บันทึกมังกรหงส์
“ผู้ใต้บังคับบัญชาขอคารวะแม่ทัพหก!”
บนท้องฟ้าระลอกคลื่นบางจางโชนขึ้นในหัวใจสงบนิ่ง ขณะที่มู่เฉินมองหน่วยรบกงเวทสวรรค์ที่กำลังคำนับลงด้วยความเคารพ ไม่ว่าอย่างไรเบื้องหน้าเขาก็คือหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์
ถึงแม้หน่วยรบวิหคโลกันตร์จะมีศักยภาพไม่น้อย แต่หากสองทัพนี้ปะทะกันในตอนนี้ คงอยู่ได้เพียงไม่กี่นาที เนื่องจากนักรบกงเวทสวรรค์มีขุมพลังจื้อจุนทั้งหมดแล้ว
ถ้าอำนาจของหน่วยรบนี้ถูกปลดปล่อยออกมาทั้งหมดละก็ บางทีนอกจากสามจอมพลแล้ว ก็ไม่มีผู้บัญชาการคนไหนสามารถต่อกรกับพวกเขาได้
เนื่องจากหน่วยรบกงเวทสวรรค์ทรงพลังอย่างยิ่ง จึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะดำรงตำแหน่งแม่ทัพ กระทั่งตอนนี้แม้เขาสามารถฝ่าค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงมาได้ แต่เขาก็รู้ว่าหน่วยรบกงเวทสวรรค์ยังไม่ยอมรับเขาอย่างเต็มหัวใจ พลังของเขายังอ่อนแอกว่าแม่ทัพคนอื่นๆ นัก
แต่มู่เฉินก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนกับเรื่องนี้ แม้จะมีช่องว่างพลังระหว่างเขากับแม่ทัพทั้งห้า แต่ตราบใดที่มีเวลาพอเพียง จะต้องมีสักวันหนึ่งที่จะไม่มีใครกล้ามองอย่างดูถูก
มู่เฉินพลิ้วลงจากท้องฟ้าช้าๆ ลงมาตรงที่มั่นถัวหลัวกับคนอื่นยืนอยู่ เขาโบกมือขวดหยกก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงสองสีแตกต่างกันไหลเวียนอยู่ภายใน สิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายในคลื่นหลิงทั้งสองก็คือหยดเลือดมังกรไฟโบราณเก้าหยดที่ดูราวกับลาวา ส่งคลื่นพลังแผดเผาร้อนแรงอย่างยิ่งออกมา
เลือดมังกรไฟโบราณ
“ทั้งหมดนี่ของข้าหมดเลยเหรอ?” มู่เฉินยิ้มขณะมองมั่นถัวหลัว
มู่เฉินตาลุกวาวกับเลือดมังกรไฟโบราณ เนื่องจากมังกรไฟโบราณจัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของเทพอสูรที่ทรงพลัง ซึ่งพลังไม่ด้อยกว่ามังกรทะเลเหนือเลย
ย้อนไปที่สำนักศึกษาเป่ยชาง มู่เฉินต้องเค้นความพยายามทุกหยาดหยดเพื่อให้ได้เลือดมังกรทะเลเหนือเพียงหยดเดียวเท่านั้น แต่ตอนนี้เขาได้เลือดมังกรไฟโบราณมาตั้งเก้าหยด เขาจึงรู้สึกมีความสุขมากเป็นพิเศษ
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเฉยๆ แม้เลือดมังกรไฟโบราณจะมีค่ามาก แต่ไม่มีค่ามากนักในสายตานาง
“ในเมื่อเจ้าผ่านค่ายกลเก้าทบมังกรเพลิงได้ สิทธิ์ที่จะประลองศึกมังกรหงส์หนึ่งเดียวก็จะเป็นของเจ้า”
มั่นถัวหลัวเหลือบมองมู่เฉินก่อนพูดขึ้น “ศึกมังกรหส์เป็นเหตุการณ์ใหญ่ที่สำคัญของจอมยุทธ์รุ่นใหม่แห่งภูมิภาคทางเหนือ ทุกคนที่เข้าร่วมเป็นปีศาจมากพรสรรค์ยิ่งบวกกับภูมิหลังที่ทรงพลัง ความแข็งแกร่งของพวกเขาไม่ใช่คนที่เจ้าเคยเผชิญมาก่อนจะเทียบได้”
มู่เฉินพยักหน้า เขาไม่คิดสบประมาทอัจฉริยะฟ้าประทานที่ถูกเลี้ยงดูด้วยทรัพยากรจากขั้วอำนาจหลากหลาย แม้จะยังไม่เคยเจอใครอื่นอีก แต่แค่หลิ่วเหยียนจากตำหนักสุดนภาก็เพียงพอที่จะทำให้เขารู้สึกถูกคุกคามแล้ว
“มีข้อห้ามในศึกมังกรหงส์และไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ ดังนั้นเมื่อเวลานั้นมาถึงเจ้าพึ่งพาได้แค่ตัวเอง ถ้าประมาทจนถูกฆ่าตายที่นั่น ก็จงโทษตัวเองที่มีความสามารถไม่มากพอ”
“เคยมีคนจากอาณาเขตกงเวทสวรรค์เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ในอดีตหรือไม่?” มู่เฉินถามหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่
“ก็เคยมี แต่พวกเขาทั้งหมดถูกตัวแทนจวนยมโลกสังหารสิ้นตั้งแต่เข้าไปไม่นาน” สีหน้าของมั่นถัวหลัวน่าเกลียดไป อาณาเขตกงเวทสวรรค์ถูกเยาะเย้ยเพราะเรื่องนี้มาไม่น้อย
“ในอดีตมีความแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างจอมยุทธ์รุ่นใหม่อาณาเขตกงเวทสวรรค์กับขั้วอำนาจชั้นยอดอื่นๆ ฮ่า ๆ ท่านประมุขเหมือนจะไม่ใคร่จะสนใจด้วย” เทียนจิ้วเอ่ย
“ใครจะมีเวลามากชุบเลี้ยงคนหนุ่มสาวกันเล่า? ข้าสามารถจัดการอัจฉริยะเหล่านั้นให้ตายคาที่ด้วยตบครั้งเดียว ทำไมจะต้องพะเน้าพะนอขนาดนั้น? ตราบใดที่ข้ายังอยู่ อาณาเขตกงเวทสวรรค์ก็จะยังอยู่ แต่ถ้าไม่อยู่แล้ว ก็ไร้ประโยชน์ ไม่ว่าจะมีอัจฉริยะฟ้าประทานมากเท่าไรก็ตาม” มั่นถัวหลัวถลึงดวงตาสีทองใส่เทียนจิ้ว
มู่เฉินอดอมยิ้มไม่ได้ แม้นางจะพูดแบบนี้ แต่เห็นชัดว่าก็ไม่ได้หมายความอย่างที่พูด นางใช่ว่าจะไม่เคยชุบเลี้ยงจอมยุทธ์รุ่นใหม่ แต่เหมือนมักจะไม่ถึงระดับที่นางพึงพอใจ
แต่ที่นางพูดก็ถูกต้อง เหตุผลที่ว่าทำไมอาณาเขตกงเวทสวรรค์ยังคงยืนยงเป็นขั้วอำนาจชั้นยอดอยู่ได้ก็เป็นเพราะนาง จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนที่ทรงพลัง ตราบใดที่นางยังอยู่ ก็ไม่มีใครหน้าไหนกล้ามายึดครองอาณาเขตกงเวทสวรรค์ และถ้านางไม่อยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะมีจอมยุทธ์รุ่นใหม่ฝีมือน่าสะพรึงเพียงใด พวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องอาณาเขตกงเวทสวรรค์ได้
“ฮ่าๆ ข้าหวังว่ามู่เฉินจะฉายศักยภาพน่าทึ่งในศึกมังกรหงส์ครั้งนี้ ทำให้คนอื่นๆ ในภูมิภาคทางเหนือรู้ว่าอาณาเขตกงเวทสวรรค์ของเราก็มีจอมยุทธ์รุ่นใหม่นี่น่าสะพรึงเหมือนกัน” เทียนจิ้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
มู่เฉินพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุดขอรับ”
แม้เขาจะรู้ว่าทุกคนที่เข้าร่วมศึกมังกรหงส์ต่างเป็นอัจฉริยชน คนอย่างเขาก็ไม่รู้สึกกลัว พวกเขาอาจทรงพลัง แต่ตัวเขาก็ไม่ใช่ธรรมดาเช่นกัน
ถ้าเขาไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักเล็กน้อย ก็คงไม่ได้มาไกลถึงขนาดนี้
“เป็นเรื่องดีที่เจ้าจะมีผลงานที่ดี แต่อย่าถูกพวกไร้ชื่อฆ่ากลายเป็นบันไดให้คนอื่น สร้างความอับอายให้กับอาณาเขตกงเวทสวรรค์ล่ะ” มั่นถัวหลัวเอ่ยขณะสาดน้ำเย็นใส่ความภาคภูมิของมู่เฉิน
มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับพลางขบฟัน “มีประมุขคนไหนทำตัวแบบเจ้ากัน?!”
หัวใจของทุกคนสั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดนั่น ในอาณาเขตกงเวทสวรรค์มั่นถัวหลัวคือประมุขผู้ทรงอิทธิพลไม่มีใครกล้าขัดคำพูดของนาง แม้นางจะมีรูปร่างเป็นสาวน้อยน่ารักในตอนนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าไม่เคารพเพียงเพราะรูปลักษณ์ ดังนั้นเมื่อทุกคนได้ยินมู่เฉินพูดกับมั่นถัวหลัวแบบนี้ พวกเขาก็ได้แต่ผงะไป
ขณะที่ทุกคนรู้สึกประสาทจะกิน มั่นถัวหลัวกลับไม่โกรธเคือง ริมฝีปากจ้อยร่อยโค้งเป็นรอยยิ้มเยาะ จากนั้นก็หันหลังกลับเดินทอดหุ่ยออกจากไปพลางเอามือไพล่หลัง เสียงอ่อนวัยดังขึ้น
“ตามข้ามาเถอะ ยังมีเวลาเหลืออีกห้าวันกว่าศึกมังกรหงส์จะเริ่ม ข้าจะให้อะไรบางอย่างกับเจ้า อย่าหาว่าข้าไม่ดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา”
มู่เฉินอึ้งไปเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก่อนที่เขาจะโบกมือให้จิ่วโยวและตามหลังมั่นถัวหลัวไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว คนที่เหลือก็มองหน้ากันพลางยิ้มขื่น พวกเขาไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างมู่เฉินกับมั่นถัวหลัว จากที่สนทนากันทั้งสองดูไม่เหมือนเจ้านายและผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเย็นชาเป็นนิจของมั่นถัวหลัว มู่เฉินก็คงจะกลายเป็นผุยผงจากการดีดนิ้ววูบเดียวใส่ หากเขากล้าพูดกับนางแบบนี้
จิ่วโยวยักไหล่พร้อมกับคลี่ยิ้ม นางรู้สึกสุขใจที่มั่นถัวหลัวดูแลมู่เฉินอย่างดี เหตุผลว่าทำไมนางถึงพามู่เฉินมายังอาณาเขตกงเวทสวรรค์ ก็เพื่อให้เขามีสภาพในการฝึกยุทธ์ที่ดีที่สุด แม้นางจะไม่รู้ว่ามู่เฉินมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับมั่นถัวหลัวได้ยังไง แต่นี่ก็เป็นเรื่องดี
ทะยานผ่านเขตต้าหลัวเทียน
มู่เฉินติดตามมั่นถัวหลัวไปก่อนจะพลิ้วตัวลงบนยอดเขาลูกหนึ่งในส่วนลึกของเทือกเขา ที่ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงตระหง่านเป็นหอคัมภีร์ที่ออกแบบไว้เรียบง่าย
เมื่อลงมาเบื้องหน้าหอคัมภีร์ มู่เฉินก็เกร็งร่างจากปฏิกิริยาตอบสนอง ขณะที่กวาดสายตาออกไป เนื่องจากในบริเวณนี้เขาสัมผัสได้ถึงริ้วคลื่นอันตรายที่แทรกซึมเข้ามาถึงกระดูก
“นี่คือหอคัมภีร์ของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ วิทยายุทธเทพ ค่ายกลและมรดกมากมายที่เรายึดมาจากสำนักและตระกูลต่างๆ จะถูกเก็บไว้ที่นี่ สถานที่นี้เป็นสถานที่สำคัญของสำนัก นอกจากนั้นยังเป็นสถานที่ที่เสี่ยวเมิ่งใช้ปลีกวิเวกอีกด้วย” มั่นถัวหลัวเอ่ยเรียบๆ
“เสี่ยวเมิ่ง?”
มู่เฉินอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนที่จะตระหนักได้ว่านางพูดถึงจอมพลซุ่ยนอน ทันใดนั้นมุมปากก็กระตุกอย่างไม่รู้ตัว หัวหน้าจอมพลผู้ยิ่งใหญ่กลับถูกมั่นถัวหลัวเรียกด้วยชื่อเล่นน่าขันขนาดนี้
“ที่นี่ก็คือสถานที่ที่จอมพลซุ่ยนอนปกป้องหรือ” มู่เฉินค่อยๆ ผ่อนร่างกายลง ไม่แปลกใจว่าทำไมเขาถึงสัมผัสถึงอันตรายแรงกล้าก่อนหน้า มีจอมยุทธ์ระดับนี้คอยปกป้องสถานที่แห่งนี้ คนธรรมดาไม่กล้าจะเข้ามาใกล้หรอก
“ถึงตอนนี้เจ้าจะบรรลุขุมพลังตามต้องการ เจ้าก็ยังเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุนขั้นสาม มีช่องว่างระหว่างเจ้ากับอัจฉริยชนพวกนั้น ว่ากันว่าหลิ่วเหยียนแห่งตำหนักสุดนภาก้าวสู่ขุมพลังจื้อจุนขั้นสี่มานานแล้ว เทียบกับฉิงเปยที่เจ้าเอาชนะได้ ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ามากเท่าไร” เสียงนุ่มนวลของมั่นถัวหลัวดังก้องตรงหน้าหอคัมภีร์
“นอกจากนี้เจ้ายังทำให้หลิ่วหมิงหมดสมรรถภาพ มิหนำซ้ำหลิ่วเหยียนก็ประกาศชัดว่าจะจัดการเจ้าในศึกมังกรหงส์ด้วย”
มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ หลิ่วเหยียนเป็นคนน่าสะพรึงที่คนอย่างฉิงเปยไม่อาจเทียบติดจริงๆ
มั่นถัวหลัวโบกมือประตูของหอคัมภีร์ก็ค่อยๆ เปิดออก ชั่วขณะนั้นความผันผวนที่น่าตกใจก็กวาดออกแต่พวกมันก็ไม่อาจทำให้แม้แต่ชายกระโปรงของมั่นถัวหลัวที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูจะขยับได้
มั่นถัวหลัวเดินเข้าไปโดยมีมู่เฉินตามมาข้างหลัง เมื่อเข้ามาในหอประกายแสงสีสันหลากหลายก็พุ่งเข้ามาในดวงตา แท่นหินจำนวนมากเต็มไปด้วยวงแสงที่มีม้วนคัมภีร์ลอยอยู่ภายใน
ม้วนคัมภีร์แต่ละม้วนกำจายคลื่นหลิงทรงพลัง เห็นชัดว่าพวกมันไม่ใช่ของธรรมดาเลย
การรวมตัวของแสงเจิดจ้าทำให้มู่เฉินอ้าปากตาค้าง จากนั้นเขาก็อดเบ้ปากไม่ได้ นี่คือความมั่งคั่งของขั้วอำนาจชั้นยอด ไม่รู้ว่ามีสำนักโชคร้ายจำนวนมากเท่าใดที่ถูกยึดครองในหลายปีที่ผ่านมานี้
มั่นถัวหลัวไม่ได้ให้มู่เฉินเลือก นางกวักมือ ลำแสงหนึ่งก็พุ่งเข้ามาอยู่ในมือนางก่อนที่จะโยนให้มู่เฉิน
“ในเมื่อเจ้าจะเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ก็ควรจะรู้จักบรรดาคู่แข่งเอาไว้ อัจฉริยชนในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือต่างถูกบันทึกไว้ในนี้ เจ้าเอาไปดูซะจะได้รู้ว่าควรเตรียมตัวอย่างไรหากต้องปะทะกับพวกเขา”
ได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว หัวใจของมู่เฉินก็กระตุกรีบรับลำแสงทันที เมื่อแสงจางหาย ม้วนกระดาษก็ปรากฏที่เบื้องหน้า ขอบทั้งสองเป็นมังกรหงส์ไขว้พันกัน เสียงมังกรและหงส์ฟ้าดังแว่วออกมาได้ยินชัดเจน
เขาคลี่เปิดออก แสงสีทองก็ไหลเวียนทันที สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเป็นคืออักษรสีทองเรืองรอง
“บันทึกมังกรหงส์”