได้ ฉันจะต้องหาตัวเขาพบอย่างแน่นอน”
ในตอนนี้โอหยางรั่วสุ่ยก็พูดพึมพำกับตัวเอง ในใจตื่นเต้นสุดขีด
แต่ว่าตื่นเต้นได้ไม่นาน ความรู้สึกของเธอก็กลายเป็นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก
เธอมาปินเหอครั้งนี้ เดิมก็เพื่อที่จะตามหาตัวคุณชายสามของตระกูลลู่จากเมืองหลวง และแต่งงานกับเขาตามธรรมเนียม
แต่คาดไม่ถึงว่าตอนนี้ยังตามหาคุณชายสามของตระกูลลู่ไม่พบ ตนกลับไปชอบผู้ชายคนอื่นเสียแล้ว
ทำลายความหวังของวงศ์ตระกูลจริง ๆ
ตอนนี้ถ้าดูจากภาวะเศรษฐกิจของตระกูลโอหยางของพวกเขา มีเพียงตระกูลชั้นสูงที่ร่ำรวยอำนาจและทรัพย์สินอย่างตระกูลลู่จากเมืองหลวงเท่านั้นที่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้พวกเขาได้ ดังนั้นต่อให้เธอชอบชายลึกลับนั่นอีกมากแค่ไหน เธอก็ไม่สามารถทำตามใจตนเองไปคบกับเขาคนนั้นจริง ๆ
นี่แหละคือการแต่งงานของตระกูลชั้นสูง ตนตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องทำตามการจัดการของตระกูลทั้งหมด
คิดถึงตรงนี้ อารมณ์ที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วของโอหยางรั่วสุ่ยก็ตกต่ำลงมาทันที
ความคิดที่อยากจะตามหาชายลึกลับจางลงไปมาก
ในเมื่อเป็นเพราะภารกิจที่หนักอึ้งของตระกูลทำให้เธอไม่สามารถเอาแต่ใจตัวเอง ตัดสินใจไปคบกับชายลึกลับคนนั้นเองได้ แล้วทำไมต้องหาเหาใส่หัวไปตามหาเขากัน?
ไม่สู้แอบเก็บป้ายห้อยเอวนี้ไว้เป็นที่ระลึกความทรงจำอันสวยงามของตัวเอง เช่นนี้เธอถึงจะนับได้ว่าเคยรักคนคนหนึ่งจริง ๆ แล้ว ชาตินี้ไม่เสียดาย
เพียงแต่เสียดาย ที่ต่อให้โอหยางรั่วสุ่ยฝันไปก็ยังคิดไม่ถึงว่า ชายลึกลับที่เธอชอบอย่างลึกซึ้งนี้นั้น ก็คือลู่เสี้ยงหยาง ลูกเขยแต่งเข้าตระกูลเย่ที่ไร้ประโยชน์ที่สุดในสายตาเธอ
และก็เป็นคุณชายสามของตระกูลลู่คนนั้นที่ตระกูลเธอพร้อมใจกันอยากให้เธอออกตามหา
……
ทางด้านของลู่เสี้ยงหยาง หลังจากที่เขาออกจากโรงแรม เป็นเพราะยังมีคาบที่สถาบันหลงเสิน ดังนั้นจึงตรงไปที่สถาบันหลงเสิน
หลังจากจบคาบบ่าย ลู่เสี้ยงหยางกับเย่สวนไปทานอาหารด้วยกันข้างนอก ในตอนที่กำลังรับประทานอาหารกันอยู่นั้น ลู่เสี้ยงหยางก็พูดกับเย่สวนว่า “พรุ่งนี้ผมมีธุระต้องออกไปข้างนอกเสียหน่อย อาจจะหลายวันถึงจะได้กลับมา”
เย่สวนขมวดคิ้วถาม “คุณจะไปไหนคะ? มีธุระด่วนหรือ? ให้ฉันไปด้วยไหมคะ?”
ลู่เสี้ยงหยางส่ายศีรษะ โกหกไปตามใจ “ผมทำใจไม่ได้ที่จะให้คุณไปลำบากกับผมข้างนอก ผมแค่รู้สึกว่าช่วงนี้ว่างเกินไปจนน่าเบื่อ ใช้เวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ผมอยากออกไปสำรวจข้างนอกเสียหน่อย เปิดบริษัทค้าขายระหว่างประเทศสักบริษัท”
อะไรนะ? เปิดบริษัท?
ได้ฟังคำของลู่เสี้ยงหยาง เย่สวนก็อึ้งงันโดยพลัน ลู่เสี้ยงหยางนี่นับวันยิ่งไม่เหมือนกับเมื่อก่อน
เมื่อก่อน พื้นฐานของลู่เสี้ยงหยางล้วนเป็นการวนเวียนอยู่แต่ในครัวของบ้าน แต่ตอนนี้กลับมีใจจะทำกิจการของตัวเอง นี่นับว่าพัฒนา
“ได้ คุณไปเถอะ ในบ้านยังมีฉันอยู่ ไม่ต้องเป็นห่วง” เย่สวนพูดอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ลู่เสี้ยงหยางก็นับเป็นคนมีความสามารถที่ต้องใช้เวลามากกว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า?
ลู่เสี้ยงหยางพยักหน้า ไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก
แต่ในใจกลับมีประกายรังสีสังหารวาบผ่าน พรุ่งนี้เขาจะได้ออกเดินทางไปยังตระกูลหานแห่งไห่ตง สิ่งที่ตระกูลหานติดค้างเขาไว้ จะต้องชดใช้กลับมาร้อยเท่าพันทวี
ครึ่งชั่วโมงให้หลัง ลู่เสี้ยงหยางกับเย่สวนทานอาหารเสร็จก็เตรียมจะกลับบ้าน แต่เพิ่งจะถึงกลางทาง เย่สวนก็รับสายโทรศัพท์ของโอหยางรั่วสุ่ย
โอหยางรั่วสุ่ยอยากให้เย่สวนไปอยู่เป็นเพื่อนเธอสักพัก
อย่างไรวันนี้ก็เกิดเรื่องอย่างนั้นขึ้น โอหยางรั่วสุ่ยต้องการคนมาระบายความในใจด่วน
เย่สวนตอบตกลงอย่างไม่มีความลังเลเลยสักนิด
ลู่เสี้ยงหยางทำได้เพียงกลับบ้านเพียงลำพัง
เพิ่งถึงบ้าน เขาก็เข้าห้องนอน ปิดประตู เตรียมจะฝึกฌานวิชานรกอมตะต่อ
ในตอนนี้โทรศัพท์ก็ดังขึ้น ลืมตาขึ้นมาดู เป็นหยางเก๋อเก๋อที่โทรเข้ามา
ลู่เสี้ยงหยางขมวดคิ้ว รับสายและถามขึ้น “มีเรื่องอะไร?”
หยางเก๋อเก๋อส่งเสียงเสียงเคารพนบนอบออกมาทันใด ”ปรมาจารย์ลู่ วันนี้พวกเราสมาคมการประมูลได้สมบัติชิ้นใหญ่มาอยู่ในมือ ไม่ทราบว่าคุณสนใจจะมาดูสักหน่อยไหม”
ลู่เสี้ยงหยางมึนงง หยางเก๋อเก๋อควบคุมสมาคมการประมูลปินเหอ มีสมบัติแบบไหนกันที่ไม่เคยพบเห็น แต่ตอนนี้ ตอนที่ได้ยินเขาพูดถึงสมบัติชิ้นใหญ่หนึ่งชิ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นสุดขีดนั่น เช่นนั้นสมบัติชิ้นใหญ่นั่นต้องไม่ใช่ของธรรมดา ๆ แน่ ๆ
“ของอะไร?” ลู่เสี้ยงหยางรีบถาม
“ถ้านักประเมินของพวกเราประเมินไม่ผิดล่ะก็ น่าจะต้องเป็น…หุ่นเชิด…แห่งเทพสงครามครับ” หยางเก๋อเก๋อพูดจาติด ๆ ขัด ๆ เพราะตื่นเต้นเกินไป
อะไรนะ? หุ่นเชิดแห่งเทพสงคราม?
รูม่านตาของลู่เสี้ยงหยางหดเล็กลง อารมณ์บนสีหน้าแสดงอาการดีใจแทบบ้า