หนึ่งในใต้หล้า 大主宰
บทที่ 917 สภาพสถานการณ์ห่วยแตก
ตู้ม!
ธงรบขนาดใหญ่พร้อมกับรัศมีจั้นยี่พวยพุ่ง เสียงหวีดหวิดดังสะท้อนสุดพรรณนา ผืนธงโบกสะบัดกำจายรังสีคมชัดเป็นพิเศษออกมา
ภายใต้สายตาตื่นตะลึงมากมาย ลวดลายจั้นเหวินบนผืนธงรบก็มาแตะที่จำนวนหนึ่งหมื่นแปดพันลาย อย่างน่าอัศจรรย์ใจ เมื่อปะทะเข้ากับแสงแห่งความตาย
นี่เป็นจำนวนลวดลายจั้นเหวินที่ทำให้จอมยุทธ์ทั้งหลายต้องสูดลมหายใจเย็น
ชี่!
ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ธงรบก็ปะทะกับแสงมฤตยูหนักหน่วง แต่กลับไม่มีคลื่นกระแทกเขย่าแผ่นดินเกิดขึ้นจากการชนสักริ้ว
มีเพียงเสียงดังคล้ายกับใบมีดตัดเต้าหู้ ธงรบราวกับดาบคมที่สามารถแยกฟ้าดินออกจากกัน พุ่งทะลุผ่านแสงมฤตยูไป
ธงรบเกิดการผันผวนเบาบางเมื่อพุ่งผ่าน สายตาของมู่เฉินก็ยังสงบไม่มีระลอกคลื่นใดๆ ขณะที่แสงมฤตยูซึ่งเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนที่เบื้องหน้าแล้วแฉลบผ่านศีรษะไป
ปัง!
เมื่อลำแสงบินออกไปก็แตกกระจายเป็นแสงสีดำโปรยปรายทั่วท้องฟ้า
ม่านตานับไม่ถ้วนหดลง ไม่มีใครคิดว่าการโจมตีน่าทึ่งของหลินหมิงจะอ่อนแอแบบนี้เมื่อปะทะกับธงรบ
“เป็นไปได้ไง?!”
ใบหน้าของหลินหมิงแข็งทื่อขณะที่เฝ้าดูฉากนี้อย่างไม่อยากเชื่อ ไพ่ตายที่เขาภูมิใจหนักหนากลับถูกทำลายลงอย่างง่ายดายขนาดนี้เชียวรึ?
เบื้องหน้าธงรบการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาอ่อนยวบยาบเหมือนเต้าหู้
“จำนวนลวดลายจั้นเหวินบนธงรบของมันเป็นของจริงหรือ?! เป็นไปได้ไง?!” หลินหมิงเรียกสติคืนอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ แต่ความตื่นตกใจก็ทบทวี หลังจากกินคลื่นจิตของอัจฉริยะรัศมีจั้นยี่มามากมาย เขาถึงสามารถสร้างลวดลายจั้นเหวินได้ถึงหนึ่งหมื่นสี่พันลาย แล้วมู่เฉินจะเกินหน้าเขาถึงสี่พันลายไปได้ยังไง?
เจ้านั่นได้รับมรดกอะไรมาถึงได้ทรงพลังขนาดนี้?!
วาบ!
ทว่าขณะที่หลินหมิงอยู่ในอาการตกตะลึง มู่เฉินก็ไม่พูดมาก หลังจากที่ธงรบฉีกผ่านแสงมฤตยู พลังก็ไม่ได้ลดลง กลับเจาะทะลุมิติพุ่งเข้าหาหลินหมิงอย่างไร้ปรานี
เสียงลมแหลมกวาดเข้ามาด้วยความเร็วสูงทำให้หลินหมิงฟื้นจากความตกใจ ทันใดนั้นใบหน้าเขาก็อัดแน่นด้วยความหวาดผวา เขาถอยกลับ เวลาเดียวกันรัศมีจั้นยี่ก็สร้างแนวป้องกันขนาดใหญ่หลายชั้นที่เบื้องหน้า
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
แต่แนวป้องกันก็ถูกทำลายอย่างรวดเร็วด้วยธงรบนี้
อ็อก! อ็อก!
เมื่อแนวป้องกันทุกชั้นของหลินหมิงขาดออก เขาก็ไม่สามารถทนต่อคลื่นกระแทกของรัศมีจั้นยี่ไหว เลือดสดพ่นเต็มปาก ขณะที่ร่างถลาออกไปอย่างน่าสมเพช
อั้ก! อั้ก!
ขณะที่หลินหมิงกระเด็นออกไป นักรบมากมายในกองทัพเขาก็ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นเดียวกัน ทันใดนั้นเสียงกระอักเลือดก็ดังก้องอย่างต่อเนื่อง กองทัพที่ยืนตระหง่านด้วยขวัญกำลังใจสูงในไม่กี่นาทีก่อนก็ทรุดตัวลง รัศมีจั้นยี่ที่ยิ่งใหญ่ในตอนแรกกลายเป็นความวุ่นวายและอ่อนแอ
ทุกคนบอกได้ว่านักรบเหล่านั้นได้รับบาดเจ็บหนักไปตามๆ กัน
หลินหมิงมองไปที่มหาสมุทรรัศมีจั้นยี่ที่พังทลายลงในพริบตา ใบหน้าก็ซีดเซียวลง เขาเข้าใจว่าตนเองแพ้ในการปะทะนี้อย่างสิ้นเชิง ขวัญกำลังใจของนักรบถดถอยลง ความเจ็บปวดรุนแรงทิ่มแทงในหัวสมอง คลื่นจิตอ่อนล้าจากผลกระทบของทักษะก่อนหน้า เขาที่สูญเสียรัศมีจั้นยี่ไปไม่สามารถต่อสู้กับกระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่ได้
ประกายแสงวูบไหวในดวงตาของหลินหมิง จากนั้นเขาก็กัดฟันกรอดก่อนที่ร่างจะทะยานถอยกลับไป
ทว่าขณะที่หลินหมิงกำลังถอยร่น มู่เฉินกลับส่งเสียงเย็นในลำคอพร้อมมือกำหมัดแน่น ธงรบขยายตัว รัศมีจั้นยี่เชี่ยวกรากก่อตัวเป็นมือมหึมาเจาะทะลุมิติ ห่อหุ้มร่างหลินหมิงทันที
“ไอ้เวร แกช่างกล้า!”
การเปลี่ยนแปลงฉับพลันเกิดขึ้น ไม่มีใครคิดว่าหลินหมิงจะพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว จอมยุทธ์จากจวนยมโลกก็ไม่ทันได้ตอบสนอง มีเพียงเทียนเสียเท่านั้นที่แผดเสียงคำราม ทว่าในเวลาอันสั้นเขาก็ได้แต่เหวี่ยงฝ่ามือออกไป คลื่นหลิงโหมกระหน่ำก่อตัวเป็นฝ่ามือคลื่นหลิงขนาดนับพันจั้งที่เส้นขอบฟ้า พยายามปราบมู่เฉินอย่างไร้ปรานี
เมื่อจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดออกกระบวนท่า เขาก็เปิดเผยความแข็งแกร่งเหนือชั้น แม้แต่การโจมตีที่เร่งรีบยังมีพลังไม่ด้อยไปกว่ากระบวนท่าที่มู่เฉินและหลินหมิงทุ่มสุดแรงไปก่อนหน้า
ขณะที่ฝ่ามือคลื่นหลิงกดลงมาราวกับภูเขา ประกายแสงก็วูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน เขาพ่นลมหายใจเย็น ไม่ได้หลบหลีกแม้แต่น้อย มือทั้งสองประสานเข้าด้วยกัน มือรัศมีจั้นยี่ที่กำลังจะคว้าจับหมิงหมิงก็พุ่งออกไปปะทะกับฝ่ามือคลื่นหลิงจังใหญ่
ครืน!
การปะทะนี้ทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เมื่อคลื่นกระแทกกวาดออก ยอดเขาโดยรอบก็พังทลาย
กระบวนท่าเดียวนี้ ทำเอามู่เฉินถึงกับส่งเสียงคราง ฝ่ามือรัศมีจั้นยี่หายไป ทว่าในเวลาเดียวกันการโจมตีจากเทียนเสียก็จางลงและหายไปเช่นกัน
โอ้!
ความโกลาหลสะท้อนก้องทั่วบริเวณ ทุกกองทัพตกตะลึงในใจ บางทีพวกเขาอาจไม่เข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างจั้นเจิ้นซือสองคนเท่าไร แต่พวกเขาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นมู่เฉินต่อต้านการจู่โจมจากเทียนเสียด้วยพลังรัศมีจั้นยี่ จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นห้าสามารถใช้พลังรัศมีจั้นยี่ต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดตัวจริงได้ ความแข็งแกร่งนี้น่าอัศจรรย์เกินไปแล้ว
หึ
เมื่อฝ่ามือรัศมีจั้นยี่แตกเป็นเสี่ยงๆ มู่เฉินก็พ่นเสียงเย็น ปีกหงส์ฟ้ากางออกบนแผ่นหลัง เมื่อปีกกระพือร่างเขาก็กลายเป็นภาพซ้อน ปรากฏตัวต่อหน้าหลินหมิงราวกับสายฟ้าฟาด
หลินหมิงที่เห็นภาพนี้ใบหน้าก็เปลี่ยนไป เขารีบเร้าคลื่นหลิงในร่างแล้วซัดกำปั้นใส่มู่เฉิน
มู่เฉินเหลือบมองหลินหมิงด้วยสีหน้าไม่แยแส ตอนนี้เขาอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นห้า ส่วนหลินหมิงพึ่งพาทรัพยากรภายนอกกว่าจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสี่ ดังนั้นถ้าพวกเขาปะทะกันในแง่ของคลื่นหลิง มู่เฉินก็สามารถสังหารหลินหมิงได้ในสามกระบวนท่า
ดังนั้นมู่เฉินจึงซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือของเขางุ้มไว้ขัดขวางกำปั้นของหลินหมิง จากนั้นก็ดึงเบาๆ เสียงแตกดังขึ้น ข้อมือของหลินหมิงแหลกละเอียดทันที
อ้ากกกก!
หลินหมิงส่งเสียงร้องน่าสมเพชทันทีที่ข้อมือหัก ทว่ามู่เฉินกลับยกเขาขึ้นราวกับลูกไก่ที่ไม่มีพลังโต้กลับแม้แต่น้อย เปรียบเทียบสถานะของเขาก่อนและหลัง ความแตกต่างคล้ายกับฟ้ากับเหว
จอมยุทธ์หลายคนถอนหายใจเมื่อเห็นสิ่งนี้ แม้ว่าจั้นเจิ้นซือจะทรงพลัง แต่พวกเขาก็ต้องประสานกับกระแสจิตของกองทัพ ดังนั้นเมื่อไรที่ไร้พลังรัศมีจั้นยี่ พวกเขาก็จะอ่อนแอลงมาก
แม้ว่าพลังของรัศมีจั้นยี่จะเป็นขุมพลังสำรอง แต่ก็มีข้อจำกัดมากมาย ดังนั้นจั้นเจิ้นซือจึงไม่เป็นอิสระเหมือนกับจอมยุทธ์ขุมพลังหลิงที่สามารถพึ่งพาพลังของตนเองในการท่องไปทั่วยุทธภพ
เห็นได้ชัดว่าไม่มีพลังใดสมบูรณ์แบบในโลกนี้
“ไอ้เวร แกรนหาที่ตาย!”
ขณะที่มู่เฉินจับหลินหมิงเป็นตัวประกัน เทียนเสียก็ฟื้นจากอาการตกใจที่มู่เฉินต่อต้านการโจมตีกระบวนท่าเมื่อครู่ของเขาได้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ดิ่งลง คลื่นหลิงน่าสะพรึงกลัวกระจายออก
“หึ แกเป็นใครกล้าตะโกนใส่สมาชิกจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของข้า?!” แต่คราวนี้ไม่จำเป็นที่มู่เฉินที่ต้องลงมือเอง เสียงหัวเราะเยือกเย็นของซิวหลัวดังก้อง เขาก้าวย่างออกมาปรากฏตัวขึ้นที่ขอบฟ้า สายตาคมกริบเล็งไปที่เทียนเสีย ต่อต้านการกดขี่คลื่นหลิงของอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
ฉากการเผชิญหน้าระหว่างจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นเจ็ดสองคนตึงเครียดมากกว่าศึกระหว่างมู่เฉินและหลินหมิงเสียอีก
นอกจากซิวหลัวและเทียนเสียที่เผชิญหน้ากันแล้ว จอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์และจวนยมโลกก็ตั้งท่าเตรียมโรมรันกัน ทำให้บรรยากาศในบริเวณนี้ตึงเครียดลงหลายส่วน
“ฮ่าๆ เทียนเสีย ถ้าพวกเจ้าอยากจะประกาศสงคราม อาณาเขตกงเวทสวรรค์จะสู้กับเจ้าจนคนสุดท้าย แต่จวนยมโลกควรเคารพการเดิมพันก่อนไหม?”
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของมู่เฉินดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียด เสียงหัวเราะนี้ทำเอาใบหน้าเหล่าจอมยุทธ์จวนยมโลกรวมถึงเทียนเสียกระตุกอย่างรุนแรง
สายตามากมายวูบไหว บางคนกำลังชื่นชมยินดีในความโชคร้ายของจวนยมโลก คนที่ไม่พอใจมานานก็ใช้สถานการณ์นี้เพื่อเยาะเย้ยถากถาง
“ฮี่ๆ จวนยมโลกหยิ่งผยองมานาน ในที่สุดพวกมันก็ได้สิ่งที่สมควรบ้างแล้ว”
“แต่ไม่รู้ว่าจวนยมโลกจะยอมรับได้หรือไม่ หึๆ หากพวกมันสูญเสียยาหยุ่นลั้ว ประมุขจวนยมโลกคงไม่ปล่อยพวกมันไปแน่”
“แต่ถ้าพวกมันไม่ส่งมอบ ชื่อเสียงของจวนยมโลกป่นปี้หมดแน่…”
“…”
พอได้ยินเสียงเยาะเย้ยดังก้องไปทั่ว ใบหน้าเทียนเสียก็เปลี่ยนไปมาระหว่างสีขาวกับสีขี้เถ้าพร้อมกับไฟโหมกระหน่ำในดวงตา เขาไม่คิดเลยว่าหลินหมิงซึ่งได้เปรียบกว่าจะแพ้ในการประลองครั้งนี้!
“มู่เฉินได้คืบจะเอาศอกเรอะ ข้าส่งปิงเหอให้ก็ได้! จวนยมโลกยอมรับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้!” เทียนเสียพูดพลางกัดฟันแน่น
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินก็หลุบตาลง “ข้าไม่ใช่คนเดียวที่ตัดสินใจนะ ทุกคนที่นี่ก็ได้ยินว่าเป็นการเดิมพันระหว่างพวกเรา ข้าเชื่อว่าถ้าตอนนี้ข้าแพ้ เจ้าคงไม่ใจดีแบบนี้หรอกใช่ไหม?”
เปลือกตาของเทียนเสียกระตุก ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่ามู่เฉินไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านโดยง่าย แต่เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะมอบยาหยุ่นลั้วสี่แสนเม็ดให้ หากเป็นเช่นนั้นคงจะไม่มีสักคนที่จะมีชีวิตรอดเมื่อประมุขจวนยมโลกรู้เรื่องนี้เข้า
แต่ตอนนี้ถ้าพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับ ชื่อเสียงของจวนยมโลกก็จะถูกทำลายโดยสิ้นเชิง
พวกเขาถูกบีบเดินบนเส้นทางที่ไม่มีทางให้เดิน
เมื่อขั้วอำนาจสูงสุดอื่นๆ อย่างหมู่ตึกเทวะและตำหนักสุดนภาเห็นจวนยมโลกถูกบีบจนตรอก พวกเขาก็รู้สึกทั้งหนังหัวชาหนึบและยินดีในเวลาเดียวกัน โชคดีที่เป็นจวนยมโลกทำเรื่องนี้ ถ้าพวกเขาอยู่ในสถานการณ์เดียวกับจวนยมโลก พวกเขาคงอยากฆ่าตัวตายเลยทีเดียว
สถานการณ์ตอนนี้จวนยมโลกถูกบีบภายใต้แรงกดดันใหญ่หลวง ต่อไปก็ต้องดูว่าพวกเขาจะจัดการกับสถานการณ์ห่วยแตกนี้ได้อย่างไร