หน่วยรบกงเวทสวรรค์
มั่นถัวหลัวไม่ได้พูดลอยๆ เกี่ยวกับการฝึกวรยุทธ
ดังนั้นในวันต่อมาขณะที่มู่เฉินกำลังตรวจตราเตรียมการกองทัพ เด็กสาวชุดดำก็เยื้องย่างมาบนอากาศแล้วยืนจังก้าบนก้อนหินพลางกอดอก ม่านตาสีทองคำจ้องมองมู่เฉินอย่างไร้อารมณ์ใดๆ
“คารวะท่านประมุข!”
การปรากฏตัวกะทันหันของมั่นถัวหลัวทำให้เหล่านักรบชั้นสูงของกองทัพวิหคโลกันตร์รีบทำความเคารพทันที แม้แต่จิ่วโยวก็โค้งคำนับให้
มั่นถัวหลัวพยักหน้าเบาๆ จากนั้นม่านตาทองคำก็มองมู่เฉินเขม็ง “ตามข้ามา”
มู่เฉินฉายสีหน้าขมขื่น เพราะเขาไม่คิดว่ามั่นถัวหลัวจะทำอะไรรวดเร็วว่องไวขนาดนี้ นางเพิ่งพูดเรื่องนี้เมื่อวานวันนี้ก็มาเลยเหรอ
แต่ในเมื่อนางมาที่นี่เป็นการส่วนตัว เขาก็ต้องไว้หน้านางบ้างและอธิบายเรื่องนี้ให้จิ่วโยวฟัง เมื่อได้ยินว่ามั่นถัวหลัวจะฝึกมู่เฉินด้วยตัวเอง แววอัศจรรย์ใจที่ปิดไม่มิดก็วาบขึ้นในดวงตาของจิ่วโยว นางอยู่อาณาเขตกงเวทสวรรค์มาระยะหนึ่งแล้ว ย่อมรู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เข้าใกล้ประมุขสำนัก เนื่องจากประมุขคนนี้ไม่ค่อยจะใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาสักเท่าไร ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการฝึกวรยุทธเป็นการส่วนตัวเลย ซึ่งนั่นเป็นการสละเวลาของตนให้…
ในอดีตตอนที่อาณาเขตกงเวทสวรรค์ส่งตัวแทนเข้าร่วมศึกมังกรหงส์ ประมุขก็ไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็น อย่างมากก็ให้เหล่าจอมพลส่งทรัพยากรไปให้
ดังนั้นเทียบกับอดีตแล้ว การที่ประมุขใส่ใจกับมู่เฉินขนาดนี้ถือเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อมาก
“อย่าทำตัวได้ดีแล้วยังแกล้งซื่ออีก ในเมื่อประมุขคิดจะดูแลเจ้า เจ้าก็อย่าทำให้ท่านผิดหวัง” จิ่วโยวมองมู่เฉินด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ เมื่อเห็นสีหน้าขมขื่นของเขา นางจึงอดไม่ได้ที่จะว่ากล่าวขึ้นมา
การได้รับคำชี้แนะจากจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนถือว่าเป็นโชคใหญ่หลวงที่คนนับไม่ถ้วนต้องการ ทว่ามู่เฉินกลับทำสีหน้าแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่สวรรค์ก็ทนไม่ได้
มู่เฉินยิ้มช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าการชี้แนะจากมั่นถัวหลัวมีค่าเพียงใด ทว่าเขาแค่ยังไม่คุ้นเคยกับตัวตนสูงส่งของนางมากนัก
มั่นถัวหลัวไม่พูดอะไร ทำเพียงเหลือบม่านตาทองคำมองไปที่มู่เฉิน ก่อนจะหันหลังกลับ พอเห็นนางทำเช่นนี้ มู่เฉินก็ล่ำลาทุกคนก่อนจะรีบตามไป ทิ้งสายตาอิจฉาจำนวนมากไว้เบื้องหลัง
ฟิ้ว!
บนท้องฟ้าเขตต้าหลัวเทียน มั่นถัวหลัวก้าวย่างผ่านแผ่วเบาก็ปรากฏตัวห่างออกไปพันจั้ง เบื้องหลังมู่เฉินเปลี่ยนเป็นร่างแสงตามหลังมาติดๆ แต่ไม่ว่าเขาจะเร่งความเร็วขนาดไหน ก็ไม่สามารถแซงหน้าร่างเล็กที่อยู่ตรงหน้าได้
มั่นถัวหลัวสังเกตเรื่องนี้ได้เช่นกันจึงชะลอฝีเท้าลง แล้วเคลื่อนไปโดยมีมู่เฉินอยู่ข้างๆ ในความเร็วเท่ากัน บนท้องฟ้ามีจอมยุทธ์อาณาเขตกงเวทสวรรค์บินฉวัดเฉวียนอยู่เป็นระยะ เมื่อพวกเขาเห็นทั้งสอง ก็รีบโค้งคำนับ เมื่อทั้งคู่ไปแล้ว ดวงตาแต่ละคู่ก็มองมู่เฉินด้วยความประหลาดใจ เห็นชัดว่าพวกเขารู้สึกตะลึงใจกับการที่มู่เฉินสามารถเหาะไปเคียงข้างกับท่านประมุขได้
“เราจะไปไหนกัน?” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเมื่อมองไปที่มั่นถัวหลัว
ม่านตาทองคำของมั่นถัวหลัวจ้องมองตรงไปข้างหน้า ไม่ได้ตอบคำถามของมู่เฉิน นางกลับถามย้อนออกมา “ด้วยพลังของหลิ่วเหยียน สามารถยืนอยู่ในห้าอันดับแรกของจอมยุทธ์รุ่นใหม่ภูมิภาคทางเหนือ จากการประเมินของข้า ขุมพลังของเขาในตอนนี้น่าจะอยู่ในระดับจื้อจุนขั้นสี่”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็เหลือบมองมู่เฉินเอ่ยต่อว่า “อย่าเอาระดับจื้อจุนขั้นสี่ของฉิงเปยมาเทียบกับหลิ่วเหยียนเด็ดขาด ฉิงเปยแค่ยืมพลังจากยามาช่วยให้บรรลุพลังชั่วคราว หากเขาสู้กับหลิ่วเหยียนละก็ อยู่ได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าแน่”
สีหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลงหลายส่วน ตัวเขาต่อสู้กับฉิงเปยจึงรู้ว่าศัตรูเช่นนี้เป็นอย่างไร กระทั่งเขากางไพ่ตายทั้งหมดออกมา ก็ทำได้เพียงเอาชนะฉิงเปยโดยแลกกับการได้รับบาดเจ็บสาหัสที่จะได้รับ และตอนนี้มั่นถัวหลัวกลับบอกว่าฉิงเปยทนได้ไม่ถึงสิบกระบวนท่าเมื่อสู้กับหลิ่วเหยียน…
แม้เขาจะรู้ว่าหลิ่วเหยียนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น แต่ก็ไม่คิดว่าจะทรงพลังขนาดนี้
ชื่อเสียงของประมุขน้อยตำหนักสุดนภาไม่ใช่เรื่องโม้จริงๆ
“ถ้าเจ้าสู้กับหลิ่วเหยียนตอนนี้ โอกาสที่จะชนะต่ำเตี้ยเรี่ยดินนัก”
มั่นถัวหลัวพูดแบบไม่ไว้หน้ามู่เฉินแม้แต่น้อย มู่เฉินก็ทำได้เพียงยิ้มแหยรับ แม้เขาจะไม่กลัว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนโง่ พลังของเขาอยู่ระดับจื้อจุนขั้นสอง เหตุผลที่ว่าทำไมเขาสามารถเอาชนะฉิงเปยได้ก็เป็นเพราะร่างเทพสุริยะบวกกับวิชาเก้ามังกรคชสาร แม้พลังนับว่าแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ทำให้เขาหลุดพ้นขีดจำกัดได้ นี่เป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อที่เขาสามารถเอาชนะฉิงเปยได้ แต่ถ้าเขาจะเอาชนะหลิ่วเหยียนที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อบเทียบกัน ก็ไม่มีใครเห็นเขาเป็นมนุษย์แล้ว
“ผู้เข้าแข่งขันศึกมังกรหงส์ต่างเป็นอัจฉริยชนที่มีฝีมือโดดเด่นในหมู่จอมยุทธ์รุ่นใหม่ของภูมิภาคทางเหนือ อายุของพวกเขามากกว่าเจ้า ดังนั้นเจ้าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อต้องเผชิญหน้ากัน” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา
มู่เฉินพยักหน้า ในการแข่งขันเช่นนี้ ตราบใดที่มีคุณสมบัติครบถ้วน ก็ไม่มีใครสนเรื่องอายุ ทุกคนสนใจแค่ผลลัพธ์สุดท้าย ไม่มีใครมองความโดดเด่นระหว่างการประลองหรอก
“ดังนั้นอีกสามเดือนข้างหน้า เจ้าต้องบรรลุระดับจื้อจุนขั้นสาม มิฉะนั้นไม่ว่าเจ้าจะมีกลยุทธ์มากเท่าไรก็ไม่สามารถไปได้ไกลในศึกมังกรหงส์หรอก”
มุมปากของมู่เฉินกระตุก เขาเพิ่งจะบรรลุขุมพลังจื้อจุนขั้นสองมาได้ การจะให้ไปสู่อีกขั้นภายในสามเดือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
แต่เขารู้ว่าที่มั่นถัวหลัวพูดมีเหตุผล ไม่ว่าเขาจะมีไพ่ตายอยู่ในมือมากเพียงใด แต่ความหนาแน่นของคลื่นหลิงสำหรับผู้ฝึกถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เมื่อปราศจากการสนับสนุนจากคลื่นหลิงหนาแน่นแล้ว แม้ว่าเขาจะมีร่างเทพสุริยะ ก็เป็นเพียงความแข็งแกร่งภายนอกที่มีความอ่อนแอซ่อนภายในเท่านั้น ไม่มีความสามารถในการต่อสู้มากนัก
“ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องง่ายเลย” มู่เฉินเกาศีรษะเอ่ยปากตรงๆ
“มีข้าอยู่ ไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก” มั่นถัวหลัวเอียงหัวคลี่รอยยิ้มบนใบหน้าผุดผาด แต่รอยยิ้มนั่นดูเย็นเยือกน่าขนลุกในสายตาของมู่เฉินนัก ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะตัวสั่น
ขณะที่สนทนากัน มั่นถัวหลัวก็ลดความเร็วลง มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองออกไปก็เห็นเทือกเขาสีดำกว้างใหญ่ ส่วนมั่นถัวหลัวก็พาเขาไปยังยอดเขาที่สูงตระหง่านที่สุด
เมื่อเท้าของมู่เฉินแตะบนยอดเขา เขาก็รู้สึกถึงไอร้อนไหลเข้าไปในร่างกายผ่านฝ่าเท้า ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขากำลังยืนอยู่บนลาวาเดือด
แต่เมื่อความร้อนไหลบ่าเข้าไปในร่างกาย มู่เฉินก็ตระหนักถึงความประหลาดใจว่าความร้อนนี้แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิงกระจายเข้าในร่างกายเมื่อถูกชำระก็กลายเป็นคลื่นหลิงไหลเวียนอยู่ในเส้นลมปราณของเขา
“ที่นี่ที่ไหนกัน?” มู่เฉินถามอย่างตกตะลึง
มั่นถัวหลัวไม่ตอบแต่เดินไปที่ใจกลางยอดเขาแล้วหยุดลง มู่เฉินรีบตามไปก็เห็นโพรงขนาดใหญ่อยู่ตรงยอดเขา ดูจากรูปร่างแล้ว นี่น่าจะเป็นปากปล่องภูเขาไฟ
มู่เฉินยืนอยู่ตรงขอบปากปล่องภูเขาไฟมองลงไป จากนั้นก็สูดหายใจลึกสุดปอด
ลาวาสีแดงฉานมองเห็นอยู่ในจุดลึกของภูเขาไฟ แผ่อุณหภูมิสูงออกมา ภายใต้อุณหภูมิแผดเผา แม้แต่อวัยวะทั้งหมดของเขายังรู้สึกราวกับกำลังลุกไหม้เมื่อสูดเอาอากาศที่นี่เข้าไป
มู่เฉินขมวดคิ้ว ลาวาที่นี่ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา เพราะเมื่อสูดหายใจเข้าไป เขาก็รู้สึกว่าคลื่นหลิงในร่างกายแผดร้อนขึ้นมา
ลาวาทั่วไปไม่สามารถทำให้คลื่นหลิงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ได้
ภูเขาไฟลูกนี้ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
ขณะที่แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉิน มั่นถัวหลัวก็จับแขนของเขาแล้วกระโดดเข้าไปในปากปล่องภูเขาไฟ เพียงชั่ววูบก็มาปรากฏที่จุดลึกของภูเขาไฟ
ที่นี่ห่างจากลาวาเพียงหนึ่งพันจั้ง คลื่นความร้อนน่ากลัวที่พัดออกมาทำให้มู่เฉินรู้สึกถึงความเจ็บปวดเสียดแทงบนผิวหนัง ทำเอาต้องรีบเร้าคลื่นหลิงออกมาปกป้องตัวเองทันที
วาบ!
เมื่อมู่เฉินกับมั่นถัวหลัวปรากฏตัวตรงจุดลึกสุดของภูเขาไฟ ทันใดนั้นมู่เฉินก็ได้ยินเสียงดังออกมาพร้อมเพรียงกัน เขารีบหันหน้าไปมอง ม่านตาก็หดลง
มีแท่นหินสีดำอยู่บนกำแพงโดยรอบ มีคนชุดดำจำนวนมากอยู่บนแท่นหิน ตอนนี้คนชุดดำเหล่านั้นกำลังคุกเข่าลงข้างหนึ่งมาทางทิศพวกเขาด้วยใบหน้าเคารพ
มู่เฉินรู้สึกตกตะลึงขณะจ้องมองเหล่าคนชุดดำลึกลับทั้งหลาย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าแต่ละคนมีคลื่นหลิงทรงพลัง พวกเขาทุกคนได้บรรลุขุมพลังเข้าสู่ขุมพลังจื้อจุนแล้ว!
“พวกเขาคือสุดยอดหน่วยรบของกองทัพอาณาเขตสวรรค์—หน่วยรบกงเวทสวรรค์” มั่นถัวหลัวเอ่ยเสียงเบา
มู่เฉินสูดหายใจเอาอากาศร้อนผ่าวเข้าไป นี่คือหน่วยรบที่ทรงพลังและลึกลับที่สุดของอาณาเขตกงเวทสวรรค์ แม้ว่าจำนวนนักรบจะน้อยกว่านักรบวิหคโลกันตร์ แต่มู่เฉินรู้ว่าหากพวกเขาตั้งกระบวนทัพขึ้นมา เพียงแค่รัศมีจั้นยี่กวาดใส่ก็สามารถกำจัดหน่วยรบวิหคโลกันตร์ได้แล้ว
เพราะนักรบทุกคนมีขุมพลังจื้อจุน!
เผชิญกับกองทัพที่จัดตั้งจากจอมยุทธ์ขุมพลังจื้อจุน บางทีแม้แต่จอมยุทธ์ทรงพลังอย่างจอมพลเทียนจิ้วกับจอมพลหลิงถงก็ไม่กล้าประมาท
วาบ!
บนแท่นหินสีดำ ร่างคนทั้งสี่ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าปรากฏตัวต่อหน้ามั่นถัวหลัว จากนั้นก็ทำความเคารพด้วยมารยาทสูงสุด “คารวะท่านประมุข!”
ทั้งสี่สวมชุดสีดำมีความนอบน้อมฉายบนใบหน้า แต่คลื่นหลิงของพวกเขาที่กำจายออกมากลับทำให้มู่เฉินตะลึงอีกครั้ง ขุมพลังของทั้งสี่คนน่าจะบรรลุระดับจื้อจุนขั้นห้าแล้ว
อาณาเขตกงเวทสวรรค์สมกับที่เป็นขั้วอำนาจชั้นยอดแห่งภูมิภาคทางเหนือจริงๆ!
“มีแม่ทัพห้าคนในหน่วยรบกงเวทสวรรค์ ตอนนี้อยู่ที่นี่สี่คน อีกคนกำลังเก็บตัวฝึกยุทธ์” มั่นถัวหลัวส่งยิ้มให้มู่เฉิน
มู่เฉินเดาะลิ้นพลางพยักหน้า ในที่สุดเขาก็ได้เห็นพลังของหน่วยรบชั้นยอดแล้ว
“สำหรับอีกสามเดือนจากนี้ ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่เจ้าฝึกวรยุทธ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมั่นถัวหลัวดูล้ำลึกขณะชี้นิ้วลงไป ซึ่งจุดนั้นก็คือลาวาสีแดงผิดปกติที่ทำให้มู่เฉินหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำด้วยความหวาดกลัว
เมื่อได้ยินคำพูดของมั่นถัวหลัว เขาก็รู้สึกขนลุกเกรียวเลยทีเดียว