บทที่ 310 คำเชิญของดาวห้อง
เมื่อได้ยินคำพูดซุนยีเฉิน ลู่เสี้ยงหยางก็ขมวดคิ้ว เจ้านี่มันโง่เง่าเต่าตุ่นใช่ไหม ทั้ง ๆที่ตนเองก็ไม่ได้ไปยั่วโมโหเขา ทำไมเขาถึงเล็งหัวหอกมาที่ตนเอง
เย่สวนมองไปที่ซุนยีเฉินด้วยใบหน้าที่เยือกเย็น เขาจะยอมให้สามีของตนเอง ถูกคนอื่นดูหมิ่นได้อย่างไร
หวังเสว่แสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่คิดว่าผู้ชายที่เธอจะแต่งงานด้วยในอนาคตไม่เต็มบาทแบบนี้ เธอจึงหันไปแล้วจ้องเขม็งไปที่ซึนยีเฉิน “นายหุบปากเสีย หากพูดแม้แต่คำเดียว ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย”
“……” ซุนยีเฉินนิ่งไปชั่วขณะ พูดตามหลักแล้ว ในอนาคตหวังเสว่จะแต่งเข้าตระกูลซุน ควรจะเชื่อฟังตนเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตนเองเป็นฝ่ายกลัวเธอ ทำให้ตนเองกลายเป็นคนกลัวภรรยาไปแล้วเหรอนี่
“เออ เสว่เอ๋อ เธออย่าโมโหไปเลย ผมขอถอนคำพูดที่พูดไปเมื่อสักครู่นี้” ซุนยีเฉินรีบพูดขึ้น
หวังเสว่พูดผ่านลำคอ แล้วก็พูดกับลู่เสี้ยงหยางว่า “สมองของเขาไม่ดี นายอย่าไปถือสาเลย”
ลู่เสี้ยงหยางยิ้มยียวนแล้วพูดว่า “เพิ่งออกจากโรงพยาบาลประสาท”
“……” หวังเสว่
“……” เย่สวน ถึงแม้รู้ว่าคำพูดของลู่เสี้ยงหยางจะไม่มีมารยาท แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกระบายความโกรธได้ น่าขำสิ้นดี
“โคตรพ่องสิ แกนั่นแหละที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลประสาท” ซุนยีเฉินตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน มองหน้าลู่เสี้ยงหยางด้วยความโกรธ แล้วพูดต่อว่า “ไอ้หนู นายพูดอะไร? แน่จริงพูดใหม่อีกรอบ”
ลู่เสี้ยงหยางยังคงยิ้มอยู่ แล้วพูดว่า “นายให้ฉันพูด ฉันก็จะพูด อย่ารู้สึกเสียหน้าล่ะ”
“……” ซุนยีเฉิน แม่งฉิบหาย เพิ่งมาถึงเมืองปินเหอก็ถูกเหยียบหยาม รู้สึกอึดอัดในใจเป็นอย่างยิ่ง
“ฮึ่ม ไอ้หนู คนอย่างแกฉันเห็นมาเยอะล่ำ ที่ชอบพูดจาพล่อย ๆ” ซุนยีเฉินพูดแล้วก็จ้องตาเขม็งไปที่ลู่เสี้ยงหลง จากนั้นจึงนั่งลง
ลู่เสี้ยงหยางไม่ได้สนใจเขาอีกเลย
เย่สวนมองหวังเสว่ ด้วยสายใจที่สงสัย เหมือนถามเธอว่า คนไม่เต็มบาทที่อยู่ข้างเธอเขาเป็นใคร?
หวังเสว่ ตอบเบา ๆ ว่า “เป็นเพื่อนธรรมดาของฉันคนหนึ่ง ”
คนไม่เต็มบาทอย่างซุนยีเฉิน เธอไม่มีหน้าที่จะบอกไปว่า เป็นสามีในอนาคตของเธอ
หลังจากคำพูดนั้น ซุนยีเฉินโมโหขึ้นมาทันที แล้วพูดไปว่า “เพื่อนธรรมดาอะไร ฉันคือคู่หมั้นของเสว่เอ๋อ เรากำลังจะแต่งงานในไม่ช้านี้”
อะไรน่ะ?
คู่หมั้น?
เย่สวนรู้สึกตกใจ ทำไมหวังเสว่ถึงหาคนแบบนี้เป็นแฟน เหมือนดอกไม้ปักอยู่ในกองขี้ควาย
ลู่เสี้ยงหยางมุ้ยปากแล้วพูดว่า “ดอกฟ้ากับหมาวัด”
ซุนยีเฉินโมโหจนอกแทบระเบิดออกมา ตามนิสัยอารมณ์ฉุนเฉียวของเขาแล้ว เขาอยากจะเรียกคนมาจัดการลู่เสี้ยงหยาง ต่อยปากมันให้แตกเสีย แต่ว่าก่อนที่มาเมืองปินเหอ เขาได้สัญญากับหวังเสว่ไว้ จะฟังเธอทุกเรื่อง มิเช่นนั้น เธอจะให้เขาไสหัวออกกลับไปไห่ตง เพราะฉะนั้นซุนยีเฉินทำได้แค่ทนมันเอาไว้
หวังเสว่ไม่อยากพูดเรื่องนี้ โบกมือแล้วพูดว่า “ช่างเถอะ อย่าพูดถึงเขาอีกเลย”
เธอกับเย่สวนเปลี่ยนหัวข้อมาสนทนาตามประสาผู้หญิง
ลู้เสี้ยงหยางก็ได้พูดแทรกไปเป็นระยะ ๆ อย่างมีความสุข ก็มีแต่ซุนยีเฉินเท่านั้น ที่ถูกพวกเขาทำเหมือนเป็นอากาศธาตุ
ในใจของเขาได้ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ หากภายหลังมีโอกาส จะจัดการลู่เสี้ยงหยางอย่างแน่นอน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว ลู้เสี้ยงหยาง เย่สวน ก็ได้บอกลาหวังเสว่ แล้วกลับเข้าไปในสถาบัน
ภาคบ่ายได้เรียนสามวิชา เมื่อถึงเวลาเลิกเรียน เซียวมู่ไป๋ได้นัดนักเรียนทั้งห้อง เตรียมตัวไปร้านอาหารเปิดใหม่ของพ่อ
เช้าวันนี้ ลู่เสี้ยงหยางไม่ได้ขับรถตนเองมา เขานั่งรถมาพร้อมกับเย่สวน และตอนค่ำ รถคันนี้ก็ต้องให้เย่สวนขับกลับ
ฉะนั้นเขาจึงต้องอาศัยนั่งรถไปกับเพื่อน
เป็นเรื่องบังเอิญที่เพื่อนในห้องส่วนใหญ่ก็นั่งรถโดยสารมาเรียนกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะขับรถมาเรียนกันหมด
ลู่เสี้ยงหยางกวาดตามองไป รถทุกคันก็นั่งเต็มกันหมดแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้ก็เหลือแต่ลู่เสี้ยงหยางคนเดียวที่ยังยืนอยู่
หวังเจี้ยน หัวเราะเยาะ แล้วพูดกับลู่เสี้ยงหยางว่า “เขยแต่งเข้าตระกูลเย่ รถไม่มีที่ว่างให้นายนั่งแล้ว ฉันว่านายวิ่งไปดีกว่า เพราะว่าร้านอาหารของบ้านเซียวมู่ไป๋อยู่ไม่ไกลจากที่นี่เท่าไหร่”
ไป๋หมิ่นหมิ่นพูดประชดต่อ “ใช่ นายวิ่งเยอะ ๆ หน่อย อีกสักครู่กินข้าวเยอะหน่อย ก็ถือว่าคุ้มล่ะ”
“ฮ่า ๆ ๆ” หลังจากพูดจบ มีคนไม่น้อยเลยที่หัวเราะเยาะเขา เจ้าเขยแต่งเข้าคนนี้ช่างน่าตลกสิ้นดี แค่รถคันเดียวก็ไม่มี แล้วยังแสร้งอีก
ฉินหยุนเฟย ก็พูดว่า “เย่สวนภรรยาของแกดูแล้วเป็นคนมีเงินน่ะ ทำไมถึงไม่ซื้อรถให้นายสักคัน ดูแล้ว สำหรับเธอแล้วแกก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไร หรือเป็นเพราะว่าแกไร้ประโยชน์เกินไป เธอจึงดูหมิ่นแก”
ไอ้โง่เง่าเต่าตุ่น!
ลู่เสี้ยงหยางมีสีหน้าที่เยือกเย็น กำลังจะพูด เซียวมู่ไป๋ก็ยื่นศีรษะออกจากหน้าต่างรถ แล้วพูดกับลู่เสี้ยงหยางว่า “นายขึ้นรถของฉันคันนี้ เบียดกันสักหน่อยเราไปพร้อมกัน”
ตอนนี้ในรถก็นั่งกันจนเต็มแล้ว หากลู่เสี้ยงหยางยังขึ้นไปนั่งอีก ก็คือนั่งเกินจำนวนคนไปแล้ว
ลู่เสี้ยงหยางส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ล่ะ เดี๋ยวฉันโบกรถไปเอง”
“ฮ่าๆๆ !” เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น มีคนไม่น้อยที่หัวเราะเยาะเสียงดัง ไอ้เขยแต่งเข้าคนนี้น่าสงสารจริง ไม่มีปัญญาซื้อรถสักคัน
ลู่เสี้ยงหยางถอนหายใจเบา ๆ ไม่อยากถือสาคนพวกนี้ เตรียมตัวจะโบกรถ
ณ.ตอนนั้น ดาวห้องกงหยู่หนิงขับรถเฟอร์รารี่ เลื่อนกระจกรถ แล้วพูดกับลู่เสี้ยงหยางว่า “นายขึ้นมานั่งบนรถฉันสิ รถฉันไม่มีใครสักคน”
ออร่าของเธอแรงมาก บวกกับใบหน้าที่เยือกเย็นของเธอ ปกติเธอจะไม่สุงสิงกับใครเลย เพราะฉะนั้นตอนที่เธอขึ้นรถ ไม่มีใครกล้าขอนั่งรถของเธอเลย
อะไรกัน?
ดาวห้องเป็นคนเชิญไอ้หมอนี่นั่งรถเธอ?!
ทุกคนต่างตกตะลึงทันที ไอ้หมอนี่มันโชคดีอะไรปานนั้น ที่มีโอกาสได้นั่งรถของดาวห้อง
หวังเจี้ยนพูดแบบเจ้าเล่ห์ “ดาวห้อง ไอ้หมอนี่ตัวเหม็นมาก เธอให้เขานั่งรถเธอ ไม่กลัวว่าจะทำให้รถเธอเหม็นไปด้วยเหรอ?”
“ไม่มีคำพูดดี ๆหลุดออกจากคนปากไม่ดี” กงหยู่หนิงพูดเบาๆ เมื่อลู่เสี้ยงหยางขึ้นไปนั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว เธอก็เหยียบคันเร่ง รถเฟอร์รารี่แล้วก็ขับรถออกไป
ยี่สิบนาทีผ่านไป
พวกลู่เสี้ยงหยางก็มาถึงร้านอาหารของเซียวกวางฮุยพ่อเซียวมู่ไป๋แล้ว
เซียวมู่ไป๋โบกมือ แล้วก็พาทุกคนขึ้นไปห้องเดี่ยวที่อยู่ชั้นสอง
พวกลู่เสี้ยงหยางนั่งได้สักพัก ก็มีสาวสวยสี่คนที่คุ้นหน้าคุ้นตาเดินเข้ามา
จางเหมิง หวังชิงชิง หวีจี้ง และกู้ชิวส่วย
ตอนที่เปิดเรียนวันแรก สาวสวยสี่คนนี้ก็ได้ทานข้าวกับพวกลู่เสี้ยงหยางแล้ว
ตอนนั้น จางเหมิงมีความรู้สึกดีกับเซียวมู่ไป๋ และช่วงไม่กี่วันมานี้ พวกเขาสองคนก็ได้แชทคุยกันอยู่ สถานะความสัมพันธ์ค่อนข้างชัดเจนแล้ว
หวังชิงชิงก็มีความรู้สึกดี ๆ กับฟ้านเจาเช่นกัน เธอรู้สึกว่าฟ้านเจาถึงแม้จะพูดน้อย แต่คำพูดที่เขาพูดออกมามีหลักการและเหตุผล
ส่วนจางสู้เป็นคนไม่ค่อยเอาถ่าน เขารู้สึกชอบหวีจี้งเป็นอย่างมาก แต่หวีจี้งไม่สนใจไยดีเขาสักเท่าไหร่
ในสายตาของกู้ชิวส่วยเธอรู้สึกว่า ลู่เสี้ยงหยางเป็นคนไม่เอาถ่านอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นคืนนั้น ตอนที่ทานข้าวด้วยกัน เธอไม่ได้พูดอะไรกับลู่เสี้ยงหยางเลยสักคำ
หลายวันก่อนได้มีคุณชายฐานะดีมาจีบเธอ เธอกำลังไตร่ตรองว่าจะตอบรับดีหรือไม่
จางเหมิง หวังชิงชิง หวีจี้ง และกู้ชิวส่วย สาวสวยทั้งสี่คนต่างมีสไตล์ที่แตกต่างกัน เมื่อพวกเธอทั้งสี่คนเดินเข้ามาในห้อง มีสายตาของผู้ชายไม่น้อยที่จ้องมองพวกเธอ แล้วก็กลืนน้ำลายลงคอ
โดยเฉพาะกู้ชิวส่วย เธอสวยที่สุดในบรรดาสี่คนนี้ เธอใส่กระโปรงสั้นเผยให้เห็นถึงขาเรียวยาว งดงามสะดุดตา
พูดไปมันก็แปลก รอบนี้กู้ชิวส่วยนั่งอยู่ข้างลู่เสี้ยงหยาง
แม่งฉิบ!
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทำให้คนไม่น้อยที่อิจฉา ที่นางฟ้าควรนะนั่งข้างกายพวกเขาไม่ใช่เหรอ? ไม่ใช่ไปนั่งข้างเขยแต่งเขาไร้ค่าคนนี้ ช่างน่าเสียดายเสียจริง ๆ
กู้ชิวส่วยเพิ่งจะนั่งลงไป ก็เห็นลู่เสี้ยงหยาง ทำท่าขมวดคิ้ว แล้วก็ลุกขึ้นเพื่อจะเปลี่ยนที่นั่งใหม่