หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler 1562 เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพ

ตอนที่ 1562 เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพ

มิติถูกลดระยะห่างอย่างรวดเร็ว

พื้นที่นี้ตกอยู่ในความวุ่นวายด้วยพายุรุนแรง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังไม่กล้าแหย่เท้าเข้ามา

ท่ามกลางความโกลาหลมีความผันผวนเชิงมิติ

ลำแสงสีดำสายหนึ่งพุ่งออกมา กลายเป็นร่างคนซึ่งก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ

ขณะนี้ใบหน้าของเทพปีศาจมืดครึ้ม เขาอยู่ที่ชายขอบของมหาพันภพแล้ว อีกก้าวหนึ่งก็จะฝ่าปราการระนาบพิภพ เมื่อหลายหมื่นปีก่อนเขาเป็นคนที่นำจักรวรรดิปีศาจยาตราผ่านมาทางนี้เพื่อบุกเข้าสู่มหาพันภพ

ทว่าเขาไม่เคยคิดว่าหลายหมื่นปีถัดมาเขาก็ต้องหนีซมซานออกจากที่นี่เช่นกัน

“บ้าเอ้ย! มู่เฉิน เทพจักพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม คนอย่างข้ายังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายดายแบบนี้หรอก ข้าจะกลับมาอีกครั้ง!” เทพปีศาจกล่าวเสียงเย็นชา

ตู้ม!

แต่ทันใดนั้นเองมิติรอบตัวเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ลำแสงสายหนึ่งบินฉวัดเฉวียนเข้ามา

ลำแสงนี้ไม่สะดุดตา แต่กลับทำให้ใบหน้าของเทพปีศาจเปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายการทำลายล้างที่มาจากมัน

เสียงคำรามถูกปลดปล่อย รัศมีปีศาจก็พุ่งออกมาก่อตัวแนวป้องกันนับล้านๆ ที่เบื้องหน้าเขา

ปัง ปัง!

ทว่าแนวป้องกันเหล่านั้นก็พังทลายลงในพริบตา ขณะที่ลำแสงบินมาปรากฏเบื้องหน้าเทพปีศาจ เวลานี้เขาเห็นแล้วว่าสิ่งที่อยู่ภายในคือลูกปัดแพรวพราว

การสะท้อนแสงของลูกปัดฉายใบหน้าขนพองสยองเกล้าของเทพปีศาจ

แต่ก่อนที่เขาจะตอบสนอง ลูกปัดก็โผบินแล้วยิงเข้าที่ดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผาก

ปุ!

ไม่ได้เกิดความปั่นป่วนใดๆ แต่เลือดสีดำสาดกระเซ็นออกมา ลูกปัดทำลายดวงตาฝังลึกอยู่ในตัวเขา

ร่างเทพปีศาจแข็งทื่อพร้อมกับความไม่เชื่อบนใบหน้า เขาตัวสั่นเมื่อสัมผัสหน้าผาก ลูกปัดทรงกลมก็ค่อยๆ แตกออกจากกัน ทันใดนั้นรัศมีจั้นยี่ที่บ้าคลั่งก็พลุ่งพล่านเข้าสู่ร่างกายเขา

“เป็นไปได้ยังไง…?” เทพปีศาจพึมพำ

ขณะที่มิติแปรปรวนเบื้องหน้าหน้าเขา ร่างร่างหนึ่งก็ก้าวออกมา มู่เฉินมองไปที่เทพปีศาจอย่างเย็นชาและพูดว่า “ทุกชีวิตอาจมีพลังจ้อยร่อย แต่เมื่อรวมกันก็สามารถทำลายเจ้าได้”

ใบหน้าของเทพปีศาจเปลี่ยนไปขณะที่เลือดไหลกระฉูดลงมาจากหน้าผากทำให้ดูน่าสยดสยองยิ่งนัก เมื่อรู้สึกถึงพลังทำลายล้างที่สร้างความหายนะภายในร่างกายเขาก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยออกมา “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเทพปีศาจจักรพรรดิเช่นข้าจะต้องทิ้งชีวิตไว้ในมหาพันภพ…”

เขาเงยหน้าขึ้น แม้จะไม่มีดวงตาแต่ก็ยังมองไปที่มู่เฉิน “มหาพันภพได้รับพรจากสวรรค์แท้จริง อีกไม่นาน รวมเจ้าด้วยคงมีเทพผู้พิทักษ์ถึงสามคน หึ หึ น่าเกรงขาม…”

“มหาพันภพไม่ธรรมดาจริงๆ”

มู่เฉินจ้องมองไปที่เทพปีศาจตอบว่า “เทพปีศาจ เจ้าก่อกรรมทำเข็ญฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ไปทั่วจักรวาลของข้ามานับหมื่นๆ ปี ซ้ำยังก่อให้เกิดมหันตภัยใหญ่ครั้งที่สอง วันนี้ถือว่าเป็นหนี้ที่ต้องจ่ายให้ทุกคนที่สังเวยชีวิตไป”

เทพปีศาจฉายรอยยิ้มไม่แยแสตอกกลับว่า “พวกมันก็เป็นแค่มด ทำไมข้าถึงต้องสนใจในการฆ่าด้วยล่ะ? ในเมื่อวันนี้ข้าแพ้ด้วยน้ำมือเจ้าก็หมายความว่าชะตาลิขิต แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ข้ารู้สึกเสียใจ ก็ดูถูกกันเกินไปแล้ว”

หลังจากหยุดชั่วครู่ดูเหมือนว่าจะมีความเสียดายแขวนอยู่ที่มุมปากบางเบาขณะที่พึมพำ “ตอนแรกยังคิดจะครอบครองมหาพันภพเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับจักรวรรดิปีศาจสักหน่อย”

“ช่างน่าเสียดาย…ที่ล้มเหลว”

เมื่อสิ้นเสียงเทพปีศาจ รอยแตกก็ปกคลุมไปทั่วร่าง

ตู้ม!

อึดใจร่างกายก็ระเบิด รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตแผ่ออกมา

มู่เฉินยืนจ้องมองรัศมีปีศาจจากนั้นลำแสงก็พุ่งออกมาจากศีรษะ เจดีย์พลิ้วลงมาดูดรัศมีปีศาจทั้งหมดไป

ตู้ม!

เจดีย์ปล่อยตัวลงในดินแดนว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย ขณะเดียวกันแสงหลิงก็ส่องประกาย ปิดผนึกทั้งดินแดนไม่ให้ผู้ใดรับรู้ได้

เจดีย์ระงับไอปีศาจที่เทพปีศาจปลูกฝังในช่วงชีวิต ซึ่งจะทำให้คลื่นหลิงปนเปื้อนหากมีการแพร่กระจาย ดังนั้นจึงต้องระงับและค่อยๆ ชำระไป

แต่ครั้งนี้เทพปีศาจสิ้นชีพแล้ว

มู่เฉินมองไปที่เจดีย์เป็นเวลานาน จากนั้นก็สะบัดมือคลื่นหลิงพลิกผันฉายภาพเขาไปยังส่วนต่างๆ ในมหาพันภพ เสียงเขาสะท้อนออกมา

“เทพปีศาจจักรพรรดิสิ้นชีพแล้ว หายนะของมหาพันภพมลายหายไปสิ้น”

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปใครที่คิดบุกรุกบ้านเราจะต้องถูกสังหารจนสิ้นซาก”

ตู้ม!

ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้นจากทั่วทุกมุม ผู้คนนับไม่ถ้วนคุกเข่าลง ภายใต้มหันตภัยทำลายล้างพวกเขาราวกับมดตัวน้อย แต่โชคดีที่อัจฉริยะที่โดดเด่นปรากฏตัวในช่วงเวลาวิกฤตขจัดภัยพิบัติลง

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

“เทพมหาจักรพรรดิมู่!”

เสียงโห่ร้องดังสนั่นไปทั่วจักรวสาล ทำให้โลกทุกใบสั่นสะเทือน

ในทวีปเป่ยชางทุกคนต่างก็ส่งเสียงร้องดีใจเช่นกัน แม้ว่าเสียงจะแหบแห้งหมดไป แต่ก็ไม่สามารถหยุดความปลื้มปริ่มได้ ดวงตาของพวกเขาลุกโชนขณะมองไปที่ร่างสง่างามนั้น

“เจ้านั่น… ไม่รู้ว่าจะสามารถตามรอยเขาในช่วงชีวิตตนเองได้ไหม?” เสิ่นชังเสิงถอนหายใจขณะเงยหน้าขึ้น

“ตราบใดที่ไม่ยอมแพ้ก็มีความหวัง เราต้องทำงานให้หนักยิ่งขึ้น” หลี่เฉวียนทงยิ้ม

ทั้งสองสบตากันก็หัวเราะร่า ย้อนนึกไปในอดีต ตอนอยู่ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง แม้พวกเขาจะแข็งแกร่งกว่ามู่เฉิน แต่ศิษย์น้องคนนี้เคยกลัวซะที่ไหน? เขายังคงมุ่งมั่นพยายามก้าวทีละขั้น…ทีละขั้น จนสุดท้ายก็อยู่เหนือพวกเขา

 

ตำหนักมู่

“ลูกชายข้าน่าเกรงขามจริงๆ” มู่เฟิงยืนอยู่เบื้องหน้าตำหนักพร้อมกับยิ้มตาหยี ถังซันและพรรคพวกก็ยืนอยู่ด้านข้าง คนเหล่านี้คือเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของเขาจากมณฑลเป่ยหลิง ตอนที่มหาพันภพเกิดภัยใหญ่เขาก็ไปรับพรรคพวกมาอยู่ด้วยกันที่ตำหนักมู่

เมื่อเห็นความภาคภูมิใจบนใบหน้าของมู่เฟิง ถังซันและคนอื่นๆ ก็อดส่ายหัวกับบิดาที่อวดลูกชายไม่ได้ ‘ลูกชายของเจ้าดำรงอยู่สูงสุดในมหาพันภพแล้ว เจ้ายังจะเอามาอวดอีกเรอะ?’

 

ทวีปหลิงหมัว

ลั่วหลียืนมือไพล่หลัง เงยหน้าเล็กน้อยมองไปในความว่างเปล่า

ครู่หนึ่งมิติเบื้องหน้าก็ผันผวน มู่เฉินก้าวออกมา

“อา ท่านวีรบุรุษกลับมาแล้วเหรอ?” ลั่วหลีฉายรอยยิ้มงดงาม

มู่เฉินยิ้มขณะเหยียดแขนออกโอบเอวบางไว้ “ข้ากลัวจริงๆ นะว่าจะปกป้องทุกคนไม่ได้”

ลั่วหลีเผยรอยยิ้มอบอุ่นขณะสวมกอดมู่เฉิน “มู่เฉิน… เจ้ายอดเยี่ยมที่สุดในจักรวาลและข้าภูมิใจในตัวเจ้าที่สุด”

“นอกจากนี้ตอนนี้เจ้าคือเทพจอมยุทธ์สูงสุดแท้จริง

“เจ้าได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้าในตอนนั้นแล้ว”

มู่เฉินก้มหน้าลงมองใบหน้าสะคราญโฉมก็ยิ้ม “งั้นเราจะแต่งงานกันเมื่อไรดี?”

ใบหน้าของลั่วหลีขึ้นริ้วแดง ม่านตาสดใสกะพริบด้วยความโหยหาตอบว่า “ทุกที่ทุกเวลา”

เมื่อมองไปที่คนรัก มู่เฉินก็นึกย้อนไปในเวลาที่พวกเขาพบกันในสงครามเทพยุทธ์ เขาเจอพบกับเด็กสาวคนหนึ่งที่เย็นชาแต่ดื้อรั้น

“ลั่วหลี”

“หืม?”

“ดีใจที่เจ้าอยู่กับข้า”

“ข้าก็เช่นกัน”

 

หายนะจบสิ้นลงความสงบสุขก็กลับคืนสู่มหาพันภพ

หลังจากเทพปีศาจสิ้นท่า กองทัพจักรวรรดิปีศาจก็แตกฉานซ่านเซ็น แม้ว่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพจะไล่สังหารไปมากมาย แต่ก็ยังมีนักรบปีศาจที่มีความสามารถใช้ช่องทางของพิภพเขตล่างหลบหนีออกจากมหาพันภพ

แต่เมื่อไม่มีเทพปีศาจแล้ว คนที่พ่ายแพ้ก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป

หลังจากขับไล่เผ่าปีศาจต่างมิติได้ มู่เฉินก็หมุนเวียนพลังเอกภพทำความสะอาดดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยถูกยึดครองโดยเผ่าปีศาจ เพื่อให้คลื่นหลิงสามารถกลับไปปกคลุมดินแดนที่เหลือของมหาพันภพอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี

เมื่อมีการปลดปล่อยดินแดนกว้างใหญ่ไพศาล การแข่งขันดุเดือดก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ขั้วอำนาจจำนวนมากเริ่มต่อสู้เพื่อชิงทรัพยากร

อย่างไรก็ตามมู่เฉินไม่ได้ขัดขวางกับเรื่องนี้ เนื่องจากเขารู้ว่าการแข่งขันจะต้องเกิดทุกที่ในโลก ถ้าไม่มีการแข่งขันใดๆ ทุกสิ่งอย่างก็จะสูญสลายตามวัฏจักรชีวิต

 

หนึ่งปีต่อมา

มหันตภัยในมหาพันภพถูกลบออกไปอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้ทุกที่เต็มไปด้วยความคึกคักที่มีชีวิตชีวา

เวลานี้ภาพงานแต่งงานยิ่งใหญ่กำลังฉายไปทั่วมหาพันภพ งานแต่งนี้จัดขึ้นที่ทวีปเทียนหลัว ตำหนักมู่

“หนึ่ง คำนับฟ้าดิน”

“สอง คำนับผู้อาวุโส”

สีแดงประดับประดาทั่วตำหนักมู่ฉายความรื่นเริง เสียงดนตรีไพเราะกำจายไปไกลในรัศมีหมื่นลี้

ในโถงกว้างชิงเหยี่ยนจิ้ง มู่เฟิงและลั่วเทียนเสิ่นนั่งอยู่บนที่นั่งบิดามารดา ขณะที่ยิ้มและมองไปที่บ่าวสาว

ที่ด้านข้างหลินต้งและเซียวเหยียนพร้อมทั้งฮูหยินก็นั่งอยู่ นอกเหนือจากพวกเขาแล้วยังมีจอมยุทธ์คนสำคัญในมหาพันภพอีกด้วย งานแต่งงานครั้งนี้ได้รับความสนใจมหาศาล ผู้คนทั่วมหาพันภพต่างก็ชื่นชมยินดี

“สาม คำนับกันและกัน!”

เสียงหนักแน่นดังขึ้น มู่เฉินในชุดสีแดงมองไปที่หญิงสาวที่สวมมงกุฎหงส์ ขณะที่ทั้งสองโค้งคำนับกันและกัน ดวงตาก็สบกันไปด้วย เมื่อเงยหน้าส่วนโค้งอ่อนโยนก็เผยบนริมฝีปาก นี่ช่างเหมือนภาพเด็กหนุ่มและเด็กสาวมองดูกันในสงครามเทพยุทธ์ตอนที่พบกันครั้งแรก

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านยี่สิบเจ็ดปีก็ผ่านไปในพริบตา

ในช่วงยี่สิบเจ็ดปีมหาพันภพเฟื่องฟูด้วยขั้วอำนาจใหม่มากมายที่ตั้งขึ้นและการเผยตัวของจอมยุทธ์จำนวนมาก

แต่ไม่ว่าพวกเขาจะโดดเด่นแค่ไหนก็รู้ว่ามีสามคนที่ไม่มีใครเทียบได้

 

ทวีปเทียนหลัวที่ตั้งกองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่

บนยอดเขาสูงตระหง่านมู่เฉินนั่งลงพร้อมกับคลื่นหลิงไหลเวียน ที่ปลายยอดเขามีประตูขนาดใหญ่ นั่นก็คือประตูมังกรทะยาน

ที่หน้าประตูสมาชิกตำหนักมู่กำลังพยายามพร้อมคำอุทานที่ระเบิดออกมา

ขณะที่มู่เฉินกำลังเฝ้าดูฉากนี้อย่างเกียจคร้าน ร่างเล็กร่างหนึ่งก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของเขา

“ป้อ!” เสียงอ่อนโยนออดอ้อนดังขึ้น

มู่เฉินสวมกอดเด็กน้อยยิ้มสบายอารมณ์ นี่เป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่อายุประมาณสองขวบ นางเป็นเด็กหน้าตาน่ารักมาก ฟันสีขาวมุก ม่านตาสีสดใส สวมเสื้อผ้าสีฟ้าพร้อมกับถักเปียเล็กๆ บนศีรษะ ความน่ารักของนางทำให้หัวใจของมู่เฉินละลาย

นี่คือลูกสาวของเขาและลั่วหลี ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อให้นางไว้นานแล้ว—มู่หยุนซี

“เฮ้ หยุนซีน้อย คิดถึงพ่อหรือเปล่า?” มู่เฉินยิ้มพร้อมกับดวงตาหรี่ลงมองไปที่บุตรสาว

“กิ๊ด…ตึ๋ง!” มู่หยุนซีตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะคว้าผลไม้วิญญาณบนโต๊ะข้างๆ พร้อมกับน้ำลายไหลในแววตา เห็นได้ชัดว่าอาหารอร่อยๆ ดึงดูดใจมากกว่าบิดา

“เจ้าลูกหมู” มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ

“พวกเจ้าเพิ่งแยกกันเมื่อครู่เองจะคิดถึงอะไรกันนักกันหนา?” เสียงดังก้องจากด้านหลังพร้อมกับลั่วหลีสวมชุดสีดำเดินเข้ามา นางมองคู่พ่อลูกสาวอย่างช่วยไม่ได้

ตั้งแต่ลูกสาวเกิดมา ความรักที่มู่เฉินที่มีต่อเจ้าตัวเล็กก็มากจนบางครั้งนางยังหึง

มู่เฉินหัวเราะเบาๆ ยื่นมือออกไปจับมือลั่วหลีให้นั่งเคียงข้างเขา ครอบครัวเล็กๆ สามคนเต็มไปด้วยความสุขและความรัก

ฮึ่ม!

มู่เฉินที่กำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศ จู่ๆ ก็หรี่ตาลง เขารู้สึกได้ถึงความผันผวนผิดปกติภายในมหาพันภพ

ตู้ม ตู้ม!

ไม่นานหลังจากนั้นมหาพันภพก็เริ่มสั่นสะเทือน

“เกิดอะไรขึ้น?” ลั่วหลีสังเกตเห็นความวุ่นวายก็อุทานออกมา

มู่เฉินยืนขึ้นมองผ่านมิติพลางยิ้ม “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง”

เมื่อเสียงของเขาดังก้อง ทุกคนในมหาพันภพก็สัมผัสได้ถึงความปั่นป่วน พวกเขาเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจเมื่อเห็นกระดานโบราณพลิ้วลงมา นั่นคือทำเนียบเหนือภพ!

ขณะนี้ร่างสง่างามสองร่างยืนอยู่ในแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู นิ้วของพวกเขาราวกับพู่กันตวัดชื่อสมบูรณ์สองชื่อบนกระดานโบราณ

“เซียวเหยียน!”

“หลินต้ง!”

มู่เฉินวางลูกสาวลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นประสานมือไปในทิศทางของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู

“ขอแสดงความยินดีกับผู้อาวุโสทั้งสองที่ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด!”

ในที่ไกลเซียวเหยียนและหลินต้งก็ยิ้มขณะประสานมือให้มู่เฉิน

นี่เป็นอีกครั้งที่มหาพันภพระเบิดเสียงโห่ร้องยินดี ในสายตาทุกคนฉายแววเคารพนับถือ พวกเขารู้ว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปจะมีเทพจอมยุทธ์สูงสุดอีกสองคนในมหาพันภพ

ผู้คนนับไม่ถ้วนโค้งคำนับให้กับเทพจักรพรรดิทั้งสามคนของพวกเขา

ยามนี้มหาพันภพมีเทพผู้พิทักษ์ถึงสามคน ความเจริญรุ่งเรืองจะสืบทอดไปอีกหลายร้อยล้านปีโดยไม่มีวันล่มสลายอีกต่อไป

 

———————-

 

อวสาน

ในทวีปเป่ยชาง

ทุกคนตกอยู่ในความปั่นป่วน ขณะที่มองไปยังกระแสปีศาจเชี่ยวกรากด้วยสีหน้าซีดขาว ดวงตาของพวกเขาเบิกขึ้นด้วยความกลัวลึกๆ

เผชิญหน้ากับพลังนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนอย่างเป่ยหมิงยังรู้สึกครั่นครามและอ่อนแอ

เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากับไท่ชาง เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ไม่คิดว่าสำนักศึกษาเป่ยชางของเราจะพบกับภัยพิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่า…”

ไท่ชางถอนหายใจ “นี่คือภัยพิบัติยิ่งใหญ่ของมหาพันภพ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าจักรวาลจะต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดหากเทพปีศาจจักรพรรดิได้ในสิ่งที่ปรารถนา”

หัวใจของถังเชี่ยนเอ๋อ หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็จมลงเช่นกัน

“ยามนี้เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความทุกข์ยากนี้ได้ แต่ต่อให้จะเป็นเพียงพลังน้อยนิด เราก็ต้องทำให้พวกปีศาจรู้ว่ามหาพันภพไม่เคยขี้ขลาด!”

เสิ่นชังเสิงคำราม หอกสีทองในมือควงไปมา

ภายใต้เสียงคำรามของเสิ่นชังเสิง ความกลัวของเหล่าศิษย์ทุกคนก็สงบลง พวกเขาร้องเสียงลั่นออกมา

“ร่วมมือกัน ต่อให้ต้องตายเราก็จะขัดขวางมันไว้ชั่วครู่!”

ในเมื่อพวกเขากำลังยืนบนปากเหวความตาย พวกเขาก็ไม่คิดยอมแพ้นั่งรอความตายหรอก

เป่ยหมิงและไท่ชางสบตากันก็อดหัวเราะลั่นไม่ได้ “เยี่ยม พวกเด็กๆ ช่างเลือดร้อนดีจริงๆ พวกตาแก่แบบเราจะทำให้เขาตกต่ำไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็จงมอบชีวิตของเราปกป้องสำนักศึกษาเป่ยชาง!”

คลื่นยิ่งใหญ่ของพลังงานหลิงระเบิดออกจากร่างกายพวกเขาพุ่งเข้าหากระแสปีศาจ

ตู้ม ตู้ม!

ท่ามกลางเสียงคำรามแผ่กระจายทั่วเส้นขอบฟ้า ร่างแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งทะยานขึ้นจากสำนักศึกษาก่อตัวรัศมีน่าตื่นตาที่ด้านหลังเป่ยหมิงและไท่ชาง ขณะที่พุ่งเข้าไปยังกระแสปีศาจ

ถัดจากนั้นในพื้นที่อื่นบนทวีปเป่ยชางร่างแสงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ชัดว่าทุกคนได้ปลดปล่อยการตอบโต้ภายใต้ความสิ้นหวัง

 

ทวีปเทียนหลัว

“ทุกคน จัดทัพปกป้องตำหนักมู่!”

เสียงเยือกเย็นของมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวดังก้องไปทั่วตำหนักมู่

พูดจบพวกนางก็เคลื่อนไหว พลังหลิงไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

วาบ วาบ!

อึดใจร่างแสงนับล้านๆ ก็ทะยานตามขึ้นมา พุ่งชนกระแสปีศาจ

ในเวลาเดียวกันทวีปอื่นๆ ในมหาพันภพก็ปลดปล่อยการตอบโต้ภายใต้ความกลัวของพวกเขาเช่นกัน

ยามนี้พลังงานหลิงมองเห็นได้จากทุกทวีป

“ฮี่ๆ ความพยายามที่ไร้ประโยชน์ รนหาที่ตาย!”

คำเยาะเย้ยดังก้องมาจากกระแสปีศาจปะทะกับพลังงานหลิงในอึดใจต่อมา

แต่จังหวะที่เกิดการปะทะกัน ทุกคนก็รู้สึกว่าหัวใจเย็นเยือกลง เพราะเห็นคลื่นหลิงคล้ายกับละอองฝนตกลงในมหาสมุทร หายไปในพริบตา พวกเขาไม่สามารถสร้างสิ่งกีดขวางใดๆ กับไอปีศาจได้

“ช่องว่าง…ใหญ่ขนาดนั้นเลยเหรอ…?”

เสิ่นชังเสิงมองฉากนี้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง ทั่วทั้งสำนักศึกษาตกอยู่ในความเงียบ ความกล้าหาญถูกเค้นออกมาใช้จนหมดแล้ว

“คิดว่าสามารถพึ่งพาจำนวนจ้อยร่อยเพื่อขัดขวางข้าเรอะ? เพ้อฝันไปแล้ว!”

เสียงหัวเราะเยาะเย้ยของเทพปีศาจดังก้องมาจากกระแสปีศาจ ดูเหมือนว่าเขากำลังจะระบายความโกรธทั้งหมดที่ได้จากมู่เฉินลงไปที่มหาพันภพ

ดังนั้นทุกคนจึงถูกห่อหุ้มด้วยความสิ้นหวังรุนแรง

“โอ้? ข้ากลับรู้สึกว่าแม้แต่มดก็มีพลังน่าเกรงขามเมื่อรวมตัวกัน” ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกสิ้นหวัง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสดใสก็ดังก้อง

วาบ!

ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความดีใจ คลื่นหลิงรวมตัวกันบนขอบฟ้า ร่างมู่เฉินค่อยๆ เผยออกมา

“ศิษย์พี่มู่เฉิน!”

เสียงโห่ร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชาง

ที่จริงแล้วไม่เพียงแต่ทวีปเป่ยชางเท่านั้น แต่ร่างของมู่เฉินไปปรากฏในทวีปอื่นๆ เช่นกัน

“ท่านประมุข!”

จอมยุทธ์ตำหนักมู่มองไปที่ร่างเงานั้นพร้อมกับเสียงโห่ร้อง กำลังใจล้นปรี่ออกมา

“ทุกคนฟังคำสั่งข้าเคลื่อนไหวอีกครั้ง ให้ปีศาจชั่วร้ายตัวนี้ได้ประจักษ์ถึงความแข็งแกร่งของมหาพันภพ!” เสียงของมู่เฉินดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคน

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน เพราะก่อนหน้าพวกเขาได้ลองทำมาแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับน่าผิดหวัง

ทว่าด้วยเกียรติศักดิ์ของมู่เฉินมาถึงจุดสุดยอดและการปรากฏตัวของเขาก็ได้ขับไล่ความกลัวภายในใจของทุกคน ขณะนี้คลื่นหลิงไร้ขอบเขตทะยานสู่ขอบฟ้าอีกครั้ง

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อเกลียวคลื่นหลิงเบาบางทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้า ความเงียบก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จักรวาลจะสั่นสะท้าน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพล่านไปสู่ขอบฟ้า

ทั่วทุกที่ทุกคนปลดปล่อยพลังงานโดยไม่คำนึงถึงความแข็งแกร่งที่มี

เมื่อมู่เฉินเห็นภาพนี้ก็ยิ้มคลี่วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว จากนั้นเกลียวคลื่นหลิงทุกเส้นสายก็รวมตัวเข้าหาเขาผ่านร่างไป

ตู้ม ตู้ม!

แต่เมื่อเส้นพลังงานผ่านร่างเขาไป คลื่นหลิงก็กลายเป็นคลื่นพลังอื่น

นี่คือ—รัศมีจั้นยี่!

“เทพปีศาจ ข้าจะให้แกได้ดูพลังยิ่งใหญ่ของมหาพันภพ!” เสียงของมู่เฉินดังก้องพร้อมกับรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า จากนั้นก็ก่อร่างเป็นมังกรขนาดใหญ่พุ่งเข้าหากระแสปีศาจ

เวลาเดียวกันฉากที่คล้ายกันก็ปรากฏขึ้นทั่วทุกที่

ตู้ม!

ภายใต้สายตาวิตกกังวลของทุกคน รัศมีจั้นยี่ก็ปะทะกับกระแสปีศาจอีกครั้ง จักรวาลดูเหมือนจะสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปเลยทีเดียว

แต่คราวนี้กระแสปีศาจไม่ได้บดขยี้ฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลับถูกหยุดไว้โดยรัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขต

ยิ่งกว่านั้นรัศมีจั้นยี่ยังทรงพลังขึ้น ค่อยๆ เคลื่อนไปข้างหน้าทำให้กระแสปีศาจเริ่มล่มสลาย ถูกลบออกไปโดยรัศมีที่ยิ่งใหญ่…

“อ้าก! มู่เฉิน ไอ้เวร แกต้องตาย!”

เสียงคำรามของเทพปีศาจดังก้องมาจากกระแสปีศาจ

“น่าเสียดายที่แกจะเป็นคนเดียวที่ตายในวันนี้!” แววตาของมู่เฉินเย็นชาขณะหายใจเข้าลึก ร่างเขาระเบิดออกกลายเป็นแสงพุ่งลงไปในรัศมีจั้นยี่

ตู้ม!

ด้วยการเพิ่มตัวเองลงไป รัศมีจั้นยี่ก็ขยายออกไปทันที มังกรปล่อยลมหายใจรุนแรงทำลายไอปีศาจ

“มหาเทพจักรพรรดิมู่! มหาเทพจักรพรรดิมู่!”

ฉากนี้ทำให้ผู้คนในจักรวาลส่งเสียงโห่ร้องดีใจ

เมื่อหลินต้งและเซียวเหยียนเห็นฉากนี้ ความตกใจชื่นชมก็วาบอยู่ในดวงตา “การใช้ชีวิตเป็นกองทัพ นี่คือวิถีของจั้นเจิ้นซือ…”

พวกเขาลืมไปว่ามู่เฉินเป็นจั้นเจิ้นซือด้วย

ทว่าจั้นเจิ้นซือธรรมดาสามารถบัญชาการได้แค่กองทัพที่มีจำกัด ขณะที่มู่เฉินใช้รูปแบบชีวิตทั้งหมดในมหาพันภพนับล้านๆ เป็นขุมกำลังของเขา พลังนั้นไม่อาจจินตนาการได้ในตอนนี้

ทั่วทั้งมหาพันภพส่งเสียงโห่ร้อง ขณะที่หัวใจของเหล่าปีศาจสั่นสะท้านพร้อมทั้งความกลัวฉายบนใบหน้า

เมื่อกระแสปีศาจแตกกระจายไปทั่วมหาพันภพ เสียงโกรธเกรี้ยวและไม่เต็มใจของเทพปีศาจก็ดังก้อง

“จักรวรรดิปีศาจถอย!”

พร้อมกับเสียงนั่นนักรบปีศาจต่างมิติก็เริ่มถอยหนี พวกเขาแยกย้ายจากกัน หนีเข้าไปในพิภพเขตล่างคนละทิศละทาง

“จอมยุทธ์มหาพันภพฟังคำสั่ง ติดตามพวกมัน! ขับไล่ปีศาจออกจากบ้านของเรา!” เสียงหลินต้งและเซียวเหยียนดังก้องเมื่อเห็นฉากนี้

“รับทราบ!”

จอมยุทธ์ทุกคนในทวีปหลิงหมัวคำราม ร่างแสงนับไม่ถ้วนทะยานออกไป

ยามนี้บอกได้ว่ามหาพันภพเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว

หลินต้งและเซียวเหยียนหันไปมองมู่เฉิน อีกฝ่ายก็ลืมตาขึ้นในตอนนี้

“รัศมีของเทพปีศาจหายไป มันคงหนีไปแล้ว” มู่เฉินกล่าว

สายตาของหลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนแปลงวูบไหวตอบว่า “เราปล่อยให้มันหนีไปไม่ได้ มิฉะนั้นมันจะเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงในอนาคต”

เทพปีศาจอันตรายเกินไป หากพวกเขาปล่อยให้มันหนีไปก็จะกลายเป็นภัยคุกคามต่อมหาพันภพอีกครั้ง

มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “สร้างความยุ่งเหยิงให้มหาพันภพมาหลายหมื่นปี จะปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไง?”

ใบหน้าของมู่เฉินเปลี่ยนเป็นเย็นชาขณะยื่นมือออกไป ทันใดนั้นมิติโดยรอบก็แตกสลาย รัศมีจั้นยี่ไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้นมาก่อนที่จะรวมตัวกันที่นิ้วของมู่เฉินกลายเป็นลูกปัดแสง

ลูกปัดนี้ราวกับบรรจุโลกและรวบรวมเจตจำนงการต่อสู้ของทุกคนในมหาพันภพ

“ไป”

มู่เฉินสะบัดนิ้ว ลูกปัดทรงกลมก็ฉีกมิติทะยานออกไป

รัศมีหลิงเปล่งประกายปกคลุมไปทั่วมหาพันภพ

ใต้ทำเนียบเหนือภพ ร่างมู่เฉินยืนไว้สง่าจนไม่อาจบรรยายได้ ทุกการเคลื่อนไหวเหมือนจะกระตุ้นพลังที่ไร้ขอบเขตภายในสุริยจักรวาลนี้

“ขอแสดงความยินดีมหาเทพจักรพรรดิมู่ในการครอบครองนี้!”

ในทวีปหลิงหมัวระเบิดออกมาด้วยเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วสวรรค์และโลก

เมื่อครู่นี้เองที่มหาพันภพรู้สึกสิ้นหวังเนื่องจากดวงตาที่สิบของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน พวกเขาได้ต้อนรับมหาเทพจักรพรรดิคนแรกแห่งมหาพันภพ ผู้ที่สามารถจารึกชื่อแซ่ของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!

ทุกคนแทบคลั่งไปด้วยความสุขขณะที่ตะโกนเรียกชื่อมู่เฉินไม่หยุด

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่ว ทำเนียบเหนือภพก็เริ่มจางหายไปพร้อมกับรัศมีกระจ่างใสรอบร่างมู่เฉินก็จางหายไปเช่นกัน ขณะนี้เขาดูราวกับมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มากจนไม่มีความผันผวนของคลื่นหลิงในร่างกายเลย

มู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าหลินต้งและเซียวเหยียนก่อนจะประสานมือคารวะ “ผู้เยาว์ต้องขอก้าวไปก่อน ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าถือโทษโกรธกันนะขอรับ”

หลินต้งและเซียวเหยียนยิ้มสบายๆ “มหาพันภพเป็นบ้านที่สำคัญสูงสุดของเรา ในเมื่อเจ้าสามารถขึ้นยืนหนึ่งในการจัดการเทพปีศาจ เราก็ถือว่านี่เป็นหนี้บุญคุณมากกว่า”

หลินต้งส่ายหัวกล่าวว่า “ข้านำหน้าได้เพราะโอกาสจากเหตุวิกฤตของมหาพันภพ ถือว่าเดินลัดทางสั้น ผู้อาวุโสทั้งสองไม่ได้ใช้ร่างมหาเทพปฐมกาล ใช้เพียงพลังของตนก็สามารถจารึกแซ่บนทำเนียบเหนือภพได้ สิ่งนี้ข้าไม่อาจเทียบได้เลย”

สิ่งที่มู่เฉินพูดมาคือความจริง เนื่องจากตอนแรกเขาคาดว่าจะต้องใช้เวลาสะสมเกือบร้อยปีเพื่อไปให้ถึงขั้นตอนนี้ แต่ไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงกะทันหันในมหาพันภพจะบีบให้เขาได้รับโอกาสและเร่งเร้าตนเองปลดปล่อยศักยภาพก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ก่อน

หากไม่มีมหันตภัยใดๆ ในมหาพันภพนี้หลินต้งและเซียวเหยียนจะเป็นเทพจอมยุทธ์คนแรกที่ขึ้นสู่ทำเนียบเหนือภพแน่นอน

หลินต้งและเซียวเหยียนสบตากันก่อนจะฉายยิ้มอ่อนโยน “สถานการณ์หล่อหลอมวีรบุรุษ พวกข้าก็เคยพึ่งโอกาสจากวิกฤตในการพุ่งเข้าไปที่จุดสูงสุด แต่มีไม่กี่คนหรอกที่ทำได้ ซึ่งนี่เป็นความสามารถของเจ้าที่ทำให้เจ้าไม่ได้ถ่อนตนขนาดนั้น”

“ดังนั้นพวกข้าขอฝากหน้าที่จัดการเทพปีศาจไว้ในมือเจ้าตอนนี้และจะช่วยเหลือจากด้านข้าง”

มู่เฉินโค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุด “ข้าจะไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน”

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของเทพปีศาจ ขณะนี้ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้า ดวงตาที่สิบกะพริบพร้อมกับสาดไอสีดำเมื่อม

“คาดไม่ถึงจริงๆ!”

เทพปีศาจมองไปที่มู่เฉินแล้วพูดต่อ “ตอนแรกข้าคิดว่าศัตรูตัวฉกาจที่สุดของตัวเองก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ไม่คิดเลยว่าจะเป็นไอ้หนูแบบแกที่ขึ้นครองบัลลังก์นี้แทน”

“มหาพันภพไม่เต็มใจที่จะเป็นทาสปีศาจ แม้ว่าข้าจะไม่ได้เป็นหนึ่งแต่ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมาแทน” มู่เฉินตอบ

เทพปีศาจกัดฟันกรอดเอ่ยเสียงเย็นชา “มหาพันภพโชคดีจริงๆ ที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้ในขณะนี้”

น้ำเสียงของเขาอัดแน่นด้วยความเกลียดชังและโกรธเกรี้ยว ตอนแรกเขาคิดว่าจะได้ชัยชนะมาแล้วเมื่อดวงตาที่สิบปรากฏขึ้น แต่ใครจะคิดว่ามู่เฉินจะสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนกระดานเส็งเคร็งได้

เทพปีศาจรู้ชัดเจนว่าเมื่อมีจอมยุทธ์สามารถจารึกชื่อทั้งหมดไว้บนทำเนียบเหนือภพได้ก็จะแสดงถึงศักยภาพในการควบคุมพลังเอกภพ ซึ่งแปลว่ามหาพันภพคือบ้านของเขาและเขาจะแข็งแกร่งขึ้นที่นี่

นี่จะต้องเป็นการต่อสู้ที่หนักหน่วงแน่นอน

ใบหน้าของเทพปีศาจมืดครึ้มลงขณะที่หายใจเข้าลึกๆ ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากดวงตาควบแน่นที่ฝ่ามือก่อนจะกลายเป็นหอกสีดำ

“เนตรที่สิบ หอกปีศาจ!”

หอกทั้งเล่มเป็นสีดำสนิท มีดวงตาสิบดวงกะพริบวูบไหวเอิบอาบด้วยรัศมีชั่วร้ายสุดขั้ว ความผันผวนที่น่ากลัวทำให้พิภพเขตล่างแห่งนี้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ตึง!

เทพปีศาจจับหอก กระแทกลงอย่างหนัก ทันใดนั้นรอยแตกก็ขยายออกราวกับใยแมงมุม

เขาจ้องไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้นว่า “วันนี้ข้าขอดูว่าจอมยุทธ์สมบูรณ์แบบอย่างแกจะสามารถทำอะไรกับข้าได้บ้าง!”

มู่เฉินมองไปที่หอกก็หดตาลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจไม่ได้ออมมืออีกต่อไป มิหนำซ้ำยังเรียกหอกที่ไม่เคยใช้มาก่อนออกมาอีกด้วย

“อาวุธเหรอ…”

มู่เฉินครุ่นคิดก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ รัศมีไร้ขอบเขตรวมตัวกันจุดชนวนกลายเป็นทะเลเพลิง ก่อนที่เขาจะสะบัดนิ้วลำแสงสีดำก็พุ่งเข้าไปในเปลวไฟนั่น

ลำแสงฉายภาพเสาสีดำขนาดใหญ่ที่มู่เฉินเคยใช้เป็นอาวุธเมื่อในอดีต นี่ก็คือเสาปีศาจราชันพระสุเมรุ

แต่ด้วยพลังที่เพิ่มขึ้นทุกวันเขาจึงหยุดใช้ไป แต่หลังจากที่ถึงระดับจู๋ไจ่เขาก็สามารถสร้างอาวุธที่เหนือล้ำเกินกว่าอาวุธมหสวรรค์ขั้นสุดยอดได้แล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงใช้เสาปีศาจราชันพระสุเมรุเป็นวัสดุตั้งต้น

ฟู่ ฟู่!

เมื่อเปลวไฟลุกโชนอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวก็หลอมละลายเสายักษ์อย่างรวดเร็วจนกลายเป็นของเหลวสีดำ

“ยังขาดวัสดุรองบางอย่าง” มู่เฉินมองไปที่ของเหลวสีดำก่อนที่จะสะบัดนิ้วอีกครั้ง เสียงกระบี่ดังก้องออกมา กระบี่เกล็ดจักรพรรดิก็ถูกโยนลงไปในทะเลเพลิง

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิเสียหายตั้งแต่ได้รับ พลังงานภายในก็ร่อยหลอลง แต่ในฐานะที่เป็นวัตถุดิบรองก็สามารถหลอมเพื่อสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่มหาพันภพเคยมีมา

กระบี่เกล็ดจักรพรรดิหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นของเหลวระยิบระยับหลอมรวมกับของเหลวสีดำ ภายใต้การควบคุมของมู่เฉินของเหลวก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง จากนั้นมู่เฉินก็เทคลื่นหลิงไม่สิ้นสุดลงไป

ในเวลาเดียวกันด้วยปณิธานยิ่งใหญ่ของเขา พลังเอกภพก็บีบอัดลงมาผสมเข้าไปในอาวุธ

ตู้ม!

เพียงไม่กี่สิบลมหายใจ เสียงบาดแก้วหูก็ดังก้องออกมาจากทะเลเพลิงก่อนที่ทุกคนจะเห็นเสาสีดำทะยานออกมาลอยอยู่ที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

เมื่อแสงจางหายก็เผยให้เห็นสิ่งของภายใน มันคล้ายกับเสาปีศาจ แต่กลับไม่มีรัศมีโหดร้าย ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกหนาแน่น ราวกับเป็นเสาตั้งตระหง่านบนสวรรค์ ไม่สามารถทำลายลงได้

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะเรียกเจ้าว่าเสาจอมราชันพระสุเมรุ!” เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน เสายักษ์ก็เปล่งประกายราวกับว่ากำลังชื่นชมยินดี

ขณะที่มู่เฉินขยับมือ เสาจอมราชันก็หดตัวลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นพลองพุ่งเข้าสู่ฝ่ามือของมู่เฉิน จากนั้นมู่เฉินก็ควงพลองชี้ไปที่หน้าเทพปีศาจ มิติยังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

“หึ”

เทพปีศาจเค้นเสียงเย็นชาจากนั้นก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าวพร้อมกับหอกในมือปรากฏที่ด้านหน้ามู่เฉิน ขณะที่หอกเคลื่อนที่ก็กวาดลำแสงปีศาจมากมายออกไป ทุกลำแสงสามารถทำลายทั้งทวีปได้

มู่เฉินถือเสาจอมราชันไว้ ไม่มีความกลัวใด เผชิญหน้ากับการโจมตีตรงหน้าแบบตัวต่อตัว

เคร้ง!

หอกและพลองปะทะกัน คลื่นพลังงานระเบิดออกมาแสดงถึงความสามารถในการทำลายล้างขั้นสุดยอด

หลินต้งและเซียวเหยียนถอยออกไป ขณะที่เทคลื่นหลิงลงในพิภพเขตล่างนี้เพื่อสร้างตาข่ายห่อหุ้มเอาไว้ สิ่งนี้มีขึ้นเพื่อป้องกันความผันผวนของการทำลายล้างจากมู่เฉินและการโจมตีของเทพปีศาจที่จะการส่งผลกระทบต่อมหาพันภพก่อให้เกิดหายนะใหญ่หลวง

เคร้ง เคร้ง!

ทุกคนฉายแววตาตกตะลึงเมื่อมองไปที่การต่อสู้ในพิภพเขตล่าง ทั้งสองต่อสู้กันโดยใช้อาวุธสุดยอดโดยทุกการปะทะจะสร้างพายุทำลายล้างออกมา

แม้ว่าหลินต้งและเซียวเหยียนจะพยายามควบคุมความผันผวนไว้ แต่ก็ยังทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัว

โฮก โฮก!

การโรมรันพันตูกันดำเนินต่อไป เทพปีศาจก็คำรามลั่นเมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนถูกต่อต้าน ใบหน้าเขาถูกแทนที่ด้วยสีหน้าน่าขนพองสยองเกล้า ของเหลวสีดำไหลผ่านร่างกายกลายเป็นชุดเกราะชั่วร้าย

ยามนี้เขาประหนึ่งเทพปีศาจแห่งการทำลายล้างเลยทีเดียว

เคร้ง เคร้ง!

ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูปทั้งสองก็แลกกระบวนท่ากันนับไม่ถ้วน แม้แต่สวรรค์และโลกก็หมองลง ความกลัวผุดขึ้นบนใบหน้าของทุกคน

แต่โชคดีที่แม้จะเผชิญกับการโจมตีรุนแรงของเทพปีศาจ แต่มู่เฉินก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่เสียเปรียบอะไร เขายืมพลังเอกภพเข้าห้ำหั่นกับเทพปีศาจแบบไม่กลัวเกรง

ตึง!

อาวุธทั้งสองปะทะกัน ความผันผวนของการทำลายล้างทำให้ร่างกายของมู่เฉินและเทพปีศาจสั่นสะท้าน ก่อนที่พวกเขาจะถูกซัดกลับไปพร้อมกับมิติใต้ฝ่าเท้าแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทุกย่างก้าว

“เทพปีศาจที่นี่คือบ้านของข้า ซึ่งไม่เป็นประโยชน์กับเจ้าหากการต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป” มู่เฉินกระแทกพลองในมือลงพลางมองไปที่เทพปีศาจ

“บ้าเอ้ย! ไอ้เวร! แกรนหาที่ตาย!”

ใบหน้าของเทพปีศาจน่าขนพองสยองเกล้าพร้อมกับความบ้าคลั่งวูบไหวในดวงตาขณะที่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่าเขารู้ดีว่าภาวะชักเย่อกันแบบนี้ไม่เป็นประโยชน์สำหรับเขา

“ในเมื่อแกต้องการตาย ข้าก็มอบความปรารถนาให้!

“อสูรปีศาจสิบตา จักรวาลกลืนกิน!”

เทพปีศาจคำราม รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกวาดออกจากร่างก่อนที่จะรวมตัวกันเป็นอสูรปีศาจที่เบื้องหลัง

อสูรปีศาจตัวนี้ดูเหมือนจะเชื่อมโยงระหว่างสวรรค์และโลกพร้อมกับดวงตาชั่วร้ายสิบดวงบนร่างกาย ทุกดวงตาเต็มไปด้วยความผันผวนที่น่าสะพรึงกลัว

มองไปที่อสูรปีศาจ หลินต้งและเซียวเหยียนก็หัวใจสั่นไหว ดูเหมือนว่าเทพปีศาจจะบ้าคลั่งไปแล้ว

ตู้ม!

อสูรปีศาจสิบตามองไปที่มู่เฉินขณะที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตระเบิดออกมา อึดใจก็มาปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉิน

ตึง!

เสาจอมราชันที่อยู่ในมือมู่เฉินขยายใหญ่กลายเป็นเสาสูงตระหง่านกระแทกเข้าหารัศมีปีศาจ

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเสากระแทกลงบนรัศมีปีศาจก็ถูกผลักออกไปด้วยพลังที่น่ากลัว ร่างกายของมู่เฉินได้รับความเสียหายถลาออกไปหลายหมื่นลี้

“ตาย!”

เทพปีศาจคำราม อสูรปีศาจสิบตาก็กะพริบดวงตาทั้งหมดพร้อมกับลำแสงปีศาจยิงออกมา ดูเหมือนว่าไม่ต้องการยอมแพ้เว้นแต่จะลบมู่เฉินออกได้

“ตายล่ะ!”

ใบหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนไป การโจมตีกระบวนท่านี้ดุร้ายเกินไป

แต่เมื่อพวกเขาต้องการช่วยมู่เฉิน แสงโบราณก็พุ่งมาจากที่ไกลคล้ายกับกระจกเงาลึกล้ำ ไม่ว่าลำแสงปีศาจจะยิงเข้ามากี่ครั้งก็ถูกกระจกกลืนกิน

ในที่สุดลำแสงปีศาจก็หยุดลง

ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่มู่เฉิน รัศมีโบราณอยู่ด้านหลังก่อตัวเป็นร่างร่างหนึ่งยืนอยู่

ร่างนั้นมีลักษณะคล้ายกับมู่เฉิน แต่มีวงรัศมีห้าสีอยู่ด้านหลังศีรษะ แต่ละสีแทรกซึมไปด้วยความผันผวนโบราณ

หากสัมผัสถี่ถ้วนก็จะตระหนักได้ว่าความผันผวนเหล่านั้นก็คือร่างมหาเทพนิรันดร์ ร่างมหารัศมีอนันต์ ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ ร่างมหาเทพรัตติกาลและร่างมหาสุญตา

“ร่างมหาเทพปฐมกาล!”

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับเสียงดังก้อง

นี่คือการรวมสุดยอดร่างทั้งห้าเข้าด้วยกัน ร่างเทห์สวรรค์ใหม่นี้ถูกสร้างขึ้นโดยการรวมจุดเด่นของร่างมหาเทพทั้งหมดเอาไว้

“ถึงตาข้ามั่ง!”

มู่เฉินมองไปที่เทพปีศาจมือประสานเข้าด้วยกัน วงรัศมีห้าสีพุ่งออกมา บีบกดเหนือร่างอสูรปีศาจสิบตา

“รัศมีห้าสีปราบปีศาจ!”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

สีทั้งห้าคลี่กระจาย ราวกับว่าร่างมหาเทพปฐมกาลปรากฏขึ้นบดขยี้ไปที่ร่างอสูรปีศาจสิบตา

โฮก โฮก!

รัศมีหลิงโบราณทำให้ร่างอสูปีศาจคำรามทันที จากนั้นรัศมีปีศาจที่อยู่บนนั้นก็เริ่มลดลง ราวกับว่ากำลังถูกหลอมละลาย

“ปีศาจกลืนกิน!”

เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงโดยรอบเทพปีศาจก็คำราม ร่างอสูรปีศาจหายใจเข้าลึกพร้อมกับรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตรวมอยู่ที่ปากก่อนที่จะถูกบีบอัด

“ปราณปีศาจ!”

ตู้ม!

อึดใจต่อมาทะเลปีศาจก็ทะลักออกมา ซัดเข้าหารัศมีห้าสีต่อต้านความสว่างที่ส่องลงมา

ทุกคนในมหาพันภพลุ้นระทึกเมื่อมองไปที่หน้าจอ ใครก็สามารถบอกได้ว่าศึกนี้มาถึงจุดสุดยอดแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างปลดปล่อยกระบวนท่าสูงสุดออกมา

ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยเท่ากับหายนะใหญ่หลวง

“เทพปีศาจรีบร้อนเกินไป” หลินต้งและเซียวเหยียนที่เฝ้าดูฉากนี้ก็รู้ว่าข้อได้เปรียบของมู่เฉินกำลังเพิ่มขึ้นเมื่อลากเวลาได้นานขึ้น ท้ายที่สุดนี่คือมหาพันโลกและมู่เฉินสามารถยืมพลังงานโลกเพื่อต่อสู้กับเทพปีศาจ

เผชิญกับสถานการณ์นี้เทพปีศาจก็รับรู้เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าของเขามืดครึ้มลง

เทพปีศาจยืนอยู่ใต้ร่างอสูรปีศาจสิบตาพร้อมกับดวงตาที่สิบที่หว่างคิ้ววูบไหวไม่หยุด ไม่นานต่อมาความดุร้ายก็กระจายทั่วใบหน้า

“ในเมื่อแกบังคับข้าเอง งั้นก็อย่าโทษข้าซะล่ะ!”

เขารู้ดีว่าถ้าไม่ทำลายสมดุลนี้ เขาจะต้องแพ้แน่นอน

ตู้ม!

อสูรปีศาจกวาดเทพปีศาจกลายเป็นลำแสงปีศาจพุ่งทะยานสู่ขอบฟ้า ขณะที่ดวงตาทั้งสิบกะพริบตาก็ฉีกมิติออกไปปรากฏตัวในห้วงมิตินอกทวีปหลิงหมัว

ขณะที่อสูรปีศาจคำราม เสียงที่ทำให้หูดับก็ดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

“ปีศาจอเวจี มหานรกปีศาจ!”

ครืนๆๆๆ!

เมื่อเสียงเขาดังก้อง กองทัพจักรวรรดิปีศาจก็ร้องโหยหวนก่อนที่ร่างนักรบจะระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า

อสูรปีศาจเขมือบหมอกเลือด จากนั้นก็วาดตราประทับ ร่างใหญ่ของมันระเบิดออก กระแสปีศาจรุนแรงหลั่งไหลออกมา

กระแสปีศาจทะลุผ่านมิติก่อนจะแยกออกเป็นสายธารเล็กๆ ปรากฏทุกหัวระแหงในมหาพันภพ

ยามนี้ผู้คนที่ต่างๆ ตกตะลึงที่เห็นกระแสปีศาจขนาดใหญ่พลุ่งพล่านพยายามทำลายบ้านเกิดของพวกเขา

ในทวีปหลิงหมัว จอมยุทธ์นับไม่ถ้วนหน้าถอดสี

“ฮ่าๆ ในเมื่อแกต้องการปกป้องจักรวาลนี้ ข้าก็จะทำลายซะ!” ขณะที่กระแสปีศาจนับล้านล้านสายไหลไปยังมหาพันภพ เสียงโหดร้ายของเทพปีศาจก็ดังก้อง

มู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนไปปรากฏตัวบนทวีปหลิงหมัว พวกเขามองไปที่กระแสปีศาจไร้ขอบเขตด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ไอ้นั่นบ้าไปแล้ว! การที่มันทำลายอสูรปีศาจสิบตาก็เท่ากับการระเบิดตัวเองนั่นแหละ!” เซียวเหยียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เราต้องหยุดสิ่งนี้ไม่เช่นนั้นมหาพันภพจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่” หลินต้งตอบ

“กระแสปีศาจแยกออกเป็นล้านล้านเส้นเข้าสู่มหาพันภพแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหยุดเลย” คิ้วของเซียวเหยียนขมวดเข้าหากัน

ในขณะนี้ทวีปต่างๆ ของมหาพันภพกำลังตกอยู่ในจลาจล ทุกคนมองไปที่กระแสปีศาจขณะตัวสั่นเทา ตราบใดที่สายธารเหล่านั้นไหลลงมา โลกของพวกเขาก็จะกลายเป็นนรก

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบมองไปที่ทวีปต่างๆ ที่กำลังตกอยู่ในจลาจลก็พูดว่า “สายธารเหล่านั้นสามารถกลืนกินชีวิตเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตัวเอง มิหนำซ้ำเทพปีศาจก็ซ่อนอยู่ในนั้น มันพยายามที่จะกลืนกินพลังชีวิตสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง”

หลินต้งและเซียวเหยียนหดตาลง “งั้นเราจะปล่อยให้มันทำสำเร็จไม่ได้ เจ้ามีแผนอะไรบ้างไหม?”

มู่เฉินนั่งลงพยักหน้าไปให้ทั้งสอง “ผู้อาวุโสวางใจเถอะ ถ้าข้าปล่อยให้มหันตภัยนี้ได้สิ่งที่ต้องการ ข้าก็ไม่คู่ควรกับโอกาสที่มหาพันภพมอบให้ …

“ในเมื่อมันแยกตัวออกเป็นล้านล้านเส้นเพื่อกลืนกินมหาพันภพ งั้นข้าจะแสดงให้มันเห็นว่าเมื่อทุกคนในมหาพันภพรวมพลังกันแล้วก็หาใดเปรียบเช่นกัน”

ม่านแสงโบราณเชื่อมต่อกับโลก

ร่างเงาทั้งห้าเปล่งด้วยรัศมีสดใสใต้ทำเนียบเหนือภพ ทั้งห้าคนราวกับดวงอาทิตย์ห้าดวงขณะที่แผดแสงไปทั่วหล้า

สายตาของทุกคนในมหาพันภพรวมกันอยู่บนร่างเงาทั้งห้าในขณะนี้

มู่เฉินหายใจเข้าลึก คลื่นหลิงภายในร่างกายก็พุ่งสูงขึ้นก่อนที่จะรวมอยู่ที่ปลายนิ้ว ทั้งนิ้วเต็มไปด้วยความผันผวนที่น่าสะพรึง

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันร่างรองทั้งสี่ก็สร้างตราประทับด้วยมือข้างเดียว หมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่รั้งรอ อึดใจต่อมากระแสพลังสี่สายที่ราวกับแม่น้ำดวงดาวก็พุ่งออกมาจากร่างของพวกเขาไปรวมกันที่ปลายนิ้วของมู่เฉิน

เมื่อพลังงานไร้ขอบเขตบรรจบกัน นิ้วของมู่เฉินก็เริ่มสั่นสะท้าน ยามนี้หากเขาขยับมือเพียงเล็กน้อยก็จะลบพิภพเขตล่างแห่งหนึ่งไปได้เลย

สัมผัสถึงพลังน่ากลัวมารวมกันที่นิ้ว ดวงตาของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่ เวลานี้เขาไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป นิ้ววางลงบนทำเนียบเหนือภพ

เมื่อมู่เฉินแตะปลายนิ้วก็รู้สึกถึงการกีดขวางที่ไม่สามารถเจาะเข้าไปได้ ม่านกั้นลึกลับและทรงพลัง แม้จะดูเบาบาง แต่ก็มีพลังที่น่ากลัวทำให้มู่เฉินไม่สามารถทิ้งนิ้วลงไปได้

ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคมขณะหมุนเวียนพลังงานอย่างรุนแรง แม้แต่บาดแผลก็เปิดขึ้นบนนิ้ว เลือดหยดลงพร้อมกับนิ้วสั่นไหวไปหมด

แต่ไม่ว่ามู่เฉินจะพยายามอย่างไรม่านกั้นก็ยังมั่นคง เขาไม่สามารถผ่านอุปสรรคไปได้ นั่นหมายความว่าเขาจะไม่สามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนีบเหนือภพ…

“ฮ่าๆๆๆ ข้าบอกแล้วว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝากชื่อเต็มไว้บนกระดานเส็งเคร็งนั่น แม้ว่าแกจะแตกตัวเป็นแฝดห้า มิหนำซ้ำแต่ละคนยังมีร่างมหาเทพสั่วๆ แต่ก็ยังมีช่องว่างอยู่ระดับหนึ่ง!” เทพปีศาจเยาะเย้ยขณะแสงเย็นวูบไหวในดวงตา

ด้วยสายตาร้ายกาจเขาสามารถบอกได้เลยว่ามู่เฉินอาจมีพลัง แต่ก็ยังขาดอีกนิดที่จะทำให้สำเร็จ

หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจพร้อมกัน ยากเหลือเกินที่จะจารึกชื่อแท้จริงไว้บนทำเนียบเหนือภพ ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมในอดีตถึงไม่มีจอมยุทธ์คนใดบรรลุเป้าหมายนี้

ในมหาพันภพ ในดวงตาของทุกคนเหลือความหวังริบหรี่แล้ว

 

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง

ทุกคนจับจ้องไปที่หน้าจอ เมื่อเห็นมือของมู่เฉินสั่นเบื้องหน้ากระดาน หยดเลือดไหลลงมาเป็นทางแต่ก็ยังไม่สามารถทิ้งลงได้ก็ตกอยู่ในความเงียบงัน

“ช่างเป็นเรื่องยากเกินไป” เสิ่นชังเสิงพูดความคิดออกมา แม้ว่าเขาจะนึกไม่ออกถึงระดับนั้น แต่เขาก็บอกได้ว่ายากแค่ไหนโดยตัดสินจากความพยายามของมู่เฉิน

“มู่เฉิน…สู้เขา!” เวินชิงเฉวียนกัดริมฝีปากพร้อมกับกำมือแน่น

“พี่ใหญ่มู่เฉินเอาเลย! ท่านต้องทำสำเร็จ!” เยี่ยนสุนเอ๋อขบฟันขณะที่ร้องลั่นด้วยหัวใจที่เต้นแรง

ทวีปเทียนหลัว ตำหนักมู่

มู่เฟิง จิ่วโยว หลิงซีและมั่นถัวหลัวยืนอยู่หน้าสำนักมองไปที่หน้าจอบนท้องฟ้า หัวใจแต่ละดวงสั่นสะท้าน

“ไอ้ลูกชาย” มู่เฟิงมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดง เด็กน้อยที่เขาต้องโอบอุ้มปกป้องในมณฑลเป่ยหลิงมาถึงจุดสูงสุดที่ไกลเกินนึกถึง แต่เขารู้ว่ามู่เฉินกำลังทุ่มชีวิตเพื่อปกป้องทุกคน

“ไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว เจ้าคือความภาคภูมิใจของพ่อเสมอ”

ทวีปหลิงหมัว ลั่วหลีมองไปที่พิภพเขตล่างพึมพำว่า “มู่เฉินไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ข้าจะติดตามเจ้าไปทุกหนแห่ง”

ภายในพิภพเขตล่าง มู่เฉินมองหยดเลือดที่ไหลลงมาจากนิ้วและรู้ว่าทั่วทั้งจักรวาลกำลังมองมาที่เขา

เขาคือความหวังสุดท้ายของทุกคน หากเขาล้มเหลว ก็จะต้องสู้ตายพร้อมกับหลินต้งและเซียวเหยียนเพื่อลากเอาเทพปีศาจลงนรกไปพร้อมกัน

ฮา

มู่เฉินหายใจเข้าลึก หันกลับมามองร่างรองทั้งสี่พยักหน้าให้ “พี่น้องได้โปรดช่วยข้าหน่อยนะ”

ร่างรองทั้งสี่สบตากันก่อนจะยิ้ม “เราเป็นหนึ่งเดียวทำไมจะต้องพูดว่า ‘ได้โปรด’ ด้วย”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนไป อึดใจเสียงทุ้มต่ำก็ดังออกมาจากปาก

“วิชาสามพิสุทธิ์ รวมขั้นสุด!”

เมื่อเสียงของเขาดังก้องทุกคนที่มองมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างรองทั้งสี่ลุกเป็นไฟ

เพียงสิบกว่าลมหายใจร่างรองทั้งสี่ก็ถูกแผดเผาก่อนจะกลายเป็นลำแสงพุ่งเข้าสู่ร่างกายของมู่เฉิน

มู่เฉินหลับตาลงฉายสีหน้าเคร่งเครียด

เมื่อมาถึงขั้นสามพิสุทธิ์ เขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่ที่สุดของทักษะ พูดตามตรงมีอีกขั้นที่ไปไกลกว่านั้น

เป็นการรวมที่เรียกว่า—-รวมขั้นสุด

แต่เมื่อเขาเสร็จสิ้นกระบวนการรวมนี้ร่างรองจะหายไป นั่นหมายความว่ามู่เฉินจะสูญเสียรากฐานนั่น

“เริ่มจากหนึ่ง ลงท้ายด้วยหนึ่ง” มู่เฉินพึมพำ ทันใดนั้นดวงตาก็เปิดออกกะทันหัน

ตู้ม!

เมื่อดวงตาเปิดออก พายุหลิงทรงพลังก็ระเบิดออกมาทำให้หลินต้งและเซียวเหยียนเปลี่ยนสีหน้า แม้แต่หัวใจของเทพปีศาจก็ยังสั่นสะท้าน

นิ้วสั่นไหวของมู่เฉินหยุดลง สายตามองไปที่กระดานโบราณด้วยดวงตาเปล่งประกาย จากนั้นก็วาดนิ้วอีกครั้ง

ฮึ่ม!

เมื่อเขาจรดปลายนิ้วเสียงก็ดังกึกก้องไปทั้งจักรวาล

สีหน้าเคร่งขรึมฉายขึ้น ปลายนิ้วของมู่เฉินค่อยๆ เหยียดไปที่กระดาน รัศมีกีดขวางผันผวนเป็นแนวต้านสุดท้าย

แกร็ก!

ทว่าการต่อต้านก็คงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะแตกเป็นเสี่ยงๆ ทุกคนได้เห็นแสงเริ่มกลั่นตัวบนกระดาน

นิ้วของมู่เฉินพลิ้วไหวพร้อมกับทุกเส้นสายลากต่อเนื่องตวัดขึ้น

ทุกคนต่างจับจ้องไปที่ทำเนียบเหนือภพขณะที่อักขระกำลังค่อยๆ ถูกเขียนหลังคำว่า ‘มู่’

‘เฉิน!’

เมื่อถึงจังหวะสุดท้ายทั้งจักรวาลก็เงียบงัน

ทำเนียบเหนือภพเจิดจรัส ส่องแสงไปทั่วทุกมุมของมหาพันภพ

ทุกคนมองไปด้วยความไม่เชื่อ ชื่อที่สมบูรณ์ถูกสร้างขึ้น แรงกดดันที่เอิบอาบเข้ามาทำให้พวกเขาอยากคุกเข่าลงกับภาพที่เห็นเบื้องหน้า

รัศมีเปล่งประกายไม่มีที่สิ้นสุดห่อหุ้มร่างมู่เฉินไว้ ยามนี้เขารู้สึกได้ถึงการรับรู้ที่แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล

เขาสามารถเห็นความสุขบนใบหน้าของศิษย์น้องในสำนักศึกษาเป่ยชาง สามารถเห็นเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและถังเชี่ยนเอ๋อ…

เขายังเห็นความตื่นเต้นของมู่เฟิง จิ่วโยว มั่วถัวหลัวและหลิงซีที่ตำหนักมู่…

ขณะนี้ความรู้แจ้งแท้จริงของการควบคุมพุ่งขึ้นภายในหัวใจราวกับว่าทั้งมหาพันภพอยู่ในความรู้แจ้งของเขาหมดแล้ว

ราวกับว่าเขาเป็นจักรพรรดิ

มู่เฉินกำมือแน่นเสียงสะท้อนก้อง “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไประดับที่อยู่เหนือขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะถูกเรียกว่าระดับจู๋ไจ่”

คำพูดช่างฟังดูเหมือนคำสั่ง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่อักขระสีทองที่อยู่บนกระดาน จากนั้นเสียงเขาก็ดังก้องในโสตประสาทของทุกคนในมหาพันภพ

“ในมหาพันโลกทุกคนต่อสู้เพื่อเป็นสิ่งที่ดีที่สุด และข้า-คือ-หนึ่งในใต้หล้า—ต้าจู๋ไจ่!”

“เนตรที่สิบ!”

ใต้หล้าเงียบงัน ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างเทพปีศาจ ขณะนี้ดวงตาทั้งเก้าถูกลบหายไปแม้แต่ดวงตาปกติก็ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า มีเพียงดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผากหนึ่งเดียวเท่านั้น

ดวงตาที่ชั่วร้ายนั้นมืดมนอย่างไม่น่าเชื่อราวกับว่าทำให้โลกแปดเปื้อนด้วยความชั่วร้าย

แรงกดดันปีศาจจางๆ ค่อยๆ กระจายออกจากร่างกายของเทพปีศาจพร้อมกันนั้นก็ทำให้พิภพเขตล่างแห่งนี้เริ่มสั่นสะเทือนและล่มสลาย

มากจนมีแม้แต่ริ้วแรงกดดันปีศาจที่เล็ดลอดออกไปจนทำให้ทวีปหลิงหมัวแตกร้าว

ทั่วมหาพันภพเริ่มโยกคลอนทีละน้อย

“ดวงตาที่สิบ…ที่แท้สถานะเก้าเนตรไม่ใช่ขีดจำกัดของมัน”

ใบหน้าของฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ในมหาพันภพซีดขาว ภายใต้สถานะเก้าเนตรเซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉินก็ต้องทำงานร่วมกัน แล้วพวกเขาจะต่อสู้กับสิบเนตรได้อย่างไร?

ดังนั้นเมื่อทุกคนมองกันและกันก็ต่างเห็นความสิ้นหวังในดวงตา

“หรือมหาพันภพจะถึงวาระจริงๆ” เริ่มมีบางคนคร่ำครวญออกมา พวกเขาต่อสู้อย่างขมขื่นห้าปี แต่สุดท้ายก็ไร้ผลหรือ?

ทั่วทั้งมหาพันภพกวาดตัวด้วยความเงียบงัน ทุกคนตกตะลึงกับร่างเทพปีศาจจนพูดไม่ออก มีเพียงความสิ้นหวังเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นในแววตา

ในพิภพเขตล่างสีหน้าของมู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนก็เปลี่ยนไปรุนแรง พวกเขาขมวดคิ้วแน่นด้วยความไม่สบายใจ

ฉากนี้เกินความคาดหมายของพวกเขาเช่นกัน

ตัดสินจากแรงกดดันปีศาจที่เอิบอาบจากร่างกายเทพปีศาจ พวกเขาก็รู้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายเพิ่มมากกว่าแต่ก่อนมาก

“จะต่อยังไงดี?” หลินต้งถาม แต่ในเวลานี้เขายังสงบสติอารมณ์ใจเย็นอยู่

เซียวเหยียนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ตอบว่า “จะทำอะไรได้อีก?”

มู่เฉินตอบเสียงเบา “ทำได้เพียงสู้ด้วยชีวิต”

ทั้งสามคนแลกเปลี่ยนสายตากันพร้อมกับแววตาแน่วแน่ พวกเขาไม่ลังเลอีกต่อไป เร้ากระบวนท่าการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา

“มหาเพลิงเทวะ!”

“มหาจักรวาล!”

“ลูกแก้วมหาดารา!”

ทั้งสามคนปลดปล่อยการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดไปที่เทพปีศาจอีกครั้ง

แต่คราวนี้เทพปีศาจไม่มีระลอกคลื่นบนใบหน้าเมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น ส่วนโค้งเย้ยหยันแย้มขึ้นบนริมฝีปาก จากนั้นลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาจากดวงตาที่สิบ

ลำแสงสีดำช่างมืดมิดสามารถกลืนกินแสงสว่างทุกชนิดได้

เมื่อลำแสงสีดำส่องไปยังการโจมตีทั้งสาม เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉินก็รู้สึกว่าหัวใจสั่นสะท้าน เพราะเห็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดอ่อนแอลงเรื่อยๆ ที่เบื้องหน้าก่อนที่จะสลายหายไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาที

การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดที่สามารถทำให้เทพปีศาจเกิดการบาดเจ็บเมื่อครู่ได้รับการแก้ไขอย่างง่ายดาย

ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบงัน

เทพปีศาจแตะดวงตาชั่วร้ายที่หน้าผากก็ยิ้มบาง “ข้าเสียสละดวงตาเก้าดวงเพื่อสร้างดวงตาที่สิบ ราคาที่ต้องจ่ายก็คืออายุขัยของตัวเอง ถ้าข้ายังไม่สามารถทำลายมหาพันภพได้อีก ไม่เท่ากับข้าสูญเสียครั้งใหญ่เหรอ?”

แสงสีดำไหลเวียนอยู่ในดวงตา เขามองไปที่ทั้งสามคนพูดอย่างเฉยเมยว่า “ข้าให้โอกาสพวกแกไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกแกไม่รับไว้”

เซียวเหยียนหรี่ตาลงไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ เพลิงร้อนระอุพุ่งขึ้นบนร่างกายพร้อมกับสีหน้าช่วยไม่ได้

“แม้ว่ามหาพันภพจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่เราไม่มีทางหนีพ้น”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… การลากมันลงนรกไปพร้อมกับเราก็อาจไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เสียงของเซียวเหยียนดังก้องด้วยความแน่วแน่ขณะที่หลินต้งพยักหน้าเบาๆ เมื่อมาถึงจุดนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถคิดมากได้แล้ว เพราะพวกเขาเป็นแนวป้องกันสุดท้ายของมหาพันภพ หากพวกเขาล้มเหลวทุกคนที่รักก็จะดับสูญ

เวลาเดียวกันรอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าหลินต้งก่อนที่เขาจะหันกลับไปมองที่เมียรักทั้งสอง “ในอดีตเจ้าเต็มใจสละชีวิตเพื่อข้า วันนี้ข้าไม่กลัวที่จะปกป้องพวกเจ้า”

“ข้าเคยบอกไปแล้วว่าข้าจะไม่ยอมให้พวกเจ้าเป็นอันตรายเว้นแต่ข้าจะตาย”

บนทวีปหลิงหมัวนายหญิงทั้งสี่ก็สัมผัสได้ถึงแรงจูงใจนั่น ใบหน้าของพวกนางเปลี่ยนไปรุนแรง

“หลินต้งไม่!”

ใบหน้าของอิ้งฮวนฮวนซีดลงพร้อมกับเสียงกรีดแหลมดังขึ้น ร่างนางสว่างวาบเตรียมจะพุ่งออกไป แต่กลับถูกหลิงชิงจู๋ที่ดวงตาแดงก่ำหยุดไว้

“เจ้าไปก็ได้แต่ขัดขวางพวกเขา” หลิงชิงจู๋กัดริมฝีปากพูดต่อว่า “ถ้าพวกเขาถูกบังคับให้ไปขั้นตอนนั้นไม่มีอะไรที่เราสามารถช่วยได้ อย่างมากเราก็ติดตามพวกเขาไปเท่านั้น”

“แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องลากพวกปีศาจลงนรกไปพร้อมกันด้วย!”

คำพูดของหลิงชิงจู๋เต็มไปจิตสังหาร

อิ้งฮวนฮวนสงบใจลงพร้อมกับสีหน้าเย็นชา ไอเย็นสุดขั้วแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายขณะที่สายตาจ้องเขม็งไปที่เทพปีศาจ

ใบหน้าของเซียวซุนเอ๋อก็ซีดเซียวขณะที่มองไปที่ไฉ่หลิงที่กำลังตัวสั่นเทิ้ม นางจับมืออีกฝ่ายไว้แน่น “พี่ไฉ่หลิง แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เซียวเซียวและเซียวหลิน พวกลูกยังต้องการการดูแลจากเจ้า”

ไฉ่หลิงกุมมือเซียวซุนเอ๋อตอบว่า “ซุนเอ๋อ เจ้าเห็นแก่ตัวไปกับเขาคนเดียวแบบนี้ไม่ได้ ถ้าจะไปก็ไปด้วยกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดที่หนักแน่นเซียวซุนเอ๋อก็ยิ้มอย่างขมขื่น

ในพิภพเขตล่างดวงตาที่สิบของเทพปีศาจก็กะพริบเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีที่มาจากเซียวเหยียนและหลินต้ง “อะไรกัน? พวกแกคิดจะเขียนบทซ้ำกับไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์โดยการการฆ่าตัวตายหมู่เรอะ?

“แต่คราวนี้ข้าว่าคงไม่มีโอกาสสำหรับพวกแก”

หลินต้งและเซียวเหยียนตอกกลับอย่างไม่แยแส “ไม่ลองก็ไม่รู้”

พูดจบทั้งสองก็ก้าวออกไป

แต่ขณะนั้นเองก็มีมือยื่นออกมาจับแขนพวกเขาไว้

หลินต้งและเซียวเหยียนอึ้งไปก่อนที่จะหันกลับมา “มู่เฉิน?”

มู่เฉินเม้มริมฝีปากขณะที่มองทั้งสองคน “พวกท่านทั้งสองทรงคุณธรรม ข้าชื่นชมอย่างสุดซึ้ง แต่บางทีเราอาจยังไม่หมดหวังขนาดนั้น”

หลินต้งและเซียวเหยียนสบตากันด้วยความตกใจ การเผชิญหน้าครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงอำนาจของเทพปีศาจแล้ว นอกเหนือจากการจุดชนวนตัวเอง พวกเขาก็ไม่สามารถคิดหาวิธีอื่นได้แล้ว

“เจ้ามีวิธีอื่นเรอะ?” เซียวเหยียนถามด้วยความรู้สึกไม่น่าเชื่อ

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งมู่เฉินก็ตอบว่า “ลองดูได้”

หัวใจของหลินต้งและเซียวเหยียนสั่นสะท้าน พวกเขารู้สึกว่านี่ไม่น่าเชื่อเกินไป แต่เนื่องจากความไว้วางใจที่มีต่อมู่เฉินในที่สุดพวกเขาก็พยักหน้า

“ได้ งั้นเจ้าลองดูเลย ถ้าไม่สำเร็จ พวกข้าค่อยใช้ชีวิตเพื่อกำจัดมัน”

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ พลางพยักหน้า “ถ้าถึงตอนนั้นจริงข้าจะไปกับพวกท่านด้วย”

พูดจบเขาก็ค่อยๆ หลับตาลง ไม่นานกระดานลึกลับก็เคลื่อนลงมาจากขอบฟ้าลงมาสู่พิภพเขตล่างแห่งนี้

“ทำเนียบเหนือภพ?”

หลินต้งและเซียวเหยียนอึ้งไปกับภาพนี้พลางรู้สึกงุนงงไปหมด ‘มู่เฉินเรียกทำเนียบเหนือภพมาทำไม? เขาคิดจะเขียนชื่อเต็มลงไปเหรอ? แต่จะเป็นไปได้อย่างไร?’

ทุกคนในมหาพันภพก็งุนงงเมื่อเห็นฉากนี้

เผชิญกับสายตาเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้สนใจ ขณะที่มู่เฉินอีกสองคนก็ทะยานเข้ามาหา

ยามนี้มู่เฉินทั้งสามหลับตาลงโดยไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ

เมื่อดูฉากนี้หลายคนรู้สึกงงงวยมากขึ้น

“เฮ้ เวลานี้แล้วแกยังคิดเล่นกลอีกเหรอ? อย่างแกต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานกว่าจะเขียนชื่อเต็มบนกระดานเส็งเคร็งนั่น!” เทพปีศาจหัวเราะเยาะ

ตอบสนองต่อคำเยาะเย้ย มู่เฉินก็ไม่สนใจ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ทันใดนั้นมู่เฉินก็ลืมตาขึ้นด้วยความโล่งใจ “ในที่สุดก็มาถึงแล้ว”

“อะไรรึ?” หลินต้งและเซียวเหยียนยังงงไม่หาย

โฮก!

กีด!

ทันทีที่สิ้นเสียงถาม เสียงคำรามของมังกรและหงส์ฟ้าก็ดังก้อง ทุกคนต้องตกใจเมื่อเห็นลำแสงสีทองสองสายพุ่งลงไปในพิภพเขตล่าง พวกเขาก็คือมังกรทองและหงส์ฟ้า

เมื่อมังกรทองและหงส์ฟ้าพลิ้วลงมา ก็ก่อตัวกันเป็นสองเงาร่างที่ทำให้ทุกคนตะลึงสุดขีด

ภาพเงาสีทองทั้งสองดูเหมือนกับมู่เฉินทุกประการ!

หลินต้งและเซียวเหยียนหดดวงตาด้วยความตกใจ เนื่องจากพวกเขาพบว่าร่างทั้งสองนั้นมีความผันผวนเช่นเดียวกับมู่เฉินและก็เป็นจอมยุทธ์เหนือภพเช่นกัน!

“นี่…เป็นไปได้ยังไง?”

เมื่อมู่เฉินเห็นมู่เฉินทั้งสองก็ยิ้ม ย้อนกลับไปตอนนั้นที่เขาได้รับคัมภีร์หลงเฟิ่งจากมิติหลงเฟิ่ง เขาก็เลี้ยงดูเทพอสูรทั้งสองด้วยเลือดกลั่นของเขาเอง ดังนั้นทั้งสองคนจึงถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเขาเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อเขาบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์ ไม่เพียงแต่ร่างรองทั้งสองของเขาเปลี่ยนไป แม้แต่จิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงก็ยังได้รับโอกาสและแยกออกมา

ดังนั้นจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงจึงก่อร่างกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและมุ่งหน้าไปยังมหาสมุทรเทพสร้างในดินแดนเสิ่นโซ่เพื่อฝึกฝน

ในความเป็นจริงเมื่อเขาแยกมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริง วิชาสามพิสุทธิ์ของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง แม้แต่ผู้คิดค้นทักษะนี้ก็คงไม่เคยคิดมาก่อนว่าสามพิสุทธิ์จะสร้างตัวตนได้ถึงห้าคน…

แต่ที่สุดแล้วก็น่าเป็นเพราะสถานการณ์พิเศษของมู่เฉินร่วมด้วย เนื่องจากเขาใช้แก่นโลหิตแท้ของตนเองในการเลี้ยงดูเทพอสูรทั้งสองมาหลายปี มิหนำซ้ำยังได้สร้างจิตวิญญาณมังกรแท้จริงและหงส์ฟ้าแท้จริงเอาไว้ซึ่งเต็มไปด้วยจิตสำนึกของตัวเอง

ยามนี้หลินต้งและเซียวเหยียนก็หายตกใจพลางถอนหายใจในใจ ‘แต่แม้จะมีร่างรองเพิ่มขึ้นอีกสองคน ก็คงไม่สามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพได้’

“เจ้าสองคนคงลำบากมาก” มู่เฉินหันไปยิ้มให้กับร่างเทพอสูรทั้งสอง

“พวกเจ้าประสบความสำเร็จหรือไม่?” มู่เฉินชุดดำและชุดขาวถามขึ้น

“เมื่อครู่นี่เอง เราประสบความสำเร็จแบบโชคช่วย”

ร่างรองเทพอสูรทั้งสองพยักหน้า สร้างตราประทับขึ้น

ในเวลานี้รัศมีกระจ่างใสไร้ขอบเขตก่อตัวขึ้นเบื้องหลังทั้งสอง ความผันผวนโบราณก็ถูกปลดปล่อยออกมา หลังจากนั้นทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นร่างเงาโบราณสองร่างค่อยๆ ก่อตัวขึ้นด้านหลัง

นั่นเป็นความผันผวนเช่นเดียวกับสุดยอดร่างเทห์สวรรค์ในตำนาน!

“นั่นคือ…” หลินต้งและเซียวเหยียนหัวใจสั่นสะท้าน

ฉิงเทียนและทุกคนในทวีปหลิงหมัวต่างตกตะลึงขณะที่เขาอุทาน “ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่างของมหาพันภพ—ร่างมหาเทพรัตติกาลและร่างมหาสุญตา!”

หมัวเฮอเทียนก็เกิดความไม่เชื่อบนใบหน้า ก่อนที่จะมองไปที่เฮยเธียนและหวางฉิว “เจ้าสองคนส่งร่างมหาเทพปฐมกาลให้ไอ้หนูนั่นตั้งแต่เมื่อไร?”

เฮยเธียนและหวางฉิวสบตากันก็ยิ้มอย่างขมขื่น “เมื่อไม่กี่ปีก่อน มู่เฉินแอบมาขอยืมร่างมหาเทพปฐมกาล แต่ว่าในตอนนั้นตัวเขาเองก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นเขาจึงให้พวกข้าเก็บทุกอย่างเป็นความลับน่ะ”

ทุกคนตกตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะตื่นเต้น ไพ่ตายที่ซ่อนอยู่ของมู่เฉินนำพาสายแห่งความหวังกลับมาให้พวกเขาอีกครั้ง หากมู่เฉินสามารถใช้พลังของห้าร่างมหาเทพปฐมกาลได้ เขาอาจมีโอกาสที่จะเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพได้จริงๆ

“น่าเกรงขาม”

หลินต้งและเซียวเหยียนอดชื่นชมไม่ได้ ใครจะคาดเดาได้ว่ามู่เฉินจะสามารถสร้างแยกร่างออกได้ถึงสี่ร่าง!? ที่สำคัญที่สุดคือพวกเขาฝึกฝนร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งห้าด้วย นี่ถือเป็นประวัติการณ์แท้จริง!

มู่เฉินทั้งห้าเงยหน้าขึ้นมองไปกระดานลึกลับ

“ตอนนี้เรามาลองดูว่าจะสามารถฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพและสร้างสุดยอดเทพจอมยุทธ์ที่เป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมหาพันภพได้หรือไม่…”

มหาเพลิง มหาจักรวาลและมหาดาราตั้งแนวสามเหลี่ยมพุ่งใส่เทพปีศาจ

แม้ว่าจะไม่ได้มีความเร็วสูง แต่ก็เล็งเป้าบนร่างศัตรูราวกับว่าถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า

ในเส้นทางไม่มีความผันผวนหรือความปั่นป่วนใดๆ แต่ฉากที่สงบนี้เองที่ทำให้ใบหน้าของเทพปีศาจเปลี่ยนไปพร้อมกับความกลัวพล่านอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าทั้งสามจะมาถึงระดับนี้

หลังจากมู่เฉินออกกระบวนท่า สีหน้าก็ซีดลงไปเล็กน้อย ทว่าเขาก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว นั่นเพราะเขาครอบครองร่างมหาปราชญ์วิญญาณซึ่งสามารถให้พลังงานหลิงแก่เขาในการฟื้นฟูอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นแม้ว่าเขาจะใช้ทักษะทรงพลังใดก็รักษาเสถียรภาพพลังในร่างกายได้ทันท่วงที

เขามองเทพปีศาจที่ถูกล้อมโดยการโจมตีทั้งสาม หลังจากไตร่ตรองชั่วครู่มู่เฉินก็กระทืบเท้ารอยแตกขนาดใหญ่เปิดขึ้น

โลกปรากฏขึ้นอย่างคลุมเครือผ่านรอยแตก นี่คือพิภพเขตล่างที่พังพินาศไม่มีชีวิตใดๆ

รอยแตกคล้ายกับปากมหึมาขณะที่กลืนกินบริเวณที่มู่เฉิน เซียวเหยียน หลินต้งและเทพปีศาจอยู่

มู่เฉินรู้ดีว่าหากพลังทำลายล้างเล็ดลอดออกไป ไม่เพียงแต่ทวีปหลิงหมัวจะถูกทำลาย แม้แต่ทวีปโดยรอบก็จะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน

เผชิญหน้ากับการห่อหุ้มของพิภพเขตล่าง เทพปีศาจก็เพียงหลือบมองไปแต่ไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่นเป็นเพราะกองทัพจักรวรรดิปีศาจอยู่ที่นี่เช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกลูกหลง การปะทะกันในพิภพเขตล่างถือเป็นสิ่งที่ดี

ด้วยเหตุนี้มู่เฉิน หลินต้ง เซียวเหยียนและเทพปีศาจจึงลงไปในพิภพเขตล่าง แต่ฉากภายในยังคงฉายให้ผู้คนได้เห็นต่อไปผ่านรอยแตก

ทุกคนมองไปที่เทพปีศาจที่การโจมตีสามสายพุ่งเข้าไปหา

ใบหน้าเทพปีศาจเกร็งขึ้นขณะมองดูการโจมตีทั้งสาม จากนั้นมือก็ค่อยๆ ประสานเข้าหากัน

รัศมีปีศาจโหมกระหน่ำอยู่ข้างหลัง ก่อตัวเป็นดอกบัวปีศาจใต้ฝ่าเท้า

ยามนี้เทพปีศาจผู้ชั่วร้ายไม่เผยสีหน้าใดๆ รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัว เขาคล้ายกับรูปปั้นปีศาจพร้อมกับมีเสียงทำนองน่ากลัวสะท้อนออกมา

ดวงตาทั้งเก้าบนร่างค่อยๆ ปิดลงโดยมีแสงสีดำเก้าสายไหลเวียนจากร่างก่อนจะพุ่งไปที่ลิ้น

ลิ้นทั้งหมดเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำซึ่งดูผิดประหลาดยิ่งนยัก

ตอนนี้เองที่การโจมตีทั้งสามเข้ามา

ร่างมหาเพลิงพุ่งลงพร้อมกับทิ้งรอยแผดเผาไว้ทั่วทั้งโลก อุณหภูมิของพิภพเขตล่างแห่งนี้สูงขึ้นและเริ่มละลายตัวลง

เมื่อมองไปที่ร่างมหาเพลิง เสียงของเทพปีศาจดังก้อง “เก้าเนตร คำสาปทำลายล้างโลก”

เขาเงยหน้าขึ้นทันใดก็เปิดปาก “โฮก!”

เมื่อทำนองปีศาจปรับเปลี่ยนเป็นคำสาปก็พุ่งออกมาจากเทพปีศาจ ซึ่งบรรจุด้วยพลังและการทำลายล้างน่ากลัวไร้ขอบเขต เสมือนปีศาจที่ชั่วร้ายที่สามารถกลืนกินสวรรค์และโลกได้

ตึง!

เมื่ออักขระปีศาจปะทะกับร่างมหาเพลิงก็ไม่ได้สร้างความปั่นป่วนขนาดใหญ่ เนื่องจากคลื่นเสียงทั้งหมดถูกทำลายภายใต้คลื่นกระแทก

ทุกคนเห็นเพียงพิภพเขตล่างถล่มลงมาอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้มหาจักรวาลที่แผ่ซ่านด้วยความลึกซึ้งก็ซัดเข้ามา หากถูกโจมตีนี้แม้แต่เทพปีศาจก็ต้องได้รับบาดเจ็บหนัก ดังนั้นเขาจึงอ้าปากพ่นคำสาปปีศาจอีกครั้ง

“โฮก!”

เมื่ออักขระบินออกไปก็ปะทะกับมหาจักรวาล

หลังจากอักขระปีศาจทั้งสองปะทะกับมหาเพลิงเทวะและมหาจักรวาลแล้ว เทพปีศาจก็มองไปที่ลูกแก้วมหาดารา พ่นคำสาปออกมาอีกครั้ง “โฮก!”

อักขระปีศาจพุ่งออกไปหาลูกแก้วมหาดารา

ฮึ่ม!

สัมผัสได้ถึงอักขระปีศาจ ลูกแก้วก็วาวแสงขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะระเบิดออกมาพร้อมกับแสงปะทะกับอักขระปีศาจเพื่อต่อต้าน ในเวลาเดียวกันแสงโบราณอีกสายก็ทะยานออกมาจากลูกแก้วยิงเข้าใส่เทพปีศาจ

ลูกแก้วมหาดาราบรรจุพลังของร่างมหาเทพปฐมกาลสามร่าง ชั้นแรกใช้พลังของร่างมหารัศมีอนันต์เพื่อปกป้อง ใช้พลังร่างมหาเทพนิรันดร์เพื่อทำการโจมตี สุดท้ายก็ใช้ร่างมหาปราชญ์วิญญาณเป็นตัวสนับสนุนเพื่อจัดหาพลังงานที่ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้นเมื่อเทพปีศาจเห็นลำแสงแววตาก็เย็นเยือกลง เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพ่นอักขระปีศาจอีกตัวเพื่อปะทะกับลำแสงนั่น

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขณะที่การโจมตีทรงพลังปะทะกันในพิภพเขตล่าง แม้จะไม่มีเสียงดังสนั่น แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของการทำลายล้าง เนื่องจากพิภพเขตล่างกำลังพังทลายลงเรื่อยๆ จากแรงกระแทก

โฮก โฮก!

คำสาปปีศาจทั้งหมดเก้าตัวบินออกมา ปะทะกับมหาเพลิงเทวะ มหาจักรวาลและลูกแก้วมหาดารา

ระลอกคลื่นขนาดใหญ่กระจายออกไปไม่ว่างเว้น ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อนจะก่อตัวเป็นพายุมิติปกคลุมพิภพเขตล่างทั้งหมดไว้

ในทวีปหลิงหมัวรวมทั้งมหาพันภพทุกคนมองไปที่หน้าจออย่างกังวล แม้ว่าพายุอวกาศได้ปิดกั้นการมองเห็นของพวกเขา ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้ชัด แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเลื่อนสายตาไปไหน

นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ว่าผลลัพธ์ในสนามรบนั้น จะส่งผลกระทบต่อชะตากรรมของพวกเขา

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ในที่สุดพายุก็เริ่มสลายลง ทุกคนรีบจ้องมองไป

ภูมิประเทศของพิภพเขตล่างค่อยๆ กระจ่างขึ้น

เมื่อเห็นสถานการณ์ก็อดไม่ได้ที่จะสูดหายใจลึกสุดปอด ดินแดนทั้งหมดเหลือเพียงเถ้าถ่าน

ที่นั่นว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย

มีเพียงเงาร่างหกร่างยืนประจันหน้ากันบนท้องฟ้า

ชัดว่าพิภพนี้ถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกเขาแล้ว

ทุกคนตกตะลึงกับพลังทำลายล้าง แต่สายตาก็พุ่งไปที่เทพปีศาจทันที เขายืนอยู่บนดอกบัวปีศาจพร้อมกับคำสาปปีศาจเก้าตัวหมุนรอบตัว

ที่เบื้องหน้าเทพปีศาจ ร่างมหาเพลิงค่อยๆ จางลงก่อนที่จะหายไป มหาจักรวาลแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกับลูกแก้วมหาดารา…

เมื่อผู้คนในมหาพันภพเห็นภาพนี้ความรู้สึกหนาวสั่นก็พวยพุ่งขึ้นมาในหัวใจ หรือว่าแม้แต่มู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งที่ใช้การโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดยังไม่สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้?

หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาจะสร้างภัยคุกคามให้อีกฝ่ายได้อย่างไร?

ตรงข้ามความสุขเพิ่มขึ้นบนใบหน้าของเหล่าปีศาจ

แกร็ก!

แต่เมื่อมีบางคนกังวลและมีบางคนชื่นชม เสียงแตกละเอียดก็ดังมาจากพิภพเขตล่าง ทุกคนเห็นรอยแตกบนอักขระปีศาจเก้าตัวที่อยู่รอบๆ เทพปีศาจสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนที่จะแตกออกในที่สุด…

ร่างเทพปีศาจก็สั่นเทิ้ม ดอกบัวปีศาจที่อยู่ใต้เท้าลุกไหม้ ขณะเลือดสีดำไหลออกจากริมฝีปาก

ทั่วจักรวาลตกอยู่ในความเงียบ

ความสุขบนใบหน้าของนักรบปีศาจแข็งค้างก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดผวา พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเทพปีศาจที่อยู่ยงคงกระพันจะได้รับบาดเจ็บ…

ฝั่งมหาพันภพก็ตกอยู่ในความเงียบงันเช่นกัน ทุกคนสาดสีหน้าไม่เชื่อ เทพปีศาจได้รับบาดเจ็บ

ใบหน้าของเทพปีศาจเคร่งขรึมลงขณะปาดรอยเลือดออกจากมุมปากก่อนจะพูดเสียงเรียบเฉย “ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะได้รับบาดเจ็บจากน้ำมือพวกเจ้า”

เมื่อครู่เขาใช้กระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ก็ยังประเมินทั้งสามคนต่ำไป ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสามารถต้านทานการโจมตีเหล่านั้นได้ แต่ก็ต้องจ่ายราคาด้วยอาการบาดเจ็บ

แม้ว่าอาการบาดเจ็บเหล่านี้จะไม่ส่งผลต่อเขา แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าทั้งสามคนทำร้ายเขาได้

ความอยู่ยงคงกระพันของเขาถูกทำลาย

มู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนแลกเปลี่ยนสายตากัน ไม่มีใครฉายความสุขบนใบหน้า พวกเขามีความภาคภูมิใจเช่นกัน ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาไม่รู้สึกยินดีที่ศัตรูได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

“เรารวมพลังกันยังทำร้ายเจ้าได้เพียงเล็กน้อย…” เซียวเหยียนยิ้ม “เทพปีศาจ เจ้าสมควรกับชื่อเสียงอย่างแท้จริง”

หลินต้งมองไปยังเทพปีศาจ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นพวกเดียวกัน แต่เขาก็รู้สึกเคารพศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “แต่ดูเหมือนว่าความทะเยอทะยานของเจ้าที่อยากลบล้างมหาพันภพจะต้องทุ่มแรงมากกว่านี้นะ”

จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่ พวกเขาพิสูจน์แล้วว่าสามารถต่อสู้กับเทพปีศาจได้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถชนะ แต่เทพปีศาจก็บดขยี้พวกเขาไม่ได้เช่นกัน

จักรวรรดิปีศาจต้องการอาศัยเทพปีศาจในการปกครองมหาพันภพ ในเมื่อเทพปีศาจถูกยับยั้งโดยพวกเขา เผ่าปีศาจต่างๆ ก็จะไม่สามารถทำลายจักรวาลนี้ได้

ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงทำได้เพียงชักกะเย่อกันไปมาในศึกแห่งความเหนื่อยล้า

แสงวูบไหวในดวงตามู่เฉิน เขากล่าวว่า “แต่เมื่อเวลาผ่านไปข้อได้เปรียบของแกก็จะลดลง”

จริงที่มหาพันภพจะจ่ายราคาไม่น้อยหากพวกเขาห้ำหั่นกับจักรวรรดิปีศาจในช่วงเวลายาวนาน แต่อย่างน้อยก็สามารถซื้อเวลาได้ เพียงรออีกไม่กี่สิบปีเซียวเหยียนและหลินต้งก็จะสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพได้

ในเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงสามคน เพียงแค่หนึ่งเดียวก็สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้…

ดังนั้นตอนนี้เทพปีศาจจึงตกอยู่ในสถานกาณ์น่าอึดอัด

เขาถูกมู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนหยุดยั้งไว้ ถ้าเขาไม่สามารถทำลายการหยุดชะงักนี้ได้ก็จะเป็นการให้เวลากับเทพจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ

เทพปีศาจไม่มีการแสดงออกบนใบหน้า แต่สายตามืดครึ้มลง

“เทพปีศาจจงออกจากมหาพันภพกลับไปยังที่ที่เจ้ามา มหาพันภพไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าจะมากร่างได้” มู่เฉินกล่าว

ดวงตาของเทพปีศาจสวรรค์กะพริบ รอยยิ้มผิดแผกเพิ่มขึ้นเมื่อมองไปที่ทั้งสาม “ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจักรวาลเล็กๆ นี้จะสามารถบังคับข้าเทพปีศาจจักรพรรดิให้อยู่ในตำแหน่งที่น่าสมเพชเช่นนี้…”

จากนั้นก็ส่ายหัวตอบว่า “แต่พวกเจ้าคิดเหรอว่าไม่มีอะไรที่ข้าจะทำได้เพื่อพลิกสถานการณ์แล้ว?”

ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนก็หดลง

เทพปีศาจจ้องมองไปที่ทั้งสามพลางพูดขึ้นต่อ “ที่ข้าพูดไปก่อนหน้าก็ยังมีผลนะ ตราบเท่าที่พวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้าก็จะรับประกันความปลอดภัยของครอบครัวและสหายของเจ้าได้ นี่เป็นการถามครั้งสุดท้าย ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะคว้าโอกาสนี้”

ใบหน้าของเซียวเหยียนค่อยๆ มืดครึ้มลงกล่าวว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้นอีกแล้ว อย่างมากพวกข้าก็จ่ายด้วยชีวิต ซัดกระบวนท่าที่มีออกมาเลย”

ร่างกายของมู่เฉินและหลินต้งตึงเครียดขึ้นพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว ขณะที่สายตาจดจ้องไปที่เทพปีศาจ ด้วยความเข้มแข็งของศัตรูเช่นนี้ เขาต้องมีความมั่นใจถึงจะพูดคำเหล่านี้ออกมา

แต่พวกเขาไม่รู้ว่ามีพลังอำนาจอื่นใดที่เทพปีศาจยังมี ในเมื่อเขามาถึงจุดสุดยอดในการเปิดดวงตาทั้งเก้าแล้ว

เทพปีศาจลูบดวงตาจากนั้นก็หลุบตาลง “วิธีนี้จะทำให้ข้าสูญเสียมาก แต่ดูเหมือนว่าคงจะต้องใช้แล้ว”

ขณะที่พูดเขาก็ยิ้มบาง “แต่เอาเถอะ ตราบเท่าที่ข้าได้ครอบครองมหาพันภพ ราคาใดๆ ก็คุ้มค่า”

เขาเหยียดนิ้วเข้าไปในปากแล้วกัดเต็มแรง

เลือดสีดำไหลออกมาจากปลายนิ้ว จากนั้นเขาก็กวาดไปที่ดวงตาทั้งสามบนใบหน้าก่อนที่จะเคลื่อนลงไปที่ฝ่ามือ หัวใจและสะดือ

ในขณะนี้ดวงตาทั้งเก้าถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันด้วยเส้นโลหิตสีดำ สร้างฉากที่ประหลาดตา

เมื่อเสร็จกระบวนการนี้ มือของเทพปีศาจก็ประสานเข้าด้วยกันสร้างตราประทับแปลกประหลาดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มบ้าคลั่งโค้งบนริมฝีปาก

“หวังว่าพวกเจ้าจะไม่ตกใจกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไป…”

“เสียสละปีศาจ เก้าเนตร!”

ฟู่ ฟู่!

ขณะนั้นเองดวงตาทั้งเก้าก็ลุกโชนด้วยเปลวไฟปีศาจพร้อมกับเสียงกรีดร้องเจาะหูดังลั่นมาจากเทพปีศาจ

“ฮ่าๆๆๆ! สละ!”

ดวงตาชั่วร้ายทั้งเก้าลุกโชนอย่างรวดเร็วก่อนที่จะลดลงเหลือเพียงเถ้าถ่าน

ยามนี้เทพปีศาจสูญเสียดวงตาทั้งหมดแล้ว แม้แต่ดวงตาสองข้างก็ยังถูกแทนที่ด้วยโพรงที่ดูน่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ

ทว่าลำแสงสีดำเก้าเส้นก็เดินทางผ่านผิวหนังเข้ามาก่อนที่จะรวมกันที่หว่างคิ้วของเขา

ที่จุดนั้นผิวหนังของเขาเริ่มฉีกออกจากกัน

มู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง เมื่อพวกเขาเห็นดวงตาชั่วร้ายที่สามารถเปลี่ยนทุกคนให้กลายเป็นปีศาจได้ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้ว

ขณะนี้เสียงเยือกเย็นของเทพปีศาจที่ทำให้ทั้งมหาพันภพสั่นสะเทือนได้ก็ดังก้อง

“นี่คือไพ่ตายของข้า…”

“สละเก้าเนตร”

“สร้างเนตรที่สิบ!”

“เบิกเก้าเนตร!”

เมื่อเสียงน่ากลัวของเทพปีศาจดังก้อง ฟ้าดินก็สั่นสะท้านเลื่อนลั่นราวกับหวาดกลัวยิ่งนัก

สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วนกวาดไปยังเทพปีศาจ

เทพปีศาจยืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาดวงที่เก้าที่ปิดอยู่ตรงสะดือสั่นสะท้านก่อนจะค่อยๆ เปิดออก

ขณะนี้ดวงตาที่ชั่วร้ายทั้งเก้าดวงเปิดขึ้นเพื่อมองโลกแล้ว

เมื่อดวงตาดวงที่เก้าเปิดขึ้น ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ว่าแรงกดดันปีศาจที่แผ่ซ่านจากเทพปีศาจพุ่งสูงขึ้นทบทวี ไม่เพียงแต่ทวีปหลิงหมัวเท่านั้น แม้แต่ทวีปใกล้เคียงก็แสดงสัญญาณของการล่มสลายภายใต้แรงกดดันปีศาจ

รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากรวมตัวกันอย่างรุนแรงที่เบื้องหลังเทพปีศาจ ก่อนจะกลายเป็นของเหลวสีดำหนาแน่นหยดแหมะลงมา ทุกหยดมีรัศมีปีศาจที่สามารถทำลายแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้…

รอยยิ้มน่าสยดสยองฉายบนใบหน้าเทพปีศาจ ของเหลวสีดำไหลบ่าราวกับกระแสน้ำบนมือเขา ส่งเสียงน่ากลัวออกมาเป็นครั้งคราว

นี่เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความโลภและการทำลายล้าง

เมื่อมู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่เทพปีศาจในขณะนี้ ใบหน้าก็เคร่งขรึมลงขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามใหญ่หลวงที่มาจากอีกฝ่าย

“ข้าเกรงว่ามันจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่มหาพันภพอุบัติขึ้น” เซียวเหยียนถอนหายใจ แต่น่าเสียดายที่การมีอยู่เช่นนี้ไม่ได้เป็นจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพแต่กลับกลายเป็นมหันตภัยล้างโลก

“ไม่ว่ามันจะทรงพลังแค่ไหน เราก็ปล่อยให้มันก้าวเข้าสู่มหาพันภพไม่ได้ เพื่อคนที่อยู่เบื้องหลัง” เสียงของหลินต้งดังก้อง

“งั้นก็ลุยกันเถอะขอรับ” มู่เฉินค่อยๆ กำหมัดแน่น สายตาเฉียบคมเต็มไปด้วยไอสังหาร

ตู้ม!

หลินต้งและเซียวเหยียนพยักหน้า ร่างเงาห้าเทพจอมยุทธ์ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับกระแสพลังห้าสายฉีกขาดขอบฟ้าพุ่งไปยังเทพปีศาจ

“ฮ่าๆ!”

เผชิญหน้ากับการโจมตีทั้งห้าสาย เทพปีศาจก็ไม่มีความกลัวบนใบหน้า ขณะที่เปิดปากหัวเราะร่าพลางสะบัดมือ

ตึง!

กระแสพลังกลายเป็นวงรัศมีปีศาจขนาดใหญ่กระจายออกไปโดยมีเทพปีศาจอยู่ตรงกลาง

ปัง ปัง!

กระแสพลังทั้งห้ากระทบกับวงรัศมีปีศาจ ทำเอาสวรรค์และโลกปรวนแปร ทว่าวงรัศมีปีศาจกลับแสดงพลังทำลายล้างที่น่าสะพรึงกลัว เมื่อมันกวาดออกก็ทำให้กระแสพลังทั้งห้าแตกเป็นประกายแสงโปรยปรายไปทั่วขอบฟ้า

วาบ!

ขณะที่แสงหลิงจางลงร่างเงาทั้งห้าก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ร่างเทพปีศาจ

อึดใจดาบใหญ่หัวตัดสีดำเมื่อมอาบด้วยเพลิง คทาสายฟ้าและหมัดสามหมัดที่ปกคลุมไปด้วยพลังที่แตกต่างกันก็ซัดตรงไปที่เทพปีศาจ

เทพปีศาจคลี่ยิ้มอ่อนยื่นมือออกมา กระแสพลังสีดำก็พันรอบมือ ก่อนที่เขาจะฟาดไปที่ดาบเพลิง

ประกายไฟแล่นเปรียะออกไป ดาบใหญ่หัวตัดก็สั่นสะท้าน มิติพังทลายลงในกระบวนท่า

ในเวลาเดียวกันเทพปีศาจก็สะบัดแขนเสื้อ กระแสพลังอีกสายก็พุ่งพรวดไปยังคทาสายฟ้า

ตู้ม!

ขณะที่ร่างกายเขาสั่นสะท้าน กระแสพลังอีกสามสายก็แยกออกจากวงรัศมี กลายเป็นหมัดปีศาจสามหมัดปะทะเข้ากับหมัดของมู่เฉิน

“ฮ่าๆ ไสหัวไปให้หมด!”

เทพปีศาจหัวเราะขณะที่แรงกดดันปีศาจมหาศาลแผ่ออกมา

ตึง ตึง!

พร้อมกับเสียงอึกอักในลำคอ ทั้งห้าก็ถอยกลับ ฝ่าเท้าทิ้งรอยไว้บนมิติอยู่เป็นเวลานานไม่ได้สลายลงไป

เมื่อผู้คนในมหาพันภพเห็นฉากนี้ ความโกลาหลก็แตกออกซึ่งอัดแน่นไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทพปีศาจเปิดดวงตาดวงที่เก้า เขาก็เป็นฝ่ายได้เปรียบขึ้นมา

หลังจากซัดมู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งให้ถอยห่างออกไป เทพปีศาจก็แสยะยิ้ม กระแสพลังสีดำเลื้อยไปมาบนร่างราวกับเป็นอสรพิษ เขามองไปที่ทั้งห้าคนกล่าวว่า “ดูเหมือนกลในการพึ่งพาจำนวนของพวกแกจะเริ่มไร้ประโยชน์แล้ว”

ทุกคนสามารถบอกได้จากการแลกกระบวนท่าครั้งก่อนเขาถือไพ่เหนือกว่า

เทพปีศาจเก้าเนตรน่ากลัวเกินไปแล้ว

“ท่านจอมยุทธ์ พวกเจ้าถือได้ว่ามีพรสวรรค์ที่สามารถมาได้ไกลขนาดนี้ ถ้าพวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้าจะรับประกันความปลอดภัยของเพื่อนและญาติสนิทของเจ้าได้” เทพปีศาจมองไปที่มู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้ง

ทว่าเมื่อได้ยินคำเชิญชวนของเทพปีศาจทั้งห้าคนก็ยิ้ม

“ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจในชัยชนะของตนเองมากเหลือเกินนะ…” เซียวเหยียนหลุบตาลงขณะที่สีหน้าสงบนิ่งพลางถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พวกเราสามคนลิ้มรสกับสภาพเก้าเนตรซะหน่อยแล้วกัน!”

เสียงคำรามของเซียวเหยียนเต็มไปด้วยเจตนาฆ่ากระจายออกไป

จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึก เพลิงจักรพรรดิที่ลุกโชติช่วงรอบตัวถอยกลับเข้าสู่ร่างกายทันที

ทว่าในขณะนี้ร่างกายเขากลับโหมกระหน่ำราวกับว่าเป็นหม้อกลั่น

เขาค่อยๆ ยืดฝ่ามือออก ทั่วสรรพางค์กายดูเหมือนหม้อกลั่นราวกับว่ามีบางอย่างกำลังต้มอยู่ภายใน ชั่วครู่ก็เกิดการสั่นไหวบนฝ่ามือขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นดอกบัวพร่างพราว

ดอกบัวสลักด้วยอักขระนับไม่ถ้วน แต่ละอักขระมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเป็นตัวแทนของแก่นเพลิงที่แตกต่างกัน

ขณะที่ดอกบัวเบ่งบานก็ไม่มีความผันผวนของพลังงานหลิงแทรกซึม แต่ทุกคนสามารถมองเห็นร่างลุกเป็นไฟภายในดอกบัว

ร่างนั้นสวมมงกุฎจักรพรรดิ ถูกห่อหุ้มด้วยเสื้อคลุมเพลิงร้อนแรงซึ่งคล้ายกับเทพเพลิงอย่างไรอย่างนั้น

เมื่อร่างนั้นถือกำเนิดขึ้นในดอกบัว ผู้คนในมหาพันภพก็รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิโดยรอบเพิ่มสูงขึ้นในขณะนี้

เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของเทพจักรพรรดิอัคคีครั้งนี้มีพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้

ในขณะที่เซียวเหยียนวาดกระบวนท่า หลินต้งก็เคลื่อนไหวเช่นกัน สัญลักษณ์โบราณเริ่มหมุนเวียนรอบตัวโดยแต่ละสัญลักษณ์แสดงถึงองค์ประกอบที่แตกต่างกัน

สุดท้ายหลินต้งก็ดึงมือกลับ สัญลักษณ์เทวลิขิตทั้งแปดปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ทำให้เกิดแรงกดดันลึกลับ

มู่เฉินหายใจเข้าลึก เขารู้ว่าทั้งเซียวเหยียนและหลินต้งได้นำกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ในเมื่อเป็นเช่นนี้เขาเองก็ไม่ต้องออมมือเช่นกัน

“นิรันดร์” เสียงแผ่วเบาดังออกมาจากปากของมู่เฉิน

รัศมีนิรันดร์ระเบิดออกจากร่างตกลงมาบนฝ่ามือ

“รัศมี”

“จิตวิญญาณ”

พร้อมกับคำพูดของเขา ร่างรองทั้งสองก็สั่น ลำแสงสองสายพุ่งออกมาก่อนที่จะตกลงบนฝ่ามือมู่เฉิน ซึ่งเป็นตัวแทนของพลังร่างมหาเทพปฐมกาล

พลังของร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามถูกรวบรวมไว้บนฝ่ามือมู่เฉิน ขณะที่เขาค่อยๆ งุ้มมือลงลวดลายโบราณก็แผ่กระจายบนหลังมือ

เวลานี้รอยยิ้มของเทพปีศาจแข็งเกร็งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เนื่องจากเขาเริ่มรู้สึกถูกคุกคามในขณะนี้แล้ว

เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้น เสียงของเขาก็ดังก้อง “นี่เป็นทักษะที่ข้าฝึกฝนมาหลายปีและเป็นครั้งแรกที่ใช้ วันนี้ ขอใช้มันวัดเก้าเนตรของแกดู”

“ข้าเรียกทักษะนี้ว่า…”

“มหาเพลิงเทวะ!”

พร้อมกับเสียงของเขา ดอกบัวก็หมุนคว้างขึ้นไปบนผืนฟ้า ทั้วทั้งโลกเริ่มลุกโชน

หลินต้งก็ยกมือขึ้นพร้อมกับโลกที่เต็มไปด้วยดวงดาวบนฝ่ามือ นี่เป็นการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบระหว่างพลังต่างๆ

“ข้าเรียกกระบวนท่านี้ว่า…”

“มหาจักรวาล!”

เขาสะบัดนิ้วโลกที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็พุ่งเป็นสายขึ้นสู่ท้องฟ้า

เวลานี้มือของมู่เฉินก็ค่อยๆ คลี่ออก ลูกแก้วขนาดเล็กปรากฏขึ้นในฝ่ามือเอิบอาบไปกับความผันผวนของการระเบิดดาวฤกษ์

“ในเมื่อต้นกำเนิดมาจากการระเบิดดาวฤกษ์ข้าจึงขอเรียกว่า…”

“ลูกแก้วมหาดารา”

ทันใดนั้นเพลิง ท้องฟ้าหมู่ดาวและลูกแก้วก็ทะยานขึ้นสู่พุ่งไปในทิศทางของเทพปีศาจ

ยามนี้เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดจากมู่เฉิน หลินต้งและเซียวเหยียน กระทั่งใบหน้าของเทพปีศาจก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายความตายตลบอบอวลจากกระบวนท่าของทั้งสาม

ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนเองประเมินชายสามคนที่อยู่บนยอดพีระมิดของมหาพันภพต่ำไป

เมื่อแสงหลิงพร่างพราวแทรกซึมจากทำเนียบเหนือภพ

มู่เฉินทั้งสามก็ยืนเคียงข้างกัน พร้อมกับอักขระลึกลับก่อตัวขึ้นที่กึ่งกลางคิ้วของพวกเขา

อักขระก่อตัวเป็นเครื่องหมายจุลภาคสามตัวซึ่งกำลังหมุนคว้างช้าๆ เอิบอาบด้วยความผันผวนแปลกประหลาดและแรงกดดันลึกลับ

นั่นเป็นเพราะอักขระเหล่านั้นมีเพียงจอมยุทธ์ที่จารึกชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพเท่านั้นจึงจะมีได้

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง รัศมีสดใสบนกระดานโบราณก็คงอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะค่อยๆ ลดลงและหายไปในที่สุด

“ในที่สุดก็สำเร็จ…”

ฉิงเทียนและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิงระยะปลายพากันตื่นเต้นไปกับฉากนี้ ขณะนี้แรงกดดันที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายของมู่เฉินไม่ได้อ่อนแอไปกว่าหลินต้งและเซียวเหยียนเลย

นอกจากนี้ที่ทำให้พวกเขาดีใจยิ่งขึ้นไปอีก คือมู่เฉินไม่ใช่คนเดียว แต่มีถึงสามคน!

พลังของมู่เฉินทั้งสามเหมือนกัน ซึ่งหมายความว่าการจารึกชื่อในครั้งนี้ได้สร้างเทพจอมยุทธ์เพิ่มถึงสามคน!

ถ้านับเช่นนี้มหาพันภพมีเทพจอมยุทธ์เหนือภพถึงห้าคนเลยทีเดียว!

กองกำลังเช่นนี้ทำให้มหาพันภพมาถึงจุดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์อย่างไม่ต้องสงสัย

ด้วยจำนวนห้าต่อหนึ่ง แม้แต่เทพปีศาจจักรพรรดิก็คงต้องรู้สึกหนักใจแล้วมั้ง?

บนภูเขามู่เฉินเงยหน้าขึ้นจากนั้นทั้งสามก็ขยับไปปรากฏตัวข้างๆ หลินต้งและเซียวเหยียน

ขณะที่รัศมีที่ไร้ขอบเขตระเบิดออกจากร่างกายของพวกเขา ก็คล้ายกับดวงอาทิตย์สามดวงลุกโชติช่วง ซึ่งทำให้ทุกคนในมหาพันภพต่างตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าความมืดที่มาจากเทพปีศาจเริ่มล่าถอยออกไป…

สุดท้ายความมืดก็ไม่สามารถกัดกร่อนเข้ามาในครึ่งหนึ่งของทวีปหลิงหมัว

บัดนี้โลกเหมือนถูกแยกออกเป็นสองฝั่ง

ขณะนี้ความแข็งแกร่งของมหาพันภพมาถึงระดับที่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้!

“เทพจักรพรรดิมู่!”

“เทพจักรพรรดิมู่!”

ทุกคนในมหาพันภพเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ความรู้สึกที่ถูกปราบปรามหายไป ขวัญกำลังใจพุ่งทะยาน เสียงโห่ร้องดังกึกก้องไปทั่วทุกมุมโลก

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องเผ่าปีศาจต่างๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่ได้โอหังเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป

“ให้ตายเถอะ ไม่คิดว่ามหาพันภพจะมีการเคลื่อนไหวเช่นนี้” ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดิ่งลงขณะมองไปที่มู่เฉินทั้งสาม

“ข้าจำเด็กนั่นได้แล้ว มันเอาชนะเจียงหยาเผ่าเสียหลิง แต่ตอนนั้นมันเป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ไม่คิดว่าในเวลาเพียงห้าปีมันจะเติบโตรวดเร็วขนาดนี้ ใบหน้าของจอมปีศาจอั้นเทียนก็มืดมนลงเช่นกัน

จอมปีศาจคนอื่นๆ ก็แสดงความคิดเห็น ทำให้พื้นที่โดยรอบเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึง

แต่ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่จะรู้สึกถึงสายตาไม่แยแสกวาดมองมา แต่ละคนหนาวสั่นในหัวใจทันทีและเงียบเสียงลง

เทพปีศาจเหลือบมองพวกเขาอย่างไม่แยแสกล่าวว่า “ก็ยังคงเป็นกึ่งสำเร็จ แค่เพิ่มจำนวนขึ้นมานิดหน่อยเท่านั้นแล้วจะทำอะไรได้?”

พูดจบก็ไม่ใส่ใจพวกเหล่าปีศาจอีกต่อไป สายตามองไปที่ร่างเงาทั้งห้าที่เต็มไปด้วยแสงไร้ขอบเขต

“ดูเหมือนว่านี่เป็นไม้เด็ดที่พวกแกเตรียมมาตลอดห้าปีแล้วสินะ” เสียงที่ไม่แยแสของเทพปีศาจดังก้อง

“แต่…พวกแกคิดว่าจะเหนือกว่าด้วยจำนวนที่มากกว่าเรอะ?” มุมริมฝีปากของเทพปีศาจโค้งขึ้นเอ่ยเยาะเย้ย

หลินต้งหลุบตาลงตอกกลับว่า “จะชนะได้หรือไม่ ก็ต้องสู้ก่อนถึงจะรู้”

“ฮ่าๆ พูดถูก”

เทพปีศาจหัวเราะเบาๆ ดวงตาทั้งสามกะพริบด้วยแสงเย็นสร้างไอเย็นเยือกสะท้านกระดูกสันหลัง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… ก็เปิดสงครามได้เลย หากพวกแกพ่ายแพ้ในมือข้า ทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยจักรวาลนี้จะถูกครอบครองโดยจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เอาไว้ทำปศุสัตว์เพื่อเชือด”

รอยยิ้มที่เป็นมิตรสวมลงบนใบหน้าเทพปีศาจ ทว่าคำพูดที่ดังก้องพร้อมกับความดุร้ายทำให้ใบหน้าของผู้คนในมหาพันภพเปลี่ยนไป

ตู้ม!

รัศมีปีศาจระเบิดออกมาจากร่างเทพปีศาจ โดยทุกเส้นสายคล้ายกับมังกรปีศาจ ในเวลานี้รัศมีปีศาจโหมกระหน่ำไปทั่วพร้อมกับร่างเทพปีศาจคล้ายกับปีศาจร้ายอย่างไรอย่างนั้น

“ตะวันปีศาจเผาผลาญโลก”

เสียงของเทพปีศาจดังก้อง รัศมีปีศาจรวมตัวกันเป็นดวงอาทิตย์สีดำเก้าดวงที่เบื้องหน้าเขา

ทุกดวงลุกโชนด้วยเพลิงปีศาจพร้อมกับความผันผวนที่ทำให้ทวีปหลิงหมัวแสดงสัญญาณล่มสลาย

“ฮึ่ม!”

เมื่อดวงอาทิตย์สีดำทั้งเก้าดวงทะยานออกไปก็พุ่งไปที่มู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้ง

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเห็นฉากนี้ก็รู้สึกว่าหนังหัวลุกซู่ไปหมด ความกดดันที่ซึมผ่านจากดวงอาทิตย์ปีศาจทำให้พวกเขารู้สึกไร้พลัง

การเผชิญหน้าในระดับนี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถแทรกแซงได้

เมื่อเห็นว่าในที่สุดเทพปีศาจก็เคลื่อนไหว ใบหน้าของมู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งก็ดิ่งลง ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากันพลางพยักหน้า

ตู้ม!

เซียวเหยียนเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว ดาบใหญ่หัวตัดสีดำเมื่อมปรากฏขึ้นในมือพร้อมกับเพลิงจักรพรรดิ สายตาคมกริบกวาดออก เขาก็เหวี่ยงดาบลง

“สึนามิเพลิงแตก!”

ขณะที่ดาบใหญ่หัวตัดเหวี่ยงลง คลื่นเชี่ยวกรากก็ถาโถม ทว่าไม่มีหยดน้ำกระเด็น กลับถูกแทนที่ด้วยเปลวไฟที่รุนแรงซึ่งกลายเป็นลำแสงทะยานออกไป แผดเผามิติในกระบวนท่า

ทักษะดังกล่าวเป็นสิ่งที่เซียวเหยียนฝึกฝนตอนเยาว์วัย เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงระดับนี้ พลังที่สำแดงออกมาก็แข็งแกร่งกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดไร้ที่ติในมหาพันภพเสียอีก

หลินต้งก็เคลื่อนไหวตามติด สายฟ้าปกคลุมคทาจักรพรรดิสายฟ้า จากนั้นก็กระแทกลงอย่างจัง สายฟ้าสามสายพุ่งออกมา ก่อร่างเป็นมังกรขนาดมหึมา

การโจมตีจากเซียวเหยียนและหลินต้งจัดการดวงอาทิตย์ปีศาจได้คนละสามดวง เหลือสามดวงสุดท้ายเป็นหน้าที่ของมู่เฉิน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้น ดวงอาทิตย์ปีศาจสะท้อนในดวงตา จากนั้นเขาก็หันไปพยักหน้าให้มู่เฉินชุดขาว อีกฝ่ายยิ้มเยื้องย่างออกมา

ฮึ่ม!

มู่เฉินชุดขาวก้าวออกไป รัศมีไร้ขอบเขตก็รวมตัวกัน

“ปราการรัศมี!”

เสียงของมู่เฉินชุดขาวดังก้อง รัศมีเปล่งประกายรวมตัวกันเป็นปราการขนาดใหญ่ขวางกั้นดวงอาทิตย์ปีศาจทั้งสาม

นี่เป็นปราการที่ดูเหมือนว่าไม่สามารถสั่นคลอน แม้ว่าโลกจะพังทลายลงก็ตาม

ซึ่งเป็นพลังจากร่างมหารัศมีอนันด์ นี่เป็นร่างที่มีการป้องกันแข็งแกร่งที่สุด ความสามารถในการป้องกันนั้นไม่มีใครเทียบได้ในจักรวาลนี้

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่การโจมตีทำลายล้างปะทะกัน เสียงมโหฬารก็สร้างคลื่นกระแทกกวาดออกไป ทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แต่ดีที่ทั้งสองฝ่ายหลีกเลี่ยงไม่ให้ผลพวงส่งผลกระทบต่อทวีปหลิงหมัว เนื่องจากมีกองทัพของฝ่ายอยู่

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ทวีปหลิงหมัวก็ยังโดนคลื่นกระแทกบางส่วน ทำให้พื้นสั่นสะเทือนเกิดรอยแตกกระจายออกไปราวกับเหว

สองกองทัพต่างจับจ้องไปที่การเผชิญหน้า

ประจันหน้ากับการขัดขวางของมู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งดวงอาทิตย์ปีศาจก็พังทลายลง

“เพื่อทุกชีวิตในมหาพันภพ พวกเราก็ต้องใช้ข้อได้เปรียบจากจำนวนคน!” เซียวเหยียนกู่เสียงก้องขณะที่ดาบใหญ่หัวตัดระเบิดพุ่งไปยังทิศทางของเทพปีศาจ

ในเวลาเดียวกันหลินต้งก็เคลื่อนไหว สายฟ้าระเบิดออกจากคทา การสั่นไหวทุกครั้งมีพลังทำลายล้างที่ซัดเข้าใส่เทพปีศาจ

วาบ วาบ วาบ!

มู่เฉินทั้งสามเคลื่อนไหวด้วยความพร้อมเพรียง เทพจอมยุทธ์ทั้งห้ารวมตัวกันล้อมวงรอบตัวเทพปีศาจพร้อมกับการโจมตีทำลายล้างมุ่งเป้าไปที่ศัตรู

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เผชิญกับการโจมตีรุนแรงของฝั่งมหาพันภพ เทพปีศาจก็ไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ แต่กลับคำรามด้วยเสียงหัวเราะ รัศมีปีศาจรวมตัวกันชนเข้ากับทั้งห้าจังใหญ่

ชุดเสียงระเบิดดังก้องอย่างต่อเนื่อง

ทุกเสียงทำให้หัวใจของทั้งสองฝ่ายสั่นสะท้าน พวกเขารู้ว่านี่คือการเผชิญหน้าครั้งยิ่งใหญ่ที่จะตัดสินชะตากรรมแล้ว

บนท้องฟ้าพลังไร้ขอบเขตแผ่กระจายออกไปก่อตัวเป็นปราการกั้นเพื่อกักเก็บคลื่นกระแทกจากการต่อสู้นี้ ไม่ให้กระทบโดนภายนอก

เวลาหนึ่งก้านธูปเต็มๆ

ในช่วงเวลานี้ทั้งสองฝ่ายต่อสู้แลกกระบวนท่ามากกว่าหมื่นท่าแล้ว ทุกการโจมตีของพวกเขาสามารถทำลายทวีปได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นทุกคนบอกได้ว่าการต่อสู้รุนแรงเพียงใด

ตู้ม!

คลื่นกระแทกที่น่าสะพรึงกลัวอีกระลอกพัดออกมา

เทพปีศาจยืนจังก้าบนท้องฟ้า มู่เฉินชุดดำและขาวถูกรัศมีปีศาจซัดกลับออกมา ยามนี้ผมของเทพปีศาจยุ่งเหยิง เสื้อผ้าส่วนบนขาดเป็นริ้วเล็กๆ พร้อมกับแสงน่ากลัวไร้ขอบเขตกำจายออกมาจากรูม่านตาชั่วร้าย

เทพปีศาจเหยียดคอท่าทางพอใจ

เขามองไปที่ทั้งสามพลางหัวเราะร่า “ไม่เลว นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้ต่อสู้เช่นนี้? พวกแกไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”

มู่เฉิน เซียวเหยียนและหลินต้งไม่ตอบสนองขณะมองไปที่เทพปีศาจอย่างเย็นชา

เทพปีศาจก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาคำรามด้วยเสียงหัวเราะก้องออกมาเหมือนเสียงฟ้าร้อง ทว่าความดุร้ายไร้ขอบเขตที่แฝงอยู่กลับทำให้สวรรค์และโลกเปลี่ยนไป

“ฮ่าๆๆ! เข้ามาเลยให้ข้าดูสิว่าพวกเจ้าจะช่วยจักรวาลนี้จากมือข้าได้อย่างไร?!”

“ถ้าพวกเจ้าแพ้ ข้าก็ขอรับช่วงต่อมหาพันภพเอง!”

หัวเราะจบ เทพปีศาจก็วาดตราประทับขึ้นพร้อมกับเสียงน่าขนลุกสะท้อนออกมา ทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน

“เบิกเก้าเนตร!”

เสียงดังก้องพร้อมกับพลังลึกลับสะท้อนไปทั่วทุกมุมมหาพันภพ

ในเวลาเดียวกันทุกคนก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานสูงตระหง่านด้วยความตกใจ

กระดานนี้ทั้งลึกลับและโบราณนำพาแรงกดดันที่ไม่อาจอธิบายได้ ราวกับน้ำหนักของโลก

ที่ทวีปหลิงหมัวจอมยุทธ์ทุกคนก็ตัวสั่น พวกเขารู้ว่าทำเนียบเหนือภพเป็นตัวแทนของอะไร

นั่นหมายความว่านอกเหนือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว มหาพันภพจะมีเทพจอมยุทธ์ทำเนียบเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง

นี่เป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพ

หลินต้งและเซียวเหยียนรู้สึกพอใจกับภาพเบื้องหน้า เนื่องจากมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นในช่วงเวลาที่สำคัญ นอกจากนี้ขวัญกำลังใจของเหล่าจอมยุทธ์ก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน

“ทำเนียบเหนือภพ?!”

การปรากฏขึ้นของกระดานโบราณขับไล่ความมืดที่ไม่มีที่สิ้นสุด เทพปีศาจกวาดมองไปที่ร่างสูงโปร่งที่เบื้องล่างนั่นด้วยสายตาโหดร้าย

“ที่แท้มหาพันภพพยายามจะสร้างจอมยุทธ์เหนือภพขึ้นมาใหม่ในช่วงห้าปีนี้นี่เอง!”

เทพปีศาจหรี่ตาลงเยาะเย้ย “แต่ถึงพลังของไอ้หนูนี่จะค่อนข้างดี แต่ก็ยังขาดไปส่วนหนึ่งที่จะเขียนชื่อของตนเองไว้บนกระดานบ้านั่น”

ด้วยสายตาเฉียบคม เทพปีศาจสามารถบอกได้เลยว่าขุมพลังของมู่เฉินอาจจะอยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจารึกชื่อไว้ได้

มู่เฉินได้ยินเสียงเยาะเย้ยอย่างชัดเจน ทว่าเขากลับไม่สนใจเงยหน้าขึ้นมองกระดานโบราณด้วยแววตาลุกโชน

ในที่สุดเขาก็สามารถทำตามความปรารถนาที่ตั้งไว้ได้แล้ว

ตอนนี้เขาเริ่มวาดตราประทับ รัศมีระเบิดออก ทุกคนสามารถเห็นร่างโบราณที่เอิบอาบด้วยรัศมีนิรันดร์—ร่างมหาเทพนิรันดร์!

ภายใต้การควบคุมของมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ก้าวออกมารวมเข้ากับร่างกายเขา ขณะนี้รัศมีระเบิดออกมาจากมู่เฉิน ทำให้ทั้งร่างของเขาดูราวกับอัญมณีโปร่งแสง เมื่อคลื่นหลิงไหลเวียนก็เกิดแรงกดดันที่ไม่อาจจินตนาการได้

เวลานี้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกกดดันอย่างมากจากมู่เฉิน

ภายใต้สายตานับไม่ถ้วนมู่เฉินค่อยๆ ยื่นนิ้วออกมา กดลงบนกระดานโบราณ

ฮึ่ม!

ในช่วงเวลาที่สัมผัสกันจักรวาลก็สั่นสะเทือน พลังลึกลับบนทำเนียบพยายามขัดขวางเขาจากการสร้างชื่อเอาไว้

“ยังขาดนิดหน่อย” หลินต้งและเซียวเหยียนแสดงความคิดเห็น เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินอาจจะสามารถกระตุ้นทำเนียบเหนือภพได้ แต่ก็ยังไม่พอที่จะเขียนชื่อตนเองลงไป

นี่มีสาเหตุมาจากรากฐานของเขา เพราะสุดท้ายเขาก็ยังอ่อนเยาว์ ต่อให้สืบทอดมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว แต่ก็ไม่น่าเชื่อสำหรับมู่เฉินที่จะบรรลุเป้าหมายนี้

“ดูเหมือนความหวังของพวกแกจะดับวูบลงแล้วใช่ไหม?” เทพปีศาจยิ้มตาหยี

เสียงหัวเราะระเบิดจากกองทัพจักรวรรดิปีศาจ ขณะตอกหน้าใส่มหาพันภพ

ทว่าหลินต้ง เซียวเหยียนและจอมยุทธ์สูงสุดคนอื่นๆ ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เนื่องจากพวกเขาคาดการณ์เรื่องนี้มานานแล้ว มิหนำซ้ำมู่เฉินก็ไม่คิดจะพึ่งพาความสามารถของตัวเองอย่างเดียวในการเขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ

ท่าทางของมู่เฉินไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เขาไม่ได้ฝืนเมื่อพบสิ่งกีดขวาง แต่กลับหลับตาลง

การหลับตากินเวลาไปสิบกว่าลมหายใจ

ขณะที่ทุกคนกำลังรู้สึกงุนงง จู่ๆ มิติก็ฉีกออกจากกันด้านหลังมู่เฉิน ทุกคนเห็นเงาร่างสีดำและสีขาวมายืนอยู่ข้างๆ เขา

ภาพเงาทั้งสองสวมเสื้อคลุมสีดำและสีขาวตามลำดับ ดูเหมือนกันกับมู่เฉินมาก

“เรามาสายไปหน่อย” มู่เฉินชุดดำยิ้มแหย

“มาถูกเวลาเลยทีเดียว” มู่เฉินยิ้มขณะที่พูดต่อ “ลงมือเถอะ”

ร่างรองทั้งสองพยักหน้าพลางประสานมือ จากนั้นรัศมีหลิงไร้ขอบเขตก็ระเบิดออกที่เบื้องหลังพวกเขาราวกับกลายเป็นโลกแห่งพลังงานหลิง

ภายในโลกมีร่างเงาโบราณสองร่างปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

ร่างหนึ่งดูเหมือนทำจากอัญมณีขาวใสซึ่งเอิบอาบด้วยความสว่างไม่มีที่สิ้นสุด ในเส้นทางของแสงกระทั่งมิติก็ยังทนทานขึ้นจนไม่สามารถทำลายได้

อีกร่างหนึ่งดูเหมือนไร้ตัวตน แต่กลับถูกห่อหุ้มด้วยพลังงานไร้ขอบเขต ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนยังรู้สึกว่าตัวตนอ่อนแอ

ร่างมหารัศมีอนันด์!

ร่างมหาปราชญ์วิญญาณ!

ทุกคนมองไปที่ร่างสองร่างพร้อมกับประกายไฟแล่นพล่านในดวงตา ทั้งสองร่างก็คือหนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาล ไม่คิดว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จในการฝึกฝนจริงๆ

นั่นหมายความว่าเวลานี้มู่เฉินเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพปฐมกาลสามร่าง ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

“เขาทำได้จริงๆ” หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจ วิชาสามพิสุทธิ์มีความลึกซึ้งอย่างแท้จริง แต่นั่นก็เป็นโชคชะตาของมู่เฉินด้วย ซึ่งแปลว่าวิชาสามพิสุทธิ์เหมาะสมกับเขามาก กระทั่งพวกเขาเองยังไม่รู้สึกว่าจะทำได้ดีกว่าเขา

รอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าเทพปีศาจแข็งค้างขณะมองไปที่มู่เฉินอย่างลึกล้ำ “ไม่คิดว่าจะมีคนสามารถรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามไว้ในคนคนเดียวได้”

เขาสามารถบอกได้ว่ามู่เฉินทั้งสามเป็นร่างเดียวกัน นี่น่าจะเป็นทักษะพิมพ์ร่างที่ลึกซึ้ง ที่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเองและฝึกฝนร่างมหาเทพปฐมกาลได้

จอมยุทธ์จะต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองที่เบื้องหน้าทำเนียบเหนือภพ แต่มู่เฉินทั้งสามเป็นคนเดียวกัน ดังนั้นจึงสามารถร่วมมือกัน

นั่นหมายความว่าไม่ยากแล้วที่มันจะเขียนชื่อไว้บนกระดานโบราณเส็งเคร็งนั่น

ดวงตาของเทพปีศาจวูบไหว คิดจะลงมือทำลายแต่สุดท้ายก็รั้งตัวเองไว้ เพราะการปรากฏขึ้นของทำเนียบเหนือภพทำให้เวลานี้พลังงานพิภพแข็งแกร่งอย่างที่สุด ดังนั้นหากเขาออกกระบวนท่าอะไรก็จะถูกโจมตีจากกระดานโบราณแทน

แม้ว่าอนาคตเขาจะจัดการกับกระดานนั่นเพื่อให้อยู่ในการควบคุม แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม

ดังนั้นเขาจึงกดรัศมีปีศาจโดยรอบมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา

ฮึ่ม!

ในเวลาเดียวกันร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณก็ได้หลอมรวมกับร่างรองของมู่เฉิน คลื่นหลิงของพวกเขาเพิ่มขึ้นในระดับที่น่ากลัว

“ให้เราช่วยเสริมแรงเจ้า!”

ร่างรองทั้งสองคำรามขณะที่ยื่นมือออกมาพร้อมกับกระแสพลังงานหลิงที่ไร้ขอบเขตสองสายระเบิดออกมาจากฝ่ามือพวกเขา

ตู้ม!

กระแสพลังทั้งสองรวมกันที่นิ้วของมู่เฉิน นิ้วก็โปร่งใสแบบคลุมเครือ

พร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด นิ้วของมู่เฉินก็ค่อยๆ แตะลงไป

เมื่อนิ้ววาดลงไป แรงกีดขวางลึกลับก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ดวงตาของมู่เฉินระเบิดด้วยแสงแหลมคมพลางกดลงไปอย่างแรง

ฮึ่ม!

ขณะนั้นระลอกคลื่นกระจายออกไปบนทำเนียบเหนือภพ ม้วนตัวไปทั่วมหาพันภพโลก

ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นเสียงโบราณในเวลานี้

แรงกีดขวางลึกลับถูกเจาะทะลุในเวลานี้ มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่านิ้วได้กดลงบนทำเนียบแล้ว จากนั้นก็ตวัดเส้นสายบนกระดานลึกลับ

พร้อมกับนิ้วของมู่เฉินพลิ้วไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังลึกลับที่รวบรวมบนกระดานพร้อมกับเส้นสายที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เมื่อเส้นสายสุดท้ายสะบัดลง พลังยิ่งใหญ่ก็กวาดออกมา คำว่า ‘มู่’ ถูกจารึกไว้บนทำเนียบเหนือภพเรียบร้อย

มู่!

เมื่อปลายตัวอักษรจบลง มู่เฉินก็ครุ่นคิดชั่วครู่และคิดดำเนินการต่อ ทว่าเขาก็ต้องหยุดลงเพราะรู้สึกได้ว่าตนเองยังไม่แข็งแกร่งพอ

“ทำเนียบเหนือภพแยกออกเป็นส่วนชื่อและแซ่ ตราบใดที่จารึกทั้งสองส่วนเสร็จถึงจะนับว่าได้จารึกชื่อไว้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“แต่การพยายามทำส่วนที่สองให้เสร็จยากกว่าส่วนแรก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมท่านเซียวเหยียนและท่านหลินต้งถึงติดอยู่ในขั้นตอนนี้”

มู่เฉินสั่นหัวอย่างเสียดาย ถ้าเขาจารึกชื่อทั้งหมดได้การจัดการกับเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะไม่มีปัญหา

ขณะที่เขาถอนหายใจในหัวใจ มู่เฉินก็ถอนมือกลับ ขณะเดียวกันอักษรมู่ก็เปล่งประกายความสดใสราวกับว่าถูกตราตรึงในส่วนลึกของสุริยจักรวาลนี้แล้ว

พลังลึกลับพลิ้วลงมาห่อหุ้มมู่เฉินทั้งสาม

พวกมู่เฉินหลับตาลงเสื้อผ้ากระพือไหว ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่ไม่อาจต้านทานได้ค่อยๆ แทรกซึมออกจากร่างมู่เฉิน

นี่เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

มู่เฉินทั้งสามสบตากันพลางยิ้ม พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานลึกลับในร่างกาย นี่คือพลังงานพิภพ

ตอนนี้พวกเขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนยิ่งขึ้นไปอีก

“ยินดีกับการจารึกชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้” เซียวเหยียนกับหลินต้งยิ้มขณะประสานมือไปทางมู่เฉิน

ยามนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ในระดับเดียวกับพวกเขาแล้ว

ทุกคนในมหาพันภพเฝ้ามองฉากนี้ด้วยความตื่นเต้นและเสียงดังก้องขึ้น

“ขอแสดงความยินดีกับเทพจักรพรรดิมู่ที่เขียนชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพได้!”

ฉิงเทียนและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นปลายก็โค้งคำนับให้ น้ำเสียงพวกเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความเคารพ ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะยืนในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแล้ว หลังจากจารึกชื่อไว้บนทำเนียบสำเร็จ

ด้วยสถานะของเขาสมควรได้การเรียกว่าเทพจักรพรรดิมู่แล้ว!

นั่นเป็นเพราะขณะนี้มู่เฉินคือเทพจอมยุทธ์อันดับสามของมหาพันภพ!

ในสมรภูมิที่ทั้งสองฝ่ายเข้าห้ำหั่นกัน

ผืนดินวินาศสันตะโรผืนฟ้ามืดมิด มากจนแม้แต่มิติก็คงความเสถียรไว้ไม่ได้ บางครั้งเกิดรอยแตกกระจายออกมา…

ในช่วงครึ่งปีทั้งสองฝ่ายใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสนามรบและต่างสูญเสียเป็นอย่างมาก จนแม้แต่ผืนโลกยังถูกย้อมเป็นสีแดงฉานเพื่อแสดงถึงความโหดร้ายที่มี

เนื่องจากทวีปแห่งนี้ถูกใช้เป็นสนามรบสำคัญระหว่างมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจจึงได้รับการตั้งชื่อว่าทวีปหลิงหมัว

หุบเหวไม่มีที่สิ้นสุดทอดยาวออกไปในทวีปซึ่งดูราวกับขากรรไกรปีศาจ ภายในเหวมีกระแสน้ำมหึมาพวยพุ่งขึ้นกระแทกโขดหินส่งเสียงเสียดแทงแก้วหูยิ่งนัก

ทวีปหลิงหมัวแห่งนี้มีปลายด้านหนึ่งเป็นดินแดนปีศาจ อีกด้านหนึ่งคือมหาพันภพ

ตลอดครึ่งปีที่ผ่านมาสงคราม ณ ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยหยุดนิ่ง แต่วันนี้กลับเงียบผิดปกติ ซึ่งหาได้ยากในทวีปซึ่งถูกย้อมด้วยเลือดแดงฉานแห่งนี้

อย่างไรก็ตามทุกคนรู้ดีว่านี่คือความเงียบสงบก่อนพายุทำลายล้างจะมา ซึ่งเป็นวันตัดสินชะตากรรมของมหาพันภพ…

หากพวกเขาผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ไปได้มหาพันภพก็จะแต่มีสันติสุข มิฉะนั้นทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยจักรวาลนี้จะถูกกดขี่และสังหาร ใช้ชีวิตอย่างโหดร้ายทารุณ

ดังนั้นในเวลานี้ทักษะลับนับไม่ถ้วนถูกงัดออกมา คลื่นหลิงก่อตัวเป็นกระจกฉายภาพสถานที่แห่งนี้ไปยังทุกมุมของมหาพันภพ

วันนี้ทุกคนในมหาพันภพเงยหน้าขึ้น กระจกมหึมาก่อตัวขึ้นเหนือทุกทวีปฉายภาพในทวีปหลิงหมัว

ทุกคนวางเรื่องในมือลงจ้องมองไปที่กระจกด้วยสายตาสั่นเทา เสียงสวดมนต์ดังสะท้อนออกมาอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาภาวนาขอให้มหาพันภพประสบชัยชนะ

เมื่อทุกสายตาพุ่งผ่านกระจกก็สามารถมองเห็นทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว อัดแน่นไปด้วยรัศมีหลิงเข้มข้น ผู้คนมากมายทอดตัวออกไปสุดสายตา มากขนาดนี้ก็ยังมีผู้คนเร่งรุดมาเพิ่มอีก

เห็นได้ชัดว่าเหล่าจอมยุทธ์ในมหาพันภพต่างมารวมตัวกันที่ทวีปหลิงหมัว

ตรงข้ามกับทิศตะวันตกถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจ ซึ่งเมฆปีศาจขนาดใหญ่และหนาทึบทอดยาวยังไปฟ้าดิน สายตาดุร้ายสามารถมองเห็นได้ราวกับว่าพวกมันเป็นอสูรกายที่คืบคลานออกมาจากขุมนรก นำพาความพินาศมาสู่โลก

 

ทางทิศตะวันออกของทวีปหลิงหมัว

ณ จุดสูงสุดท่ามกลางความผันผวนของคลื่นหลิง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อทุกคนที่มองไปยังร่างทั้งสองก็เกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นหลายส่วน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเทพจักรพรรดิทั้งสองหยุดยั้งไม่ให้จักรวรรดิปีศาจเข้ามารุกรานมหาพันภพได้ สำหรับสุริยจักรวาลแห่งนี้ทั้งสองคือผู้นำอย่างไม่ต้องสงสัย

เหล่านายหญิงทั้งสองแคว้นพร้อมกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา

แต่ละคนสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะสายตาวิตกกังวลมองไปที่เผ่าปีศาจ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้สึกหวาดกลัวและกระวนกระวายเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิ

ขณะทุกคนกระวนกระวายมาก หลินต้งและเซียวเหยียนก็ยังคงสงบนิ่ง ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าสามารถทะลุผ่านห้วงมิติได้

“เวลาไม่รอท่าแท้จริง ถ้าเรามีเวลาอีกสักสามสิบปีก็คงสามารถเขียนชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ในเวลานั้นไม่ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะมีวิธีการเช่นไร เราก็สามารถปราบปรามมันได้” หลินต้งถอนหายใจด้วยความเสียใจ

เซียวเหยียนพยักหน้าเห็นด้วยเนื่องจากมีความคิดคล้ายคลึงกัน เพียงอีกสามสิบปี พวกเขาก็สามารถเขียนชื่อเต็มบนทำเนียบเหนือภพได้แล้ว

ถึงเวลานั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลัวเทพปีศาจจักรพรรดิหน้าไหนอีก

ทว่าเทพปีศาจก็รู้สึกได้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาพลิกสถานการณ์ไปได้

พร้อมกับความคิดที่เกิดขึ้น หลินต้งและเซียวเหยียนก็ถอนหายใจยาว พวกเขาไม่ได้กลัว แต่เพียงรู้สึกเสียใจเพราะอยู่ห่างจากจุดสุดยอดอีกก้าวเดียวเท่านั้น

“หืม?”

ทันใดนั้นทั้งสองก็หดตาพลางเงยหน้าขึ้นมองไปที่รัศมีปีศาจที่ไร้ขอบเขตทางทิศตะวันตก

เวลานี้ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงแรงกดดันของปีศาจที่ทำให้หายใจไม่ออกบีบกดลงมาจากท้องฟ้าห่อหุ้มโลกทั้งใบเอาไว้

ภายใต้ความกดดันนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างพวกเขายังรู้สึกหวาดกลัว

กองทัพยิ่งใหญ่ของมหาพันภพตกอยู่ในความเงียบงันพร้อมกับความขนพองสยองเกล้าพล่านบนใบหน้า

“คารวะต่อท่านเทพปีศาจจักรพรรดิ!”

เผ่าปีศาจต่างๆ ส่งเสียงโห่ร้องขณะที่คุกเข่าลง

แม้แต่จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็คุกเข่าด้วยเช่นกัน สายตาโหดร้ายพุ่งตรงไปที่มหาพันภพ

พวกเขารู้ดีว่าการมาถึงของเทพปีศาจจักรพรรดิจะทำลายความสมดุลระหว่างทั้งสองฝ่าย

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง เมฆปีศาจพลุ่งพล่านภาพเงาหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้ากองทัพจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

เขามีรูปร่างหน้าตาหล่อเหลา เปล่งประกายระยิบระยับด้วยรัศมีรอบตัว ไม่มีกลิ่นอายน่ากลัวใดๆ ที่เป็นของเผ่าปีศาจ ภายใต้รอยยิ้มช่างดูใจบุญสุนทานมากล้น

ทว่าดวงตาทั้งสามบนหน้าผากกลับแผดไอน่ากลัว เมื่อความสุดขั้วทั้งสองรวมเข้าด้วยกันก็ดูลึกลับยิ่งนัก

นี่ก็คือเทพปีศาจจักรพรรดิ

เทพปีศาจโบกมือ เสียงร้องร้อนแรงก็สงบลง เขามองไปที่หลินต้งเซียวและเหยียนพร้อมกับรอยยิ้ม “ห้าปีผันผ่าน ในที่สุดเราก็มาพบกันใหม่”

เสียงนี้ไม่ดังเลย แต่ทำให้ทวีปหลิงหมัวสั่นสะเทือนพร้อมกับคลื่นเสียงแผ่ออกไปข้ามขอบฟ้า ทำให้ท้องฟ้าพังทลายลง

สีหน้าของหลินต้งและเซียวเหยียนเย็นชาลงเช่นกันเมื่อหันไปมองเทพปีศาจด้วยดวงตาเฉียบคม

“เจ้าสองคนน่าทึ่งจริงๆ ถ้าข้าไม่มีรากฐานมาก่อนก็คงไม่สามารถจัดการกับพวกเจ้าได้ ดังนั้นหากเจ้าสองคนยอมรับตราประทับเทพปีศาจของข้าละก็ ข้าจะยอมปล่อยให้มหาพันภพดำรงอยู่ได้” เทพปีศาจมองไปที่หลินต้งและเซียวเหยียนขณะที่พูด

“เราไม่เคยเชื่อในความเมตตากรุณาของศัตรู” เซียวเหยียนยิ้ม

“นอกจากนี้ก็ยังไม่แน่ว่าใครจะชนะสงครามครั้งนี้”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เทพปีศาจก็ยิ้มไม่แยแส “เจ้าสองคนพัฒนาขึ้นอย่างแข็งแกร่งภายในห้าปี แต่อย่างที่ข้าพูดไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดข้าได้ เมื่อข้าได้เก้าเนตรกลับคืนมา”

พูดจบเขาก็ก้าวออกไป แรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวระเบิดออกมาพร้อมกับเสาปีศาจนับล้านจั้งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลืนกินแสงสว่างทั้งหมด

ภายในความมืด แรงกดดันปีศาจที่น่ากลัวแผ่กระจายออกไป ทำให้ทุกคนรู้สึกหวาดกลัวไม่รู้จบ

ฝั่งกองทัพมหาพันภพ ทุกคนตกอยู่ในความมืดขณะที่อุทานขึ้นด้วยความกลัว ความมืดนี้ดูเหมือนจะสามารถกัดกร่อนจิตใจของผู้คนได้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังสั่นสะท้าน ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปผู้คนต้องเป็นบ้าแน่

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่มหาพันภพตกอยู่ในความโกลาหล เพลิงโชติช่วงขนาดใหญ่ก็ลุกโชนกลายเป็นดอกบัวหมุนรอบตัวช้าๆ เอิบอาบด้วยรัศมีขับไล่ความมืด

บนดอกบัวเรือนผมของเทพจักรพรรดิอัคคีพะเยิบพะยาบเบาๆ ขณะที่สาดสีหน้าเย็นชา

ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันอักขระโบราณแปดตัวก็หมุนไปรอบ กลายเป็นวงแสงที่มีคลื่นขนาดใหญ่แผ่ออกมาเพื่อขับไล่ความมืด

เมื่อดอกบัวเพลิงและอักขระโบราณไหลเวียน ก็ยึดครองท้องฟ้าฝั่งหนึ่งและขับไล่ความมืดออกไป

อย่างไรก็ตามความมืดยังคงแผ่กระจายออกไปในท้องฟ้าส่วนใหญ่ กลืนกินแสงสว่างอย่างต่อเนื่อง พยายามที่จะห่อหุ้มมหาพันภพไว้ในความมืดอีกครั้ง

พลังงานทั้งสองฝ่ายเสียดสีกันอยู่ตลอดเวลา รัศมีวูบไหวระหว่างความสว่างและความมืด

ทุกคนในมหาพันภพมองไปที่ภาพนี้ด้วยอาการตัวสั่นเทา พวกเขาสวดอ้อนวอนไม่หยุด เนื่องจากรู้ว่าดอกบัวและอักขระพวกนี้คือความหวังสุดท้ายของพวกเขา

“อย่างที่ข้าบอกไปแล้ว เจ้าสองคนหยุดข้าไม่ได้” เทพปีศาจมองดูอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะสะบัดแขนเสื้อ ความมืดไร้ขอบเขตแผ่ออกไปเรื่อยๆ

ความมืดค่อยๆ กลืนกินแสงจากดอกบัวและอักขระโบราณ

ทุกคนรู้สึกหนาวสะท้านไปทั้งหัวใจกับภาพเบื้องหน้าครรลองสายตา ‘เทพปีศาจจะชนะจริงหรือ?’

ทว่าตอนที่พวกเขากำลังเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง เสียงผิดแผกก็ดังขึ้น เสียงหัวเราะสดใสดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

“ในเมื่อสองคนไม่พอ ก็เพิ่มอีกคนแล้วกัน…”

ทันทีที่เสียงนั้นดังก้อง ทุกคนก็เหลียวมองไปที่ด้านหลัง จากนั้นตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เนื่องจากพบว่ามีคลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกัน พลังเอกภพลึกลับพลิ้วลงมาก่อตัวเป็นม่านแสง…

“ทำเนียบเหนือภพ!”

เมื่อฉิงเทียน ชิงเหยี่ยนจิ้งและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ก็อุทานด้วยความตื่นเต้น

“นั่นมู่เฉิน!”

“ในที่สุดเขาก็มาถึงที่นี่และเรียกทำเนียบเหนือภพแล้ว!”

“เขากำลังจะเขียนชื่อลงไปแล้ว!”

พวกเขามองไปที่กระดานด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ร่างเงาหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คือมู่เฉิน

ยามนี้มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่กระดานด้วยสองมือประสานกันค่อยๆ วางลงไป

ขณะเดียวกันเสียงสะท้อนก็ดังก้องไปทั่วหล้า

“วันนี้ทำเนียบเหนือภพจะจารึกชื่อข้า”

ร่างลั่วหลีเต็มไปด้วยเหงื่อชื้น

ขณะที่นางแนบอยู่บนร่างของมู่เฉิน ไฟเสน่หาเติมเต็มจนไม่อาจจินตนาการได้ แพขนตาของนางกะพริบขึ้นลง

เมื่อมองไปที่หญิงสาวคนรักในอ้อมกอด มู่เฉินก็ลูบหลังบางสัมผัสถึงผิวอ่อนนุ่ม เมื่อรับรู้ว่านางเกาะเกี่ยวเขาไว้อย่างไร ความรู้สึกอ่อนโยนก็กวนตัวในหัวใจ

ลั่วหลีกะพริบตามองไปที่มู่เฉินด้วยความเขินอาย

“คนร้าย! ไหนบอกว่าจะทำแบบนี้ในวันแต่งงานไง…” ลั่วหลีกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะหยิกมู่เฉินไปหนึ่งที

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง มู่เฉินก็ได้แต่ยิ้มแห้งพลางกกกอดหญิงสาวไว้แนบอกแน่นขึ้น

ลั่วหลีมุดหน้าลงไปในหน้าอกของเขา ขณะที่นางลูบหน้าท้องมองไปที่มู่เฉินอย่างอ่อนโยน ก่อนจะถามว่า “เจ้าชอบลูกชายหรือลูกสาว?”

คำถามของนางทำให้มู่เฉินอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะยิ้มกว้าง “ลูกสาวสิ เพราะจะได้โตมาสวยเหมือนแม่”

ปากลั่วหลีเชิดขึ้นขณะกอดคอมู่เฉิน “ถ้างั้นจะตั้งชื่อลูกสาวว่าอะไรดี?”

หลังจากครุ่นคิดสั้นๆ มู่เฉินก็มีความสนใจขึ้นขณะแนะนำ “เรามาตั้งคนละอักษรดีกว่า”

“ตัวข้าชื่อเฉินแปลว่าเล็กเหมือนละออง ข้าเชื่อว่าตอนนั้นท่านพ่อท่านแม่ต้องการให้ข้าเป็นคนธรรมดาและมีชีวิตที่สงบสุข” มู่เฉินยิ้มขณะลูบไล้หน้าท้องของลั่วหลีอย่างอ่อนโยน “แต่สำหรับลูกสาวของข้ามู่เฉิน ข้าหวังว่านางจะดำรงอยู่เหนือล้ำล่องลอยสูงไปบนก้อนเมฆ ดังนั้นข้าอยากใช้คำว่า ‘หยุน’…”

ลั่วหลีเผยรอยยิ้มพิมพ์ใจเอี้ยวหน้ากล่าวว่า “ข้าหวังว่าความมืดจะจากไปพร้อมกับแสงสว่างสาดส่องอีกครั้งในมหาพันภพ ดังนั้นถ้าเรามีลูกสาว ข้าจะใช้คำว่า ‘ซี’…”

ซีหมายถึงแสง

มู่เฉินยิ้มบางพลางพยักหน้า “งั้นถ้าเรามีลูกสาว… เราจะเรียกเจ้าตัวเล็กว่ามู่หยุนซี ถ้าเป็นลูกชายก็ตั้งชื่อให้เรียบง่ายอย่างมู่ถู่หรือมู่สือก็ได้”

“ทำไมเจ้าเห็นลูกสาวสำคัญกว่าลูกชายอย่างนี้?!” ลั่วหลีอดจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินไม่ได้

“แต่มู่หยุนซีเป็นชื่อที่ดีทีเดียว…”

ลั่วหลีกัดริมฝีปากพร้อมกับความหวังในแววตา ฉากนี้ช่างน่าดึงดูดใจเสียจริง

เมื่อมองไปที่ลั่วหลี ความอ่อนโยนในหัวใจของมู่เฉินก็เพิ่มขึ้นขณะกำมือแน่น ‘ภาพงดงามอย่างยิ่ง อนาคตช่างเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างแท้จริง’

‘ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิคิดทำลายทุกสิ่งละก็…’

ทันใดนั้นดวงตาของมู่เฉินก็ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย ‘งั้นข้าก็จะลบล้างเทพปีศาจนั่นเอง!’

พร้อมกับความคิดนี้ ร่างสองร่างบนดินแดนวั้นมู่ก็เหมือนสัมผัสได้ถึงแรงอารมณ์ ขณะที่ดวงตาเปิดขึ้นช้าๆ

เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นแสงหลิงไร้ขอบเขตก็กำจายปกคลุมดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด

ในส่วนลึกของรัศมีสว่างไสวสามารถมองเห็นร่างโบราณสองร่างได้อย่างคลุมเครือซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับไร้ขอบเขตและกลิ่นอายโบราณ

หนึ่งคือร่างรัศมีซึ่งเอิบอาบไปด้วยความสว่างไร้ขอบเขต ส่วนอีกหนึ่งเต็มไปด้วยพลังงานหลิงไร้ขอบเขตซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีวันหมดสิ้น

ทั้งสองร่างนี้ก็คือร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ

หลังจากผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองก็ชำระได้สำเร็จแล้ว

ตอนนั้นเองมู่เฉินที่อยู่สำนักศึกษาเป่ยชางก็สัมผัสได้ เขารู้สึกโล่งใจมาก

“ในที่สุด…ก็เสร็จสมบูรณ์”

ทว่าขณะที่มู่เฉินดำดิ่งอยู่ในความสำเร็จ ทันใดนั้นม่านตาก็หดลงเขามองไปในทิศทางของดินแดนปีศาจที่อยู่นอกมหาพันภพ

“มู่เฉินเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ลั่วหลีสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน

“เทพปีศาจจักรพรรดิ…ปรากฏตัวแล้ว”

น้ำเสียงของมู่เฉินอัดแน่นด้วยจิตสังหารไร้ขอบเขต

ในเวลาเดียวกันในเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่เบื้องหลังป้อมปราการของมหาพันภพ หลินต้งและเซียวเหยียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นเช่นกัน

ดวงตาของพวกเขาวูบวาบด้วยประกายไฟและคลื่นหลิงไร้ขอบเขต ขณะที่แลกเปลี่ยนสายตากัน ไอสังหารที่แทรกซึมอยู่ในดวงตาก็แล่นเปรียะ

ไอสังหารปกคลุมทั้งเมือง ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นกะทันหันมองไปยังทิศทางของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

วาบ!

นายหญิงสี่คนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู เซียวซุนเอ๋อ ไฉ่หลิง อิ้งฮวนฮวนและหลิงชิงจู๋ก็ปรากฏตัวที่เบื้องหลังสามีในยามนี้

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” พวกนางถามขึ้น

หลินต้งและเซียวเหยียนฉายสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นเสียงก็ดังสะท้อนในโสตประสาทของทุกคนในเมือง

“เทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นแล้ว แจ้งคำสั่งเพิ่มการแจ้งเตือนระดับสูงสุด กองหน้าให้หยุดการโจมตีทันที”

เสียงนี้ทำให้หัวใจทุกดวงสั่นสะท้านพร้อมกับความโกรธ ความกลัวและความโล่งใจ…

ตลอดห้าปีที่ผ่านมาไม่มีข่าวใดของเทพปีศาจจักรพรรดิให้ได้ยิน แต่แม้อีกฝ่ายจะหายตัวไปก็ยังสร้างความกลัวขึ้นห่อหุ้มหัวใจของทุกคนในมหาพันภพ

ดังนั้นด้วยการปรากฏตัวนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจจากความกลัวในหัวใจ

อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการโจมตีกะทันหันของเทพปีศาจคนนี้

ท้ายที่สุดก็แค่สู้จนตัวตายเท่านั้น

หลินต้งและเซียวเหยียนมองเข้าไปในมิติไกลออกไปพร้อมกับสายตาทะลุผ่านปราการกั้นทั้งหมด มองเข้าไปที่จุดสิ้นสุดของความมืดมิด

รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกลายเป็นเมฆกลิ้งไปมา

ร่างสวมชุดขาวยืนอยู่บนเมฆดำดูราวกับบัณฑิตพร้อมกับความกรุณาปรานีเอิบอาบออกมารอบตัว

ดวงตาสามดวงเปิดอยู่บนหน้าผากกะพริบด้วยแสงวูบวาบน่ากลัว

เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็คลี่ยิ้มพลางแลกสายตากับหลินต้งและเซียนเหยียนจากระยะไกล

ขณะที่ทั้งสามฟาดฟันกันด้วยสายตา มิติก็ผันผวนพร้อมกับแรงกดดันมหาศาลโอบรัศมีล้อมรอบในระยะสิบล้านลี้

“ทั้งสองไม่เจอกันนานนะ…”

เสียงของเทพปีศาจดังก้องขณะเคาะนิ้วเบาๆ ไปที่ทั้งสอง

“วันที่ข้ามาถึงจะเป็นวันทำลายล้างมหาพันภพ” เมื่อเขาสะบัดมือออก ความมืดก็ปิดกั้นประสาทสัมผัสของหลินต้งและเซียวเหยียน

แสงหลิงในนัยน์ตาทั้งสองสลายไป พวกเขามองเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างเย็นชา

“อีกหนึ่งวันเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเคลื่อนไหวแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของสามี ใบหน้าของนายหญิงสี่คนก็เปลี่ยนไปอย่างน่ากลัว “ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงแล้ว…”

“มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียวซุนเอ๋อถามด้วยคิ้วมุ่นแน่น

เมื่อได้ยินคำถาม ทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนก็คลี่ยิ้มพึงพอใจ “เขาไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”

เมื่อครู่นี้เองที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่ก่อตัวขึ้นในมหาพันภพ ซึ่งเป็นของมู่เฉิน

ใบหน้าของนายหญิงทั้งสี่คลายลง หากมู่เฉินทำสำเร็จมหาพันภพอาจยังไม่สิ้นหวังทุกประตู

“ต่อไป… เราก็จะมาดูว่าเทพปีศาจเก้าเนตรในสภาพพร้อมรบสูงสุดจะทรงพลังเพียงใด” เทพจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าขึ้น ไม่มีความกลัวใดๆ ตรงกันข้ามกลับเผยร่องรอยของความคาดหวัง

 

ที่สำนักศึกษาเป่ยชาง

มู่เฉินยืนขึ้นพลางยื่นมือไปให้ลั่วหลี “ถึงเวลาที่เราต้องไปแล้ว พรุ่งนี้เป็นวันชี้ชะตาของมหาพันภพ”

สีหน้าลั่วหลีเคร่งเครียดลงพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อหมอกหลิงค่อยๆ สลายไปพร้อมกับโอบลั่วหลีลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล

ภายในสำนักศึกษาเหล่าศิษย์ก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขาต่างเงยหน้าขึ้นโค้งคำนับพร้อมกับเสียงที่ทำให้ปฐพีเลื่อนลั่น

“พวกเราขออวยพรให้ศิษย์พี่กลับมาพร้อมกับชัยชนะ!”

อีกด้านหนึ่งเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียน ถังเชี่ยนเอ๋อและคนอื่น ๆ ก็มองไปที่เงาร่างของมู่เฉิน ก่อนจะประสานมือโค้งคำนับ

“มู่เฉิน พวกข้าจะตั้งมั่นรอที่นี่พร้อมกับเหล้าที่เตรียมไว้สำหรับการกลับมาด้วยชัยชนะของเจ้า”

พวกเขาทราบดีว่าการไปของมู่เฉินครั้งนี้เป็นการต่อสู้เพื่อมหาพันภพ เพื่อทุกคน เพื่อบ้านของพวกเรา

เมื่อมู่เฉินได้ยินเสียงก้องกังวานนั้นก็ยิ้มและหันไปพูดกับลั่วหลีเบาๆ “เพื่อเจ้าและเพื่อลูกสาวในอนาคต—มู่หยุนซี…”

“ข้าไม่มีทางแพ้สงครามครั้งนี้!”

พร้อมกับความตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน

ภัยพิบัติที่กลืนกินทวีปเป่ยชางก็สลายหายไป ความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง แต่ก็ได้ทิ้งร่องรอยไว้บนฏลก ซึ่งต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวอีกพักใหญ่

หลังจากนั้นอีกสองวัน มู่เฉินก็นำลั่วหลี หลินจิ้งและเซียวเซียวตระเวนไปทั่วมหาพันภพ พวกเขาช่วยกันดับหายนะที่เกิดขึ้นรอบๆ

เมื่อมีการช่วยเหลือของมู่เฉิน ภัยพิบัติก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป ในเส้นทางที่พวกเขาก้าวผ่าน ภัยพิบัติปีศาจจะถูกระงับอย่างรวดเร็วไม่สามารถก่อให้เกิดความปั่นป่วนใดๆ ได้

ภายใต้ประสิทธิภาพนี้ความสงบก็กลับคืนสู่มหาพันภพในเวลาเพียงสองวัน

 

ทวีปเป่ยชาง สำนักศึกษาเป่ยชาง

หลังจากผ่านสงครามมาได้ทั่วทั้งสำนักศึกษาก็อยู่ในสภาพย่ำแย่ขีดสุด ตอนนี้ทั้งหมดรอการฟื้นฟูอยู่

แม้ว่าสถานที่จะถูกทำลาย แต่ก็ยังโชคดีที่ไม่มีนักเรียนได้รับบาดเจ็บล้มตายมากนัก ดังนั้นบรรยากาศในสำนักศึกษาจึงยกขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีมู่เฉินอยู่ ก็สร้างขวัญและกำลังใจได้มาก มิหนำซ้ำทุกคนยังยอมรับว่าสำนักศึกษาเป่ยชางมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

บนภูเขาที่ตั้งอยู่ด้านหลังชุมนุมเทพธิดาลั่ว

มู่เฉินและลั่วหลีเดินขึ้นเขาช้าๆ ก่อนที่จะไปหยุดยืนอยู่ที่จุดสูงสุดมองลงไปที่กองบัญชาการใหญ่ของชุมนุมเทพธิดาลั่ว เฝ้ามองเหล่าศิษย์น้องที่กำลังช่วยกันสร้างบ้านพัก

ทั่วทั้งสำนักศึกษาตอนนี้เต็มไปด้วยพลังชีวิต

ศิษย์บางคนที่สังเกตเห็นมู่เฉินและลั่วหลี ก็มองไปด้วยความอิจฉา เพราะภายใต้แสงอาทิตย์ร่างเงาทั้งสองดูพร่างพราวโดดเด่นยิ่งนัก

“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นเราช่วยกันก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้นที่นี่…” มู่เฉินมองไปที่ทะเลสาบพร้อมกับรอยยิ้มหวนคำนึงประดับบนริมฝีปาก

ในตอนนั้นเขากร้าวแกร่งได้พบเจอสหายและคู่ต่อสู้มากมายในสำนักศึกษาแห่งนี้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปบางส่วนก็ถูกลืมเลือน กลายเป็นคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเท่านั้น

แต่โชคดีที่หญิงสาวที่ยืนข้างกายเขาไม่เปลี่ยนแปร

ดวงหน้าบอบบางของลั่วหลีเปล่งประกายด้วยความเงางามราวกับหยกอ่อน รอยยิ้มอ่อนโยนเผยออกมา ในเวลานั้นพวกเขานำศิษย์ใหม่รวมตัวกันและก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วขึ้น ทุกคนทำงานอย่างหนักสร้างฐานรากในสำนักศึกษาเป่ยชางไว้

เมื่อหวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ช่างเต็มไปด้วยความทรงจำงดงาม

ลั่วหลีมองไปที่สิ่งปลูกสร้างในสำนักศึกษาทันใดนั้นนางก็ยิ้ม “ข้าได้ยินมาว่าภาคเบญจภาคีกำลังจะรวมกันเป็นหนึ่ง พวกเขาตั้งใจจะให้เจ้าตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ด้วยนะ”

“โอ้?” มู่เฉินประหลาดไปจากนั้นก็พยักหน้า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ในมหาพันภพสำนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกวัน บางแห่งมีรากฐานที่เหนือกว่าภาคเบญจภาคี ตอนนี้เมื่อพวกเขารวมเข้าด้วยกัน บางทีอนาคตอาจสามารถเขย่ามหาพันภพได้

“สำหรับชื่อ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นและยิ้ม “งั้นสำนักศึกษาชังจ่งแล้วกัน”

ด้วยการใช้ชื่อของทำเนียบเหนือภพ เขาหวังว่าจะมีศิษย์น้องจากที่นี่ทิ้งชื่อไว้บนทำเนียบในอนาคตเพิ่มได้อีก

“สำนักศึกษาชังจ่ง…”

ลั่วหลีพึมพำเบาๆ ก่อนจะยิ้ม “ไม่เลว ฟังดูทรงพลังมาก”

“แต่ถ้าห้าสำนักศึกษารวมตัวกัน ศึกเบญจภาคีก็จะไม่มีอีกต่อไปในอนาคต”

ลั่วหลีนั่งลงบนผืนหญ้าและพูดด้วยความกระเง้ากระงอดเล็กน้อย นางจำได้ว่าตนเองและมู่เฉินต้องต่อสู้กันอย่างไรและเอาชนะคู่แข่งขันในตอนนั้นได้

มู่เฉินนั่งลงพลางเหยียดแขนออกไปโอบเอวเล็ก ท่อนแขนเขาแนบข้างตัวนางจับแน่นสัมผัสส่วนโค้งเว้าที่น่าประทับใจ

เมื่อรู้สึกถึงการกระทำของมู่เฉิน ลั่วหลีก็เงยหน้ามองมาที่เขาเขม็ง

ถ้าเป็นคนอื่นคงยอมแพ้ต่อสายตานี้ไปแล้ว แต่มู่เฉินหน้าด้านทำเป็นไม่เห็น เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะดึงนางเข้าสู่อ้อมกอด

“เจ้านี่หน้าด้านจริงๆ”

ลั่วหลีหยิกเอวมู่เฉินเบาๆ ก่อนที่เธอเอนศีรษะซบบนไหล่มู่เฉิน ยามนี้นางรู้สึกว่าร่างกายผ่อนคลายลง

ขณะที่ทั้งสองกอดกันและกัน ลั่วหลีก็มองไปที่มู่เฉิน “มู่เฉิน ครั้งนี้เราจะสามารถเอาชนะเทพปีศาจจักรพรรดิได้ไหม?”

มู่เฉินเม้มปากลังเลชั่วครู่ก่อนจะตอบว่า “ก่อนที่เทพปีศาจจักรพรรดิจะเผยตัวตน ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่ามันจะมีพลังเพียงใด”

“ดังนั้นข้าไม่แน่ใจว่าเราจะเอาชนะได้หรือไม่ ต่อให้ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้งและข้ารวมพลังกัน”

คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น แม้ว่าเขาจะแสดงความมั่นใจต่อหน้าคนอื่น แต่เขาก็บอกความคิดเห็นไม่ปิดบังเมื่ออยู่กับลั่วหลี

นั่นเป็นเพราะเทพปีศาจเก้าเนตรยากแท้หยั่งลึก

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน สีหน้าลั่วหลีก็เคร่งเครียดลงมาก นางมองคิ้วที่ขมวดแน่นของชายคนรักก็รู้สึกปวดใจ นางรู้ว่ามู่เฉินกดดันมากแค่ไหน

“มู่เฉิน เจ้าทำได้ดีมากแล้ว” ลั่วหลีเอื้อมมือคลายหัวคิ้วของมู่เฉินออก

“ยังจำได้ไหม…เจ้าเคยบอกข้าว่าจะเป็นยอดยุทธ์และปกป้องข้าจากพายุโหมกระหน่ำ… ตอนนี้ข้าพูดได้เต็มปากว่าเจ้าทำได้อย่างที่พูดตอนนั้นจริงๆ แล้ว…”

“เจ้าคือยอดยุทธ์หนึ่งเดียวในหัวใจข้า”

แววตาของลั่วหลีอ่อนหวานจนถึงจุดที่ทำให้ผู้คนมึนเมาได้

นางจ้องมองมู่เฉิน ใบหน้าก็แดงระเรื่อ น้ำเสียงอ่อนโยนของนางราวกับรำพึงรำพัน

“มู่เฉิน ข้าโชคดีจริงๆ…ที่ได้พบเจ้าในสงครามเทพยุทธ์…”

เสียงนุ่มนวลเปล่งออกมา มู่เฉินก้มศีรษะลงมองใบหน้าแดงก่ำในอ้อมกอด เขารู้สึกถึงหัวใจเต้นรัว

เขามองไปที่ริมฝีปากของหญิงสาวคนรัก ก็รู้สึกว่าอารมณ์ตกอยู่ในความว้าวุ่น เขาค่อยๆ กระชับมือที่โอบเอวบางของลั่วหลีเข้ามาแนบชิด

สัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของมู่เฉิน ลั่วหลีก็กะพริบตาอย่างกระวนกระวายเล็กน้อย

“ลั่วหลี ข้าโชคดีที่ได้ช่วยเหลือเจ้า… ในสงครามเทพยุทธ์ครั้งนั้น…”

พูดจบมู่เฉินก็ไม่สามารถข่มกลั้นอารมณ์ที่พลุ่งพล่านในใจได้อีกต่อไป เขาก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบ

เมื่อริมฝีปากทั้งสองสัมผัสกันก็กำจายด้วยความอบอุ่น

ร่างเล็กของลั่วหลีเอนลงบนผืนหญ้า มู่เฉินเหยียดแขนตั้งฉากบนพื้นมองไปที่ใบหน้าตื่นตระหนกของคนรัก

มือลั่วหลีพยายามดันหน้าอกของมู่เฉินออก ขณะที่กัดริมฝีปากหลบสายตาเขา “มู่เฉิน เจ้าคิดจะทำอะไร?”

นางมองเห็นไฟปรารถนาที่ลุกโชนในดวงตาของมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มกริ่มพลางโบกสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงกลายเป็นหมอกหนาทึบกระจายออกไปปิดกั้นบริเวณนี้ไม่ให้ถูกรบกวน

“ลั่วหลี เจ้าอยากให้รางวัลข้าบ้างไหม?”

เหมือนจะได้ยินความปราถนาที่ไม่ดีของมู่เฉิน ลั่วหลีก็ส่ายหน้าหวือ

“ในเมื่อเป็นแบบนี้…ก็อย่าหาว่าข้าแกล้งนะ!” มู่เฉินยิ้มก้มศีรษะลงจูบริมฝีปากสีดอกกุหลาบอีกครั้ง

เรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันเป็นเวลานาน ก่อนที่มู่เฉินจะดึงตัวออก ลมหายใจของทั้งคู่หนักหน่วงขึ้น

ลั่วหลีกัดริมฝีปาก ม่านตากระจ่างใสเต็มไปด้วยอารมณ์เข้มข้น ยิ่งมองไปที่มู่เฉิน นางก็รู้สึกได้ถึงไฟปรารถนาลุกโชนในดวงตาของคนรัก นางค่อยๆ คลี่ยิ้มอ่อนโยน

รอยยิ้มของนางตอนนี้ดูเปล่งประกายยิ่งนัก

มู่เฉินถึงขนาดอึ้งไปเลยทีเดียว เขาไม่คิดว่าลั่วหลีจะมีด้านทรงเสน่ห์เช่นนี้

“มู่เฉิน เจ้าต้องการรางวัลจริงๆ หรือ?” น้ำเสียงของลั่วหลีแฝงความเย้ายวนกระเพื่อมออกมา เวลานี้นางได้วางกฎเหล็กทั้งหมดลง นางรู้สึกได้ถึงอารมณ์ของมู่เฉินและนางก็ไม่คิดต่อต้าน กลับกันหัวใจยังเริ่มเต้นไม่เป็นส่ำ

สัมผัสกับความร้อนที่แผ่ซ่านมาถึงโพรงจมูกมู่เฉินก็พยักหน้า

“งั้น…เจ้าจะยังเป็นองครักษ์ของข้าไหม?”

“ตลอดไปจักรพรรดินีแห่งข้า” มู่เฉินจับมือลั่วหลีขึ้นมาจูบที่หลังมือ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

ลั่วหลียิ้มอ่อนหวานก่อนที่จะดันเอวขึ้น ร่างทั้งสองกลิ้งไป แต่ครั้งนี้เป็นลั่วหลีที่พลิกนั่งอยู่บนเอวของมู่เฉิน ดวงตาผลึกแก้วใสช้อนลงมามองเขาประหนึ่งจักรพรรดินี

จากนั้นนางก็พูดอย่างมั่นในว่า “งั้นจักรพรรดินีขออยู่บน”

นางเชิดคอเรียวระหงดังไข่มุกขึ้นพลางหายใจเข้าลึกราวกับว่าตัดสินใจแน่นอนแล้ว มือขาวเรียวเลื่อนไปที่สาบเสื้อกระตุกพันธนาการออก ใบหน้าของนางแดงระเรื่อไปหมด

เมื่อเสื้อผ้าเลื่อนหล่นออกจากผิวกายก็เผยให้เห็นถึงรูปร่างไร้ที่ติ แสงแดดส่องลงมากระทบร่างของนางเปล่งประกายจนถึงจุดที่ดูเหมือนว่าทุกสรรพสิ่งจะหยุดชั่วคราวภายใต้รูปร่างงดงามนี้

ในที่สุดเลือดก็ไหลออกจากโพรงจมูกที่ร้อนฉ่า

“มู่เฉิน นี่คือ…รางวัลที่ข้าให้เจ้า”

หญิงสาวยิ้มหวานร่างแนบลงมาช้าๆ

ในเวลานั้นสายลมฤดูใบไม้ผลิก็พัดพาเข้ามาพร้อมกับเสียงครวญครางดังก้องในหมอกหลิง ร่างสองร่างเกี่ยวกระวัดรัดรึงเข้าด้วยกัน

เสียงโห่ร้องสะท้อนทั่วสำนักศึกษาเป่ยชาง

ศิษย์ทุกคนต่างมีใบหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้นขณะมองร่างเงาบนท้องฟ้า หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพสุดจะพรรณนา

ในช่วงนี้พวกเขาใช้ชีวิตหวาดระแวงภายใต้การคุกคามของเผ่าปีศาจ แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์ทั้งหมดจะพลิกผันในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้

จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขา อ่อนแอราวกับมดต่อหน้าศิษย์พี่ของพวกเขาผู้ซึ่งลบมันออกไปด้วยการตวัดนิ้วครั้งเดียว…

ทุกคนรู้สึกถึงเลือดในกายเดือดพล่าน เพราะเป้าหมายสูงสุดในการฝึกยุทธ์ก็คือปกป้องคนที่ห่วงใยในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้และได้รับความเคารพจากทุกคนไม่ใช่เหรอ?

“เห็นไหม?! เห็นยัง?! ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าตราบใดที่พี่ใหญ่มู่เฉินอยู่ที่นี่ จอมปีศาจเฮยซือเทียนต้องตายคาที่แน่นอน?!” เยี่ยสุนเอ๋อรู้สึกตื่นเต้นขณะที่ยกมือขึ้นเท้าเอว มองไปที่สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วด้วยความภาคภูมิใจ

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อมองขาดจริงๆ!” เมื่อครู่ทุกคนยังรู้สึกช่วยไม่ได้กับความเชื่อมั่นแบบไร้เหตุผลของนาง แต่ตอนนี้พวกเขากลับอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้ด้วยชื่นชม

“ฮ่าๆ ข้าจะดูว่าใครกล้าแข่งกับชุมนุมเทพธิดาลั่วในอนาคตอีก!”

เหล่าศิษย์คนอื่นๆ ของสำนักศึกษาเป่ยชางมองมาด้วยดวงตาฉายแววอิจฉาพวยพุ่ง หลังจากศึกนี้จบลงชุมนุมเทพธิดาลั่วจะเป็นชุมนุมสุดยอดในสำนักศึกษาอย่างไม่ต้องสงสัยและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะผ่านไปกี่รุ่นก็ตาม

นั่นเป็นเพราะต่อให้พวกเขาจบการศึกษาและออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางไป ขณะที่ท่องยุทธภพตราบใดที่พวกเขาบอกว่าชุมนุมที่พวกเขาเคยอยู่นั่นก่อตั้งโดยมู่เฉิน มิหนำซ้ำเขายังเป็นศิษย์พี่ของพวกเขา ไม่ว่าจะไปที่ใดก็คงมีแต่เสียงสรรเสริญ

บางคนที่มีความคิดเฉียบคมก็เริ่มมองหาลู่ทางที่จะเข้าร่วมชุมนุมเทพธิดาลั่วหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้จบลง…

“เจ้านั่น…”

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและเวินชิงเฉวียนที่ฟื้นจากอาการตกใจก็แลกเปลี่ยนสายตากันด้วยรอยยิ้มเหยเก

นั่นเป็นเพราะมู่เฉินเกินความเข้าใจของพวกเขาไปแล้ว

ขณะที่พวกเขายังคงดำเนินตามเส้นทางเพื่อมุ่งสู่ระดับเทียนจื้อจุน พวกเขาก็ตระหนักได้ว่ามู่เฉินได้เกินขอบเขตเหล่านั้นเรียบร้อย…

ช่องว่างมหาศาลเช่นนี้ ทำให้ไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะไล่ตาม

“ตอนนั้นทำไมข้าถึงไม่เห็นว่าเจ้านี่จะทรงพลังมากขนาดนี้…” หลี่เฉวียนทงถอนหายใจขณะหันไปมองร่างสะคราญโฉมบนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาหม่นแสงลง ย้อนกลับไปในอดีตคงไม่มีใครคาดคิดว่ามู่เฉินจะสามารถก้าวมาถึงจุดนี้ได้ยกเว้นลั่วหลี

ขณะที่ทุกคนคิดว่านางพบแค่ก้อนหินธรรมดาท่ามกลางผืนทราย นางกลับเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าหินที่นางพบจะส่องประกายเจิดจ้ากว่าเพชรเม็ดใดในโลก

เสิ่นชังเสิงแตะไหล่หลี่เฉวียนทงมองมาด้วยความเห็นใจ เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าสหายคนนี้แอบปลื้มลั่วหลีมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีโอกาสอีกแล้ว

เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ นางมักรู้สึกว่ามู่เฉินไม่เข้ากันกับลั่วหลีเลยเมื่อในอดีต แต่ขณะนี้นางต้องยอมรับว่าชายหนุ่มที่เคยประลองกันในศึกเบญจภาคีได้เติบโตขึ้นจนเหนือล้ำไปแล้ว

เขาไม่ใช่เด็กหนุ่มคนนั้นอีกต่อไป ตอนนี้เขาคือสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพ

เป่ยหมิงและไท่ชางพลิ้วตัวลงมาจากท้องฟ้า พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ภัยพิบัติจากเผ่าปีศาจก็ไม่เป็นภัยคุกคามอีกต่อไป นั่นหมายความว่าหายนะที่สำนักศึกษาเป่ยชางกำลังเผชิญอยู่อันตรหายไปหมดแล้ว ดังนั้นรอยยิ้มจึงคลี่ออกบนใบหน้าของพวกเขา

อาจารย์ใหญ่อีกสี่คนจากสำนักศึกษาอื่นๆ ก็เข้ามาร่วมแสดงความยินดีกับพวกเขา ในเวลาเดียวกันดวงตาแต่ละคู่ก็สั่นไหวด้วยความอิจฉา เนื่องจากพวกเขารู้ว่าด้วยอดีตศิษย์คนนี้จากสำนักศึกษาเป่ยชางจะเติบโตแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ชื่อเสียงก็จะดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

บางทีในอนาคตสำนักศึกษาเป่ยชางจะอยู่ในตำแหน่งผู้นำภาคเบญจภาคีแล้ว

ความอึมครึมในภูมิภาคนี้หายไปและถูกแทนที่ด้วยเสียงโห่ร้อง

มู่เฉินสะบัดแขนเสื้อบนท้องฟ้า ลบรัศมีปีศาจสายสุดท้ายออกไป จากนั้นก็มองไปที่มือของตนเอง เห็นได้ชัดว่าแม้กระทั่งตัวเขาก็ตกใจกับความแข็งแกร่งที่มี

เพราะก่อนที่จะเข้าสู่สมาธิต่อให้เขาจะใช้กำลังเต็มที่ เขาก็สามารถต่อสู้กับหมัวเฮอเทียนในระดับเดียวกันได้เท่านั้น

แต่ตอนนี้แม้ว่าหมัวเฮอเทียนจะอาศัยขวดมหาเพลิงวารี ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะสู้กับมู่เฉิน

เนื่องจากตอนนี้แม้มู่เฉินจะยังไม่ได้ฝากชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ แต่เขาก็สามารถควบคุมพลังเอกภพได้ ถึงจะเป็นเพียงเส้นสายเล็กๆ แต่ก็เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดไปแล้ว

“ห้าปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ไร้ประโยชน์นี่”

มู่เฉินพึมพำขณะที่หันกลับทะยานไปที่เบื้องหน้าลั่วหลี

ยามนี้ลั่วหลีกำลังมองมาด้วยความอึ้งทึ่ง นางยังไม่สามารถดึงสติกลับได้ เพราะยิ่งจอมยุทธ์ที่ทรงพลังก็ยิ่งสัมผัสได้ว่าพลังของมู่เฉินน่ากลัวเพียงใด

“คืนสติได้แล้ว” มู่เฉินยิ้มขณะโบกมือเบื้องหน้านาง

นัยน์ตาของลั่วหลีเกิดระลอกคลื่น จากนั้นก็กลอกตาใส่มู่เฉิน แต่นางกลับไม่รู้เลยว่าด้วยรูปลักษณ์ของนาง แค่การปรายตามองก็สามารถทำให้ทุกคนมึนเมาได้แล้ว

“เก่งไหม?” มู่เฉินยิ้มด้วยความอิ่มเอมใจเล็กน้อย เฉพาะต่อหน้าหญิงคนรักเท่านั้นที่เขาจะเปิดเผยด้านโอ้อวดให้เห็น

“เก่ง เจ้าเก่งที่สุด” ลั่วหลีรู้สึกขบขันปนฉิวในเวลาเดียวกันขณะที่พยักหน้า

“คิกๆ มู่เฉิน ตอนนี้เจ้าน่าเกรงขามมากเลยนะ”

พร้อมกับน้ำเสียงประหลาดใจ หลินจิ้งกระโดดเข้ามามองไปที่มู่เฉินก่อนจะเบ้ปาก “ข้าคิดว่าตัวเองสามารถดึงช่องว่างพลังเข้ามาใกล้ได้แล้ว แต่เจ้ากลับเหวี่ยงข้าออกไปไกลแทน”

เซียวเซียวก็เดินเข้ามามองไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยขึ้น “เจ้าทำสำเร็จแล้วหรือ?”

นางทราบเหตุผลที่มู่เฉินหายหน้าไปในช่วงห้าปีนี้

มู่เฉินเหยียดเอว ดวงตาลึกล้ำมองไปในมิติไกลโพ้น “อีกนิดหน่อยน่ะ”

เขายังไม่ได้จารึกชื่อไว้ในทำเนียบเหนือภพ ทว่าเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของมันอย่างคลุมเครือแล้ว…

เมื่อทั้งสี่คนสนทนากันเรียบร้อยก็พลิ้วลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏตัวที่เบื้องหน้าไท่ชางและเป่ยหมิง

เมื่อมองไปที่ใบหน้าคุ้นเคยทั้งสอง มู่เฉินก็รู้สึกถึงระลอกคลื่นในใจ ย้อนกลับไปตอนที่เขาออกท่องยุทธภพครั้งแรก เขายังคงเป็นจอมยุทธ์รุ่นเยาว์ที่เพิ่งจะก้าวสู่ระดับจื้อจุน แต่ตอนนี้เขายืนอยู่บนจุดสูงสุดของมหาพันภพแล้ว…

“ศิษย์มู่เฉินทักทายท่านอาจารย์ใหญ่และผู้อาวุโสเป่ยหมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ

แม้ว่าพลังของเขาจะก้าวข้ามทั้งสองคนเบื้องหน้าไปแล้ว แต่มู่เฉินก็ยังเคารพไท่ชางและเป่ยหมิงมาก ในอดีตทั้งสองดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อเขาอยู่ในสำนักศึกษา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป่ยหมิงที่เคยถ่ายทอดวิชากายาเทพสายฟ้าให้เขา ซึ่งเป็นวิชาที่ช่วยเขาอย่างมากในอดีต

เมื่อมองไปที่ท่าทางอ่อนน้อมถ่อนตนของมู่เฉิน ไท่ชางและเป่ยหมิงก็รู้สึกพอใจ เด็กหนุ่มในตอนนั้นไม่ได้หยิ่งผยองเพราะความสำเร็จที่มี แต่ยังคงรักษาความสุภาพเรียบร้อยเอาไว้

ตอนนั้นเองเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและเยี่ยชิงหลิงก็เข้ามาพร้อมกับรู้สึกยินดีในการรวมตัวกันอีกครั้ง

“พี่ใหญ่มู่เฉิน!” เยี่ยสุนเอ๋อพุ่งมายืนที่เบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมรอยยิ้มกว้าง

“สุนเอ๋อตัวน้อย”

เมื่อได้เห็นเยี่ยสุนเอ๋ออีกครั้งก็หวนนึกถึงอดีตไม่ได้ ตอนที่เขาอยู่ในมิติเป่ยชางก็ได้พบกับเด็กหญิงตัวเล็กๆ เกล้าผมหางม้าซึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ

แต่ตอนนี้เด็กหญิงตัวเล็กๆ คนนั้นเติบโตขึ้นแล้ว

“ข้าไม่ได้เป็นเด็กน้อยอีกต่อไปแล้วนะ!”

มู่เฉินเอื้อมมือขยี้ผมของเยี่ยสุนเอ๋อเหมือนที่เคยทำเมื่อในอดีต ทำให้ผมของนางยุ่งเหยิงไปหมด ขณะที่นางมองเขาอย่างฝืดเฝื่อน

หลังจากแกล้งเยี่ยสุนเอ๋อไปสักพัก มู่เฉินก็หันไปเห็นถังเชี่ยนเอ๋อที่ใบหน้ากำลังระบายรอยยิ้ม ผมยาวของนางเกล้าเก็บอย่างดี ไม่หลงเหลือเค้าความขี้เล่นในอดีตอีกต่อไป ตอนนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว

“ต้องขอบคุณพี่เชี่ยนเอ๋อที่ขยี้เครื่องรางชิ้นนั้น ทำให้ข้ารู้สึกได้ถึงพื้นที่นี้จนรีบเร่งมาที่นี่ได้ทันเวลา” มู่เฉินยิ้ม

ถังเชี่ยนเอ๋อยิ้มขณะมองไปมู่เฉินและลั่วหลียืนเคียงคู่กัน ทั้งสองโดดเด่นและดึงดูดสายตายิ่งนัก

“ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้า มิฉะนั้นสำนักศึกษาวั่นหวงคงไม่สามารถรอดพ้นจากหายนะได้” ถังเชี่ยนเอ๋อถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความเศร้าโศก สำนักศึกษาวั่นหวงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายจำนวนหนึ่งในตอนที่หนีตายมายังทวีปเป่ยชาง

มู่เฉินทำได้เพียงแค่ตบไหล่นางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน

“พี่ใหญ่มู่เฉินจะออกเดินทางทันทีเลยไหม?” เยี่ยสุนเอ๋อโพล่งถามขึ้น คำพูดของนางดึงดูดสายตาของทุกคนมาทันที

เมื่อสัมผัสได้ถึงความอยากให้อยู่ต่อในสายตาของทุกคน มู่เฉินก็ยิ้มก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นกวาดมองสำนักศึกษาเป่ยชาง ณ ที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยความทรงจำงดงามในอดีต

“ข้าจะอยู่ในทวีปเป่ยชางอีกสักพักและแก้ไขหายนะเรื่องจักรวรรดิปีศาจภายในดินแดนมหาพันภพให้หมดสิ้น…”

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน เสียงโห่ร้องแสบแก้วหูก็ดังขึ้นจากสำนักศึกษา

พอเห็นเช่นนี้มู่เฉินก็ยิ้ม ขณะเดียวกันมือที่นิ่มและเย็นฉ่ำก็เข้ามาจับมือเขาไว้ เขากำมือจับเอาไว้พลางมองไปในมิติ

เขารู้ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของความสงบสุข ก่อนสงครามครั้งใหญ่จะระเบิดออก

มู่เฉินย่างเท้าออกไป

พริบตาก็ไปปรากฏที่เบื้องหน้าร่างอสูรปีศาจด้วยสีหน้าสงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยโค้งขึ้นที่มุมปาก

“แกนี่รนหาที่ตาย ครั้งก่อนข้าสามารถทำให้แกต้องหนีหางจุกตูดได้ ครั้งนี้ข้าก็บดขยี้แกได้!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนสังเกตเห็นร่องรอยเยาะเย้ยบนมุมปากมู่เฉินก็คำรามด้วยไอสังหารเข้มข้นทำให้พื้นดินโยกคลอนไปหมด

ยามนี้จอมปีศาจเฮยซือเทียนกำลังคลุ้มคลั่งที่ถูกมดในสายตาของเขาเมื่อก่อนมองเหยียด นี่เป็นการดูถูกอย่างที่สุด

ตู้ม!

ขณะที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตพวยพุ่งขึ้น ร่างอสูรปีศาจที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็เปล่งแสงเย็นเยือกออกจากดวงตา ก่อนที่มือจะประสานเข้าด้วยกันวาดตราประทับที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็รวมตัวกันก่อร่างเป็นอักขระที่น่ากลัวนับไม่ถ้วนที่เอิบอาบไปด้วยพลังที่สามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาหวาดผวาได้

“ตราประทับศพปีศาจสวรรค์!”

เสียงเคร่งเครียดดังก้อง หมัดของร่างอสูรปีศาจก็เหวี่ยงออกไป

อ๊ากๆๆๆๆๆ!

เมื่อหมัดทะยานออกมาก็กลายเป็นร่างศพร้องโหยหวนนับไม่ถ้วนซึบซาบด้วยคลื่นความเย็นยะเยือก ปกคลุมพื้นดินเป็นชั้นน้ำแข็ง

ความมีชีวิตชีวาถูกลบออกไปภายใต้ความเย็นเยือกสุดขั้ว

หมัดดูราวกับตราประทับของของมัจจุราช ตัดความเป็นตายออกจากกัน

ภายในสำนักศึกษาทุกคนขนลุกซู่ ขณะมองตราประทับปีศาจที่กวาดลงมาด้วยความกลัวใหญ่หลวงในใจ สิ่งนี้ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายสูญเสียการควบคุมไป ร่างกายของแต่ละคนที่สูญเสียการควบคุมก็สั่นสะท้านทันที

หากหมัดนั้นบดขยี้ลงมา พื้นที่รัศมีล้านลี้ก็คงต้องราบเป็นหน้ากลอง ลบล้างทุกสรรพชีวิตในใต้หล้านี้

“นี่เหรอ พลังของจอมปีศาจเฮยซือเทียน…” เป่ยหมิงฉายสีหน้าซีดขาวและขมขื่น เผชิญหน้ากับพลังระดับนี้เขารู้ว่าแม้จะอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน แต่ตัวเขาก็เป็นเพียงมดที่ตัวใหญ่ขึ้นหน่อยเท่านั้น

ไม่รู้ว่ามู่เฉินจะรับการโจมตีดุร้ายจากจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้หรือไม่

เมื่อมองไปที่หมัดนี้ มู่เฉินก็สามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีความตายที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งทำให้ประหลาดใจอยู่หลายส่วน หมัดนี้น่าจะเป็นกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเฮยซือเทียนแล้ว เผชิญหน้ากับหมัดนี้กระทั่งจอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนก็ยังต้องเลือกที่จะหลบเลี่ยง

ถ้าเป็นเมื่อห้าปีก่อนเขาคงจะหลบหนีไปแน่แล้ว…

แต่น่าเสียดายที่เวลาผ่านมาห้าปีแล้ว

มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้า ตราประทับปีศาจขยายขนาดออกไปอย่างรวดเร็วในดวงตาเขา รัศมีปีศาจพัดปกคลุมไปทั่ว ทว่าถึงจะอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถขยับเขยื้อนเสื้อผ้าของเขาได้ ไม่กี่ลมหายใจต่อมาขณะที่ตราประทับกำลังจะสัมผัสตัว ภายใต้สายตาของทุกคน เขาก็ค่อยๆ ยกมือขึ้นเหยียดนิ้วออกไปก่อนจะแตะเบาๆ ไปที่ตราประทับปีศาจ

ทั้งสองฝั่งช่างมีขนาดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ตราประทับปีศาจช่างใหญ่โตมโหฬาร ขณะที่มู่เฉินมีขนาดเล็กจิ๋วเมื่อเทียบกัน นิ้วที่ยื่นออกมาก็ยิ่งราวกับเส้นขนเส้นหนึ่ง…

จากนั้นสองกระบวนท่าก็ปะทะกัน

จังหวะที่ปะทะกัน ผู้คนก็ต่างส่งเสียงคราง เพราะร่างมู่เฉินช่างราวกับตั๊กแตนที่ยืนขวางหน้าล้อรถ…

“ตายซะ!”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนคำรามลั่นขณะที่หมัดปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมี ด้วยพลังที่น่าสะพรึงก็จะทำลายมู่เฉินที่ขัดขวางอยู่ตรงหน้าให้สิ้นซากในพริบตา

เมื่อพลังน่ากลัวหลั่งไหลออกมา ศพนับล้านก็กวาดเข้ามา

ฉากเบื้องหน้าสะท้อนอยู่ในนัยน์ตาของมู่เฉิน รอยยิ้มอ่อนยกขึ้น เขาค่อยๆ เหยียดนิ้วออกแล้วดีดเข้าที่หมัดตราประทับปีศาจเบาๆ

เคร้ง!

เมื่อมู่เฉินดีดนิ้ว เสียงดังกึกก้องและระลอกคลื่นที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายออกไป

พลังงานที่ไม่สามารถพรรณนาได้บีบกดลงมาในขณะนี้ ห่อหุ้มปลายนิ้วมือของมู่เฉินไว้

ทั่วบริเวณเงียบงันภายใต้พลังอำนาจนี้ มากจนกระทั่งคลื่นหลิงในฟ้าดินยังแสดงสัญญาณโค้งคารวะ ราวกับว่าเป็นบริวารแห่งจักรพรรดิ

เวลานี้กระทั่งลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งยังเบิกตาโตกว้าง พวกนางมองไปที่ร่างเงาของมู่เฉินด้วยความตกตะลึง นั่นเป็นเพราะขณะนี้แรงกดดันลึกลับที่ปลดปล่อยออกมาจากเขาทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของพวกนางสงบลง มากจนพวกนางรู้สึกกดดันด้วยความอยากที่จะหมอบตัวลงไปในทิศทางของมู่เฉิน

กึก กึก!

แม้ว่าพวกนางจะพอต้านไว้ได้ แต่เหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาทำไม่ได้ ดังนั้นแต่ละคนเข่าถึงกับทรุดลงพร้อมกับความหวาดผวาฉายบนใบหน้า

พร้อมกับที่นิ้วมือมู่เฉินดีดออกไป ซากศพนับล้านก็แข็งตัว ไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้าของมู่เฉินขณะมองไปที่ร่างอสูรปีศาจใหญ่โตมโหฬารเบื้องหน้า

ตราประทับปีศาจที่น่ากลัวแข็งค้าง ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

หลังจากนั้นเขาก็เคาะนิ้วอีกครั้ง

ฮึ่ม!

ระลอกคลื่นแผ่วงออกมา

คลื่นนี้ทำให้เกิดสายลมฉ่ำพัดไปทั่วฟ้าดิน เปลี่ยนซากศพกลายเป็นควันสีฟ้าอมเขียวสลายหายไป

ใบหน้าของจอมปีศาจเฮยซือเทียนเขียนความตกใจหวาดผวาขีดสุดพร้อมกับความกลัววูบไหวดวงตา ในเวลาเดียวกันเสียงร้องแหลมก็ดังก้องขึ้น

“พลังงานนี้…พลังเอกภพ?!”

“เป็นไปได้ยังไง?! เป็นไปไม่ได้! พลังเอกภพจะถูกใช้โดยผู้ที่สามารถกระตุ้นทำเนียบเหนือภพได้เท่านั้น แล้วแกจะทำได้ยังไง?!”

เมื่อมองไปที่จอมปีศาจเฮยซือเทียนที่มีความกลัวอยู่บนใบหน้า มู่เฉินก็สะบัดแขนเสื้ออย่างไม่แยแส

“ข้าบอกแกแล้วว่าตอนนี้ควรคิดวิธีรักษาชีวิตตัวเองไว้…แต่แกดันคิดพลาด”

แกร็ก แกร็ก!

เมื่อภาพซากศพสลายไป รอยแตกก็ปรากฏขึ้นบนกำปั้นแล้วกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว

อ๊าก!

จอมปีศาจเฮยซือเทียนส่งเสียงร้องโหยหวน เขารู้สึกได้ถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวที่บุกรุกเข้ามา ในทางผ่านรัศมีปีศาจในร่างกายเขาก็เริ่มสลายลง

นั่นคือพลังของมหาพันภพเป็นสิ่งที่ไม่สามารถต้านทานได้

“ให้ตายเถอะ ที่แท้แกเป็นจอมยุทธ์บนทำเนียบคนที่สามของมหาพันภพ! ข้าต้องรายงานเรื่องนี้กับท่านเทพ!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนคำราม ร่างอสูรปีศาจขนาดใหญ่ก็ระเบิดออกทันที เมื่อรัศมีปีศาจน่ากลัวแผ่ออกไปก็ครอบลงไปในทิศทางของทวีปเป่ยชาง ชัดเจนว่าตั้งใจจะทำลายทั้งทวีป

มู่เฉินมองดูการต่อต้านของจอมปีศาจเฮยซือเทียนแบบไม่แยแสพลางเป่าลมเบาๆ

ฟู่!

พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวขึ้นมาซึ่งบรรจุไปด้วยพลังเอกภพ ภายใต้เส้นทางรัศมีปีศาจที่รุนแรงก็พังทลายทั้งหมด

ฟิ้ว!

และในยามนี้ลำแสงปีศาจสายหนึ่งก็กะพริบวูบวาบต้องการที่จะหลบหนีโดยการฉีกขาดผ่านมิติออกไป

ทว่าเมื่อจอมปีศาจเฮยซือเทียนกำลังจะฉีกมิติออก ทันใดนั้นก็ตระหนักว่าตนเองได้สูญเสียการควบคุมร่างกายไป ร่างเงาของมู่เฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ เบื้องหน้า

“ไอ้ศพดำ คิดจะหนีแล้วเหรอ?” มู่เฉินยิ้มอ่อนขณะมองคนตรงหน้า

ตอนนี้รัศมีปีศาจรอบร่างจอมปีศาจเฮยซือเทียนบางจางลง ชัดว่าได้รับบาดเจ็บหนัก ส่วนใบหน้าก็ไม่ได้มืดครึ้มเหมือนก่อนหน้า กลายเป็นซีดเผือดและเกรงกลัว

เห็นได้ชัดว่าพลังที่มู่เฉินเผยออกมาทำให้เขาหวาดกลัวไปหมดแล้ว

“ที่แท้มหาพันภพก็มีการเตรียมการมาตลอดหลายปี ดูเหมือนว่าแกคือความหวังสุดท้ายของที่นี่สินะ!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนจ้องเขม็งไปที่มู่เฉินพลางเอ่ยเสียงเข้ม

ทว่ามู่เฉินเพียงปรายตามองอย่างแผ่วเบา

จอมปีศาจเฮยซือเทียนรู้ทันทีว่าวันนี้คงไม่สามารถหนีไปได้ ดังนั้นสีหน้าจึงสาดความน่าขนพองสยองเกล้าออกมาอีกครั้ง มองไปที่มู่เฉินด้วยอาการเยาะเย้ย “เฮ้ แม้ว่าแกจะแข็งแกร่งพอกับไอ้เทพจักรพรรดิทั้งสองแล้วยังไง? แกคิดว่าพวกแกสามคนสามารถต้านทานท่านเทพของพวกข้าได้หรือ?”

“ฮ่าๆ พวกแกไร้เดียงสาเกินไปแล้ว! พวกแกไม่รู้หรอกว่าท่านเทพของพวกข้าน่ากลัวแค่ไหนในสภาพพร้อมรบสูงสุด!”

“ดังนั้นคราวนี้จักรวรรดิปีศาจจะทำลายมหาพันภพจนสิ้นซากแน่นอน!”

ไม่มีระลอกคลื่นวาบไหวในนัยน์ตา มู่เฉินแค่ยืนรอให้อีกฝ่ายพล่ามในวาระสุดท้าย ก่อนที่จะยื่นมือออกไปพร้อมกับพลังน่ากลัวควบรวมกัน

“พูดเสร็จแล้วก็ตายไปซะ”

หมัดของเขากำแน่น ทันใดนั้นร่างจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็ถูกบดขยี้ด้วยพลังที่ไม่อาจต้านทานได้จนระเบิดออก

รัศมีปีศาจแผ่กระจายออกมา พริบตาก็สลายหายไป

แต่จะอย่างไรเสียงหัวเราะเสียดแทงของจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็ยังคงดังก้องไปทั่วขอบฟ้า

“ฮ่าๆ ท่านเทพปีศาจจะแก้แค้นให้ข้า! แกรอเถอะมู่เฉิน! มหาพันภพถึงกาลอวสานแน่!”

พร้อมกับการตายของจอมปีศาจเฮยซือเทียน รัศมีปีศาจในภูมิภาคนี้ก็เริ่มกระจัดกระจาย แสงแดดส่องลงมายังดินแดนที่วินาศสันตะโร

ในสำนักศึกษาทุกคนตกตะลึงไปขณะมองท้องฟ้า แม้แต่เป่ยหมิง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกสุดปอด

พวกเขามองไปที่ร่างเงาบนท้องฟ้า แผ่นหลังนั่นช่างพร่างพราวภายใต้แสงตะวัน

ไม่มีใครคิดว่าจอมปีศาจเฮยซือเทียนที่น่าสะพรึงกลัวจะตายด้วยน้ำมือของมู่เฉิน…

เห็นได้ชัดว่ามู่เฉินก้าวไปถึงจุดที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูดแล้ว

ตู้ม!

ในที่สุดเหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาเป่ยชางก็ฟื้นสติจากหายนะครั้งนี้ อึดใจต่อมาเสียงโห่ร้องก็ดังกระหึ่ม

“มู่เฉิน!”

“มู่เฉิน!”

เมื่อได้ยินเสียงร้องตื่นเต้น เป่ยหมิงก็รู้สึกโล่งใจมากก่อนที่จะหันไปมองไท่ชางด้วยรอยยิ้ม

“ดูเหมือนว่าสำนักศึกษาเป่ยชางได้สร้างจอมยุทธ์ที่น่าเกรงขามขึ้นแล้ว”

โห้!

เมื่อเสียงนั้นดังก้องความปั่นป่วนก็กวนตัวทั่วสำนักศึกษาเป่ยชางทุกคนมองไปที่ร่างเงานั้นด้วยความตกตะลึง

‘มู่เฉิน?!’

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นก็เบิกตากว้างด้วยความไม่เชื่อ พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่เฉินจะปรากฏตัวที่นี่หลังจากหายหน้าไปหลายปี

นอกจากนี้ที่น่าตกใจที่สดคือเขาสามารถแก้ไขการโจมตีของจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้อย่างง่ายดาย ต้องรู้ว่ากระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้ง่าย

เห็นได้ชัดว่าพลังของมู่เฉินแกร่งกร้าวขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปหลายปี

“พี่ใหญ่มู่เฉิน…”

เยี่ยสุนเอ๋อตกตะลึงไปเมื่อมองร่างเงานั้น ก่อนที่ใบหน้าจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มด้วยความตื่นเต้น นางกวาดมองไปรอบๆ เท้าเอวหัวเราะร่วนขณะประกาศเบื้องหน้าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่ว “เห็นไหม?! นั่นคือผู้ก่อตั้งอีกคนของชุมนุมเทพธิดาลั่ว—พี่ใหญ่มู่เฉิน!”

“เขา…เขาทรงพลังมาก!”

ทุกคนร้องออกมา พวกเขารู้สึกได้ว่าเมื่อร่างนั้นปรากฏขึ้น แรงกดดันที่น่ากลัวจากจอมปีศาจก็ถูกรับไว้โดยเขาคนเดียว ไม่ส่งผลกระทบต่อพวกเขาอีกต่อไป

นั่นหมายความว่าพลังของศิษย์พี่มู่เฉินอยู่ในระดับที่น่ากลัวยากหยั่งถึงแล้ว

“ทุกคนไม่ต้องกลัวอีกต่อไป! ในเมื่อพี่ใหญ่มู่เฉินอยู่ที่นี่ ไอ้ปีศาจนั่นจะไม่สามารถแตะต้องสำนักศึกษาของเราได้! พี่ใหญ่มู่เฉินจะต้องสอนบทเรียนให้มันอย่างสาสม!”

เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินความเชื่อมั่นของเยี่ยสุนเอ๋อที่มีต่อมู่เฉิน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะเกาหัวและยิ้มอย่างขมขื่น ‘พี่สุนเอ๋อ เจ้าอย่าปฏิบัติต่อจอมปีศาจเฮยซือเทียนแบบอ่อนแอได้ไหม? ไม่ว่าอย่างไรนั่นก็คือยอดนักรบของจักรวรรดิปีศาจ แม้แต่ในมหาพันภพ นอกเหนือจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ก็คงไม่มีใครไม่เห็นมันอยู่ในสายตามั้ง?’

แต่ไม่ว่าอย่างไรความกลัวที่ปกคลุมไปทั่วก็เบาบางลงเมื่อมู่เฉินปรากฏตัว

“มู่เฉิน?”

ลั่วหลีก็ตกตะลึงไปเช่นกันเมื่อมองไปร่างเงาสูงโปร่งด้วยความไม่เชื่อ

ท้ายที่สุดแม้แต่นางก็ไม่ได้รับข่าวสารใดๆ จากมู่เฉินในช่วงที่เขาเข้าเก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ

พอได้ยินคำพูดของลั่วหลี รัศมีหลิงก็ถอยกลับ ร่างเงานั้นหันกลับมาเผยให้เห็นสีหน้าที่คุ้นเคย

“ข้ารีบสุดชีวิตตอนที่ได้รับข่าว โชคดีที่ไม่ได้มาสาย” มู่เฉินยิ้ม

เมื่อมองใบหน้าคุ้นเคยไหล่ที่ตึงเกร็งขึ้นของลั่วหลีก็คลายลงมา ร่างอดที่จะอ่อนยวบลงมาไม่ได้

เห็นได้ชัดว่านางทุ่มเทแรงกายแรงใจไปมากเมื่อเผชิญหน้ากับจอมปีศาจเฮยซือเทียน

มือข้างหนึ่งของมู่เฉินยื่นออกมาจับที่เอวบาง เขามองใบหน้าที่อ่อนล้าด้วยความปวดใจ “ข้าขอโทษที่ทิ้งเจ้าไว้คนเดียวตั้งหลายปี”

ลั่วหลีคลี่ยิ้มอ่อนโยนตอบว่า “เจ้าเลือกที่จะเข้าสู่สมาธิก็เพื่อทุกคนไม่ใช่หรือ? ข้าไม่ใช่ผู้หญิงงี่เง่านะ”

เหตุผลที่มู่เฉินเลือกปลีกตัวฝึกฝนก็เพื่อมหาพันภพ ในเวลาเดียวกันก็เพื่อปกป้องนางเช่นกัน

“เอาเถอะปล่อยที่เหลือให้เป็นหน้าที่ข้าเอง” มู่เฉินลูบไล้ใบหน้าลั่วหลีอย่างแสนรัก

ใบหน้าของลั่วหลีเห่อแดงจากท่าทางใกล้ชิดของเขา นางผลักเขาออกไปเบาๆ ก่อนจะเอี้ยวตัวหลบออกมาพร้อมกับหัวเราะเสียงหวาน

“อย่าเพิ่งมายุ่มย่ามกับข้านะ อย่างน้อยก็จนกว่าจะจัดการปีศาจนั้นให้เสร็จก่อน”

มองไปที่ร่างเงาสะคราญโฉม มู่เฉินก็ไล้นิ้วเข้าด้วยกันขณะที่ระลึกถึงสัมผัสนิ่มนวล

“ถ้าพวกแกร่ำลากันเรียบร้อยก็มารับความตายซะ!”

เสียงที่เต็มไปด้วยเจตนาฆ่าดังก้องขณะที่มู่เฉินกำลังรำพึงรำพัน

เมื่อมู่เฉินหันกลับมาก็เห็นจอมปีศาจเฮยซือเทียนมองมาอย่างเย็นชาพร้อมกับจิตสังหารที่เอิบอาบทั่วร่างกาย

“จอมปีศาจเฮยซือเทียนเจอกันอีกแล้วนะ” มู่เฉินยิ้มบาง

ย้อนกลับไปตอนที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนในพิภพเขตล่างก็ถูกจอมปีศาจเฮยซือเทียนไล่ล่า โชคดีที่เทพจักรพรรดิสงครามมาช่วยทันเวลา

“ตอนนั้นมีคนช่วยแก แต่ตอนนี้คงได้แต่ฝันเฟื่องแล้ว” เสียงน่าขนลุกของจอมปีศาจเฮยซือเทียนดังก้อง

“แกฆ่าลูกชายข้า ดังนั้นวันนี้ข้าจะฆ่าทุกคนรอบตัวแก!”

ภายในสำนักผู้คนอดไม่ได้ที่จะมีท่าทางเปลี่ยนไปจากไอสังหารของจอมปีศาจเฮยซือเทียน พวกเขาประหลาดใจที่ทั้งคู่มีความแค้นต่อกันในอดีต

เผชิญหน้ากับสายตาที่น่ากลัวของจอมปีศาจ มู่เฉินก็ยิ้มอ่อน “ข้าคิดว่าตอนนี้แกน่าจะคิดหาวิธีป้องกันชีวิตตัวเองไว้ซะก่อนดีกว่า”

“ฮ่าๆ ไอ้เวรปากดี!”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนเยาะเย้ยขณะที่จ้องมองมู่เฉิน “แกคิดว่าพอตัวเองบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว จะมีคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับข้าเรอะ?!”

ตู้ม!

เมื่อพูดจบใบหน้าของจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็เปลี่ยนเป็นน่าขนพองสยองเกล้า สองมือประสานกัน รัศมีความตายที่ไร้ขอบเขตรวมตัวกันเป็นธงปีศาจสีดำเมื่อม

“ธงศพปีศาจ!”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนคำรามกร้าว ขณะที่ธงโบกสะบัดก็ปล่อยซากศพออกมาร้อยล้านศพ เมื่อศพรวมกันก็กลายเป็นแม่น้ำมรณะ

ภายในแม่น้ำมีซากศพส่งเสียงโหยหวนไม่หยุด

“แม่น้ำศพปีศาจ!”

แม่น้ำแผดเสียงคำรามราวกับมังกรขนาดใหญ่กวาดไปในทิศทางของมู่เฉิน ในเส้นทางที่พาดผ่านมิติก็พังทลายลงพร้อมกับคลื่นความตายพวยพุ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าที่จะแตะต้อง เนื่องจากสามารถกัดกร่อนคลื่นหลิงของพวกเขาจนสิ้นซากได้

ขณะที่แม่น้ำไหลบ่าปกคลุมลงมา มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นโดยไม่มีสีหน้าใด เขาเหยียดนิ้วออกมาแล้วเคาะลงไปเบาๆ

“แม่น้ำแรกนิรันดร์!”

ครืน

แม่น้ำโบราณพวยพุ่งออกมาจากนิ้วของมู่เฉิน ราวกับว่ามีการไหลเวียนของเวลาไม่มีที่สิ้นสุด

ทุกสิ่งที่ตกลงไปภายในนั้นจะถูกกัดกร่อนจนสูญสิ้นโดยกาลเวลา

ครืนๆๆ!

เมื่อแม่น้ำสองสายปะทะกัน บนท้องฟ้ามิติก็พังทลายลงทีละชั้น…ละชั้นจากการเผชิญหน้า

ขณะที่เกิดการชนกันใบหน้าของจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็เปลี่ยนไป เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าแม่น้ำปีศาจจะพยายามกัดกร่อนอย่างไรแม่น้ำโบราณก็ไม่ได้สูญสลายลง ในทางกลับกันแม่น้ำปีศาจกลับเป็นฝ่ายแหลกสลายลงไปเอง ศพที่อยู่ภายในร้องโหยหวนถูกกร่อนเซาะอย่างต่อเนื่อง

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นกระแทกรุนแรงระเบิดออก แม่น้ำศพปีศาจก็พังทลายลงในช่วงสิบกว่าลมหายใจสั้นๆ

“บ้าเอ้ย!”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนไม่สามารถรักษาสีหน้าสงบนิ่งได้อีกต่อไป ขณะที่ผุดลุกขึ้นยืนบนบัลลังก์มองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตามืดครึ้ม ดวงตาของเขาวูบไหวด้วยความประหลาดใจ

การเคลื่อนไหวของมู่เฉิน ทรงพลังเหนือล้ำเกินไป

นอกจากนี้ไม่รู้เพราะเหตุใดเขายังรู้สึกได้ถึงรัศมีอันตรายที่มาจากมู่เฉิน

นั่นเป็นสิ่งที่เขารู้สึกได้จากจอมยุทธ์สองคนในมหาพันภพเท่านั้น

ซึ่งก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

‘หรือว่ามู่เฉินก้าวไปถึงระดับนั้นได้ในเวลาเพียงห้าปี?!’

“เป็นไปได้ยังไง?!”

หัวใจของจอมปีศาจเฮยซือเทียนสั่นสะท้านก่อนที่แสงโหดเหี้ยมจะวูบไหวในดวงตา ดูเหมือนว่าหากเขาต้องการสู้กับไอ้หนูนี่ก็ต้องใช้ทักษะขั้นสูงสุดของตัวเองแล้ว

“ข้าจะดูสิว่าแกจะทำแบบนี้ได้อีกนานแค่ไหน!”

“ร่างอสูรศพปีศาจสวรรค์!”

ฝ่ามือของจอมปีศาจเฮยซือเทียนประสานกัน รัศมีปีศาจรุนแรงพุ่งออกมาก่อนจะค่อยๆ ก่อร่างเป็นอสูรปีศาจตัวมหึมาที่ด้านหลังเขา

ร่างอสูรปีศาจเต็มไปด้วยรัศมีความตาย มีใบหน้านับไม่ถ้วนบิดเบี้ยวอยู่บนร่างมันพร้อมกับส่งเสียงโหยหวนสะท้อนไปทั่วฟ้าดิน แค่เสียงเพียงอย่างเดียวก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายจอมยุทธ์เปลี่ยนเป็นอาละวาดได้

เมื่อแรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ขยายออกไปพื้นที่ทั้งหมดในทวีปเป่ยชางก็โยกคลอน

ในสำนักผู้คนถึงกับหน้าถอดสีเมื่อมองไปที่ร่างอสูรปีศาจ พวกเขาไม่สงสัยเลยว่าพลังของร่างอสูรปีศาจนี้จะสามารถฉีกพื้นทวีปออกเป็นชิ้นๆ ได้

พลังที่น่ากลัวนี้ทำให้กระทั่งลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งยังรู้สึกหวาดหวั่น

จอมปีศาจเฮยซือเทียนมองไปที่มู่เฉิน ขณะลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ค่อยๆ หลอมรวมร่างเข้ากับร่างอสูรปีศาจ

ฮึ่ม!

เมื่อดวงตาอสูรปีศาจเปิดขึ้น ลำแสงปีศาจก็แผ่วงรัศมีออกมาดูราวกับว่าสามารถฉีกโลกออกจากกันได้ มันแผ่เสียงกระหึ่มพร้อมกับจิตสังหารไร้ขอบเขต

“มู่เฉิน สังเวยชีวิตเซ่นไหว้ลูกชายข้าซะ!

“วันนี้แกต้องตาย!”

เผชิญหน้ากับเสียงคำรามเกรี้ยวกราดของจอมปีศาจเฮยซือเทียน มู่เฉินก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างอสูรปีศาจพร้อมกับรอยยิ้มที่เหมือนจะแฝงด้วยแววเหยียดหยาม

“นี่คือสุดยอดพลังของแกแล้วเรอะ?”

เขาพึมพำพลางก้าวย่างออกไป

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ถึงวาระที่จะตายได้แล้ว…”

รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตพวยพุ่ง

ร่างปีศาจนั่งอยู่บนบัลลังก์ ม่านตาสีเทาคู่นั้นไม่มีอารมณ์ใด แรงกดดันปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวแทรกซึมเข้ามาทำให้สวรรค์และโลกเปลี่ยนเป็นสีดำและสีทอง

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง สายตามากมายมองไปที่จอมปีศาจเฮยซือเทียนด้วยความขนพองสยองเกล้า แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร แต่ก็สามารถบอกได้จากความกดดันที่น่ากลัวว่าปีศาจคนนี้เอาคนอื่นๆ มาเทียบไม่ได้เลย…

นี่เป็นจอมปีศาจแท้จริง!

“จอมปีศาจ…”

ใบหน้าของเป่ยหมิงซีดขาวลงขณะที่ร่างกายสั่นเทา เขารับรู้ได้ว่าร่างปีศาจที่อยู่บนบัลลังก์เป็นยอดนักรบแท้จริงและเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของเหล่าจอมปีศาจอีกด้วย

นั่นเป็นนักรบที่เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเลยทีเดียว!

ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิปีศาจหรือมหาพันภพ บุคคลเช่นนี้ก็ยืนอยู่ที่ด้านบนสุดของพีระมิด

พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าหายนะของทวีปเป่ยชางจะมีการดำรงอยู่ที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ด้วย

บนท้องฟ้าลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งฉายสีหน้าเคร่งเครียด พวกนางรู้ว่าความแข็งแกร่งของจอมปีศาจเฮยซือเทียนเทียบได้กับฉิงเทียนและชิงซันเลยทีเดียว

บนบัลลังก์จอมปีศาจเฮยซือเทียนมองไปที่หญิงสาวทั้งสามอย่างเย็นชา เสียงดังกึกก้องพร้อมกับเจตนาฆ่ารุนแรง

“ราชันปีศาจทั้งเจ็ดของข้าตายในน้ำมือพวกเจ้า เพื่อเป็นการยกย่องพวกเขาข้าจะไม่เหลือใครสักคนไว้ในทวีปนี้”

เหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาเป่ยชางตัวสั่น จิตสังหารที่พวยพุ่งทำให้พวกเขาแทบจะล้มลง เนื่องจากจิตสังหารเช่นนี้น่ากลัวเกินไปสำหรับพวกเขา

สายตาลั่วหลีสั่นไหวอย่างเย็นชาขณะตอบว่า “จอมปีศาจเฮยซือเทียนผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้ไปต่อสู้แนวหน้ากับจอมยุทธ์ในมหาพันภพ แต่กลับมาที่นี่เพื่อจัดการกับคนอ่อนแอ เจ้าไม่ลดตัวมากไปหน่อยเหรอ?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น จอมปีศาจเฮยซือเทียนก็ยกดวงตาขึ้นอย่างไม่แยแส “นี่คือสงคราม การพูดถึงความยุติธรรมเป็นเรื่องน่าหัวเราะนัก”

เมื่อเห็นว่าคำพูดของตัวเองไม่ได้ส่งผลกระทบกับอีกฝ่าย แววตาของลั่วหลีก็เย็นเยือกลงก่อนที่แผนภาพวิญญาณโบราณจะปรากฏขึ้นในมือซึ่งเอิบอาบไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงไม่รู้จบ

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็ทำได้แค่หยุดแกไว้ตรงนี้” น้ำเสียงของลั่วหลีสะท้อนด้วยความหนาวเหน็บเสียดแทงกระดูก ปราศจากความกลัวใดๆ

จอมปีศาจเฮยซือเทียนเหลือบตาขึ้นมองไปที่ลั่วหลีด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “แค่เจ้านะเหรอ?”

ลั่วหลีตอบสนองต่อคำพูดด้วยสีหน้าสงบ “ข่าวที่นี่ถูกส่งออกไปแล้ว ดังนั้นแค่ขัดขวางแกไว้ เดี๋ยวกำลังเสริมก็มา”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนหรี่ตาลงขณะสาดยิ้มเย็นชา “ข้ากลัวว่าต้นไม้เล็กๆ อย่างเจ้าไม่สามารถหยุดข้าไว้ได้เลยสักนิดนะสิ!”

ตู้ม!

รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากไหลบ่าออกมาจากร่างจอมปีศาจเฮยซือเทียนกลายเป็นมือขนาดใหญ่บีบลงมาจากท้องฟ้าพุ่งไปยังลั่วหลี

มือมหึมานี้เต็มไปด้วยรัศมีความตายที่กัดกร่อนและลบพลังงานหลิงเมื่อถูกโจมตี

เผชิญหน้ากับการเคลื่อนไหวของจอมปีศาจเฮยซือเทียน แม้แต่ท่าทางของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไป เนื่องจากระดับของพวกนางยังไม่สามารถปะทะกับอีกฝ่ายได้

แม้แต่ลั่วหลียังต้องใช้อาวุธมหสวรรค์ของเผ่าไท่หลิงเสริมกำลังเพื่อต่อสู้

ดังนั้นลั่วหลีจึงก้าวออกไปครึ่งก้าว แผนภาพวิญญาณโบราณในมือก็กางออกพร้อมกับลำแสงหลิงพวยพุ่งออกมา เมื่อมันลอยขึ้นก็กลายเป็นร่มขนาดใหญ่

ร่มกางออก ลวดลายโบราณถูกสลักไว้พร้อมกับพลังงานหลิงไร้ขอบเขต ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งยังต้องให้ความสนใจ

ตึง!

เมื่อมือปีศาจกระแทกเข้ากับร่มวิญญาณเสียงระเบิดดังก้อง ความผันผวนของพลังงานมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ากระเพื่อมออกไปเป็นวงกว้างหมื่นลี้

เผชิญหน้ากับฝ่ามือดุร้ายนี้ ร่มก็แกว่งไปมารุนแรงก่อนที่จะแตกเป็นประกายแสง

แม้ว่าร่มจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ก็ยังสามารถต้านทานการโจมตีที่น่ากลัวจากจอมปีศาจเฮยซือเทียนไว้ได้

เมื่อทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางได้เห็นภาพนี้ก็รู้สึกโล่งใจ ตอนนี้มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่สามารถปะทะกับจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้ ถ้านางพ่ายแพ้ พวกเขาทั้งหมดก็คงต้องตายตกตามกันไป…

แม้ว่าลั่วหลีจะสามารถรับการโจมตีจากจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้ แต่ใบหน้าก็ดูเคร่งขรึมลงหลายส่วน มีเพียงนางเท่านั้นที่รู้ว่าการโจมตีนั้นน่ากลัวเพียงใด แม้จะมีแผนภาพวิญญาณโบราณก็ยังแทบทนไม่ไหว

“ไม่เลว…” จอมปีศาจเฮยซือเทียนประหลาดใจไปเล็กน้อยพลางยิ้ม ทว่ารอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยเจตนาฆ่า

“ในเมื่อเจ้าต้องการปกป้องคนเหล่านี้ ข้าจะฆ่าพวกมันต่อหน้าเจ้าให้สิ้นซาก”

รอยยิ้มโหดร้ายโค้งขึ้นบนมุมปากจอมปีศาจเฮยซือเทียน จากนั้นก็หายใจเข้าลึก รัศมีปีศาจพล่านเข้ามาในนาสิกประสาทก่อนที่จะถูกปล่อยออกไปในไม่กี่อึดใจต่อมา

ซ่า ซ่า!

เมื่อรัศมีปีศาจแผ่ซ่านออกไปก็กลายเป็นพายุสีดำโปรยปรายฝนลงมาพร้อมกับรัศมีความตายที่บรรจุอยู่ในทุกหยาดหยด

ชี่ ชี่!

ขณะที่พายุพุ่งลงมาสู่พื้นดิน ก็ทำให้ดินเป็นสีดำทันทีพร้อมกับพลังทั้งหมดถูกลบออกไป ภูเขาเริ่มเหือดแห้งและถล่มลงมา

ใบหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นางรู้สึกได้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของพายุ ถ้ามันเทลงมาศิษย์สำนักศึกษาเป่ยชางทุกคนจะต้องเสียชีวิตทันที

วิธีการของจอมปีศาจคนนี้โหดเหี้ยมมาก

ยามนี้ลั่วหลีไม่กล้าที่จะละเลย ฝ่ามือวาดตราประทับอย่างเร็วรี่ แผนภาพวิญญาณโบราณค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงหลิงยิงออกมาก่อตัวเป็นเมฆลอยอยู่เหนือสำนักศึกษา

กลุ่มเมฆหนาแน่น ประกอบด้วยคลื่นหลิงนับไม่ถ้วน

ชี่ ชี่!

เมื่อสายฝนโปรยปรายลงมาก็ปะทะกับเมฆ เสียงดังฉ่าสะท้อนทั่วขณะที่เมฆสึกกร่อนอยู่ตลอดเวลา

คราวนี้ไม่มีการเผชิญหน้าที่น่าตกใจ แต่อันตรายยิ่งกว่า ทุกคนในสำนักเฝ้าดูฉากนี้อย่างใจจดใจจ่อ พวกเขาทราบดีว่าหากเมฆล่มสลายลง สำนักก็จะเกลื่อนกลาดไปด้วยซากศพ…

เมื่อพลังงานทั้งสองปะทะกันบนท้องฟ้า คลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตกลับหมดลงอย่างรวดเร็ว

สีหน้าของลั่วหลีมืดครึ้มลง นางรู้สึกได้ว่าคลื่นหลิงภายในแผนภาพวิญญาณโบราณกำลังหมดลงอย่างรวดเร็ว ทว่านางก็ไม่กล้าถอยหลังแม้แต่ครึ่งก้าว ทำได้เพียงพยายามควบคุมแผนภาพวิญญาณโบราณเอาไว้เท่านั้น

แต่ทุกคนก็บอกได้ว่าคลื่นหลิงจากแผนภาพหมดลงรวดเร็วเกินกว่าที่จะเติมเต็มได้

ดังนั้นเมฆหนาทึบจึงค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ

เฝ้ามองฉากนี้อย่างเฉยเมย รอยยิ้มประดับบนริมฝีปากจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็กลายเป็นเยาะเย้ยมากขึ้น

ขณะที่ฝนปีศาจโปรยปรายลงมา เมฆก็บางลง…บางลง

ใบหน้าของลั่วหลีเริ่มซีดขาว แต่นางก็ยังขบฟันข่มกลั้นไว้

ภายในสำนักทุกคนล้วนมีความกลัวบนใบหน้าขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน เด็กน้อยที่ขี้กลัวเริ่มสะอื้นไห้ด้วยความสิ้นหวัง

เป่ยหมิงและไท่ชางสบตากันก็สามารถมองเห็นความขมขื่นในดวงตาของกันและกัน ความหวังที่พวกเขารู้สึกได้จากการมาถึงของลั่วหลีสลายหายไปทันที

เมื่อเผชิญหน้ากับหนึ่งในจอมปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุด พวกเขาไม่สามารถแม้แต่ปลุกความปรารถนาที่จะหลบหนีได้

ถังเชี่ยนเอ๋อที่ยืนอยู่ข้างๆ เวินชิงเฉวียน ดวงหน้าก็หม่นจางลงขณะที่เฝ้าดูการเผชิญหน้านี้ ทันใดนั้นนางก็หยิบเครื่องรางที่แขวนไว้บนคอออกมากำแน่นเอาไว้

มู่เฉินเคยบอกให้นางบดขยี้วัตถุนี้หากพบอันตรายใดๆ

เป็นเวลานานแล้วที่นางได้ยินอะไรเกี่ยวกับมู่เฉินและนางก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ดังนั้นนางจึงไม่กล้าที่จะใช้ง่ายๆ

“เมฆกำลังหายไป!”

ทันใดนั้นก็มีคนตะโกนออกมาด้วยความกลัว

บนท้องฟ้าเมฆบางลงเรื่อยๆ ก่อนที่จะหายไปอย่างสมบูรณ์ ภายใต้สายตาของทุกคนที่จ้องมองด้วยความสิ้นหวัง

เมื่อเมฆหายไปจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็มองไปที่สายตาสิ้นหวังเหล่านั้นด้วยรอยยิ้มไร้ปรานีก่อนที่จะโบกมือ ฝนปีศาจไร้ขอบเขตรวมตัวกัน ก่อร่างเป็นลูกทรงกลมสีดำขนาดร้อยจั้ง

ภายในบรรจุด้วยรัศมีความตายที่น่ากลัว

“พวกแกได้มีโอกาสตายด้วยกันแล้ว…”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนยิ้มก่อนที่จะสะบัดนิ้วออก ลูกทรงกลมสีดำพุ่งออกมาแทรกซึมไปด้วยรัศมีความตายที่สามารถทำลายล้างสิ่งมีชีวิตในทวีปนี้ได้

ถังเชี่ยนเอ๋อตัวสั่นขบฟันก่อนที่จะกำมือบดขยี้เครื่องราง

ลั่วหลีฉายสีหน้าซีดขาวมองไปที่ลูกทรงกลมสีดำและกัดฟัน นางยืนกรานที่จะไม่ถอย มือของนางสั่นสะท้านขณะที่จับแผนภาพวิญญาณโบราณต้องการที่จะกระตุ้นพลังอีกครั้ง

แม้ว่านางรู้ดีที่ไม่สามารถต่อสู้กับจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้ถึงจะมีอาวุธมหสวรรค์ก็ตาม

นางยืนอยู่เบื้องหน้า ร่างบอบบางช่างดูเศร้าสร้อยและงดงามเกินพรรณนา

ในสำนักทุกคนต่างพากันปิดตารอความตาย

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความหดหู่

“ทุกอย่างจบสิ้นแล้วเรอะ…” ไท่ชางกล่าวเสียงอ่อนแรง

ตู้ม!

เมื่อลูกทรงกลมสีดำกำลังจะมาถึง ทันใดนั้นมันก็ระเบิดกลายเป็นมหาสมุทรแห่งความตายพรั่งพรูลงมา

ขณะเดียวกันแผนภาพวิญญาณโบราณในมือลั่วหลีก็เปล่งแสงออกมา นางต้องการที่จะต่อต้านเป็นครั้งสุดท้าย

แต่ทันใดนั้นลั่วหลีก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างร่างนางสั่นสะท้าน นางเห็นแสงหลิงไร้ขอบเขตบรรจบกันที่เบื้องหน้าครรลองสายตาแล้วถักทอเป็นร่างสูงโปร่ง

ร่างนั้นยื่นมือออกกำไปในทิศทางของมหาสมุทรแห่งความตาย ทันใดนั้นมหาสมุทรก็ถูกดูดเข้าสู่ฝ่ามือของเขากลายเป็นผลึกแก้วสีดำ

เขายื่นมือทั้งสองข้างออกจับผลึกแก้วเอาไว้อย่างง่ายดาย แตกสลายมันเป็นผุยผง

มหาสมุทรปีศาจที่ทำลายล้างถูกลบออกทันทีในมือของเขา

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชางทุกคนมองไปที่ฉากเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ตอนแรกพวกเขาตกอยู่ในความสิ้นหวัง แต่ใครจะไปคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผันในทันใด…

ขณะที่สายตาอัศจรรย์ใจทั้งหลายมองไปที่ร่างเงาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าลั่วหลี พวกเขาก็ได้แต่สงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผู้มาใหม่ที่สามารถจัดการการโจมตีของจอมปีศาจเฮยซือเทียนได้อย่างง่ายดาย…

“ใคร?!” จอมปีศาจเฮยซือเทียนหดตาลงขณะมองไปที่ร่างนั้น

ภายใต้สายตาตกตะลึงนับไม่ถ้วน เสียงหัวเราะก็ดังก้องระหว่างผืนฟ้าและผืนดิน

“จอมปีศาจเฮยซือเทียน แกเคยถามว่าข้ามู่เฉินรึยังว่าจะให้แกมายุ่มย่ามกับสำนักศึกษาเป่ยชางได้หรือไม่?!”

“ลั่วหลี?!”

เมื่อมองไปที่ร่างสะคราญโฉม ทุกคนที่รู้จักนางก็อุทานด้วยความไม่เชื่อในสายตา

“ลั่วหลี?”

เหล่าศิษย์ปัจจุบันของสำนักศึกษาเป่ยชางไม่ค่อยคุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่กระนั้นพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง เนื่องจากหญิงสาวคนนี้สามารถสังหารราชันปีศาจสามคนเพียงแค่ปรากฏตัวขึ้น พลังของนางน่าสะพรึงกลัวมาก

“ตะ… แต่นาง…สวยมาก!”

ศิษย์ทั้งชายและหญิงหลายคนดวงตาแดงเรื่อ เนื่องจากหญิงสาวที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าช่างโดดเด่นเหลือล้น ท่วงท่ากิริยาและรูปร่างหน้าตาน่าตกใจจริงๆ

เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้วดาวเด่นคนอื่นๆ ในสำนักศึกษาก็ดูจืดชืดไปเลย

“นั่นคือ…พี่ใหญ่ลั่วหลี”

เยี่ยสุนเอ๋อฉายความสุขบนใบหน้าขณะพึมพำด้วยความตื่นเต้น

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อ นางเป็นใครเหรอ?” สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วที่อยู่โดยรอบอดถามไม่ได้ แต่ละคนกำลังเตรียมพร้อมที่จะเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดก็ต้องหันไปมองภาพเงางดงามที่เพิ่งมาถึง พวกเขารู้สึกว่าชื่อของนางคุ้นเคยนัก

“เจ้าเด็กโง่ทั้งหลาย!” เยี่ยสุนเอ๋อกลอกตาขณะที่ยืดอกขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ “ข้าบอกพวกเจ้าหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึ? ผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่วของเรามีสองคน พี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลี!”

เหล่าสมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วตาโตเท่าไข่ห่าน ขณะมองไปที่ร่างสะคราญโฉมด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “โอ้สวรรค์! งั้นนางก็คือพี่ใหญ่ลั่วหลี หนึ่งในผู้ก่อตั้งชุมนุมของเรา!”

“ว้าว ศิษย์พี่ลั่วหลีทรงพลังมาก! แม้แต่ราชันปีศาจก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง!” ความเคารพเทิดทูนเผยออกมาจากดวงตาของเด็กสาวหลายคน

“นางสวยอะไรอย่างนี้…” เด็กผู้ชายหลายคนใบหน้าเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ พวกเขาอึ้งไปกับความงดงามของนาง อยากจะมองแต่ก็ไม่กล้า

ชุมนุมอื่นๆ ก็ปรายสายตามองมาด้วยความอิจฉา ยิ่งทำให้สมาชิกชุมนุมเทพธิดาลั่วเหยียดตัวราวกับขึ้นแท่นรับรางวัลท่าทางภาคภูมิใจมาก โดยปกติแล้วแต่ละชุมนุมก็จะแข่งขันกันเสมอ แต่ในเรื่องผู้ก่อตั้งชุมนุม พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหน้าลง

“ไม่คิดว่า…นางจะทรงพลังมากขนาดนี้” เสิ่นชิงเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ มองไปที่หญิงสาวด้วยสายตาซับซ้อนพลางถอนหายใจ

เมื่อก่อนพลังของลั่วหลีเทียบได้กับพวกเขา แต่หลังจากผ่านไปหลายปีพวกเขายังคงต้องบากบั่นเพื่อบรรลุระดับเทียนจื้อจุน ส่วนลั่วหลีสามารถฆ่าราชันปีศาจได้ง่ายดายด้วยการพลิกฝ่ามือ

“ลั่วหลีมีโชคชะตะของตัวเอง แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจ อีกไม่กี่ปีเราก็สามารถไปถึงระดับเทียนจื้อจุนแล้วเช่นกัน” เวินชิงเฉวียนไม่ตกใจ ริมฝีปากของนางโค้งขึ้นขณะมองไปที่ลั่วหลี

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนและคนอื่นก็เป็นคนมีจิตใจแน่วแน่ ดังนั้นพวกเขาจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

“การมาของลั่วหลี สถานการณ์น่าจะดีขึ้นมาก”

ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย เมื่อลั่วหลีรู้สึกได้ถึงพลังงานที่สงบลงภายในร่างของเป่ยหมิง นางก็ถอนมือกลับ

ตอนนี้เป่ยหมิงฟื้นคืนจากอาการตกใจมองไปที่ลั่วหลีด้วยความสับสน ก่อนจะประสานมือเข้าหากัน “ขอบคุณท่านจอมยุทธ์”

ทว่าเมื่อพิจารณาจากแววตาเขาก็ดูเหมือนยังจำลั่วหลีไม่ได้ เนื่องจากในตอนนั้นลั่วหลียังเป็นเด็กหญิงตัวเล็ก แม้ว่าจะงดงามแต่ก็เยาว์วัยนัก แต่ตอนนี้ลั่วหลีที่ได้ฝึกฝนร่างเทพวารีและอารมณ์ก็มีเฉกเช่นคนทั่วไปดูสมบูรณ์แบบมาก

ลั่วหลีตอบด้วยรอยยิ้มว่า “ศิษย์ลั่วหลีเคยศึกษาที่สำนักด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้นร่างเทพสายฟ้าที่มู่เฉินได้รับการฝึกฝนก็ถูกถ่ายทอดโดยท่านนะเจ้าค่ะ”

“มู่เฉิน…”

เป่ยหมิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะนึกขึ้นมาได้พลางอุทานออกมาด้วยความตกใจ “อา เจ้าก็คือ…คนรักตัวน้อยที่อยู่ข้างกายมู่เฉิน…”

ขณะที่พูดเป่ยหมิงก็ยิ้มเขิน เพราะลั่วหลีเติบโตขึ้นอย่างงดงามและช่างเหมือนเป็นการดูหมิ่นสำหรับเขาที่จะพูดคุยกับนางแบบไม่เป็นทางการ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ รอยยิ้มหวานประดับอยู่บนริมฝีปากนาง มู่เฉินและนางมีความทรงจำงดงามอยู่ที่นี่

ฟิ้ว!

ไท่ชางก็เร่งรุดเข้ามาหาเป่ยหมิงพลางมองไปที่ลั่วหลีแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่คิดว่าสาวน้อยในตอนนั้นจะทรงพลังมากขนาดนี้แล้ว”

“ลั่วหลี ในนามสำนักศึกษาเป่ยชางข้าขอเป็นตัวแทนขอบคุณ”

ลั่วหลีรีบเข้าไปหยุดการกระทำของไท่ชางไว้พลางยิ้ม “อาจารย์ใหญ่ ข้าก็เป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเป่ยชาง ในเมื่อสำนักกำลังประสบภัย ข้าไม่ควรมาช่วยรึ? หรือว่าท่านอาจารย์ใหญ่ไม่คิดว่าข้าเป็นศิษย์แล้ว”

พอได้ยินคำพูดลั่วหลี ไท่ชางก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าน่าเกรงขามมากนะเนี่ย”

ลั่วหลียิ้มอ่อนโยนก่อนที่จะหันกลับไปมองรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้านนอกสำนัก ในบรรดาราชันปีศาจทั้งเจ็ด นางสังหารไปสามคนแล้ว ทำให้อีกสี่คนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พวกแกบังอาจกล้าต่อต้าน!” ราชันปีศาจทั้งสี่มองไปที่ลั่วหลีอย่างเย็นชา

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกข้าจะมอบความสยองขวัญให้กับทุกคนที่นี่!”

เมื่อได้ยินคำพูดพล่านด้วยเจตนาฆ่า ท่าทางของทุกคนก็เปลี่ยนไป

มีเพียงลั่วหลีเท่านั้นที่มีสีหน้าสงบขณะกวาดสายตามองราชันปีศาจทั้งสี่ “เป็นเพียงราชันปีศาจต๊อกต๋อยกลับกล้าพูดแบบนี้งั้นเหรอ? ไปเรียกจอมปีศาจออกมาพูดดีกว่านะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหลี สายตาของราชันปีศาจทั้งสี่ก็ดุร้ายยิ่งขึ้นขณะที่จ้องเขม็ง

ฮึ่ม!

ขณะที่พวกเขากำลังจะเริ่มโจมตี ทันใดนั้นความปั่นป่วนก็พลุ่งพล่านเข้ามา พวกเขาเห็นร่างแสงหลายร่างทะยานข้ามขอบฟ้าก่อนที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากจะฉีกออกจากกัน จากนั้นก็พลิ้วตัวลงข้างๆ ลั่วหลี

“ลั่วหลี เจ้าเร็วมากเลย…” หลินจิ้งอ้าปากหอบหายใจ พอรู้ข่าวลั่วหลีก็เร่งความเร็วมาที่สำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเต็มพิกัด

ลั่วหลีช่วยลูบหลังให้หลินจิ้งเบาๆ พลางหันไปหาเซียวเซียว “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง?”

เซียวเซียวพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์คนอื่นรีบเร่งไปยังสถานที่ที่ถูกโจมตีอื่นแล้วน่ะ”

ลั่วหลีพยักหน้าตอบว่า “งั้นเราก็จัดการที่นี่ให้เรียบร้อยกันเถอะ”

“ปล่อยไอ้สี่ตัวนั่นเป็นหน้าที่ข้าสองคนเอง” เซียวเซียวมองไปที่ราชันปีศาจทั้งสี่พร้อมกับแสงพราววูบไหวในนัยน์ตา กระทั่งดวงตาของหลินจิ้งก็โชนแสงขณะพยักหน้า

“ได้ พวกเจ้าระวังตัวด้วย” ลั่วหลีพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางรู้ดีว่าไม่มีปัญหาอะไรที่ทั้งสองคนจะเผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งสี่

เซียวเซียวและหลินจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ทะยานออกไปพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัวครอบคลุมร่างราชันปีศาจแยกเป็นสองฝั่งไว้

“นังสารเลวรนหาที่ตาย!”

ราชันปีศาจทั้งสี่คำราม รัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นรอบตัวขณะที่พุ่งใส่เซียวเซียวและหลินจิ้ง

ตู้ม ตู้ม!

การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายระเบิดออก ทำให้ภูเขาสั่นไหวเมื่อคลื่นกระแทกรุนแรงกวาดออกไป

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ทุกคนเฝ้าดูการประจัญบานนี้ด้วยท่าทางกังวล

ในการต่อสู้ทุกคนสามารถบอกได้อย่างคลุมเครือว่าแม้ว่าเซียวเซียวและหลินจิ้งจะต่อสู้แบบสองต่อหนึ่ง แต่หญิงสาวทั้งสองคนก็ยังได้เปรียบ ดังนั้นทุกคนจึงฉายความสุขบนใบหน้า

ลั่วหลีมองไปก่อนที่จะถอนสายตากลับ หันไปมองที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากเบื้องหลังพร้อมกับกะพริบตา

“สายสวรรค์กลืนกิน!”

รัศมีสีรุ้งกำจายออกมาจากเซียวเซียวซัดราชันปีศาจสองคนถลาออกไป จากนั้นนางก็วาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นแสงพร่างพราวก็กลายเป็นอสรพิษขนาดใหญ่อ้าปากงับร่างราชันปีศาจคนหนึ่ง

ขณะที่รัศมีพรั่งพรูเสียงแผดร้องก็ดังก้องจากอสรพิษสีรุ่งก่อนที่รัศมีราชันปีศาจจะหายไป

“แส้หยกสุดฟ้า!”

หลินจิ้งก็ลงมือเต็มที่ มือกระตุก รัศมีหยกรวมตัวกันเป็นแส้ยาวกวาดไปที่ศีรษะราชันปีศาจคนหนึ่ง ร่างกายมันแตกสลายทันที

หญิงสาวสองคนเป็นธิดาเทพจักรพรรดิจึงทรงพลังตามธรรมชาติ ไม่มีใครในระดับเดียวกันสามารถเทียบพวกนางได้

“สุดยอด!”

เสียงร้องดังขึ้นจากสำนักศึกษาเป่ยชางกับฉากนี้

ราชันปีศาจอีกสองคนต่างครั่นครามในตัวหญิงสาวทั้งสอง พวกเขาเริ่มถอยหนีด้วยความหวาดหวั่น

“คิดหนีเรอะ?”

เซียวเซียวและหลินจิ้งหัวเราะเสียงพลิ้วขณะที่อสรพิษและแส้ซัดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นการโจมตีรุนแรงพุ่งมาหา ใบหน้าของราชันปีศาจทั้งสองก็ถอดสีขณะที่ร้องลั่น “นายท่านโปรดช่วยเราด้วย!”

เมื่อเสียงร้องตะโกนดังก้อง ดวงตาเย็นชาคู่หนึ่งก็เปิดขึ้นภายในรัศมีปีศาจ เสียงเยือกเย็นแผดออก

“สวะจริงๆ”

พุ่งตามเสียงมา มือปีศาจขาวซีดก็ยื่นออกกวาดเบาๆ ทำลายอสรพิษสีรุ้ง แม้แต่แส้ก็หม่นแสงลงถูกพัดออกไป

เมื่อมือขาวซีดส่งร่างเซียวเซียวกับหลินจิ้งออกไป ก่อนที่ราชันปีศาจทั้งสองจะได้ชื่นชมยินดี มือซีดขาวก็ยื่นออกไปจับพวกเขาบดขยี้ ความสุขแข็งค้างอยู่บนใบหน้าพวกเขา…

ฉากโหดร้ายนี้ทำให้ทุกคนในสำนักศึกษาเป่ยชางหายใจเข้าลึก

แม้แต่ใบหน้าของเซียวเซียวและหลินจิ้งก็เปลี่ยนไปเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจไร้ขอบเขต พวกนางสามารถสัมผัสได้ถึงการตื่นขึ้นของรัศมีปีศาจที่น่ากลัว

เวลาเดียวกันลั่วหลีก็หดตาลงเอ่ยออกมาช้าๆ “ในที่สุดแกก็ยอมเผยโฉมหน้าแล้วหรือ?”

นางรู้สึกได้ถึงความผันผวนของรัศมีปีศาจที่ลึกล้ำและไม่อาจหยั่งรู้ได้ตั้งแต่ก่อนหน้า ชัดว่าต้องมีปีศาจทรงพลังซ่อนอยู่ภายใน

ทั้งสวรรค์และโลกเงียบงัน

รัศมีปีศาจแปรปรวนค่อยๆ หายไปทีละชั้น จากนั้นทุกคนก็ต้องหดดวงตาเมื่อเห็นบัลลังก์ที่ทำจากกระดูกสีขาวพร้อมกับทะเลศพและเลือดกระฉอกอยู่ข้างใต้

บนบัลลังก์ร่างปีศาจขาวซีดนั่งอยู่ซึ่งปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอศพดำไร้ขอบเขต เขาคล้ายกับมัจจุราชน่ากลัวนั่งอยู่ที่นั่น

เมื่อเห็นร่างนี้ ลั่วหลี เซียวเซียวและหลินจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงสีหน้าร้องอุทานว่า

“นั่นคือ…จอมปีศาจเฮยซือเทียน?!”

“บ้าเอ้ย ทำไมแม้แต่ไอ้ศพดำนี่ก็แอบเข้ามาในมหาพันภพ!”

หวอ หวอ!

สัญญาณเตือนภัยดังก้อง ทั่วทั้งสำนักศึกษาเป่ยชางที่คึกคักก็เข้าสู่ความโกลาหล สายตานับไม่ถ้วนมองออกไปที่ด้านนอกค่ายกลด้วยความกลัว บนท้องฟ้าไกลโพ้นถูกครอบงำด้วยรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่หลั่งไหลเข้ามา…

“เผ่าปีศาจเคลื่อนไหวแล้ว!”

ยืนอยู่ริมทะเลสาบเยี่ยชิงหลิง เสิ่นชังเสิง เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็มีใบหน้าเปลี่ยนไปกับฉากนี้ สีหน้าของพวกเขาเคร่งเครียดลง ร่างกายตึงเครียดขึ้น

“พี่ใหญ่!”

เยี่ยสุนเอ๋อทะยานเข้ามาพลิ้วตัวลงด้านข้างเยี่ยชิงหลิงด้วยความกังวลในสายตา

เยี่ยชิงหลิงหายใจเข้าลึกตอบว่า “ปลอบใจเหล่าศิษย์เอาไว้ อย่าให้แตกตื่น… นอกจากนี้เตรียมรับมือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด เมื่อไรที่สถานการณ์เริ่มแตกหักให้จัดกลุ่มศิษย์หนีผ่านทางค่ายกล”

เผ่าปีศาจทรงพลังและก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่สำนักศึกษาจะขัดขวางไว้ได้ ดังนั้นจึงต้องวางแผนสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้

เยี่ยสุนเอ๋อกัดริมฝีปาก แต่นางก็รู้ซึ้งถึงความแตกต่างของพลังระหว่างทั้งสองฝ่าย จึงพยักหน้ารับทราบ

“ทุกคนผ่านมาหลายปี ตอนนี้เรากำลังจะต่อสู้ด้วยกันอีกครั้งแล้ว” เยี่ยชิงหลิงมองไปที่เสิ่นชังเสิงและพรรคพวกด้วยรอยยิ้ม

เสิ่นชังเสิงก็คลี่ยิ้มออกมา ไม่มีความกลัวอยู่ในสายตาเขา หอกคู่ใจปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นก็หันไปหาหลี่เฉวียนทงเอ่ยว่า “ตอนที่ศึกษาที่นี่เจ้าไล่ตามข้าตลอด ครั้งนี้แข่งกันอีกไหม?”

“เอาเลย” หลี่เฉวียนทงยิ้มพร้อมกับคลื่นหลิงพลุ่งพล่านรอบตัว เสื้อผ้าโบกสะบัด

“มีข้าที่นี่ ไม่ถึงมือเจ้าสองคนได้โอ้อวดหรอก” เวินชิงเฉวียนยิ้มบาง ร่างแผ่ซ่านด้วยความมั่นใจราวกับนกยูงรำแพนขน นางยังคงเจิดจ้าเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

“โฮก!”

แต่ขณะเดียวกันเสียงคำรามของมังกรเกรี้ยวกราดที่แตกสลายฟ้าดินก็ดังก้องออกมาจากสำนักศึกษาเป่ยชาง ลำแสงสีดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ร่างเงาหนี่งเผยตัวออกมา

นั่นคือชายชราหัวล้าน มีท่าทางเย็นชาขณะที่สายฟ้าดังก้องอยู่รอบตัวแผ่แรงกดดันทรงพลัง

“ท่านเป่ยหมิง!”

ร่างสูงวัยนี้ได้รับเสียงโห่ร้องต้อนรับจากทั่วบริเวณ ทุกคนมีไฟลุกโชนในดวงตา เพราะในสำนักศึกษาเป่ยชาง ชื่อเสียงของเป่ยหมิงโด่งดังเหลือเกิน

แต่เมื่อได้รับเสียงโห่ร้องเหล่านั้นใบหน้าของเป่ยหมิงก็ไม่ได้คลายลง เขามองรัศมีปีศาจหนาแน่นนั้นก็รู้สึกเจ็บแปลบบนร่างกาย ชัดว่าสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ที่ทรงพลังในหมู่เผ่าปีศาจ

วาบ วาบ!

ร่างแสงหลายร่างเริ่มทะยานสู่ท้องฟ้าจากสำนักศึกษาเป่ยชางมายืนอยู่ด้านหลังเป่ยหมิง พวกเขาก็คือเหล่าจอมยุทธ์ทรงพลังของห้ายอดสำนัก

ไท่ชางปรากฏตัวข้างเป่ยหมิง เมื่อมองไปที่สีหน้าอีกฝ่าย ใบหน้าเขาก็ดิ่งลง

“ไท่ชางเตรียมพร้อมสำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” เมื่อมองไปท่าทางของไท่ชาง เป่ยหมิงก็ถอนหายใจ

พอได้ยินคำพูดเหล่านั้นร่างไท่ชางก็สั่นสะท้านพร้อมกับความรวดร้าวในสายตา เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าสำนักศึกษาเป่ยชางจะต้องพบกับวันแห่งการทำลายล้าง

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าคงต้องสละร่างแก่ๆ นี้ต่อสู้เพื่อให้เหล่าศิษย์ได้มีเวลาหลบหนีมากขึ้น” ไท่ชางประสานมือกล่าวด้วยความแน่วแน่

ในฐานะอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาเป่ยชาง เขาไม่สามารถทิ้งศิษย์เผชิญชะตากรรมเช่นนี้ได้

เป่ยหมิงยิ้มพลางตบไหล่ไท่ชาง “ข้าปกป้องสำนักมาหลายปี ถ้าสำนักกำลังเผชิญกับการทำลายล้าง ข้าก็จะสู้ตายพร้อมกับทุกคน”

ไท่ชางเปิดปากขึ้น แต่เป่ยหมิงกลับหยุดเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงคารวะให้

ฟิ้ว!

ยามนี้เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทง เวินชิงเฉวียนและคนอื่นๆ ก็มายืนอยู่ด้านหลังไท่ชาง

“ท่านอาจารย์ใหญ่ พวกเรายินดีที่จะพลีชีพเพื่อปกป้องสำนัก!”

เมื่อมองไปที่เหล่าศิษย์ ไท่ชางก็ซาบซึ้งใจตอบว่า “พวกเจ้าก้าวไปไกลแล้วและคือความหวังในอนาคต ไม่จำเป็นต้องพินาศไปกับสำนัก ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะสามารถพาศิษย์น้องทั้งหลายให้รอดพ้น ถือว่าช่วยรักษาเมล็ดเพลิงให้สำนักไว้”

พวกเสิ่นชังเสิงเงียบไป เมื่อมองสายตาที่เปี่ยมด้วยความหวังของชายชรา พวกเขาก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ สุดท้ายพวกเขาทำได้เพียงโค้งคำนับรับด้วยมารยาทสูงสุด

“ท่านอาจารย์ใหญ่โปรดมั่นใจ ข้าจะปกป้องพวกเขาอย่างดีที่สุด”

ไท่ชางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเหนือท้องฟ้าด้วยสีหน้าเคร่งเครียด รัศมีปีศาจถั่งโถมเข้ามาใกล้ในระยะหมื่นจั้งแล้ว

เมื่อมองผ่านรัศมีปีศาจ พวกเขาก็สามารถมองเห็นปีศาจนับไม่ถ้วนภายใน

“เปิดใช้งานค่ายกล!” เป่ยหมิงแผดเสียง เหล่าหลิงเจิ้นซือทั้งหมดก็เทคลื่นหลิงเข้าไปทันที ขณะที่คลื่นหลิงถูกเทลงในค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ปราการรอบสำนักก็ทรงพลังมากขึ้นเช่นกัน

“ค่ายกลพิทักษ์นี้สามารถป้องกันการโจมตีของระดับเทียนจื้อจุนได้หลายคน นี่ถือว่าเป็นชั้นการป้องกันสุดท้ายของเรา” เป่ยหมิงพูดขณะมองไปที่ปราการ

หากชั้นปราการถูกทำลาย นั่นหมายความว่าพวกเขาจะต้องสู้ถวายชีวิตแล้วเท่านั้น

“หวังว่าค่ายกลนี้จะสามารถปกป้องสำนักของเราได้” ทุกคนภาวนาภายในใจ

ในที่สุดรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็หยุดลง ทั้งภูมิภาคถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน

ความวุ่นวายภายในสำนักก็สงบลงเช่นกัน แต่หลายคนมีความกลัวในดวงตาขณะที่ตัวสั่นเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจ

ทันใดนั้นกะโหลกสีดำก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับร่างปีศาจยืนอยู่บนโครงกระดูกแต่ละส่วนเอิบอาบไปด้วยความผันผวนของรัศมีปีศาจ

นักรบราชันปีศาจเจ็ดคน!

เมื่อมองไปที่นักรบราชันปีศาจทั้งเจ็ด ความสิ้นหวังก็โหยไห้ออกจากสำนักศึกษาเป่ยชาง แม้แต่สีหน้าของเป่ยหมิงก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

แม้เขาจะรู้ว่าจะมีราชันปีศาจ แต่เขาก็ไม่คิดมาก่อนว่าจะมีถึงเจ็ดคนและทุกคนก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเขา

“ดูเหมือนว่าสวรรค์อยากจะทำลายสำนักศึกษาเป่ยชางจริงๆ” ไท่ชางตัวสั่น

ตู้ม ตู้ม!

ราชันปีศาจทั้งเจ็ดมองดูความสิ้นหวังอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า กระแทกเข้ากับปราการขนาดใหญ่

ตึง ตึง!

เผชิญหน้ากับการโจมตีของราชันปีศาจทั้งเจ็ด ชั้นปราการก็ผันผวนรุนแรง คลื่นหลิงที่อยู่บนนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็ว

“ถ้าเตรียมการค่ายกลเคลื่อนย้ายเสร็จ ก็เริ่มส่งศิษย์ออกไปเลย!” ไท่ชางออกคำสั่งด้วยเสียงสั่น อาจารย์บางส่วนก็ออกไปพร้อมกับคำสั่งทันที

ไม่มีใครสามารถต้านทานเผ่าปีศาจได้ไหวแน่เมื่อปราการแตก ไม่แม้กระทั่งเป่ยหมิงจะสามารถเผชิญหน้ากับการโจมตีของเจ็ดราชันปีศาจได้

“เมื่อไรที่ค่ายกลแตกสลาย ข้าจะพยายามขัดขวางราชันปีศาจให้ได้มากที่สุด ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของพวกเจ้าแล้ว”

ไป่หมิงมองไปที่ค่ายกลที่สั่นสะท้าน ใบหน้าก็สงบลง เขามองไปที่ไท่ชางพลางยิ้มขึ้น “พูดถึงเรื่องนี้ข้าก็คิดถึงไอ้หนูนั่นที่ได้ฝึกฝนกายาเทพสายฟ้าของข้า”

“ท่านกำลังพูดถึงเจ้าหนูมู่เฉินอยู่เหรอ…ฮ่าๆ ตอนนี้เขาไม่ธรรมดาเลยนะ มีข่าวลือเมื่อไม่กี่ปีก่อนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้” ไท่ชางยิ้ม

“แค่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงหายตัวไปในช่วงหลายปีนี้… คนอื่นบอกว่าเขากลัวพวกปีศาจ แต่ข้ารู้ว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น”

เป่ยหมิงยิ้ม “คนที่กล้ารับเมฆเทพอัสนีดำเพื่อชำระร่างกายและเรียนรู้กายาเทพสายฟ้า จะไปมีความกลัวได้อย่างไร คนอื่นโง่ไปเท่านั้น”

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่พวกเขาพูดคุยถึงความหลัง ขบวนแถวแสงก็บางลงก่อนที่จะระเบิดที่หน้าครรลองสายตาทุกคน…

ค่ายกลแตกสลาย ภาพสำนักศึกษาเป่ยชางก็เผยออกเบื้องหน้าเผ่าปีศาจ

“ฆ่าให้หมด!”

ราชันปีศาจทั้งเจ็ดมองไปที่เป่ยหมิงอย่างเย็นชา เนื่องจากรู้สึกได้ว่ามีเพียงเขาที่สร้างภัยคุกคามได้ ทันใดนั้นทั้งเจ็ดก็เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกัน เปิดฉากซัดฝ่ามือใส่เป่ยหมิงทันที

เผชิญกับราชันปีศาจทั้งเจ็ด เป่ยหมิงก็เผยสีหน้าเคร่งเครียด ทันใดนั้นสายฟ้าสีดำแล่นแปลบปลาบออกมาจากร่างราวกับเทพสายฟ้า

เขาก้าวออกไป มือประสานกันก่อนจะผลักกระแทกออก

“ฝ่ามือเทพอัสนีดำ!”

สายฟ้าสีดำพุ่งออกไปราวกับมหาสมุทรพลุ่งพล่านปะทะกับฝ่ามือทั้งเจ็ด

ปัง ปัง!

ทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะเทือน พลังทั้งสองสายปะทะกัน ทว่าสายฟ้าสีดำไม่สามารถต่อกรกับฝ่ามือทั้งเจ็ดได้ ในที่สุดก็ถูกฉีกออกพลังงานที่เหลือซัดใส่ร่างของเป่ยหมิง

ปัง!

เป่ยหมิงตัวสั่น เสื้อผ้าถูกฉีกเป็นชิ้นๆ กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ รัศมีจืดจางลง เขาได้รับบาดเจ็บหนักหลังจากการแลกกระบวนท่าครั้งเดียว!

“ท่านเป่ยหมิง!”

เหล่าศิษย์ในสำนักศึกษาเป่ยชางร้องไห้ด้วยความสิ้นหวัง ใครจะคาดคิดว่าจอมยุทธ์ที่อยู่ยงคงกระพันในสายตาของพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บหนักจากฝีมือศัตรูในทันที

“ส่งพวกเขาออกไป!” เป่ยหมิงคำรามด้วยสีหน้าซีดเซียว

ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ความโกลาหล ภายใต้การนำของเหล่าอาจารย์ ศิษย์ทุกคนเริ่มหนีเข้าไปในส่วนลึก

เป่ยหมิงคำรามมองไปที่ราชันปีศาจทั้งเจ็ดด้วยดวงตาแดงก่ำ จากนั้นก็เข้าประจัญบาน ยามนี้เขาคิดสู้จนตัวตายแล้ว

เผชิญหน้ากับราชันปีศาจทั้งเจ็ด เป่ยหมิงก็รู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้…เขาก็ทำได้เพียงทำลายตัวเองเพื่อซื้อเวลาให้เด็กๆ หนีไป

ขณะที่คลื่นหลิงรุนแรงพวยพุ่งขึ้นภายในร่างกาย ความผันผวนที่น่ากลัวก็กวาดออกมา

เมื่อราชันปีศาจทั้งเจ็ดสังเกตเห็นการกระทำของเป่ยหมิง ใบหน้าก็เปลี่ยนไปร้องว่า “ฆ่ามัน!”

จากนั้นก็พุ่งเข้าโรมรันในเวลาเดียวกัน กระบี่ปีศาจเจ็ดเล่มกวาดออกพร้อมกับปีศาจรุนแรง

“ท่านเป่ยหมิง!”

เมื่อเสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและพรรคพวกเห็นฉากนี้ร่างกายก็ชาวาบไปด้วยความสิ้นหวังในแววตา พวกเขารู้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะสังหารเป่ยหมิงแน่นอน

“ฝากศิษย์น้องไว้กับพวกเจ้าแล้ว!” ไท่ชางมองฉากนี้โดยไม่มีริ้วอารมณ์ใดบนใบหน้า แต่เล็บแทงเข้าไปในฝ่ามือพร้อมกับเลือดหยดลงมาเป็นสาย

หลังจากที่เสิ่นชังเสิงและคนอื่นๆ แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาก็กัดฟันถอยร่นออกไป

ฟิ้ว!

ขณะที่กระบี่ปีศาจทั้งเจ็ดบินฉวัดเฉวียนข้ามขอบฟ้าก็พุ่งเป้าไปที่จุดตายของเป่ยหมิงด้วยมุมน่าหวาดเสียวกระทั่งมิติยังฉีกออกจากกัน

ฮึ่ม ฮึ่ม!

แต่ขณะที่ทุกคนกำลังจะเห็นความตายของเป่ยหมิง เสียงครางกระหึ่มก็ดังก้องมาจากขอบฟ้า

ทันใดนั้นแสงหลิงพร่างพราวสองสายก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า ลำแสงสายหนึ่งทะยานเข้าไปที่เบื้องหน้าดงกระบี่ปีศาจลบออกทันที

ส่วนลำแสงอีกสายก็กลืนกินสามราชันปีศาจโดยที่ไม่ทันแม้แต่จะเปิดปากร้องออกมาก่อนที่จะสลายหายไป…

เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ หยุดชะงักการล่าถอย ความไม่เชื่อเขียนอยู่ในดวงตา ขณะที่มองการเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้…

ขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง มิติด้านหลังเป่ยหมิงก็ผันผวน ร่างเงาหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ มือบางยื่นออกมาวางไว้บนไหล่ของอีกฝ่ายซึ่งทำให้พลังงานที่บ้าคลั่งในร่างกายเขาสงบลงทันที…

คลื่นหลิงในร่างสงบลง เป่ยหมิงก็อึ้งไปก่อนที่จะหันหน้าไปมองก็เห็นใบหน้าสะคราญโฉมที่อ่อนล้าจากการเร่งรุดเดินทางอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเห็นสายตาของเป่ยหมิง สาวสวยก็ยิ้มพลางกะพริบตาเย้าแหย่พร้อมกับน้ำเสียงอ่อนโยนดังก้อง

“ผู้อาวุโสเป่ยหมิงจะตายไม่ได้นะเจ้าค่ะ ไม่งั้นข้าไม่รู้จะอธิบายให้มู่เฉินฟังได้ยังไงเมื่อเขากลับมา…”

เสียงหัวเราะอ่อนโยนดังก้องทำให้ทุกคนตะลึงงันเมื่อมองไปที่รูปลักษณ์งดงาม

ยามนี้ไท่ชาง เสิ่นชังเสิง หลี่เฉวียนทงและคนอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างร้องอุทานว่า

“นั่น…”

“ลั่ว-หลี!”

ทวีปเป่ยชาง

บรรยากาศที่เฟื่องฟูไม่มีให้เห็นอีกแล้ว เหลือเพียงร่องรอยสงครามถูกทิ้งไว้บนพื้นดิน ทำให้ทั่วทั้งทวีปเต็มไปได้เหวกว้าง

ภัยพิบัติจากปีศาจบดขยี้ลงมาที่ทวีปเป่ยชางเช่นกัน

เผชิญกับภัยพิบัตินี้ กองทัพต่างๆ ของทวีปเป่ยชางก็พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง ในท้ายที่สุดพวกเขาก็ก่อตั้งพันธมิตรหลายแห่งเพื่อพุ่งเป้าไปในการต่อต้าน

ทว่าความหายนะในทวีปเป่ยชางรุนแรงมาก เนื่องจากเผ่าปีศาจทรงพลังมาก ดังนั้นกระทั่งขุมกำลังต่างๆ จะรวมตัวเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังมองในแง่ดีไม่ได้

และสำนักศึกษาเป่ยชางก็เป็นหนึ่งในศูนย์รวมพันธมิตรเหล่านั้น

 

ภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง

ค่ายกลขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นปกคลุมทั้งสำนักศึกษา ในปราการที่เอิบอาบด้วยแสงหลิงทรงพลังทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัย

ยามนี้เกิดความวุ่นวายภายในสำนักศึกษาเป่ยชาง ไม่เพียงแต่ขั้วอำนาจอื่นๆ ของทวีปที่สูญเสียดินแดนให้กับเผ่าปีศาจมารวมตัวกันที่นี่ แต่ยังรวมถึงสำนักศึกษายิ่งใหญ่อีกสี่แห่งที่มาด้วย…

นั่นเป็นเพราะภัยพิบัติได้กวาดล้างเขตแดนที่สำนักศึกษาใหญ่อีกสี่แห่งตั้งอยู่ และระหว่างสำนักศึกษาทั้งห้าได้เชื่อมโยงกันด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาทั้งหมดจึงมารวมตัวกันที่สำนักศึกษาเป่ยชาง

แต่ไม่คิดว่าไม่นานหลังจากที่พวกเขามา ทวีปเป่ยชางก็ถูกโจมตีเช่นกัน…

เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่นี่จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะแออัด แต่ ณ จุดนี้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเล็กจ้อยนี้…

ที่มุมหนึ่งของสำนักมีทะเลสาบใสราวกับกระจก รอบๆ มีแท่นฝึกจำนวนมากตั้งวางเรียงรายอยู่ ถัดออกไปอีกก็คือเรือนพักจำนวนมาก

“ทุกคนในฐานะชุมนุมเทพธิดาลั่ว เราจะใช้เรือนพักของชุมนุมเป็นที่พักให้กับสหายสำนักทั้งสี่แห่ง แม้ว่าปกติเราจะเป็นคู่แข่งกัน แต่ในเวลานี้เราก็ต้องแสดงมารยาทของเจ้าบ้านที่ดีด้วย”

ที่ริมทะเลสาบเหล่าสมาชิกชุมนุมรวมตัวกันรอบก้อนหินขนาดใหญ่ สายตามองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหิน นางมีลักษณะโดดเด่นพร้อมกับผมเกล้าเป็นหางม้าและน้ำเสียงดังก้องด้วยพลังล้นเปี่ยม

เมื่อมองไปที่ศิษย์น้องที่อยู่รอบๆ หญิงสาวก็เผยรอยยิ้ม “นอกจากนี้อย่าลืมว่าใครคือผู้ก่อตั้งชุมนุมเทพธิดาลั่ว แม้ว่าพี่ใหญ่มู่เฉินและพี่ใหญ่ลั่วหลีจะจบการศึกษาไปแล้ว เราก็จะทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วที่พวกเขาสร้างไว้อับอายไม่ได้!”

“พี่ใหญ่สุนเอ๋อพูดถูก!”

“ไม่ต้องห่วง ชุมนุมเทพธิดาลั่วไม่ขี้เหนียวหรอก เราจะเตรียมการสำหรับสหายสำนักศึกษาอื่นๆ เอง”

“เราต้องรวมพลังกันเพื่อปกป้องสำนักศึกษาของเรา!”

เสียงของหญิงสาวดึงดูดใจสะท้อนในโสตประสาทของทุกคน ขณะที่ทุกคนยกกำปั้นขึ้นส่งเสียงโห่ร้อง

หญิงสาวที่ชื่อว่าสุนเอ๋อก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

ไม่ไกลนักมีร่างเงากลุ่มหนึ่งยืนมองมาพลางเผยรอยยิ้มขณะมองดูฉากนี้

“สุนเอ๋อเติบโตขึ้นมาก ถ้ามู่เฉินและลั่วหลีเห็นภาพนี้พวกเขาจะต้องตกใจแน่ๆ เด็กสาวตัวเล็กขี้อายที่เดินตามหลังตอนนั้นได้กลายเป็นผู้นำชุมนุมเทพธิดาลั่วแล้ว” ชายหนุ่มรูปงามคนหนึ่งอดไม่ได้ที่จะยิ้มขณะมองไปที่เยี่ยสุนเอ๋อที่ทุกคนกำลังห้อมล้อม

“ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้สุนเอ๋อก้าวขึ้นสู่การเป็นหลิงเจิ้นจงซือแล้ว มิหนำซ้ำท่านอาจารย์ใหญ่ยังก่อตั้งหอค่ายกลเพื่อให้นางถ่ายทอดความรู้กับศิษย์คนอื่นๆ เกี่ยวกับศาสตร์นี้ คลื่นลูกใหม่เปี่ยมด้วยความหวัง ความสำเร็จนี้แข็งแกร่งกว่าเรามากในอดีต” ชายอีกคนถอนหายใจด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าสองคนหยุดถอนหายใจเป็นตาแก่ได้แล้ว แต่ข้าก็ไม่คิดว่าพวกเจ้าสองคนจะกลับมาที่สำนักในเวลาวิกฤตเช่นนี้” หญิงสาวสะคราญโฉมยิ้มกว้าง

ไม่น่าแปลกใจที่นางจะตกใจเนื่องจากทั้งสองคนคือจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่น—เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทง

หลังจากจบการศึกษาทั้งสองก็ออกท่องยุทธภพ ตอนนี้พวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มซึ่งห่างจากขุมพลังเทียนจื้อจุนเพียงก้าวเดียวเท่านั้น ความสำเร็จดังกล่าวในวัยของพวกเขาถือว่าไม่ธรรมดา

“ในเมื่อเราเป็นศิษย์สำนักศึกษาเป่ยชาง ดังนั้นเราก็ต้องกลับมาช่วยตอนที่บ้านกำลังตกอยู่ในอันตรายสิ” เสิ่นชังเสิงยิ้ม

หลี่เฉวียนทงพยักหน้ามองไปที่หญิงสาวตรงหน้าก็ยิ้ม “ส่วนเจ้าตอนนี้ขึ้นเป็นรองอาจารย์ใหญ่ของสำนักไปแล้วนะเยี่ยชิงหลิง”

“ข้าไม่ได้อยากท่องยุทธภพเหมือนพวกเจ้าทั้งสองคน การอยู่ในสำนักก็ดีมากสำหรับข้า” เยี่ยชิงหลิงยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดของนาง เสิ่นชังเสิงและหลี่เฉวียนทงก็พยักหน้าพลางพูดขึ้นช้าๆ “การใช้ชีวิตในสำนักก็ดี อย่างน้อยสามารถรักษาจิตใจบริสุทธิ์ของตัวเองไว้”

พวกเขาสองคนพูดด้วยท่าทางซับซ้อน ชัดว่าต่างมีประสบการณ์มากมายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

“โห้ อดีตสองจอมยุทธ์สุดยอดในรุ่นกำลังปลงกับประสบการณ์เหรอเนี่ย”

ทันใดนั้นเสียงเย้าแหย่ก็ดังขึ้น กลุ่มคนที่ยืนอยู่กวาดสายตามองไปก็เห็นร่างเงาสองร่างกำลังเดินเข้ามา

คนหนึ่งสวมเสื้อสีม่วงกับกางเกงขายาว นางมีรูปร่างที่เพรียวบางพร้อมกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่น นางคลี่รอยยิ้มที่คุ้นเคยบนริมฝีปาก นางก็คือเวินชิงเฉวียน

ส่วนหญิงสาวที่อยู่ข้างก็งดงามไม่แพ้กัน นางก็คือรองอาจารย์ใหญ่สำนักศึกษาวั่นหวงถังเชี่ยนเอ๋อ

“เวินชิงเฉวียน…” หลี่เฉวียนทงอึ้งไปเมื่อมองรอยยิ้มคุ้นเคย “เวลาแบบนี้เจ้าไม่ประจำที่ตระกูลเวิน มาทำอะไรที่นี่?”

เวินชิงเฉวียนเผยรอยยิ้มตอบว่า “ตระกูลเวินมีผู้คนมากมาย ข้าอยู่ที่นั่นก็ไม่ได้เป็นประโยชน์อะไร”

ขณะที่พูดนางและถังเชี่ยนเอ๋อก็มองไปที่เยี่ยชิงหลิงด้วยรอยยิ้ม “ต้องขอขอบคุณชุมนุมเทพธิดาลั่วที่ช่วยจัดที่พักให้กับศิษย์สำนักศึกษาวั่นหวงด้วย”

เยี่ยชิงหลิงโบกมือตอบว่า “ภายใต้สถานการณ์นี้ พวกเราต้องรวมพลังกันถึงจะมีโอกาสรอดได้ การช่วยเหลือเจ้าก็เหมือนกับการช่วยสำนักศึกษาเป่ยชางด้วย”

เมื่อได้ยินคำพูดนี่ เวินชิงเฉวียนก็ถอนหายใจ “ยังไม่แน่หรอกว่าจะมีโอกาสรอดหรือไม่ ตอนนี้มีเพียงท่านเป่ยหมิงเท่านั้นที่ก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำพวกปีศาจยังแค่ล้อมเอาไว้ ไม่ได้เปิดการโจมตี ตราบใดที่พวกจอมปีศาจเคลื่อนไหว สถานการณ์ก็คงไม่ดีแน่”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ พวกเขาทราบว่าสถานการณ์เลวร้ายเพียงใด

“สุนเอ๋อกับพรรคพวกกำลังสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายอย่างลับๆ ถ้าสถานการณ์เลวร้ายขึ้น เราก็ได้แต่พยายามส่งเหล่าศิษย์น้องออกไปให้ได้มากที่สุด” เยี่ยชิงหลิงกล่าวเสียงอ่อน

เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ พลังของสำนักศึกษาเป่ยชางอย่างเดียวก็ไร้ประโยชน์

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งหลี่เฉวียนทงก็พูดขึ้นว่า “ถ้ามู่เฉินกับลั่วหลีอยู่ที่นี่อาจมีโอกาสบ้าง…”

เมื่อได้ยินชื่อของทั้งสองคนทุกคนก็เงียบลง ชัดว่าแต่ละคนมีความทรงจำกับสองคนนี้มาก

“มีข่าวเกี่ยวกับลั่วหลี แต่สำหรับมู่เฉิน…เกือบห้าปีแล้วที่ข่าวของเขาเงียบหาย” เวินชิงเฉวียนมุ่นคิ้ว

เสิ่นชังเสิงพยักหน้า “เจ้านั่นทำให้เกิดความปั่นป่วนเป็นครั้งคราวเมื่อห้าปีก่อน แต่เขาก็หายตัวไปในช่วงหลายปีที่ผ่านมา”

“ตอนนี้ในมหาพันภพผู้คนคาดเดากันว่าเขากลัวเผ่าปีศาจเลยไปแอบซ่อนตัว”

“ไร้สาระ!” เวินชิงเฉวียนหัวร้อนขึ้น ตามนิสัยของมู่เฉินจะเป็นคนขี้ขลาดได้อย่างไร?

“มู่เฉินไม่ใช่คนขี้ขลาด ด้วยนิสัยของเขา ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใดก็ไม่มีทางกลัว ดังนั้นต้องมีเหตุผลที่เขาหายตัวไป” ถังเชี่ยนเอ๋อเอ่ยเสียงจริงจัง

หลี่เฉวียนทงถอนหายใจออกมา “ชื่อเสียงของมู่เฉินดังเป็นพลุแตกเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาตกเป็นเป้าของความอิจฉา ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีคนพยายามทำให้เขาเสื่อมเสียชื่อเสียง”

ทุกคนทำได้เพียงแค่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ การหมิ่นประมาทเหล่านั้นกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของพวกเขาอย่างแท้จริง

“เขาจะต้องปรากฏตัวแน่นอน”

เยี่ยชิงหลิงกล่าวอย่างหนักแน่น เนื่องจากนางนึกถึงรอยยิ้มซึ่งเต็มไปด้วยความมั่นใจของชายหนุ่ม

เขามีความเชื่อมั่นแน่วแน่ ไม่ว่าจะเผชิญหน้ากับศัตรูแบบใด เขาก็จะไม่มีวันถอยหนี เป็นเพราะความเชื่อมั่นที่ติดแน่นเป็นปรสิตนี้ ทำให้ผู้คนมากมายมารวมตัวอยู่เคียงข้างเขาและเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุมนุมเทพธิดาลั่วเฟื่องฟูไม่เสื่อมคลาย…

ดังนั้นนางเชื่อว่าเขาจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะประสบกับอะไรก็ตาม

สหายคนนั้นจะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอน เมื่อไรที่เผยตัวก็จะเป็นจุดสนใจของทั้งมหาพันภพ

เยี่ยชิงหลิงหันไปมองน้องสาวที่ยืนอยู่บนก้อนหินใหญ่ เหมือนเห็นอดีตตอนที่ชายหนุ่มมุ่งมั่นยืนอยู่บนตำแหน่งนั้น

‘มู่เฉิน…’

‘ข้าหวังไม่ว่าเจ้าจะประสบกับอะไร เจ้าก็ยังคงเป็นเจ้าเช่นเดิม’

หวือ หวือ!

ขณะที่พวกเขาระลึกถึงความทรงจำ เสียงเตือนเสียดหูก็ดังขึ้น ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองออกไปไกล เห็นรัศมีปีศาจรุนแรงพล่านเข้ามาจากทิศทางนั้น

เผ่าปีศาจเริ่มโจมตีแล้ว

ไฟสงครามลุกโชน

นำมาซึ่งข้อพิพาทเมื่อความเป็นตายเกิดขึ้นในแนวป้องกันต่างๆ

ในเวลาเพียงหนึ่งเดือนชายแดนมหาพันภพกลายเป็นเครื่องบดเนื้อโดยมีนักรบจากทั้งสองฝ่ายกระโจนเข้าหากันราวกับฝูงตั๊กแตน แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ดูอ่อนแอภายใต้สมรภูมินี้ มีร่างล้มลงทุกวัน…ทุกวันในสงคราม

สงครามช่างโหดร้ายอย่างยิ่ง

แต่ทั้งสองฝ่ายก็ไม่มีความตั้งใจที่จะหยุด เนื่องจากไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ฝ่ายหนึ่งต้องการยึดครองและอีกฝ่ายหนึ่งต้องการปกป้อง

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็พิจารณาได้เพียงว่ามีแค่ฝ่ายเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดในสงครามได้

ขณะที่เกิดการต่อสู้ดุเดือดที่แนวหน้า ภายในมหาพันภพก็ไม่ได้สงบสุข

บนท้องฟ้าของทวีปแห่งหนึ่งในมหาพันภพ ทันใดนั้นมิติก็ถูกฉีกออกจากกันขณะที่รัศมีปีศาจพวยพุ่งออกมาราวกับกลุ่มเมฆควันพร้อมกับเสียงหอนดังก้องไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ร่างปีศาจนับไม่ถ้วนทะยานออกมา

ตึง ตึง!

เมื่อปีศาจเหล่านั้นปรากฏขึ้น เสียงระฆังก็ดังก้องไปทั่วทวีปพร้อมกับร่างแสงนับไม่ถ้วนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พวกเขามองไปที่เหล่าปีศาจด้วยความครั่นครามในดวงตา

“คึๆ ฆ่าพวกมันทั้งหมด! ทำให้มหาพันภพกลายเป็นทะเลโลหิต!” พร้อมกับเสียงปีศาจร้องโหยหวนดังก้อง ฝูงปีศาจตั๊กแตนก็กวาดออกไป

“ต้านพวกมันไว้! ส่งสัญญาณเรียกกำลังเสริม!”

เสียงคำรามดังก้องมาจากทวีป ขณะเดียวกันจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตแผ่ออกมา ยามนี้ทุกขั้วอำนาจละทิ้งความขัดแย้งในอดีตช่วยกันเผชิญหน้ากับศัตรู

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อรัศมีไร้ขอบเขตปะทะกันการระเบิดก็ปะทุขึ้น

ทั้งทวีปเข้าสู่ความโกลาหล

ในเวลาเดียวกันรอยแตกมิติก็เริ่มเปิดกว้างพร้อมกับนักรบปีศาจหลั่งไหลเข้ามามากขึ้น พวกมันพยายามสร้างความโกลาหลให้กับมหาพันภพ

ดังนั้นไฟแห่งสงครามจึงลุกโชนทั่วจักรวาล

ขณะที่จักรวรรดิปีศาจบุกเข้ามา หน้าวังยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง มีร่างเงาจำนวนมากยืนอยู่ ซึ่งเอิบอาบไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง ขณะเดียวกันสีหน้าของทุกคนก็เขียวคล้ำเมื่อมองภาพในม่านแสงที่เผ่าปีศาจเปิดฉากจู่โจมดินแดนภายในมหาพันภพ

“หน่วยลาดตระเวนฟังคำสั่ง จัดตั้งกลุ่มเพื่อเก็บกวาดเบื้องหลัง!”

ด้านหน้าเป็นร่างเงาสองร่างยืนอยู่ โดยคนที่นำหน้าเป็นชายชราผมขาวและชายหนุ่มทรงเสน่ห์

เมื่ออยู่ที่เบื้องหน้าพวกเขาก็ไม่มีใครในวังกล้าแสดงความไม่พอใจใดๆ

เนื่องจากคนหนึ่งเป็นปรมาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคี ส่วนอีกคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเทพจักรพรรดิสงคราม

นี่ก็คือเย่าเฉินและหลินเตียว ขณะนี้พวกเขาเป็นผู้บัญชาการและรองผู้บัญชาการของหน่วยลาดตระเวนซึ่งรับผิดชอบดูแลความสงบของดินแดนภายใน ไม่ให้กองกำลังที่อยู่แนวหน้าต้องกังวล

“หน่วยรบที่หนึ่งจะนำโดยจักรพรรดิสัประยุทธ์มุ่งหน้าไปยังภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้!”

ในห้องโถงจักรพรรดิสัประยุทธ์เผยสีหน้าหนักแน่นขณะที่ประสานมือ “รับทราบ”

“หน่วยรบที่สอง…”

“หน่วยรบที่สาม…” หน่วยรบต่างๆ ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็วภายใต้คำสั่งของเย่าเฉินและหลินเตียว ทุกคนเรียกรวมตัวพรรคพวกพุ่งออกไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้าย

“หน่วยรบที่สามสิบ…” เย่าเฉินมองไปที่ร่างคุ้นเคยทั้งสามในห้องโถงก็พูดว่า “ให้ลั่วหลีเป็นหัวหน้า เซียวเซียวและหลินจิ้งเป็นรองหัวหน้ารวบรวมคนมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ!”

“รับทราบ!”

ลั่วหลีกระชับกระบี่ในมือสะบัดพร้อมกับเสียงอ่อนโยนดังก้องออกมาทำให้หลายคนในห้องโถงต้องหันหน้าไปมองความงดงามสะท้อนในครรลองสายตาพวกเขา ยากเหลือเกินที่ใครจะไม่ถูกดึงดูดโดยผู้หญิงโดดเด่นเช่นนี้

แต่น่าเสียดายที่หัวใจของนางไม่ว่างแล้ว

เซียวเซียวและหลินจิ้งก็ประสานมือรับคำสั่ง ดวงตาของทั้งสองคนพราวแสงด้วยความตื่นเต้น ชัดว่าพวกนางคิดอยากลงมือนานแล้ว

หญิงสาวทั้งสามไม่ได้ชักช้า รีบรวบรวมจอมยุทธ์ร้อยกว่าคนมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย

พวกนางกระโจนเข้าสู่สงครามด้วยตัวเองแล้ว

 

ขณะที่ลั่วหลีนำหน่วยรบมุ่งหน้าไปยังทวีปหนึ่ง

ไฟสงคราม เสียงกรีดร้องก็สะท้อนทั่วขอบฟ้า เผ่าปีศาจโจมตีเมืองต่างๆ กลิ่นคาวเลือดซึมผ่านในอากาศ

“เผ่าปีศาจที่บุกมานี่นำโดยนักรบราชันปีศาจสามคน”

ลั่วหลีกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็พบนักรบที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นนางจึงหันไปหาหลินจิ้งและเซียวเซียว “พวกเราช่วยกันจัดการจอมปีศาจทั้งสาม ส่วนคนที่เหลือไปช่วยเมืองต่างๆ”

“ได้เลย!” หลินจิ้งที่กำลังไฟโหมกระหน่ำด้วยความตื่นเต้น ขณะที่ไอเย็นเยือกวาบบนใบหน้าของเซียวเซียว

“รับทราบ!” จอมยุทธ์คนอื่นๆ ตอบรับทันที

“ลุยเลย!”

เมื่อลั่วหลีตะโกน ร่างเงานับร้อยก็ทะยานออกไป ร่างแสงของลั่วหลีพุ่งข้ามขอบฟ้า ในเวลาเพียงสิบกว่านาทีนางก็เล็งเป้าหมายไปที่จอมปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปนี้แล้ว

นี่คือราชันปีศาจเฉวียนหมัวซึ่งเปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน ด้วยความแข็งแกร่งที่มีจึงไม่มีใครในทวีปนี้เทียบเคียงได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมจอมยุทธ์ที่นี่ถึงพ่ายแพ้อย่างรวดเร็วภายใต้การนำของเขา

แต่โชคของราชันปีศาจก็ถึงคราวจบสิ้นแล้ว เนื่องจากเมื่อลั่วหลีกำหนดเป้าหมายมาที่เขา เขาก็รู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างสมบูรณ์

โดยไม่ลังเลใดๆ ราชันปีศาจเฉวียนหมัวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าคิดจะหลบหนี

ฮึ่ม!

แต่เมื่อเขาเคลื่อนไหว มิติก็บิดเบี้ยวพร้อมกับม้วนภาพโบราณปรากฏขึ้น รัศมีหลิงห่อหุ้มเขาเอาไว้แยกเขาออกจากโลกทันที

ขณะที่รัศมีปีศาจกลั่นตัวเป็นร่าง เขาก็มองไปที่รัศมีที่ปกคลุมร่างกายด้วยท่าทางไม่น่าดู เนื่องจากเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนอันตราย

“สร้างความวุ่นวายซะขนาดนี้ คิดจะหนีไปง่ายๆ รึ?” เสียงเยือกเย็นดังก้อง ลั่วหลีปรากฏตัวขึ้นมองลงไปที่ร่างราชันปีศาจเฉวียนหมัว

“เฮ้ คนสวย คอยดูกันว่าข้าจะจับเจ้ามาลูบมาไล้ยังไง!”

เมื่อมองไปที่ลั่วหลี ราชันปีศาจเฉวียนหมัวก็เผยความปรารถนาในดวงตา สีหน้าดูหื่นกระหาย แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าถูกคุกคามจากม้วนภาพ แต่หญิงสาวที่เบื้องหน้าก็ไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น ตราบใดที่จับนางได้เขาก็จะสามารถรอดพ้นจากการคุมขัง

วาบ!

ราชันปีศาจเฉวียนหมัวพุ่งออกมากลายร่างเป็นปีศาจนับไม่ถ้วนพลางประสานมือเข้าด้วยกัน รัศมีปีศาจหนาแน่นพุ่งออกมากลืนกินลั่วหลี

เผชิญหน้ากับการโจมตีของราชันปีศาจก็ไม่มีแรงกระเพื่อมใดในดวงตาของลั่วหลี นางเพียงสะบัดนิ้วเบาๆ

ฮึ่ม!

แผนภาพวิญญาณโบราณสั่นสะเทือน ลำแสงพุ่งลงมาในอึดใจต่อมา แม้ว่าลำแสงจะไม่ได้เจิดจ้า แต่ก็มีเอกลักษณ์ของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขต…

ซึ่งเป็นสิ่งที่แม้แต่ราชันปีศาจก็ยังรู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับความหวาดหวั่นฉายบนใบหน้า

ตู้ม!

ขณะที่รัศมีกวาดไปทั่วร่างราชันปีศาจ เขาก็ร้องโหยหวน รัศมีปีศาจรุนแรงพุ่งออกมาจากร่างกายเพื่อพยายามต่อต้าน

แต่แผนภาพวิญญาณโบราณเปรียบได้กับร่างมหาปราชญ์วิญญาณ ซึ่งบรรจุด้วยคลื่นหลิงในปริมาณแทบจะไร้ขีดจำกัด ดังนั้นการต่อต้านจึงคงอยู่เพียงสิบกว่านาที ก่อนที่เขาจะกรีดร้องออกมาด้วยความสิ้นหวัง

รัศมีหลิงบีบกดลงมาบนร่างกายราชันปีศาจเฉวียนหลัวก็ค่อยๆ สลายจนไม่เหลืออะไร

ลั่วหลียืนอยู่บนท้องฟ้าเฝ้าดูฉากนี้อย่างไม่แยแส พลังของแผนภาพวิญญาณโบราณเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นก็ยังมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการรับมือ แล้วราชันปีศาจแค่นี้จะต้านทานได้อย่างไร?

พร้อมกับการตายของราชันปีศาจเฉวียนหมัว ใบหน้าของนักรบปีศาจก็ถูกปกคลุมไปด้วยความกลัวสุดขีด กองทัพแตกฉานซ่านเซ็น

เหล่าจอมยุทธ์มหาพันภพก็คว้าโอกาสนี้ไล่ตามไป

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ ลั่วหลีก็รู้สึกโล่งใจก่อนที่จะหันไปมองยังสมรภูมิอื่นที่มีความผันผวนของพลังงานรุนแรง ซึ่งหลินจิ้งและเซียวเซียวกำลังต่อสู้กับนักรบราชันปีศาจอีกสองคนอยู่

การจัดการกับความวุ่นวายทั้งหมดนี้ใช้เวลาครึ่งวันก่อนที่จะจบลงด้วยเผ่าปีศาจถูกสังหาร สำหรับส่วนที่เหลือก็ทิ้งไว้ให้จอมยุทธ์ในทวีปนี้จัดการเอง

ดังนั้นหลังจากที่ทำให้สถานการณ์คงที่ได้แล้ว ลั่วหลีก็โบกมือให้กับหน่วยรบออกจากทวีปนี้ มุ่งหน้าไปยังทวีปอื่นที่ประสบภัย

ช่วงเวลาครึ่งเดือนต่อมา ลั่วหลี หลินจิ้งและเซียวเซียวราวกับนักผจญเพลิง พวกนางพุ่งไปยังสมรภูมิต่างๆเพื่อขับไล่ภัยพิบัติ

ภายใต้ความพยายามของพวกนางภัยพิบัติก็ค่อยๆ ดับลง แต่ทุกครั้งที่หายนะคลี่คลาย หายนะอีกแห่งก็จะเกิดขึ้น

 

ในทวีปเฟิงโยว

ทั้งทวีปถูกปกคลุมไปด้วยซากปรักหักพัง แม้แต่เทือกเขาก็ถล่มลงมาราวกับเป็นฉากวันสิ้นโลก

ลั่วหลียืนอยู่บนภูเขามองไปที่ดินแดนแห่งนี้ด้วยสีหน้าเย็นชา ทวีปนี้ความเสียหายร้ายแรงมาก เมื่อพวกนางมาถึงที่นี่ก็เต็มไปด้วยภูเขาซากศพ

ดังนั้นแม้ว่าจะมาถึงก็ยังต้องใช้ความพยายามมากก่อนที่จะสามารถระงับหายนะได้

“หัวหน้าพวกเผ่าปีศาจถูกจัดการหมดแล้ว” เสียงดังก้องขณะที่หลินจิ้งและเซียวเซียวเข้ามา หลังจากครึ่งเดือนในการสังหารหมู่ หญิงสาวทั้งสองก็เปลี่ยนไปอย่างมีนัย ในดวงตาไม่มีความไร้ประสบการณ์อีกต่อไป มีแต่ความมุ่งมั่นสังหาร

เนื่องจากจำนวนนักรบราชันปีศาจที่ตายด้วยมือของพวกนางมีมากกว่านับด้วยมือสองข้างแล้ว

“พวกเจ้าทำได้ดีมาก” ลั่วหลีหันกลับมาและพยักหน้าให้เซียวเซียวและหลินจิ้ง

แม้กระทั่งนางยังอดทนไม่ไหวกับการต่อสู้ติดต่อกันครึ่งเดือน ส่วนเซียวเซียวและหลิงจิ้งเผยให้เห็นความเหนื่อยล้าขึ้นบนใบหน้า

“พักก่อนไหม?”

พอได้ยินคำพูดของลั่วหลี เซียวเซียวก็ส่ายหน้า “ข้ากลัวว่าเราจะไม่มีเวลาขนาดนั้น…”

“เกิดอะไรขึ้น? มีภัยพิบัติใหม่อีกแล้วเรอะ?”

หลินจิ้งพยักหน้า

“ที่ไหน?” ลั่วหลีขมวดคิ้วกับคำถาม

เซียวเซียวและหลินจิ้งสบตากันตอบว่า “ทวีปเป่ยชางว่ากันว่าภัยพิบัติที่นั่นถึงระดับสูงสุดแล้วและอันตรายมาก”

“ทวีปเป่ยชาง?!”

ลั่วหลีอึ้งไปก่อนที่จะหดดวงตาพร้อมกับมือกำแน่น ใบหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา

“บ้าล่ะ ที่นั่นคือสำนักศึกษาเป่ยชาง!”

จักรวรรดิปีศาจปรากฏในมหาพันภพ

เมื่อสงครามอุบัติขึ้น ไฟแห่งการป้องกันของมหาพันภพก็จุดขึ้น…

เลือดและไฟกวนตัวในความสงบสุขตลอดสี่หมื่นเก้าพันปีจนหมดสิ้น

ราวกับว่าศัตรูพยายามระบายความโกรธที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากการปราบปรามของมหาพันภพ การรุกรานของเผ่าปีศาจดุเดือดเลือดพล่านราวกับฝูงตั๊กแตนกวาดผ่าน ครอบงำไปด้วยรัศมีปีศาจเหมือนต้องการเปลี่ยนโลกเลยทีเดียว…

เมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจที่รุกรานเข้ามา มหาพันภพที่เตรียมตัวมาหลายปีก็ระเบิดด้วยการตอบโต้รุนแรงหลังจากเงียบงันอยู่ชั่วครู่

สงครามแพร่กระจายออกไปในแนวป้องกัน คลื่นปีศาจและคลื่นหลิงปะทะกันสาดแสงราวกับดอกไม้ไฟงดงาม

ทว่าดอกไม้ไฟเหล่านั้นถูกสร้างขึ้นด้วยเลือดและเนื้อ

 

ถัดจากชั้นแนวป้องกัน

มีเมืองที่ยิ่งใหญ่ตั้งตระหง่านพร้อมกับรัศมีที่แผ่ออกมาล้อมรอบแนวป้องกันไว้ภายใน ภายใต้รัศมีแม้แต่การฟื้นตัวของคลื่นหลิงก็รวดเร็วขึ้น

เมืองนี้เป็นป้อมปราการที่ถือได้ว่าเป็นค่ายหลักของกองทัพสมาพันธ์มหาพันธ์ภพโดยมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามรักษาการณ์เพื่อป้องกันการบุกเข้ามาของเทพปีศาจจักรพรรดิ

รอบเมืองเอิบอาบไปด้วยรัศมี นี่เป็นค่ายกลระดับต้าจงซือ ซึ่งรู้จักกันในชื่อค่ายกลหมุนฟ้าเปลี่ยนวิญญาณที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและเหล่าหลิงเจิ้นซือทั่วสารทิศทำงานร่วมกันสร้างขึ้น ภายในขอบเขตของค่ายกลสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพจะได้รับการฟื้นฟูคลื่นหลิงรวดเร็วขึ้น มิหนำซ้ำยังสามารถขยายความแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธสงครามชั้นยอด

เป็นเพราะค่ายกลนี้เองที่ชั้นแนวป้องกันสามารถต้านทานการโจมตีของเผ่าปีศาจได้

ที่จุดสูงสุดในเมืองเป็นวังงดงามที่เหล่าจอมยุทธ์อยู่ภายใน แต่ละร่างแผ่ซ่านไปด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลัง

ผู้นำทั้งสองนั่งบนบัลลังก์ พวกเขาก็คือเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ตอนนี้พวกเขาเป็นผู้นำกองทัพวังมหาพันภพ แม้กระทั่งฉิงเทียนก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

ในวังใหญ่ ฉิงเทียน ชิงซัน จักรพรรดิมังกรแท้จริงและเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ ก็รวมตัวกัน แสดงถึงพลังสูงสุดของมหาพันภพ

ภายในวังทุกคนแสดงสีหน้าหนักหน่วงพร้อมกับร่างกายตึงเครียดและพลุ่งพล่านไปด้วยพลังงานรอบตัว

เมื่อหลินต้งและเซียวเหยียนแลกสายตากันก็กล่าวว่า “ในเมื่อทุกคนทราบแล้วว่าจักรวรรดิปีศาจได้เปิดการโจมตี สงครามมหาพันภพก็จะเริ่มขึ้น…”

คำพูดของพวกเขาทำให้ม่านตาทุกคนหดลง แต่ละคนกำจายไปด้วยกลิ่นอายสังหาร

“ท่านเทพจักรพรรดิอัคคี ท่านเทพจักรพรรดิสงครามโปรดออกคำสั่ง พวกข้ายินดีจะต่อสู้กับจักรวรรดิปีศาจจนตัวตาย!” ฉิงเทียนประสานมือเข้าด้วยกัน

ดวงตาของทุกคนเปี่ยมด้วยความแกร่งกร้าว นี่เป็นสงครามที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพื่อปกป้องสำนัก ครอบครัวและสหาย พวกเขาต้องสู้ตายเท่านั้น

เซียวเหยียนพยักหน้าเสียงดังก้องด้วยจิตสังหาร “ฟังคำสั่ง นำผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าพุ่งไปเป็นแนวหน้า ทุกทวีปในแนวหน้าจะต้องมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเป็นแม่ทัพเพื่อป้องกันจอมปีศาจของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ”

“รับทราบ!”

ฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ตอบสนองทัน

“ไอ้พวกปีศาจยึดครองพิภพเขตล่างเอาไว้จำนวนมาก บางส่วนสามารถเชื่อมต่อกับดินแดนชั้นในของมหาพันภพ ดังนั้นให้จัดตั้งกลุ่มลาดตระเวนเพื่อตรวจตราดินแดนภายในและกวาดล้างเผ่าปีศาจที่บุกเข้ามา!”

“รับทราบ!”

ทุกคนร้องตอบรับอีกครั้ง

หลินต้งมองไปที่ทุกคนประกาศว่า “เซียวเหยียนและข้าจะบัญชาการอยู่ที่นี่ ครั้งนี้พวกเราไม่สามารถเข้าร่วมศึกโดยตรงได้ ดังนั้นขอฝากพวกเจ้าทำให้สถานการณ์มีเสถียรภาพขึ้นให้จงได้”

“ท่านเทพจักรพรรดิสงครามทำไมถึงเป็นเช่นนั้น” บางคนงงงวยเนื่องจากกลศึกสงครามจะต้องลำบากอย่างแน่นอนหากขาดเทพจักรพรรดิทั้งสอง

เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นดวงตาแล่นพล่านด้วยเปลวไฟขณะที่มองผ่านมิติตอบว่า “ไอ้เทพปีศาจเล็งเป้ามาที่พวกข้า ดังนั้นพวกข้าต้องจับตาดูมันไว้เช่นกัน”

แม้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิจะยังไม่ปรากฏตัว แต่เมื่อมาถึงระดับอย่างพวกเขา ต่อให้เป็นการโจมตีจากระยะไกลจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถรับมือได้

ดังนั้นทั้งสองกองทัพจึงคุมเชิงกันและกันไว้

หัวใจของทุกคนสั่นสะท้านขณะรู้สึกไอเย็นเยือกพล่านไปในกระดูกสันหลัง ราวกับพวกเขาถูกจับตามองเอง

“ท่านเทพจักรพรรดิสงคราม ท่านเทพจักรพรรดิอัคคีโปรดมั่นใจ มหาพันภพคือบ้านของเรา เพื่อปกป้องจักรวาลนี้ เราจะต่อสู้จนถึงคนสุดท้าย” จอมยุทธ์คนหนึ่งตอบอย่างเคร่งขรึม

ภายใต้แรงกดดันมหาศาลจากเผ่าปีศาจ มหาพันภพรวมเข้ากันเป็นหนึ่งเดียว ความขัดแย้งทั้งหมดถูกระงับลง

เพราะตอนนี้ศัตรูใหญ่ของมหาพันภพคือจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเท่านั้น

อีกด้านหนึ่งของวังร่างเงาสะคราญโฉมยืนอยู่ด้านข้าง พวกนางมีรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและมีลักษณะนิสัยที่แตกต่างกัน แต่ก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนนัก

ทั้งสี่คนก็คือนายหญิงแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวู

“ฉากนี้คุ้นๆ นะ” ดวงตาของหลิงชิงจู๋วาบขึ้นด้วยไอสังหารขณะที่ถอนหายใจ ครั้งหนึ่งพวกนางก็เคยประสบกับสถานการณ์คล้ายคลึงกันในโลกของตัวเอง

อิ้งฮวนฮวนยืนอยู่ข้างหลิงชิงจู๋ เรือนผมทิ้งตัวลงรัศมีเย็นยะเยือกรวมตัวกันในม่านตา รูปลักษณ์ของนางยังเหมือนกับตอนที่พวกนางต่อสู้กับฮ่องเต้ยี่หมัวในอดีต

แต่ศัตรูครั้งนี้น่ากลัวกว่าเผ่ายี่หมัวหลายพันเท่า

“ในเมื่อเราขับไล่เผ่ายี่หมัวในอดีตได้ ครั้งนี้เราก็จะไล่จักรวรรดิปีศาจออกไปจากมหาพันภพได้เช่นกัน”

หลิงชิงจู๋พยักหน้ายิ้มให้อิ้งฮวนฮวน “แต่คราวนี้เจ้าห้ามเสียสละตัวเองนะ ไม่งั้นหลินต้งคงไม่รู้จะไปหาเจ้าจากที่ไหนอีก?”

ใบหน้าของอิ้งฮวนฮวนแดงระเรื่อ นายหญิงสองคนแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วก็อมยิ้ม ทำให้นางถึงกับกลอกตากับคำพูดของหลิงชิงจู๋

“ท่านแม่ เราก็ควรทำอะไรบ้างไหม?”

เสียงดังสะท้อนมาจากเบื้องหลัง ร่างเพรียวบางปรากฏตัวที่ด้านหลังไฉ่หลิง

นี่ก็คือเซียวเซียว!

“ใช่ เราต้องทำอะไรสักอย่าง! จะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ตลอดไม่ได้!” ถัดจากเซียวเซียว เสียงกระจ่างใสก็ดังขึ้น หลินจิ้งเห็นด้วยและจ้องมองไปที่มารดาทั้งสองของตัวเอง

พอเห็นว่าลูกสาวมีความกระตือรือร้นกับสงคราม นายหญิงทั้งสี่ก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างจนใจ เซียวซุนเอ๋อยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไป ข้าบอกพ่อเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยให้พวกเจ้าจัดตั้งหน่วยร่วมกับลั่วหลีออกลาดตระเวนเพื่อกวาดล้างเผ่าปีศาจที่บุกเข้ามาในดินแดน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นดวงตาของหลินจิ้งก็กะพริบด้วยความผิดหวัง “งือ? รักษาความมั่นคงที่เบื้องหลังเหรอ? ข้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้วดังนั้นมีสิทธิ์ไปแนวหน้าได้!”

หลิงชิงจู๋ปรายตาตอบว่า “การทำให้เบื้องหลังมั่นคงก็เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนส่วนใหญ่ไปอยู่ในแนวหน้า ดังนั้นเราต้องช่วยปกป้องความปลอดภัยของสำนัก ครอบครัวและสหายของพวกเขา”

พอได้ยินคำพูดของมารดา หลินจิ้งก็ทำได้จือปาก ไม่เถียงต่อ

ส่วนเซียวเซียวก็พยักหน้ารับ

เมื่อนายหญิงทั้งสี่เห็นว่าทำให้นางมารน้อยทั้งสองสงบลงได้ก็สบตากันและรู้สึกโล่งใจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ยังสิ้นชีพได้ในแนวหน้า บุตรสาวทั้งสองยังไม่มีประสบการณ์มากพอ ถ้าไปแนวหน้าพวกนางจะตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแน่ ดังนั้นการส่งไประวังหลังเป็นหน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว

แม้ว่าพวกนางจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นตายของมหาพันภพเช่นกัน มิหนำซ้ำยังยอมไปเผชิญหน้ากับแนวหน้าด้วยตัวเอง แต่ในฐานะมารดาก็อยากให้ลูกๆ ปลอดภัยก่อน

“ใช่ท่านแม่ มู่เฉินล่ะ? ข้าไม่ได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเลย ช่างต่างจากนิสัยของเขามาก” หลินจิ้งกวาดสายตามองไปรอบๆ ด้วยชื่อเสียงของมู่เฉินก็ควรจะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องพูดถึงว่าความสามารถในการก่อปัญหาที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นไม่น่าเชื่อที่เขาจะหายตัวไป

เมื่อได้ยินคำถามของหลินจิ้ง เซียวเซียวก็จ้องมองมา นางก็กังวลเกี่ยวกับข่าวของสหายคนนี้เช่นกัน ทว่ามีเพียงไม่กี่คนที่รู้ข้อมูลของมู่เฉิน ข่าวลือในบางครั้งไม่อาจเชื่อได้เลย

นายหญิงทั้งสี่ฉายสีหน้าหนักใจ พวกนางรู้เรื่องมู่เฉินดี ดังนั้นจึงรู้ว่าตำแหน่งเขาสำคัญเพียงใดในสงครามครั้งนี้

“ไม่ต้องห่วงเขา ครั้งต่อไปที่เขาปรากฏตัวทั่วทั้งมหาพันภพจะมีแต่ขวัญและกำลังใจ… พวกเราล้วนภาวนาให้เขาจะประสบความสำเร็จ”

 

หลังจากแจ้งคำสั่งทั้งหมดออกไป

เซียวเหยียนและหลินต้งก็ลุกขึ้นยืนกวาดสายตาไปยังทุกคน

“จักรวรรดิปีศาจต้องการยึดครองบ้านของเรา…”

“และเราจะบอกพวกมันว่าสิ่งที่จะต้อนรับก็คือดาบ กระบี่ เลือดและไฟ!”

 

*****เข้าสู่โค้งสุดท้าย ศึกใหญ่ระเบิดแล้ว

เกือบสี่ปี

หลังจากการเดินทางของกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพ เวลานี้เหล่าจอมยุทธ์ผู้กล้ากลับคืนสู่ถิ่นฐาน พวกเขาไม่ได้ปกปิดสิ่งที่เกิดขึ้นแต่กระจายข่าวตามความเป็นจริงไปทุกหัวระแหง

แม้ว่าพวกเขาจะสามารถทำให้เผ่าปีศาจอ่อนแอลงได้หลายส่วน แต่พวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันการฟื้นตัวของเทพปีศาจจักรพรรดิได้ อีกไม่นานจักรวรรดิปีศาจจะเปิดสงครามเมื่อเทพปีศาจก้าวเข้าสู่จุดสูงสุด

ข่าวนี้ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนอย่างไม่ต้องสงสัยในมหาพันภพ ทุกคนตกอยู่ในอาการหวาดกลัว เนื่องจากความกลัวที่มาจากเทพปีศาจจักรพรรดิเหนือล้ำเกินไป

เพื่อปลอมประโลมทุกคน เซียวเหยียนและหลินต้งประจำการร่วมกับกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพที่ชายแดนระหว่างสองมิติเพื่อสร้างแนวป้องกันการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจ

ภายใต้การพิทักษ์นี้ครึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

แม้จะมีความไม่สบายใจ แต่จอมยุทธ์ทุกคนก็ไม่สูญเสียการควบคุมภายใต้การนำเทพจักรพรรดิทั้งสอง กลับกันยังเกิดความโกรธเกรี้ยวที่ก่อตัวจากความไม่สบายใจใส่เผ่าปีศาจ

ในเมื่อพวกมันต้องการทำลายล้างมหาพันภพ อย่างน้อยพวกเขาก็จะลากพวกเผ่าปีศาจตายตามไปให้ได้!

ภายใต้ความคลั่งแค้นนี้จำนวนจอมยุทธ์ที่เกิดพัฒนาการก็เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็ม พวกเขาปล่อยวางปัญหาในจิตใจ เริ่มสร้างความก้าวหน้าเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุน

แม้ว่าจะมีผู้ล้มเหลวแต่ก็มีผู้ที่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นขุมกำลังทั้งหมดของมหาพันภพจึงทะยานขึ้นเรื่อยๆ

ภายใต้บรรยากาศนี้มหาพันภพไม่ได้ตกอยู่ในความไม่สบายใจอีกต่อไป มีแม้กระทั่งบางคนทนรอไม่ไหว หวังให้จักรวรรดิปีศาจปรากฏตัวด้วยซ้ำ เพราะแทนที่จะรอความตาย สู้ตายอย่างสมศักดิ์ศรีซะจะดีกว่า

ครึ่งปีผ่านไปภายใต้การรอคอยนี้

 

ชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือของมหาพันภพ

ร่างเงาห้าร่างปรากฏขึ้นบนเทือกเขาสายตากวาดมองไปรอบๆ

นี่คือกองลาดตระเวนเล็กที่มีจอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นสี่คนและขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มหนึ่งคน ซึ่งหน้าที่ของพวกเขาก็คือตรวจตราพื้นที่แห่งนี้

“หัวหน้า เราเฝ้าระวังที่นี่มาประมาณสองเดือนแล้ว” จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นต้นคนหนึ่งยืดเอวขึ้นพลางมองเข้าไปในระยะไกล ไม่มีความผิดปกติแม้แต่น้อยซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย

“เบื่อความสงบเรอะ?” จอมยุทธ์ขุมพลังตี้จื้อจุนขั้นเต็มมองไปตอบว่า “ไม่ต้องกังวล ความสงบสุขนี้จะคงอยู่อีกไม่นาน ต่อไปเจ้าจะโหยหาความสงบนี้เอง”

ทันทีที่จักรวรรดิปีศาจปรากฏขึ้น ก็จะเป็นชนวนพายุเลือดที่ทั้งมหาพันภพจะถูกกวาดล้าง

สมาชิกคนอื่นๆ ก็ตกอยู่ในความเงียบพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด ถ้าในหลายปีก่อนพวกเขาสามารถเป็นผู้นำในทวีปของมหาพันภพได้เลย แต่ในขณะนี้พวกเขาต้องรวมตัวสร้างกลุ่มเพื่อป้องกันแนวหน้าของมหาพันภพไว้เท่านั้น

พวกเขารู้ดีว่านี่เป็นความรับผิดชอบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิฉะนั้นมหาพันภพจะถึงกัลปาวสาน ทั้งสหายและครอบครัวจะถูกฆ่าจนหมดสิ้น

“หัวหน้า เจ้าคิดว่าเราจะสามารถเอาชนะจักรวรรดิปีศาจได้ไหม? ข้าได้ยินมาว่าไอ้เทพปีศาจกำลังจะเข้าสู่จุดสูงสุดในครั้งต่อไปที่มันปรากฏตัว” สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งถามขึ้น

หลังจากเงียบไปชั่วครู่คนเป็นหัวหน้าก็ตอบว่า “ตามข่าวที่ข้าทราบมากระทั่งเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็ต่อกรกับเทพปีศาจจักรพรรดิไม่ได้ หากมันเข้าสู่สถานะสุดยอด”

สมาชิกทั้งสี่ตัวสั่นเทา สีหน้าดูเคร่งขรึมลง เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้รับการยอมรับให้เป็นจอมทัพสมาพันธ์มหาพันภพขณะนี้และก็เป็นทั้งสองคนที่สร้างความมั่นใจในการต่อสู้กับเผ่าปีศาจให้กับพวกเขา

แต่ตอนนี้กระทั่งหัวหน้ายังบอกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่สามารถต่อกรกับเทพปีศาจจักรพรรดิได้?

เมื่อมองไปที่ท่าทางของทุกคน คนเป็นหัวหน้าก็ยิ้ม “อย่าสิ้นหวัง ข้ารู้ว่ามีจอมยุทธ์ในมหาพันภพที่กำลังพยายามทุ่มสุดกำลัง หากเขาทำสำเร็จมหาพันภพก็จะมีสามเทพจอมยุทธ์ที่ก้าวเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ในเวลานั้นเราก็อาจสามารถต่อสู้กับเทพปีศาจได้”

ทั้งสี่คนร้องเสียงหลงขณะถาม “ใครกัน? ท่านฉิงเทียน? หรือว่าท่านชิงซัน? หรือจะเป็นหนึ่งในจักรพรรดิมหาเทพอสูร?”

คนเป็นหัวหน้าส่ายหัวขณะที่ตอบอย่างลึกลับว่า “ข้าได้ยินมาว่าจอมยุทธ์คนนั้นมาจากตำหนักมู่”

“ตำหนักมู่? หรือจะเป็นประมุขมู่? ราชันมู่?!” ทั้งสี่คนร้องอุทานด้วยความไม่เชื่อ ท้ายที่สุดไม่มีข่าวใดๆ จากมู่เฉินตลอดหลายปี ข่าวสุดท้ายที่พวกเขารู้ก็คือการต่อสู้ของมู่เฉินกับหมัวเฮอเทียน

ในเวลานั้นมู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น ต่อให้มีความสามารถในการต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ก็ยังมีระยะห่างจากจอมยุทธ์อย่างฉิงเทียนอยู่

ดังนั้นทั้งสี่จึงรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเลยว่ามู่เฉินจะเป็นคนที่กำลังพยายามเข้าสู่ทำเนียบเหนือภพเป็นคนที่สาม

“เรื่องนี้ได้รับการยอมรับจากท่านเทพจักรพรรดิทั้งสองที่เห็นพ้องต้องกัน ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องคาดเดาอะไรต่อไป ในแง่ของมุมมองเราไม่สามารถเทียบเคียงกับท่านเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ใช่ไหมล่ะ?” หัวหน้ายิ้ม

ทั้งสี่ยิ้มเขินขณะที่โล่งใจไปด้วย ไม่ว่าอย่างไรชื่อเสียงของเทพจักรพรรดิทั้งสองมาถึงจุดสุดยอดแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกเขามหาพันภพก็คงโกลาหลไปนานแล้วก่อนที่จะถูกจักรวรรดิปีศาจโจมตีซะอีก

เมื่อหัวหน้าพูดจบก็ไม่ใส่ใจทั้งสี่คนอีกต่อไป เขายืนขึ้นเตรียมสำรวจไปรอบๆ ต่อ

“หืม?”

ทันใดนั้นท่าทางเขาก็เปลี่ยนไปพลางเงยหน้าขึ้น เกิดสีหน้ารุนแรงเมื่อเห็นอุกกาบาตสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับแสงทำลายล้าง

รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากบีบกดลงมา

“ตู้ม!”

เมื่ออุกกาบาตเหล่านั้นตกลงมา ผลกระทบก็ทำให้เทือกเขาพังทลาย

“ถอย!” หัวหน้าอุทานขณะที่ร้องตะโกน “เผ่าปีศาจปรากฏตัวแล้ว!”

ทั้งกลุ่มตื่นตะลึงก่อนร่างจะเปลี่ยนเป็นลำแสงทะยานออกไปทันที พวกเขาจะต้องแจ้งข่าวนี้ออกไปให้เร็วที่สุด

“คิกๆ จะไปไหนกัน?”

ทว่าเมื่อพวกเขาเริ่มเคลื่อนไหวเสียงน่าขนลุกก็ดังก้องกรงเล็บปีศาจปรากฏขึ้นคว้าเข้าที่ร่างสมาชิกทั้งสี่

ปัง!

ทั้งสี่ไม่สามารถตอบโต้ได้ด้วยซ้ำ ร่างฉีกขาดอยู่ในกรงเล็บ

เมื่อคนเป็นหัวหน้าเห็นฉากนี้ดวงตาก็เบิกกว้างด้วยความโกรธรุนแรง ทว่าเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังจากคนที่โจมตีเข้ามาว่าจะต้องเป็นนักรบราชันปีศาจแน่นอน ดังนั้นเขาไม่กล้าที่จะอยู่ ทิ้งภาพมายาไว้ข้างขณะทะยานหลบหนี

ทว่าไม่ช้าเขาก็ต้องหยุดชะงักลง เนื่องจากมีปีศาจมาปรากฏตัวต่อหน้าพร้อมกับสายตาโหดร้ายจ้องมองมา

“คิดว่าจะหนีได้เหรอ?” ปีศาจหัวเราะเสียงแหลม

ใบหน้าของหัวหน้ากลุ่มซีดขาว นี่คือนักรบราชันปีศาจแน่แท้แล้ว เขารู้ว่าวันนี้ไม่มีทางหนีได้ ดังนั้นจึงหายใจเข้าลึก ท่าทางเริ่มสงบลงพร้อมกับความเด็ดขาดในสายตา

“ขอสวรรค์จงคุ้มครองมหาพันภพ!”

เขาแผดเสียงลั่นขณะร่างพุ่งออกไปหาปีศาจ

“ความพยายามที่ไร้ค่า” นักรบราชันปีศาจหัวเราะเยาะขณะที่ยื่นมือออกมากำเป็นหมัดแน่น

ตู้ม!

แต่ทันใดนั้นลวดลายวิญญาณก็ปรากฏขึ้นบนร่างหัวหน้าคนนั้นพร้อมกับคลื่นหลิงระเบิดรุนแรง

เมื่อรู้สึกถึงสิ่งนี้ใบหน้าของนักรบราชันปีศาจก็เปลี่ยนไป

ตู้ม ตู้ม!

ร่างของหัวหน้ากลุ่มลาดตระเวนระเบิดออก คล้ายกับดวงอาทิตย์ส่องแสง ความผันผวนคลื่นหลิงรุนแรงสร้างความหายนะ

พักใหญ่เมื่อมวลระเบิดลดลงร่างปีศาจก็ถูกเปิดเผย เขาอยู่ในสภาพย่ำแย่ยามนี้พร้อมกับสีหน้าเขียวคล้ำ เขาไม่คิดว่ามนุษย์คนนี้จะเลือกระเบิดตนเองอย่างเด็ดขาด

“หึ เจ้านี่เยี่ยมดีจริงๆ ตอนแรกกะจะจับทรมาน ตายไปแบบนี้ถือเป็นเรื่องดี”

นักรบราชันปีศาจส่งเสียงขึ้นจมูกขณะโบกมือและหายตัวไป

ในเวลาเดียวกันแสงปีศาจนับไม่ถ้วนก็วูบไหว เหล่านักรบปีศาจพุ่งข้ามขอบฟ้า

 

ในเมืองยิ่งใหญ่ที่ชายแดนมหาพันภพ

รัศมีแสงเปล่งประกายออกมาเป็นล้านลี้ไมล์ ทำให้ทุกคนถูกครอบคลุมไปด้วยความรู้สึกปลอดภัย

ในเวลาเดียวกันหลินต้งและเซียวเหยียนก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นพร้อมกับแววตาเย็นเยือก นั่นเป็นเพราะขณะนี้พวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่แปลกประหลาดซึ่งเกิดจากการทำลายตัวเอง

เห็นได้ชัดว่ามีกลุ่มลาดตระเวนพบปัญหา

“ในที่สุดพวกมันก็มาแล้วเรอะ…”

พวกเขาแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็โบกมือ ระฆังยิ่งใหญ่แกว่งไกวดังก้อง เสียงอันเกรียงไกรกระจายไปทั่วทุกมุมโลก

เสียงระฆังเก้าครั้งแสดงถึงระดับอันตรายสูงสุด

ทุกคนในมหาพันภพเมื่อได้ยินเสียงระฆังก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของชายแดน พวกเขารู้ว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเปิดศึกแล้ว….

สามปีผ่านไปนับตั้งแต่มหาพันภพโจมตีมิติปีศาจ

ในช่วงสามปีที่ผ่านมากองทัพสมาพันธ์มหาพันภพทำลายล้างแปดในสามสิบสองเผ่าใหญ่และเผ่ารองลงมาหลายสิบเผ่า พวกเขาถือว่าทำให้กองทัพจักรวรรดิปีศาจอ่อนแอลงได้ถึงหนึ่งในสี่ส่วนเลยทีเดียว

ทว่าเซียวเหยียนกับหลินต้งไม่ได้ยินดีกับชัยชนะเหล่านี้เลย ใบหน้าของพวกเขากลับดูเคร่งขรึมมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่พบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิในช่วงสามปีครึ่งที่ผ่านมานี้เลย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันทรงพลังที่ก่อตัวขึ้นอย่างคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อฟื้นคืนกำลัง…

พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าจักรวรรดิปีศาจจะเปิดฉากการโจมตีรุนแรงอย่างไรเมื่อเทพปีศาจฟื้นคืนสู่ร่างเก้าเนตรและชำระหนี้แค้นคืนมหาศาลให้กับสิ่งที่พวกเขาทำมาตลอดสามปี

ในเวลานั้นพายุเลือดจะกวาดล้างมหาพันภพแน่นอน

ในมิติปีศาจที่ตั้งอยู่ในทวีปรกร้าง การสั่นไหวของคลื่นหลิงปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าทำให้ทวีปมีชีวิตชีวาขึ้น

ร่างเงาเหล่านี้ก็คือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพ

หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสูงตระหง่าน สองตาปิดลงเปิดประสาทสัมผัสการรับรู้โยงใยผ่านมิติเพื่อตรวจจับพิภพเขตล่างที่มีความผันผวนแปลกประหลาด

กระบวนการนี้ใช้เวลาครึ่งวัน แต่ก็ไม่มีผลลัพธ์ใดๆ ดูเหมือนว่าเผ่าปีศาจจะถอนทัพออกไปไกลแล้ว

ความคิดนี้วูบผ่านในใจ ทั้งสองเตรียมจะถอนการค้นหา ทว่าทันใดนั้นหัวใจก็สั่นสะท้านเมื่อพวกเขาดึงรับรู้และเพ็งเข้าไปยังจุดพิกัดหนึ่ง

เมื่อสักครู่พวกเขารู้สึกได้ถึงความผันผวนคุ้นเคย

นั่นเป็นของเทพปีศาจจักรพรรดิ!

“พบแล้ว!”

ขณะนี้แม้แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็อดไม่ได้ที่จะเกิดคลื่นในใจ พวกเขาส่งพลังยิ่งใหญ่ออกมาทันทีเพื่อฉีกพิกัดมิติออกจากกัน

หลุมดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า คลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายที่บรรจุคลื่นจิตของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามพุ่งลงมาจากท้องฟ้า

พอมาถึงระดับของพวกเขา ต่อให้เจ้าตัวไม่อยู่ก็สามารถส่งการโจมตีออกไปได้อย่างรวดเร็วตราบใดที่อยู่ในระยะการรับรู้

คลื่นหลิงทรงพลังสองสายพุ่งเข้าไปในหลุมดำ ซัดเข้าใส่วังที่ลอยอยู่ในความมืดมิด ที่ภายนอกพวกเขาเห็นจอมปีศาจเซิ่งเทียนฉายสีหน้าเคร่งขรึมอยู่

ทว่าหลินต้งและเซียวเหยียนไม่ได้สนใจจอมปีศาจเซิ่งเทียนสักเล็กน้อย แต่เล็งไปที่ส่วนลึกที่พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัวที่กำลังก่อตัวขึ้น

“เทพปีศาจจักรพรรดิ!”

คลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายปลดปล่อยเสียงคำรามดังก้องขณะที่ครางกระหึ่มไม่หยุด

ความมืดที่ครอบงำถูกฉีกออกจากกัน มองเห็นร่างปีศาจร่างหนึ่งนั่งอยู่ นี่คือเทพปีศาจจักรพรรดิที่สัมผัสได้ถึงการโจมตีที่เข้ามา ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น

ดวงตาดำสนิทราวกับว่าสามารถกลืนกินแสงใดๆ ได้

“แกสองคนน่ารำคาญจริงๆ…” เทพปีศาจจักรพรรดิมองคลื่นหลิงขนาดมหึมาสองสายอย่างไม่แยแสพร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันผุดที่ริมฝีปาก

“แต่พวกแกสองคนมาช้าเกินไป!”

เมื่อเทพปีศาจพูดจบ นอกจากดวงตาปกติสองดวงและสามดวงบนหน้าผาก ดวงตาบนฝ่ามือและหน้าอกก็เปิดออกด้วย

แปดตา!

เมื่อดวงตาชั่วร้ายทั้งแปดเปิดออกรัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็แผ่กระจายไปทั่วมิติสร้างกลุ่มควันขึ้นก่อนที่จะรวมตัวเป็นวงล้อมหึมาฉีกผ่านสวรรค์ในเส้นทางที่พุ่งผ่าน

ตู้ม!

เมื่อวงล้อปะทะคลื่นหลิงที่ลงมาจากฟากฟ้า พิภพเขตล่างแห่งนี้ก็สั่นสะเทือนใกล้จะพังทลายลง

“แค่คลื่นหลิงที่ซัดเข้ามายังคิดจะสู้กับแปดตาของข้าเรอะ? ฝันหวานไปแล้ว!”

เทพปีศาจหัวเราะร่าขณะวงล้อเร่งความเร็วขึ้น พิภพเขตล่างนี้ถูกฉีกออกจากกัน ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสายก็ถูกบดขยี้

หลังจากทำลายคลื่นหลิงยิ่งใหญ่สองสาย วงล้อก็ไม่ได้สลายไปแต่เกาะเข้ากับบางสิ่งและหายไป

ในอีกมิติหนึ่ง หลินต้งและเซียวเหยียนลืมตาขึ้นพร้อมกับสีหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง จากนั้นเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นวงล้อปีศาจมหึมาฉีกผ่านท้องฟ้าเคลื่อนลงมาราวกับว่ากำลังพยายามแบ่งดินแดนออกเป็นสองส่วน

การโจมตีกะทันหันดูดความสนใจของเหล่าจอมยุทธ์สมาพันธ์มหาพันภพทันที ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเมื่อรู้สึกถึงพลังน่ากลัวที่บรรจุอยู่ในวงล้อ

ใบหน้าของเซียวเหยียนเย็นชาลงขณะมือประสานเข้าด้วยกัน เสื้อคลุมพลิ้วสะบัดพร้อมกับเพลิงจักรพรรดิลุกโชนพุ่งออกมาก่อร่างเป็นมังกรปะทะกับวงล้อปีศาจ

ตู้ม!

เมื่อพลังทั้งสองปะทะกัน มังกรเพลิงก็ขาดออกจากกันแต่วงล้อปีศาจจางลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลินต้งชกกำปั้นออกไปจากระยะไกล ทำให้มิติแตกร้าวในเส้นทางที่ผ่าน สุดท้ายวงล้อปีศาจก็แตกเป็นเสี่ยงๆ

“ไม่เลว ไม่เลว เจ้าสองคนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่เราจะปะทะกัน รออีกหน่อยนะ รอให้ดวงตาที่เก้าของข้าฟื้นฟูซะก่อน แล้วข้าจะไปหาพวกเจ้าถึงบ้านเลย”

“ฮ่าๆ พวกแกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจของข้าอย่างป่าเถื่อน ดังนั้นเมื่อถึงเวลาข้าจะจ่ายคืนให้เป็นร้อยเท่า!”

วงล้อปีศาจพังลง แต่เสียงหัวเราะเทพปีศาจกลับดังก้องไปทั่วขอบฟ้า

จอมยุทธ์จากมหาพันภพต่างมีสีหน้าไม่น่าดู ความกลัวและความโกรธพล่านในดวงตาพวกเขา

หลินต้งและเซียวเหยียนแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาสามารถมองเห็นความเคร่งขรึมในดวงตาของกันและกัน ในการเผชิญหน้าช่วงสั้นๆ พวกเขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของเทพปีศาจจักรพรรดิที่เพิ่มขึ้น

ถ้าในอดีตเมื่อพวกเขาร่วมมือกันแล้วได้เปรียบ มิหนำซ้ำยังสามารถหาจุดอ่อนของเทพปีศาจและปราบปรามได้ ในตอนนี้พวกเขาไม่มีข้อได้เปรียบอีกต่อไปแล้วถึงจะร่วมมือกันก็ตาม

ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา พวกเขาก็ไม่ได้ผ่อนคลาย พลังมีการเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่เห็นได้ชัดว่าเทพปีศาจเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งรวดเร็วกว่า

วาบ!

ฉิงเทียน ชิงซันและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งหมดมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของเทพจักรพรรดิทั้งสองพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียดรุนแรง “ท่านเทพจักรพรรดิอัคคี ท่านเทพจักรพรรดิสงคราม พวกเจ้าพบร่องรอยของเทพปีศาจหรือไม่?”

หลินต้งและเซียวเหยียนพยักหน้าตอบว่า “เจอแล้ว แต่ข้าเกรงว่าตอนนี้เทพปีศาจเปลี่ยนตำแหน่งไปแล้ว ปีศาจตัวนี้ระวังตัวแจ ดูเหมือนว่าก่อนที่เขาจะอยู่ในสภาพพร้อมรบสูงสุด เขาไม่มีความตั้งใจที่จะต่อสู้กับพวกข้าสองคน”

“จากคำบอกของไอ้เทพปีศาจ ตอนนี้มันเปิดดวงตาดวงที่แปดได้แล้ว” สีหน้าของฉิงเทียนน่าเกลียดลง

หลินต้งและเซียวเหยียนถอนหายใจกับคำพูดเหล่านั้น

“แล้วตอนนี้เราควรทำอย่างไร? เราควรจะติดตามต่อไปหรือไม่?” จักรพรรดิมังกรแท้จริงถามขึ้น

หลินต้งและเซียวเหยียนส่ายหัวตอบว่า “เตรียมเถอะ กองทัพของเราเหนื่อยล้าตลอดสามปีมานี้ เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ไอ้เทพปีศาจจะฟื้นตัวขึ้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจะฟื้นฟูพลังเต็มที่เตรียมพร้อมสำหรับศึกใหญ่ดีกว่า”

นอกจากนี้พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นภัยคุกคามต่อเทพปีศาจได้อีกต่อไป แม้ว่าจะหาเจอก็ตาม ใครจะรู้พวกเขาอาจถูกลากเข้าสู่สงครามยาวนานและกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพอาจได้รับการตอบโต้กลับจากเผ่าปีศาจต่างๆ

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบหลังจากได้ยินคำพูดของเทพจักรพรรดิทั้งสอง ในช่วงสามปีที่ผ่านมานอกเหนือจากการกำจัดเผ่าปีศาจบางส่วน พวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุเป้าหมายสุดท้ายได้

อีกก้าวเดียวเทพปีศาจก็จะเปิดดวงตาที่เก้าได้แล้ว

แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้นอกจากรอให้วันนั้นมาถึง

“ทุกคนไม่ต้องเป็นห่วง ผู้อาวุโสปู้สื่อเพิ่งส่งข่าวมาว่ามู่เฉินบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์ได้แล้ว ตอนนี้เขากำลังฝึกฝนร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณ หากเขาทำสำเร็จก็จะมีโอกาสสูงที่จะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบ ถึงเวลานั้นเราอาจจะสามารถต่อสู้กับเทพปีศาจเก้าเนตรได้” เมื่อเห็นทุกคนไม่สบายใจเซียวเหยียนก็เอ่ยปลอบใจ

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ท่าทางของทุกคนก็คลายลง สายตาเต็มไปด้วยความหวัง

“ออกคำสั่งให้ทุกคนถอยทัพ”

ทุกคนประสานมือรับคำสั่งก่อนที่จะทะยานออกไป ร่างแสงนับไม่ถ้วนบินออกไปอย่างรวดเร็ว กองทัพสมาพันธ์มหาพันเริ่มถอยออกจากมิติปีศาจ

หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาพลางถอนหายใจขณะมองไปที่ร่างเงาผู้คน จากนั้นสีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เนื่องจากพวกเขารู้ว่าความทุกข์ยากกำลังจะมาถึงในไม่ช้า

หากพวกเขาประมาทในเวลานั้น มหาพันภพก็จะถูกทำลาย…

“เวลานี้ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับมู่เฉินแล้ว…”

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นหลิงรุนแรงก่อตัวขึ้นเป็นมังกรสายฟ้า เสียงคำรามสะท้อนก้องระหว่างฟ้าดินทำให้ดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

ที่ใจกลางพายุทอร์นาโดหลิงเสื้อผ้าของมู่เฉินปลิวว่อนจากแรงลม ขณะที่แสงหลิงแผ่ออกมาจากร่างกายเขาพร้อมกับคลื่นความกดดันทรงพลังก็ซ่านตามออกมา

นั่นคือแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

เมื่อสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านมู่เฉินก็แสดงออกอย่างตื่นเต้นก่อนจะค่อยๆ สงบลง เขารู้ดีว่าการมาถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเป็นเพียงก้าวแรก วิชาสามพิสุทธ์ขั้นสามต่างหากคือเป้าหมายสูงสุดของเขา

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ มือประสานกัน “สามพิสุทธิ์!”

เมื่อร่างแสงสองร่างพุ่งออกจากร่างเขาก็นั่งลงล้อมรอบร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นรูปสามเหลี่ยมพลางยื่นมือออกไปแตะลำตัวร่างตรงกลาง

แรงดูดทรงพลังพลุ่งพล่านออกมา

ครืนๆๆๆ!

เสียงฟ้าร้องดังกึกก้อง คลื่นหลิงไร้ขอบเขตจากร่างจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างรอง ทำให้ร่างกายสั่นสะท้านขณะที่พวกเขาดูดซับพลังงานเต็มกำลัง

การดูดซับโดยทั้งสามในเวลาเดียวกัน ประสิทธิภาพเร็วกว่าเมื่อก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย

มู่เฉินไม่มีสีหน้าใด แต่เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเมื่อเกิดกระบวนการเสริมสร้างพลังอย่างรวดเร็วภายในร่างรองทั้งสอง ความยากในการควบคุมจะเริ่มยากขึ้น

ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้หยุด ตรงกันข้ามเขากลับเร่งอัตราการดูดซึมแทน

เขามองไปที่ร่างรอง จากนั้นก็หลับตารอให้ทั้งสองถึงขีดสุด

ซึ่งการรอกินเวลาไปทั้งหมดหกเดือน

ครึ่งปีต่อมามู่เฉินก็ลืมตาขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสอง ในขณะนี้ร่างรองครอบคลุมไปด้วยรัศมีหลิงที่น่าสะพรึงกลัว ดวงตาของพวกเขาแผ่ซ่านไปด้วยแรงกกดดัน

ภายใต้เจตจำนงของเขา คลื่นหลิงที่เอิบอาบออกมาจากร่างรองก็แข็งแกร่งกว่าร่างหลักไปเล็กน้อย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้มู่เฉินสามารถสัมผัสได้ว่าการควบคุมที่เขามีต่อร่างรองอ่อนแอลงมากเลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินยังคงสีหน้าสงบราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น

“อีกนิด”

มู่เฉินพึมพำมือประสานเข้าหากันทันที ร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏออกมา เข้าสวมร่างของเขา

“ทักษะเหยินฝ่าเหอยี!”

ตอนนี้มู่เฉินอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อเขาใช้ทักษะเหยินฝ่าเหอยีก็จะราบรื่นกว่าเมื่อหลายปีก่อนมาก

เมื่อรัศมีพร่างพราวเปล่งออกมาจากร่างกายเขา ร่างรองทั้งสองก็เปล่งแสงจ้า ขณะที่พลังงานของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง

ตู้ม ตู้ม!

ร่างกายของพวกเขาผันผวนพร้อมกับแสงวูบวาบในดวงตา ราวกับว่ามีบางอย่างที่แปลกประหลาดเกิดขึ้น

สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อน ดวงตาของมู่เฉินก็เปล่งประกาย ขณะนี้การเชื่อมโยงที่เขามีกับร่างรองทั้งสองคลุมเครือมากยิ่งขึ้น

เมื่อปู้สื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าก็อดเปลี่ยนไปไม่ได้ “เจ้าหนูกำลังทำอะไร? ถ้าร่างรองมีพลังมากเกินไป เขาไม่กลัวพวกมันหลุดจากการควบคุมหรือ?”

นัยน์ตาของมู่เฉินราวกับบ่อน้ำลึก ขณะมองไปที่ร่างรองทั้งสอง เขาสามารถเข้าใจได้อย่างเลือนรางว่าแม้ความเชื่อมโยงระหว่างกันจะคลุมเครือ แต่ก็ยังลึกซึ้งมาก เพราะถึงอย่างไรร่างรองทั้งสองของเขาไม่ได้สร้างขึ้นด้วยวัตถุ แต่ถูกแยกออกจากร่างกาย

“สองขั้นของวิชาสามพิสุทธิ์สร้างร่างรองขึ้นมา แต่ก็มีการแบ่งลำดับขั้น ดังนั้นหากร่างหลักตายร่างรองก็จะสลายไป นี่ไม่ใช่ขอบเขตสูงสุดของวิชาสามพิสุทธิ์”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบด้วยความเข้าใจในขณะที่พึมพำต่อ “เพื่อไปให้ถึงขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน ข้าจะต้องกำจัดการเชื่อมต่อนี้ เข้าสู่ขั้นที่ไม่มีการแบ่งแยก ข้าคือร่างรอง ร่างรองคือข้า”

เมื่อมองไปที่ร่างรอง รอยยิ้มก็เพิ่มขึ้นบนริมฝีปากขณะยกมือที่มีรัศมีลึกลับขึ้นเบาๆ

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเราเป็นหนึ่งเดียวกัน หากใครต้องการฆ่าข้า พวกมันจะต้องทำลายถึงสามศพ”

คำพูดนี้หมายความว่าหากใครต้องการฆ่ามู่เฉิน การฆ่าร่างหลักเพียงอย่างเดียวจะไม่ทำให้เขาตาย เว้นแต่ทั้งสามจะถูกกำจัดในเวลาเดียวกัน

พูดจบ มือของมู่เฉินก็ค่อยๆ เฉือนลงไป ร่างมู่เฉินชุดดำสั่นสะท้านก่อนที่รอยยิ้มคุ้นเคยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก ซึ่งเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกับร่างหลักเลยทีเดียว

เขาประสานมือยิ้มให้กับมู่เฉิน

มู่เฉินยิ้มตอบ จากนั้นก็เฉือนมืออีกครั้งด้วยเส้นวิถีที่แปลกประหลาด

แสงพวยพุ่งออกมาจากดวงตามู่เฉินชุดขาว รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าเขา “นี่…คือขั้นสามพิสทุธิ์”

มู่เฉินยิ้มบาง ขณะนี้รู้สึกว่าตนเองสูญเสียการควบคุมร่างรองหมดแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาไม่สามารถควบคุมร่างรองได้ ทั้งสามเป็นคนคนเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องควบคุมอีกต่อไป

ขณะที่มู่เฉินยกมือขึ้นอีกครั้ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับความรู้สึกที่ไม่สามารถเข้าใจได้เพิ่มขึ้นในหัวใจทำให้เขาเข้าสู่สภาวะรู้แจ้ง

นี่กินเวลานานถึงครึ่งวัน โดยมีมู่เฉินชุดขาวและชุดดำยืนอยู่เคียงข้าง

ต่อมามู่เฉินก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างรองทั้งสองซึ่งพวกเขาก็พยักหน้าตอบ

มู่เฉินยกมือขึ้นเฉือนลงมาอีกสองครั้ง

ขณะที่เขาสะบัดลง ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ลำแสงสีทองสองสายยิงออกมาจากศีรษะพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่อย่างรวดเร็ว

สายตามองไปที่ลำแสงสีทองทั้งสองสายเป็นเวลานานก่อนที่จะดึงกลับมา

ฟิ้ว!

ปู้สื่อทะยานเข้ามามองไปที่มู่เฉินทั้งสาม แม้แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตกใจ

เนื่องจากเขาไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างร่างหลักและร่างรองได้แล้ว

“ขอแสดงความยินดีที่ประสบความสำเร็จในขั้นสามพิสุทธิ์” ปู้สื่อกล่าวด้วยความชื่นชม ในน้ำเสียงมีความเคารพแฝงอยู่

แม้ว่าตอนนี้มู่เฉินจะมีขุมพลังขั้นเซิ่งระยะต้นเท่านั้น แต่ก็ให้ความรู้สึกกดดันกับเขา นี่ทำให้เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะต่อสู้กับมู่เฉินภายใต้สภาวะนี้

ในบางแง่มุมพลังการต่อสู้ของมู่เฉินมาถึงระดับเดียวกับเซียวเหยียนและหลินต้งแล้ว

ทันใดนั้นปู้สื่อก็โบกมือ ลำแสงสองสายตกลงที่เบื้องหน้าทั้งสามคน

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองดอกบัวหินสองดอกที่มีร่างสองร่างอยู่ในนั้นซึ่งกำจายไปด้วยกลิ่นอายโบราณ

ร่างหนึ่งกำลังเปล่งรัศมีเทพที่ให้ความรู้สึกราวกับว่าจะไม่ถูกทำลายแม้ว่าโลกจะล่มสลาย

อีกร่างหนึ่งกำจายความผันผวนของคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งทำให้มู่เฉินตกตะลึง

“นี่คือร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนาน—ร่างมหารัศมีอนันด์ที่มีการป้องกันไม่มีใครเทียบและร่างมหาปราชญ์วิญญาณที่มีพลังงานไร้ขอบเขตเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่ร่างมหาเทพทั้งสองที่แผ่ซ่านความผันผวนโบราณ เขาอดไม่ได้ที่จะมีระลอกคลื่นในสายตาขณะที่ดวงตาลุกโชน

ปู้สื่อถอนหายใจมองไปที่ร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสอง มหาพันภพเหลือร่างมหาเทพในตำนานเพียงห้าร่างเท่านั้นและสามในห้าก็มารวมอยู่ที่นี่ หากข่าวนี้กระจายออกไปใครจะรู้ว่าจะทำให้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่เพียงใดในมหาพันภพ

หากไม่ใช่เพราะมหาพันภพเผชิญกับภัยคุกคามทำลายล้างใหญ่หลวง ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามเข้าด้วยกัน

เมื่อไตร่ตรองว่าถ้ามู่เฉินประสบความสำเร็จในการชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสามได้ กระทั่งปู้สื่อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ร่างมหารัศมีอนันด์มีความโดดเด่นในการป้องกัน ส่วนร่างมหาปราชญ์วิญญาณมีพลังงานหลิงไม่มีสิ้นสุด เมื่อจับคู่กับความเป็นอมตะของร่างมหาเทพนิรันดร์ก็มีความเป็นไปได้มากที่มู่เฉินจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบเหนือภพ

“ราชันมู่ ร่างมหารัศมีอนันด์และร่างมหาปราชญ์วิญญาณขอส่งมอบให้เจ้า ตอนนี้ทุกคนฝากความหวังไว้ที่เจ้าแล้ว” ปู้สื่อกล่าว

“ข้าจะทำให้ดีที่สุดแน่นอน!”

มู่เฉินฉายสีหน้าเคร่งขรึม เพื่อให้เขากลายเป็นจอมยุทธ์บนทำเนียบคนที่สาม มหาพันภพมอบโอกาสที่หายากให้ ในเมื่อเขาได้รับโอกาสนี้ก็ต้องแบกรับภาระยิ่งใหญ่ไว้

เมื่อเขามองไปที่ร่างรองทั้งสอง พวกเขาก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียดพลางพยักหน้า

ฟิ้ว!

อึดใจต่อมาทั้งสองก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พลิ้วตัวลงบนแท่นดอกบัวก่อนที่จะเดินเข้าหาร่างมหาเทพทั้งสอง จากนั้นก็สัมผัสถึงกัน

ในมิติปีศาจที่ถูกปกคลุมไปด้วยความมืด

ชั้นอากาศเต็มไปด้วยรัศมีน่าขนลุกพร้อมกับการกัดกร่อนบนชั้นดิน

หลินต้งและเซียวเหยียนยืนอยู่บนภูเขาสองมือไพล่หลัง ขณะที่มองสภาพแวดล้อมโดยรอบ คิ้วของพวกเขาขมวดแน่น ที่ปลายขอบฟ้าสามารถมองเห็นร่างแสงนับไม่ถ้วน พวกเขาคือกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพซึ่งกำลังค้นหาร่องรอยของจักรวรรดิปีศาจอยู่

ตั้งแต่ประกาศสงครามนี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว

ช่วงครึ่งปีสงครามไม่เป็นไปตามที่พวกเขาคาดหวัง เพราะเมื่อกองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเข้ามาพื้นที่ทั้งหมดก็ว่างเปล่า

ขณะที่กวาดล้างก็พบปีศาจหลงเหลืออยู่บางส่วน แต่ทันทีที่เกิดการปะทะก็จะถูกล้างบางโดยจอมยุทธ์มหาพันภพ ไม่รอให้สร้างความวุ่นวายใดๆ…

“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง… เราได้ข้อมูลจากเผ่าปีศาจที่หลงเหลืออยู่ว่าพวกมันถอยกลับไปยังพิภพเขตล่างแล้ว…” ฉิงเทียนปรากฏตัวที่ด้านหลังทั้งสอง

“ซ่อนตัวจริงๆ ด้วย”

เซียวเหยียนถอนหายใจ เทพปีศาจจักรพรรดิยังไม่สามารถเคลื่อนไหวได้เนื่องจากต้องฟื้นตัว ทว่าพวกเขาไม่ได้มีข้อกังวลในเรื่องนี้ ดังนั้นเวลานี้ฝ่ายสมาพันธ์มหาพันภพได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เผ่าปีศาจทั้งหลายก็ตัดสินใจที่จะซ่อนตัว

“ในเมื่อพวกมันอยู่ในรู เราก็จะขุดออกทีละตัว!” เสียงเหี้ยมหาญของหลินต้งดังก้องอย่างเย็นชา เผ่าปีศาจทรงพลัง แม้ว่าพวกมันจะซ่อนตัวอยู่ในพิภพเขตล่าง แต่ก็ยังกำจายความผันผวนแปลกประหลาด ดังนั้นด้วยการตรวจจับที่แม่นยำก็สามารถค้นหาได้

ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พวกเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้เผ่าปีศาจอยู่อย่างสงบสุขและให้เทพปีศาจเข้าสู่สมาธิได้

“ตกลง!”

ฉิงเทียนพยักหน้าพร้อมกับไอสังหารกะพริบในนัยน์ตาก่อนจะหันกลับ กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพมาด้วยความกล้าที่พร้อมจะเสี่ยงชีวิต ตอนแรกคิดว่าจะมีการต่อสู้ยิ่งใหญ่ แต่ไม่มีใครคิดว่ากลับไม่พบอะไรเลย

ฉิงเทียนมุ่งหน้าไปแล้ว หลินต้งและเซียวเหยียนก็แลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในสายตาของกันและกัน พวกเขารู้ดีว่าหากเทพปีศาจต้องการซ่อนตัวจริงๆ ก็จะเป็นการยากสำหรับพวกเขาที่จะค้นหาอีกฝ่ายผ่านพิภพเขตล่างนับไม่ถ้วน

ทุกวันที่ผ่านไปเทพปีศาจจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนในท้ายที่สุดก็จะฟื้นตัวเต็มที่

“ไม่รู้ว่าตอนนี้มู่เฉินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

พวกเขาหันไปมองทางมหาพันภพพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด

“หวังว่าเขาจะประสบความสำเร็จ มิฉะนั้นมหาพันภพจะไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยในอีกห้าปีข้างหน้า…”

 

ควับ ควับ!

พายุทอร์นาโดหลิงกวนตัวอยู่ในส่วนลึกของพื้นดิน การขยายตัวทุกครั้งทำให้ดินแดนวั้นมู่ฉีกออกเป็นชิ้นๆ…

ที่ใจกลางของพายุทอร์นาโดร่างเงาสองร่างนั่งหันหน้าเข้าหากันคล้ายกับก้อนหิน

มือของพวกเขาประสานเข้าด้วยกัน คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ไหลออกมาไม่มีที่สิ้นสุดและคำรามอยู่ภายในร่างกายของมู่เฉิน ฉีกทึ้งร่างของเขาออกจากกัน ขณะเดียวกันก็ซ่อมแซมตัวเองอย่างต่อเนื่อง

เลือดไหลออกมาไม่หยุด ทว่าใบหน้าของมู่เฉินก็ไม่มีริ้วอารมณ์ใด นั่นเป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับความเจ็บปวดนี้มาตลอดหกเดือนที่ผ่านมา

เนื่องจากเขาชินจึงรู้สึกด้านชาโดยธรรมชาติ

ปู้สื่อนั่งบนเสาที่ไกลออกไปขณะมองมู่เฉิน “ขั้นเซียนระยะปลายแล้ว…”

เขารู้สึกได้ว่าความผันผวนของพลังงานที่เอิบอาบออกมาจากร่างกายของมู่เฉินมาถึงขอบเขตขั้นเซียนระยะปลายเรียบร้อยแล้ว

“ค่อนข้างช้านะ…”

ปู้สื่อพึมพำ ถ้านับตามเวลาปกติถือว่ารวดเร็วสำหรับผู้ฝึกที่ไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายได้ภายในหกเดือน แต่ตอนนี้มู่เฉินกำลังรับมรดกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ความเร็วนี้ไม่สามารถคำนวณได้ตามปกติ

นอกจากนี้ปู้สื่อยังสามารถรับรู้ได้ว่าเมื่อมาถึงขั้นเซียนระยะปลาย การเสริมสร้างพลังของมู่เฉินก็ชะลอตัวลงเรื่อยๆ

นี่ไม่ใช่เพราะคลื่นหลิงไม่เพียงพอ แต่มู่เฉินจงใจยับยั้งไว้

“คลื่นลูกใหม่กลบคลื่นลูกเก่าอย่างแท้จริง มิน่าล่ะถึงก้าวมาสู่ขั้นนี้ได้ด้วยอายุเพียงเท่านี้ มิหนำซ้ำยังได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์” ปู้สื่อพึมพำเนื่องจากตระหนักได้ว่ามู่เฉินกำลังตั้งใจทำอะไร

มู่เฉินกำลังยับยั้งการเสริมสร้างคลื่นพลัง เนื่องจากรากฐานจะไม่มั่นคงหากแข็งแกร่งขึ้นเร็วเกินไปแม้ว่าคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสูญเสียความตั้งใจและง่ายต่อการดูดซับก็ตาม

แต่พลังก็ทรงศักยภาพเกินไป ถ้าเขาดูดซับอย่างไม่เกรงกลัวก็จะสั่นคลอนรากฐานของตนเอง

ดังนั้นเขาจึงพยายามยับยั้งการดูดซึมและสร้างความชินกับพลังตนเอง แต่การทำแบบนี้เขาจะต้องเจ็บปวดมากกว่าเดิม…

ขนาดเผชิญกับโอกาสที่จะแข็งแกร่งเร็วขึ้น มู่เฉินยังมีจิตใจสงบและฝึกฝนด้วยความยับยั้งชั่งใจ ทำให้ปู้สื่อมองไปด้วยความชื่นชม

ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมทั้งหลินต้งและเซียวเหยียนถึงมีความเห็นที่ดีกับชายหนุ่มคนนี้ยิ่งนัก

แต่แม้ว่าการฝึกฝนของมู่เฉินจะเพิ่มขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ได้ฝึกฝนในสิ่งที่เรียกว่าขั้นสามพิสุทธิ์ของวิชาสามพิสุทธิ์

สิ่งนี้ทำให้ปู้สื่อค่อนข้างกังวล เนื่องจากท้ายที่สุดมู่เฉินจะต้องพึ่งพาวิชานี้เพื่อก้าวไปบนทำเนียบเหนือภพ ถ้าไม่บรรลุสิ่งนี้ แม้ว่าด้วยพรสวรรค์ของมู่เฉิน เขาก็ต้องใช้เวลาเป็นร้อยปีกว่าจะลงนามบนทำเนียบเหนือภพได้

แต่ในขณะนี้เขาไม่มีเวลาแล้ว

ดังนั้นมู่เฉินต้องสำเร็จขั้นสามพิสุทธิ์เท่านั้น เขาถึงจะมีคุณสมบัติในการลงนามบนทำเนียบเหนือภพ

ในทางกลับกันโอกาสนี้ไม่มีอะไรเลย แม้ว่ามู่เฉินจะก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ตาม

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอีกปีครึ่ง

นั่นหมายความว่าเป็นเวลาสองปีแล้วที่เกิดสงครามในดินแดนวั้นมู่

ตู้ม ตู้ม!

พิภพเขตล่างแห่งหนึ่งกำลังถูกทำลาย ทั้งมิติแตกสลาย ริ้วแสงนับไม่ถ้วนทะยานออกมาปะทะกับเหล่าปีศาจ

ขณะเดียวกันหลินต้งและเซียวเหยียนที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ยื่นมือออกมาโอบประคองไปเพื่อทำให้พิภพนี้มีเสถียรภาพขึ้น เพราะพิภพล่างเสี่ยงที่จะล่มสลายไปเมื่อจอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนแห่กันเข้าไป

พิภพเขตล่างแห่งนี้ถูกยึดครองโดยหนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่แห่งจักรวรรดิปีศาจ—เผ่าเตาหมัว ตอนแรกเหล่าปีศาจก็ซ่อนตัวอยู่ที่นี่ แต่ดันถูกเทพจักรพรรดิทั้งสองค้นพบเข้า กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพจึงเปิดการโจมตีไม่ยั้ง

ตู้ม!

ในระยะไกลใบมีดแหลมคมฉีกฟ้าดินออกจากกัน กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังไม่กล้าประมาท

ฮึ่ม!

แสงกระบี่เปล่งประกาย กวาดผ่านขอบฟ้าในระยะหลายแสนจั้งปะทะเข้ากับใบมีดแหลมคมนั้น

ชี่ ชี่!

เสียงแสบหูดังก้องออกมาขณะที่มิติแถบนั้นยุบลงเรื่อยๆ ลำแสงสีฟ้าอมเขียวพุ่งออกมาปรากฏที่เบื้องหน้าปีศาจร่างหนึ่ง ทำให้อีกฝ่ายร่างหยุดชะงักไป

เมื่อลำแสงสีฟ้าอมเขียวรวมตัวกันชิงซันก็เผยตัวออกมาพร้อมกับเก็บกระบี่สีเขียวยาวในมือเข้าฝัก

ชี่!

ที่ข้างหลังร่างปีศาจแข็งแกร่งแตกสลายอย่างช้าๆ นี่ก็คือประมุขเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน ทว่ายามนี้เขามองไปที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม แผดเสียงโหดร้ายขึ้น “เมื่อท่านเทพปีศาจฟื้นพลัง มหาพันภพของพวกแกก็จงเตรียมต้อนรับการทำลายล้าง!”

ปัง!

ร่างปีศาจระเบิดออกพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหากองทัพจอมยุทธ์บ้าคลั่ง

ฟู่ ฟู่!

แต่ในเวลาเดียวกันเปลวไฟก็พุ่งลงมาจากท้องฟ้า แผดเผารัศมีปีศาจเชี่ยวกรากสิ้นซาก

คนที่เคลื่อนไหวก็คือเซียวเหยียน สายตาเขามองไปที่เผ่าเตาหมัวที่พ่ายแพ้โดยไม่มีอารมณ์ใดๆ ในแววตา เขารู้ว่าตั้งแต่วันนี้สามสิบสองเผ่าใหญ่จะหายไปอีกเผ่า

ในช่วงปีครึ่งที่ผ่านมา พวกเขากวาดล้างไปหกเผ่าใหญ่แล้ว

แต่พวกเขายังไม่ค้นพบร่องรอยของเทพปีศาจจักรพรรดิ

หลินต้งและเซียวเหยียนมองไปที่ท้องฟ้าด้วยสายตาเฉียบคม

ไอ้เทพปีศาจจักรพรรดิ แกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน… แม้แต่การทำลายล้างเช่นนี้ก็ไม่สามารถบีบแกออกมาได้รึ?

 

มิตินี้มืดมิดไร้แสงใดแทรกซึมเข้ามา

นี่คือวังปีศาจที่ลอยอยู่ระหว่างสวรรค์และโลก ภายในวังจอมปีศาจเซิ่งเทียนลืมตาโพลงมองไปที่ใจกลางวัง ป้ายปีศาจป้ายหนึ่งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเส้นชีวิตของจอมปีศาจจ่านเทียน

และการที่ป้ายแตกสลาย นั่นก็หมายความว่าจอมปีศาจจ่านเทียนดับสูญไปตลอดกาลแล้ว

“ไอ้เทพจักรพรรดิอัคคี ไอ้เทพจักรพรรดิสงครามโหดจริงๆ”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนพึมพำเสียงเรียบเฉย ในแววตาไม่มีความสงสาร เนื่องจากที่พวกเขาเลือกถอยชั่วคราวก็เพื่อที่จะตอบโต้แบบดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้น

จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปที่ส่วนลึกของโลกใบนี้ รัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่ในทิศทางนั้นราวกับว่ากำลังก่อเกิดบางสิ่งที่น่ากลัว

เขายิ้มเบา ดวงตากะพริบด้วยแสงดุร้าย

“ไอ้สองเทพจักรพรรดิอย่าได้ตีปีกไป ในไม่ช้า… เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนจะถูกฆ่าต่อหน้าพวกแก…”

 

ณ ดินแดนวั้นมู่

ครืน!

แรงกดดันคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ออกไปและกระจายไปทั่วทุกมุม

ปู้สื่อที่นั่งอยู่บนเสาก็ลืมตาขึ้นจ้องไปที่แท่นบูชา ความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังที่ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉินในตอนนี้เข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว!

บนแท่นบูชาดวงตาของมู่เฉินที่ปิดสนิทมาสองปีเปิดออก เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่แข็งแกร่งภายในร่างกาย ริ้วแสงก็พุ่งออกมาจากดวงตา

ยามนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกทำให้หัวใจสงบลง นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะบรรลุขั้นสามพิสุทธิ์!

ไม่กี่วันหลังจากศึกดินแดนวั้นมู่จบลง

ข่าวดังก็กวาดไปทั่วมหาพันภพราวกับพายุ ทำให้ทั่วหล้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

สงครามสมัยโบราณเนิ่นนานเกินไปสำหรับทุกคน ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงไม่รู้เกี่ยวกับความน่าสะพรึงกลัวของจักรวรรดิปีศาจ

แต่เมื่อความไม่รู้ถูกฉีกออก ความสยองขวัญที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ก็ค่อยๆ สัมผัสได้ในมหาพันภพ…

นั่นเป็นพลังที่น่าสะพรึงกลัวที่สามารถล้างบางคนทั้งจักรวาลได้

ศึกที่เกิดขึ้นในดินแดนวั้นมู่ทำให้ทุกคนเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของจักรวรรดิปีศาจ แม้ว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจะเคลื่อนไหว พวกเขาก็ทำได้แค่บังคับให้เทพปีศาจจักรพรรดิต้องล่าถอยไปเท่านั้น

ไม่ต้องพูดถึงว่าห้าปีจากนี้ที่เทพปีศาจจักรพรรดิจะกลับมาอย่างทรงพลังยิ่งขึ้นกว่าเดิม ในเวลานั้นคงถึงคราวที่มหาพันภพจะถูกทำลายล้าง

เมื่อนึกถึงวันนั้นทุกคนก็อกสั่นขวัญแขวนไปหมด

ทุกหัวระแหงถูกปกคลุมไปด้วยความสยองขวัญจากเรื่องนี้

อย่างไรก็ตามความตื่นกลัวนี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นนานก่อนที่จะถูกระงับไป นั่นเป็นเพราะแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูที่เป็นตัวแทนของมวลมนุษยชาติได้รวมกลุ่มกันก่อตั้งสมาพันธ์มหาพันภพขึ้น

สมาพันธ์มหาพันภพประกาศเชิญจอมยุทธ์ทุกคนที่อยู่เหนือระดับตี้จื้อจุนมารวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อเปิดการโจมตีและปกป้องจักรวาลแห่งนี้

จอมยุทธ์ทรงพลังนับไม่ถ้วนเคลื่อนพลไปยังชายแดน ความสยองขวัญที่จะเกิดขึ้นในอีกในห้าปีได้กระตุ้นความกล้าในตัวของทุกคน แทนที่พวกเขาจะนั่งซึมกระทือรอความตาย พวกเขาขอเปิดศึกดีกว่า บางทีอาจช่วยคว้าโอกาสให้กับมหาพันภพไว้ได้บ้าง

หากพวกเขาต้องตายก็ต้องตายอย่างสมเกียรติ

เมื่อมีความมุ่งมั่นในปณิธานนี้ จอมยุทธ์จำนวนมากก็มารวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก็รวมตัวกันจัดตั้งกองทัพใหญ่พร้อมกับความผันผวนของคลื่นหลิงที่พลุ่งพล่านไปไกลนับล้านลี้เลยทีเดียว

ภายใต้กองทัพขนาดใหญ่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ปรากฏตัวขึ้นสร้างความมั่นใจให้ทุกคน ขณะนี้สองเทพจักรพรรดิคือผู้นำแห่งสมาพันธ์มหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย

สายตากร้าวแกร่งมองไปที่มิติปีศาจที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชั่วร้าย เซียวเหยียนและหลินต้งก็โบกมือส่งสัญญาณเสียงดังก้อง

“โจมตี”

 

ขณะที่กองทัพสมาพันธ์มหาพันภพเปิดฉากโจมตีมิติปีศาจ

มู่เฉินที่มีปู้สื่อนำทางก็เข้าไปยังส่วนลึกของดินแดนวั้นมู่

ณ หุบเหวมองเห็นห่วงขนาดใหญ่ที่มีอักขระปกคลุมไว้

แต่วันนี้ทั้งหมดเสียหายราวกับว่าถูกทำลายโดยสัตว์ร้าย

“นี่คือที่ที่เทพปีศาจจักรพรรดิเคยถูกปิดผนึก” เมื่อมองไปที่โซ่ใบหน้าของปู้สื่อก็กระตุกด้วยความไม่เต็มใจ อย่างไรก็ตามเหล่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานของเขาใช้เวลาถึงสี่หมื่นเก้าพันปีในการปกป้องผนึกนี้ แต่สุดท้ายเทพปีศาจก็หลุดออกไปได้ ทั้งที่พวกเขาใกล้จะประสบความสำเร็จอยู่แล้ว

มู่เฉินพูดไม่ออกกับคำพูดดังกล่าว พวกเขาทำได้เพียงโทษการวางแผนซ้อนแผนหลายชั้นของเทพจักรพรรดิปีศาจ ในตอนนั้นเขาคงคิดแผนทุกอย่างและเตรียมการเพื่อหลบหนีไว้หมดแล้ว

ปู้สื่อรู้ดีว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ เขาเผยรอยยิ้มขมขื่นก่อนที่จะก้าวเข้าไปในเหวก่อนที่พุ่งลงมาถึงก้น

มีบันไดที่ทอดยาวลงไปจากฝ่าเท้าของพวกเขา

เมื่อมองไปที่บันไดปู้สื่อก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียดก่อนที่จะก้าวเดินลงมาด้วยความเคารพโดยมีมู่เฉินเดินตามอยู่ด้านหลัง

บันไดนี้มีเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบขั้น

เมื่อพวกเขามาถึงขั้นสุดท้าย แท่นบูชาก็ปรากฏเบื้องหน้าสายตามู่เฉิน สายตาเขาเพ่งไปที่ใจกลาง

มองเห็นแท่นกะพริบด้วยรัศมี ร่างชุดขาวนั่งบนเบาะอยู่เงียบๆ

ชายผู้นี้มีโครงร่างเพรียวบางพร้อมกับผมยาวแผ่กระจายออกไป รูปลักษณ์เต็มไปด้วยเสน่ห์ แต่น่าเสียดายที่ดวงตาทั้งสองปิดสนิท จินตนาการได้ว่าดวงตาคู่นั้นต้องพร่างพราวราวกับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวแน่

แรงกดดันที่น่าทึ่งแทรกซึมเข้ามาคล้ายกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

นี่คือเทพจักรพรรดิคนแรกแห่งมหาพันภพ—เทพจักรพรรดินิรันดร์

ปู้สื่อแสดงความเคารพสูงสุดขณะที่คุกเข่าลงที่เบื้องหน้าร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ จากนั้นก็ก้มลงคารวะราวกับว่ากำลังแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษ

เมื่อมองไปที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ มู่เฉินก็ฉายสีหน้าเคร่งขรึมก่อนที่จะโค้งคำนับด้วยความเคารพ ไม่ว่าจะเป็นพลังที่จอมยุทธ์ผู้นี้มีหรือการเสียสละเพื่อมหาพันภพก็ควรค่าแก่การเคารพยิ่ง

“กายานิรันดร์ที่แท้จริง แม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีก็ยังไม่เกิดความเสียหายใดๆ” มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ จากการรับรู้ของเขาแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายปล่อยพลังโจมตีเต็มกำลังก็ไม่สามารถทำลายร่างเบื้องหน้านี้ได้

ที่สำคัญที่สุดคือเขารู้ว่าร่างกายนี้บรรจุด้วยคลื่นหลิงที่ไร้ขอบเขตซึ่งเต็มไปด้วยความเป็นนิรันดร์ มิฉะนั้นคงไม่อยู่ยืนยงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี

“ราชันมู่เตรียมตัวให้พร้อม” ปู้สื่อลุกขึ้นยืนมองไปที่ร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์

มู่เฉินพยักหน้าไปปรากฏตัวเบื้องหน้าเทพจักรพรรดินิรันดร์พลางนั่งลง จากนั้นก็ยกมือทั้งสองข้างปล่อยคลื่นพลังดึงดูดออกมา ขณะเดียวกันฝ่ามือของเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยกขึ้นตอบสนองช้าๆ

“ท่านผู้อาวุโส ขออภัยด้วย”

มู่เฉินหายใจเข้าสุดปอดขณะที่สีหน้าเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึม นั่นเป็นเพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะรับคลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ เนื่องจากพลังงานของเทพจอมยุทธ์ผู้นี้ทรงพลังมากเกินไป ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนแบบเขา แม้แต่ขั้นเซิ่งก็ยังไม่กล้าดูดซับพลังงานที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้

ความประมาทเล็กน้อยจะคร่าชีวิตได้ทันที

แต่ในเวลานี้มู่เฉินกลัวไม่ได้ เพราะเขาต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้ให้มากที่สุด หากต้องการก้าวไปสู่การเป็นจอมยุทธ์คนที่สามบนทำเนียบ

หากเขาต้องการได้รับบางสิ่งก็ต้องทำงานหนักในปริมาณที่เทียบเท่ากัน ถ้าเขาไม่กล้าที่จะลองก็คงต้องยอมแพ้ตลอดกาล

เมื่อความคิดนี้พล่านในหัวใจ มู่เฉินก็ไม่ลังเลอีกต่อไปมือยื่นออกมาก่อนที่จะสัมผัสกับฝ่ามือของเทพจักรพรรดินิรันดร์

ตู้ม!

ทันทีที่เกิดการเชื่อมโยง ม่านตาของมู่เฉินก็หดแคบลง เขาสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นหลิงที่หลั่งไหลเข้ามาในร่างกายตนเองในขณะนี้

ชี่!

ทันใดนั้นผิวหนังบนแขนของเขาก็ฉีกออกเป็นชิ้นพร้อมกับเลือดสดไหลออกมา เลือดเนื้อสั่นสะท้านรุนแรงขณะที่เขาเริ่มดูดซับคลื่นพลังงาน

คลื่นหลิงเหล่านี้ได้สูญเสียความมุ่งมั่นตั้งใจหลังจากผ่านมาหลายหมื่นปีกลายเป็นบริสุทธิ์ แต่ยังคงแฝงไปด้วยรัศมีนิรันดร์ หากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนธรรมดาต้องการดูดซับพลังงานนี้ ก็มีความเป็นไปได้หนึ่งเดียวที่ต้องหลอมรวมกับพลังงานอย่างสมบูรณ์ แต่จอมยุทธ์เหล่านั้นจะไม่สามารถใช้พลังงานภายในร่างกายได้หรืออาจจะถูกโจมตีโดยคลื่นพลังนี้…

แต่โชคดีที่มู่เฉินฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์ ดังนั้นคลื่นหลิงของเขาจึงคล้ายคลึงกับเทพจักรพรรดินิรันดร์

นี่ทำให้เขาสามารถดูดซับพลังงานที่ไร้ขอบเขตได้โดยตรง

ตู้ม ตู้ม!

เสียงฟ้าร้องดังก้องจากร่างกายของมู่เฉินอย่างต่อเนื่อง ในเวลาไม่กี่สิบวินาทีร่างมู่เฉินก็ถูกย้อมไปด้วยเลือดดูน่าสังเวชนัก ร่างกายของเขาแทบจะขาดออกจากกันด้วยคลื่นหลิงรุนแรง

แต่โชคดีที่เขามีกายาเซิ่ง ซึ่งมีผลสำหรับการฟื้นฟูที่ทรงพลังในการซ่อมแซมร่างกายอย่างรวดเร็ว

แม้จะเจ็บปวด แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นของมู่เฉินสั่นคลอน

เขากัดฟันสงบสติอารมณ์ ไม่ปล่อยให้ตัวเองวนเวียนไปกับแรงกดดันจากคลื่นหลิงขนาดใหญ่

บนแท่นบูชา ปู้สื่อก็ถูกคลื่นกระแทกซัดให้ถอยออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็ออกจากรัศมีของแท่นบูชา

เขามองไปที่แท่นบูชาพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด พายุทอร์นาโดหลิงที่ก่อตัวห่อหุ้มร่างมู่เฉินและร่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ไว้

พลังงานหลิงที่ระเบิดออกมาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างเขาก็ไม่กล้าเผชิญ

ปู้สื่อหรี่ตาลงมองร่างกายที่สั่นเทาของมู่เฉิน เขาจินตนาการได้เลยว่ามู่เฉินกำลังเผชิญกับอะไรอยู่ในขณะนี้

แต่ภายใต้ความเจ็บปวด ปู้สื่อก็สามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่าความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายของมู่เฉินกำลังค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ตราบใดที่มู่เฉินอดทนต่อความเจ็บปวดนี้ได้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

“ราชันมู่ เจ้าต้องประสบความสำเร็จ ห้าปีจากนี้ความเป็นตายของมหาพันภพอยู่ในมือเจ้าแล้ว…”

“ร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”

เมื่อเสียงของมู่เฉินสะท้อนก้อง ท่าทางของจอมยุทธ์ทั้งหมดก็ซับซ้อนขึ้น เงื่อนไขนี้ทำให้ทุกคนตื่นตระหนกนัก

ในมหาพันภพมีร่างมหาเทพปฐมกาลห้าร่างเท่านั้น แต่ละร่างก็เข้าถึงยากเย็นและทรงพลัง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมหมัวเฮอเทียนถึงประกาศสงครามเพื่อร่างมหาเทพนิรันดร์

แต่เวลานี้มู่เฉินต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง นี่ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว

เซียวเหยียนและหลินต้งก็แลกเปลี่ยนสายตากัน จากนั้นก็หันไปมองประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ของสี่เผ่าโบราณ เพราะร่างมหาเทพปฐมกาลที่เหลือถูกเก็บไว้ที่เผ่าโบราณเหล่านี้

เผชิญหน้ากับสายตาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง นอกเหนือจากชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามเผ่าก็มีสายตาวูบไหว ท้ายที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลสำคัญมาก แม้แต่พวกเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจทันที

ดังนั้นความเงียบที่น่าอึดอัดจึงเขย่าไปทั่วโถงวังแห่งนี้

“เผ่าฝูถูยินดีที่จะนำร่างมหารัศมีอนันต์ออกมา”

ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นคนแรกที่พูดขึ้นทำลายความเงียบ แม้ว่านางจะเป็นผู้อาวุโสใหญ่เผ่าฝูถู แต่อันที่จริงก็ต้องได้รับการสนับสนุนจากสภาผู้อาวุโสก่อน หากเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างมหาเทพปฐมกาล ทว่าเวลานี้มหาพันภพตกอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หากไม่สามารถหยุดยั้งเทพปีศาจจักรพรรดิในอีกห้าปีข้างหน้า แม้แต่เผ่าโบราณก็จะถูกล้างบาง แล้วจะสำคัญอะไรกับครอบครองร่างมหารัศมีอนันต์ไว้แต่ใช้ไม่ได้?

ที่สำคัญที่สุดก็คือมู่เฉินเป็นบุตรชายที่รักของนาง ในฐานะมารดานางต้องสนับสนุนเขาทุกอย่างอยู่แล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง ตัวแทนอีกสามเผ่าโบราณก็ยิ้มขมขื่น มู่เฉินเป็นลูกของนาง มิหนำซ้ำยังกำลังจะขึ้นเป็นประมุขเผ่า ดังนั้นการที่ชิ้งเหยี่ยนจิ้งสนับสนุนเขาก็สมควรแล้ว

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาขาดร่างมหาเทพปฐมกาลอีกร่างหนึ่ง

ผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง ประมุขเฮยเธียนและประมุขหวางฉิวดูกังวล แต่ก็ไม่คิดจะพูดอะไร ชัดว่ารอให้คนอื่นออกปากก่อน

ทันใดนั้นลั่วหลีก็มองไปที่ไท่หมิงและยิ้ม “ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง”

เมื่อได้ยินลั่วหลีเรียกเสียงหวาน ไท่หมิงก็สะดุ้งก่อนที่เขาจะมองนางด้วยรอยยิ้มน่าอึดอัดใจ

ทว่าลั่วหลีไม่ได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจกล่าวว่า “ในฐานะธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ข้ามีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ใช่ไหม?”

ไท่หมิงพยักหน้าพลางยิ้มฝืด “ธิดาเทพประหนึ่งประมุข โดยปกติแล้วเจ้ามีอำนาจมากในการตัดสินใจ”

“ร่างมหาปราชญ์วิญญาณเป็นสมบัติของเผ่าไท่หลิง เป็นเรื่องธรรมดาที่ท่านจะมีความลังเล… แต่ข้าอยากจะถามคำถามสักหน่อย ร่างมหาปราชญ์วิญญาณจะมีปะโยชน์อะไรหากไม่มีเผ่าไท่หลิงอีกแล้ว?” เสียงของลั่วหลีดังสะท้อนเบาๆ ทำให้ใบหน้าของไท่หมิงตึงเครียดขึ้น

หากพวกเขาไม่มีจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สามในอีกห้าปีข้างหน้า มหาพันภพจะต้องประสบกับการทำลายล้างเผ่าพันธุ์และเผ่าโบราณก็ต้องรวมอยู่ในนั้นด้วย

หลังจากลังเลชั่วครู่ไท่หมิงก็ยิ้มฝืดออกมา “คำพูดของเจ้านั้นถูกต้อง หากตอนนี้เรายังเห็นแก่ตัวก็คงต้องตายตกตามกันไปในสงครามครั้งนี้”

ไท่หมิงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เซียวเหยียน หลินต้งและมู่เฉิน ก่อนที่จะพูดเสียงต่ำ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หมิงยินดีส่งมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน”

“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิง” มู่เฉินประสานมือคารวะ

เมื่อเฮยเธียนและหวางฉิวเห็นว่าไท่หมิงยอมมอบร่างมหาปราชญ์วิญญาณให้กับมู่เฉิน พวกเขาก็รู้สึกกระอักกระอวนเนื่องจากสิ่งที่มู่เฉินทำนั้นก็เพื่อประโยชน์ของมหาพันภพ

“หากมีความต้องการเพิ่ม เผ่าของพวกข้าก็ยินดีมอบร่างมหาเทพปฐมกาลไปให้เช่นกัน”

แม้ว่าทั้งสองจะตัดสินใจช้าไปบ้าง แต่มู่เฉินก็ยังยิ้มให้เพื่อแสดงความขอบคุณในน้ำใจ

“การรวมร่างมหาเทพปฐมกาลถึงสามร่างไม่เคยมีมาก่อน เจ้าอย่าทำให้ทุกคนผิดหวังละกัน” หมัวเฮอเทียนอดไม่ได้ที่จะพูดแดกดัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจากความอิจฉา

มู่เฉินยิ้ม “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพราะข้ารู้ดีถึงผลของความล้มเหลว”

หมัวเฮอเทียนทำท่าเหมือนจะพึมพำอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไป แม้เขาจะไม่พอใจ แต่ก็รู้ว่าควรจะชั่งน้ำหนักสถานการณ์อย่างไร ยามนี้มู่เฉินคือความหวังสุดท้ายของมหาพันภพ

เมื่อมองภาพใหญ่เขาก็หวังว่ามู่เฉินจะประสบความสำเร็จด้วยเช่นกัน

“ในเมื่อปัญหาเรื่องร่างมหาเทพปฐมกาลได้รับการแก้ไขแล้ว” เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าก่อนจะพูดว่า “จากนั้นก็ต้องคิดต่อว่าจะให้เจ้าบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปีได้ยังไง”

ทุกคนในห้องโถงขมวดคิ้วแน่น มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง โดยทั่วไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ฝึกที่จะก้าวจากขั้นเซียนระยะกลางเป็นขั้นเซิ่งภายในเวลาห้าปี

เพราะนั่นจะต้องใช้โอกาสมหาศาล

ขณะที่ทุกคนจมลงในความเงียบ ปู้สื่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่มู่เฉิน “ห้าปีจากนี้ด้วยพรสวรรค์ของราชันมู่และความช่วยเหลือจากภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…”

คำพูดของเขาดึงดูดสายตาของทุกคนทันที

“ความช่วยเหลือจากภายนอกคืออะไร?”

ปู้สื่อถอนหายใจขณะที่เหยียดนิ้วชี้ไปที่ดินแดนวั้นมู่พลางยิ้ม “ในสมัยโบราณตอนที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่อสู้กับเทพปีศาจจักรพรรดิ เขายุติการต่อสู้ด้วยการสละชีวิตเพื่อปิดผนึก”

“แต่ท่านเทพครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์และมีกายานิรันดร์ร่วมผสาน แม้ว่าเขาจะสิ้นชีพ แต่ร่างกายยังคงถูกเก็บรักษาไว้

“ขณะเดียวกันคลื่นหลิงที่ท่านเทพได้เพาะบ่มก็ถูกเก็บไว้ในกายานิรันดร์ของเขาซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต พวกข้าเรียกบริเวณนั้นว่า…สระมรดกราชัน”

คำพูดของปู้สื่อทำให้เกิดความปั่นป่วนในทันที เหล่าจอมยุทธ์เกิดไฟลุกโชนในหัวใจ คลื่นหลิงของเทพจักรพรรดินิรันดร์! ต่อให้อ่อนแรงลงหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี แต่ก็ยังมีพลังงานมหาศาล หากพลังงานนั้นได้รับการขัดเกลาและดูดซับก็มีโอกาสมากที่จะไปถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้

“แต่ว่าคลื่นหลิงของท่านปู้ซิ่วมีคลื่นนิรันดร์อยู่ ไม่มีใครสามารถดูดซับได้ ไม่เช่นนั้นก็จะถูกกลืนกินเข้าไปแทน…” คำพูดครึ่งหลังของปู้สื่อดับความตื่นเต้นของทุกคนลง

จากนั้นปู้สื่อก็ยิ้มมองไปที่มู่เฉิน “ซึ่งนั่นหมายความว่ามีเพียงผู้ที่ฝึกฝนร่างมหาเทพนิรันดร์เท่านั้นที่สามารถดูดซับสระมรดกราชันได้”

“ฮ่าๆ ตามจริงสระมรดกราชันนี้ก็เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับราชันมู่ และนี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”

ทุกคนในห้องโถงแอบเดาะลิ้นขณะมองมู่เฉินด้วยความอิจฉา เจ้าหนุ่มคนนี้มาพร้อมโชคแห่งมหาพันภพด้วยการผูกขาดทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของตน

“เวลาจะหล่อหลอมวีรบุรุษ…”

ทุกคนถอนหายใจ ถ้าเป็นในช่วงเวลาปกติแค่ร่างมหาเทพปฐมกาลสองร่างก็ยังเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้รับ ไม่ต้องพูดถึงสระมรดกราชัน

ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมีเพียงมู่เฉินที่กล้ายืนหยัดแบกรับภาระนี้

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนก็ไม่กล้าที่จะแบกรับ

มงกุฎแห่งปณิธานมีน้ำหนักหนาแน่น

หลังจากได้รับโอกาสทั้งหมดแล้วเขาต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา

เมื่อเห็นว่าเงื่อนไขทั้งสองเรียบร้อยดี เซียวเหยียนและหลินต้งก็รู้สึกโล่งใจมาก พวกเขามองไปที่มู่เฉิน กล่าวอย่างจริงจัง “เงื่อนไขเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว จากนี้ก็อยู่ที่เจ้าแล้ว”

ดวงตาของมู่เฉินคมกล้าขณะพยักหน้า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด”

เซียวเหยียนและหลินต้งพยักหน้าก่อนที่จะลุกขึ้นยืนปลดปล่อยแรงกดดันทรงพลังขณะที่ใบหน้าเย็นเยือกลง “แต่เราไม่สามารถนั่งรอโดยไม่ทำอะไร”

“นับจากนี้เป็นต้นไปเราจะเปิดเผยแผนการที่เทพปีศาจต้องการจะทำลายล้างเผ่าพันธุ์เราและรวบรวมขุมกำลังทั้งหมดของมหาพันภพเพื่อประกาศสงครามกับจักรวรรดิปีศาจ!”

“ในเมื่อไอ้เทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว เราก็จะสร้างปัญหาให้มัน หลินต้งและข้าจะคอยตรวจจับตำแหน่งของมัน บีบให้มันต้องออกมาต่อสู้เพื่อชะลอการฟื้นตัว!”

จอมยุทธ์ทั้งหมดยืนขึ้นพร้อมกับไอสังหารพลุ่งพล่านบนใบหน้า ในเมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติต้องการทำลายล้างมหาพันภพ พวกเขาก็ต้องต่อสู้ด้วยชีวิตทั้งหมดที่มี

ทันใดนั้นวังมหาพันภพก็อบอวลไปด้วยกลิ่นไอสังหาร

แม้แต่มู่เฉินก็ยังได้รับผลกระทบจากบรรยากาศ เขายืนขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยือก

เซียวเหยียนกับหลินต้งหันมามองมามู่เฉินและยิ้ม “แต่เจ้าไม่ต้องเข้าร่วมในสงครามนี้ เจ้าจงอยู่ที่ดินแดนวั้นมู่รับสระมรดกราชัน ชำระร่างมหาเทพปฐมกาลทั้งสองร่างและไปให้ถึงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เพื่อจะก้าวขึ้นเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบ…”

“เมื่อไรที่เจ้าทำสำเร็จ มหาพันภพก็จะมีโอกาสมากขึ้น”

แม้ว่ามู่เฉินจะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วมสงคราม แต่เขาก็รู้ว่าตนเองคือตัวแปรสำคัญ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับทราบ

เทพจักรพรรดิทั้งสองหันมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ เสียงก็ก้องกังวานขึ้น

“ทุกคนจงกลับไปที่ของตนเอง สองเดือนนับจากนี้เราจะไปรวมตัวกันที่ชายแดนมหาพันภพเพื่อโจมตีจักรวรรดิปีศาจ!”

“รับทราบ!”

เหล่าจอมยุทธ์ขานทราบ เสียงสั่นสะเทือนทั้งวัง อึดใจต่อมาร่างแสงก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่หายไปในเส้นขอบฟ้า

เมื่อมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่กลับไป เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายท่าทางเคร่งขรึม

เนื่องจากพวกเขารู้ว่าข่าวนี้จะทำให้ทั้งจักรวาลสั่นสะเทือน

ความสงบสุขในมหาพันภพจบลงแล้ว

วังมหาพันภพ

ภายในวังทุกคนที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นจอมยุทธ์ที่มีชื่อเสียงในมหาพันภพ ขณะนี้ทั้งหมดเงียบเสียงลงแผ่แรงกดดันกระจายไปทั่วชั้นบรรยากาศ

ทุกสายตาจดจ่อไปที่ชายสองคนที่ยืนอยู่กลางวัง

“ทุกคนเรากำลังเผชิญหน้ากับสงครามทำลายล้างมหาพันภพ” เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นกวาดตามอง

เหล่าจอมยุทธ์ตกอยู่ในความเงียบ แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

“ท่านเซียวเหยียน ท่านหลินต้ง…พวกเจ้าไม่สามารถสู้กับเทพปีศาจคนนั้นได้จริงหรือ?” ฉิงเทียนขมวดคิ้วพร้อมกับรอยยิ้มขมขื่น

เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็ถอนหายใจ “ถ้าเทพปีศาจมีดวงตาห้าดวง พวกข้าก็ไม่กลัว แต่ถ้ามันมีดวงตาเก้าดวง เราคงสู้มันไม่ได้”

สายตาของหลินต้งแหลมคมขึ้นขณะพูดต่อ “เว้นแต่… พวกข้าคนใดคนหนึ่งจะสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ด้วยวิธีนี้ก็จะสามารถใช้พลังเอกภพเพื่อฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้”

ชิงซันมองไปที่ทั้งสองคนด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง “ถ้าเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดในมหาพันภพมา ไม่รู้ว่าเจ้าสองคนจะจารึกชื่อลงไปได้หรือไม่”

เซียวเหยียนและหลินต้งพากันส่ายหัว “ชื่อเต็มไม่นับเป็นตัวอักษร ทั้งหมดแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคือแซ่และส่วนที่สองเป็นชื่อ… หากเราต้องการจารึกชื่อเต็มก็ต้องใช้พลังมหาศาลที่สั่งสมด้วยตัวเองเท่านั้น แม้พวกเราจะมั่นใจ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการทำเช่นนั้น”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบอีกครั้ง โดยทั่วไปแล้วเวลาหลายสิบปีไม่ใช่ปัญหาเลย แต่ตอนนี้เทพปีศาจเหลือเวลาให้พวกเขาห้าปีเท่านั้น ก่อนที่จะกลับมาและนั่นก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพ…

เวลาคือสิ่งที่พวกเขาขาดไปในตอนนี้

“ไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงหรือ?” เสียงแหบพร่าของปู้สื่อดังก้อง ใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีเทาพร้อมกับรัศมีที่ดิ่งลง

เซียวเหยียนและหลินต้งจนคำพูด บรรยากาศในห้องโถงถูกระงับเพิ่มขึ้น

มู่เฉินมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่นิ่งงันลงก็พูดว่า “ถ้าเราไม่สามารถช่วยผู้อาวุโสทั้งสองจารึกชื่อเต็มในทำเนียบเหนือภพได้ งั้นเรารวบรวมทรัพยากรทั้งหมดและสร้างจอมยุทธ์ในทำเนียบขึ้นมาใหม่ได้ไหม? ด้วยจอมยุทธ์บนทำเนียบสามคน เราจะสามารถสู้กับเทพจักรพรรดิปีศาจได้หรือไม่?”

คำพูดของเขาทำให้บรรยากาศในห้องโถงแข็งทื่อทันใด ก่อนที่เหล่าจอมยุทธ์จะเผยแววตาปีติดีใจพร้อมกับความสุขบนใบหน้า

เซียวเหยียนและหลินต้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนที่จะมองมู่เฉินด้วยความชื่นชม “ความคิดนี้เป็นไปได้ หากเพิ่มจอมยุทธ์อีกคนบนทำเนียบได้ แม้ว่าเขาจะจารึกเพียงแซ่ไว้ได้เท่านั้น เมื่อเราร่วมพลังกัน ต่อให้ไม่สามารถเอาชนะเทพปีศาจได้ แต่ก็ยังสามารถข่มความเสี่ยงในชัยชนะของมันในมหาพันภพได้”

ทุกคนในห้องโถงเหมือนคว้าโอกาสรอดชีวิตสุดท้ายได้ ต่างเริ่มพูดคุยกันอย่างกระตือรือร้น บรรยากาศที่หดหู่ก่อนหน้าก็หายไปหลายส่วน

“แต่คำถามคือใครจะเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม?” เซียวเหยียนกวาดสายตาออกไป

บรรยากาศเงียบลงอีกครั้งขณะที่ทุกคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ทว่าไม่มีใครกล้าเปิดปาก ทุกคนที่มารวมตัวกันที่นี่เป็นตัวแทนสุดยอดของมหาพันภพ แต่ต่อให้เป็นพวกเขาก็ยังหวาดกลัวทำเนียบเหนือภพลึกลับนั่น

สายตาบางส่วนพุ่งไปที่ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ นอกเหนือจากเซียวเหยียนและหลินต้ง พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดและมีโอกาสที่สุด…

ทว่าเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคน ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ฉายสีหน้าขมขื่น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายและดูเหมือนห่างจากทำเนียบเหนือภพเพียงก้าวเดียว แต่พวกเขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่ตนจะเรียกทำเนียบเหนือภพออกมาด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาไม่มั่นใจว่าจะไปถึงระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ภายในห้าปี

เมื่อมองไปที่การแสดงออกของพวกเขา ทุกคนก็เงียบลงความสุขที่เขียนบนใบหน้าจางหาย…

เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก็ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขารู้ไม่สามารถตำหนิคนอื่นๆ ได้เนื่องจากพวกเขารู้ว่าเรื่องนี้ยากแค่ไหน

พวกเขากวาดสายตาไปก็ต้องหยุดมองที่มู่เฉิน พวกเขาเห็นว่าชายหนุ่มมีท่าทางละล้าละลังที่จะพูด

“มู่เฉินพูดในสิ่งที่คิดเถอะ ตอนนี้มหาพันภพถูกรุกรานตราบใดที่ยังมีความหวังเราจะไม่ยอมแพ้” เซียวเหยียนยิ้ม

ทุกคนมองไปที่มู่เฉินทันที

ตั้งรับสายตาเหล่านี้ มู่เฉินก็ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ เขาลังเลชั่วครู่จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ คมกล้าขึ้นพลางมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ข้าอยากลองเป็นจอมยุทธ์ทำเนียบคนที่สาม”

โห่

ทั่วทั้งวังตกอยู่ในความโกลาหล ทุกคนมองไปที่มู่เฉินด้วยความตกตะลึง แม้ว่าชายหนุ่มจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ก็มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น แม้แต่ขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ แล้วเขาไปเอาความกล้ามาจากไหน?

“หึ ไอ้หนูแกมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน มีคุณสมบัติที่จะพูดคำเหล่านั้นเรอะ” หมัวเฮอเทียนเค้นเสียงเย็น เขาไม่ชอบขี้หน้ามู่เฉินตั้งแต่แรก ในเมื่อมีโอกาสก็ต้องสาดโคลนใส่ซะหน่อย

แม้ว่าคนอื่นๆ ไม่ได้พูด แต่ความสงสัยในดวงตาก็ชัดเจน ท้ายที่สุดแล้วเรื่องนี้สำคัญมากและพวกเขาไม่เห็นความหวังใดๆ ในตัวมู่เฉิน

หลังจากลังเลชั่วครู่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ถามว่า “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจ?”

แม้ว่าพวกเขาสองคนจะสนับสนุนมู่เฉินมาโดยตลอด แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของมหาพันภพ พวกเขาจึงไม่กล้าละเลยเรื่องใดแม้เพียงเล็กน้อย

ภายใต้สายตาสงสัยทั้งหมดที่จ้องมองมา ท่าทางของมู่เฉินก็แสดงออกอย่างสบายๆ ขณะตอบว่า “แม้ว่าข้าจะไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่ข้ามั่นใจว่าสามารถฝึกวิชาสามพิสุทธิ์ให้เข้าสู่ขั้นสามพิสุทธิ์ได้”

ย้อนกลับไปตอนที่เขาต่อสู้กับเจียงหยา เขาได้รับความเข้าใจเลือนรางเกี่ยวกับขั้นสามพิสุทธิ์ในตำนาน

“วิชาสามพิสุทธิ์? ขั้นสามพิสุทธิ์?” เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันเนื่องจากพวกเขาไม่คุ้นเคยกับขั้นตอนที่ว่า เพราะแม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ไม่สามารถบรรลุได้ในเวลานั้น

“แม้วิชาสามพิสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในวิทยายุทธขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานของมหาพันภพ แต่คงไร้ผลกับทำเนียบเหนือภพ” หมัวเฮอเทียนหัวเราะเยาะ

มู่เฉินปรายตามองหมัวเฮอเทียนกล่าวว่า “แค่วิชาสามพิสุทธิ์อย่างเดียวไม่มีประโยชน์อะไรจริง”

จากนั้นเขาก็หยุดชั่วครู่ก่อนจะพูดต่อ “ขั้นที่เรียกว่า ‘สามพิสุทธิ์’ หมายถึงร่างรองของข้าจะยืนอยู่ในฐานะจอมยุทธ์คนหนึ่งและอาศัยอยู่ในโลก ในเวลานั้นร่างรองจะสามารชำระร่างมหาเทพปฐมกาลได้อีกสองร่างและเมื่อรวมเข้าด้วยกันจะสามารถทำให้ข้าใช้ร่างมหาเทพปฐมกาลได้ถึงสามร่าง ข้าเชื่อว่าในเวลานั้นก็ไม่มีอะไรต้องกลัวแม้ว่าจะต้องเผชิญกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย”

“ในเวลานั้นหากทรัพยากรทั้งหมดรวมอยู่ที่ข้าก็จะช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ภายในห้าปี ข้าเชื่อว่าตนเองจะกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและทิ้งแซ่ไว้ได้”

คำพูดของมู่เฉินทำให้ทุกคนอ้าปากตาค้างทันที ขณะที่อาการตกตะลึงกวนตัวไปทั่ว

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาตกใจกับคำพูดของมู่เฉินมาก

“จะ…เจ้า ร่างรองของเจ้าสามารถฝึกฝนร่างเทห์สวรรค์ได้ด้วยหรือ?” จอมยุทธ์คนหนึ่งพูดติดอ่าง

“แล้วยังเป็นร่างมหาเทพปฐมกาลอื่นด้วยเรอะ?!”

แม้ว่ามู่เฉินจะใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก่อนหน้านี้ แต่ร่างรองก็สามารถแบ่งปันร่างเทห์สวรรค์กับร่างหลักเพียงร่างเดียว ไม่สามารถฝึกฝนขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

มู่เฉินไม่มีระลอกคลื่นในสายตาตอบอย่างใจเย็นว่า “ขั้นสามพิสุทธิ์สามารถบรรลุสิ่งนั้นได้อย่างแท้จริง”

ทุกคนพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เนื่องจากยังไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จกับขั้นสามพิสุทธิ์มาก่อน

เมื่อเซียวเหยียนกับหลินต้งได้ยินคำพูดเหล่านั้น พวกเขาก็ไตร่ตรองชั่วครู่ก่อนที่จะขอคำยืนยัน “มู่เฉินที่กำลังพูดอยู่คือความจริงหรือ?”

มู่เฉินยิ้ม “การโกหกมีความหมายอะไร? ถ้าตอนนี้ข้าพูดเรื่องไร้สาระออกมาก็เท่ากับเดินเข้าหาความตาย”

เทพจักรพรรดิทั้งสองพยักหน้าจากนั้นก็มองไปที่คนอื่นๆ “ทุกคนคิดว่าอย่างไร?”

คนอื่นๆ สวมสีหน้าที่ซับซ้อน

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งฉิงเทียนก็กล่าวว่า “เรายังมีทางเลือกอื่นอีกหรือ?”

ทุกคนยิ้มอย่างขมขื่น แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจิ้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังไม่มั่นใจ ดังนั้นนอกจากวิธีของมู่เฉิน แล้วพวกเขาจะเลือกทางอื่นได้เรอะ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ทำได้แค่ลองดู” ฉิงเทียนกัดฟัน

ปู้สื่อ จักรพรรดิมังกรแท้จริงและคนอื่นๆ ก็พยักหน้าเช่นกัน

สายตาของหมัวเฮอเทียนสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจขณะที่พึมพำ “บ้ากันหมดแล้ว!”

เมื่อทุกคนเห็นด้วย เซียวเหยียนกับหลินต้งก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “เช่นนั้นพวกเราก็ขอฝากความหวังของมหาพันภพไว้ที่เจ้าแล้ว…”

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลงตอบว่า “ข้าจะทำให้ดีที่สุด แต่ข้าหวังว่าเงื่อนไขจะได้รับการตอบรับด้วย”

“ข้าต้องการร่างมหาเทพปฐมกาลอีกสองร่าง…”

“ยิ่งไปกว่านั้นข้าต้องการให้ทรัพยากรทั้งหมดมุ่งมาที่ข้าเพื่อที่จะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในห้าปี…”

“เทพปีศาจเก้าเนตร!”

เสียงของเทพปีศาจจักรพรรดิดังก้องไปทั่วดินแดนวั้นมู่ในความเงียบงัน เหล่าจอมยุทธ์สวมสีหน้าขาวซีด รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง

เทพปีศาจห้าเนตรก็ทรงพลังมากอยู่แล้ว…และถ้าเขามีเก้าเนตรที่จุดสูงสุดจะน่ากลัวขนาดไหน?

เซียวเหยียนและหลินต้งหดตาลงทันใด ใบหน้าพวกเขาเย็นชาลง สายตาจ้องมองไปที่เทพปีศาจพยายามตรวจสอบว่าอีกฝ่ายพูดความจริงหรือไม่

“ทำไม? ไม่เชื่อเหรอ?”

เมื่อเห็นแววตาของเซียวเหยียนและหลินต้ง เทพปีศาจก็ยิ้มพร้อมกับร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน เสื้อผ้าท่อนบนกระจุยเป็นฝุ่นผง เผยให้เห็นรูปร่างแข็งแกร่ง ขณะที่หน้าอกของเขาสั่น ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาปิดอยู่บนหน้าอกนั่น

นอกจากนี้ยังมีดวงตาเผยขึ้นที่หน้าท้องอีกด้วย

ขณะเดียวกันเมื่อเขาแบมือออกก็มองเห็นดวงตาที่ฝ่ามือแต่ละข้าง

แม้ว่าดวงตาทั้งสี่นี้จะยังปิดอยู่ แต่ความผันผวนน่ากลัวที่แทรกซึมออกมาก็ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน

ทุกคนมีความไม่เชื่อเขียนบนใบหน้าขณะมองไปดวงตาทั้งสี่ดวง

ในความเงียบงันสรรพเสียงหายไปภายใต้ดวงตาเก้าดวง แรงกดดันที่น่าเหลือเชื่อค่อยๆ แทรกซึมเข้ามา ลึกซึ้งไม่อาจหยั่งรู้ได้ราวกับขุมนรก

“หรือว่ามหาพันภพ…จะถึงคราวอวสานจริงๆ…” เสียงเหล่าจอมยุทธ์ดังก้องในความสิ้นหวัง เมื่อเผชิญกับเทพปีศาจเก้าเนตร พวกเขาไม่มีกระทั่งความกล้าที่จะต่อต้าน

เทพปีศาจมองไปที่ความสิ้นหวังที่ปกคลุมดินแดนวั้นมู่ จากนั้นก็เบนดวงตาไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งพลางคลี่ยิ้ม “ถ้าพวกเจ้าฉลาดก็จงสวามิภักดิ์ต่อจักรวรรดิปีศาจของข้าซะ ข้ารับประกันความปลอดภัยของครอบครัวเจ้าและจะให้พวกเจ้าปกครองมหาพันภพ”

ความรังเกียจเพิ่มขึ้นบนริมฝีปากของเซียวเหยียน “อย่างแกนะเหรอคิดจะเก็บพวกข้าสองคนไว้? แกถึงคราวตายแน่ทันทีที่พวกข้าสลักชื่อเต็มไว้ในทำเนียบเหนือภพได้”

รอยยิ้มของเทพปีศาจหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนที่จะพยักหน้าพลางถอนหายใจ “ก็จริงพวกเจ้าสองคนคุกคามเกินไป… ดังนั้นข้าควรกำจัดทิ้งซะ”

หลินต้งมองไปที่เทพปีศาจพูดเสียงเย็นชา “ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถใช้เก้าเนตรได้!”

แม้ว่าดวงตาอีกสี่ดวงจะเปล่งความผันผวนที่น่ากลัว แต่หลินต้งก็สัมผัสได้อย่างคลุมเครือว่าเทพปีศาจยังไม่สามารถเปิดใช้งานได้

มิฉะนั้นมันคงไม่ยืนพล่ามในเมื่อสามารถจัดการพวกเขาได้

เทพปีศาจหรี่ตาลงพร้อมกับคลี่ยิ้ม “ประสาทสัมผัสเฉียบมาก… อันที่จริงข้ายังไม่สามารถเปิดตาได้ทั้งหมด เพราะยังไงข้าก็เพิ่งหลุดออกจากผนึก ซึ่งข้าจะต้องใช้พลังงานมหาศาลเพื่อฟื้นฟูดวงตาทั้งเก้า ตามการประมาณก็คงต้องใช้เวลาประมาณห้าปี”

“ดังนั้นพวกเจ้าจงดีใจที่ยังมีเวลาเหลือหายใจอีกห้าปี”

เทพปีศาจจักรพรรดิยิ้มร่าขณะที่ดวงตาวับวาวด้วยความโหดร้าย

“ห้าปีนับจากนี้ ข้าจะเคลื่อนทัพมาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นมหาพันภพจะอยู่ใต้ฝ่าเท้าข้า ทุกคนจะต้องกลายเป็นทาส”

ผู้คนในดินแดนวั้นมู่ใบหน้าไร้สีกันไปหมด ห้าปีเป็นเวลาเพียงพริบตาสำหรับพวกเขา กระทั่งความสามารถของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยห้าสิบปีในการจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ ซึ่งไกลเกินกว่าห้าปีถึงสิบเท่า

ดังนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในช่วงห้าปีนี้ เมื่อใดที่เทพปีศาจจักรพรรดิกลับมาก็จะเป็นวันโลกาวินาศของมหาพันภพแท้จริง

เซียวเหยียนและหลินต้งขมวดคิ้ววูบหนึ่งก่อนที่ไอสังหารจะระเบิดออกมาจากดวงตา พวกเขามองไปที่เทพปีศาจพูดเสียงเย็นชา “งั้นแบบนี้พวกข้าก็ไม่สามารถปล่อยเจ้าไปได้ ไม่ว่าจะต้องจ่ายในราคาเท่าใดก็ตาม”

ในเมื่อเทพปีศาจต้องใช้เวลาห้าปีในการฟื้นตัว พวกเขาก็ฝังมันอยู่ที่นี่ชั่วนิรันดร์ตั้งแต่ตอนนี้เลย!

“คิดจะฝังข้าเหรอ? พวกเจ้ายังไม่ความสามารถทำเช่นนั้นได้หรอก” เทพปีศาจตอกกลับ ในเมื่อเขาเลือกเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว เขาก็ไม่คิดกลัวเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามที่พยายามจะหยุดเขาไว้

“งั้นพวกข้าสองคนก็ขอลองดู!” ไอเยือกเย็นพล่านในนัยน์ตาของเซียวเหยียนและหลินต้ง

ฮึ่ม!

หลินต้งเคลื่อนไหวออกมาเป็นคนแรก อักขระโบราณแปดตัวควบแน่นในมือก่อนจะรวมกันเป็นบาตรโบราณที่มีองค์ประกอบทั้งแปดไหลอยู่ภายใน

“บาตรแก้วแปดเทวลิขิต!”

หลินต้งส่งเสียงคำราม บาตรแก้วทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นกรอบคลุมขนาดใหญ่ห่อหุ้มร่างเทพปีศาจเอาไว้

บาตรแก้วนี้มีทั้งพลังป้องกันและโจมตี ถ้าถูกขังไว้ภายในก็จะเป็นปัญหาใหญ่ต่อเทพปีศาจแน่

“บ่วงเพลิงจักรพรรดิมัดปีศาจ!”

เซียวเหยียนขยี้มือเข้าด้วยกันก่อร่างเป็นบ่วงเพลิงโชติช่วง หากวัตถุนี้มัดเข้ากับเป้าหมายละก็ แม้แต่เทพปีศาจก็ต้องทนทุกข์ทรมาน

ในเวลานี้ทั้งเซียวเหยียนและหลินต้งไม่กล้าประมาทศัตรูอีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รั้งรอที่จะโจมตี

มองไปที่การโจมตีสองสายที่พุ่งเข้ามาในทิศทางของตน เทพปีศาจก็หรี่ตาลง เขารู้ว่าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้อีกแล้ว เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทั้งสองคนจะบ้าคลั่งเหมือนเทพจักรพรรดินิรันดร์ที่ยอมสละชีวิตเพื่อต่อสู้กับเขาหรือไม่

เทพปีศาจกัดนิ้วตนเอง เลือดสีดำไหลลงมา เขาเช็ดดวงตาที่ปิดอยู่บนหน้าอกวาดยันต์ไว้

เมื่อรัศมีสีดำเบ่งบาน ดวงตาดวงที่หกก็เริ่มปรือออก…

แม้ว่าจะเปิดเพียงเล็กน้อย แต่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากภายในร่างเทพปีศาจก็พุ่งสูงขึ้น ในช่วงเวลาถัดมาเขาก็ประสานมือพร้อมกับเสียงหอนของปีศาจ

“แสงปีศาจแยกขอบเขต!”

ลำแสงปีศาจสีดำมะเมื่อมยิงออกมาจากศีรษะเทพปีศาจขยายออกไป มันมีขนาดไร้ขอบเขตเมื่อพาดผ่านก็แยกโลกออกเป็นสองส่วน

ด้านหนึ่งคือดินแดนวั้นมู่ อีกด้านหนึ่งคือกองทัพจักรวรรดิปีศาจ

ขณะที่บาตรแก้วและบ่วงเพลิงพุ่งเข้าไปก็ต้องหยุดอยู่ที่ขอบเขตไม่สามารถเข้าไปได้ ราวกับถูกต้านไว้อยู่ด้านนอก

ดวงตาที่อยู่ที่หน้าอกของเทพปีศาจปิดลง รัศมีปีศาจที่พลุ่งพล่านก็ดิ่งลงอย่างรวดเร็ว

เห็นได้ชัดว่าเขาจ่ายราคาไปมากกับการเปิดดวงตาที่หกผ่านทางทักษะลับ

ยามนี้เทพปีศาจอ่อนแอลงอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าพวกเขาจะรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากแสงปีศาจแยกโลกออกเป็นสองส่วน แม้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทะลุผ่านไปได้

“เพียงแค่เปิดเนตรที่หก พลังของมันก็น่ากลัวมากแล้ว ถ้ามันฟื้นคืนเนตรทั้งเก้าจะน่ากลัวขนาดไหน?” เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากัน พวกเขาสามารถมองเห็นความกังวลและครั่นคร้ามในดวงตาของกันและกัน

เทพปีศาจมองไปที่ทั้งสองพลางพูดอย่างไม่แยแส “ข้าจะตอบแทนสิ่งที่พวกเจ้าทำในวันนี้อีกห้าปี ถึงเวลานั้นมหาพันภพจะถูกปกคลุมไปด้วยเลือด ทุกสรรพชีวิตจะถูกทำลายล้าง”

เขาโบกมือเสียงเยือกเย็นดังก้องในโสตประสาทของเหล่าปีศาจ “ถอยทัพ!”

พร้อมกับคำสั่ง รัศมีปีศาจรุนแรงพุ่งสูงขึ้นขณะที่นักรบเผ่าปีศาจพุ่งเข้าไปในรอยแยกของมิติ…

เทพปีศาจจักรพรรดิและจอมปีศาจเซิ่งเทียนอยู่รั้งเป็นคนสุดท้าย สายตามองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่ไร้ประโยชน์ของมหาพันภพด้วยอาการเยาะเย้ย

ในช่วงเวลาหนึ่งก้านธูป เหล่าปีศาจต่างมิติก็หายไปพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรง

มองกองทัพที่ล่าถอยไปแล้ว จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็เข้าไปในรอยแยกมิติ เหลือเพียงเทพปีศาจจักรพรรดิยืนนิ่งอยู่คนเดียว เขาเหลือบเซียวเหยียนกับหลินต้ง

“สนุกกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตซะ นี่ถือเป็นความเมตตาครั้งสุดท้ายจากข้าที่มีต่อมหาพันภพ”

รอยยิ้มอ่อนคลี่บนใบหน้า ฝ่าเท้าก็ก้าวเข้าไปในรอยแยกมิติ จากนั้นก็โบกมือปิดรอยแยกที่ด้านหลัง

พร้อมกับการจากไปของเทพปีศาจ ขอบเขตที่แยกพื้นที่จากกันก็จางหายไป บาตรแก้วและบ่วงเพลิงไม่สามารถคว้าจับอะไรไว้ได้…

มองไปยังมิติที่ว่างเปล่า เซียวเหยียนและหลินต้งก็ฉายสีหน้าถมึงทึง เทพปีศาจจักรพรรดิอันตรายแท้จริง!

เมื่อแลกเปลี่ยนสายตากัน ก็เห็นท่าทางช่วยไม่ได้ในสายตาของกันและกัน ศึกครั้งนี้พวกเขาทำดีที่สุดแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเทพปีศาจจะยากแท้หยั่งถึงขนาดนี้…

พวกเขาพลิ้วตัวลงมาสู่ดินแดนวั้นมู่

ฉิงเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ มีสีหน้าซีดขาว ดวงตาวูบไหวด้วยความวิตกกังวล

“เทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงคราม… เราจะทำยังไงดี?”

เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันก็พากันถอนหายใจก่อนจะกล่าวว่า “เปิดประชุมเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน เราจะรวบรวมความคิดเข้าด้วยกันและหาทางออกสำหรับห้าปีนับจากนี้…”

แผนภาพปีศาจคลี่ออกปกคลุมท้องฟ้า

รัศมีปีศาจพลุ่งพล่านสะท้อนพร้อมกับเสียงคำรามของปีศาจนับไม่ถ้วน

ขณะที่แผนภาพปรากฏก็จะเห็นดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปิดขึ้นช้าๆ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยการทำลาย

เมื่อมองไปที่ดวงตาทั้งห้าดวงเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ก็เย็นเยือกไปตามแนวสันหลัง แม้แต่คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขายังแสดงสัญญาณอาละวาด ทำให้พวกเขาต้องรีบเลื่อนสายตาออกไป

ตู้ม!

ขณะที่แผนภาพปีศาจคลี่ออก ดอกบัวขนาดมหึมาก็เคลื่อนเข้ามาถึงพร้อมเสียงหวีดหวิว เบ่งบานด้วยสีพร่างพราวแผ่กระจายออกไประหว่างฟ้าดินพร้อมกับคลื่นทำลายล้าง

ดอกบัวหมุนคว้างวาดแนวยาวเจิดจรัสข้ามขอบฟ้า เผชิญหน้ากับแผนภาพปีศาจ ดอกบัวก็ไม่แสดงอาการลังเล พุ่งเข้าใส่เต็มแรง

เมื่อพลังงานสองสายชนกันเพลิงไม่มีที่สิ้นสุดก็ปะทุออกมาจากดอกบัวราวกับภูเขาไฟระเบิด

ครืน!

เสียงแผ่นดินพิโรธดังกึกก้อง ทั่วดินแดนวั้นมู่โยกคลอนด้วยคลื่นความร้อนลุกโชน แม้อยู่ในระยะไกลทุกคนก็รู้สึกว่าผิวจะไหม้เกรียมไปหมด

คลื่นหลิงและคลื่นปีศาจพวยพุ่งขึ้นบนร่างจอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายเพื่อต่อต้านอุณหภูมิที่น่ากลัว

ฮึ่ม!

เมื่อดอกบัวผลิบานแรงกดดันทำลายล้างก็กลืนกินแผนภาพปีศาจ ในเวลาเดียวกันแผนภาพก็แก้ลำขณะดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าระเบิดออกด้วยอักขระปีศาจนับไม่ถ้วน

อักขระเหล่านั้นถูกสลักไว้ด้วยพลังที่น่ากลัวซึ่งกระทั่งคลื่นหลิงในร่างจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ปนเปื้อนได้ เมื่อสัมผัสถูกร่างกาย ทำให้ร่างพังทลาย ช่างโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง

อักขระปีศาจนับไม่ถ้วนรวมตัวกันเข้าปะทะกับเพลิงพร่างพราว ทั้งสองต่างกัดกร่อนซึ่งกันและกัน…

ภายใต้การกัดกร่อน มิติเต็มไปด้วยหลุมบ่อ

พลังงานทรงพลังทั้งสองปะทะกัน ทันใดนั้นพลังงานสายที่สามก็เข้าร่วมต่อสู้ ลวดลายทั้งแปดพุ่งไปปะทะกับแผนภาพปีศาจ…

ตู้ม ตู้ม!

ดอกไม้เพลิงผลิบานเมื่อพลังงานสามกลุ่มเผชิญหน้ากัน แม้แต่เหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งและเหล่าจอมปีศาจก็ยังไม่กล้าเพ่งมองไป พากันเลื่อนสายตาออกไป

พร้อมกับเสียงชุดระเบิดดังก้องไปทั่วมิติ ทุกความผันผวนที่เอิบอาบเข้ามาก็ทำให้สมาชิกทั้งสองฝ่ายรู้สึกว่าหนังหัวชาหนึบไปหมด

พลังงานนั้นสามารถตัดสินชะตากรรมของโลกได้จริงๆ

หลังจากผ่านไปสิบกว่านาทีความผันผวนที่ตลบอบอวลก็ค่อยๆ จางหายไป

เกือบจะในทันทีที่จอมยุทธ์ทั้งสองฝ่ายก็หันไปมองการประจันหน้า เมื่อสักครู่เทพจักพรรดิทั้งสองฝ่ายไม่ได้รั้งไว้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาหมุนเวียนพลังจนถึงขีดสุด

นี่เป็นพลังที่สามารถทำลายทั้งทวีปได้

การเผชิญหน้าครั้งนี้จะแสดงให้เห็นถึงพลังสุดยอดของสองฝ่าย ว่าใครเหนือกว่ากัน

ฝ่ายที่แข็งแกร่งกว่าจะได้เปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย

ท่ามกลางการจดจ่อของผู้คน พายุก็เริ่มสลายและทุกอย่างสงบลง… ดอกบัวเพลิงขนาดใหญ่และพลังทำลายล้างหายไปแล้ว

มีเพียงแผนภาพปีศาจที่คลี่อยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับดวงตาทั้งห้าสั่นไหว

“การโจมตีร่วมกันของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่สามารถทำลายแผนภาพปีศาจได้เหรอ?” เมื่อมองไปที่เบื้องหน้าจอมยุทธ์ทุกคนต่างก็แสดงออกรุนแรง ใบหน้าซีดลง

ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิตินักรบทั้งหลายฉายความสุขบนใบหน้า แต่มีเพียงคิ้วของเหล่าจอมปีศาจเท่านั้นที่ขมวดเข้าหากันแน่น

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง”

มู่เฉินพึมพำขณะจ้องมองท้องฟ้า

เซียวเหยียนและหลินต้งยืนไว้สง่าบนท้องฟ้าโดยไม่มีริ้วกระเพื่อมบนใบหน้า ดวงตาเย็นชาของพวกเขามองไปที่แผนภาพปีศาจก่อนจะสะบัดนิ้ว

เกลียวไฟพุ่งออกมาตกลงบนแผนภาพปีศาจ

ฟู่ ฟู่!

ช่างคล้ายกับประกายไฟตกลงบนทะเลฝ้าย แผนภาพปีศาจไฟลุกพรึ่บ ดวงตาชั่วร้ายทั้งห้าเปล่งเสียงคำรามลั่นก่อนที่จะระเบิด…

เมื่อม่านตาทั้งห้าระเบิดร่างของเทพปีศาจก็สั่นสะท้าน สีหน้าเคร่งขรึมลง ดวงตาทั้งห้าของเขาอาบไปด้วยเลือดสีดำทำให้เขาราวกับปีศาจร้ายก็มิปาน

ความปีติยินดีบนใบหน้าของเหล่านักรบปีศาจแข็งค้าง กลายเป็นความหวาดผวาขณะมองไปที่ฉากนี้…

เห็นได้ชัดว่าเซียวเหยียนและหลินต้งมีความได้เปรียบจากการต่อสู้กระบวนท่าก่อน มิหนำซ้ำพวกเขายังทำให้เทพปีศาจได้รับบาดเจ็บ สร้างความเสียหายให้กับดวงตาชั่วร้ายเหล่านั้น

ภายในดินแดนวั้นมู่เหล่าจอมยุทธ์ที่เฝ้าดูอย่างหน้าซีดก็ตะลึงไปก่อนที่จะระเบิดเสียงโห่ร้อง

“สวรรค์ประทานพรให้มหาพันภพอย่างแท้จริง ที่ส่งเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีมา!” ปู้สื่อตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น

ตอนแรกใครก็คิดว่ามหันตภัยเกิดขึ้นในมหาพันภพแล้วจากการหลุดลอดของเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคาดคิดว่าเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคีจะก้าวขึ้นสู่ระดับเดียวกับเทพจักรพรรดินิรันดร์?

พวกฉิงเทียนก็พยักหน้าพลางถอนหายใจ “นี่เป็นพรจากสวรรค์แท้จริง เทพปีศาจทรงพลังยิ่งกว่าในอดีตถ้าเราไม่มีเทพจักรพรรดิสงครามและเทพจักรพรรดิอัคคี การขาดคนใดคนหนึ่งไปก็จะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้”

เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังเกินไปจนถึงจุดที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังต้องร่วมแรงร่วมใจกัน

เทพปีศาจสวมสีหน้าเคร่งขรึมขณะลอยอยู่บนท้องฟ้า มืดปาดเลือดสีดำที่ไหลออกจากดวงตา ก่อนที่จะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยดวงตาไร้อารมณ์ “จากพลังที่มีพวกเจ้าเพียงคนใดคนหนึ่งก็โดดเด่นยิ่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ ไม่คิดว่ามหาพันภพจะโชคดีเช่นนี้”

เซียวเหยียนยิ้ม “เจ้าก็ทรงพลังเช่นกัน แต่เพื่อสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพ พวกข้าก็ต้องใช้ประโยชน์จากจำนวนคน ชนะอย่างอยุติธรรมน่ะ”

เทพปีศาจกระตุกยิ้มแปลกประหลาด ไม่มีคลื่นกระเพื่อมในน้ำเสียงของเขาสำหรับความล้มเหลวครั้งก่อน “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคาดการณ์ที่จะชนะ”

เสียงทุ้มลึกของหลินต้งดังก้อง “อย่างน้อยเจ้าก็ไม่สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานในการรุกรานมหาพันภพได้ชั่วคราว”

“แม้ว่าวันนี้ข้าสองคนจะได้เปรียบเพียงเล็กน้อย แต่อีกร้อยปีเมื่อพวกข้าจารึกชื่อเต็มเอาไว้ในทำเนียบเหนือภพได้ ถึงเวลานั้นพวกข้าเพียงคนหนึ่งก็เพียงพอแล้วที่จะฆ่าเจ้า”

เสียงของหลินต้งแผ่ไปด้วยไอสังหาร

เมื่อพวกเขาสามารถจารึกชื่อเต็มไว้บนทำเนียบเหนือภพ พวกเขาก็จะไปถึงจุดสูงสุดที่สร้างความมั่นใจได้ว่าจะสามารถสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิได้อย่างง่ายดาย

เทพปีศาจหรี่ตาลงไม่ได้คิดหักล้างคำพูดเหล่านั่นแต่ถามว่า “ข้าไม่สามารถทำอะไรพวกเจ้าได้ก็จริง ถ้าไปถึงจุดสูงสุดนั่น แต่…”

เขาเอี้ยวศีรษะมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แกคิดว่าข้าจะให้เวลาเหรอ?”

เซียวเหยียนหดตาด้วยสีหน้าเย็นชา “แล้วแกจะทำอะไรได้ล่ะ?”

รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากเทพปีศาจ เขาเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะพูดว่า “พวกเจ้าไม่คิดว่านี่แปลกเหรอ? ในสมัยโบราณพลังของข้าแข็งแกร่งกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์อย่างชัดเจน แล้วเพราะอะไรข้าถึงให้โอกาสมันผนึกได้?”

“ง่ายมากเพราะข้าเต็มใจที่จะถูกผนึกไง”

คำพูดของเขาทำให้ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปพร้อมกับความตกใจในดวงตา มากจนกระทั่งเซียวเหยียนและหลินต้งถึงกับหดดวงตา

ตอนนั้นเทพปีศาจจักรพรรดิเต็มใจที่จะถูกผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เรอะ?

“ไร้สาระสิ้นดี!” เซียวเหยียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา “ผนึกอยู่ห่างออกไปเพียงก้าวเดียวก็จะฆ่าแกแล้ว มีเหตุผลอะไรที่ทำให้แกต้องเสี่ยงขนาดนี้ด้วย”

หลังจากเงียบไปชั่วครู่เทพปีศาจก็ถอนหายใจมองไปในฟ้าดิน “พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือการปราบปรามโลกหรือไม่”

คำพูดของเขาทำให้เซียวเหยียนและหลินต้งขมวดคิ้ว

“สิ่งที่เรียกว่าการปราบปรามโลกคือเมื่อสิ่งมีชีวิตต่างมิติทรงพลังเข้ามาในโลกก็จะถูกปฏิเสธ เหมือนกับการที่เผ่าปีศาจเคลื่อนพลมายังมหาพันภพ ไม่สามารถปลดปล่อยพลังที่แท้จริงได้”

“ยิ่งคนเข้มแข็งมากเท่าไร การปราบปรามก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น”

“ด้วยการปล่อยให้ตัวเองถูกปิดผนึกโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี ผนึกนี้ทำให้รัศมีของข้าปนเปื้อน ดังนั้นตราบใดที่ข้าสามารถทำลายผนึกได้ ข้าก็จะสามารถหลอกโลกและหยุดไม่ให้มันปราบปราม ด้วยการถอดผนึกออกข้าก็จะสามารถปกครองทั้งมหาพันภพได้อย่างแท้จริงโดยไม่มีการปฏิเสธจากปณิธานเอกภพและยึดจักรวาลนี้เป็นของจักรวรรดิปีศาจ”

เทพปีศาจคลี่ยิ้มให้เซียวเหยียนและหลินต้งพูดต่อว่า “เจ้าคิดว่าห้าเนตรนี้เป็นพลังสุดยอดของข้าหรือ? ข้าขอบอกว่าพวกเจ้าซื่อเกินไปแล้ว”

เสียงนี้ช่างเย็นชา ทำให้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมดรู้สึกหนาวสั่น แม้แต่ความสุขที่พวกเขาเคยได้จากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็หายไป…

“อดีตเมื่อนานมาแล้ว… ข้าถูกเรียกว่า…”

“เทพปีศาจเก้าเนตร…”

“ห้าเนตร…”

เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่ร่างเบื้องหน้าด้วยสายตามืดครึ้ม ภายใต้สภาวะนี้เทพปีศาจทรงพลังมาก แม้แต่พวกเขาสองคนก็รู้สึกถึงแรงกดดัน

“ปีศาจตัวนี้ลึกล้ำเกินหยั่งรู้จริงๆ” เซียวเหยียนถอนหายใจ

“แต่ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ต้องตายในวันนี้!” หลินต้งพูดด้วยความเย็นชาพล่านในดวงตา ตัวเขาเต็มไปด้วยความชังชิงต่อเผ่าปีศาจ

“ข้าก็คิดเช่นกัน” เซียวเหยียนยิ้มขณะที่เปลวไฟลุกโชนในดวงตา

ตู้ม!

ทันใดนั้นร่างกายทั้งสองก็สั่นสะท้าน อึดใจต่อมาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันกลายเป็นมหาสมุทรพลังหลิงที่ไม่มีที่สิ้นสุดที่เบื้องหลัง

ซ่า ซ่า

เมื่อมหาสมุทรโหมกระหน่ำ การไหลเวียนชัดเจนก็ดังก้อง แสดงให้เห็นว่าคลื่นหลิงนี้ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นเพราะความหนาแน่นทำให้ก่อตัวเป็นมหาสมุทร

จากสิ่งนี้ทุกคนก็เห็นได้ว่าความสามารถในการควบคุมคลื่นหลิงในฟ้าดินของทั้งสองมาถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวเพียงใด

เซียวเหยียนสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากมหาสมุทร ควบแน่นกันเป็นดอกบัวอย่างรวดเร็ว ดอกบัวทุกดอกมีความผันผวนของการทำลายล้าง

ที่เบื้องหลังหลินต้งมหาสมุทรพลังหลิงถูกปกคลุมไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ ที่บินฉวัดเฉวียนไปมา พลังงานเหล่านั้นบางครั้งจะหลอมรวมและแยกออกจากกันทำให้ยากที่จะป้องกัน

เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งออกกระบวนท่าก็ไม่มีรั้งรอ แม้แต่เหล่าจอมปีศาจก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปพลางถอยห่าง

มีเพียงเทพปีศาจเท่านั้นที่ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง ม่านตาทั้งห้าสั่นไหวด้วยรัศมีน่าขนพองสยองเกล้า เบื้องหลังรัศมีปีศาจที่รุนแรงนำมาซึ่งพลังอันน่าสะพรึงกลัว

เทพปีศาจเงยหน้าขึ้นเสียงเฉยเมยดังก้อง “น้ำตกปีศาจ”

ตู้ม!

รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตกวาดไปบนท้องฟ้าแล้วเทลงมาจากขอบฟ้าราวกับน้ำตกสีดำ ปิดกั้นไว้ที่เบื้องหน้า

น้ำตกสีดำอัดแน่นด้วยพลังที่น่ากลัว มิติเบื้องล่างพังทลายลง

ชี่ ชี่!

ดอกบัวหมุนคว้างเข้าสู่น้ำตกมืดมิด จากนั้นก็เกิดการระเบิดรุนแรง ทำให้น้ำตกแตกเป็นเสี่ยงๆ

ก่อนที่น้ำตกสีดำจะฟื้นตัว สายฟ้า น้ำแข็ง ไฟและพลังธาตุอื่นๆ ก็ซัดเข้ามา

เมื่อพลังงานเหล่านั้นฝังเข้าไปในม่านสีดำ ผลกระทบที่รุนแรงก็ดังก้อง น้ำตกสีดำถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง

พลังงานค่อยๆ หายไปเหลือเพียงมิติที่ยุบตัวเท่านั้น

สายตาเย็นเยือกสามคู่สาดประกายไฟบินว่อนในอากาศ

วาบ!

เซียวเหยียนกระชับดาบใหญ่หัวตัดสีดำ ก่อนที่จะกลายเป็นริ้วแสงพุ่งเข้าใส่เทพปีศาจ

“ดาบเพลิงสวรรค์โบราณ!”

เสียงคำรามดังก้องพร้อมกับเพลิงร้อนแรงรวมตัวที่เบื้องหน้าเป็นไม้บรรทัดใหญ่ที่เอิบอาบไปในเปลวไฟที่น่ากลัว

ดาบใหญ่ในมือของเซียวเหยียนรวมเข้ากับดาบเปลวไฟ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็ทำให้เกิดความผันผวนที่น่ากลัว

“คทาจักรพรรดิสายฟ้า!”

สายฟ้าปกคลุมในมือของหลินต้งขณะคทาปรากฏขึ้น มือกำคทาสะบัด สายฟ้าก็แล่นแปลบปลาบที่ใต้ฝ่าเท้าเขา ทะลุผ่านมิติพุ่งไปยังเทพปีศาจ

“ควับ!”

ดาบเพลิงฟันลงมา ฉีกสวรรค์และโลกออกจากกันด้วยความผันผวนที่เห็นได้

คทาสายฟ้าเหวี่ยงออกไป มังกรสายฟ้าที่ขดอยู่รอบๆ ก็โหมกระหน่ำด้วยภาพมายา ทุกกระบวนท่านำมาซึ่งการทำลายล้างยิ่งใหญ่

เมื่อเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามออกกระบวนท่าในเวลาเดียวกันก็สั่นสะเทือนไปทั้งโลกา

เผชิญหน้ากับเซียวเหยียนและหลินต้งที่ทำงานร่วมประสาน แม้แต่เทพปีศาจก็ไม่กล้าดูถูก การแสดงออกน่ากลัว เขากำมือรัศมีปีศาจรวมตัวกันกลายเป็นหอกสีดำ

หอกปีศาจสลักด้วยใบหน้านับไม่ถ้วนพร้อมกับเสียงโหยหวนแหลมคม คลื่นเสียงสามารถทำให้คลื่นหลิงของทุกคนควบคุมไม่ได้จนระเบิดออก

วาบ!

หอกในมือของเทพปีศาจแทงออกมาพร้อมกับรัศมีปีศาจผันผวน อึดใจปลายหอกก็สั่น ตัวหอกกลายเป็นมังกรปีศาจพุ่งออกมาปะทะกับดาบเพลิงและคทาสายฟ้า

เคร้ง!

เสียงโลหะปะทะกันดังกึกก้อง แรงกระทบก็กวนตัวเป็นชั้นพายุทำให้มิติพังทลายลงจากคลื่นกระแทกที่มองเห็นได้อย่างต่อเนื่อง มากจนแม้แต่สะเก็ดมิติยังไม่สามารถทนรับคลื่นกระแทกได้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

เมื่อมู่เฉินและจอมยุทธ์คนอื่นๆ เห็นฉากนี้ก็อดตกใจไม่ได้ เนื่องจากคลื่นกระแทกของการต่อสู้ในระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสามารถทนได้

เคร้ง เคร้ง!

บนท้องฟ้าเหนือดินแดนวั้นมู่ การปะทะกันของสามจักรพรรดิก็ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขณะที่พวกเขาโรมรันพันตู ดาบเพลิง คทาสายฟ้าและหอกปีศาจก็นำความผันผวนของการทำลายล้างออกมาพร้อมกับการปะทะกัน

ในเวลาไม่กี่นาทีทั้งสามก็แลกกระบวนท่ากันมากกว่าพันกระบวนท่าแล้ว

ดวงตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่มิติตรงหน้าขณะที่แสงรวมตัวกันในนัยน์ตา ทว่าเขาก็เห็นเพียงร่างเงาทั้งสาม ไม่สามารถมองตามความเร็วนั้นไปได้

“ระดับนี้…ทรงพลังจริงๆ” มู่เฉินกำหมัดแน่นพร้อมกับเลือดเดือดพล่าน นี่คือสุดยอดจอมยุทธ์อย่างแท้จริง

จอมปีศาจเซิ่งเทียนและคนอื่นๆ ก็มองไปที่ฉากนี้เช่นกัน ครู่ต่อมาเขาก็แสดงความคิดเห็นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่ธรรมดาจริงๆ”

ความร่วมมือของทั้งสองเทพจักรพรรดิน่ากลัวมาก ถึงขนาดที่แม้แต่เทพปีศาจก็ไม่สามารถทำอะไรได้

“เราจำเป็นต้องเคลื่อนไหวไหม?” จอมปีศาจอั้นเทียนถามขึ้น

เหลือมมองไปที่ดินแดนวั้นมู่จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ถอนหายใจพลางส่ายหัว “แม้เราจะจัดการกับจอมยุทธ์เหล่านั้นได้ แต่ก็สั่นคลอนมหาพันภพไม่ได้ ตราบใดที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามยังคงอยู่”

“ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าท่านเทพปีศาจจะสังหารทั้งสองคนได้”

ตึง!

หอกปีศาจคำรามขณะที่ระเบิดออกมาพร้อมกับรัศมีปีศาจมากมายปะทะกับดาบใหญ่เพลิงและคทาสายฟ้า ขณะที่ลอนคลื่นระเบิดทั้งสามก็ถูกเป่าออกจากกัน

ทั้งสามคนทรงตัวอย่างรวดเร็วพร้อมกับท่าทางที่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เจ้าสองคนไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ในอดีตเลย มหาพันภพโชคดีแท้จริง” หอกปีศาจของเทพปีศาจสั่นไหวขณะที่เขาพูดออกมา

ใบหน้าของหลินต้งเย็นเยือกลง แต่เขาไม่คิดที่จะโต้เถียงอะไรกับเทพปีศาจ เขามองไปที่เซียวเหยียนพูดว่า “ปีศาจตัวนี้มีพลังมากเกินไป เรายั้งมือไม่ได้”

เซียวเหยียนหายใจออกรุนแรง พลางพยักหน้าเบาๆ และหลับตาลง อึดใจก็ลืมตาโพลงพร้อมกับเพลิงจักรพรรดิลุกโชนในดวงตา

ฟู่!

ไม่ช้าเพลิงจักรพรรดิก็พวยพุ่งออกมาโอบล้อมร่างเซียวเหยียน มหาสมุทรคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่อยู่เบื้องหลังก็เริ่มลุกไหม้

ในส่วนลึกของมหาสมุทรเริ่มปะทุขึ้น จากนั้นทุกคนก็มองเห็นดอกบัวหมื่นจั้งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ดอกบัวนั้นพราวด้วยสีสันต่างๆ ทุกสีเป็นตัวแทนของเปลวไฟสวรรค์ที่แทรกซึมไปด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว

ความกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ปล่อยออกจากดอกบัวทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

ในเวลาเดียวกันหลินต้งก็ออกกระบวนท่า มือเขาประสานกันก่อนจะค่อยๆ ดึงออกจากกัน ทันใดนั้นรัศมีไร้ขอบเขตก็พลุ่งพล่าน สีสันทั้งแปดสีที่แตกต่างรายล้อมรอบร่าง

สามารถมองเห็นลวดลายโบราณทั้งแปดได้คลุมเครือ

“จะเทหมดหน้าตักแล้วเรอะ… แต่คิดว่าข้าจะกลัวรึไง?!” เทพปีศาจหดตาลง จากนั้นใบหน้าก็มืดครึ้มลงพลางสร้างตราประทับ ทำให้รัศมีปีศาจแปรปรวน

ประจันหน้ากับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม เทพปีศาจจักรพรรดิก็ไม่กล้าดูถูก แม้จะเปิดดวงตาทั้งห้าแล้วก็ตาม

ภายใต้สายตาตกตะลึงทุกคนสามารถมองเห็นดอกบัวขนาดใหญ่ลอยคว้างบนท้องฟ้าแล่นพล่านไปด้วยเพลิงจักรพรรดิ

ลวยลายทั้งแปดหมุนคว้างรอบตัวหลินต้งอย่างรวดเร็ว ดึงดูดพลังงานเอกภพให้เคลื่อนลงมา

รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตรวมตัวกันเหนือร่างเทพปีศาจพร้อมกับไอชั่วร้ายพลุ่งพล่าน

ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นฝั่งมหาพันภพหรือฝั่งจักรวรรดิปีศาจ ใบหน้าของทุกคนล้วนเปลี่ยนไปขณะที่ถอยฉากออกมา

ใครๆ ก็บอกได้ว่าทั้งสองฝ่ายโชติช่วงไปด้วยเจตนาฆ่า พวกเขานำท่าสังหารออกมาเพื่อยุติการต่อสู้นี้แล้ว

การเผชิญหน้าดำเนินไปชั่วครู่ ก่อนที่ทั้งสามจะคำรามลั่น

“บัวเพลิงจักรพรรดิพุทธะพิโรธ!”

เซียวเหยียนเปล่งเสียงขณะที่ดอกบัวทะยานออกมา เบ่งบานส่งผ่านความผันผวนของการทำลายล้าง

“ตราประทับแปดเทวลิขิต!”

หลินต้งแตะนิ้วลงไป อักขระโบราณทั้งแปดก็หลอมรวมกันกระตุ้นพลังงานเอกภพ เปลี่ยนเป็นลำแสงทำลายล้างพุ่งไปยังเทพปีศาจ

“แผนภาพเทพสังหารห้าเนตร!”

เทพปีศาจประสานมือเข้าด้วยกันพลางสร้างตราประทับ บนท้องฟ้าที่มีรัศมีปีศาจเชี่ยวกราก แผนภาพก็ปรากฏขึ้นพลางคลี่ออก

สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองกระบวนท่าทั้งสามที่พาดผ่านฟ้าดินขณะที่ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้าน เนื่องจากผลของการปะทะกันครั้งนี้จะชี้ชะตากรรมของมหาพันภพ…

หลังจากที่แซ่ทั้งสองถูกจารึกไว้

ทำเนียบเหนือภพก็ค่อยๆ จางลง ไม่กี่ลมหายใจก็หายไปจนหมด

มีเพียงความกดดันที่ยังคงอยู่ในฟ้าดินที่ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น…

ภายในดินแดนวั้นมู่ สายตาที่ลุกโชนด้วยความเคารพนับไม่ถ้วนหยุดอยู่ที่ร่างทรงพลังของสองเทพจักรพรรดิ ขณะนี้ความกดดันที่เอิบอาบมาจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมหลายเท่าเลยทีเดียว

“แม้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจะจารึกได้เพียงแค่แซ่ของพวกเขา แต่ก็ถือว่าประสบความสำเร็จไปครึ่งทาง ในแง่ของความแข็งแกร่งก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์แล้ว!”

“ดูเหมือนว่ามหาพันภพจะไม่สิ้นชะตา ในอดีตเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดสู้กับอันตราย และในวันนี้เราก็ยังมีเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

“ด้วยเทพจักรพรรดิทั้งสองในที่สุดมหาพันภพก็มีสุดยอดจอมยุทธ์ที่สามารถเผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิได้!”

“…”

เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในดินแดนวั้นมู่เขียนความสุขไว้บนใบหน้า พวกเขารู้สึกสิ้นหวังจากเทพปีศาจจักรพรรดิ เนื่องจากนักรบผู้นี้ทรงพลังเหลือล้น สามารถปราบปรามจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายทุกคนได้

แต่ตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามได้จารึกแซ่ไว้บนทำเนียบเหนือภพ แม้ว่าพวกเขาจะทำสำเร็จเพียงครึ่งเดียว แต่ก็เริ่มเข้าสู่พลังงานลึกลับของเอกภพได้แล้ว

การมีอยู่ของทั้งสองไม่ทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังเกี่ยวกับเทพปีศาจจักรพรรดิอีกต่อไป

ในที่สุดพวกเขาก็เห็นแสงสว่างท่ามกลางความสิ้นหวังและความมืดมิด

ทางฝั่งดินแดนวั้นมู่ส่งเสียงโห่ร้องยินดี แต่ทางฝั่งจักรวรรดิปีศาจกลับฉายสีหน้าไม่น่าดู

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทพปีศาจจักรพรรดิที่สาดสายตาน่ากลัวใส่เซียวเหยียนและหลินต้ง เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้เกินความคาดหมายของเขาไปไกล

เขาคิดว่าหลังจากการตายของเทพจักรพรรดินิรันดร์จะไม่มีใครในมหาพันภพสามารถหยุดเขาได้ แต่ยามนี้มีจอมยุทธ์สองคนสามารถเขียนแซ่ตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพได้…

“เวรเอ้ย!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนกัดฟันกรอดพร้อมกับความโกรธพล่านในดวงตา สถานการณ์นี้เกินแผนการของพวกเขาไปไกล ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามหาพันภพจะต้องตกอยู่ภายใต้กำมือของพวกเขาเมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิปรากฏตัว แต่หลังจากที่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามจารึกแซ่ไว้บนทำเนียบได้ พลังของมหาพันภพในปัจจุบันก็แข็งแกร่งกว่าในสมัยโบราณเสียอีก

เนื่องจากในอดีตมหาพันภพมีเพียงเทพจักรพรรดินิรันดร์คนเดียวที่สามารถจารึกชื่อไว้บนทำเนียบ แต่ขณะนี้กลับมีถึงสองคน!

ภายใต้สายตาหลากหลายอารมณ์ เซียวเหยียนและหลินต้งก็เงยหน้าขึ้น พวกเขามองไปที่เทพปีศาจพร้อมกับเสียงราบเรียบสะท้อนออกมา “ดูเหมือนแผนการของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่อยากยึดครองมหาพันภพของเราจะล้มเหลวนะ”

ดวงตาของเทพปีศาจกะพริบด้วยแสงอันตรายขณะตอบว่า “พวกแกสองคนทำสำเร็จเพียงแค่ครึ่งเดียว มั่นใจแค่ไหนที่จะพูดคำเหล่านั้นกับข้า?”

“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น… พวกข้าก็ขอคำชี้แนะจากเทพปีศาจจักรพรรดิหน่อยนะ”

เซียวเหยียนและหลินต้งไม่พูดมาก ฉายยิ้มเฉยเมย จากนั้นแววตาก็เย็นชาลง เทพปีศาจจักรพรรดิคนนี้เป็นผู้นำของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ตราบใดที่พวกเขาสามารถปราบปรามได้ แผนการของพวกปีศาจก็จะล้มเหลว

นอกจากนี้เทพปีศาจคนนี้ก็เพิ่งหลุดออกจากผนึกได้และอยู่ในจุดอ่อนแอที่สุด ดังนั้นจะไม่ลงมือได้อย่างไร ถ้าไม่ปราบกันตอนนี้จะไปจัดการกันตอนไหน?

ทั้งสองไม่ใช่คนที่จะยืดหยุ่น ดังนั้นจึงไม่คิดให้เวลากับเทพปีศาจในการฟื้นตัว ทั้งสองก้าวออกไปคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็รวมตัวกันทันที

ขณะที่เซียวเหยียนทำท่าทางคว้ามือ ดาบหัวตัดคล้ายไม้บรรทัดสีดำปรากฏขึ้นแล้วเฉือนลงไป ทันใดนั้นเพลิงจักรพรรดิที่ร้อนระอุก็พุ่งออกมากลายเป็นรัศมีกว้างใหญ่ไพศาลแผ่ซ่านออกไป

ในเส้นทางที่ดาบใหญ่พาดผ่าน มิติก็ถูกฉีกออก

ส่วนหลินต้งก็กำหมัดแน่นแล้วซัดออกไป เสียงคำรามมังกรดังก้อง กำปั้นสีฟ้าอมเขียวพุ่งข้ามขอบฟ้า

มังกรสีฟ้าอมเขียวคำราม พลังงานแปดสายก็รวมกันอยู่ในปากมังกร ดูเหมือนว่าสามารถทำลายสวรรค์และโลกได้

ยามนี้เมื่อเซียวเหยียนและหลินต้งเปิดการโจมตี ความปั่นป่วนก็เข้มข้นยิ่งกว่าเดิม แรงกดดันที่แผ่ซ่านเข้ามาจากพวกเขาทำให้แม้แต่สีหน้าเทพปีศาจยังเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

“หึ ข้าจะดูสิว่าจอมยุทธ์ในทำเนียบจะมีความสามารถแค่ไหน!”

เทพปีศาจเค้นเสียงขึ้นจมูก ดวงตาชั่วร้ายที่กลางหว่างคิ้วกะพริบพร้อมกับรัศมีปีศาจพุ่งออกมา

“ปีศาจกินโลก!”

ลำแสงปีศาจพุ่งออกมาจากดวงตาชั่วร้ายขยายออกไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงคำรามแหลมคมกลายเป็นปีศาจรัตติกาลขนาดมหึมา

ปีศาจตัวนั้นมีรัศมีที่น่ากลัวไหลเวียนอยู่รอบตัวพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความรุนแรงราวกับว่าสามารถทำลายและกลืนกินทุกสรรพสิ่งในโลกได้

วาบ!

เมื่อปีศาจร้ายปรากฏขึ้น ดาบใหญ่ก็ผ่าลงมา

ปีศาจร้ายคำราม กรงเล็บปะทะจังใหญ่กับดาบใหญ่พร้อมกับพลังที่สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้อย่างง่ายดาย ลบล้างการดำรงอยู่แบบสิ้นซาก

ชี่!

เมื่อดาบใหญ่กวาดผ่าน ร่างปีศาจร้ายมืดมิดก็ตัวแข็งทื่อก่อนที่เสียงคำรามโหยหวนจะดังก้องในช่วงเวลาต่อมาพร้อมกับกรงเล็บแตกหัก

โฮก!

มังกรสีฟ้าอมเขียวทะยานเข้ามาอ้าปากปล่อยลมหายใจรุนแรงสีรุ้งใส่ปีศาจร้ายตัวมหึมา

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่ปีศาจร้ายคำรามรุนแรงก็บินถลาออกไป แสงที่น่ากลัวบนร่างมันจางลง เห็นได้ชัดว่าได้รับบาดเจ็บมาก

การปะทะกันครั้งนี้เทพปีศาจตกอยู่ในตำแหน่งเสียเปรียบ เห็นได้ชัดว่าเทียบไม่ได้กับเทพจักรพรรดิทั้งสอง

ภายในดินแดนวั้นมู่เสียงโห่ร้องดังออกมา เหล่าจอมยุทธ์ต่างพากันชื่นชมยินดี

ส่วนทางจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเงียบเสียงลง จอมปีศาจทุกคนแสดงสีหน้าเคร่งเครียด

“พวกแกคิดรังแกข้าในสภาพอ่อนแอที่สุดงั้นเหรอ?”

ดวงตาน่ากลัวของเทพปีศาจมองไปที่ปีศาจร้ายขนาดมหึมาที่กำลังพ่ายแพ้พร้อมกับไอเกรี้ยวกราดกะพริบในดวงตา จากนั้นก็เอี้ยวศีรษะ สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจกวาดออกไปยังปีศาจนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างหลัง

ในเส้นทางของรัศมีปีศาจ ปีศาจนับไม่ถ้วนร่างฉีกออกจากกัน เทพปีศาจกลืนกินเลือดกลั่นของพรรคพวกเข้าไป

อ๊าก!

ภาพที่เกิดขึ้นกะทันหันทำให้สีหน้านักรบเผ่าปีศาจสีหน้าแตกตื่น เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามหนีอย่างไรก็ถูกกลืนกินไปโดยรัศมีปีศาจ

เห็นได้ชัดว่าเพื่อฟื้นฟูพลังของตนเอง เทพปีศาจไม่สนใจวิธีที่ใช้แล้ว

เมื่อเหล่าจอมปีศาจเห็นฉากนี้ก็หดดวงตาลง ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ขัดขวางเนื่องจากรู้ดีว่ามีเพียงเทพปีศาจฟื้นคืนความแข็งแกร่ง ถึงจะมีพลังพอที่จะจัดการกับเทพจักรพรรดิทั้งสองได้

“เผ่าเล็กทั้งหลายฟังคำสั่ง ทุกเผ่าส่งนักรบราชันปีศาจคนหนึ่งเพื่อสังเวย!” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังก้อง ทำให้นักรบปีศาจหลากหลายเผ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมาก

สำหรับเผ่าเล็กการสูญเสียนักรบราชันปีศาจหมายถึงการสั่นคลอนรากฐาน

แต่เผชิญกับความโหดร้ายของประมุขเผ่าใหญ่ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติจะคัดค้าน ดังนั้นนักรบราชันปีศาจทีละคน…ละคนก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าหลังจากความวุ่นวายชั่วครู่

เทพปีศาจพยักหน้าพอใจกับภาพนี้ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ รัศมีปีศาจคำรามและกลืนกินเหล่านักรบราชันปีศาจไป

“ไม่ต้องกังวล หลังจากที่พวกเรายึดครองมหาพันภพได้ ข้าจะชดเชยความสูญเสียของทุกคน” เสียงเยือกเย็นของเทพปีศาจดังก้อง จากนั้นเขาก็หายใจเข้าลึกและกลืนกินแก่นโลหิตที่ลอยอยู่ในอากาศเบื้องหน้า

ตู้ม ตู้ม!

แก่นโลหิตถูกกลืนกินชิ้นแล้วชิ้นเล่า ดวงตาของเทพปีศาจก็เปล่งรัศมีพร้อมกับแสงทรงกลดรัศมีปีศาจปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะเขา แม้แต่รัศมีปีศาจรอบตัวก็ทะยานขึ้นด้วยความเร็วที่น่าตกใจ

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ แรงกดดันปีศาจที่เกิดจากรัศมีปีศาจก็ทำให้ดินแดนวั้นมู่โยกคลอนรุนแรง

ในดินแดนวั้นมู่ ความปีติยินดีของเหล่าจอมยุทธ์หดหายไป แม้แต่เซียวเหยียนและหลินต้งก็ยังหดดวงตาพร้อมกับท่าทางเคร่งเครียด

รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดออก ต้านทานแรงกดดันคลื่นหลิงที่มาจากเทพจักรพรรดิทั้งสอง

เมื่อรัศมีปีศาจภายในร่างเทพปีศาจน่ากลัวยิ่งขึ้น มู่เฉินและคนอื่นๆ ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นดวงตาที่ปิดสนิททั้งสองบนหน้าผากของเทพปีศาจสั่นไหวก่อนจะค่อยๆ เปิดออก

ม่านตาน่ากลัวทั้งห้าเปิดขึ้นพร้อมกัน รัศมีปีศาจไร้ขอบเขตก็ทำให้หัวคนทุกคนหวาดผวาไปหมด

“ม่านตาทั้งห้าเปิด…”

ปู้สื่อมองไปที่ภาพนี้พร้อมด้วยเสียงแหบดังก้อง “ในสมัยโบราณเทพปีศาจใช้ม่านตาสี่ดวงเท่านั้น…”

ทุกคนใจสั่นสะท้าน นั่นหมายความว่าเทพปีศาจแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนแล้วเรอะ?

ภายใต้สายตาหวาดผวาของทุกคน เทพปีศาจก็ค่อยๆ เหยียดมือออก พลังทำลายล้างพลุ่งพล่านภายในร่างกายทำให้เขาแสดงสีหน้าพอใจ

จากนั้นดวงตาทั้งห้าก็ก้มลงมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง

ในเวลาเดียวกันเสียงที่เต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดก็ดังก้อง

“พวกแกตายตาหลับโดยไม่ต้องเสียใจที่บังคับให้ข้าใช้ห้าเนตรได้!”

“แกก็ไม่สามารถดูถูกเหยียดหยามมหาพันภพได้”

เมื่อเสียงของเทพจักรพรรดิทั้งสองดังกึกก้อง ม่านรัศมีขนาดใหญ่ก็เคลื่อนลงมา แยกรัศมีปีศาจออกจากกัน

มู่เฉินและเหล่าจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็เงยหน้าขึ้นด้วยความตกตะลึง คลื่นหลิงที่ไหลเวียนระหว่างฟ้าดินมาถึงระดับที่น่ากลัว

ซึ่งอยู่ในระดับที่แม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังต้องเกรงกลัว

นอกจากนี้ยังมีพลังงานที่น่าทึ่งบรรจุอยู่ในคลื่นหลิงอีกด้วย แรงกดดันใกล้เคียงกับโลกมาก

ใบหน้าของเทพปีศาจดูเคร่งขรึมลงขณะมองไปที่คลื่นหลิง ม่านตาที่คล้ายกับหุบเหวค่อยๆ เย็นเยือกลง

เขาเงยหน้าขึ้นมองไปในความว่างเปล่า เวลานี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลที่กำลังบีบกดลงมา

ขณะที่เมฆรัศมีหลิงโปรยลงมา พื้นที่ก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นแล้วค่อยๆ รวมตัวกัน ไม่ช้าทุกคนก็เห็นม่านขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเหนือดินแดนวั้นมู่

“นั่นอะไร?”

ฉิงเทียนและจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายคนอื่นๆ มองไปที่ม่านรัศมีที่กำจายกลิ่นอายลึกลับ ดูเหมือนว่าจะถูกสลักไว้ด้วยทิวทัศน์และท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

แรงกดดันที่น่ากลัวแทรกซึมเข้ามา หัวใจของทุกคนก็ไหวโยกด้วยความกลัวจากพลังงาน

เซียวเหยียนและหลินต้งมองไปที่ม่านลึกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “นี่คือปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ”

“ปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ?” ทุกคนใจสั่น นี่คือโอกาสในตำนานที่ทำให้พวกเขาสามารถก้าวข้ามขอบเขตแห่งเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งรึ?

“จอมยุทธ์คนแรกที่สามารถสัมผัสถึงปณิธานเอกภพในมหาพันภพได้คือท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เซียวเหยียนมองไปที่ม่านรัศมีลึกลับขณะเอ่ยออกมา “และเขาก็ได้ตั้งชื่อปณิธานเอกภพว่า…”

“ทำเนียบเหนือภพ!”

“ทำเนียบเหนือภพ?” ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไป เนื่องจากเมื่อได้ยินชื่อก็ราวกับว่ามีพลังอันเหลือเชื่อตราตรึงอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ ทำให้พวกเขามองไปด้วยความปราถณา

“โลกเปรียบดังกระดาน… ตราบใดที่ใครสามารถจารึกชื่อไว้ได้ พวกเขาจะได้รับการยอมรับจากมหาพันภพและครอบครองพลังเอกภพนี้” หลินต้งอธิบาย

ทุกคนเงยหน้าขึ้นขณะมองไปม่านรัศมีลึกลับ ซึ่งก็คือทำเนียบเหนือภพพร้อมกับความเคารพในสายตา

ทำเนียบเหนือภพทั้งลึกลับและลึกซึ้ง แต่เมื่อทุกคนมองไปอย่างละเอียดก็จะเห็นคำโบราณหนึ่งบนม่านรัศมี…

“เยี่ย!”

“เยี่ย?! นั่นหมายความว่าอะไร?” ฉิงเทียนและคนที่เหลือหดดวงตา

“เยี่ย…คือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์” เสียงของปู้สื่อสั่นพร่า

“ใช่แล้ว นั่นคือแซ่ของท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ ในสมัยโบราณเขาสามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพแห่งมหาพันภพ จึงกระตุ้นทำเนียบเหนือภพและสลักแซ่ของเขาเอาไว้”

เซียวเหยียนพยักหน้า “แต่น่าเสียดายที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ล้มเหลวในการจารึกชื่อเต็มของตนเองไว้บนทำเนียบเหนือภพ เขาสามารถจารึกแซ่ไว้ได้เท่านั้น มิฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องสละชีวิตเพื่อผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิ”

ทุกคนอุทาน ในที่สุดก็เข้าใจ แท้จริงแล้วสิ่งที่เรียกว่า ‘เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง’ ก็คือการสัมผัสได้ถึงปณิธานเอกภพและกระตุ้นทำเนียบเหนือภพ สุดท้ายก็สลักชื่อไว้ ถ้าสำเร็จก็จะสามารถควบคุมพลังงานเอกภพ บรรลุเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง…

“แม้แต่เทพจักรพรรดินิรันดร์ยังทิ้งแซ่ไว้ข้างหลังได้เท่านั้น…” ทุกคนสูดหายใจเย็นลึกสุดปอดแม้แต่คนที่ทรงพลังอย่างเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังไม่สามารถจารึกชื่อเต็มได้ ดังนั้นพวกเขาบอกได้เลยว่าการจารึกชื่อไว้นั้นยากเย็นเพียงใด

เทพปีศาจมองไปที่ทำเนียบเหนือภพโดยไม่มีอารมณ์บนใบหน้า ก่อนจะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “ไม่คิดว่าพวกแกสองคนจะสามารถเรียกปณิธานเอกภพได้…”

“แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้สึกถึง หากแกไม่สามารถจารึกชื่อของตัวเองได้ ก็ช่างเป็นความพยายามที่ไร้ผล”

เซียวเหยียนและหลินต้งสบตากันก่อนที่จะยิ้มอ่อน รอยยิ้มเต็มไปด้วยความมั่นใจขณะที่หัวเราะร่า “ในเมื่อท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์สามารถบรรลุได้ ในฐานะคนรุ่นหลังพวกข้าก็ไม่ยอมอยู่เบื้องหลังคนรุ่นก่อนแน่นอน”

เมื่อเสียงหัวเราะสองเสียงดังก้อง เซียวเหยียนและหลินต้งก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

ฟู่ ฟู่!

เพลิงโชติช่วงลุกโชนออกมาจากร่างกายของเซียวเหยียนเอิบอาบด้วยความลึกซึ้ง แทรกซึมรัศมีราชัน ราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเพลิงทั้งหมด

นั่นคือเพลิงจักรพรรดิในตำนานแห่งเปลวเพลิงทั้งหมด!

เมื่อเพลิงจักรพรรดิปรากฏขึ้นท้องฟ้า อุณหภูมิของโลกก็เพิ่มสูงขึ้นราวกับหม้อต้มที่มีร่องรอยการหลอมละลาย

“วันนี้ข้าเซียวเหยียนจะฝากชื่อไว้บนทำเนียบเหนือภพ!”

เซียวเหยียนหัวเราะขณะที่เพลิงโชติช่วงรวมตัวกันกลายเป็นพู่กันขนาดใหญ่ที่ก่อจากเปลวไฟ จากนั้นเซียวเหยียนก็กอดอากาศ พู่กันมหึมาเคลื่อนผ่านมิติไปยังทำเนียบเหนือภพ

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อพู่กันเข้าใกล้ หมอกลึกลับก็พล่านบนกระดาน แม้ว่าหมอกจะดูเบาบางแต่ก็ลึกซึ้งราวกับว่าสามารถบดบังทุกสิ่งได้

ปัง!

หลินต้งก็เคลื่อนไหวออกไปเช่นกัน รัศมีแสงเจิดจรัสระเบิดออกมาจากร่างกาย ทว่ากลับมีสีทั้งหมดแปดสีที่แตกต่างกัน ในเส้นแสงทุกสีจะเป็นตัวแทนของพลังหลิงทั้งหมดแปดประเภทที่หลอมรวมกันอย่างลงตัว

รัศมีทั้งแปดแปรผันกลายเป็นดัชนีใหญ่ ดัชนีแทงทะลุมิติราวกับว่ามีพลังงานไร้ขอบเขตขณะพุ่งลงไปที่ทำเนียบเหนือภพ

“เปิดซะ!”

เซียวเหยียนและหลินต้งร้องตะโกน เสียงของพวกเขาทำให้มิติแปรปรวน

ฮึ่ม ฮึ่ม!

หมอกลึกลับรอบๆ ทำเนียบเหนือภพกระเพื่อมไหวราวกับว่ากำลังป้องกันไม่ให้สิ่งใดเข้ามาใกล้ได้ แต่ด้วยพลังงานหลิงรอบเซียวเหยียนและหลินต้งแข็งแกร่งนัก สิ่งกีดขวางจึงถูกฉีกออกจากกัน

พู่กันเปลวไฟและดัชนีแปดสีฉีกผ่านหมอกพลิ้วลงบนทำเนียบเหนือภพภายใต้สายตาตกตะลึงของเหล่าจอมยุทธ์

แรงกดดันน่าเหลือเชื่อแผ่ซ่านมาจากทำเนียบเหนือภพ กระจายออกไประหว่างฟ้าดิน

ภายใต้แรงกดดันเหล่าจอมยุทธ์ทั้งหมด แม้กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายแบบฉิงเทียนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาก เนื่องจากพบว่ากระทั่งขยับนิ้วยังทำไม่ได้…

มีเพียงเซียวเหยียนและหลินต้งเท่านั้นที่ยังคงแสดงออกอย่างสงบขณะที่สะบัดมือไปมา

ทุกคนจับจ้องไปที่ทำเนียบเหนือภพพร้อมกับพู่กันและดัชนีพลิ้วลงไป ทำเนียบเหนือภพสั่นสะเทือน เสียงดังก้องไปทั่วมหาพันภพ

ยามนี้ทุกสรรพสิ่งมีชีวิตในมหาพันภพต่างสัมผัสได้ พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปทางทิศของดินแดนวั้นมู่

พู่กันและดัชนีเคลื่อนลงมาขีดเขียนลงบนทำเนียบเหนือภพ…

คลื่นหลิงทั่วภูมิภาคสั่นสะเทือนภายใต้สายตาของทุกคน บนทำเนียบเหนือภพมีเปลวไฟปะทุขึ้น ทุกการขีดเขียนดูสบายมั่นใจ แต่ทุกคนสามารถบอกได้ว่าการกระทำนี้ยากแค่ไหน

เพราะแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายภายใต้แรงกดดันของทำเนียบเหนือภพได้ ไม่ต้องพูดถึงว่าการกระทำที่ยากอย่างการจารึกชื่อเอาไว้เลย

ขณะที่แสงหลิงแล่นแปลบปลาบ สีหน้าของเซียวเหยียนและหลินต้งก็เคร่งขรึมลง แขนของพวกเขาสั่นเทิ้ม ขณะที่หอบหายใจบีบพลังทั้งหมดในร่างกายออกไป…

ความสว่างบนทำเนียบเหนือภพหนาแน่นขึ้น ทุกคนสามารถเห็นอักษรสองตัวค่อยๆ ก่อตัวขึ้น

เซียว!

หลิน!

เมื่อทั้งสองคำเสร็จสิ้นลง เซียวเหยียนและหลินต้งก็หยุดนิ่ง มองเห็นเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากของพวกเขา

พวกเขามองไปที่แซ่ตนเองบนทำเนียบเหนือภพ แต่สีหน้าของพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่คลายลงกลับดูจริงจังมากขึ้น

นั่นเป็นเพราะเมื่อพวกเขาตวัดเส้นสายสุดท้ายเสร็จสิ้น พวกเขาสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันเหลือเชื่อที่โอบล้อมร่าง แรงกดดันนั้นทำให้พวกเขารู้สึกทนไม่ได้

ตอนนี้ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเทพจักรพรรดินิรันดร์จึงไม่ได้เขียนชื่อเต็มเอาไว้…

เพราะส่วนหลังนี่ยากเกินไป

พวกเขารู้สึกได้ว่าถ้าลุยเดินต่อไปเรื่อยๆ พู่กันและดัชนีจะแตกเป็นเสี่ยงๆ จากพลังงานเอกภพ…

ทั้งสองคนยืนอยู่บนท้องฟ้าเป็นเวลานานก่อนที่จะถอนหายใจโบกมือ พู่กันและดัชนีก็หายไป

ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดาย หากทั้งสองทำขั้นตอนสุดท้ายสำเร็จ เซียวเหยียนและหลินต้งก็จะกลายเป็นเทพจอมยุทธ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในมหาพันภพที่สามารถจารึกชื่อสมบูรณ์ของตนเองเอาไว้ได้

นี่จะเป็นสิ่งที่เกินกว่าความสำเร็จของเทพจักรพรรดินิรันดร์

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ สิ่งที่พวกเขาประสบความสำเร็จในตอนนี้ก็ไม่ง่ายแล้ว จากความสำเร็จนี่เทียบเท่ากับเทพจักรพรรดินิรันดร์เลยทีเดียว!

ตู้ม!

พร้อมกับการเคลื่อนไหวของพวกเขา ทำเนียบเหนือภพลึกลับก็สะท้อนด้วยเสียงดังกึกก้อง รัศมีลึกลับแผ่ออกมาปกคลุมอักษรแซ่ทั้งสองไว้…

ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ทั้งหลายก็สามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่าง พวกเขามองเซียวเหยียนและหลินต้ง ก็เห็นพลังงานลึกลับพลุ่งพล่านลงมาปกคลุมทั้งสองเอาไว้

เมื่อมองไปที่พวกเขา ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงความเคารพในใจที่เพิ่มขึ้น

รัศมีลึกลับรวมตัวกันที่หว่างคิ้วของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ซึ่งวาดอักขระเพลิงที่หว่างคิ้วของเซียวเหยียว ขณะที่อักขระเทวลิขิตวาดบนหน้าผากของหลินต้ง

อักษรทั้งสองคล้ายกับตราประทับของโลก ทำให้พวกเขาดูสูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อ

เมื่อทั้งสองคนกวาดสายตาไป แรงกดดันที่ไม่สามารถบรรยายได้ก็แทรกซึมเข้ามา ราวกับว่าเป็นจอมราชันของโลกนี้ พลังมหาศาลติดตามทุกการคลื่อนไหว ซึ่งเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว

ฉิงเทียน ปู้สื่อและจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็มองไปที่ภาพนี้ด้วยความร้อนแรงและความคาดหวังในดวงตา

พวกเขาคิดว่าตนเองมาถึงที่สุดของขุมพลังแล้ว แต่ขณะนี้พวกเขาตระหนักว่ายังไม่ถึงจุดสิ้นสุด…

“นี่เหรอ ทำเนียบเหนือภพ…”

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองกระดาน ร่างกายก็สั่นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้สึกได้ถึงเลือดพลุ่งพล่านขณะที่มือกำแน่นพร้อมกับเสียงหนักแน่นดังก้องออกมา

“ในชีวิตนี้ที่สุดแห่งความปรารถนาของข้าคือจารึกชื่อตัวเองไว้บนทำเนียบเหนือภพนี้”

ด้านนอกดินแดนวั้นมู่

ชายสองคนยืนเอามือไพล่หลัง เมื่อพวกเขาปรากฏตัวแรงกดดันปีศาจที่ปกคลุมดินแดนนี้ก็ลดลง

“เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม!”

เมื่อมองไปที่ทั้งสองพวกฉิงเทียนก็ชื่นชมยินดี แม้ว่าในสายตาของหลายคนทั้งเซียวเหยียนและหลินต้งจะดูไม่ได้แตกต่างจากพวกเขานัก เนื่องจากทั้งคู่ก็เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุดเช่นกัน

แต่มีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่รู้ว่าทั้งสองคนยากแท้เกินหยั่งถึงขนาดไหน

ดังนั้นสถานการณ์จึงมั่นใจได้เล็กน้อยหลังจากการปรากฏตัวของทั้งสองคน

“ฮ่าๆ ขอโทษที่มาสาย โปรดอย่าถือโทษกันเลยนะ พวกจักรวรรดิปีศาจใช้กลอุบายเพื่อรั้งเราเอาไว้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกข้าเพิ่งจะมาถึง” เซียวเหยียนหันกลับมาพลางยิ้ม รอยยิ้มราบเรียบของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกโล่งใจ

“ไม่กล้าๆ” ฉิงเทียนส่ายหน้าด้วยความรู้สึกผิด “ข้าสร้างปัญหาทำให้สถานการณ์ยุ่งยากขึ้นนะ”

เซียวเหยียนถอนหายใจพูดออกมา “สำหรับเรื่องเมล็ดหัวใจปีศาจ เจ้าไม่ควรตำหนิตัวเอง แม้ว่าตอนนั้นข้าจะรู้สึกได้แต่ก็ไม่สามารถมองลึกลงไปในนั้นได้ ดังนั้นจึงไม่มั่นใจเท่าไร ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงแค่ทิ้งเมล็ดเพลิงไว้กับเจ้าเท่านั้น”

หลินต้งพยักหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือจัดการกับความยุ่งยากเหล่านี้”

จากนั้นหลินต้งก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิอย่างเย็นชา ราวกับว่าสายตาสามารถทะลุทะลวงผ่านอีกฝ่ายได้

“เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม… ข้าส่งหกประมุขจากสามสิบสองเผ่าใหญ่ไป ไม่คิดว่าจะหยุดยั้งพวกแกไม่ได้!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนกดความตกตะลึงบนใบหน้าขณะมองไปที่ทั้งสอง

เซียวเหยียนและหลินต้งแลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้ม

“แกกำลังพูดถึงพวกมันหรือเปล่า?” ทั้งสองยกฝ่ามือขึ้นคลื่นหลิงจากฝ่ามือพวกเขาก็ก่อร่างเป็นลูกทรงกลม มีปีศาจข้างละสามตัวกำลังส่งเสียงโหยหวนอยู่ภายใน แต่ไม่ว่าจะดิ้นรนสู้อย่างไรก็ไม่สามารถสั่นคลอนวัตถุนี้ได้

เมื่อมองไปที่ร่างทั้งหกนั้น จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็หดตาลง ประมุขเผ่าปีศาจอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนสีหน้าไป เนื่องจากนั่นคือประมุขหกคนในสามสิบสองเผ่าใหญ่!

ต้องรู้ว่าพวกเขาทุกคนเป็นนักรบสุดยอดระดับจอมปีศาจและไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเลย แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดถูกจับได้โดยเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม?!

“แค่หกจอมปีศาจก็คิดบุกแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูเหรอ? พวกแกดูถูกพวกข้ามากเกินไปหน่อยแล้ว” น้ำเสียงของหลินต้งดังกึกก้องด้วยศักดิ์ศรีเต็มภาคภูมิ

ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนกระตุกรุนแรง ความป่าเถื่อนพวยพุ่งขึ้นในดวงตาขณะพูดอย่างเย็นชา “ยังไม่รีบปล่อยพวกเขาอีก? ไม่งั้นแคว้นหวูจิ้งฮั่วและแคว้นหวูของพวกแกก็รอถูกล้างออกจากจักรวาลนี้เลย!”

พอได้ยินคำขู่ดังกล่าว เซียวเหยียนและหลินต้งก็หรี่ตาลงพร้อมกับไอหนาวเหน็บเจาะกระดูกแผ่ซ่าน

จากนั้นพวกเขาก็แสดงปฏิกิริยาตอบสนอง มือของพวกเขากำแน่น พลังน่าสะพรึงกลัวพุ่งเข้าไปในลูกทรงกลมในมือ เมื่อพลังระเบิดออกไปจอมปีศาจทั้งหกก็ไม่ทันแม้แต่จะร้องตะโกนออกมาสักแอะก็ถูกบดขยี้ไม่เหลือซาก…

จอมปีศาจหกคนตายคาที่

เมื่อมองไปที่ภาพเบื้องหน้าใบหน้าของจอมปีศาจคนอื่นๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก สายตาเย็นชาลงหลายส่วน

“ฮ่าๆ น่าสนใจ…”

ที่ด้านหน้าเทพปีศาจจักรพรรดิเฝ้าดูฉากนี้ด้วยความสนใจขณะจ้องมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้ง “เจ้าสองคนแข็งแกร่งกว่าพวกนั้นมาก”

แม้ว่าจอมปีศาจคนอื่นๆ จะไม่สามารถบอกระดับของเซียวเหยียนและหลินต้งได้ แต่เทพปีศาจจักรพรรดิสามารถสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งนั้นได้ดี ทั้งสองคนแข็งแกร่งกว่าพวกฉิงเทียนมาก

เซียวเหยียนและหลินต้งจดจ้องอยู่ที่เทพปีศาจจักรพรรดิ เมื่อเผชิญหน้ากับนักรบปีศาจระดับนี้แม้แต่ใบหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

“เจ้าคงเป็นเทพปีศาจจักรพรรดิที่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ยอมสละชีวิตเพื่อผนึกเอาไว้สินะ” เซียวเหยียนกล่าว

เทพจักรพรรดิปีศาจเผยรอยยิ้ม ม่านตาดูราวกับสามารถเขมือบทุกอย่างได้ “ตอนนั้นข้าประเมินเทพจักรพรรดินิรันดร์ต่ำไป เนื่องจากข้าไม่คิดว่าจะมีคนที่ทรงพลังอย่างมันในมหาพันภพ”

หลินต้งยืนคล้ายกับเสาสูงตระหง่านขณะตอบว่า “มหาพันภพเต็มไปด้วยผู้มากพรสวรรค์ ในเมื่อเรามีเทพจักรพรรดินิรันดร์หยุดแกในตอนนั้น ก็จะมีคนมาปราบแกในวันนี้เช่นกัน”

“โอ้?”

เทพปีศาจเลิกคิ้วขึ้นขณะมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม “งั้นข้าจะดูสิว่าใครจะหยุดข้าได้หลังจากที่ไอ้ปู้ซิ่วตายไป”

เซียวเหยียนยิ้ม “แกดูถูกมหาพันภพ ก็เพราะแกคิดว่าไม่มีใครในมหาพันภพที่สามารถบรรลุระดับนั้นได้อีก”

ม่านตาของเทพปีศาจหดลงฉับพลัน สีหน้ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งแรก เขามองไปที่เซียวเหยียน “พวกแกรู้ถึงระดับนั่นเรอะ?”

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งถือเป็นจุดสุดยอดของมหาพันภพ แต่ยังมีระดับใหม่ที่อยู่นอกเหนือจากนั้นอีก” เซียวเหยียนตอบ

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็ตัวสั่น พวกเขาไม่กล้าคิดฟุ้งซ่าน ตราตรึงคำพูดของเซียวเหยียนลงลึกไว้ในหัวใจ เนื่องจากพวกเขาอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว แต่ระดับนี่ราวกับเป็นขีดจำกัด ไม่ว่าจะเพาะบ่มพลังอย่างไรพวกเขาก็ไม่สามารถพัฒนาได้อีก…

พวกเขาไม่อาจสัมผัสกับขอบเขตที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้สักที

“ขอบเขตนอกเหนือจากระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่ได้ลึกลับอะไรขนาดนั้น บางทีอาจง่ายด้วยซ้ำ เพียงแค่ผู้ฝึกต้องการโอกาสเท่านั้น” เซียวเหยียนยิ้ม “และโอกาสนั้นก็คือ…”

“ปณิธานเอกภพ”

ครั้งนี้หลินต้งพูดออกมา เมื่อเสียงราบเรียบดังสะท้อนก้อง ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของมหาพันภพและพลังงานหลิงก็ทรงพลังมากขึ้นอย่างคลุมเครือ

“ปณิธานเอกภพ?” ฉิงเทียนและคนที่เหลือพึมพำคำเหล่านั้น แม้จะมีความเข้าใจในใจ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถติดต่อกับระดับนั้นได้ จึงไม่สามารถอธิบายความลึกซึ้งได้

“ปณิธานเอกภพ?” มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองไปที่ยอดยุทธ์ทั้งสองที่เผชิญหน้ากับเทพปีศาจพร้อมกับความสั่นสะเทือนในใจ ดวงตาของเขากะพริบด้วยแสงพร่างพราวและมีความเข้าใจในใจ

“ในเส้นทางการฝึกฝนใดๆ สุดท้ายก็จะมาถึงจุดหมายปลายทางเดียวกัน จอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนสามารถกระตุ้นพลังงานเอกภพเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับตนเอง…”

“มหาพันภพมีปณิธาน โดยการสัมผัสถึงปณิธานนั้นเท่านั้นถึงจะสามารถสลักวิญญาณไว้ในมหาพันภพและกระตุ้นพลังงานเอกภพได้ ซึ่งระดับนั้นเป็นขอบเขตที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง” เสียงของเซียวเหยียนและหลินต้งดังก้องกังวาน ทำให้จอมยุทธ์คนอื่นๆ มึนเมาไปตามกัน

นั่นคือระดับในตำนานที่อยู่เหนือระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

“กระตุ้นพลังงานเอกภพ…” หัวใจของมู่เฉินตกตะลึง แม้ว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะสามารถควบคุมและเชื่อมโยงกับคลื่นหลิงในพื้นที่ส่วนหนึ่งของมหาพันภพ แต่ก็ไม่มีอะไรถ้าเทียบกับการควบคุมมหาพันภพทั้งหมด

เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าจะทรงพลังขึ้นเพียงใดหลังจากพลังงานเอกภพเสริมเข้าสู่ร่างกาย?

เซียวเหยียนมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิซึ่งมีสีหน้าเคร่งขรึม “ในอดีตท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้อาศัยพลังมหาพันโลกในการผนึกแก”

สายตาเทพปีศาจจ้องมองไปที่เซียวเหยียนและหลินต้งก่อนจะกล่าวว่า “ไม่คิดว่าพวกแกสองคนจะรู้ความลับนี้ แต่รู้อย่างเดียวก็ไม่มีประโยชน์!

“นับตั้งแต่มหาพันโลกอุบัติขึ้นก็มีเพียงไอ้ปู้ซิ่วเท่านั้นที่สามารถกระตุ้นปณิธานเอกภพได้”

“ดังนั้นไม่ว่าวันนี้แกสองคนจะพูดดีขนาดไหน มหาพันภพก็ถึงวาระสุดท้ายแล้ว”

เมื่อคำพูดสุดท้ายเปล่งออกไป รัศมีปีศาจทำลายล้างก็กวาดออก แม้แต่ทวีปใกล้เคียงก็ถูกกลืนกินเข้าไปในนั้น

ทว่าเมื่อประจันหน้ากับรัศมีปีศาจ เซียวเหยียนและหลินต้งกลับมีสีหน้าสงบ พวกเขาสบตากันก่อนที่จะหลับตาลง

ขณะที่พวกเขาหลับตาลง หัวใจของจอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็สั่นสะท้าน เนื่องจากพวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงแรงสั่นสะเทือนที่มาจากทุกมุมของมหาพันภพ…

ตู้ม!

จากนั้นพลังงานหลิงในมหาพันภพก็ปะทุขึ้น ทำเอาจอมยุทธ์ทุกคนต้องเงยหน้าขึ้น พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังแห่งจิตวิญญาณที่น่าทึ่งกำลังรวมตัวมาที่ดินแดนวั้นมู่

พลังงานหลิงนี้ทรงพลังมากจนแม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็รู้สึกหวาดกลัว

มู่เฉินและคนอื่นๆ เงยหน้าขึ้นมองไปในกลางอากาศ รัศมีปีศาจรุนแรงบริเวณนั้นเริ่มแปรปรวนราวกับว่าถูกฉีกออกโดยบางอย่าง…

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ลำแสงหลิงพุ่งลงมาจากท้องฟ้าทะลุผ่านรัศมีปีศาจ เพียงไม่กี่สิบลมหายใจสั้นๆ รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากที่โหมกระหน่ำในทวีปต่างๆ ก็เต็มไปด้วยรูพรุน…

ลำแสงเหล่านั้นแตกต่างจากคลื่นหลิงทั่วไปอย่างสิ้นเชิง ดูเหมือนว่าจะมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว เพียงริ้วเดียวก็สามารถทำให้คลื่นต่างๆ สั่นสะเทือน

เซียวเหยียนและหลินต้งลืมตาขึ้นพร้อมความเย็นเยือกขณะมองไปที่เทพปีศาจจักรพรรดิ ในเวลาเดียวกันเสียงของพวกเขาก็ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน

“ในเมื่อแกไม่เชื่อ เราก็จะให้แกเป็นพยานด้วยตัวเอง แม้ว่าท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์จะสิ้นชีพไปแล้ว แต่แกก็ไม่สามารถดูถูกเหยียดหยามมหาพันภพได้…”

ขณะที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากกวาดไปทั่วทุกหัวระแหง

ทุกสรรพชีวิตในมหาพันภพก็เงยหน้าขึ้นด้วยความกลัว พวกเขามองไปทางทิศเหนือที่ตั้งของดินแดนวั้นมู่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่น่ากลัวที่ปกคลุมไปทั่ว

ความรู้สึกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว

ภายในดินแดนวั้นมู่

เหล่าจอมยุทธ์หน้าซีดเผือดลงเมื่อมองไปที่รัศมีปีศาจ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอย่างหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยังอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับความไม่สบายใจ

เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นอิสระแล้ว การพยายามปราบปรามอีกครั้งก็ยากราวกับจะขึ้นสวรรค์

สำหรับมหาพันภพนี่เป็นหายนะอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเหล่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนเห็นเทพปีศาจจักรพรรดิ พวกเขาก็ถอยออกไปทันทีไม่สนใจพวกฉิงเทียนอีกเลย เหล่านักรบปีศาจจำนวนมากมายืนเบื้องหน้าเทพปีศาจก้มหัวลงด้วยความเคารพต่อจักรพรรดิแห่งตน

“ยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านเทพปีศาจ!”

เผชิญหน้ากับเทพปีศาจจักรพรรดิ แม้แต่ประมุขเผ่าต่างๆ ก็แสดงความเคารพโดยไม่มีความเย่อหยิ่งใดๆ ตรงกันข้ามพวกเขามีความกลัวและนับถือในใจ

ที่เบื้องหลัง รัศมีปีศาจแผ่กระจายออกมานับไม่ถ้วน นักรบปีศาจมากมายคุกเข่าพร้อมกับร่างกายสั่นเทา “ยินดีต้อนรับท่านเทพปีศาจ!”

เมื่อเสียงดังก้องออกไป ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับหัวใจสั่นสะท้าน

ฟิ้ว!

ร่างแสงกลุ่มหนึ่งทะยานเข้ามา พวกเขาคือจักรพรรดิมังกรแท้จริง จักรพรรดิหงส์ฟ้าแท้จริงและประมุขเผ่าสัตว์อสูรสูงสุดอื่นๆ

“ฉิงเทียน พวกเจ้าเป็นอะไรไป? ทำไมไอ้ปีศาจนั่นถึงเป็นอิสระได้!” เสียงกราดเกรี้ยวของจักรพรรดิมังกรแท้จริงดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ขณะที่มองไปที่ทั้งสามคนอย่างโกรธเกรี้ยว

ฉิงเทียนฉายสีหน้าขมขื่นตอบว่า “ความผิดทั้งหมดเป็นของข้า ถ้าไม่ใช่เพราะเมล็ดพันธุ์หัวใจปีศาจ พวกจักรวรรดิปีศาจต่างมิติก็ไม่มีโอกาสทำลายผนึกได้”

“จักรพรรดิมังกรแท้จริง ไม่มีประโยชน์ที่จะพูดเรื่องนี้แล้ว สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คือคิดหาวิธีจัดการกับเทพปีศาจก่อน” ชิงซันส่ายหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ

จักรพรรดิมังกรแท้จริงเงยหน้าขึ้นมองไปที่เผ่าปีศาจจากนั้นก็ยิ้มเฝื่อน “เราจะทำอะไรได้อีก? เจ้าก็รู้ว่าเทพปีศาจนั้นน่ากลัวแค่ไหน! แม้แต่ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังต้องสละชีวิตเพื่อผนึก แล้วตอนนี้มีใครในมหาพันภพจะหยุดมันได้อีก?”

ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงเช่นนี้ แม้แต่ยอดยุทธ์อย่างพวกเขาก็รู้สึกไร้พลัง

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็สู้ตายเท่านั้น” ใบหน้าปู้สื่อกระตุกขณะที่พูดอย่างไม่แยแส

ทุกคนสบตากันพลางถอนหายใจ แต่ในดวงตาฉายแววตัดสินใจมุ่งมั่นแล้ว พวกเขาลิ้มรสความโหดเหี้ยมของเผ่าปีศาจมาแล้ว หากตกอยู่ในเงื้อมมือพวกมัน สิ่งมีชีวิตทุกชนิดก็จะถูกกดขี่และเลี้ยงไว้เป็นสัตว์ ในเมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาขอสู้ตายดีกว่า

มองไปที่ด้านนอกมู่เฉินก็มีสีหน้าเคร่งเครียดพร้อมกับความเฉียบคมวูบไหวในดวงตา

ลั่วหลียืนอยู่ข้างๆ มู่เฉิน ดวงหน้าเรียวเล็กก็แสดงความเคร่งขรึม แม้แต่นางก็รู้สึกหวาดกลัวจากสถานการณ์นี้

เมื่อรู้สึกถึงอารมณ์คนรักที่ด้านข้าง มู่เฉินก็จับมือนางเบาๆ “ไม่ต้องกังวล ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน เจ้าจะต้องปลอดภัยตราบเท่าที่ข้ายังมีลมหายใจ”

ความอบอุ่นจากฝ่ามือของเขาส่งผ่านมาทำให้เกิดความสงบขึ้น นางกระชับมือมู่เฉินเสียงดังแผ่วเบา “แค่อยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่กลัวแม้แต่ความตาย”

เมื่อมองไปที่ลั่วหลี มู่เฉินก็ยิ้มและรู้สึกเชื่อมั่นในหัวใจ

แม้เทพปีศาจจะน่ากลัว ทว่าเพื่อปกป้องคนที่รัก เขาจะกลัวความตายทำไม?

แม้จะต้องเผชิญกับความสิ้นหวัง คนอย่างมู่เฉินก็ไม่เคยกลัว

เหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ตั้งปณิธานแน่วแน่ เทพปีศาจกวาดมองพรรคพวกที่ก้มหน้าลงพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรงพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว

“เซิ่งหมัว ทำได้ดีมาก”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนคุกเข่าลงมองไปที่เทพปีศาจพร้อมกับไฟโชนในดวงตา “ข้าทำตามแผนของท่าน”

เทพปีศาจยิ้มไม่แยแสพลางกวาดสายตาไปรอบๆ “แม้ว่าข้าจะออกจากผนึกได้ แต่พลังก็ลดลงอย่างมาก อาหารของข้าเตรียมไว้หรือยัง?”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนยิ้ม “ขุนจนอ้วนพีมานานแล้ว”

เมื่อเขาโบกมือมิติก็ฉีกออกจากกัน ภาพพิภพเขตล่างหลายแห่งก็ปรากฏขึ้น ซึ่งเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิต

ดวงตาของเทพปีศาจกะพริบด้วยความโหดร้ายขณะที่ยิ้มเย็นชา ด้วยการตวัดนิ้วรัศมีปีศาจหนาแน่นก็พุ่งเข้าสู่พิภพเขตล่าง ล้างผลาญสิ่งมีชีวิตทั้งหมดกลายเป็นหมอกเลือด…

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้องแม้จะมีขอบเขตของระนาบพิภพก็ตาม

ฮา

ขณะที่เทพปีศาจสูดลมหายใจ รัศมีปีศาจก็ถูกดึงกลับมา เลือดกลั่นถูกเขากลืนกินจนหมดสิ้น

เมื่อกินเลือดเข้าไป ร่างกายก็เริ่มขยายขนาดพร้อมกับรัศมีปีศาจน่ากลัวถูกปลดปล่อยออกมา

ในช่วงไม่กี่สิบลมหายใจร่างปีศาจก็บีบอัดตัวอย่างรวดเร็ว สุดท้ายร่างเงาหนึ่งก้าวออกมาจากรัศมีปีศาจ

ร่างนั้นช่างดึงดูดความสนใจของทุกคน เขาสวมเสื้อคลุมสีขาวปักรูปดวงดาว เมื่อเสื้อคลุมสะบัดขึ้นลงก็ปลดปล่อยรัศมีไร้ตัวตนออกมา

ภาพลักษณ์ช่างละเอียดอ่อนประหนึ่งหยก ดวงตาคู่ของเขาเป็นสีดำสนิทไม่มีสีขาวแทรกอยู่ ดูเหมือนหลุมดำสองหลุมที่สามารถกลืนกินทุกสรรพสิ่ง

นอกเหนือจากดวงตาคู่ก็ยังมีดวงตาสามดวงบนหน้าผาก แต่นอกจากดวงตรงกลาง อีกสองดวงก็ยังปิดลงอยู่

เทพปีศาจคนนี้มีลูกตาห้าดวง!

เมื่อมองไปที่เทพปีศาจชั่วร้าย ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ก็รู้สึกถึงความผันผวนที่คลุมเครือซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัว ชัดว่าหลังจากที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตจากพิภพเขตล่างไปหลายแห่ง เทพปีศาจก็ฟื้นฟูพลังได้แล้วบางส่วน

“แม้ว่าข้าจะฟื้นพลังได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง แต่ก็น่าจะเพียงพอแล้ว” เทพปีศาจก้มศีรษะลงพลางยิ้มให้กับจอมยุทธ์ของมหาพันภพ ทว่ารอยยิ้มนี้ช่างเต็มไปด้วยความโหดร้าย

ฉิงเทียน ปู้สื่อและจอมยุทธ์ขุมพลังทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอีกมากมายฉายสีหน้าเคร่งเครียด การรวมตัวของพวกเขาก็น่ากลัวมากแล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเทพปีศาจชุดขาว พวกเขากลับรู้สึกถึงไอเยือกเย็นลอยอวลเท่านั้น

“ดินแดนวั้นมู่ผนึกข้ามาสี่หมื่นเก้าพันปีและเต็มไปด้วยเลือดกลั่นของปู้ซิ่ว วันนี้ข้าจะทำลายมันเพื่อส่งสารบอกถึงการกลับมาของตัวเอง” เทพปีศาจกล่าวเสียงเบา

พูดจบดวงตาแนวตั้งก็วูบไหว ทันใดนั้นลำแสงสีดำก็ยิงออกมา

“เนตรผลาญชีวา”

ลำแสงสีดำขยายอย่างรวดเร็ว ดวงตาแนวตั้งที่หลุดออกมาก็ก่อร่างเป็นอุกกาบาตที่เหมือนถูกสร้างขึ้นจากความตาย พร้อมกับรัศมีความตายที่สามารถทำลายทั้งทวีปหากพุ่งลงจอด

เมื่อเห็นอุกกาบาต ใบหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป พวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากมัน

พลังนี้สามารถฆ่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลย!

“เคลื่อนไหวพร้อมกัน!” ใบหน้าของฉิงเทียนเปลี่ยนไปมาก รีบตะโกน

ไม่ต้องพูดให้มากความ จอมยุทธ์คนอื่นๆ ก็คำราม คลื่นหลิงเร้าพุ่งขึ้นสูง ฉีกฟ้าดินออกจากกัน ขณะที่การโจมตีทรงพลังซัดใส่อุกกาบาตสีดำไม่ยั้ง

ด้วยการออกกระบวนท่าของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายจำนวนมาก พลังก็น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด

ตู้ม ตู้ม!

ภายใต้สายตากังวลของทุกคน การโจมตีทั้งหมดก็ปะทะกับอุกกาบาตสีดำ

ปัง!

จังหวะที่ปะทะกันคลื่นกระแทกน่าสะพรึงกลัวก็กวาดออกทำลายทุกสรรพสิ่งในระยะหลายแสนลี้…

ขณะที่มิติพังทลายลงอย่างต่อเนื่อง ทุกคนก็มองไปที่จุดปะทะด้วยสายตาเคร่งเครียด

เมื่อคลื่นกระแทกค่อยๆ จางลงลำแสงสีดำก็พุ่งออกมาปรากฏในครรลองสายตาของทุกคน

นั่นคืออุกกาบาตที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีความตาย กระทั่งขนาดก็ไม่ได้หดลง การโจมตีประสานจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ซื้ด!

ทุกคนที่อยู่ในดินแดนวั้นมู่สูดลมหายใจเย็นพร้อมกับสีหน้าซีดขาว

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอย่างฉิงเทียนยังตกตะลึงไป พวกเขารู้สึกได้ว่าพลังที่อยู่ภายในนั้นเกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนไปแล้ว

“หรือนี่จะเป็นจุดจบของมหาพันภพจริงๆ?” ปู้สื่อพูดด้วยความสิ้นหวังเขียนอยู่ในดวงตา

“ขาตั๊กแตนขวางรถม้า”

เทพปีศาจจักรพรรดิส่ายหัวกับฉากนี้

“ปู้ซิ่วขอให้ศพของแกถูกทำลายไปพร้อมกับสุสานนี้ ไม่ต้องกังวลแกผนึกข้ามาสี่หมื่นเก้าพันปี ดังนั้นข้าจะชำระหนี้นี้ด้วยมหาพันภพ”

ฟิ้ว!

เมื่ออุกกาบาตฉีกผ่านมิติก็มาปรากฏเหนือสุสาน ทำให้ฉิงเทียนและคนอื่นๆ ทำอะไรไม่ถูกเลย ได้แต่ยืนมองมันพุ่งเข้ามา

“ทุกคน ปกป้องด้วยชีวิตเถอะ” ฉิงเทียนหลับตามือประสานกันด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว คลื่นหลิงในร่างกายเริ่มระเบิดขึ้น เขาตั้งใจจะระเบิดตัวตายเพื่อตอบโต้การโจมตีจากเทพปีศาจจักรพรรดิ

เหล่าจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนสายตากันพลางยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ โดยไม่มีคำพูดใดๆ คลื่นหลิงในร่างกายของพวกเขาก็เริ่มจุดชนวน

ทว่าเมื่อพลังงานในร่างกายของทุกคนเร้ามาถึงขีดจำกัด มิติก็ฉีกออกจากกันกะทันหัน คลื่นไร้ขอบเขตกวาดออกมาปกคลุมร่างพวกเขาไว้

ทันใดนั้นคลื่นหลิงที่อาละวาดภายในร่างกายก็ถูกยับยั้ง

ทุกคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นความผันผวนคุ้นเคย…

“ความผันผวนนี้…”

ขณะที่มิติฉีกออกจากกัน ร่างเงาสองร่างก็ยืนอหังการเหนือดินแดนวั้นมู่

“เพลิงจักรพรรดิ!”

“ฝ่ามือแปดเทวลิขิต!”

เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นเสียงก็ดังกึกก้องออกมาจากลำคอ

ฟู่!

เพลิงโชติช่วงพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้ากลายเป็นใบมีดกวาดข้ามขอบฟ้าพร้อมกับความร้อนแรงที่สามารถเผาผลาญโลกได้

ฝ่ามือซัดออกไปซึ่งมีพลังงานแตกต่างกันแปดชนิดหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ปะทะกับอุกกาบาตสีดำในเวลาเดียวกันกับใบมีดเพลิง

ตู้ม!

เวลานี้มิติสั่นสะท้านจากคลื่นกระแทกของการโจมตีสามสายและพังทลายลง แต่ครั้งนี้อุกกาบาตสีดำสั่นสะเทือนรุนแรงแล้วระเบิดออกภายใต้สายตาไม่อยากเชื่อของเผ่าปีศาจ…

นักรบปีศาจมองไปที่ดินแดนวั้นมู่ด้วยความตกใจหวาดหวั่น พวกเขาเห็นร่างสองร่างยืนอยู่ในห้วงมิติ เงาทั้งสองยืนเอามือไพล่หลังอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าสามารถพยุงท้องฟ้าทั้งหมดไม่ให้ร่วงลงมา

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ฝั่งมหาพันภพเห็นภาพเงาทั้งสองก็ตัวสั่นเทา “นั่นคือ…เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม!”

“ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่นี่แล้ว!!”

เสียงคำรามดังก้อง

ราวกับพายุโหมกระหน่ำออกมา ทำให้หมู่เมฆแตกสลาย ขณะที่บดบังแสง

ในดินแดนวั้นมู่จอมยุทธ์ทุกคนเงยหน้าขึ้นด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัว เมื่อมองไปที่เทพปีศาจ พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวสุดพรรณนาจากอีกฝ่าย

แม้แต่จอมยุทธ์ระดับหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งยังมีสีหน้าซีดขาวด้วยความครั่นคร้าม

เนื่องจากชื่อเสียงของเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งใหญ่เกินไป ในสมัยโบราณจักรวรรดิปีศาจต่างมิติภายใต้การนำทัพของเขาทำให้มหาพันภพพ่ายแพ้ยับเยิน หากไม่ใช่เพราะเทพจักรพรรดินิรันดร์จักรวาลแห่งนี้คงตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน…

ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้สละชีวิตเพื่อผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิ แต่ใครจะคิดว่าสี่หมื่นเก้าพันปีต่อมา เทพปีศาจคนนี้จะได้รับการปลดปล่อยในช่วงเวลาสุดท้าย

“เหลือหอกอีกสามเล่มเท่านั้นเอง!” เสียงของไท่หมิงสั่นพร่าด้วยความไม่เต็มใจ พวกเขารอเพียงหอกอีกสามเล่มเท่านั้นก็จะดับชีวิตเทพปีศาจจักรพรรดิได้ แต่ความพยายามทั้งหมดกลับสลายกลายเป็นอากาศธาตุในเวลานี้

“หรือว่านี่เป็นชะตากรรมของมหาพันภพจริงๆ?”

จอมยุทธ์หลายคนออกอาการเศร้าสลด

ที่ด้านนอกดินแดนวั้นมู่ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็รู้สึกได้ถึงรัศมีปีศาจน่าสะพรึงกลัว สีหน้าของพวกเขาก็ดูน่าเกลียดลงเช่นกัน

“สี่หมื่นเก้าพันปี! การทำงานหนักกว่าสี่หมื่นเก้าพันปีของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานหมดสิ้นกันแล้ว!” จักรพรรดิอมตะตัวสั่นสะท้านขณะกู่ร้อง

เขารู้สึกไม่เต็มใจ เนื่องจากอีกเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น หากพวกเขาสามารถยืนหยัดได้จนถึงหอกเล่มสุดท้ายซัดลงมา ภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมหาพันภพก็จะถูกทำลายไปตลอดกาล

แต่ตอนนี้เทพปีศาจจักรพรรดิเผยตัวใต้หล้าอีกครั้ง แล้วมหาพันภพจะใช้อะไรในการหยุดปีศาจตัวนี้ได้?

สีหน้าของฉิงเทียนและชิงซันก็มืดมนลงพร้อมกับแสงอ่อนจางวูบไหวในดวงตา พวกเขาได้ทำทุกอย่างที่ทำได้แล้ว แต่ใครจะคิดว่ากองทัพปีศาจจะมีแผนสำรองมากมายในวันนี้…

ทว่าฉิงเทียนไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นเขาจึงสงบอารมณ์อย่างรวดเร็ว เสียงตะโกนดังก้องไปทั่วดินแดนวั้นมู่ “ทุกคนฟังคำสั่ง เข้าควบคุมค่ายกลดับแสงพันปีศาจเพื่อฆ่าไอ้ปีศาจนี่ซะ! มันเพิ่งหลุดออกมา ยังอ่อนแออยู่มาก!”

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ผู้สิ้นหวังได้ยินเสียงของเขา พวกเขาก็ตื่นจากภวังค์พลางสบตากันก่อนที่จะกัดฟันและหมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายเทลงไปในโลงศพ

จากบันทึกโบราณต่างๆ พวกเขารู้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวเพียงใด ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ห้ามปล่อยให้ไอ้ปีศาจตัวนี้รอดไปได้ มิฉะนั้นจะเป็นการทำลายล้างมหาพันภพหากมันฟื้นขึ้นมา

ตู้ม ตู้ม!

ควบคู่กับการหมุนค่ายกล อักขระโบราณนับไม่ถ้วนก็รวมเข้าด้วยกันก่อนที่จะกลายเป็นลวดลายโบราณที่เต็มไปด้วยพลังลึกลับ

เทพปีศาจเงยหน้าขึ้นพร้อมกับความชั่วร้ายสุดพรรณนาในแววตา เมื่อมองไปที่ค่ายกลเสียงคำรามก็สะท้อนก้องขึ้นอีกครั้ง “ไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์ตายไปนานแล้ว พวกแกคิดว่าสามารถผนึกข้าด้วยค่ายกลกระจอกที่มันทิ้งไว้ข้างหลังเรอะ? ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว!”

เขาลอยตัวขึ้นไปในอากาศ รัศมีปีศาจแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็จะถูกฆ่าตายทันทีหากไปติดอยู่ในนั้น

“หยุดมัน!”

หมัวเฮอเทียนและคนอื่นๆ ร้องลั่น

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลวดลายโบราณถูกกระตุ้นพุ่งเข้าไปล้อมรอบตัวเทพปีศาจที่พยายามหลบหนีจากดินแดนวั้นมู่

“ไสหัวไป!” เมื่อเห็นลวดลายโบราณกำลังพล่านเข้ามา เทพปีศาจก็แผดเสียงตะโกนพร้อมกับซัดรัศมีปีศาจที่สามารถสังหารจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนได้อย่างง่ายดาย

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลวดลายโบราณเปล่งประกายแวววาวกลายเป็นม่านแสงทรงกลมห่อหุ้มเทพปีศาจเอาไว้

ชี่ ชี่!

รัศมีปีศาจปะทะเข้ากับม่านแสง เกิดเสียงดังฉ่าคล้ายกับหิมะต้องลาวา สลายไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นผลลัพธ์นี้ หม้วเฮอเทียนและคนอื่นๆ ก็เร้าพลังขึ้นมาทันที เนื่องจากดูเหมือนว่าค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะมีผลกับเทพปีศาจจักรพรรดิมาก

แสงเย็นเยือกวูบวาบไปทั่วดวงตาเทพปีศาจขณะที่เสียงดังก้อง “ต่อให้ตอนนี้เป็นสภาพที่อ่อนแอที่สุดของข้า แต่คิดว่าจะสามารถดักข้าไว้ได้ด้วยลวดลายเหล่านี้เรอะ?

“ลำแสงปีศาจโลกาวินาศ!”

เสียงคำรามดังก้องระหว่างฟ้าดิน เทพปีศาจอ้าปากปล่อยลำแสงปีศาจพวยพุ่งออกมา ลำแสงปีศาจนี้มีขนาดประมาณร้อยจั้ง เมื่อปรากฏขึ้นสวรรค์และโลกก็แยกออกจากกันพร้อมกับคลื่นหลิงถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเจอสิ่งน่ากลัว

ลำแสงปีศาจปะทะเข้ากับม่านแสงเบื้องบน พลังงานสองสายชนกันจังใหญ่ ลำแสงปีศาจกระจายความผันผวนที่ไม่สามารถอธิบายได้ มิติแตกออก กระทั่งเวลายังเฉื่อยลงภายใต้ลำแสงปีศาจนี้

ลวดลายโบราณเปล่งรัศมีออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่เสริมความแข็งแกร่งของม่านแสงพยายามที่จะต้านทาน

ทว่าลำแสงปีศาจน่ากลัวเกินไป หลังจากสิบกว่าลมหายใจม่านแสงก็เริ่มจางหายไปพร้อมกับรอยแตกปรากฏขึ้นบนลวดลาย

“ต่อให้ไอ้เทพจักรพรรดินิรันดร์ฟื้นขึ้นมาในวันนี้ มันก็อย่าคิดจะได้หยุดข้า!” เทพปีศาจคำรามเสียงดัง ลำแสงปีศาจขยายออก พริบตาก็ทะลุผ่านปราการม่านแสง

ลำแสงปีศาจนำพาร่างเทพปีศาจลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าพุ่งออกจากดินแดนวั้นมู่

ที่ด้านนอกปราการดินแดนวั้นมู่ แถวแสงที่สร้างขึ้นจากค่ายกลก็เหลือชั้นสุดท้ายเท่านั้น ขณะนี้ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อมองไปที่ร่างเทพปีศาจด้วยใบหน้าเขียวคล้ำ หากพุ่งผ่านปราการนี้ไปได้ เทพปีศาจจักรพรรดิก็จะเป็นอิสระแล้ว

“เราต้องหยุดมัน มิฉะนั้นเมื่อไรที่ไอ้เทพปีศาจนั่นหลุดไปได้ ก็จะไม่มีใครสามารถปราบปรามมันได้อีกต่อไป!” ทั้งสามคนพูดพร้อมกัน

“ฮ่าๆ พวกข้าจะยอมให้พวกแกขัดขวางท่านเทพได้อย่างไร? อยู่ตรงนี้และดูเฉยๆ!” แต่เมื่อทั้งสามกำลังจะทะยานออกไป เสียงหัวเราะก็ดังก้องขึ้น จอมปีศาจเซิ่งเทียนสาดสายตามองมาอย่างเย็นชา พร้อมกับการโบกมือ เขานำประมุขเผ่าปีศาจส่วนหนึ่งพุ่งเข้ามา

รัศมีปีศาจรุนแรงพวยพุ่งขึ้นกวาดเข้าใส่ยอดยุทธ์ทั้งสาม

ทว่าพวกฉิงเทียนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากหยุดและเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจ

ตู้ม ตู้ม!

ในเวลาเดียวกันร่างเงาของเทพปีศาจจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นใต้ขบวนแถวแสง ลำแสงปีศาจพุ่งออกมา เมื่อสัมผัสก็ทำให้เกิดความผันผวนรุนแรง แต่ไม่สามารถทะลุผ่านและค่อยๆ จางหายไป

“ถ้าข้าฟื้นเต็มกำลังก็สามารถทำลายได้ด้วยฝ่ามือเดียว แต่ตอนนี้คงต้องใช้พลังแก่นปีศาจแล้วเท่านั้น” ดวงตาเทพปีศาจไม่มีการกระเพื่อมใดๆ ขณะที่มองปราการชั้นสุดท้าย

พูดจบ รัศมีสีดำก็แยกออกจากร่างกายก่อร่างเป็นผลึกสีดำขนาดเท่ากำปั้นที่เบื้องหน้า

แม้ว่าผลึกสีดำจะไม่ได้เด่นตาอะไร แต่กลับมีความผันผวนของการทำลายล้างก่อตัวขึ้น

ที่ด้านหลังผลึกสีดำร่างเทพปีศาจก็หดตัวลงจนเหลือเพียงครึ่งหนึ่ง ชัดว่าได้เร้าพลังงานส่วนใหญ่ไปแล้ว

“ไป”

เทพปีศาจสะบัดนิ้ว ผลึกก็พุ่งออกไปปะทะกับขบวนแถวแสง

ขณะที่ประสานงากันก็ไม่มีความวุ่นวายใดๆ แต่ผลึกสีดำกลับแผ่ซ่านด้วยวงรัศมีดำมืดที่ผันผวน…

ความผันผวนดูเหมือนจะบรรจุด้วยพลังลึกลับ เมื่อกวาดออกขบวนแถวแสงที่ไม่ได้รับผลกระทบใดจากจอมปีศาจทั้งหลายก็เริ่มปรวนแปรแล้ว

เมื่อการสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้น แถวแสงก็เริ่มบางลง

ผลึกสีดำอ่อนกำลังและหดลงอย่างรวดเร็ว เมื่อมีขนาดเท่ากับเมล็ดพืชในที่สุดแถวแสงก็สลายหายไป กลายเป็นวงรัศมีว่างเปล่า

เมื่อมองไปที่วงรัศมีว่างเปล่าบนอากาศ เหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ก็มีสีหน้าซีดขาวสุดขีด

ขณะมองไปที่วงรัศมีว่างเปล่า ดวงตาไม่แยแสของเทพปีศาจจักรพรรดิก็วูบไหว ก่อนที่เขาจะหันกลับมามองดินแดนวั้นมู่ “ปู้ซิ่ว แกสละชีวิตเมื่อสี่หมื่นเก้าพันปีก่อนเพื่อผนึกข้า แต่คราวนี้ใครหน้าไหนในมหาพันภพจะหยุดข้าได้? ข้าเคยพูดไว้แล้วว่ามหาพันภพจะต้องเป็นของข้า…”

เพียงแค่เคลื่อนไหว รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็พุ่งออกมาจากวงรัศมี ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็เริ่มกระจายออก หลังจากที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการของค่ายกลดับแสงพันปีศาจ

ขณะนี้ทุกคนในมหาพันภพรู้สึกถึงความกลัวพลุ่งพล่านในหัวใจ

ยามนี้เทพปีศาจจักรพรรดิชั่วร้ายเผยตัวแล้ว

บนท้องฟ้า

ร่างเคลือบแก้วของมู่เฉินยืนตระหง่านพลางมองไปที่เจียงหยาที่ฝังตัวอยู่ในภูเขาอย่างไม่แยแส แขนขวาของเจียงหยาระเบิดออก ท่าทางดูน่าสมเพชมาก

ทว่าเจียงหยาช่างอึดถึกยิ่งนัก แม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้แต่ก็ยังมีชีวิตอยู่ มีเพียงเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดหลุดลอดออกมาจากลำคอ

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่เห็นฉากนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจมากก่อนที่จะหันไปมองมู่เฉินด้วยความเคารพในแววตา

หมัดของมู่เฉินใกล้เคียงกับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย

นอกเหนือจากฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อแล้ว แม้แต่ประมุขและผู้อาวุโสใหญ่ของห้าเผ่าโบราณยังต้องใช้อาวุธมหสวรรค์ประจำเผ่าช่วยเพื่อต่อต้าน

ในสมรภูมิอื่นเหล่าจอมยุทธ์ก็ตีกรอบล้อมเผ่าเสียหลิงเอาไว้ คุมสถานการณ์ด้วยความได้เปรียบด้านจำนวน พวกเขาบีบให้นักรบเผ่าเสียหลิงจนมุม ป้องกันไม่ให้เข้าใกล้ดินแดนวั้นมู่ได้

เมื่อฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเห็นสถานการณ์ถูกควบคุมไว้ได้ ท่าทางก็ดูผ่อนคลายลง

“ไอ้พวกสวะ” จอมปีศาจเซิ่งเทียนสบถอย่างเย็นชากับภาพนี้

“ข้าบอกไปแล้วว่า เผ่าชั้นต่ำเช่นนั้นวางใจไม่ได้” จอมปีศาจเฮยซือเทียนพูดต่อ “จบศึกครั้งนี้ก็ส่งไอ้พวกเผ่าเสียหลิง ให้ข้าเพื่อปรับแต่งเป็นศพปีศาจซะดีกว่า”

ดวงตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนวาบขึ้นด้วยความโหดร้าย “ตอนแรกยังคิดอยู่ว่าถ้าพวกมันบรรลุภารกิจได้สำเร็จ จะนับเผ่าเสียหลิงให้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิปีศาจ แต่ดูเหมือนพวกมันจะโชคไม่ดี”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้พวกมันช่วยเสียสละเพื่อจักรวรรดิปีศาจอีกนิดละกัน”

ทันใดนั้นรอยยิ้มโหดร้ายก็ผุดขึ้นบนใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียน เขาวาดตราประทับด้วยมือเดียว

ขณะที่จอมปีศาจเซิ่งเทียนสร้างตราประทับ อักขระสีดำก็ปรากฏขึ้นที่หว่างคิ้วของเจียงหยา เมื่ออักขระเต้นยุบยับก็แทงเข้าไปในกะโหลกศีรษะของเจียงหยา

ความเจ็บปวดรุนแรงมาจากสมองเจียงหยา ทำให้ร่างกายเขาเริ่มสั่นเทิ้มเส้นเลือดพล่านขึ้นในนัยน์ตา ทว่าตอนนี้ความสยดสยองฉายบนใบหน้าของเขา เนื่องจากเขารู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“เจียงหยาพานักรบเผ่าเจ้าเสียสละเพื่อจักรวรรดิปีศาจครั้งสุดท้าย ข้าจะจดจำการมีส่วนร่วมของพวกเจ้าไว้ ถ้าทำสำเร็จข้าสัญญาว่าเผ่าเสียหลิงจะไม่เป็นชนชั้นต่ำต้อยอีกต่อไป” เสียงไม่แยแสของเซิ่งเทียนดังก้องอยู่ในสมองของเจียงหยา

เจียงหยาพยายามดิ้นรน แต่สุดท้ายก็หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง เนื่องจากเขารู้ว่าเมื่อจอมปีศาจเซิ่งเทียนสร้างตราประทับปีศาจใส่ เขาก็หมดสิทธิ์ที่จะตอบโต้

แต่เขาจะทำอะไรได้? ด้วยความแข็งแกร่งของจักรวรรดิปีศาจการทำลายล้างเผ่าเสียหลิงก็เป็นเรื่องง่ายเพียงพลิกฝ่ามือ เพื่อสมาชิกเผ่าคนอื่นๆ เขาได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรมเท่านั้น

“ท่านจอมปีศาจเซิ่งเทียน หวังว่าท่านจะทำตามสัญญา” เจียงหยาตอบ

“แน่นอนอยู่แล้ว”

พร้อมกับเสียงไม่แยแสของเซิ่งเทียน ตราประทับปีศาจที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเจียงหยาก็ดิ้นราวกับว่าเป็นหนอนปีศาจนับไม่ถ้วนมุดเข้าไปในดวงตา

เพียงไม่กี่ลมหายใจดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีดำไร้ซึ่งสติปัญญาอีกต่อไป

ในเวลาเดียวกันนักรบเผ่าเสียหลิงก็ตัวแข็งทื่อ เนื่องจากผนึกปีศาจปรากฏขึ้นที่กลางคิ้วของพวกเขาเช่นกัน

ร่างของเจียงหยาเคลื่อนออกมาจากภูเขา เขาลอยอยู่บนท้องฟ้าโดยไม่มีความรู้สึกตัวใดๆ ในสายตา

เมื่อมองภาพนี้คิ้วของมู่เฉินก็ขมวดเข้าหากันพลางรู้สึกไม่สบายใจ รัศมีไร้ขอบเขตรวมอยู่ในหมัด เตรียมพร้อมที่จะทำลายเจียงหยา

แต่ขณะที่กำลังจะออกกระบวนท่า ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงลมกวาดผ่านจากทางด้านหลัง นักรบเผ่าเสียหลิงบินเข้าไปข้างเจียงหยา มือของพวกเขาจับกันเป็นวงกลมโดยมีเจียงหยายืนอยู่ตรงกลาง

“ทุกคนโจมตีพวกมันซะ!”

มู่เฉินหดตาขณะตะโกนไปทางเหล่าจอมยุทธ์ที่พุ่งเข้ามาโดยไม่ลังเลใดๆ

พูดจบ เขาก็เป็นคนแรกที่เคลื่อนไหวเหวี่ยงหมัดออกไป ดวงอาทิตย์พุ่งออกมาปกคลุมร่างนักรบเผ่าเสียหลิง

ขณะที่มู่เฉินปลดปล่อยการโจมตี ตราประทับปีศาจบนร่างนักรบเผ่าเสียหลิงก็ฝังเข้าไปในร่างกายของพวกเขา ร่างก็เริ่มขยายตัวอย่างรุนแรง

ในเวลาเดียวกันความผันผวนป่าเถื่อนก็แทรกซึมออกมาจากร่างกายของพวกเขา

“พวกมันกำลังจะระเบิดตัวเอง!”

บรรดาจอมยุทธ์ที่เข้าใกล้ต่างรู้สึกครั่นครามกับภาพนี้ นักรบเผ่าเสียหลิงล้วนเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุน มิหนำซ้ำยังมีเจียงหยาที่อยู่ในขั้นเซิ่งระยะกลาง

ถ้าพวกมันระเบิดตัวเองจะน่ากลัวขนาดไหน?

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังต้องเลี่ยงไปให้ไกล!

ดวงตาของมู่เฉินหดลง เขาไม่คิดว่าเผ่าเสียหลิงจะบ้าคลั่งถึงขนาดนี้

ตู้ม!

ทว่าไม่รอให้เขาได้มีความคิดอื่น ทันใดนั้นลำแสงปีศาจก็พุ่งออกมาจากร่างนักรบเผ่าเสียหลิง ร่างเหล่านี้ก็ระเบิดตัว…

เมฆสีดำขนาดมหึมาทรงคล้ายเห็ดลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ปกคลุมผืนฟ้าและผืนโลกพร้อมกับคลื่นกระแทกที่น่าสะพรึง แม้ว่ามู่เฉินกับคนอื่นๆ จะถอยออกไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังต้องกระเด็นออกไปจากแรงกระแทก

ฟิ้ว!

ขณะที่เมฆลอยขึ้น ลำแสงปีศาจก็ดิ่งลงมาบนพื้นเจาะทะลวงลงไป ปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัว ทำลายภูเขาลูกแล้วลูกเล่าให้กลายเป็นหน้ากลอง…

“นรกเอ้ย!”

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้านกับฉากนี้ เนื่องจากเขาเห็นลำแสงฉีกรูขนาดใหญ่บนตาข่ายและขวางไม่ให้ฟื้นตัว

ตู้ม ตู้ม!

ทั้งดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนรุนแรง เสียงคำรามดุร้ายดังสะท้อนจากใต้พิภพ รัศมีปีศาจสีดำรวมตัวกันบริเวณรอยฉีกบนตาข่าย

“เร็ว! เร็วเข้า! หมุนค่ายกล เทพปีศาจจักรพรรดิกำลังจะหนีไปแล้ว!” เมื่อหมัวเฮอเทียนและจอมยุทธ์คนอื่นๆ เห็นภาพนี้ ใบหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันที

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกเทลงในค่ายกล หอกก่อตัวขึ้นอีกครั้งพุ่งลงมาที่ช่องโหว่ของตาข่าย

โฮก!

เสียงปีศาจหอนก้อง หมอกปีศาจลอยขึ้นไปในอากาศ ขณะที่ผันแปรก็กลายเป็นกะโหลกขนาดใหญ่พลางปะทะกับหอก

ปัง!

การปะทะครั้งใหญ่ทำให้ภูมิภาคสั่นสะเทือน กะโหลกแตกร้าวแต่หอกก็โปร่งใสมากขึ้น แม้ว่าสุดท้ายจะซัดลงในใต้พิภพ ทว่าพลังอ่อนแอกว่าแต่ก่อนมาก

“หืม นั่นอะไรน่ะ?!”

มู่เฉินมองฉากนี้ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นม่านตาก็หดลง เพราะเห็นบนรอยแตกที่พื้นมีเลือดไหลลงสู่ใต้พิภพ

ภายในเลือดเอิบอาบด้วยรัศมีปีศาจ

“นั่นคือแก่นโลหิตปีศาจ! เวรเอ้ย บนร่างนักรบเผ่าเสียหลิงมีแก่นโลหิตจำนวนมาก!” เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์ก็เขียวคล้ำพลางคำราม

“พวกมันพยายามใช้แก่นโลหิตเพื่อฟื้นฟูพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิ!”

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมอย่างน่ากลัวขณะพุ่งตัวลงไป ในเวลาเดียวกันเขาก็อ้าปาก เพลิงสีม่วงพุ่งออกมาก่อนที่จะเริ่มแผดเผาแก่นโลหิตเหล่านี้

แต่เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหว ดวงตาชั่วร้ายก็ปรากฏขึ้นในเหวจับจ้องไปที่มู่เฉิน

“กลิ่นแมลงสาบของแกทำให้ข้าขยะแขยง ไสหัวไป!”

เสียงปีศาจแหลมคมดังก้องออกมาพร้อมกับรัศมีปีศาจน่าสะพรึงกระทบบนร่างกายของมู่เฉิน

ปัง!

ด้วยแรงปะทะทุกข์ทรมาน มู่เฉินถลาออกไปพร้อมกับรอยเลือดที่มุมปาก ใบหน้าเขาฉาบความหวาดผวา เขาไม่คิดว่าหลังจากหลอมรวมกับร่างมหาเทพนิรันดร์แล้ว ก็ยังไม่สามารถรับลมหายใจปีศาจได้แม้แต่ครั้งเดียว

ฟู่ ฟู่

พายุปีศาจเย็นเยียบพัดมาดับเพลิงม่วงไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันแก่นโลหิตเหล่านั้นก็ฝังตัวลงไปในพื้นโลก เหมือนจะมีปากมหึมากลืนกินเข้าไปทั้งหมด

เมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิกลืนกินเลือดกลั่นเข้าไป ดินแดนวั้นมู่ก็โยกคลอนรุนแรง ราวกับว่าใกล้จะพังทลาย

“เสริมคลื่นหลิงลงไป! อย่าปล่อยให้เทพปีศาจจักรพรรดิหนีพ้นไปได้!” หมัวเฮอเทียนคำรามขณะที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อ

ทว่าเมื่อสิ้นเสียงคำรามของพวกเขา เสาปีศาจขนาดมหึมาก็ทะยานขึ้นจากช่องโหว่ของตาข่าย รัศมีปีศาจสร้างหายนะพร้อมกับแรงกดดันปีศาจที่ไม่สามารถอธิบายได้แผ่ออกมา

ปัง ปัง ปัง!

โลงศพสัมฤทธิ์บางส่วนถูกกระทบและระเบิดออก รัศมีปีศาจกวาดล้างเหล่าจอมยุทธ์ที่นั่งอยู่ ไม่รอให้พวกเขาร้องเสียงหลง เลือดของพวกเขาก็ถูกดูดจนแห้งกรัง ร่างสลายเป็นฝุ่น…

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า!”

ใบหน้าเหล่าจอมยุทธ์ถอดสี รัศมีปีศาจในเสากลั่นตัวเป็นรูปร่างคลุมเครือ เมื่อยืนอยู่บนท้องฟ้าร่างพร่ามัวนั้นก็ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกมืดลงพร้อมกับแรงกดดันที่อธิบายไม่ได้กลืนกินทุกสรรพสิ่ง เมื่อมองจากระยะไกลก็ประหนึ่งเทพปีศาจยาตรามาเลยทีเดียว

เสียงหัวเราะเสียดแทงดังก้องไปทั่วภูมิภาค ร่างนั้นมองไปที่ค่ายกลดับแสงพันปีศาจ เสียงของเขาดังก้องออกไปนอกดินแดนวั้นมู่ กระจายไปยังทวีปโดยรอบ…

“เทพจักรพรรดินิรันดร์ความพยายามทั้งหมดของแกล้มเหลวหลังจากผ่านไปสี่หมื่นเก้าพันปี สุดท้ายข้าคือผู้ชนะ!”

“ทักษะเหยินฝ่าเหอยี—คนวิทยายุทธรวมเป็นหนึ่ง!”

เสียงดังก้องภายในหัวใจของมู่เฉิน ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็สวมเข้ามาในร่างของมู่เฉิน อึดใจต่อมารัศมีก็ระเบิดออก

ทุกเกลียวรัศมีบรรจุด้วยพลังน่ากลัว

ตู้ม ตู้ม!

มหาสมุทรพลังพวยพุ่งขึ้นรอบๆ มู่เฉินพร้อมกับแรงกดดันน่ากลัวซึ่งทำให้มิติแตกออกเป็นเสี่ยงๆ พลังงานหลิงทรงประสิทธิภาพอย่างยิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางปลายสุดก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

ที่ด้านนอกขอบเขตค่ายกลดับแสงพันปีศาจ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็สัมผัสได้เช่นกัน พวกเขาลดศีรษะลงมองไปที่ดินแดนวั้นมู่ จากนั้นสายตาก็หยุดลงชั่วครู่อยู่ที่มู่เฉินด้วยความตกใจ

“เขากำลังจะใช้ทักษะเหยินฝ่าเหอยี…เขากล้าหาญเกินไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นของร่างมหาเทพนิรันดร์ด้วย! หลังจากได้รับการขัดเกลาตามกาลเวลาและบรรจุด้วยพลังนิรันดร์ กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ยังไม่กล้าที่จะใช้ทักษะนี้สักนิด”

สีหน้าของทั้งสามเปลี่ยนไปเป็นความกังวล พวกเขารู้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์ทรงพลังเพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงรู้โดยธรรมชาติว่าแม้แต่กายาเซิ่งของมู่เฉินก็ยังยากลำบากมากในการแบกรับต่อสิ่งนี้

ตู้ม ตู้ม!

ภายใต้สายตาเป็นกังวลของทุกคน คลื่นหลิงภายในร่างกายของมู่เฉินก็พวยพุ่งรุนแรง ในขณะเดียวกันร่างกายเขาก็เริ่มขยายขนาดขึ้นพร้อมกับมัดกล้ามบนร่างกายโป่งนูนออกมา ตอนนี้เขาดูน่าสะพรึงกลัวมาก

ปัง!

เมื่อมัดกล้ามเหล่านั้นปริออก เลือดสดก็หยดแหมะ ร่างกายถูกย้อมด้วยเลือดทันที

รอยแตกเริ่มกระจายออกไปบนร่างกายราวกับเขาเป็นกระเบื้องเคลือบที่แตกร้าว

นั่นเป็นเพราะร่างกายของเขาไม่สามารถทนต่อการขยายตัวของคลื่นหลิงได้

“เฉินเอ๋อ!”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งซีดขาวกับภาพเบื้องหน้า คลื่นหลิงรอบตัวผันผวนไปหมด

“ชิงเหยี่ยนจิ้งตั้งสมาธิ! อย่าเพิ่งผลีผลาม!” ไท่หมิงตะเบ็งเสียงลั่น พวกเขาทั้งห้าเป็นเสาหลักของเหล่าจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพเพื่อทำลายล้างพลังชีวิตของเทพปีศาจจักรพรรดิ หากชิงเหยี่ยนจิ้งออกไปในเวลานี้ละก็ จะทำให้เกิดช่องโหว่ในการหมุนเวียนค่ายกลอย่างแน่นอน

ในเวลาแบบนี้ช่องโหว่เพียงเล็กน้อยก็ทำให้สถานการณ์พลิกผันได้

ชิงเหยี่ยนจิ้งตระหนักได้เช่นกัน ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงกัดฟันบังคับตัวเองเบี่ยงเบนความสนใจจากมู่เฉิน

ปัง ปัง!

ร่างกายของมู่เฉินยังคงระเบิดต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าถ้าไม่ปริแตกออกทั้งร่าง การขยายตัวของพลังงานภายในร่างกายก็จะไม่หยุดนิ่ง

ยามนี้หัวใจของเขาผันผวนเนื่องจากคลื่นหลิงรุนแรงในร่างกาย เขาไม่สามารถควบคุมพลังได้ ดังนั้นเขาทำได้เพียงกัดฟันและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมคลื่นหลิงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อหมุนเวียนทักษะนี้

ฟิ้ว!

ขณะที่มู่เฉินพยายามอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ภายในร่างกาย เจียงหยาก็สังเกตเห็นสิ่งนี้เช่นกัน พร้อมกับรอยยิ้มน่ากลัว ร่างสัตว์ประหลาดก็ทะยานเข้ามา

“ทุกคนกันไว้หน่อย”

เมื่อเจียงหยาพุ่งเข้ามา จอมยุทธ์สิบกว่าคนก็ทะยานออกไปโดยมีลั่วหลีนำทัพ นางหันไปกล่าวกับคนอื่นๆ

“ได้ แต่พวกเราคงไม่สามารถรั้งไว้ได้นาน ดังนั้นช่วยราชันมู่ฟื้นตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้” เหล่าจอมยุทธ์ไม่ลังเลเลย เนื่องจากมีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่สามารถเผชิญหน้ากับประมุขเผ่าเสียหลิงได้ในขณะนี้

ลั่วหลีพยักหน้าไปปรากฏที่เบื้องหน้ามู่เฉิน ฝ่ามือเรียวผสานกัน แผนภาพโบราณเผยขึ้น นี่ก็คืออาวุธมหสวรรค์ของเผ่าไท่หลิง—แผนภาพวิญญาณโบราณ

ลั่วหลีบอกได้ว่าตอนนี้มู่เฉินกำลังสูญเสียการควบคุมคลื่นหลิงในร่างกาย แผนภาพวิญญาณโบราณสามารถจัดระเบียบคลื่นหลิงได้ ภายใต้แผนภาพแม้แต่คลื่นหลิงรุนแรงก็จะเชื่องลง

ทว่าคลื่นหลิงของร่างมหาเทพนิรันดร์มาจากแก่นอมตะ ดังนั้นแม้แต่แผนภาพวิญญาณโบราณก็ไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด แต่ก็ช่วยให้มู่เฉินคลายความกดดันลงได้บ้าง

ลั่วหลีฉายท่าทางเคร่งเครียด รีบสร้างตราประทับขึ้น แผนภาพวิญญาณโบราณคลี่ออกก่อนที่จะลอยอยู่เหนือศีรษะของมู่เฉิน ความอบอุ่นส่องลงมาปกคลุมร่างกายของมู่เฉินเอาไว้

ภายใต้รัศมีกระจ่างใส คลื่นหลิงรุนแรงภายในร่างกายของมู่เฉินก็เริ่มอ่อนลง มีไออากาศเย็นที่ไหลเข้ามาลบล้างคลื่นหลิงที่รุนแรง

มู่เฉินรีบคว้าโอกาสเทพลังงานลงไปในทักษะเทพทันที

วิชาสามพิสุทธิ์!

พริบตาร่างรองสองร่างก็ปรากฏออกมา พวกเขายื่นมือไปแตะไหล่มู่เฉินราวกับสะพาน เชื่อมโยงให้คลื่นหลิงที่ระเบิดภายในร่างกายของมู่เฉินไหลมาสู่ร่างรองทั้งสอง

ร่างรองทั้งสองมีต้นกำเนิดมาจากมู่เฉิน ดังนั้นจึงสามารถรับคลื่นหลิงแก่นนิรันดร์ได้เช่นกัน มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็ไม่กล้าดูดซับคลื่นหลิงเข้าสู่ร่างกายพวกเขาได้

ตู้ม ตู้ม!

เมื่อมีร่างรองทั้งสองช่วยเหลือ การอาละวาดภายในร่างกายมู่เฉินก็เริ่มนิ่งลง แม้ว่าเขาจะยังรู้สึกเจ็บปวดทั่วสรรพางค์กาย แต่ก็ไม่มีการระเบิดอีกต่อไป

ขณะที่รัศมีเริ่มไหลเวียนบนพื้นผิวร่างกายของมู่เฉิน แม้แต่เส้นผมก็เริ่มโปร่งใส

เพียงสิบกว่าลมหายใจร่างกายของมู่เฉินก็คล้ายกับกระจกใสขณะเขายืนตระหง่านอยู่บนท้องฟ้า เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่ไม่สามารถอธิบายได้ประหนึ่งพระพุทธรูปโบราณ

ร่างกายเริ่มเปล่งประกายความโบราณ ราวกับว่าเขาผ่านยุคดั้งเดิมและรอดพ้นจากการกัดกร่อนของกาลเวลา

ชิงเหยี่ยนจิ้งและจอมยุทธ์คนอื่นๆ มองไปที่ฉากนี้ด้วยความตะลึงงัน ไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะบรรลุเป้าหมายนี้

“เป็นเช่นนี้เอง… เขาใช้วิชาสามพิสุทธิ์ซับพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์ แม้ว่าจะเป็นแค่ชั่วคราว แต่เขาก็ยังทำได้…”

“ตอนนี้เขาคงสามารถสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลย”

พวกเขาสบตากันและอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความชื่นชม มิน่าล่ะมู่เฉินถึงกล้าทำเช่นนี้ ที่แท้ก็มีแผนอยู่แล้ว แต่วิธีนี้ก็น่าตกใจอย่างยิ่ง

บนท้องฟ้า มู่เฉินลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ม่านตาสีดำก็เปลี่ยนเป็นโปร่งใสลึกซึ้ง ราวกับว่ากินลึกยิ่งกว่าท้องฟ้าแห่งทางช้างเผือก

มู่เฉินหันหน้าไปมองร่างรองทั้งสอง ตอนนี้พวกเขาก็มีร่างโปร่งใส แต่ไม่สามารถขยับได้เนื่องจากพลังภายในร่างกายรุนแรงเกินไป เมื่อเคลื่อนไหวอาจระเบิดได้เลยทีเดียว

ทว่ามู่เฉินกลับมองไปที่ร่างรองทั้งสองด้วยดวงตาวูบไหว เนื่องจากเมื่อสักครู่เขาเหมือนจะเกิดความเข้าใจบางอย่าง…

ซึ่งก็คือขั้นสามของวิชาสามพิสุทธิ์—สามพิสุทธิ์ในตำนาน

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จักรพรรดิฟ้าก็ยังแตะไปไม่ถึง

ตอนแรกมู่เฉินก็ไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เมื่อเขาเทพลังของร่างมหาเทพนิรันดร์ให้กับร่างรองทั้งสอง ทั้งสามคนก็เหมือนจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่ลึกซึ้งแผ่วเบา

มู่เฉินครุ่นคิด แต่ก็ระงับใจไว้ชั่วคราวก่อนจะเงยหน้าขึ้น ดวงตาเปล่งประกายของเขามองไปที่เจียงหยาที่กำลังโรมรันพันตูกับการขัดขวางของจอมยุทธ์สิบกว่าคน แต่ช่างดูดุร้ายเหมือนเสือในฝูงแกะ เพียงโบกมือเบาๆ คนอื่นๆ ก็ถูกซัดกระเด็นจนต้องถอยออกไป

แต่ขณะที่เจียงหยากำลังจะเริ่มลงมือสังหารร่างกายก็ต้องแข็งทื่อ เขารู้สึกราวกับว่ากำลังถูกจ้องมองโดยยมทูต ทำให้เขารู้ว่าตัวเองจะต้องทนทุกข์จากการทำลายล้างหากเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย

เขาเงยหน้าขึ้น ม่านตาสีม่วงดำก็มองไปเห็นม่านตาโปร่งใส ดวงตาเขาหดลงทันใดและรู้สึกถึงอันตรายที่เกิดขึ้นในใจ

มู่เฉินซึ่งอยู่ภายใต้สภาวะนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัว

เมื่อมองไปที่เจียงหยามู่เฉินก็ยิ้มอ่อน ก่อนที่เขาจะวับหายไปในช่วงเวลาต่อมา

เจียงหยาตัวแข็งทื่อก่อนที่จะถอยออกไปโดยไม่ลังเล ในเวลาเดียวกันคลื่นหลิงสีม่วงดำก็กวาดออกก่อตัวเป็นชั้นการป้องกันรอบตัว

วาบ!

ร่างของมู่เฉินปรากฏต่อหน้าเจียงหยา เขามองไปที่การป้องกันอย่างไม่แยแส ก่อนที่จะกำหมัดชกลงมา

ปัง!

เมื่อหมัดชกลงมา รัศมีโปร่งใสก็รวมตัวกัน ท้องฟ้าพังทลายลงขณะคลื่นหลิงเพิ่มพูนในทิศทางของหมัดมู่เฉิน

หมัดพุ่งลงมาราวกับเป็นดวงอาทิตย์ดวงใหญ่

ปัง ปัง ปัง!

การป้องกันของเจียงหยาพังพินาศลงทันที เขาส่งเสียงร้องโหยหวน หมุนเวียนคลื่นพลังทั้งหมดไปที่แขน ลวดลายน่ากลัวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น

ตึง!

ดวงอาทิตย์คล้อยลงปะทะกับแขนปีศาจ

เกลียวแสงนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน มากจนแม้แต่ฉิงเทียนและจอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ยังต้องหันไปจับจ้อง

ปัง!

ขณะที่การปะทะยิ่งใหญ่ดังกึกก้อง ท้องฟ้าก็ถล่มลง ทุกคนเห็นดวงอาทิตย์ตกลงมาบดบังรัศมีปีศาจสีม่วงดำ แขนทั้งข้างของเจียงหยาระเบิดออก…

อ๊าก!

เสียงร้องดังสะท้อนก้อง เจียงหยากระเด็นกลับ ร่างกระแทกลงบนภูเขาหลายลูกที่ขวางทาง ภูเขาเหล่านั้นพังทลายลงก่อนที่เจียงหยาจะถูกฝังลงไปในภูเขาห่างไกลซึ่งร่างปกคลุมไปด้วยเลือด ครึ่งหนึ่งของร่างกายของเขาแหลกเหลวไปหมด…

ทุกคนสูดลมหายใจเย็นกับฉากนี้ โดยเฉพาะหมัวเฮอเทียน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจหวาดหวั่นกับหมัดของมู่เฉินที่ทรงพลังปานนี้

ถ้าเขาไม่ได้ใช้ขวดมหาเพลิงวารี เขาอาจจะถูกฆ่าตายทันทีด้วยหมัดนั่น

“ไอ้หนูนี่…”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่ร่างเคลือบแก้วบนท้องฟ้าโดยที่มุมริมฝีปากกระตุกไม่หยุด เขาถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เนื่องจากเขารู้ดีว่าการเผชิญหน้ากับมู่เฉินที่กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่มีโอกาสที่เผ่าหมัวเฮอจะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์คืน…

เพราะชายหนุ่มคนนี้กำลังเข้าใกล้ตำนานแล้ว

ตำนานเทพจอมยุทธ์ที่เคยแข็งแกร่งที่สุดแห่งมหาพันภพ—เทพจักรพรรดินิรันดร์

ตู้ม ตู้ม!

ขณะที่ร่างมนุษย์ปีศาจยืนอยู่บนท้องฟ้า แรงกดดันที่น่ากลัวก็ปลดปล่อยออกมาทำเอาฟ้าดินขมุกขมัวลง เหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่บนโลงศพต่างมองดูด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งขรึม พวกเขาตกใจจากแรงกดดันของปีศาจที่เกิดขึ้นนี่

แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งบางคนก็ยังขมวดคิ้วด้วยความกังวล เจียงหยาทรงพลังมาก กระทั่งอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางก็ยังอยู่ในอันดับต้น ๆ

เมื่อเผชิญหน้ากับนักรบแบบนี้แม้แต่หมัวเฮอเทียนก็เปรียบไม่ได้ เว้นแต่เขาจะใช้ขวดมหาเพลิงวารีเท่านั้น

มู่เฉินที่ยืนอยู่บนท้องฟ้าก็ฉายท่าทางเคร่งเครียดเมื่อมองไปที่นักรบมนุษย์ปีศาจ เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายมากล้น

“ตู้ม!”

ขณะที่มู่เฉินจ้องเขม็ง เจียงหยาก็ปล่อยเสียงคำรามออกมาแล้วฟาดหมัดออกไป รัศมีสีม่วงดำกวาดเข้าพร้อมกับความดุร้ายที่ไม่อาจอธิบายได้ลอยหวือเข้าหามู่เฉินราวกับอุกกาบาต

ทุกหมัดสามารถทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นบาดเจ็บได้เลยทีเดียว

เผชิญหน้ากับการโจมตีของเจียงหยา มู่เฉินก็ไม่กล้าที่จะลังเลส่งเสียงคำรามออกมา ร่างมหาเทพนิรันดร์ที่อยู่ข้างหลังลุกขึ้นยกฝ่ามือปะทะกับหมัดดุร้าย

ปัง ปัง ปัง!

พลังสองสายปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้มิติพังทลายลงพร้อมกับเศษเสี้ยวมิตินับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นพื้นที่ผิดเพี้ยน แม้แต่จอมยุทธ์บางคนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต้องล่าถอยเพราะกลัวว่าจะถูกกวาดเข้าไปด้วย

ทั้งสองโจมตีใส่กันไม่หยุดยั้ง ในเวลาเพียงไม่กี่นาทีก็ปะทะกันมากกว่าพันกระบวนท่าแล้ว ทว่าก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ชนะ

โฮก!

เมื่อการต่อสู้ดำเนินต่อไป เจียงหยาก็ยิ่งโกรธเกรี้ยวพลางคำรามไม่หยุด ดวงตาเขามองผ่านชั้นสีม่วงดำจับจ้องไปที่ร่างมู่เฉิน

เขายกฝ่ามือขึ้น ดวงตาสีม่วงดำก็เบิกกว้างเต็มที่พร้อมกับรัศมีและความผันผวนน่ากลัวระเบิดออก

มองไปที่นัยน์ตาสีม่วงดำคู่นั้น มู่เฉินก็รู้สึกเย็นเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง นี่ช่างคุกคามนัก เห็นได้ชัดว่าเจียงหยาชักอดรนทนไม่ไหว กำลังเร้ากระบวนท่าขั้นสุดยอดออกมา

“สารเลวตายซะ!”

เจียงหยาคำราม อึดใจก็ยกฝ่ามือขึ้นดวงตาสีม่วงดำจับจ้องไปที่มู่เฉินพร้อมกับรัศมีสีม่วงดำควบแน่นตัวรุนแรง ทำให้มิติโดยรอบพังทลายลง

“ดวงตาวิญญาณปีศาจ แสงปีศาจสังหารเทพ!”

เสียงคำรามดังก้องพร้อมกับจิตสังหาร อึดใจลำแสงสีม่วงดำก็ยิงออกมา

ทันทีที่ลำแสงปรากฏก็วาบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทว่ามู่เฉินกลับรู้สึกเจ็บแปลบที่ผิวหนังเนื่องจากอันตรายที่ซ่อนอยู่ สีหน้าเขาเคร่งขรึมพร้อมกับแสงวูบไหวในนัยน์ตา แม้ว่าโดยรอบจะเงียบสงบ แต่เขาสัมผัสได้ถึงลำแสงที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ช่วงเวลาที่เขาเปิดเผยข้อบกพร่องเล็กน้อยเขาก็จะถูกฆ่า

“เป็นท่าไม้ตายที่ทรงพลังจริงๆ”

สายตาของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เผ่าเสียหลิงคู่ควรครอบครองคุณลักษณะของทั้งสองเผ่าพันธุ์ การโจมตีครั้งนี้อาจเทียบได้กับวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดสามสิบหกกระบวนท่าในตำนานเลยทีเดียว

นอกจากนี้ยังมองไม่เห็นและซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า ดังนั้นจึงทำให้ยากที่จะป้องกัน

มู่เฉินรู้ดีว่าหากตนเองพยายามปลดปล่อยการโจมตี แม้ว่าจะจัดการทำลายพวกมันได้บางส่วน แต่ช่องโหว่ของเขาก็จะถูกเปิดเผยให้เห็น เผชิญหน้าลำแสงเหล่านั้นเขาไม่กล้าพอที่จะรับพวกมันแม้จะมีกายาเซิ่งก็ตาม

“พลานุภาพเหลือรับ…”

สายตาของมู่เฉินวูบไหว อึดใจก็สูดหายใจเข้าลึกและนั่งลงบนท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ทำเหมือนกันด้วย

“คัมภีร์โบราณปู้สิ่ว!”

ขณะที่ทั้งสองนั่งลง ทั้งร่างมหาเทพนิรันดร์และมู่เฉินก็เปิดปากขึ้นพร้อมกัน เสียงบทสวดโบราณเริ่มดังก้องไปทั่ว

บทสวดเก่าแก่มากราวกับว่าเป็นเสียงธรรมชาติเมื่อโลกถูกสร้างขึ้น

คลื่นกระแทกกระเพื่อมไม่หยุดยั้ง โดยมีมู่เฉินเป็นศูนย์กลางการกระจายออกไปรอบๆ

ความว่างเปล่าเริ่มแปรปรวน ลำแสงที่ซ่อนอยู่ก็เริ่มพังทลายเมื่อสัมผัสกับคลื่นเสียงที่กระจายออกไป

ภายใต้ชุดเกราะใบหน้าของเจียงหยาก็เปลี่ยนไปด้วยความไม่เชื่อ เขาไม่เคยคิดว่ามู่เฉินจะสามารถตั้งรับกระบวนท่าสูงสุดของเขาได้ ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นเหล่าประมุขสามสิบสองเผ่าใหญ่ นอกจากน้อยคนอย่างจอมปีศาจเซิ่งเทียน อั้นเทียน ประมุขคนอื่นๆ ก็ยังกลัวจนหัวหดเลย

แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินซึ่งเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้!

“ไป!”

แม้จะตกตะลึงในหัวใจ แต่เจียงหยาก็ไม่กล้าลังเล ลำแสงที่ซ่อนอยู่ในมิติพุ่งเข้าหามู่เฉินทันที

ฮึ่ม!

ทว่าเมื่อคลื่นเสียงขยายตัวก็ไม่มีการเปิดเผยข้อบกพร่องใดๆ ดังนั้นแม้ลำแสงจะพยายามโจมตีอย่างไร แต่ก็สลายไปโดยคลื่นเสียง

เพียงไม่กี่สิบลมหายใจอันตรายที่ใกล้เข้ามาก็สลายหายไปโดยคลื่นเสียง

ชี่ ชี่!

มิหนำซ้ำส่วนที่เหลือของคลื่นเสียงยังครอบเจียงหยาที่อยู่ในระยะไกล ทำให้ร่างกายเขาสั่นสะท้าน เกิดเส้นสีดำลึกกระจายอยู่บนชุดเกราะ ราวกับถูกเฉือน รอยเลือดสดไหลออกมา หน้ากากบนใบหน้าก็ค่อยๆ ล่วงหล่น เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาว

มู่เฉินค่อยๆ ลืมตาขึ้น สายตาเขายังคงสงบ-ลึกซึ้ง-ไม่อาจหยั่งรู้ได้

“มหาพันภพเป็นสถานที่ที่มีมังกรซ่อนพยัคฆ์หมอบแท้จริง แม้แต่จอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนก็ทรงพลังมาก” เจียงหยามองไปที่มู่เฉินขณะเสียงแหบพร่าดังก้อง

มู่เฉินฉายสีหน้าสงบน้ำเสียงเฉยเมยสะท้อนออกมา “ออกจากดินแดนวั้นมู่ไปซะ ศัตรูของมหาพันภพคือจักรวรรดิปีศาจไม่อยากนำไปยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น”

เจียงหยาส่ายหัว “พวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะพวกมันได้หรอก”

“เจ้าทรงพลังนัก ดังนั้นข้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อเอาชนะให้ได้เท่านั้น”

เจียงหยาไม่ได้พูดอีกต่อไป แต่จ้องมองไปที่มู่เฉินอย่างเย็นชา มือของเขาประสานเข้าด้วยกันกลายเป็นตราประทับแปลกประหลาดพร้อมกับเสียงดังก้องในความว่างเปล่า

“เปลี่ยนแปรวิญญาณปีศาจ!”

พูดจบ เขาก็อ้าปากดูด เกราะบนร่างเริ่มละลายกลายเป็นของเหลวถูกดูดเข้าไปในร่าง

ปัง ปัง ปัง!

การระเบิดดังก้องออกมาจากภายในร่างกายของเขา พลังงานสองสายปะทะกันแล้วระเบิดด้วยพลังที่น่ากลัวยิ่งขึ้น

“เขากำลังประสานงานพลังปีศาจกับพลังหลิง…”

ม่านตามู่เฉินหดเกร็ง การปะทะกันระหว่างพลังทั้งสองสร้างพลังที่น่ากลัวยิ่งขึ้น แต่ในทำนองเดียวกันเจียงหยาจะได้รับบาดเจ็บหนัก มากจนอาจเสียชีวิตเลยก็ได้

ปัง ปัง!

ร่างของเจียงหยาหดตัวลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับการระเบิด ขณะที่พ่นเลือดออกมาจากปาก

เพียงแค่ไม่กี่สิบลมหายใจการระเบิดก็หยุดลง ร่างสัตว์ประหลาดปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ร่างนั้นมีขนาดหลายจั้ง ร่างกายราวกับพื้นดินที่แห้งกรังจนแตกออก รูม่านตาสีม่วงดำมีลวดลายแปลกประหลาดปรากฏขึ้น ซึ่งวูบไหวด้วยรัศมีหลิงและรัศมีปีศาจที่น่ากลัว

ความผันผวนของการทำลายล้างแทรกซึมจากร่างสัตว์ประหลาดตัวนั้นอย่างช้าๆ ทำให้สีหน้าของหมัวเฮอเทียน ชิงเหยี่ยนจิ้งและคนอื่นๆ เปลี่ยนไปอย่างมาก

แม้แต่พวกเขายังรู้สึกครั่นคร้ามกับความผันผวนนั่น

ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียด เขารู้สึกว่าถูกคุกคามมากจนสัมผัสได้ถึงปากเหวความตาย

ภายใต้สภาวะนี้เจียงหยาอาจจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลย

“ภายใต้สภาวะนี้ วันนี้แกต้องตายแน่นอน!” สัตว์ประหลาดที่สร้างโดยเจียงหยามองไปที่มู่เฉินอย่างดุร้ายและคำราม

ฮา

มู่เฉินเม้มริมฝีปากหายใจเข้าลึกสุดปอด ท่าทางสงบลง

“ในเมื่อเจ้าใช้ชีวิตเป็นเดิมพัน ข้าจะกลัวทำไม?”

มู่เฉินจ้องมองเจียงหยา น้ำเสียงสงบเรียบแทรกซึมไปด้วยไอสังหารไร้ขอบเขต

“ข้ารู้สึกถึงโชคร้ายที่เผ่าเสียหลิงของเจ้าต้องเผชิญ แต่ถ้าเจ้าต้องการให้ครอบครัวและสหายของข้าอยู่ในสถานะเดียวกับเจ้า วันนี้… ข้าก็จะทำลายให้สิ้นซาก!”

เมื่อคำสุดท้ายดังก้อง มู่เฉินก็ประสานมือเข้าด้วยกัน ในเวลาเดียวกันร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ยืนขึ้นพลางก้าวออกมาก่อนที่จะรวมเข้ากับร่างกายของเขา

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและคนอื่นๆ เห็นฉากนี้ก็ตกใจ ก่อนที่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะตะโกนลั่น “นั่นคือทักษะเหยินฝ่าเหอยี? เฉินเอ๋อหยุดเดี๋ยวนี้! ทักษะนี้มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเท่านั้นที่สามารถทนได้!”

มู่เฉินหลับตาลงตัดเสียงทั้งหมดออกจากโสตประสาท มีเพียงเสียงเขาดังก้องในหัวใจ

“ทักษะเหยินฝ่าเหอยี—คนวิทยายุทธรวมเป็นหนึ่ง!”

บนท้องฟ้า

ร่างหลายสิบร่างยืนอหังการอยู่พร้อมกับคลื่นหลิงสีเทาดำครางกระหึ่มที่ด้านหลัง ช่างราวกับมหาสมุทรเอิบอาบด้วยแรงกดดันทรงพลัง

โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาในฝ่ามือเหล่านั้นกำจายความผันผวนแปลกประหลาดออกมา

“เผ่าเสียหลิง…”

สายตาของมู่เฉินดูเคร่งเครียดขณะมองไปที่ร่างหลายสิบร่างเหนือดินแดนวั้นมู่ ฉากนี้ช่างเกินความคาดหมายของทุกคน ไม่มีใครคิดว่าพวกจักรวรรดิปีศาจจะสร้างสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ที่ผสมกันระหว่างเผ่าปีศาจกับเผ่ามหาพันภพเข้าด้วยกัน

พวกเผ่าพันธุ์ใหม่นี้ ไม่เพียงแต่พวกมันจะสามารถเพาะบ่มคลื่นปีศาจ แต่ยังเพาะบ่มคลื่นหลิงของมหาพันภพได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ทว่าความจริงก็ปรากฏต่อหน้าพวกเขาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาปฏิเสธที่จะไม่เชื่ออย่างไรก็ตาม

“จอมยุทธ์ทุกคนฟังคำสั่ง! ฆ่าผู้บุกรุกให้หมด!” ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อฉายสีหน้าเขียวคล้ำ ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเคลื่อนไหวได้ในตอนนี้ เนื่องจากกำลังป้องกันการโจมตีจากเผ่าปีศาจ ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงตะโกนก้องในดินแดนวั้นมู่

ขณะนั้นจอมยุทธ์ห้าเผ่าโบราณแลกเปลี่ยนสายตากันพลางกล่าวว่า “เราไม่สามารถออกไปได้ในตอนนี้เนื่องจากการสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิมีความสำคัญสูงสุด”

พวกเขาเห็นแล้วว่าในบรรดาผู้ที่รุกรานเหล่านี้ นักรบปีศาจที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง ส่วนที่เหลือก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นต่างๆ

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึกจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน “เรื่องเผ่าเสียหลิงปล่อยเป็นหน้าที่พวกข้าเอง ทุกคนจัดการเรื่องผนึกต่อไปเถอะ”

จังหวะที่เขาลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างแสงร่างหนึ่งก็ทะยานมาข้างๆ ลั่วหลีคลี่ยิ้มให้ “ข้าจะสู้กับเจ้าด้วย”

มู่เฉินพยักหน้าพร้อมส่งยิ้มให้ ลั่วหลีครอบครองแผนภาพวิญญาณโบราณซึ่งสามารถพึ่งพาสิ่งนี้เพื่อเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นได้

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ในเวลาเดียวกันร่างแสงหลายสายก็ทะยานเข้ามารวมตัวกันรอบๆ ทั้งสอง “พวกเรายินดีที่จะติดตามราชันมู่เพื่อฆ่าเหล่าปีศาจ!”

มู่เฉินพยักหน้าเบาๆ ไม่พูดอะไรอีกต่อไป พวกเขาเคลื่อนไหวไปปรากฏตัวเบื้องหน้าเผ่าเสียหลิง ขัดขวางเส้นทางการรุกรานเอาไว้

“ทุกคนกลับไปยังที่ที่เจ้ามาเถอะ ร่างกายของพวกเจ้าไหลเวียนด้วยสายเลือดมหาพันภพ ดังนั้นจงอย่าได้ทำในเรื่องไม่ควร!” ดวงตาของมู่เฉินเปลี่ยนไปเป็นเฉียบคมเมื่อมองไปที่ผู้นำเผ่าเสียหลิง เขาเป็นชายที่มีผมสีเทาท่าทางเผด็จการ

“สายเลือดมหาพันภพ?” เมื่อชายคนนั้นได้ยินคำพูดของมู่เฉินก็เยาะเย้ย “ถ้าเป็นเช่นนั้น ตอนที่พวกข้าถูกเลี้ยงดูอย่างปศุสัตว์ ผู้คนในมหาพันภพอยู่ที่ไหน?”

มู่เฉินขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าเผ่าเสียหลิงไม่ได้มีสถานะสูงในจักรวรรดิปีศาจ คงมีเรื่องราวบางอย่างอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาขุดค้น ไม่ว่าอย่างไรเขาต้องขับไล่เผ่าเสียหลิงออกไปก่อน

“เผ่าปีศาจโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี ในเมื่อเจ้ารู้อยู่แล้วทำไมถึงยังรับใช้พวกมัน?”

ชายผมเทาพูดอย่างเย็นชา “ไม่รับใช้พวกเขาแล้วจะมารับใช้เจ้ารึไง? ถ้าเป็นแบบนั้นสมาชิกเผ่าเสียหลิงจะถูกสังหารจนหมด เมื่อถึงตอนนั้นพวกเจ้าจะช่วยพวกข้าได้ไหมล่ะ?”

มู่เฉินหลุบตาลงตอบว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องพูดให้เสียเวลา”

คลื่นหลิงทรงพลังพวยพุ่งขึ้นรอบตัว พื้นที่ใต้เท้าก็แสดงให้เห็นถึงการยุบตัว

“ข้าเป็นประมุขเผ่าเสียหลิงชื่อว่าเจียงหยา วันนี้ให้ข้าได้สัมผัสหน่อยว่ามหาพันภพอ่อนแอเพียงใด ถึงได้ล้มเหลวในการปกป้องอธิปไตยของตนจนปล่อยให้จักรวรรดิปีศาจเข้ามาทำให้สิ่งมีชีวิตต่างๆ ต้องแปดเปื้อนและถูกสังหารอย่างไร้ความปรานี!” เจียงหยาคำรามด้วยความเกลียดชัง

ที่ด้านหลังมู่เฉินเหล่าจอมยุทธ์ได้แต่เงียบงันไปและรู้สึกละอายใจ การปรากฏขึ้นของเผ่าเสียหลิงก็มาจากจำนวนดินแดนที่เผ่าปีศาจยึดครองไปจากมหาพันภพ ทำให้สิ่งชีวิตของมหาพันภพได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย

“อย่าคิดฟุ้งซ่าน จงต่อสู้กับศัตรู!”

เสียงของมู่เฉินดังก้อง เผ่าเสียหลิงอาจน่าสงสาร แต่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะแสดงความเห็นอกเห็นใจในตอนนี้ ในเมื่ออีกฝ่ายเลือกที่จะยืนหยัดร่วมกับเผ่าปีศาจ นั่นก็หมายความว่าเป็นศัตรูกับมหาพันภพ เมื่อไรที่เป้าหมายนี้บรรลุผล ทั้งมหาพันภพก็จะกลายเป็นขุมนรกปีศาจแล้ว

ในเวลาแบบนี้พวกเขาต้องละทิ้งความเมตตาไปเท่านั้น

“ฆ่า!”

เจียงหยาตะโกนลั่นขณะที่ร่างเงาหลายสิบร่างทะยานออกมาพร้อมกับคลื่นหลิงสีเทาดำพลุ่งพล่าน แม้ว่าจะเป็นคลื่นหลิง แต่ก็ผิดแผกนัก มันมีความสามารถในการกัดกร่อนที่ทรงพลัง ซึ่งคล้ายคลึงกับคลื่นปีศาจ

ดวงตาของมู่เฉินพวยพุ่งด้วยไอเย็นเยือกขณะที่โบกมือสั่งการเหล่าจอมยุทธ์ออกไปห้ำหั่น พวกเขาแยกตัวประกบเผ่าเสียหลิงไว้แบบตัวต่อตัว

ส่วนมู่เฉินปรากฏตัวต่อหน้าเจียงหยา จากนั้นก็ซัดหมัดออกไปโดยไร้ซึ่งอารมณ์บนใบหน้า

ตู้ม!

หมัดนี้แตกมิติออกจากกัน ด้วยกายาเซิ่งของมู่เฉินการชกสบายๆ ก็แฝงพลังที่น่ากลัวอย่างยิ่งไว้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดายังสะบักสะบอม

“ชายคนนี้มีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนเท่านั้น ทำไมความแข็งแกร่งของเขาจึงทรงพลังเช่นนี้?”

มองหมัดที่พุ่งเข้ามาในทิศทางของตนเอง เจียงหยาก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวที่อยู่เบื้องหลังกำปั้นนี้ เขาไม่กล้าลังเลเปิดฝ่ามือออก ดวงตาบนฝ่ามือกลายเป็นสีดำแฝงริ้วสีม่วง ทำให้ดูไม่ธรรมดา

ฮึ่ม!

แสงพุ่งออกมาจากม่านตาสีม่วงดำห่อหุ้มฝ่ามือของเจียงหยา จากนั้นก็แข็งตัวก่อร่างเป็นชั้นๆ ทันที

ชั้นนั้นคล้ายกับเหล็กดำมะเมี่ยมดูน่ากลัว ประหนึ่งอาวุธสังหารแหลมคม

ตู้ม!

เมื่อหมัดของมู่เฉินและเจียงหยาปะทะกัน ความผันผวนที่มองเห็นได้ก็กวาดออก ทำให้มิติแตกเป็นเสี่ยงๆ

ทั้งสองคนตัวสั่นสะท้านก่อนที่จะถอยไปหลายก้าว

“เพลิงม่วงกลืนวิญญาณ!”

ดวงตาของมู่เฉินกะพริบขณะที่อ้าปาก เปลวไฟสีม่วงพุ่งออกมาปกคลุมไปทางเจียงหยา

เปลวไฟสีม่วงที่ร้อนระอุลุกโชนด้วยอุณหภูมิสูงราวกับว่าต้องการเผาเจียงหยาให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แม้แต่มิติก็บิดเบี้ยวจากอุณหภูมิสูง

ปัง!

แต่ขณะที่เปลวไฟสีม่วงเต้นระริก เงาสีม่วงดำก็ทะยานออกมาราวกับยักษ์ปักหลั่น เขาเคลื่อนย้ายไปเบื้องหน้ามู่เฉินพร้อมกับเสียงคำราม หมัดที่ปกคลุมไปด้วยชั้นสีม่วงดำก็วูบไหวซัดใส่แขนของมู่เฉินที่ไขว้กันเป็นกากบาท

ตึง!

พร้อมกับการปะทะกันรุนแรงทำให้มู่เฉินพัดกลับออกไปหนึ่งพันจั้ง เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็ฉายสีหน้าเคร่งเครียด เขาเห็นยักษ์ที่ปกคลุมไปด้วยชั้นสีม่วงดำยืนตระหง่านบนท้องฟ้า

ร่างนั้นราวกับมีชั้นเกราะบนร่างกายพร้อมกับกลืนกินทุกตารางนิ้ว เดือยแหลมยื่นออกมาวูบไหวด้วยกลิ่นอายแหลมคม

ยามนี้เจียงหยาคล้ายกับสัตว์ร้าย ทุกตารางนิ้วบนร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยความตาย

“ช่างเป็นการผสมผสานที่น่าสนใจระหว่างพลังปีศาจกับพลังหลิง” สายตาของมู่เฉินวาวโรจน์ขณะมองไปที่เจียงหยาผู้ดูดุร้าย

“เป็นแค่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนคิดจะขัดขวางข้าเหรอ? ไม่มีใครอื่นในมหาพันภพที่แน่กว่านี้แล้วใช่ไหม?” ภายใต้การห่อหุ้มของชั้นสีม่วงดำ สายตาเย็นชาของเจียงหยาก็จับจ้องไปที่มู่เฉิน

“หืม ดูเหมือนว่าข้าจะถูกมองข้ามอีกแล้วนะเนี่ย”

มู่เฉินยิ้มก่อนที่ใบหน้าจะเย็นเยือกลง เขาวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นรัศมีก็ระเบิดออกจากร่างกาย

ร่างโบราณก็ก่อตัวขึ้นที่ข้างหลังเขา

จากการแลกกระบวนท่าเมื่อครู่มู่เฉินรู้สึกได้ว่าเจียงหยาทรงพลังและไม่ได้ด้อยไปกว่าหมัวเฮอเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่คิดออมมืออีกต่อไป เขาเรียกร่างมหาเทพนิรันดร์ออกมาทันที

“ฝ่ามือนิรันดร์!”

เมื่อร่างมหาเทพเผยขึ้นก็ฟาดฝ่ามือออกไปทันที ทันใดนั้นรัศมีก็ระเบิดออกมาพร้อมกับลวดลายโบราณพุ่งผ่านมิติปรากฏเหนือร่างเจียงหยา

เมื่อฝ่ามือเคลื่อนลงมา แม่น้ำโบราณก็ปรากฏขึ้นซึ่งมีพลังความเป็นนิรันดร์พวยพุ่งอยู่

เมื่อฝ่ามือปรากฏขึ้นใบหน้าของเจียงหยาก็เปลี่ยนไป เขารู้สึกว่าถูกคุกคามอย่างชัดเจน เขาถอยกลับทันที สร้างภาพมายาไว้นับไม่ถ้วนด้วยความเร็วที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า

แต่ไม่ว่าเขาจะพยายามหลบอย่างไร ฝ่ามือก็จะปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ ราวกับว่าการเคลื่อนลงมาของฝ่ามือหมายชีวิตของเขาเอาไว้แล้ว

ตู้ม!

ในที่สุดฝ่ามือก็กระแทกลงบนร่างเจียงหยา การระเบิดน่ากลัวดังขึ้น เขาถูกพัดกลับไปเหมือนแมลงวันโดนตบชนเข้ากับภูเขาจังใหญ่

ภูเขาถล่มลง เศษกรวดหินปลิวว่อน มู่เฉินยืนอยู่บนท้องฟ้ามองไปที่ภูเขาด้วยสายตาเย็นชา

“ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะยืนข้างเผ่าปีศาจ ดังนั้นเพื่อสรรพชีวิตในมหาพันภพ ข้าจะเริ่มล้างบางตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไปและฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด-ที่-นี่”

ตู้ม!

ทันใดนั้นก้อนหินน้อยใหญ่ก็ระเบิดออก ลำแสงสีม่วงดำทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ในพริบตาก็ก่อตัวเป็นปีศาจน่าสะพรึงกลัวพร้อมกับแรงกดดันสูงตระหง่านแผ่ซ่านออกมา แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งบางคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

ในเวลาเดียวกันน้ำเสียงของเจียงหยาที่แฝงไปด้วยเจตนาฆ่าก็สะท้อนออกมา

“ไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างแกยังกล้ามาพูดโอหังเช่นนี้เรอะ วันนี้ข้าจะใช้หัวแกต้อนรับการกลับมาของเทพปีศาจจักรพรรดิ!”

เปลวไฟพิสุทธิ์ลุกโชนจากร่างของฉิงเทียน

ห่อหุ้มทั่วสรรพางค์กายของเขาเอาไว้ เปลวไฟปล่อยแรงกดดันสูงล้ำราวกับว่าเป็นจักรพรรดิแห่งเปลวไฟ

“นี่คือเพลิงจักรพรรดิ เพลิงของเทพจักรพรรดิอัคคี ว่าแต่ทำไมถึงมาอยู่ที่ร่างฉิงเทียนได้?” เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นภาพนี้ก็จ้องมองไปที่เปลวไฟสุกสว่างด้วยความงุนงง ฉากนี้น่าตื่นตายิ่งนัก

ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ว่าสามารถควบคุมร่างกายได้อีกครั้งจากความช่วยเหลือของเปลวไฟ เมื่อมองไปที่เปลวไฟที่ห่อหุ้มร่างกาย เขาก็พึมพำเบาๆ “พี่เซียวน่ากลัวจริงๆ”

ไม่มีใครรู้ว่าเพลิงจักรพรรดินี้มาจากไหน แต่เขาชัดเจนมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายร้อยปีก่อนตอนที่เขากลับมาจากจักรวรรดิปีศาจ เขาได้พบกับเทพจักรพรรดิอัคคีที่วังมหาพันภพ

ตอนนั้นเซียวเหยียนก็ขมวดคิ้วจ้องมองมาที่เขาพักใหญ่ ก่อนที่จะมอบมุกเพลิงให้เขาพกติดตัวตลอดเวลา ตอนแรกเขายังรู้สึกแปลกใจ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเซียวเหยียนอาจจะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งในเวลานั้น ทว่าเมล็ดหัวใจปีศาจถูกฝังลึกเกินไป ในช่วงเวลาที่ไม่ถูกใช้งาน แม้แต่เซียวเหยียนก็ไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงได้แค่มอบมุกเพลิงจักรพรรดิให้ด้วยความระมัดระวัง

แต่ไม่คิดว่าการกระทำอย่างระมัดระวังของเซียวเหยียนจะช่วยเขาให้รอดพ้นจากการเป็นคนบาปของมหาพันภพ

เปลวไฟรอบตัวชิงซันและปู้สื่อก็ค่อยๆ หายไป พวกเขาหลุดพ้นจากการคุมขังของจอมปีศาจเซิ่งเทียน จากนั้นก็มองไปที่ฉิงเทียนอย่างเป็นกังวล

เมื่อพวกเขาเห็นเพลิงจักรพรรดิบนร่างฉิงเทียน พวกเขาก็อึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นก็พากันถอนหายใจโล่งอก

ยามนี้ค่ายกลดับแสงพันปีศาจเหลือเพียงม่านแสงชั้นสุดท้าย หากเปิดออกเผ่าปีศาจก็จะสามารถบุกเข้ามาในดินแดนวั้นมู่ได้ ยิ่งหากพวกมันสามารถปลดปล่อยเทพปีศาจจักรพรรดิได้ละก็ งานนี้เรียกว่าหายนะครั้งใหญ่สุดๆ แน่

“บ้าเอ๊ย!”

สายตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนน่าสะพรึงกลัว เขาไม่เคยคิดว่าแผนนี้จะล้มเหลว นี่ยิ่งทำให้ไอสังหารหนาแน่นปกคลุมไปทั่ว

“ฉิงเทียน รีบเร้าค่ายกลฟื้นฟูการป้องกัน!” ปู้สื่อร้องเรียกสติ

ฉิงเทียนหายใจเข้าลึกๆ เริ่มวาดตราประทับ ค่ายกลผันผวนอีกครั้งพร้อมกับม่านแสงการป้องกันเพิ่มขึ้นทีละชั้น

“โจมตีเข้าไป! ฉีกค่ายกลนั่นให้แหลกไปเลย!” จอมปีศาจเซิ่งเทียนโบกมือบัญชาการพร้อมกับดวงตาวูบแสงเย็นเยือก

ตู้ม!

ทันใดนั้นรัศมีปีศาจก็พลุ่งพล่านที่ด้านหลังจอมปีศาจเซิ่งเทียน เสียงคำรามดังก้อง ร่างปีศาจทะยานออกมานับไม่ถ้วนพุ่งเข้าหาปราการป้องกัน

“ทุกคนหมุนเวียนคลื่นหลิงลงไปในค่ายกล!” ใบหน้าของฉิงเทียนเคร่งเครียดขณะตะโกนกร้าว

เมื่อเห็นเผ่าปีศาจต่างมิติเริ่มการโจมตี ทุกคนต่างก็ส่งเสียงคำราม คลื่นหลิงพลุ่งพล่านในร่าง ร่างเทห์สวรรค์ของแต่ละคนก็ถูกเร้าออกมาทันที กระแสพลังหลิงนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้าสู่โลงศพ

ฟิ้ว ฟิ้ว!

ขณะที่ควันปีศาจพุ่งหวือ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็แลกเปลี่ยนสายตากันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่คลื่นหลิงจะระเบิดออกจากร่างพวกเขาเทลงในขบวนแถวแสงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ขบวนแถวแสงระเบิดขึ้นด้วยความกระจ่างใส ปะทะกับร่างปีศาจที่กำลังพุ่งเข้าใส่

ชี่ ชี่!

ในช่วงเวลาปะทะกัน รัศมีก็แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่ากลัว ในเส้นทางของรัศมีร่างปีศาจไม่สามารถแม้แต่จะได้ส่งเสียงสักแอะก็ถูกทำให้บริสุทธิ์ไปในทันที

ค่ายกลดับแสงพันปีศาจถูกสร้างขึ้นด้วยพลังชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ สามารถต้านทานรัศมีปีศาจทุกประเภทได้ ซึ่งจะเริ่มต้นการโจมตีทันทีที่สัมผัสได้ เฉพาะจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนขุมพลังหลิงเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้าไปได้อย่างปลอดภัย

“พุ่งเข้าไป!”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนมากถูกสังหารในพริบตา ทว่าสีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลย เสียงเยือกเย็นดังก้อง

ดังนั้นเสียงคำรามจึงก้องดังขึ้นอีกครั้ง ร่างปีศาจก็คล้ายกับหิ่งห้อยเล่นไฟ พุ่งเข้าใส่ค่ายกลอย่างไม่เกรงกลัว

“ช่างเลือดเย็นนัก ค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะโจมตีรัศมีปีศาจทุกประเภท แม้ว่าเขาจะเสียสละกำลังพลอีกหลายส่วน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าแนวป้องกันไป” ฉิงเทียนกล่าวเสียงเย็น

ชิงซันและปู้สื่อก็พยักหน้า แต่ฝ่ายหลังมีความระมัดระวังมากกว่าจึงพูดขึ้นว่า “เราก็ไม่สามารถลดการป้องกันได้ พวกปีศาจรอคอยเวลานี้มานานหลายหมื่นปี ดังนั้นเรื่องนี้ไม่ง่ายแน่”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองไปที่ฉากเบื้องหน้าอย่างเย็นชา ในเวลาแค่สิบกว่านาทีพวกเขาไม่รู้ว่ามีนักรบจบชีวิตไปแล้วเท่าไร มากจนมีนักรบราชันปีศาจเกือบร้อยคนที่สละชีวิตไปแล้วด้วย

แต่ถึงแม้จะเผชิญกับการสูญเสียครั้งใหญ่ก็ยังไม่สามารถสั่นคลอนขบวนแถวแสงได้

“ค่ายกลที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เป็นหายนะกับเผ่าปีศาจของข้าแท้จริง” ประมุขสามสิบสองเผ่าใหญ่บางคนกล่าวด้วยความกลัวและความเกลียดชัง

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองไปที่กองทัพนักรบปีศาจที่เสียหายหนักอย่างไม่แยแส จนกระทั่งวินาทีหนึ่งเขาก็พึมพำออกคำสั่งอย่างเย็นชา

ลำแสงปีศาจหลายสิบสายพุ่งรวมเข้าในรัศมีปีศาจจากนั้นก็ทะยานไปยังขบวนแถวแสงของค่ายกล

“จอมปีศาจเซิ่งเทียนเป็นบ้าไปรึ? ถ้าทำอย่างนี้ต่อ แม้ว่านักรบทั้งหมดจะพุ่งเข้าชนก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลได้หรอก!” ฉิงเทียนอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขณะมองไปที่เผ่าปีศาจต่างๆ ที่พุ่งเข้าสู่ความตาย

ชิงซันและปู้สื่อก็งุนงงไปเช่นกัน นี่เป็นเรื่องผิดปกติเกินไป

ขณะที่พวกเขากำลังงุนงง นักรบปีศาจอีกมากมายที่ถูกรัศมีจากขบวนแถวแสงกวาดโดนก็สลายหายไปในอากาศ จากนั้นนักรบอีกกลุ่มก็พุ่งเข้ามา

รัศมีจากค่ายกลซัดไปที่ร่างปีศาจหลายสิบร่างนั้น

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นทันใด ร่างปีศาจหลายสิบร่างหยุดชะงักเพียงชั่วครู่ พวกมันไม่ได้ถูกชำระบริสุทธิ์เหมือนปีศาจคนอื่นๆ แต่พวกมันกลับเพิ่มความเร็วพุ่งเข้าหาขบวนแถวค่ายกลได้

“อะไรน่ะ?!”

เมื่อรับรู้ถึงสิ่งนี้ ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็ตกใจ ปีศาจเหล่านี้ต่อต้านรัศมีบริสุทธิ์ได้เรอะ?

“หยุดพวกมัน!” ทั้งสามรู้สึกไม่สบายใจจนต้องเปล่งเสียงคำรามออกมา

ตู้ม ตู้ม!

แต่ประมุขเกือบสิบในสามสิบสองคนของเผ่าปีศาจใหญ่ก็เคลื่อนไหว รัศมีปีศาจรุนแรงกวาดเข้าหาทั้งสามคน

ปัง ปัง!

ขณะที่สวรรค์และโลกถูกฉีกออกจากกัน พวกฉิงเทียนก็ถูกขัดขวางไปชั่วขณะ ตอนนี้สายเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะเคลื่อนไหวแล้ว

ดังนั้นปีศาจหลายสิบร่างก็พุ่งเข้าสู่ขั้นสุดท้ายของแถวแสงแล้ว

“ไม่จำเป็นต้องตกใจ ค่ายกลปฏิเสธรัศมีปีศาจทั้งหมด ตราบใดที่พวกมันสัมผัสก็จะถูกทำให้บริสุทธิ์…” ปู้สื่อปลอบใจ แต่ก่อนที่จะพูดประโยคนั้นจบ ร่างปีศาจหลายสิบร่างก็เข้ามาสัมผัสกับแถวแสงแล้ว

ทันใดนั้นรัศมีปีศาจรอบๆ ก็หายไป ถูกแทนที่ด้วยคลื่นหลิงไร้ขอบเขตที่จากร่างกายของพวกมัน

“คลื่นหลิง?! เป็นไปได้ไง?!”

ยามนี้ยอดยุทธ์ทั้งสามเบิกตากว้างด้วยความตกใจหวาดผวาเมื่อเห็นรัศมีปีศาจรอบๆ ร่างเงาหลายสิบร่างถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นหลิง นอกจากนี้ทั้งหมดก็อยู่ในระดับเทียนจื้อจุนด้วย!

“พวกปีศาจบ่มเพาะคลื่นหลิงได้อย่างไร?!” ดินแดนวั้นมู่ตกอยู่ในความโกลากลเช่นกัน ทุกคนมองไปที่ฉากนี้ด้วยความไม่อยากเชื่อ

เมื่อพิจารณาจากรัศมีปีศาจก่อนหน้าก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเผ่าปีศาจแน่แท้ แต่ตอนนี้พลังหลิงที่เปิดเผยออกมาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย

เมื่อร่างเงาจำนวนมากสัมผัสกับเกลียวแสง คลื่นหลิงก็ปะทุขึ้น ค่ายกลไม่ได้ก่อสิ่งกีดขวางใดๆ ทำให้พวกมันเข้ามาในดินแดนวั้นมู่ได้

“ฮ่าๆ! ฉิงเทียน จักรวรรดิปีศาจวางแผนมาหลายหมื่นปี พวกแกไม่สามารถจินตนาการได้หรอก!” เสียงหัวเราะร่าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังขึ้น

“พวกแกทุกคนสงสัยใช่ไหมล่ะว่าเผ่าปีศาจเพาะบ่มคลื่นหลิงได้อย่างไร?

“ง่ายมาก เพราะพวกเขาไม่ได้เป็นปีศาจสายเลือดบริสุทธิ์แท้จริง แต่เป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นมาจากเผ่าปีศาจและเผ่ามหาพันภพ พวกเขาเป็นชนรุ่นใหม่ที่พวกข้าเลี้ยงดู ซึ่งถูกเรียกว่าเผ่าเสียหลิง มิหนำซ้ำยังสามารถเพาะบ่มทั้งพลังปีศาจและพลังหลิงได้ตั้งแต่เกิด! วะฮะฮ่าๆ!”

จอมยุทธ์ทุกคนเงียบไปขณะที่สีหน้าเขียวคล้ำ

จักรวรรดิปีศาจต่างมิติยึดครองพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของมหาพันภพรวม รวมถึงพิภพเขตล่างอีกนับไม่ถ้วน ดังนั้นจึงมีจำนวนประชากรเพียงพอที่จะทำทดลองเช่นนั้น เนื่องจากพวกมันไม่ได้กังวลกับการตายของสิ่งมีชีวิตที่มีต้นกำเนิดมาจากมหาพันภพ…

ที่สำคัญที่สุดคือพวกมันประสบความสำเร็จ

ใบหน้าของจอมยุทธ์ทุกคนมืดมนขณะเงยหน้าขึ้น พวกเขามองร่างเงาหลายสิบร่างที่พุ่งผ่านม่านแสง เมื่อรัศมีหลิงรอบตัวหายไป ร่างเหล่านั้นก็ถูกเปิดเผยในครรลองสายตา

พวกมันดูเหมือนมนุษย์ในมหาพันภพ แต่สามารถสังเกตเห็นดวงตาปีศาจบนฝ่ามือที่ค่อยๆ เปิดออก

ทันใดนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็พัดออกจากร่างกายพวกมัน

‘ไอ้ตัวเหล่านี้…ถูกเรียกว่า ‘เผ่าเสียหลิง’ เรอะ?’

“ก็คือแก…ฉิงเทียน!”

เสียงของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังสะท้อนก้อง ทำให้ทุกคนตกใจ เนื่องจากไม่มีใครรู้ว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร

วังมหาพันภพก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ โดยปกติวังไม่มีประมุข แต่ด้วยสงครามที่ใกล้เข้ามาฉิงเทียนจึงได้รับเลือกให้เป็นเจ้าวังโดยไม่มีข้อกังขา

ด้วยสถานะนี้เขาจึงมีส่วนในการควบคุมค่ายกล แต่ที่ทำให้ทุกคนรู้สึกงุนงงก็คือคำพูดของจอมปีศาจเซิ่งเทียน

มู่เฉินอึ้งไปก่อนที่จะขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนหมายถึงอะไร แต่ก็ต้องมีเหตุผลในคำพูดนั่นแน่

ภายใต้สายตาสับสนของทุกคน คิ้วของฉิงเทียนก็ขมวดแน่นขณะมองไปที่จอมปีศาจเซิ่งเทียนอย่างเย็นชา “แกหมายถึงอะไร?”

เซิ่งเทียนฉายแววตาลึกลับพลางยิ้มส่งไปในทิศทางของฉิงเทียน “ตอนนั้นที่แกบุกเข้าไปในดินแดนของพวกข้า สังหารเหล่านักรบราชันปีศาจไปตั้งมากมาย กระทั่งสังหารจอมปีศาจไปคนหนึ่งก่อนที่จะหลบหนีกลับมาที่มหาพันภพใช่ไหม? เหตุการณ์นี้ถือได้ว่าเป็นความสำเร็จอันรุ่งโรจน์ในชีวิตของแกเลยทีเดียว”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนเอี้ยวศีรษะเล็กน้อย รอยยิ้มเยาะเย้ยปรากฏขึ้นที่ริมฝีปาก “แต่แกคิดว่าจะหนีรอดไปจากพวกข้าคนเดียวแบบนั้นได้จริงๆ เหรอ? ตอนนั้นแกยังไม่มีความสามารถขนาดนั้นหรอก”

ทันใดนั้นฉิงเทียนก็รู้สึกเย็นเยือกลงกระดูกสันหลัง

จอมปีศาจเซิ่งเทียนโบกมือรัศมีปีศาจพวยพุ่งขึ้นก่อเป็นร่างปีศาจ ร่างนั้นซีดเซียวมองมาที่ฉิงเทียนด้วยรอยยิ้มไม่เชิงยิ้ม

“ฉิงเทียน แกจำเขาได้ไหม?”

เมื่อฉิงเทียนจ้องมองไปที่ร่างปีศาจนั่น ม่านตาก็หดลง เนื่องจากพบว่านี่คือจอมปีศาจที่เขาได้ฆ่าไปในตอนนั้น

“เป็นไปได้ยังไง?! มันยังมีชีวิตอยู่เรอะ?!” หัวใจของฉิงเทียนเต้นไม่เป็นส่ำไปหมดแล้ว

“เขาเป็นประมุขเผ่าซินหมัวสามสิบสองเผ่าปีศาจใหญ่ ต่อให้เป็นแกในตอนนี้ต่อสู้กับเขาก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แกคิดว่าด้วยพลังน้อยนิดตอนนั้นแกสามารถฆ่าเขาได้จริงๆ เหรอ?” จอมปีศาจเซิ่งเทียนหัวเราะเยาะ

“เผ่าซินหมัว?!” ใบหน้าของฉิงเทียนเปลี่ยนไปรุนแรง รีบหันไปมองชิงซันและปู้สื่อ “เร็วเข้า ผนึกข้าเดี๋ยวนี้!”

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนประหลาดใจ แต่ชิงซันและปู้สื่อไม่ใช่จอมยุทธ์ธรรมดา ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนไหวโดยไม่ลังเล

ชิงซันสะบัดแขนเสื้อกระบี่เขียวฉีกขาดมิติทะยานเข้าไปหาฉิงเทียน ส่วนปู้สื่อปล่อยลำแสงสีดำห่อหุ้มไปยังฉิงเทียน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชัดเจนเกี่ยวกับสถานการณ์นี้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉิงเทียน ดังนั้นพวกเขาจึงต้องใช้ความระมัดระวังสูง

“ฮ่าๆ ฉิงเทียน แกเป็นคนไร้หัวใจจริงๆ คิดแม้แต่จะผนึกตัวเอง” แต่เมื่อแสงทั้งสองพุ่งลงมา เสียงหัวเราะเบาๆ ของจอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ดังขึ้น

ฟู่ ฟู่!

ในเวลาเดียวกันเพลิงสีดำและสีขาวก็พุ่งลงมาจากขอบฟ้าปะทะกับลำแสงทั้งสอง ขณะที่เกิดเสียงดังฉ่าเพลิงสีดำขาวก็เผาผลาญทุกอย่าง

ชิงซันและปู้สื่อฉายแสงเย็นวูบไหวในดวงตา

“กระบี่เทพเขียว!”

ชิงซันแผดเสียงเย็นชา กระบี่เขียวในมือก็ทะยานขึ้น เมื่อรัศมีกวาดออกไปก็กลายเป็นกระบี่ขนาดใหญ่ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นลำแสงที่ดูเหมือนว่าสามารถทะลุผ่านสวรรค์และโลกได้ พริบตาก็พุ่งไปหาจอมปีศาจเซิ่งเทียนเสือกแทงลงไปเบื้องล่าง

ปู้สื่อประสานมือเข้าด้วยกันวาดตราประทับขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อคลื่นหลิงสีดำพุ่งออกมาก็กลายเป็นลูกปัดสีเทาดำขนาดเท่าฝ่ามือปรากฏขึ้นด้านข้างจอมปีศาจเซิ่งเทียน

“สายฟ้าวิญญาณอเวจี!”

ทั้งสองคนนำทักษะแข็งแกร่งที่สุดออกมาทันที แม้แต่จอมปีศาจชั้นสูงก็ถูกสังหารได้หากประมาท

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีสองสาย ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ฉายความไม่แยแส เพลิงสีดำขาวพวยพุ่ง “เกราะเพลิงเทพปีศาจ!”

ขณะที่เขาตะโกนเพลิงสีดำขาวก็ลุกโชนขึ้นบนร่างกายกลายเป็นชุดเกราะ

ปัง!

เมื่อชุดเกราะถูกสวมเข้าเรียบร้อย กระบี่ก็ทะยานเข้ามา ส่วนลูกปัดระเบิดขึ้นพร้อมกับสายฟ้าสีเทาดำไร้ขอบเขต

โดยมีจอมปีศาจเซิ่งเทียนเป็นศูนย์กลาง รัศมีหลายหมื่นจั้งพังทลายเป็นสีดำพร้อมกับสะเก็ดมิตินับไม่ถ้วนบินว่อนออกไป

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ใบหน้าก็ฉายแววตกใจ การโจมตีจากสองยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพนับว่าทำลายล้างจริงๆ

แต่ไม่รู้ว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนที่รับการโจมตีจะเป็นอย่างไร

ภายใต้การจ้องมองวิตกกังวลนับไม่ถ้วน มิติที่พังทลายก็ค่อยๆ กลับมาอยู่ในสภาพปกติ ทุกคนตกตะลึงเมื่อเห็นเพลิงสีดำขาวพลุ่งพล่านขึ้นพร้อมกับร่างปีศาจยืนอหังการอยู่ข้างใน แม้ว่ารัศมีของชุดเกราะจะจางลง แต่เขาก็ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากการโจมตี

ซื้ด

ในดินแดนวั้นมู่ ทุกคนหายใจเข้าลึกพร้อมกับความหวาดผวาฉายบนใบหน้า ไม่มีใครคิดว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนจะทรงพลังขนาดนี้

แม้แต่ชิงซันและปู้สื่อรวมพลังกันก็ไม่สามารถทำอะไรได้

“เจ้าสองคนทรงพลังก็จริง แต่ยังเทียบกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามไม่ได้” เซิ่งเทียนชำเลืองมองทั้งสองคนอย่างไม่แยแส “การแสดงเพิ่งเริ่มต้น ดูอยู่เงียบๆ ไปเถอะ”

ขณะที่พูดเพลิงสีดำขาวก็พลุ่งพล่านออกมาเป็นวงรัศมี ปรากฏเหนือร่างชิงซันและปู้สื่อ

เมื่อวงรัศมีเพลิงสีดำขาวไหลเวียน เสียงดังฉ่าพร้อมด้วยเปลวไฟก็ขังจอมยุทธ์ทั้งสองไว้ภายใน

“ซินหมัวจัดการซะ แสดงให้ฉิงเทียนเห็นหน่อยว่าข้าวางแผนมานานแค่ไหนสำหรับวันนี้” จอมปีศาจเซิ่งเทียนยิ้มขณะมองไปที่ประมุขเผ่าซินหมัว

ประมุขเผ่าซินหมัวพยักหน้าพลางคลี่รอยยิ้มแปลกๆ ให้ฉิงเทียน “เงาปีศาจที่ถูกแกฆ่าในตอนนั้นก็คือเมล็ดหัวใจปีศาจของข้า แม้ว่าการฝึกฝนของข้าจะถูกทำลายไปพร้อมกับการทำลายมัน แต่แกก็ไม่รู้ว่าเมล็ดหัวใจปีศาจได้ซ่อนอยู่ในหัวใจตัวเองแล้ว หลังจากผ่านมาเนิ่นนาน ต่อให้บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว แกก็ไม่สามารถรับรู้ได้หรอก”

“ในตอนนั้นแกฆ่าอย่างบ้าคลั่งในดินแดนของเรา แม้จะหลบหนีก็ไม่รู้ว่านั่นเป็นเพียงแผนการของเผ่าปีศาจ แต่สุดท้ายแกก็สร้างประหลาดใจให้พวกข้า ไม่คิดว่าแกจะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขวังมหาพันภพได้ ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“แต่วันนี้ถึงเวลาที่แกต้องแสดงคุณค่าของตัวเองแล้ว”

เสียงหัวเราะของซินหมัวดังขึ้น จากนั้นก็วาดตราประทับในฝ่ามือ ลำแสงสีดำนับล้านๆ สายพุ่งออกมาจากร่าง

ลำแสงเหล่านั้นหลอมรวมกับมิติไม่รู้ว่าเชื่อมต่อไปที่ใด

ทันใดนั้นร่างกายของฉิงเทียนก็สั่นสะท้าน เขาตกใจเมื่อรู้สึกถึงพลังแปลกประหลาดเริ่มไหลเวียนอยู่ในหัวใจของตนเอง

คลื่นหลิงในร่างกายเขากำลังถูกยับยั้งด้วยพลังนั้น

เสียงคำรามลึกดังก้องจากลำคอของฉิงเทียน ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน เขาพยายามไหลเวียนคลื่นหลิงเต็มกำลัง แต่ยิ่งต่อต้านก็ยิ่งสูญเสียการควบคุมตัวเอง

“ฮ่าๆ เมล็ดหัวใจปีศาจเปิดค่ายกลดับแสงพันปีศาจซะ!”

ซินหมัวส่งเสียงร้องแหลมคม

ภายใต้สายตาที่มองมาอย่างตกตะลึงของจอมยุทธ์ทั้งหลาย มือของฉิงเทียนก็ค่อยๆ ยกขึ้นเริ่มสร้างตราประทับ ม่านแสงใต้เท้าเขาเริ่มผันผวนแล้วจางหายไป

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นฉากนี้ก็รู้สึกสั่นสะท้านไปถึงสันหลัง ไม่มีใครคิดว่าฉิงเทียนจะมี ‘เมล็ดพันธุ์ปีศาจหัวใจ’ ปลูกอยู่ในหัวใจตั้งแต่หลายร้อยปีก่อน!

ขบวนแถวแสงที่สร้างขึ้นจากค่ายกลดับแสงพันปีศาจเริ่มละลาย

ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจขบวนแถวแสงก็สลายลงไปหลายสิบชั้น

เมื่อเหล่าจอมปีศาจเห็นฉากนี้ดวงตาก็วาวโรจน์ เมื่อไรที่ค่ายกลชั้นสุดท้ายเปิดออกพวกเขาก็สามารถโจมตีดินแดนวั้นมู่ได้

อ๊าก!

ใบหน้าของฉิงเทียนบิดเบี้ยว เขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังทำอะไร แต่เขาไม่สามารถควบคุมร่างกายได้เลย ความขุ่นเคืองที่เกิดขึ้นในใจทำให้เขาคิดระเบิดตัวเองในขณะนี้

ขณะมองไปที่ขบวนแถวแสงที่กำลังละลาย สายตาเขาก็มีแต่ความสิ้นหวัง

แต่มือก็ยังคงวาดตราประทับไม่หยุด

ทว่าก่อนที่ตราประทับสุดท้ายจะเสร็จสิ้น ร่างกายเขาก็สั่นสะท้าน จากนั้นเพลิงงดงามและลึกลับก็ถูกจุดขึ้นจากภายในร่างกายเขา

เปลวไฟลุกโชนห่อหุ้มร่างฉิงเทียนไว้ เพลิงนี้ผิดแผกอย่างยิ่ง ทุกคนสามารถเห็นได้ว่าเมื่อมันปกคลุมร่างฉิงเทียนก็มีเส้นสายสีดำแตกออกด้านนอกมิติ

ประมุขเผ่าซินหมัวตัวสั่น เลือดไหลออกมาจากปาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นมืดมน เขารู้สึกได้ว่าเมล็ดพันธุ์ที่เขาปลูกในร่างกายของฉิงเทียนถูกแผดเผาแล้ว

การเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ทำให้ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนเปลี่ยนไป เขาจ้องเขม็งไปที่เพลิงลึกลับที่ลุกโชนจากร่างของฉิงเทียน พูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงน่าขนพองสยองเกล้า

“เพลิงจักรพรรดิ? ไอ้-เทพ-จักรพรรดิ-อัคคี บังอาจทำลายแผนของเรา!”

โฮก!

ชั้นรัศมีปีศาจถูกฉีกออกจากกัน มังกรสีม่วงทองขนาดมหึมาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับเกล็ดสีทองเปล่งรัศมีสีทองสว่างจ้า เมื่อแผ่กระจายออกไปรัศมีปีศาจก็ถูกสลายไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว

เบื้องหลังมังกรสีม่วงทองยังมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ติดตามมา อึดใจต่อมาคลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดออก ทำเอาแรงกดดันปีศาจถอยร่นกลับไปอีกหลายส่วน

“นั่นจักรพรรดิมังกรแท้จริง อดีตผู้อาวุโสใหญ่เผ่ามังกร!”

“จักรพรรดิหงส์ฟ้าแท้จริงก็อยู่ที่นี่เช่นกัน!”

“ส่วนนั่นคือผู้อาวุโสคุนเผิงและราชันวานรทะลุฟ้า!”

“…”

เสียงโห่ร้องดังมาจากในดินแดนวั้นมู่ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมาเหล่านั้นเป็นมหาเทพอสูรสูงสุดที่มีชื่อเสียงของมหาพันภพ

จอมยุทธ์ที่ถูกกล่าวถึงเหล่านี้เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย ซึ่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่าฉิงเทียน ชิงซันและปู้สือเลย

ท้ายที่สุดแล้วมีสิ่งมีชีวิตมากมายเกินคณนาในมหาพันภพ นอกเหนือจากเผ่ามนุษย์ยังมีเผ่าเทพอสูร และในบรรดาเผ่าเทพอสูรนี้ มหาเทพอสูรก็คือโอรสสวรรค์ ความแข็งแกร่งไม่ได้อ่อนแอไปกว่ามนุษย์เลย

แม้ว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์มักจะมีข้อพิพาทกันเนืองๆ แต่ทุกคนก็เป็นส่วนหนึ่งของมหาพันภพ ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับเผ่าปีศาจที่บุกรุกเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็ต้องร่วมมือร่วมใจกันเอาชนะ

ทุกคนเข้าใจดีว่าหากมหาพันภพตกอยู่ในเงื้อมมือของจักรวรรดิปีศาจ ทุกสรรพสิ่งก็จะตกเป็นทาส

ภายใต้สายตาที่เต็มไปด้วยความสุขของทุกคน เหล่าเทพอสูรก็ย่อขนาดร่างกายลง คนนำเบื้องหน้าเป็นชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีม่วงทองดูแข็งกระด้าง ดวงตาของเขาราวกับทองที่เอิบอาบความกดดันน่ากลัว

ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็คือจักรพรรดิหงส์ฟ้าจากสองตระกูล เป็นหนึ่งชายหนึ่งหญิง

มู่เฉินได้พบกับหวงจิงจักรพรรดิหงส์ฟ้าแท้จริงมาก่อนเมื่อในอดีต แม้ว่าพลังของเขาจะอยู๋ในระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง แต่ถ้าร่วมมือกับจักรพรรดิหงส์แท้จริงอีกคนก็สามารถเผชิญหน้ากับจอมปีศาจระยะปลายสุดสองคนได้เลยทีเดียว

ที่เบื้องหลังยังมีจอมยุทธ์เทพอสูรจากเผ่าต่างๆ ซึ่งดูเกรี้ยวกราดนัก

“พี่ฉิง พวกข้าคงไม่ได้มาสายใช่ไหม” จักรพรรดิมังกรแท้จริงประสานมือเข้าด้วยกันคารวะ

เมื่อเห็นกำลังเสริม ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แม้ว่าจะมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนมากมายในดินแดนวั้นมู่ แต่ทุกคนก็จดจ่ออยู่กับค่ายกลไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้แค่พวกเขาสามคนก็ไม่เพียงพอที่จะเผชิญหน้ากับจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่ยกพลกันมาที่นี่

ด้วยการมาถึงของเผ่าเทพอสูร ความกดดันที่มีก็คลายลงทันที

“ฮ่าๆ ไอ้พวกปีศาจเวรไม่เคยคิดยอมแพ้เลยใช่ไหม? โหยหามหาพันภพของเรายิ่งนัก!” ม่านตาสีทองของจักรพรรดิมังกรแท้จริงกะพริบอย่างเย็นชา ขณะที่มองไปที่ปีศาจที่น่ารังเกียจ

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองกลับมาอย่างไม่แยแส “ก็แค่พวกแมลงยังกล้าพูดเย่อหยิ่งเช่นนี้? เมื่อไรที่จักรวรรดิปีศาจครอบครองมหาพันภพ พวกข้าจะใช้เทพอสูรอย่างเจ้าเป็นพาหนะ”

“ไอ้เวรรนหาที่ตาย!” ราชันวานรทะลุฟ้าคำรามรุนแรงขณะที่ม่านตาเปลี่ยนเป็นสีแดง มือเขากำแน่นไม้พลองก็ปรากฏขึ้น มิติแตกออกพร้อมกับการกวัดแกว่ง

“เผ่าอั้นหมัวกำจัดพวกมันซะ อย่าปล่อยให้แมลงเหล่านั้นเข้าใกล้” จอมปีศาจเซิ่งเทียนสั่งการอย่างไม่แยแส

“ฮี่ๆ แมลงเหล่านี้น่ารำคาญก็จริง แต่เนื้อหอมหวลเป็นยาบำรุงชั้นดีสำหรับเรา!” จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มขณะที่มองดูเหล่าเทพอสูรก่อนที่จะโบกมือ

ในมิติแตกร้าว รัศมีปีศาจรุนแรงพวยพุ่งออกมา สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่หลายร่างปรากฏขึ้น เมื่อพลังแผ่ซ่านออกมาทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ว่าพวกมันก็คือจอมปีศาจระดับเทียนทั้งหมด

แม้ว่าจะมีขอบเขตระนาบมิติในพิภพเขตล่าง แต่ครั้งนี้เผ่าปีศาจก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อนำกองทัพผ่านเข้ามาได้

“ฮ่าๆ พวกข้าเคยจับแมลงกินมาแล้ว เนื้อของมันหวานกรอบอร่อย แต่ข้าว่าพวกมันรสชาติน่าจะด้อยกว่าเมื่อเทียบกับแก” จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มพร้อมกับหรี่ตาขณะมองไปที่จักรพรรดิมังกรแท้จริง

ดวงตาของจักรพรรดิมังกรแท้จริงเปลี่ยนไปเป็นน่ากลัวตอบว่า “ข้าจะฉีกแกทีละชิ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องสังเวยให้กับเผ่าพันธุ์เหล่านั้น!”

“ข้ากลัวว่าแกจะทำไม่สำเร็จนะสิ”

จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มขณะที่ดวงตามืดมนลงพลางประกาศอย่างไม่แยแส “ฆ่าพวกมัน!”

ตู้ม!

ที่ด้านหลังทันใดนั้นเหล่าปีศาจก็ระเบิดรัศมีปีศาจออกมาซึ่งสร้างหายนะไปทั่วภูมิภาค ห่อหุ้มไปทางกลุ่มจักรพรรดิมังกรแท้จริง พวกมันทั้งหมดก็คือจอมปีศาจระดับเทียน

“ฆ่า! ฆ่าไอ้พวกนั้นซะ!”

ราชาวานรทะลุฟ้าคำรามพลางซัดไม้พลองออกไป ฉีกแหวกมิติเหวี่ยงเข้าหาหนึ่งในจอมปีศาจ

คุนเผิง หวงจิงและจอมยุทธ์มหาเทพอสูรเผ่าอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวเช่นกัน คลื่นหลิงไร้ขอบเขตครางกระหึ่มพร้อมกับแรงกดดัน ขณะที่เข้าโรมรันไม่มีกลัวเกรง

ตู้ม ตู้ม!

การเผชิญหน้าครั้งนี้ทำให้โลกโยกคลอนไปหมด คลื่นหลิงมหาศาลและคลื่นปีศาจปะทะกันแม้แต่ดวงดาวบนท้องฟ้าก็สั่นไหว

จักรพรรดิมังกรแท้จริงไม่ได้เคลื่อนไหว แต่สายตาจับจ้องไปที่จอมปีศาจอั้นเทียนที่ดูสบายใจ เขารู้สึกถึงรัศมีอันตรายอย่างยิ่งจากอีกฝ่าย

“เจ้าแมลง ยังไม่ลงมืออีกเหรอ?” จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มพร้อมกับหรี่ตาลงขณะมองไปที่จักรพรรดิมังกรแท้จริง

ดวงตาของจักรพรรดิมังกรดูน่าสะพรึงกลัวขึ้น ตัวเขาเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงสุดในมหาพันภพและไม่มีใครโอหังเรียกเขาในลักษณะนี้ แม้ว่าคนคนนี้จะทำให้เขารู้สึกว่าถูกคุกคาม แต่ดวงตาของจักรพรรดิมังกรแท้จริงก็ยังคงเปล่งประกายด้วยความเย็นชา

“ในเมื่อไม่คิดขยับตัวก็ตายซะ” จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มขณะที่กระแสคลื่นในม่านตาหมุนคว้างกลายเป็นลำแสงสีดำพุ่งออกมา

ลำแสงสีดำนั้นเต็มไปด้วยรัศมีแห่งการทำลายล้าง ในเส้นทางพาดผ่านพลังทั้งหมดถูกลบออก ช่างน่ากลัวยิ่งนัก

เมื่อลำแสงสีดำปรากฏขึ้นจักรพรรดิมังกรก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาไม่กล้าที่จะประมาท เสียงคำรามดุดันดังออกมาจากลำคอ

“กรงเล็บมังกรแท้จริง!”

เขายื่นมือออกมาก่อร่างเป็นกรงเล็บมังกรขนาดยักษ์ซึ่งปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีม่วงทอง เมื่อเหวี่ยงออกไปมิติก็ฉีกออกจากกัน แม้ว่าจะมีสะเก็ดมิติบินวนรอบกรงเล็บมังกร แต่ก็ไม่สามารถทิ้งรอยใดๆ ไว้บนเกล็ดได้ ในทางกลับกันยิ่งทำให้กรงเล็บนี้ดุร้ายมากขึ้น

กรงเล็บนี้สามารถฉีกทะลุร่างเวทสวรรค์ของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาได้เลยทีเดียว

ชี่!

กรงเล็บมังกรพุ่งหวือออกไปชนเข้ากับลำแสงสีดำ ทว่าความปั่นป่วนขนาดใหญ่ที่คาดไว้ไม่ได้เกิดขึ้น แต่มิติก็ยังยุบลงอย่างรวดเร็วกลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่

เมื่อกรงเล็บมังกรหายไปจักรพรรดิมังกรแท้จริงก็ตัวสั่นสะท้าน เกิดรอยเลือดไหลลงที่กรงเล็บของเขา

จอมปีศาจอั้นเทียนยิ้มให้จักรพรรดิมังกรแท้จริง อึดใจต่อมาก็สร้างภาพมายาทะยานออกไปพร้อมกับกระแสคลื่นวนในดวงตาเขาหมุนคว้างเร็วขึ้น

โฮก!

จักรพรรดิมังกรแท้จริงเปล่งเสียงคำราม ร่างกายก็เริ่มขยายขนาดพร้อมกับเกล็ด ดูเหมือนมนุษย์มังกรพุ่งเข้าปะทะกับจอมปีศาจอั้นเทียน

ปัง ปัง ปัง!

ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ทุกกระบวนท่าก็ทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน

เมื่อมองไปที่เหล่าจอมยุทธ์ที่ช่วยซื้อเวลาไม่ให้พวกเขาเข้าสู่ดินแดนวั้นมู่ได้ จอมปีศาจเซิ่งเทียนก็หันกลับไปมองฉิงเทียน ชิงซันและคนอื่นๆ “เมื่อพวกข้าปรากฏตัว จักรวรรดิปีศาจก็ได้เริ่มบุกโจมตีมหาพันภพทุกหัวระแหงแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าจะได้รับกำลังเสริมใดอีก”

ฉิงเทียนตอบอย่างเย็นชา “นั่นก็หมายความว่ากำลังของเผ่าปีศาจถูกรั้งไว้มากเช่นกัน”

ฉิงเทียนเอี้ยวหน้ามองไปที่ดินแดนวั้นมู่ ขณะนี้มีหอกมากกว่าสี่สิบเล่มสร้างขึ้นโดยค่ายกล หลังจากนี้อีกประมาณห้าสิบครั้งพลังชีวิตของเทพปีศาจจักรพรรดิก็จะถูกลบออกตลอดกาล

พวกเขาต้องลากเวลาออกไป

“ถ้าพี่เซียวและพี่หลินอยู่ที่นี่ ไอ้พวกปีศาจเหล่านี้จะหยิ่งยโสได้ยังไง?” ฉิงเทียนถอนหายใจ กระทั่งเขาเองยังรู้สึกชื่นชมคนทั้งสอง แม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายเหมือนกัน แต่ฉิงเทียนมีความรู้สึกที่คลุมเครือว่าตนเองไม่สามารถเทียบเคียงกันเทพจอมยุทธ์ทั้งสองได้

ตลอดหลายหมื่นปีที่ผ่านมามีอัจฉริยะมากมายนับไม่ถ้วนในมหาพันภพ ซึ่งเขาก็ได้พบมามาก แต่ไม่เคยมีใครที่สามารถให้ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน

“พวกมันสองคนเป็นตัวปัญหาจริงๆ พวกข้าถึงกับต้องแยกกองทัพสูงสุดออกจากกัน” จอมปีศาจเซิ่งเทียนทอดถอนหายใจ “ถ้าพวกมันมีเวลามากกว่านี้ ข้ากลัวว่าทั้งสองคนนั่นจะไปถึงในระดับของเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่ช่างน่าเสียดาย…”

รอยยิ้มผิดแผกปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของจอมปีศาจเซิ่งเทียน “พวกเจ้าไม่มีโอกาสนั้นแล้ว”

สายตาของฉิงเทียนเย็นชาลง “นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าพวกแกสามารถทำลายค่ายกลได้หรือไม่!”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนมองไปที่ฉิงเทียน สายตาก็ดูแปลกประหลาดยิ่งขึ้น รอยยิ้มยิ่งดูน่ากลัว “ฉิงเทียน ข้าไม่สามารถทำอะไรกับค่ายกลย์นี้ได้ก็จริง”

“แต่คนอื่นทำได้…”

ม่านตาของฉิงเทียนหดลงขณะแลกเปลี่ยนสายตากับชิงซันและปู้สื่อ พวกเขาเร้าคลื่นหลิงปกคลุมรอบตัวทันที ตั้งระวังสูงสุด

“ข้าจะดูว่าใครสามารถทำลายค่ายกลได้!” ฉิงเทียนยิ้มเย็น

จอมปีศาจเซิ่งเทียนคลี่ยิ้ม ทว่ารอยยิ้มดูพิลึกนัก เขาจ้องมองไปที่ฉิงเทียนและพูดช้าๆ

“ในเมื่อเจ้าอยากรู้ งั้นข้าจะบอกให้เอาบุญว่า… คนคนนั้น…”

“ก็คือแก…ราชัน-สังหาร-ปีศาจ—ฉิงเทียน!”

รัศมีปีศาจดังก้องไปทั่วทั้งภูมิภาค

ไอเชี่ยวกรากพรั่งพรูออกมาไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้พื้นที่ในดินแดนวั้นมู่ราวกับดินแดนปีศาจ

เมื่อรัศมีปีศาจเพิ่มขึ้นก็สามารถมองเห็นร่างทรงพลังท่ามกลางพวกมัน ดวงตาแต่ละคู่เย็นเยือกขณะมองเหล่าจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนที่อยู่ภายในราวกับกำลังมองเหยื่อ

ในดินแดนวั้นมู่เหล่าจอมยุทธธ์ก็มองไปที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากด้วยความตื่นตระหนกแฝงความวิตกกังวลบนใบหน้า เพราะที่สุดแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นพวกปีศาจเต็มๆ นอกจากนี้ที่มาที่นี่ทั้งหมดก็เป็นสุดยอดนักรบอีกด้วย

สีหน้าของฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเย็นชาลง พวกเขาเงยหน้าขึ้นมองไปที่ร่างปีศาจเหล่านั่นพลางเอ่ยเสียเย็น “จักรวรรดิปีศาจต่างมิติกล้าหาญแท้จริงที่บุกลึกเข้ามาในมหาพันภพ ไม่กลัวที่จะถูกสังหารโดยกองทัพพันธมิตรมหาพันภพรึ?”

เมื่อรัศมีปีศาจพวยพุ่งก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ร่างสวมชุดคลุมสีดำก็ก่อตัวขึ้น ร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีน่ากลัวไร้ขอบเขตราวกับว่าเป็นผู้นำหมู่มวลปีศาจ ทว่ารูปลักษณ์เขาดูเป็นมิตรมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตา เมื่อมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้นก็ไม่มีใครสามารถเกิดความเกลียดชังในหัวใจและรู้สึกถึงความเคารพ

“ฮ่าๆ เมื่อพวกข้าปรากฏตัว ดินแดนวั้นมู่ก็ถูกปิดผนึกหมดแล้ว ดังนั้นต่อให้เกิดความวุ่นวายที่นี่ ภายนอกก็ไม่มีทางรับรู้” ร่างชุดดำยิ้มขณะที่จ้องมองไปที่ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อพลางพูดอย่างเป็นมิตร “สหายถ้าพวกเจ้ายอมปล่อยเทพปีศาจจักรพรรดิ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติกับมหาพันภพได้”

“จอมปีศาจเซิ่งเทียน…”

ฉิงเทียนมองไปที่ร่างชุดดำก็จำตัวตนนั่นได้ทันที นี่คือผู้นำของจักรวรรดิปีศาจ ตำแหน่งของเขาอยู่ภายใต้เทพปีศาจจักรพรรดิเท่านั้น ดูเหมือนว่าพวกปีศาจจะนำพลังทั้งหมดออกมาเพื่อช่วยเหลือเทพปีศาจจักรพรรดิแล้ว

“เผ่าปีศาจโหดเหี้ยม มองว่าทุกชีวิตในมหาพันภพเป็นเหมือนวัชพืช คงเป็นเรื่องตลกมากที่ได้ยินคำว่า ‘สันติ’ จากปากเจ้า” ปู้สื่อตอบอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินคำตอบจอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ยิ้มอย่างสบายๆ “กฎการล่าเป็นความจริงทั่วทุกที่ ในเมื่อจักรวรรดิปีศาจต้องการดำรงอยู่ก็ต้องบุกมหาพันภพและเปลี่ยนคลื่นหลิงที่น่าขยะแขยงให้กลายเป็นคลื่นปีศาจ ตราบใดที่พวกเจ้ายอมสวามิภักดิ์ ข้าก็ยินดีจะแปลงร่างกายทั้งหมดของพวกเจ้าเพื่อปรับแต่งให้เข้ากับมหาพันภพใหม่นะ”

“สามหาว บังอาจกล้าทำให้คลื่นหลิงแปดเปื้อน!” ใบหน้าของเหล่าจอมยุทธ์เปลี่ยนไปขณะร้องลั่น คลื่นหลิงเป็นรากฐานของมหาพันภพ หากถูกแปรเปลี่ยนพวกเขาจะพบกับการขาดพลังงาน นั่นหมายความว่าการฝึกฝนมาทั้งหมดจะสูญสิ้นไป

พวกปีศาจมีเป้าหมายต้องการลบรากฐานของคลื่นหลิงในมหาพันภพ

ชิงซันกุมกระบี่มองไปที่เซิ่งเทียนพลางยิ้ม “ไอ้เผ่าปีศาจหยุดฝันเฟื่องได้แล้ว ไสหัวกลับไปในที่ที่แกมา เราจะไม่ปล่อยให้แกทำให้มหาพันภพแปดเปื้อน”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนถอนหายใจด้วยความเสียใจ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่สนคำแนะนำของข้านะ งั้นแบบนี้…”

หลังจากหยุดชั่วครู่สายตาที่เป็นมิตรก็เพิ่มขึ้นด้วยความเย็นชา “ถ้างั้นพวกข้าก็ต้องล้างบางพวกเจ้าทั้งหมดออกไปแล้ว”

“ฮ่าๆ เจ้าก็น่าจะทำแบบนั้นตั้งแต่แรกอยู่แล้วนะ ทำไมต้องไปเสวนากับพวกพื้นเมืองมหาพันภพ แค่เอาชนะพวกมันบีบให้ยอมจำนนและเปลี่ยนให้เป็นทาสซะก็หมดเรื่อง”

รัศมีปีศาจพุ่งขึ้นรอบๆ จอมปีศาจเซิ่งเทียนก่อตัวเป็นปีศาจที่ทรงอำนาจรุนแรง รูม่านตาคล้ายกับกระแสน้ำวนสีดำ เขาก็คือประมุขเผ่าเทียนหมัว

เวลานี้เขากำลังมองไปที่จอมยุทธ์ในดินแดนวั้นมู่ด้วยรอยยิ้มขณะเลียริมฝีปาก ราวกับหมาป่าหิวโหยที่เห็นกระต่าย

“ยโสจริง แกคิดว่าสามารถเข้าสู่ค่ายกลนี้ได้เหรอ?” หมัวเฮอเทียนเย้ยหยัน

เผ่าปีศาจต่างมิติเคลื่อนทัพมาในลักษณะยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่เคลื่อนไหวอะไร ชัดว่ากำลังหวาดกลัวต่อค่ายกลดับแสงพันปีศาจที่ยิ่งใหญ่ที่ถูกวางไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ ค่ายกลนี้มีพลังอันยิ่งใหญ่ที่สามารถสังหารสมาชิกของเผ่าปีศาจที่แหยมเข้ามาได้

จอมปีศาจเซิ่งเทียนก้มศีรษะมองไปที่ค่ายกลใหญ่ที่ล้อมรอบดินแดนวั้นมู่พร้อมกับแววตาสั่นไหวด้วยประกายบางอย่าง ครู่ต่อมาเขาก็ถอนหายใจ “พวกข้าไม่คิดมาก่อนว่ามหาพันภพจะมีคนอย่างเทพจักรพรรดินิรันดร์…”

เขาส่ายหัวพูดต่ออย่างไม่แยแส “แต่ต่อให้ค่ายกลนี้ทรงพลังก็ไม่มีชีวิต ถ้าเจ้าคิดว่าค่ายกลนี้สามารถปกป้องความสงบสุขของมหาพันภพได้ ข้าว่าพวกเจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”

หลังจากพูดจบมือเขาก็สะบัดออก จากนั้นประโยคไร้อารมณ์ก็ดังก้อง “เผ่าสือหมัวเคลื่อนพล”

ขณะที่เขาพูดรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากก็พวยพุ่งออกมาจากรอยร้าวมิติ ร่างปีศาจนั่งอยู่นับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ร่างกายของพวกมันมีของเหลวสีดำหยดแหมะซึ่งทิ้งร่องรอยการกัดกร่อนไว้ในมิติ

เผ่าสือหมัวมีความสามารถในการกัดกร่อนตั้งแต่กำเนิด ซึ่งมีความบีบคั้นอย่างมาก พลังใดที่ถูกแปดเปื้อนโดยพวกมันจะค่อยๆ สึกกร่อน

โฮก โฮก!

ปีศาจจำนวนมากส่งเสียงคำราม อึดใจรัศมีปีศาจก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของพวกมันราวกับกระบี่คม

ปัง!

เมื่อแสงปีศาจกวาดออก ร่างปีศาจร่างหนึ่งและร่างหนึ่งก็ระเบิดตัวกันเป็นทอด พร้อมกับการระเบิดร่างกายที่หยดด้วยของเหลวสีดำหนาแน่นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า

ของเหลวนี้มีสีดำเข้มข้นมาก ไม่มีแม้แต่มิติสักริ้วจะยังรักษาลักษณะการกัดกร่อนได้ นอกจากนี้ยังมีพลังที่น่าสะพรึงกลัวแทรกซึมออกมาราวกับว่าสามารถกัดกร่อนอะไรก็ได้

ซ่า ซ่า!

ขณะของเหลวรวมตัวกันก็กลายเป็นสายธารสีดำพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ตกลงไปบนขบวนแถวแสงของค่ายกลดับแสงพันปีศาจ

ชี่ ชี่!

เมื่อพลังงานสองชนิดปะทะกันและกัน ควันก็ลอยขึ้นและขบวนแถวแสงกระเพื่อมเป็นระลอก พลังลึกลับและน่าเกรงขามกวาดออกไปทำให้สายธารสีดำบริสุทธิ์อย่างรวดเร็ว

“ฮา”

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์เห็นสิ่งนี้ พวกเขาก็รู้สึกโล่งใจเนื่องจากดูเหมือนว่าความสามารถในการป้องกันของค่ายกลดับแสงพันปีศาจเกินความคาดหมายของพวกเขาไปไกล

“ทำต่อไป!”

ใบหน้าของจอมปีศาจเซิ่งเทียนไม่เปลี่ยนแปลง เสียงที่ไม่แยแสดังก้องอีกครั้ง

“เพื่อเผ่าพันธุ์!”

นักรบเผ่าสือหมัวคำราม คนแล้วคนเล่าระเบิดตัวเอง ทันใดนั้นของเหลวสีดำก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ารวมตัวกันเป็นสายธารไหลไปสู่ค่ายกล

ชี่ ชี่!

แต่ไม่ว่าพลังการกัดกร่อนจะน่ากลัวเพียงใดก็ยังคงถูกทำให้บริสุทธิ์โดยค่ายกลไม่มีร่องรอยของความเสียหาย

ทว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนก็ยังเพิกเฉยต่อภาพนี้และสั่งการให้เผ่าสือหมัวทำลายตัวเองต่อไป

มู่เฉินขมวดคิ้วกับฉากนี้ ไม่นานดวงตาก็หดลง รีบตะโกนขึ้นว่า “พวกมันพยายามที่จะใช้พลังของค่ายกลเพื่อชะลอเวลาหอกก่อตัว”

เมื่อได้ยินเสียงของมู่เฉิน ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็หัวใจสั่นสะท้านขณะจ้องมองไป ภาพที่เห็นก็เป็นอย่างที่มู่เฉินพูด เวลาที่ใช้ในการสร้างหอกในค่ายกลเริ่มที่จะลากยาวออกไป!

ก่อนหน้านี้หอกใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป แต่ตอนนี้ลากออกไปเกือบครึ่ง

ชัดว่าพวกเผ่าปีศาจไม่ได้คาดหวังว่าค่ายกลจะหมดพลังอย่างสมบูรณ์ พวกมันแค่อยากให้เวลาเลื่อนออกไป

“ทุกคนเติมพลังลงไป!” ฉิงเทียนตะโกน

เมื่อได้ยินคำสั่งของเขา เหล่าจอมยุทธ์ก็นั่งลงและหมุนเวียนคลื่นหลิงเทเข้าไปในโลงศพ

ปู้สื่อจ้องมองไปที่รัศมีปีศาจเชี่ยวกรากน่ากลัว “ไอ้พวกปีศาจเป็นพวกบ้าอย่างแท้จริง เพื่อทำลายผนึกพวกมันเต็มใจที่จะเสียสละทั้งเผ่าพันธุ์”

เผ่าสือหมัวถูกทำราวกับเป็นเครื่องสังเวย ความเหี้ยมโหดนี้ทำให้หัวใจของทุกคนเย็นเยือกลง

“หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปก็จะกลายเป็นการต่อสู้ที่เหนื่อยยาก เผ่าปีศาจมาพร้อมกับความดุร้ายพยายามที่จะบุกมหาพันภพและเราก็ไม่มีกองกำลังแข็งแกร่งที่สุดมารวมอยู่ที่นี่” ชิงซันกล่าวต่อ “หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปจะต้องเกิดช่องโหว่แน่ อาจมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น”

ดวงตาของฉิงเทียนวูบไหว “ไม่ว่ายังไงก็ตามเราต้องรักษาสถานการณ์นี้ไว้จนกว่าหอกเล่มที่เก้าสิบเก้าจะลงมา พวกปีศาจก็จะจบสิ้นเมื่อชีวิตของเทพปีศาจจักรพรรดิดับสูญ”

“พวกมันพยายามทำให้ค่ายกลหมดพลังเพื่อถ่วงไว้ งั้นเราสามคนก็ผนึกกำลังซื้อเวลาให้ค่ายกลกัน”

“ได้เลย” ชิงซันและปู้สื่อพยักหน้า

ฟิ้ว!

ทันใดนั้นพวกเขาทั้งสามก็ทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเข้าไปในขบวนแถวของค่ายกล

ตู้ม!

คลื่นหลิงเชี่ยวกรากกวาดออกราวกับคลื่นยักษ์ เป่ากระแสน้ำสีดำสามสายกระจายออกไป

“พวกแกสามคนคิดสู้กับเผ่าปีศาจรึ?” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเซิ่งเทียนดังก้องพร้อมกับโบกมือลง

เมื่อมือของเขาโบกลง รัศมีปีศาจก็พุ่งพรวดออกมาเบื้องหลัง ร่างปีศาจหกร่างก้าวย่างออกมาพร้อมกับพลังไม่มีที่สิ้นสุด

เมื่อมู่เฉินและคนอื่นๆ เห็นปีศาจทั้งหกในดินแดนวั้นมู่แววตาของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ทั้งหกคนนั้นเป็นจอมปีศาจซึ่งเทียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุด

“พวกเราไปช่วยด้วยกัน!” หมัวเฮอเทียนหันไปมองประมุขเผ่าโบราณอีกสี่เผ่าและเอ่ยออกมา

“ไม่ได้ เราต้องรักษาการเติมพลังคลื่นหลิงลงในค่ายกลไว้เพื่อให้หอกเล่มที่เก้าสิบเก้าก่อตัวขึ้นให้จงได้!” คิ้วของมู่เฉินขมวดเข้าหากัน

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย “มู่เฉินพูดถูก เราผลีผลามไม่ได้!”

หลังจากลังเลวูบหนึ่งไท่หมิง เฮยเธียนและหวางฉิวก็พยักหน้าเช่นกัน ตอนนี้การสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิมีความสำคัญมากที่สุด

หมัวเฮอเทียนส่งเสียงขึ้นจมูก แต่ก็ไม่ได้เถียงอะไร เขารู้ว่าอะไรสำคัญกว่าในขณะนี้

“ฮ่าๆ พวกข้าจะใช้ชีวิตของแกทั้งสามต้อนรับการปรากฏตัวอีกครั้งของท่านเทพปีศาจ!” จอมปีศาจทั้งหกยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ขณะที่เสียงคำรามนำพาพลังปีศาจไม่มีที่สิ้นสุดซึ่งครอบคลุมไปยังฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อ

ที่เบื้องหลังนักรบปีศาจนับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองยอดยุทธ์ทั้งสามอย่างเย็นชา

เมื่อเห็นนักรบเหล่านั้นสีหน้าของฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อก็กลายเป็นเย็นชาโดยไม่มีความหวาดเกรงพวกเขาทำเพียงหมุนเวียนคลื่นหลิง ทำให้ทั้งภูมิภาคสั่นสะเทือน

“ฆ่า!”

จอมปีศาจทั้งหกคำรามทะยานใส่ยอดยุทธ์ทั้งสาม

โฮก!

แต่ทันทีที่พวกเขาเคลื่อนไหว เสียงคำรามมังกรที่เสียดแก้วหูก็ดังก้อง มองเห็นแสงสีทองฉีกผ่านชั้นรัศมีปีศาจก่อตัวเป็นมังกรสีม่วงทองพร้อมกับความกดดันมังกรรุนแรงที่แทรกซึมไปทั่วทั้งภูมิภาค

“ฮ่าๆ พี่ฉิง เผ่าเทพอสูรก็เป็นสมาชิกมหาพันภพนะ ศึกนี้ลืมพวกข้าไปได้ยังไง?!”

ร่างมังกรสีทองปกคลุมดวงอาทิตย์ ที่เบื้องหลังรัศมีทรงพลังกระเพื่อมไหว ภาพเงาขนาดใหญ่จำนวนมากทะยานเข้ามา พวกเขาล้วนเป็นมหาเทพอสูรผู้ยิ่งใหญ่แห่งมหาพันภพ

ในดินแดนวั้นมู่ เมื่อมู่เฉินและจอมยุทธ์คนอื่นเห็นร่างมหาเทพอสูร ความปีติยินดีก็ฉายในดวงตา ในที่สุดเหล่าเทพอสูรก็มาถึงแล้ว!

ตู้ม ตู้ม!

บริเวณเนินเขารกร้างทางเหนือเกิดเสียงดังก้องไม่หยุด โลงศพบนลานสีดำระเบิดแสงจำนวนมากถักทอกลายเป็นค่ายกลเหนือพื้นที่นี้

แม้ว่าค่ายกลจะดูเลือนรางแต่ก็พล่านด้วยพลังเต้นระริก ทำให้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายยังหวาดกลัว

ม่านแสงเริ่มปรากฏขึ้นและกระจายออกไปห่อหุ้มดินแดนวั้นมู่ทั้งหมด ราวกับว่าเป็นการป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

ฉิงเทียนยืนขึ้นพลางเงยหน้า สายตาเหมือนจะสามารถทะลุผ่านวังยิ่งใหญ่มองไปที่ค่ายกลทรงพลังเหนือดินแดนวั้นมู่

“ทุกคนประจำตำแหน่ง เมื่อไรที่ได้รับคำสั่งข้าก็จงเทคลื่นหลิงลงในโลงศพทองสัมฤทธิ์นั่น!” เสียงหนักแน่นของฉิงเทียนดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคน

พูดจบฉิงเทียนก็โบกมือ มู่เฉินและคนอื่นๆ รู้สึกว่าวิวทิวทัศน์พร่ามัวไป ก่อนที่จะไปปรากฏเบื้องหน้าโลงศพทองสัมฤทธิ์

ที่นี่เป็นดินแดนสีดำกว้างใหญ่ ทุกโลงศพจะมีร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้น

มู่เฉินนั่งอยู่บนโลงศพทองสัมฤทธิ์มองไปที่ค่ายกลใหญ่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสัมผัสได้ว่าพลังที่รั่วไหลออกมาเล็กน้อยก็ทำให้คลื่นหลิงในร่างกายของเขาสั่นสะท้าน

“พลังนี้…เกินขอบเขตระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งไปแล้ว…”

มู่เฉินพึมพำ ค่ายกลดับแสงพันปีศาจที่ยิ่งใหญ่นี้เป็นสิ่งที่เทพจักรพรรดินิรันดร์สร้างขึ้นด้วยชีวิตของเขา ซึ่งเกี่ยวข้องกับกฎลึกลับ ดังนั้นพลังจึงเป็นสิ่งที่จินตนาการไม่ได้

“นี่คือพลังงานอะไร?”

ขณะที่มู่เฉินกำลังมองไปที่ค่ายกล ฉิงเทียนก็ปรากฏตัวบนโลงศพที่อยู่ตรงกลางพลางจ้องไปที่ค่ายกลเช่นกัน

บนค่ายกลพลังอันยิ่งใหญ่กำลังค่อยๆ อ่อนลง

นี่เป็นเพราะค่ายกลดับแสงพันปีศาจอีกไม่ช้าก็จะจบสิ้นวงจรแล้ว เมื่อรอบนี้จบลงพวกเขาจะต้องเติมคลื่นหลิงของจอมยุทธ์ทุกคนลงไปเพื่อกระตุ้นให้วงจรสุดท้ายดับชีวิตเทพปีศาจจักรพรรดิ

บนท้องฟ้าค่ายกลขนาดใหญ่ที่ล้อมรอบดินแดนวั้นมู่เริ่มจางหาย

อีกครึ่งก้านธูปต่อมารัศมีก็ดับวูบลง

ตู้ม!

ดินแดนวั้นมู่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น รอยแตกขนาดใหญ่เริ่มปรากฏขึ้นพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพวยพุ่งออกมาจากช่องปริแตกเหล่านั้น

เมื่อรัศมีปีศาจปรากฏขึ้นพื้นที่ทั้งหมดก็มืดลงพร้อมกับคลื่นหลิงถูกแปดเปื้อนและสึกกร่อนในเส้นทางของรัศมีนั้น

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนหนึ่งที่ไม่ทันตั้งตัวไม่แม้แต่จะได้ส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายก็ถูกลดขนาดเป็นเถ้าถ่าน

เมื่อเห็นฉากนี้สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าการรั่วไหลจะน่ากลัวขนาดนี้

โฮก!

เสียงคำรามลึกดังมาจากใต้พิภพ เมื่อทุกคนมองไปที่รอยแตกก็เห็นนัยน์ตาน่ากลัวจ้องมองกลับมา

มองดวงตาที่น่าขนพองสยองเกล้าคู่นั้น ทุกคนก็สั่นสะท้านตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เทคลื่นหลิงกระตุ้นค่ายกล! ห้ามปล่อยให้เทพปีศาจจักรพรรดิหลบหนีไปได้!” ฉิงเทียนตะโกน เสียงของเขาดังก้องปลุกทุกคนจากอาการตื่นตกใจ

ใบหน้าของจอมยุทธ์ทั้งหมดเปลี่ยนไป พวกเขาหมุนเวียนคลื่นหลิงโดยไม่ลังเลแล้วเทลงในโลงศพทองสัมฤทธิ์ที่อยู่เบื้องล่าง

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อจอมยุทธ์จำนวนมากเคลื่อนไหว โลงศพทองสัมฤทธิ์ก็ระเบิดรัศมีพร่างพราว คลื่นหลิงกวาดออกไปตามเส้นทางที่เชื่อมโยงกับโลงศพ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็กำจายไปทั่วดินแดนวั้นมู่โดยมีตาข่ายดักจับรัศมีปีศาจที่รั่วไหลไว้

ตึง ตึง!

เมื่อรัศมีปีศาจไร้ที่สิ้นสุดปะทะกับตาข่ายจังใหญ่ พื้นดินก็สั่นสะท้าน ทว่าก็ถูกยับยั้งไว้อย่างแน่นหนา

สีหน้าของฉิงเทียนเคร่งเครียดมาก เขาแลกเปลี่ยนสายตากับชิงซันและปู้สื่อ จากนั้นคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็พุ่งขึ้นที่ด้านหลังพวกเขา ร่างใหญ่โตสามร่างปรากฏขึ้น

ที่ด้านหลังฉิงเทียนเป็นร่างที่ถือกงล้อสีทองที่มีดวงดาวสลักอยู่บนนั้น นี่ก็คือร่างสังหารปีศาจล้อสวรรค์อยู่ในอันดับเก้าของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง!

ที่ด้านหลังชิงซันเป็นร่างถือกระบี่สีฟ้าอมเขียว ขณะที่กระบี่ใหญ่สั่นสะท้านก็ปลดปล่อยรัศมีเชี่ยวกรากซึ่งสามารถฉีกมิติออกจากกันได้ นี่ก็คือร่างเทพกระบี่เขียวอยู่ในอันดับที่สิบ!

ส่วนปู้สื่อเป็นร่างถือไม้เท้ายักษ์ที่มีรัศมีความตายพลุ่งพล่านอยู่รอบตัว แต่ท่ามกลางรัศมีความตายกลับมีพลังชีวิตสอดประสาน ทั้งชีวิตและความตายลึกซึ้งอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งอยู่ในอันดับสิบสอง ร่างจักรพรรดิอมตะ!

ยามนี้สุดยอดจอมยุทธ์ทั้งสามได้ใช้พลังทุกหยาดหยดแล้ว

ตู้ม ตู้ม!

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตราวกับมหาสมุทรเทลงมาในโลงศพใหญ่ที่สุดสามโลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าพวกเขา

ตึง!

ขณะที่พวกเขาเติมคลื่นหลิงตลบอบอวล โลงศพก็สั่นสะท้าน เสาคลื่นหลิงไร้ขอบเขตพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าขับเคลื่อนเข้าไปในค่ายกลดับแสงพันปีศาจ

ฮึ่ม ฮึ่ม!

พร้อมกับเสาพลัง ค่ายกลก็เอิบอาบไปด้วยรัศมีขณะพลังยิ่งใหญ่ที่กำลังอ่อนแรงลงได้รับการปรับปรุงอย่างรวดเร็ว

รัศมีลึกลับพุ่งออกมาจากใจกลางค่อยๆ บีบอัดเป็นหอกยาว

หอกถูกปกคลุมด้วยรูปแบบพลังงานโบราณ ราวกับว่ามันเป็นพลังงานลึกลับที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อโลกอุบัติขึ้น

เมื่อรู้สึกถึงพลังงานนั่น มู่เฉินก็หดดวงตา เนื่องจากเขาสัมผัสได้ว่าร่างมหาเทพนิรันดร์สั่นสะเทือน ราวกับว่าถูกบางอย่างดึงดูด

ทุกคนที่นี่กระทั่งจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายก็มีสีหน้าตกตะลึง เนื่องจากสัมผัสได้ถึงรัศมีคุกคามอย่างมากจากหอก

หากหอกนั้นเล็งมาที่พวกเขาก็คงตายคาที่อย่างไม่ต้องสงสัย

ฟิ้ว!

เมื่อค่ายกลดับแสงพันปีศาจสั่นไหว หอกก็พุ่งลงมา อึดใจก็ซัดลงมาบนพื้นดิน

ชี่!

เมื่อพุ่งลงสู่พื้นดินหอกก็หายไป แต่จังหวะนั้นทุกคนต่างได้ยินเสียงโหยหวนโกรธเกรี้ยวที่มาจากใต้พิภพ แผ่นโลกสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวต้องการเคลื่อนตัวให้หลุดพ้น

ปัง!

ทว่ารัศมีปีศาจก็ถูกจำกัดไว้โดยตาข่าย ภูเขาหลายลูกในดินแดนวั้นมู่ถล่มลง แต่ตาข่ายก็ยังคงดักจับรัศมีปีศาจไว้อย่างแน่นหนา

หลังจากการเผชิญหน้ากันชั่วครู่ ในที่สุดรัศมีปีศาจก็สงบลง ดวงตาน่าขนพองสยองเกล้ากลัวปรากฏขึ้น “ไอ้พวกต่ำตม! หากเทพปีศาจคนนี้หลุดไปได้ละก็ ข้าจะทำให้ทุกชีวิตในมหาพันภพเป็นทาสของข้า!”

ดวงตาของฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเย็นเยือกลง

“ไม่ต้องใส่ใจมัน ก็แค่การดิ้นรนครั้งสุดท้ายก่อนตาย คงค่ายกลไว้ให้ได้จนหอกเก้าสิบเก้าเล่มครบ ร่องรอยสุดท้ายของพลังชีวิตมันก็จะถูกลบออกไป!” ฉิงเทียนกล่าว

เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ทุกคนก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น ก่อนที่จะหมุนเวียนพลังเทลงในโลงศพอย่างต่อเนื่อง

ฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อแลกเปลี่ยนสายตาพลางถอนหายใจด้วยความโล่งอก ค่ายกลดับแสงพันปีศาจถูกกระตุ้นแล้ว เทพปีศาจจักรพรรดิก็จะถูกสังหารหลังจากหอกเล่มที่เก้าสิบเก้าซัดลงไป

“ตอนนี้…เราต้องปกป้องดินแดนวั้นมู่ไว้ให้ดี” ฉิงเทียนกล่าว

ชิงซันเงยหน้ามองไปที่ขอบฟ้าตอบว่า “ไม่มีความวุ่นวายใดๆ จากโดยรอบ พวกปีศาจยังไม่ปรากฏตัว

ปู้สื่อเอ่ยว่า “ปีศาจเหล่านั้นไม่ยอมแพ้แน่ เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกมัน ดังนั้นพวกมันต้องทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ!”

ฉิงเทียนพยักหน้าขณะมองไปที่ขอบฟ้าด้วยไอเย็นเยือกพล่านอยู่ในดวงตา

ยามนี้ดินแดนวั้นมู่สงบนิ่ง ทุกคนต่างรอคอยพลังมหาศาลหมุนเวียนที่ขอบฟ้า ทุกหนึ่งก้านธูปก็จะสร้างหอกขึ้นมา ก่อนที่จะพุ่งลงไปแล้วตามด้วยเสียงคำรามกร้าว

ทุกครั้งที่หอกซัดลงไป เสียงนั้นก็ค่อยๆ อ่อนแอลง

เมื่อรับรู้ถึงฉากนี้ ความสุขก็ปรากฏบนใบหน้าของทุกคน มีเพียงฉิงเทียน ชิงซันและปู้สื่อเท่านั้นที่ดูเคร่งขรึมและตื่นตัวมากขึ้น

“เผ่าปีศาจยังไม่ปรากฏตัวอีกเรอะ?” มู่เฉินพึมพำขณะขมวดคิ้ว

ทว่าทันใดนั้นดวงตาของสุดยอดจอมยุทธ์ทั้งสามก็เปล่งประกาย

มู่เฉินรู้สึกถึงสิ่งนี้ก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปลี่ยนไปรุนแรง

จอมยุทธ์ทุกคนเงยหน้าขึ้นตามด้วยความหวาดผวาเมื่อเห็นรอยแตกขนาดใหญ่ค่อยๆ ปริออกจากกันพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากพุ่งออกมารุนแรง

“ในที่สุดก็มา…”

ชิงซันกวัดแกว่งกระบี่พลางถอนหายใจ “ไม่คิดว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะใช้จุดเชื่อมพิภพเขตล่างมาที่ชายแดนดินแดนวั้นมู่… ช่างเป็นแผนการที่ดีนัก”

เมื่อรอยแตกขยายใหญ่ขึ้น เหล่าปีศาจก็พุ่งทะยานออกมาราวกับคลื่นยักษ์ ร่างสูงตระหง่านของจอมปีศาจปรากฏตัวก้าวออกจากมิติ เสียงเยือกเย็นดังก้อง

“ไอ้พวกมหาพันภพสารเลว ถ้ายังไม่ปล่อยเทพปีศาจของพวกข้า วันนี้จักรวรรดิปีศาจจะทำลายมหาพันภพให้ราพณาสูร!”

“เทพกระบี่ชุดเขียว…”

มู่เฉินมองไปที่ชายชุดเขียวที่นั่งอยู่ข้างจักรพรรดิอมตะด้วยสายตาวูบไหว เกิดริ้วความเคร่งขรึมขณะมองสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพที่คงตำแหน่งไว้เป็นเวลายาวนาน ซึ่งไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

นั่นหมายความว่ามีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายอยู่ในวังสามคน แม้ว่าประมุขหรือผู้อาวุโสใหญ่ของห้าเผ่าโบราณจะอยู่ในขั้นเซิ่งระยะกลาง แต่ด้วยอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่า ทำให้พวกเขาไม่ด้อยไปกว่าจอมยุทธ์ขั้นเซิ่งระยะปลาย

บวกกับสัตว์ประหลาดเฒ่าอีกหลายคนที่มักแยกตัวสันโดษ เมื่อรวมเข้าด้วยกันก็เปรียบได้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสองสามคน

ดังนั้นเกือบครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ชั้นสูงสุดในมหาพันภพมารวมตัวกันที่นี่ในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัว

“ในเมื่อพี่ชิงซันอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นให้เราเริ่มสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพได้” เมื่อเห็นการมาถึงของชิงซัน ฉิงเทียนก็ยิ้มออก

ขณะที่พูดเขาก็กวาดสายตามอง “ที่จริงแล้วเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็จะมาที่นี่ด้วย แต่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติเปิดการโจมตีแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกะทันหัน ทั้งสองคนจึงไม่สามารถละทิ้งชายแดนได้”

คำพูดของเขาสร้างความปั่นป่วนทันที จอมยุทธ์ทุกคนที่นี่ต่างแสดงสีหน้ารุนแรง

“ดูเหมือนจักรวรรดิปีศาจเตรียมลงมือกับดินแดนวั้นมู่แล้วจริงๆ ไม่งั้นพวกมันคงไม่พยายามสุดตัวเพื่อกันไม่ให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามมาที่นี่หรอก” ชิงซันถอนหายใจขณะที่สายตาเย็นชาลง

ที่ด้านข้างปู้สื่อก็ลืมตาขึ้น แม้ว่าใบหน้านั้นจะเหี่ยวย่นแต่ก็แผ่ซ่านด้วยกลิ่นอายเย็นเยือก “ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานของข้าปกป้องดินแดนวั้นมู่มาสี่หมื่นแปดพันปี เหลือเพียงให้สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์ หากจักรวรรดิปีศาจต้องการทำลาย ผู้พิทักษ์ของข้าก็จะเผชิญหน้าอย่างไม่กลัวเกรง”

ขณะที่พูดมิติรอบตัวก็สั่นสะท้านด้วยจิตสังหารเยือกเย็น ทำให้ใบหน้าจอมยุทธ์หลายคนเปลี่ยนไป

ปู้สื่อปกป้องดินแดนวั้นมู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลก แต่เขาจะกลายเป็นคนบ้าเมื่อมีคนกล้าล้ำเส้นแบ่งเข้ามา

ฉิงเทียนพยักหน้า “ถ้าเผ่าปีศาจกล้าแหยมเข้ามา เราจะไม่ยอมให้พวกมันได้ในสิ่งที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเหลือเพียงหมุนค่ายกลนี้อีกครั้งก็จะสามารถดับพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิได้ ในเวลานั้นมหาพันภพจะสงบสุขแท้จริงและเราไม่จำเป็นต้องกลัวเผ่าปีศาจอีกต่อไป”

“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว!”

เหล่าจอมยุทธ์เปล่งเสียงสะท้อนออกมา พวกเขารู้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวเพียงใด หากปีศาจระดับนั้นหลุดรอดออกไปละก็ จะเป็นหายนะสำหรับระบบสุริยจักรวาลนี้แน่นอน ถึงเวลานั้นก็ไม่มีใครหนีรอดไปได้

“จักรวรรดิปีศาจต่างมิติอาจมีแผนการบางอย่าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกมัน มีปราการกั้นในดินแดนวั้นมู่ซึ่งสร้างขึ้นโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ หากกองทัพปีศาจต่างมิติเข้าใกล้การป้องกันก็จะเริ่มขึ้น แม้แต่จอมปีศาจตัวเอ้ก็ไม่สามารถทะลวงเข้ามาได้”

“สำหรับพวกเราก็ต้องใช้เวลานี้เรียกผนึกเพื่อสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิ” ฉิงเทียนมองทุกคน เสียงแกร่งกร้าวของเขาดังกึกก้อง

ทุกคนพยักหน้า “รับคำสั่งราชันฉิง”

ฉิงเทียนไม่เพียงแต่เป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ แต่ยังเป็นเจ้าวังคนปัจจุบันอีกด้วย ภารกิจของวังมหาพันภพคือรวบรวมพลังทุกส่วนเพื่อต่อต้านผู้รุกรานเมื่อมหาพันภพกำลังถูกคุกคาม

“ขอบคุณทุกคน” ฉินเทียนประสานมือคารวะ

“ท่านฉิงเทียนเราจะเริ่มลงมือเมื่อไรขอรับ?” มู่เฉินถามขณะมองไปที่ฉิงเทียน

“ยังมีเวลาอีกหลายชั่วโมงก่อนที่ค่ายกลดับแสงพันปีศาจจะหมุนเวียนครบหนึ่งสหัสวรรษ เราต้องรอให้การโคจรสมบูรณ์เพื่อที่จะได้อัดคลื่นหลิงเข้าไปกระตุ้น” ฉิงเทียนตอบ

มู่เฉินพยักหน้าหลุบตาลงรอคอย

แต่ทันใดนั้นสายตาเขาก็เหลือบเห็นปู้สื่อกลับกำลังจ้องมองมา ทำให้เขารู้สึกงุนงง

“สหายน้อย…” ปู้สื่อมองมู่เฉินขณะสีหน้าอบอุ่นวาบขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวย่น

หลังจากอึ้งไปชั่วครู่มู่เฉินก็ตอบทันทีว่า “ผู้อาวุโสเรียกข้ามุ่เฉินเถอะขอรับ”

ความอาวุโสของปู้สื่อไม่มีข้อกังขาใด แม้แต่ฉิงเทียนก็ยังต้องเรียกว่าเป็นผู้อาวุโส ดังนั้นมู่เฉินจึงต้องรักษามารยาทที่ดีไว้

“ฮ่าๆ”

ปู้สื่อยิ้มกว้าง “สหายน้อย ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์รึ? ข้าอยากจะขอดูหน่อยได้ไหม?”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉินลังเลชั่วครู่ก่อนที่จะพยักหน้า แค่คิดรัศมีเปล่งปลั่งก็แผ่ซ่านออกมาจากด้านหลัง ภาพเงาค่อยๆ ก่อตัวขึ้น แม้ว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหว แต่ก็อบอวลด้วยกลิ่นอายโบราณและรัศมีนิรันดร์ที่ผันผวนภายในวัง

ทุกคนมองไปที่ด้านหลังของมู่เฉิน เมื่อเห็นร่างโบราณก็ต้องตกตะลึงในสายตา เนื่องจากร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยนับตั้งแต่เกิดสงครามยุคโบราณ

มีเพียงสายตาของหมัวเฮอเทียนเท่านั้นที่ดูน่าขนลุก เขารู้สึกทรมานด้วยความไม่เต็มใจ

เมื่อมองไปที่มู่เฉิน รอยย่นบนใบหน้าของปู้สื่อก็คลายลงพร้อมกับความทรงจำห้วงลึกวูบไหวในดวงตา “ไม่เคยคิดมาก่อนว่าข้าจะมีโอกาสได้เห็นร่างเทพนิรันดร์”

ขณะที่พูดก็โค้งคำนับให้กับมู่เฉิน

เมื่อเห็นท่าทางนี้ของปู้สื่อ มู่เฉินก็ตกตะลึง เขาไม่รู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร เนื่องจากความอาวุโสและประสบการณ์ของปู้สื่อคงไม่มีใครในมหาพันภพที่ได้รับการคารวะแบบนี้

“ผู้อาวุโสได้โปรดอย่าทำเช่นนี้” มู่เฉินยิ้มอย่างขมขื่น

ปู้สื่อสั่นศีรษะตอบว่า “ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์เคยลั่นประกาศิตนิรันดร์ เมื่อผู้สืบทอดคนใหม่ของร่างมหาเทพนิรันดร์ปรากฏขึ้น ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานทุกคนจะต้องสวามิภักดิ์และปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่บิดเบือน”

คำพูดของเขาทำให้เกิดความโกลาหลในวังทันที แม้แต่ฉิงเทียนและชิงซันก็ฉายความประหลาดใจบนใบหน้าเมื่อมองไปที่มู่เฉิน

ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นทายาทสายตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขามีความจงรักภักดีอย่างยิ่งต่อเทพจอมยุทธ์ผู้นี้ นอกจากนี้ยังครอบครองมรดกที่ทิ้งไว้ ดังนั้นพวกเขาจึงทรงพลังมากและถือได้ว่าเป็นขุมกำลังสำคัญของมหาพันภพ

หากผู้พิทักษ์หมื่นสุสานสวามิภักดิ์ต่อมู่เฉินแล้ว ขุมกำลังของมู่เฉินก็จะก้าวกระโดดขึ้นไปยืนบนจุดสูงสุดของมหาพันภพ ซึ่งเทียบได้กับแม้แต่ห้าเผ่าโบราณ

สายตาตกตะลึงทุกคน ทำเอาริมฝีปากของหมัวเฮอเทียนกระตุกพร้อมกับความกลัวในดวงตา ถ้ามู่เฉินได้รับพลังนี้ไปจริงๆ ต่อให้ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเผ่าฝูถูก็ปราบปรามเผ่าหมัวเฮอได้

หมัวเฮอเทียนทั้งรู้สึกตกใจและโกรธมากไปพร้อมกัน โอกาสนี้ควรเป็นของเผ่าหมัวเฮอ แต่มู่เฉินดันได้รับไปทั้งหมด

แม้แต่สีหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เปลี่ยนไปรุนแรง หลังจากนั้นไม่นานท่าทางก็คลายลงเนื่องจากโชคดีที่ความขัดแย้งของเขากับมู่เฉินไม่ได้ลึกซึ้งอะไร ตอนนี้ปีกของมู่เฉินเติบโตเต็มที่ ชายหนุ่มคนนี้ไปถึงจุดสุดยอดของมหาพันภพอย่างแน่นอน ใครจะรู้ว่ามู่เฉินอาจกลายเป็นเทพจักรพรรดิอีกคนก็ได้

มู่เฉินอึ้งไปกับคำพูดเหล่านั้น เขาไม่เคยคิดว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์จะว่าประกาศิตเช่นนี้ไว้ จากนั้นไม่นานท่าทางเขาก็กลับมาเป็นปกติ “ท่านผู้อาวุโสมองข้าสูงเกินไปแล้ว ผู้พิทักษ์หมื่นสุสานน่าชื่นชมที่ปกปักดินแดนวั้นมู่สืบกันมา ตัวข้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะสั่งการ ดังนั้นท่านไม่ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเกินไปหรอก ท่านตั้งเป้าในการรักษาภารกิจเพื่อให้มหาพันภพปลอดภัยเถิดขอรับ”

พลังของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานไม่มีข้อกังขา ทุกคนถูกล่อลวงที่จะควบคุม ทว่ามู่เฉินก็ไม่ได้โง่ นั่นเพราะเมื่อทรงพลังมากก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการแม้จะมีประกาศิตนิรันดร์จากเทพจักรพรรดินิรันดร์ ถ้าเขาฝืนทางก็อาจโดนเด้งแทนก็ได้

ปู้สื่อยิ้มไม่พูดอะไรอีก เขารู้โดยธรรมชาติว่ามู่เฉินกังวลเรื่องอะไร เนื่องจากมู่เฉินยังคงอ่อนแอเกินไปที่จะกลายเป็นประมุขผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แต่ถ้ามีวันหนึ่งที่เขาขึ้นสู่ระดับสูงสุดเหมือนเทพจักรพรรดินิรันดร์ เหล่าผู้พิทักษ์ก็จะรับใช้เขาด้วยใจจริง

ขณะที่ปู้สื่อเงียบลง สายตาผู้คนก็กวาดผ่านใบหน้าของมู่เฉินด้วยความเคารพ

ภายใต้ความเงียบงันหกชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อถึงช่วงเวลาสุดท้าย้นินเขารกร้างทางเหนือก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น

โฮก!

ขณะที่แผ่นโลกโยกคลอน เสียงคำรามที่อัดแน่นด้วยการทำลายล้างไม่สิ้นสุดก็สะท้อนออกมา ราวกับว่าสามารถเอาชนะสวรรค์ได้

โลงศพสัมฤทธิ์บนลานกว้างก็เริ่มสั่นสะเทือนรุนแรงพร้อมกับลำแสงเชื่อมเข้าด้วยกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ได้ก่อตัวเป็นค่ายกลโบราณเหนือดินแดนวั้นมู่

ฉิงเทียนยืนขึ้นทันทีด้วยสายตาเย็นชา เสื้อคลุมสะบัดไหวด้วยแรงกดดันทรงพลังที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกาย

“ทุกคนได้เวลาแล้ว เตรียมพร้อมที่จะใช้ค่ายกลดับแสงพันปีศาจเพื่อดับพลังชีวิตที่เหลืออยู่เทพปีศาจจักรพรรดิ!”

ในวังจอมยุทธ์ทุกคนมีไอเย็นเยือกวูบไหวในดวงตาขณะที่ตอบเสียงดังก้อง

“รับทราบ!”

ลานสีดำตั้งอยู่ระหว่างภูเขาสุสาน

ซึ่งเอิบอาบไปด้วยรัศมีกดขี่มาจากโลงศพสีดำที่ตรึงไว้ในลานนี้

ใบหน้าของพวกมู่เฉินเคร่งเครียดรุนแรงโดยเฉพาะชิงเหยี่ยนจิ้ง เนื่องจากนางเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและความสำเร็จในด้านค่ายกลก็ติดอันดับต้นๆ แม้แต่ในมหาพันภพ ดังนั้นนางจึงสามารถบอกได้เลยว่าโลงศพเหล่านี้สร้างรูปแบบค่ายกลที่ทรงพลังอย่างน่ากลัว

ค่ายกลนี้เกินกว่าระดับเซิ่งไปแล้ว

“หากกระตุ้นค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ดับสูญได้” ชิงเหยี่ยนจิ้ง ทอดถอนหายใจด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง ย้อนกลับไปตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สมเป็นตำนานแท้จริง มิน่าถึงกอบกู้โลกได้

มู่เฉินพยักหน้าตอบว่า “ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้จากสิ่งนี้ว่าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังมากถึงขนาดต้องใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีในการดับพลังลงจนสิ้นซาก”

แสงเคร่งเครียดวาบขึ้นในดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งขณะที่ถอนหายใจ “นั่นหมายความว่าเราไม่สามารถปล่อยให้หายนะนี้เป็นอิสระได้”

ขณะที่พวกเขาพูดคุย ผู้พิทักษ์ทั้งสองก็ลงไปบนภูเขาใกล้ขอบลาน วังขนาดใหญ่ตั้งบนภูเขาราวกับสัตว์อสูรขนาดมหึมา

พวกมู่เฉินพลิ้วตัวลงมาที่เบื้องหน้าวัง พวกเขาก็เห็นตัวอักษรยิ่งใหญ่เมื่อเงยหน้ามอง

‘วังมหาพันภพ’

เมื่อมองไปที่วังมหาพันภพ มู่เฉินก็รู้สึกถึงความอันตรายที่ซึมออกมาจากตำหนักราวกับว่ามีชีวิต

“วังมหาพันภพนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นยอดเยี่ยมและเป็นสมบัติของวังมหาพันภพ ซึ่งสามารถเดินทางผ่านมิติ ในแง่ของพลังเปรียบได้กับเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถูเลยทีเดียว” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

มู่เฉินเข้าใจจนต้องแอบเดาะลิ้น เขาเคยเห็นเจดีย์บรรพบุรุษเผ่าฝูถูและขวดมหาเพลิงวารีเผ่าหมัวเฮอ เขารู้ว่าอาวุธเทพสุดยอดเหล่านี้น่ากลัวเพียงใด แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ยังเกรงกลัว

ดูเหมือนว่าวังมหาพันภพจริงจังกับครั้งนี้ ถึงขนาดนำสมบัติล้ำค่ามาที่นี่ด้วย

ขณะที่วังมหาพันภพเปิดออก มู่เฉินก็สบตากับชิงเหยี่ยนจิ้ง ทั้งสามก้าวเข้าไป

เมื่อก้าวเข้ามาทิวทัศน์ใหม่ก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตา ภายในวังสว่างไสวด้วยโคมไฟ มีที่นั่งโดยรอบข้างหน้าซึ่งจัดวางในลักษณะเป็นวงกลม ช่างคล้ายกับลานฝึกนัก

ทว่ายิ่งเดินลงไปก็ยิ่งมีที่นั่งจำนวนน้อยลง เบาะนั่งก็มีความแตกต่างทั้งสีเทา สีเงินและสีทอง ซึ่งแสดงสถานะที่แตกต่างกัน

ชัดว่าที่นั่งที่อยู่ลึกลงไปด้านล่างงสถานะก็ยิ่งสูงขึ้นตาม

มีเงาจำนวนมากนั่งอยู่บนนั่น ทั้งหมดพรั่งพรูด้วยคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัว ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุน

ทว่าระดับเทียนจื้อจุนที่ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ยุทธ์ในมหาพันภพ กลับกลายเป็นธรรมดาในวังมหาพันภพ ทุกคนเก็บอาการหยิ่งผยองจองขนไว้อย่างมิดชิด

สายตาของมู่เฉินมองไปที่ที่นั่งสีทองก็เห็นร่างคุ้นเคยของราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน

“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยน ประมุขมู่เฉิน ธิดาเทพลั่วหลี ยินดีต้อนรับ ขออภัยที่ไม่ได้ไปรับทั้งสามคนด้วยตัวเอง” เมื่อพวกมู่เฉินเข้ามา ฉิงเทียนก็รู้สึกได้ถึงและพูดต้อนรับอย่างอบอุ่น

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นมู่เฉิน ชิ้งเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็พยักหน้าด้วยมารยาทให้กับราชันสังหารปีศาจผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ

“ทั้งสามนั่งที่เบาะสีทองเลย”

ฉิงเทียนยิ้มชี้ไปที่ที่นั่งสีทองข้างๆ เขา

คำพูดของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นทันที ทุกคนพุ่งความสนใจมาหา แม้ว่าที่นั่งจะดูไม่โดดเด่น แต่ก็เป็นตัวแทนของสถานะในมหาพันภพ

ตามกฎจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงได้รับอนุญาตให้นั่งบนที่นั่งธรรมดา ขณะที่เบาะสีเงินเป็นของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียน สำหรับเบาะสีทองนั้นมีไว้สำหรับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งหรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสูงสุดเท่านั้น

ในบรรดาทั้งสามคน ชิงเหยี่ยนจิ้งเป็นหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่งและผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าฝูถู ดังนั้นนางจึงมีคุณสมบัติที่จะมีนั่ง ส่วนลั่วหลีเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงเทียบได้กับประมุขเผ่าก็มีคุณสมบัติเช่นกัน

ทว่ามู่เฉิน แม้ตอนนี้ตำหนักมู่จะครอบครองทวีปเทียนหลัวแต่รากฐานยังคงอ่อนแอ แม้ว่าข่าวศึกในเผ่าหมัวเฮอจะแพร่กระจายออกไปไกล แต่ผู้คนจำนวนมากที่นี่ก็อยู่ในสันโดษเป็นเวลานาน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ทราบเรื่องนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจเมื่อทราบว่าที่นั่งของชายหนุ่มคนนี้เป็นเบาะทองคำ

เมื่อเห็นความวุ่นวายในวังฉิงเทียนก็ยิ้ม “มู่เฉินไม่เพียงแต่เป็นประมุขตำหนักมู่เท่านั้น แต่ยังเป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพอีกด้วย ในแง่ขุมพลังก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง ที่สำคัญที่สุด…เขาเป็นผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์คนที่สอง ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติได้รับ”

ทันใดนั้นความโกลาหลก็ระเบิดออกทันที ทุกคนจ้องไปที่มู่เฉินด้วยความตกใจ

“ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลังจากเข้าสมาธิไปร้อยปีจะมีจอมยุทธ์เช่นนี้กำเนิดในมหาพันภพ คลื่นลูกใหม่แซงหน้าคลื่นลูกเก่าไปแล้วจริงๆ…” ผู้เฒ่าคนหนึ่งถอนหายใจ

เมื่อเผชิญหน้ากับคำอุทานเหล่านั้น มู่เฉินก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากไป เขาให้ชิงเหยี่ยนจิ้งเดินนำ ขณะที่เขาและลั่วหลีเดินตามหลัง พวกเขาก้าวลงบันไดนั่งบนเบาะสีทองของแต่ละคน

แต่ขณะที่กำลังเดินผ่านเขาก็หยุดชะงักมองเห็นคนคุ้นเคย เมื่อชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงสายตาของมู่เฉินก็ตัวแข็งทื่อ

“ฮ่าๆ จักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ไม่ได้เจอกันตั้งนาน ไม่คิดว่าท่านจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งด้วย ว่าแต่ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” มู่เฉินยิ้มพลางมองไปที่ชายคนหนึ่งบนเบาะสีทอง

นี่คือจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียนที่ครั้งหนึ่งเคยจะฆ่ากันตายกับมู่เฉิน

ย้อนกลับไปตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์แห่งตำหนักซีเทียน ต้องการให้ลั่วหลีเข้ารับตำแหน่งรับใช้ในตำหนัก ซึ่งทำให้เกิดการขัดแย้งกับมู่เฉิน ในท้ายที่สุดมู่เฉินต้องเชิญเทพจักรพรรดิอัคคีมา ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไข เขายังได้ตำแหน่งนักรบทวีปซีเทียนมาอีกด้วย

ตอนนั้นจักรพรรดิสัประยุทธ์อยู่ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลาย ไม่คิดว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นเซิ่งระยะต้นได้เมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้ง

พอได้ยินคำพูดของมู่เฉินใบหน้าของจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เขียวคล้ำอย่างกระอักกระอ่วน ตอนนั้นมู่เฉินเป็นเพียงมดในสายตาเขาที่ไม่มีค่าต้องสนใจ

แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าภายในเวลาไม่ถึงสิบปีเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ้นน้ำนมที่อยู่ในระดับตี้จื้อจุนจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนได้ พร้อมกับชื่อเสียงที่เลื่องลือไปทั่วมหาพันภพ

แม้ว่าเขาจะบรรลุขั้นเซิ่ง แต่ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมู่เฉินอีกต่อไป หลังจากเขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ

แม้แต่หมัวเฮอเทียนยังไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้ ไม่ต้องพูดถึงตนที่มีขุมพลังนี้เลย

เมื่อนึกถึงความเป็นศัตรูมาก่อนหน้าจักรพรรดิสัประยุทธ์ก็เริ่มไม่สบายใจ สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดไปหมด

มู่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ ก็ยิ้ม “ความเป็นปฏิปักษ์ของเราในอดีตได้รับการแก้ไขแล้ว ตัวท่านก็ไม่ได้เล่นตุกติกอะไรกับตระกูลลั่วเสินอีก ดังนั้นข้าไม่คิดหาเรื่องท่านหรอก”

เมื่อพูดจบเขาก็นั่งบนเบาะสีทองที่ใกล้กับฉิงเทียน

เมื่อมองไปที่ภาพเงาของมู่เฉิน จักรพรรดิสัประยุทธ์ก็กัดฟันก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ มู่เฉินไม่ใช่มดอีกต่อไป เขาต้องปฏิบัติต่อสิ่งนี้อย่างจริงจัง

เป็นการดีที่สุดที่ความเป็นปรปักษ์จากอดีตจะลบล้างให้หมดสิ้น

เมื่อมู่เฉินนั่งลงบนเบาะก็หลับตาลงไม่สนใจสายตารอบด้าน

หลังจากนั้นก็มีจอมยุทธ์เดินทางมาถึงมากขึ้น เผ่าไท่หลิง เผ่าเฮยเทียนและเผ่าหมัวเฮอก็มาถึงเช่นกัน

หมัวเฮอเทียนเป็นตัวแทนของเผ่าหมัวเฮออยู่แล้ว เมื่อเขาเห็นมู่เฉินใบหน้าก็ไม่น่าดู แต่เขารู้ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ที่จะแก้ปัญหาความไม่พอใจส่วนตัว ดังนั้นเขาจึงเลือกคารวะให้ฉิงเทียนก่อนจะนั่งลง

มู่เฉินก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับหมัวเฮอเทียน แต่เขามองไปที่ชายร่างกายกำยำที่นั่งบนที่นั่งสีทองไม่ไกล ผิวของชายคนนี้เป็นสีเหลืองมีเส้นเลือดเต้นยุบยับแผ่ซ่านความผันผวนที่น่ากลัว

เหตุผลที่มู่เฉินให้ความสนใจชายคนนี้ก็เพราะว่าเขาเป็นประมุขเผ่าโบราณเผ่าที่ห้า เผ่าหวางกู่—หวางฉิว

เป็นที่ทราบกันดีว่าเผ่าหวางกู่มีความเชี่ยวชาญในการฝึกฝนพลังกาย ภายใต้การรับรู้ของมู่เฉินพลังกายของหวางฉิวก็ถึงระดับกายาเซิ่งเช่นเดียวกับเขา

เมื่อเวลาผ่านไปมีที่นั่งก็เริ่มเต็มจำนวน มองไปที่การรวมตัวนี้แม้แต่มู่เฉินก็ยังตกใจ เพราะทุกคนที่นี่คือยอดยุทธ์แห่งมหาพันภพ ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดมารวมตัวกันที่นี่

ฟู่ ฟู่!

ขณะที่มู่เฉินกำลังทอดถอนหายใจกับการรวมตัวนี้ จู่ๆ หัวใจของเขาก็โลดขึ้น มวลลมสีดำปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าแล้วพลิ้วลงมาที่เบาะข้างฉิงเทียน

เมื่อมวลลมจางหายไปก็เห็นชายชราผมขาวที่ดวงตาหลุบต่ำราวกับว่าหลับนั่งอยู่บนเบาะนั้น

ชายชราคนนั้นเอิบอาบกลิ่นอายชราภาพราวกับว่าชีวิตดับวูบลงได้ทุกเมื่อ แต่ภายใต้รูปลักษณะนี้กลับมีแรงกดดันน่าเกรงขามปลดปล่อย

เมื่อรู้สึกถึงความกดดันแม้แต่หัวใจของมู่เฉินก็ยังสั่นสะท้าน

เมื่อมองไปที่ชายชราใบหน้าของฉินเทียนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมประสานมือให้ “ฉิงเทียนคารวะผู้อาวุโสปู้สื่อ”

ทั้งวังตกอยู่ในความปั่นป่วนทันที ทุกคนจ้องมองไปด้วยความเคารพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้ก็คือจักรพรรดิอมตะผู้นำของผู้พิทักษ์หมื่นสุสานที่ปกปักเนินเขารกร้างทางเหนือ—ผู้อาวุโสปู้สื่อที่ลึกลับ

ฮึ่ม!

ขณะที่ทุกคนกำลังมองไปที่ชายชรา เสียงกระบี่กรีดแทงก็ดังกังวานขึ้น พวกเขาเห็นกระบี่สีฟ้าเขียวทะยานผ่านไปก่อนที่จะพลิ้วลงมาบนที่นั่งข้างผู้อาวุโสปู้สื่อ

เมื่อแสงสีฟ้าอมเขียวสลายไป ชายในชุดเขียวก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับกระบี่มรกตวางบนตัก

เขาเงยหน้ามองทุกคนแล้วยิ้ม “ยกโทษให้ด้วย ข้าชิงซันมาสายไปหน่อย”

เสียงของเขาทำให้เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกครั้งเมื่อทุกคนมองมา นี่เป็นหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจและจักรพรรดิอมตะ

ชิงซัน—เทพกระบี่ชุดเขียว!

เนินเขารกร้างทางเหนือตั้งอยู่ที่ใจกลางมหาพันภพ

ในสมัยโบราณที่นี่เป็นทวีปที่กว้างใหญ่ที่รู้จักกันในชื่อทวีปเป่ยหวาง ทวีปนี้ไม่เหมือนกับชื่อที่รกร้างว่างเปล่า แต่กลับเป็นดินแดนเฟื่องฟูและทรงพลังจนถึงขีดสุด

แต่เมื่อจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา มิหนำซ้ำมหาพันภพก็พ่ายแพ้สงครามอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดเทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ยืนหยัดและสร้างสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ ก่อตั้งวังมหาพันภพขึ้นเพื่อต่อสู้กับเผ่าปีศาจต่างๆ

ในการต่อสู้ครั้งสุดท้ายระหว่างจักรวรรดิปีศาจและมหาพันภพ ศึกนี้ที่สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นจากการปะทะกันระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิได้เกิดขึ้นในทวีปเป่ยหวางนี้ การต่อสู้ครั้งนั้นทำให้ทวีปแตกเป็นเสี่ยงๆ และดินแดนที่เหลือจึงถูกขนานนามว่าดินแดนวั้นมู่

ศึกครั้งนั้นจบลงพร้อมกับเทพปีศาจจักรพรรดิถูกปิดผนึก มิหนำซ้ำดินแดนวั้นมู่ก็ถูกปิดแน่นหนาไว้โดยผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์—ผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน แน่นอนว่าสถานที่อันตรายแห่งนี้ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็ไม่กล้าย่ำเท้าเข้ามา ดังนั้นจึงไม่อยากมีใครอยากมาอยู่แล้ว

มีเพียงถึงเวลาของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพในหนึ่งสหัสวรรษ วังสวรรค์บรรพกาลจะส่งเทียบเชิญยังจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทุกคนเพื่อมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ภายใต้ความร่วมมือร่วมใจ พวกเขาจะอัญเชิญผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้เพื่อลบพลังของเทพปีศาจจักรพรรดิ

แต่สนธิสัญญานี้เกณฑ์สูงสุดเอื้อม มีเพียงผู้ที่ทราบเรื่องราวภายในเท่านั้นที่เข้าใจว่าสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพมีความสำคัญเพียงใด

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพและหากล้มเหลวก็จะไปสะกิดระเบิดทำลายล้าง

ที่สุดแล้วยังมีความกลัวฝังลึกอยู่ในใจทุกคนจากการกระทำของเทพปีศาจจักรพรรดิ ต่อให้แม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี เหตุการณ์เหล่านั้นก็ยังถูกบันทึกไว้ในบันทึกโบราณที่สืบทอดต่อกันมา

ตอนนั้นเทพจักรพรรดินิรันดร์สละชีวิตเพื่อผนึกและหากเทพปีศาจคนนี้หนีไปได้ก็จะไม่มีใครหน้าไหนหยุดได้อีกแล้ว…

 

“นี่คือดินแดนวั้นมู่รึ?”

ริ้วแสงสามสายฉีกผ่านพื้นที่เชิงมิติและหมู่เมฆ ก่อนที่พวกเขาจะเห็นทวีปรุ่งโรจน์ในครรลองสายตา

ทวีปนี้ได้รับความเสียหายมากจนถูกย้อมเป็นสีแดง แม้จากระยะไกลก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงความโหดร้ายในบรรยากาศ

เมื่อรัศมีโดยรอบทั้งสามจางลง ภาพมู่เฉิน ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลีก็ปรากฏขึ้น

ขณะนี้มู่เฉินกำลังมองไปที่ทวีปรกร้างด้วยความอยากรู้ เห็นได้ชัดว่าเขาสนใจสถานที่การสู้รบระหว่างเทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิยิ่งนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งพยักหน้าเคร่งขรึม สายตามองไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือด้วยความครั่นคราม เนื่องจากนางสามารถสัมผัสได้ถึงรัศมีน่าสะพรึงกลัวเบาบางจากทวีปแห่งนี้

แม้ในฐานะหลิงเจิ้นต้าจงซือขั้นเซิ่ง รัศมีนี้ก็ทำให้นางรู้สึกกดดันและหวาดผวา

“ช่างเป็นสถานที่ที่น่ากลัวจริงๆ”

มู่เฉินถอนหายใจขณะจ้องมองไปที่ผืนดินสีแดงเข้ม ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อเข้าใกล้สถานที่แห่งนี้เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ นั่นเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงรัศมีอันตรายที่ไม่อาจบรรยายได้

ร่องรอยรัศมีเล็กน้อยก็ทำให้หนังหัวเขาชาวาบไปหมดแล้ว

“นี่คือสถานที่ที่ปิดผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิและรัศมีก็มาจากสิ่งนี้ แต่โชคดีที่ถูกจำกัดไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ มิฉะนั้นแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าก้าวเข้ามาที่นี่” ชิงเหยี่ยนจิ้งอธิบาย

มู่เฉินพยักหน้า ขณะกำลังจะพูด การแสดงออกก็ที่เปลี่ยนไป เขาสัมผัสได้ถึงพายุรุนแรงฉีกออกในพื้นที่ไกล ริ้วแสงหลายสายที่เอิบอาบด้วยความผันผวนของคลื่นหลิงทรงพลังกระจายออกมา ทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ได้รับเทียบเชิญกำลังเร่งรุดเดินทางเมื่อเวลาใกล้เข้ามา

จอมยุทธ์เหล่านั้นก็รับรู้ได้ถึงทั้งสามคน พวกเขาเหลือบมองมาด้วยความเคารพฉายบนใบหน้า จากนั้นก็ประสานมือคารวะจากระยะไกล ก่อนที่จะมุ่งหน้าเดินทางไปยังดินแดนวั้นมู่

“ดูเหมือนตอนนี้ข้าก็โด่งดังในมหาพันภพเหมือนกันนะเนี่ย”

มู่เฉินมองไปที่คนเหล่านั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่ม เขารับรู้ได้ถึงความเคารพโดยธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเดาตัวตนของกลุ่มเขาได้

“พวกเขาคำนับท่านน้าจิ้งต่างหาก ไปเกี่ยวอะไรกับเจ้า” เมื่อเห็นว่ามู่เฉินชักจะเริ่มหางชี้ ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะจือปากขึ้นเอ่ยหยอกล้อ

มู่เฉินชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะมองค้อนลั่วหลี แต่หญิงสาวกลับทำหน้าล้อเลียนแบบไม่กลัว เสียงหัวเราะพลิ้วหวานของนางกระตุ้นหัวใจของมู่เฉินนัก

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะเฝ้าดูคู่รักกระเซ้าเย้าแหย่กัน “แต่ตอนนี้เฉินเอ๋อมีชื่อเสียงมากจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอ ข้าคิดว่าไม่มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนคนไหนไม่รู้จักเจ้าผู้สืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์และทำเอาหมัวเฮอเทียนทำอะไรไม่ได้”

มู่เฉินหัวเราะ ตัวเขาไม่ได้สนใจเรื่องชื่อเสียงอะไรก็แค่อยากแกล้งลั่วหลีเท่านั้น

“ไปต่อกันเถอะ”

มู่เฉินโบกมือมุ่งหน้าไปยังดินแดนวั้นมู่ ขณะที่กำลังเดินทางต่อมู่เฉินก็หยุดชะงักลงชั่วครู่ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด

เขาสามารถสัมผัสได้เบาบางถึงแรงกดดันน่ากลัวที่มาจากดินแดนวั้นมู่ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่าตัวเขาจะถูกสังหารโดยพลังงานที่ไร้ขอบเขตทันทีหากมีความคิดชั่วร้าย

“ระวัง นี่คือผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้” เสียงเคร่งเครียดของชิงเหยี่ยนจิ้งดังขึ้น “ผนึกนี้ไม่เพียง แต่ผนึกเทพปีศาจจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังก่อเป็นปราการกั้นดินแดนวั้นมู่ไว้ด้วย ผนึกจะทำลายล้างสมาชิกของเผ่าปีศาจที่เข้ามาใกล้”

“เราแค่ต้องผ่อนคลายและใช้คลื่นหลิงห่อหุ้มร่างตัวเองไว้ก็พอ”

เมื่อได้ยินคำอธิบายของมารดา ร่างกายของมู่เฉินก็พวยพุ่งด้วยคลื่นหลิงปกป้องร่างไว้ ชั่วครู่ต่อมาเขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่น่ากลัวในร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“พลังน่ากลัวอะไรขนาดนี้…ด้วยการปกป้องเช่นนี้ ทำไมพวกปีศาจถึงยังกล้าบุกเข้ามา?” มู่เฉินถอนหายใจ

ชิงเหยี่ยนจิ้งส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “พวกปีศาจฉลาดแกมโกง ผนึกอาจทรงพลัง แต่พวกมันก็ไม่ใช่กลุ่มที่ดูถูกได้”

มู่เฉินพยักหน้า ตอนนี้พวกเขาเข้ามาในดินแดนวั้นมู่แล้ว เมื่อมองลงมาจากท้องฟ้า เขาก็อึ้งไป

ภูเขาถูกใช้เป็นสุสานทอดยาวไปจนสุดสายตา…

“พวกเขาล้วนเป็นเหล่าจอมยุทธ์ที่สละชีพในสงครามโบราณ” ชิงเหยี่ยนจิ้งกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ท่าทางของมู่เฉินเคร่งขรึมลง เนื่องจากใครก็ตามที่ถูกฝังไว้ที่นี่จะต้องมีชื่อเสียงในสมัยโบราณ แต่ด้วยจำนวนมากมายเช่นนี้ เขาคาดเดาได้ว่าสงครามโหดร้ายเพียงใด

ทุกคนสละชีวิตเพื่อปกป้องบ้านและสมควรได้รับการเคารพจากคนรุ่นหลังอย่างเขา

ฟิ้ว

ขณะที่มู่เฉินถอนหายใจ ร่างแสงสีเทาสองสายก็ทะยานเข้ามาปรากฏที่เบื้องหน้า พวกเขาเป็นชายวัยกลางคนสองคนในชุดคลุมสีเทา

ร่างทั้งสองคนผอมบางและไม่มีอารมณ์ใดบนใบหน้า อย่างไรก็ตามความผันผวนของคลื่นหลิงที่เล็ดลอดออกมาบอกว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงแท้จริง

“คารวะผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ท่านประมุขตำหนักมู่มู่เฉินและธิดาเทพลั่วหลี” ชายสองคนประสานมือคารวะทั้งสามพลางเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้ง

เมื่อมู่เฉินกวาดสายตามองก็มองเห็นภาพศูนย์รวมของภูเขาสุสานที่ดูรกร้างบนหน้าอก ในเวลาเดียวกันก็สามารถเดาตัวตนอีกฝ่ายได้ นี่คือผู้พิทักษ์หมื่นสุสานแห่งดินแดนวั้นมู่

เล่าขานกันว่าผู้พิทักษ์หมื่นสุสานเป็นสายเลือดของเทพจักรพรรดินิรันดร์ พวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนวั้นมู่หลังจากการตายของเทพจักรพรรดิเพื่อปกป้องผนึกนี้

ในแง่ของพลังแม้แต่เผ่าโบราณทั้งห้าก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้กับผู้พิทักษ์หมื่นสุสาน เพียงแต่ว่าพวกเขาทำตามกฎอย่างเคร่งครัด ไม่เคยก้าวออกจากสถานที่แห่งนี้ การอุทิศตนเช่นนี้ทำให้แม้แต่มู่เฉินยังรู้สึกเคารพจากใจ

ดังนั้นมู่เฉินจึงประสานมือตอบด้วยมารยาท

“ตามเรามา”

ผู้พิทักษ์ทั้งสองยังคงมีสีหน้าไม่แยแส แต่เมื่อสายตาพวกเขากวาดผ่านร่างมู่เฉินก็มีความผันผวนแปลกประหลาดในดวงตา

แต่พวกเขาไม่ได้ถามมากความ พวกเขาหันหลังและมุ่งหน้าไปยังส่วนลึก

พวกมู่เฉินตามไปพร้อมกับพวกเขาทันที

ภูเขาวาบผ่านไปที่ด้านล่างและใช้เวลาเหาะเหินประมาณสิบกว่านาทีก่อนที่ผู้พิทักษ์จะเริ่มชะลอตัวและพลิ้วลงมา

เมื่อมองลงไปมู่เฉินเห็นลานสีดำขนาดใหญ่บนพื้นพร้อมเสาสีดำขนาดมหึมา เมื่อเข้าใกล้มากขึ้น มู่เฉินก็ต้องหดดวงตาลง เนื่องจากเขาพบว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่เสา แต่เป็นโลงศพขนาดใหญ่

โลงศพเหล่านี้เหมือนตะปูเมื่อตรึงลงไปบนลานก็ทำให้เกิดความผันผวนที่ผิดปกติ

ขณะที่สายตาของมู่เฉินกวาดไปทั่วโลงศพ ตำแหน่งต่างๆ ก็ปรากฏขึ้นในความคิดและเชื่อมโยงกัน จากนั้นแผนภาพทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในใจ

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็เข้าใจว่าโลงศพเหล่านี้เป็นผนึกที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ นั่นก็หมายความว่าเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกลึกลงไปใต้ลานสีดำมืดแห่งนี้…

สามเดือนผันผ่าน

บรรยากาศในสามเดือนนี้ของมหาพันภพค่อยๆ หนักหน่วง จุดเริ่มต้นก็คือสงครามไร้ที่สิ้นสุดที่เกิดขึ้นระหว่างพรมแดนมหาพันภพและจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

มากล้นจนกระทั่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกลายเป็นเป้าโจมตีของจักรวรรดิปีศาจ กองทัพปีศาจนับไม่ถ้วนบุกรุมโจมตีสองขุมกำลังชั้นยอดนี้อย่างบ้าคลั่ง

แม้ว่าการโจมตีจะไม่สามารถสั่นคลอนขั้วอำนาจทั้งสอง เนื่องจากเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเข้าสั่งการเอง แต่แรงจูงใจเบื้องหลังการกระทำนี้ก็กระจายไปทั่วโลก

เห็นได้ชัดว่าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติเริ่มเคลื่อนไหวหลังจากผ่านไปหลายหมื่นปี

หลังจากทราบเรื่องนั้นทุกคนในมหาพันโลกก็ต้องหวาดหวั่นในใจ เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะไม่รู้สึกกลัว เพราะถึงยังไงชื่อเสียงเผ่าปีศาจก็น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก พวกมันก่อสงครามโลหิตในสมัยโบราณ ทำให้จอมยุทธ์จำนวนนับไม่ถ้วนล้มหายตายจากกับสงครามครั้งนั้น

ตอนนี้เผ่าปีศาจกำลังสำแดงตัวอีกครั้งและจะต้องกวาดแม่น้ำโลหิตทั่วมหาพันภพอย่างไม่ต้องสงสัย ทุกสรรพสิ่งจะถูกทำลายล้าง

ทุกคนตระหนักถึงมหันตภัยในรอบหลายหมื่นปีด้วยความกลัว

 

กองบัญชาการใหญ่ตำหนักมู่ ทวีปเทียนหลัว

มู่เฉินมองไปที่จอมยุทธ์ของตำหนักมู่ โดยมีจิ่วโยวและมั่นถัวหลัวเป็นผู้นำ ตอนนี้ตำหนักมู่คือเจ้าทวีปเทียนหลัวแท้จริง ขั้วอำนาจทั้งหมดยอมสวามิภักดิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสำเร็จของมู่เฉินในเผ่าหมัวเฮอแพร่กระจายออกไป ขั้วอำนาจอื่นที่ยังคงมีความคิดกบฏก็ยอมแพ้ทันที

เนื่องจากพวกเขารู้ว่ามู่เฉินเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว ในแง่ของพลังชายหนุ่มได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาพันภพ เมื่อบวกเข้ากับภูมิหลังการปกครองทวีปเทียนหลัวก็ไม่ใช่ปัญหา

ดังนั้นผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ จึงเร่งรุดมาประจำการที่ทวีปเทียนหลัว ช่างเป็นการรวมตัวที่หรูหรายิ่งนัก

“ข้าจะมุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ ขอให้ทุกคนปกป้องทวีปเทียนหลัวบ้านของเรา จงระวังตัวตลอดเวลาและเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม” มู่เฉินกวาดมองทุกคนพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

การเดินทางครั้งนี้ไม่ราบรื่นแน่ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะต้องทำทุกอย่างเพื่อทำลายผนึก ดังนั้นจะต้องเกิดสงครามขึ้นอย่างแน่นอนและไม่มีใครรู้ผลลัพธ์ เขาต้องเตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในฐานะผู้ปกครอง นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงเตือนทุกคนให้เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม เพราะพวกเขาจะได้ไม่เดินซ้ำรอยของวังสวรรค์บรรพกาล

“รับทราบ!”

ทุกคนตอบด้วยท่าทางเคร่งขรึม พวกเขาทราบเกี่ยวกับหายนะที่กำลังเกิดขึ้นในมหาพันภพ เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ก็ไม่มีใครคิดโอนอ่อนผ่อนตาม เนื่องจากความผิดพลาดเล็กน้อยอาจทำให้จักรวาลล่มสลายได้

เมื่อเผชิญกับมหันตภัยนี้ พวกเขาต้องละข้อขัดแย้งทั้งหมดลง ยามนี้ผู้นำขั้วอำนาจต่างๆ ในทวีปเทียนหลัวต่างชื่นชมยินดี เนื่องจากพวกเขามีจอมทัพที่ยิ่งใหญ่

มิฉะนั้นถ้าทวีปเทียนหลัวยังไม่รวมเป็นหนึ่งคงจะกลายเป็นทะเลเลือดหากเผ่าปีศาจบุกเข้ามา

ตอนนี้มู่เฉินเป็นจอมยุทธ์ที่เทียบเท่ากับจักรพรรดิฟ้าที่ทรงอำนาจในอดีตแล้ว ภายใต้การนำของเขาทวีปเทียนหลัวจะสามารถต้านเผ่าปีศาจได้ ต่อให้พวกมันจะบุกเข้ามา

ดังนั้นเมื่อยืนอยู่เบื้องหน้ามู่เฉิน ทุกคนก็เกิดความเชื่อมั่นเต็มปรี่ ร่องรอยความเคารพพล่านในใจ

มู่เฉินหันไปรอบๆ มู่เฟิงที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็ยิ้มกับภาพนี้ ลูกชายของเขาเป็นเพียงเด็กน้อยอ่อนแอที่ไม่มีภูมิหลังใดๆ ตอนที่ออกจากมณฑลเป่ยหลิง แต่ขณะนี้เขามีขุมกำลังของตัวเองและต้องยอมรับว่ามู่เฉินแข็งแกร่งกว่าตนที่เป็นพ่อหลายขุม

แต่นี่ก็ทำให้เขามีความภาคภูมิใจ แม้เขาจะไม่ได้มีพลังแข็งแกร่ง แต่ลูกชายของเขาเป็นมังกรแท้จริงท่ามกลางมังกร

“ท่านพ่ออยู่ที่ตำหนักมู่ช่วงนี้ก่อนนะ” มู่เฉินยิ้ม เขาไปรับมู่เฟิงมาเมื่อเดือนก่อน ไม่ว่าอย่างไรสถานที่แห่งนี้ก็ปลอดภัยกว่าทวีปไป่หลิง

มู่เฟิงพยักหน้ารับรู้ เขาทราบดีว่าภรรยาและลูกชายจะไปที่เนินเขารกร้างทางเหนือ แม้เขาจะไม่มีความสามารถช่วยอะไร แต่อย่างน้อยไม่ให้พวกเขากังวลเป็นห่วงก็เป็นการช่วยอย่างหนึ่ง

“ไอ้หนูจงทำในสิ่งที่ต้องทำ แต่อย่าลืมดูแลแม่และลั่วหลีให้ดี ในฐานะลูกผู้ชายเจ้าต้องแบกรับความรับผิดชอบเหล่านี้” มู่เฟิงตบไหล่มู่เฉิน

มู่เฉินพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม บิดาเขาอาจไม่แข็งแกร่งแต่เป็นคนมีความรับผิดชอบสูง ในอดีตชายคนนี้ก็โอบอุ้มปกป้องเขาด้วยสองมือ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมมู่เฉินจึงมีนิสัยเช่นนี้เพราะได้รับอิทธิพลจากบิดามานั่นเอง

“ไปกันเถอะ”

มู่เฉินไม่รอช้ามองไปที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและลั่วหลี

ทั้งสองพยักหน้า ความผันผวนของคลื่นหลิงเพิ่มขึ้นรอบตัว ร่างกลายเป็นร่างแสงสามสายทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า หายไปในขอบฟ้า

เมื่อมั่นถัวหลัวและจิ่วโยวเห็นทั้งสามไปแล้วก็สบตากันพร้อมกับความเคร่งเครียดในสายตาของกันและกัน พวกนางรู้ว่าการเดินทางไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือในครั้งนี้เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของมหาพันภพ

 

เมื่อพวกมู่เฉินเริ่มเคลื่อนไหว

ความผันผวนของคลื่นหลิงจำนวนมากก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าพุ่งไปที่ขอบฟ้า

เหล่ายอดยุทธ์กำลังมุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียว…เนินเขารกร้างทางเหนือ

 

มหาพันภพ แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

ที่นี่คือทวีปสีแดงเข้มที่มีอุณหภูมิร้อนแรง บางครั้งจะเกิดการปะทุของภูเขาไฟพร้อมกับลาวาพวยพุ่งออกมา

ที่ใจกลางทวีปมีเมืองขนาดใหญ่ในรูปทรงดอกบัวทำให้มีเสน่ห์ที่แปลกประหลาดตา

เวลานี้มีร่างเงายืนอยู่บนแท่นสูงพร้อมกับความดุเดือดเลือดพล่าน นี่ก็คือเทพจักรพรรดิอัคคี—เซียวเหยียน

เขากวาดสายมองไปที่นอกทวีป มิติบริเวณนั้นถึงกับบิดเบี้ยวพร้อมกับรัศมีปีศาจเชี่ยวกรากหลั่งไหลออกมา ดูราวกับว่าสายตาเต็มไปด้วยไอสังหารและความโลภกะพริบอยู่ภายใน

“ไอ้พวกปีศาจเล็งเป้ามาที่แคว้นหวู่จิ้งฮั่วของเราจริงๆ” ชายชราหดตาลงที่ด้านหลังเซียวเหยียนพร้อมกับรูปลักษณ์ที่คุ้นเคย เขาก็คืออาจารย์ของเทพจักรพรรดิอัคคี—เย่าเฉิน

“เป็นเพราะสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพ เผ่าปีศาจเลยบุกมาที่นี่เพื่อให้เซียวเหยียนประจำการ” หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้านข้างมีรูปร่างเพรียวบางและส่วนโค้งน่าประทับใจที่ดูน่าหลงใหล แม้แต่น้ำเสียงก็ทรงเสน่ห์

นางคือหนึ่งในนายหญิงแห่งแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—ไฉ่หลิง

“ในเมื่อพวกมันตัดสินใจแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกปีศาจจะลงมือที่เนินเขารกร้างทางเหนือแน่นอน” หญิงสะคราญโฉมอีกคนกล่าวขณะยืนอยู่ข้างไฉ่หลิง นางสวมชุดสีมรกตมีลักษณะที่โดดเด่น จริตจะก้านดูนิ่มนวล นางก็คือนายหญิงอีกคนของแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว—เซียวซุนเอ๋อ

เมื่อได้ยินคำพูดของฮูหยิน เซียวเหยียนก็พยักหน้าเบาๆ สายตามองไปที่รัศมีปีศาจที่พวยพุ่งขึ้นในมิติ “ออกคำสั่ง แคว้นหวู่จิ้งฮั่วส่งสัญญาณเตือนภัยสีแดง จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทุกคนเตรียมพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหว”

ที่เบื้องหลังร่างเงาหนึ่งหายไปพร้อมกับคำสั่ง

ครืนๆๆๆ

เมื่อเซียวเหยียนออกคำสั่ง มิติก็เริ่มปริแตกออกจากกัน ร่างปีศาจนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาเหมือนผีห่าซาตานระบายสีขอบฟ้าจนดำทะมึน

ในเวลาเดียวกันร่างปีศาจขนาดใหญ่สามร่างก็ก้าวย่างออกมาจากรอยแตกพร้อมกับแรงกดดันปีศาจกลืนกินพื้นที่แห่งนี้

เซียวเหยียนเงยหน้าขึ้นยกยิ้ม “อา…สามจอมปีศาจจากสามสิบสองเผ่าใหญ่ ไม่รู้ว่าเผ่าปีศาจกำลังให้ความสำคัญหรือดูถูกข้ากันแน่?”

 

แคว้นหวู

เทพจักรพรรดิสงครามหลินต้งมองไปที่สัตว์นรกที่หลั่งไหลออกมาจากรอยแตก มีร่างจอมปีศาจสามร่างเผยตัวออกมาเช่นกัน

ที่ข้างหลังเป็นหญิงสะคราญโฉมสองคน คนหนึ่งสวมชุดสีขาวรูปร่างงดงาม นางสวมผ้าคลุมหน้าแต่ก็ไม่สามารถปกปิดส่วนโค้งที่น่าประทับใจได้ ในมือถือกระบี่ยาวสีฟ้าอมเขียวไว้ ช่างคล้ายกับเทพธิดาแห่งดวงจันทร์

อีกคนหนึ่งมีผมยาวสีน้ำเงินเข้ม ผิวกระจ่างใส มีรัศมีเย็นยะเยือกที่ไร้ขอบเขตอบอวล ราวกับว่าความหนาวเย็นนี้สามารถตรึงทุกสิ่งได้

ความเย็นจัดที่ปกคลุมทำให้นางดูราวกับว่าเป็นเด็กสาว

โฉมสะคราญทั้งสองก็คือนายหญิงแคว้นหวูหลิงชิงจู๋และอิ้งฮวนฮวน

“ข้าได้นำจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเผ่าเทพน้ำแข็งมาทั้งหมดแล้ว” เสียงของอิ้งฮวนฮวนดังก้องพร้อมกับสาดความหนาวเย็น

“จอมยุทธ์เทียนจื้อจุนทั้งหมดภายใต้อาณัติแคว้นหวูพร้อมรับคำสั่งสู้ศึกแล้วเช่นกัน” เสียงนุ่มนวลของหลิงชิงจู๋ดังตามมา

หลินต้งพยักหน้ายื่นมือไปจับมือสตรีทั้งสองพร้อมกับรอยยิ้ม “ไม่คิดว่าเราจะได้ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเผ่าปีศาจด้วยกันอีกครั้ง”

“ไม่ต้องกังวล หากเกิดอะไรขึ้น ข้าจะใช้ชีวิตนี้ปกป้องเจ้าเอง” หลิงชิงจู๋ยิ้ม

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นใบหน้าของหลินต้งก็ดิ่งลงขณะขอร้อง “ได้โปรดอย่าทำอย่างนั้น ข้าไม่สามารถรับครั้งที่สองไหวแน่”

หลิงชิงจู๋ยิ้ม ส่วนริมฝีปากของอิ้งฮวนฮวนก็จือขึ้นก่อนจะเค้นเสียงเย็น “ไม่เต็มใจขนาดนี้เชียว ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้ให้เจ้ามาช่วยสักหน่อย”

หลินต้งทำได้เพียงยักไหล่

หลังจากที่ทั้งสามคนแหย่กันพอหอมปากหอมคอ ท่าทางของหลินต้งก็กลับมาเป็นปกติ เขาเงยหน้าขึ้นมองร่างปีศาจทั้งสาม มือยื่นออกมาคทาสายฟ้าก็ปรากฏขึ้น ความคมชัดเพิ่มขึ้นในดวงตาขณะความผันผวนที่น่ากลัวค่อยๆ กวาดออกจากร่างเขา

“ไม่ต้องห่วง ครั้งนี้ข้าจะไม่ยอมให้ใครทำร้ายเมียรักต่อหน้าข้าได้…”

ทวีปเทียนหลัว วังสวรรค์บรรพกาล

สายธารพลังงานหลิงลอยอวลทำให้เกิดการกระเซ็นและเอิบอาบด้วยคลื่นหลิงบริสุทธิ์กลายเป็นหมอกกระจายออกไป บรรยากาศทั่วบริเวณทั้งสดชื่นและสะอาด

แท่นหินที่ตั้งอยู่สองฝั่งของสายธารมีร่างเงาอ่อนเยาว์จำนวนมากนั่งอยู่ด้านบนดูดซับคลื่นหลิงเข้าไปเพื่อชำระร่างกายพวกเขา…

มีลานประลองอยู่ไกลออกไปพร้อมกับเสียงตะโกนโหวกเหวก

วังสวรรค์บรรพกาลไม่ได้เงียบสงบดังเดิม กลับมีความมีชีวิตชีวาไหลเวียน มากจนบรรยากาศเปรียบได้กับจุดสูงสุดเมื่อในอดีต

เพราะแม้วังสวรรค์บรรกาลจะมีชื่อเสียงมากในสมัยโบราณ แต่ทุกอย่างแบกรับโดยจักรพรรดิฟ้าเท่านั้น แม้ว่าเหล่าจอมพลจะเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงที่มีความสามารถ แต่ไม่รอให้พวกเขาได้พัฒนาจนมีศักยภาพได้เต็มที่ จักรวรรดิปีศาจต่างมิติก็บุกเข้ามาก่อน…

ไกลออกไปมีร่างเงานอนเอกเขนกบนเนินเขาสูงขณะที่สายตากวาดมองผู้คนรอบๆ ทะเลสาบ

นี่ก็คือมู่เฉิน

เมื่อมองเหล่าเยาวชนรุ่นใหม่ที่กำลังฝึกฝน ดวงตาของมู่เฉินก็วาวแสงพึงพอใจ ตำหนักมู่ค่อยๆ ทรงพลังมากขึ้นในมือเขา แม้ว่าเขาจะไม่ได้จัดการโดยตรง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกถึงความสำเร็จที่น่าภาคภูมิ

เพราะเขาเองไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตำหนักมู่ที่เขาก่อตั้งขึ้นนั้นจะเติบโตขึ้นเป็นขุมกำลังที่ทรงพลังในมหาพันภพ

ขณะที่มู่เฉินมองฉากนี้อย่างเกียจคร้าน ร่างสะคราญโฉมก็ย่างกรายเข้ามาซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน

นางสวมชุดสีดำเดินด้ายทองเนื้อผ้าพลิ้วไหวไปตามสายลม ช่างเป็นสัญลักษณ์ของความสูงส่ง รูปร่างมีโค้งเว้า ดวงหน้าบอบบางมีรอยยิ้มประดับ ขณะกวาดมองไปในสถานที่แห่งนี้

ชายหนุ่มทั้งหลายแอบมองไปที่ร่างงดงาม แต่เมื่อนางกวาดมองมา ใบหน้าของพวกเขาก็แดงซ่านไม่กล้าสบตากับนางโดยตรง

สำหรับพวกหญิงสาวมองไปที่จอมยุทธ์หญิงคนนี้ด้วยความปรารถนาว่าในอนาคตจะครอบครองความสง่างามและความงดงามเช่นนี้เหมือนกัน

ขณะที่ร่างนั้นเดินผ่านไป สายตาที่จ้องมองอยู่ก็ถูกดึงกลับด้วยความไม่เต็มใจ

มู่เฉินฉายรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อมองไปที่ร่างงดงามที่กำลังเดินมาหา นางหยุดยืนอยู่ข้างๆ เขา ดวงตากวาดมองรอบวังสวรรค์บรรพกาลพลางยิ้ม “ตำหนักมู่ของเจ้าดีทีเดียว”

มู่เฉินพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำเพื่อลูกๆ ของเรา”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาใบหน้าของลั่วหลีก็แดงระเรื่อด้วยความเขินอายพลางถลึงตาใส่มู่เฉิน “จะ…เจ้าพูดไร้สาระอะไรเนี่ย! ใครจะมีลูกกับเจ้า!”

ลั่วหลีที่ปกติจะไว้สง่าก็หน้าแดงเถือกจากคำพูดของมู่เฉิน เรายังไม่ได้เข้าพิธีแต่เจ้านี่คิดจะข้ามไปอีกหลายขั้นแล้ว…

มู่เฉินเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าแดงก่ำด้วยไฟปรารถนาในใจ ทันใดนั้นเขาก็โผเข้าหาโอบแขนรอบเอวบาง ล้มลงบนสนามหญ้าด้วยกัน

ตอนที่ล้มลงมามู่เฉินก็พลิกตัวลงก่อนโดยที่มีลั่วหลีแนบทับอยู่บนร่าง

การจู่โจมกะทันหันทำให้ลั่วหลีตกใจ นางผลักหน้าอกมู่เฉินดึงตัวออก ร่างกายส่วนบนแอ่นไปทางด้านหลังพร้อมกับขบปากจ้องมองไปที่มู่เฉิน

เมื่อสัมผัสถึงความอ่อนนุ่มบนร่างกายตนเอง สายตามู่เฉินก็ลุกโชน เขามองไปที่ลั่วหลีด้วยความรักเต็มหัวใจ “เราพยายามกันหน่อยไหม?”

“พยายามอะไร?” ลั่วหลีคิดไม่ทันกับคำถาม

“ลูกๆ ไง!” มู่เฉินตอบแบบหน้าด้าน

เมื่อได้ยินคำพูดนั่นใบหน้าของหญิงสาวในอ้อมกอดเขาก็แดงแก่ก่ำไปเลยทีเดียว

บึก!

จากนั้นศอกของลั่วหลีก็กระแทกเข้าที่ท้องของมู่เฉิน ทำเอาเขาต้องสูดลมหายใจเย็น ใบหน้าที่หล่อเหลาก็บิดเบี้ยว

“เจ้าคนพาล!” ใบหน้าของลั่วหลีแดงเป็นตับหมูขณะถลึงตาใส่มู่เฉิน

ตั้งแต่ยังเด็กนางก็คือจักรพรรดินีตระกูลลั่วเสิ่น ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งธิดาเทพเผ่าไท่หลิง ทุกคนให้ความเคารพและไม่มีใครกล้าทำให้ขุ่นเคือง

ดังนั้นเมื่อเจอมู่เฉินจอมเจ้าเล่ห์ ลั่วหลีก็รู้สึกตะลึงงันไปหมด

ศอกที่ถ่องลงมา ทำให้ใบหน้ามู่เฉินบิดเบ้อย่างขมขื่นขณะโอดครวญ “ข้าจะพาลกับฮูหยินตัวเองไม่ได้เลยหรือ?”

ลั่วหลีกลอกตาบนหัวเราะเบาๆ “พูดเรื่องนี้หลังจากที่เจ้าตกลงเรื่องงานแต่งงานกับตระกูลลั่วเสิน”

มู่เฉินถูท้อง ใบหน้าบูดบึ้ง จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนบนพื้นพลางจ้องมองไปบนท้องฟ้าด้วยสายตาหมดหวัง

เมื่อเห็นท่าทางของเขา ลั่วหลีก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มรู้สึกหน่วงเล็กน้อยในใจ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาแกล้งทำ

ดังนั้นนางจึงก้มศีรษะลงจูบมู่เฉิน

ความรู้สึกอบอุ่นกะทันหันทำให้มู่เฉินอึ้งไป ก่อนที่เขาจะเลียริมฝีปากด้วยความโลภพลางมองไปที่ริมฝีปากสีแดงชาดของลั่วหลี

แต่เผชิญกับแววตาของเขา ลั่วหลีก็ไม่สนใจ นางลุกขึ้นนั่งอย่างสง่างาม

เมื่อมองไปที่ร่างเพรียวบางรวมกับกลิ่นหอมเฉพาะตัว มู่เฉินก็ยิ้มขณะที่ไฟปรารถนาลดลง ถูกแทนที่ด้วยความเงียบสงบ

เขาวางศีรษะลงบนตักนางนอนเหยียดตัวหลับตาลง “ข้ารอคอยช่วงเวลานี้นับตั้งแต่ที่เจ้าออกจากสำนักศึกษาเป่ยชางแล้ว”

ร่างกายของลั่วหลีสั่นสะท้านขณะลดศีรษะลงมองใบหน้าอ่อนเยาว์ แม้ว่าในเวลานี้จะเต็มไปด้วยความเฉียบคม แต่ก็มีความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดจากดวงตาที่ปิดลงของเขา

จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าจมูกเปรี้ยวขึ้น ตอนนี้มู่เฉินเป็นยอดยุทธ์ที่แท้จริงแห่งมหาพันภพพร้อมกับชื่อเสียงที่ขจรขจายไปทั่วหล้า แต่ไม่มีใครรู้ว่าเขาพยายามมากแค่ไหนเพื่อให้บรรลุสิ่งที่มีในวันนี้

นางยังจำได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นดูว่างเปล่าเพียงใดเมื่อลั่วเทียนเสินพานางกลับไป…

ในเวลานั้นเขาบอกนางว่าวันหนึ่งเขาจะเป็นยอดยุทธ์และจะไม่มีใครพรากนางไปจากเขาได้…

เพียงแต่ว่าเส้นทางที่ก้าวเดินนั้นเต็มไปด้วยอันตราย

นางตกหลุมรักเด็กหนุ่มที่พบกันในสงครามเทพยุทธ์ รอยยิ้มมั่นใจของเขาส่งผลต่อนางเสมอ ทำให้นางกล้าพุ่งเข้าชนกับปัญหาใดๆ

ดังนั้นนางจึงกังวลเหลือเกินว่ามู่เฉินอาจสูญเสียรอยยิ้มที่นางรักในเส้นทางแห่งยอดยุทธ์และถูกปกคลุมไปด้วยบาดแผล

โชคดีที่สิ่งที่นางกังวลไม่ได้เกิดขึ้น

ลั่วหลียิ้มมือบางลูบไล้ใบหน้าของมู่เฉิน รอยยิ้มที่เผยออกมาทำให้ขอบฟ้าไร้สีสันไปเลยทีเดียว

“มู่เฉิน เจ้ารู้ไหมว่าสิ่งที่โชคดีที่สุดที่เคยเกิดขึ้นกับข้าในชีวิตคืออะไร? ไม่ใช่การช่วยตระกูลลั่วเสิน ไม่ใช่การเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิง… แต่เป็นการพบเจ้าที่สงครามเทพยุทธ์”

สายลมพัดผ่านภูเขา เสียงอ่อนโยนของหญิงสาวก็ดังกระทบหัวใจมู่เฉิน เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่แผ่ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย

มู่เฉินลืมตาขึ้นมองไปที่คนรักก่อนที่จะมองไปที่ผู้คนนับไม่ถ้วนที่ริมทะเลสาบพลางยิ้ม

มีสิ่งดีงามมากมายในชีวิตที่ควรค่าแก่การปกป้อง

แล้วเขาจะยอมให้ใครมาทำลายได้อย่างไร? แม้ว่าศัตรูของเขาจะเป็นปีศาจที่น่าสะพรึงกลัว…

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ จ้องมองไปที่ลั่วหลี “ลั่วหลี ถ้าเราผ่านสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพได้ แต่งงานกับข้านะ”

ลั่วหลีมองไปที่รอยยิ้มของมู่เฉินที่นางรักก็กัดริมฝีปากพร้อมกับใบหน้าแดงก่ำ นางพยักหน้า ผมสีเงินเปล่งประกายภายใต้แสงตะวัน

“ข้ายินดี!”

โถงดำมืดที่พวยพุ่งไปด้วยความมืดมิด

หมอกสีดำไหลวนเวียนราวกับว่าสามารถกลืนกินความมีชีวิตชีวาทั้งหมดได้ ให้ความรู้สึกหม่นหมองและเย็นเยือก

ในห้องโถงมีที่นั่งสีดำเป็นชั้นๆ ยื่นออกไป มีคนนั่งอยู่บนที่นั่งทุกตัวพร้อมกับรัศมีสีดำครอบคลุมเอาไว้ พลังชั่วร้ายทำให้มิติถึงกับสั่นสะเทือน

โถงแห่งนี้บรรจุไปด้วยกลิ่นอายน่ากลัว เหมือนกับหอหมื่นปีศาจอย่างไรอย่างนั้น

ที่ศูนย์กลางบัลลังก์สามสิบสองแท่นยื่นออกไปด้านข้าง มีร่างบนบัลลังก์ทุกที่ปลดปล่อยรัศมีปีศาจรุนแรงออกจากร่างกาย สร้างภาพมายาปีศาจที่อยู่เบื้องหลังแต่ละคน เอิบอาบด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว

ภายใต้แรงกดดันของทั้งสามสิบสองคน คนอื่นๆ ก็ลดศีรษะลงเล็กน้อยด้วยความเคารพ

มีร่างที่พวยพุ่งด้วยเปลวไฟสีดำนั่งอยู่ตรงตำแหน่งประธาน เพลิงปีศาจนี้มีสีดำมืดราวกับน้ำหมึกและแผ่ซ่านด้วยรัศมีบริสุทธิ์ออกมาในเวลาเดียวกัน ขณะที่คลื่นสองสายไหลเวียน ก็ดูแปลกประหลาดมาก

ภายใต้เพลิงปีศาจ สายตาไม่แยแสก็กวาดมองออกไป ทำให้มิติสั่นไหวราวกับหวาดกลัวอย่างไรอย่างนั้น

“ทุกคนมากันครบหรือยัง?” เสียงเบาหวิวดังขึ้นจากเพลิงปีศาจ

บนบัลลังก์ข้างๆ ภาพเงาที่สวมเสื้อคลุมสีดำก็เงยหน้าขึ้นเผยให้เห็นใบหน้าซีดขาว แต่ดวงตากลับฉายภาพกระแสน้ำวนสีดำ ช่างแปลกตายิ่งนัก ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาหมุนคว้างก็อาบด้วยความลึกลับที่ไม่อาจอธิบาย ซึ่งทำให้ผู้คนหลงทางอยู่ภายใน

ม่านตาของเขากวาดไปที่เพลิงปีศาจก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้น “ครั้งนี้เผ่าเทียนหมัวไม่ได้สายนะ”

ไม่ไกลนักอีกคนก็พูดว่า “เผ่าซือหมัวก็มาแล้ว”

ร่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายซากศพน่าขยะแขยงทำให้แม้แต่อากาศยังกลายเป็นสีเทาขาว ถ้ามู่เฉินอยู่ที่นี่ก็จะสามารถจดจำร่างร่างนี้ได้อย่างแน่นอน เพราะนี่ก็คือจอมปีศาจเฮยซือเทียนที่เคลื่อนไหวออกมาจัดการเขาในพิภพเขตล่าง

หลังจากเขาพูด คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ก็เอ่ยปาก พวกเขาเป็นตัวแทนแกนนำจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ สามสิบสองเผ่าใหญ่

ดังนั้นรัศมีปีศาจในหอหมื่นปีศาจนี้จึงบรรจุด้วยพลังรุนแรงเป็นทบทวีคูณ

เมื่อเห็นผู้นำเผ่าทุกคน ร่างเพลิงปีศาจก็ผงกศีรษะ เสียงแหบพร่าสะท้อนออกมา

“อีกสามเดือนนับจากนี้ สนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง”

เมื่อเขาพูดประมุขปีศาจทั้งหมดก็มีแสงน่าสะพรึงกลัวกะพริบในดวงตาเล็ดลอดด้วยไอเย็นเยือก

“ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึง!” เสียงเยือกเย็นของจอมปีศาจเฮยซือเทียนดังก้อง รัศมีซากศพโดยรอบครางกระหึ่มก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นโครงกระดูกนับไม่ถ้วน

“เรารอมาหลายหมื่นปี ถึงเวลาแล้วที่มหาพันภพจะสั่นสะเทือนภายใต้อำนาจของเรา!” ร่างเงาอีกร่างหนึ่งกล่าวขึ้น ร่างนี้มีมือยาวคู่พร้อมกับเล็บสีดำ กระทั่งมิติยังถูกแยกออกอย่างง่ายดายด้วยเล็บที่แผ่ซ่านความคมที่น่ากลัว

นี่ก็คือผู้นำเผ่าเตาหมัว—จอมปีศาจจ่านเทียน

ในโถงคนอื่นๆ ก็ส่งเสียงคำรามด้วยเจตนาฆ่า

ร่างเพลิงปีศาจยื่นมือออกทำให้ทุกคนเงียบลง นี่แสดงให้เห็นถึงอำนาจที่มี เขาก็คือประมุขเผ่าเซิ่งหมัวที่เป็นผู้นำของสามสิบสองเผ่าใหญ่—จอมปีศาจเซิ่งเทียน

เทพปีศาจจักรพรรดิที่ใช้ชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ผนึกเป็นคนของเผ่าเซิ่งหมัว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเผ่าเซิ่งหมัวจึงดำรงตำแหน่งผู้นำของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ดังนั้นเมื่อเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึก จอมปีศาจเซิ่งเทียนจึงขึ้นเป็นผู้นำของจักรวรรดิปีศาจ

“อย่าดูถูกมหาพันภพ ตามรายงานถึงจะไม่มีจอมยุทธ์ที่เหมือนกับเทพจักรพรรดินิรันดร์ แต่พวกมันก็ยังมีจอมยุทธ์ชั้นยอดอีกนับไม่ถ้วนเช่นเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงครามที่เป็นภัยคุกคามยิ่งใหญ่ต่อเผ่าเรา” ดวงตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนกะพริบพร้อมกับเพลิงปีศาจสีดำขาว

“ครั้งหนึ่งเจ้าเคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีนี่… มันเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้นำเผ่าเทียนหมัวถาม

เผ่าเทียนหมัวได้รับการจัดอันดับต้นๆ ของสามสิบสองเผ่า ส่วนประมุขเผ่าคนนี้ก็ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียน ขณะเดียวกันยังเป็นที่รู้จักกันในชื่อจอมปีศาจอั้นเทียน บอกได้ว่าเขาทรงพลังเพียงใด

เนื่องจากสถานะ เขาจึงรู้ว่าจอมปีศาจเซิ่งเทียนเคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีเมื่อสิบกว่าปีก่อน แต่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้ทุ่มสุดแรง

ขณะที่เพลิงปีศาจในดวงตาของจอมปีศาจเซิ่งเทียนวูบไหวก็ตอบว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีไม่ธรรมดา มันทรงพลังในศาสตร์แห่งเปลวไฟและมีความรู้แจ้งที่น่ากลัว แม้แต่เพลิงปีศาจเทวะของข้าก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้”

ขณะที่เขาพูดทุกคนภายในโถงก็ตัวสั่นสะท้าน ยังเกิดการกระเพื่อมที่ภาพปีศาจเบื้องหลังพวกเขาด้วย

“ขนาดเพลิงปีศาจเทวะยังทำอะไรมันไม่ได้เลยเหรอ?”

แต่ละคนแลกเปลี่ยนสายตากัน ขณะที่แววตาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด พวกเขารู้ดีว่าเพลิงปีศาจเทวะของจอมปีศาจเซิ่งเทียนทรงพลังเพียงใด แม้แต่คนในระดับเดียวกันก็ไม่กล้าเผชิญหน้า แต่กลับทำอะไรเทพจักรพรรดิอัคคีไม่ได้?

“ดูเหมือนว่ามหาพันภพก็มีรากฐานใช้ได้… มิหนำซ้ำยังมีเทพจักรพรรดิสงครามซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคี ข้าว่ามันคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ธรรมดาเช่นกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นจอมปีศาจเฮยซือเทียนก็เอ่ยว่า “ข้าได้ปะทะกับเทพจักรพรรดิสงครามคนนั้นแล้ว มันทำให้ข้ากดดันมาก ถ้าต่อสู้กันด้วยร่างหลัก ข้าคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

จอมปีศาจเฮยซือเทียนหยุดพูดชั่วครู่ก่อนจะกวาดสายตาไปที่มุมหนึ่งของโถง “ว่ากันว่าพิภพเขตล่างที่เทพจักรพรรดิสงครามถือกำเนิด ครั้งหนึ่งเคยประสบกับการรุกรานของเผ่ายี่หมัว แต่สุดท้ายพวกเจ้ากลับล้มเหลว ยังทำให้ดาวหายนะนั้นมาถึงมหาพันภพ ไม่ได้เรื่องจริงๆ!”

ทุกคนสายตามองไปที่ร่างร่างหนึ่งที่กำลังสั่นสะท้าน รัศมีปีศาจรอบตัวแสดงถึงอารมณ์ที่ผันผวน

นี่ก็คือผู้นำเผ่ายี่หมัวคนปัจจุบัน แต่ในหมู่จักรวรรดิปีศาจตำแหน่งของเขาอยู่ในระดับสามัญเท่านั้น มีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างเขาและสามสิบสองเผ่าใหญ่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะเหวี่ยงกับการตำหนิของจอมปีศาจเฮยซือเทียน ได้แต่ก้มหน้ายอมรับไป

ทว่าหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความอัปยศอดสู การครอบครองพิภพเขตล่างเป็นสิ่งที่ทุกเผ่าปีศาจต้องทำ แต่เผ่ายี่หมัวโชคร้ายไปรุกรานพิภพเขตล่างที่มีเทพจักรพรรดิสงคราม ยิ่งกว่านั้นมันยังข้ามขอบเขตมาที่มหาพันภพและขึ้นเป็นศัตรูตัวฉกาจของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

“ไม่ต้องขุดคุ้ยเรื่องนี้แล้ว” จอมปีศาจเซิ่งเทียนโบกมือเพื่อหยุดจอมปีศาจเฮยซือเทียนพูดอย่างเฉยเมยว่า “เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเป็นภัยคุกคามต่อเราก็จริง แต่การฆ่าพวกมันจะง่ายแสนง่ายหากเราปลดปล่อยท่านเทพปีศาจจักรพรรดิให้เป็นอิสระได้”

“ออกคำสั่ง เราจะทำการโจมตีแคว้นหวู่จิ้งฮั่งและแคว้นหวู รั้งตัวจอมยุทธ์ทั้งสองไว้ ไม่ให้พวกเขาไปยังพื้นที่ผนึก”

“รับทราบ!”

ทุกคนโห่ร้องรับคำสั่ง

“เซิ่งเทียน ถึงแม้เราจะสามารถยับยั้งเทพจักรพรรดิทั้งสองได้ แต่ผนึกของเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังคงอยู่เพื่อต่อต้าน พวกเราจะถูกขัดขวางทันทีที่เข้าใกล้ แล้วเราจะช่วยท่านเทพทำลายผนึกนั้นได้อย่างไร?” คนที่พูดขึ้นร่างเอิบอาบด้วยรัศมีปีศาจ คล้ายกับมหาสมุทรปีศาจ นี่ก็คือผู้นำเผ่าหลิงหมัว หนึ่งในสามสิบสองเผ่าใหญ่—จอมปีศาจหลิงเทียน

จอมปีศาจเซิ่งเทียนหลุบตาตอบว่า “ข้ามีแผนของข้า เพียงทำตามคำสั่งก็พอ”

“พวกเจ้าทุกคนแค่จำไว้ว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับเรา แม้ว่าเราจะครอบครองครึ่งหนึ่งของมหาพันภพ แต่เราก็แตกต่าง ดังนั้นจึงถูกปฏิเสธจากที่นี่ เว้นแต่จะสามารถครอบครองได้อย่างสมบูรณ์ เพียงเท่านี้เราถึงจะสามารถสร้างโลกที่เหมาะกับเราได้ มิฉะนั้นเราจะค่อยๆ ถูกทำให้บริสุทธิ์โดยมหาพันภพหลังจากผ่านไปหมื่นปี…”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ทุกคนก็พล่านด้วยไอหนาวเย็นที่ดุร้ายในดวงตา

“ไปได้”

จอมปีศาจเซิ่งเทียนไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ทุกคนลุกขึ้นโค้งคำนับมาทางเขาและจากไป

ผู้นำสามสิบสองเผ่าก็ลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกับรัศมีปีศาจรุนแรง

เพียงสิบกว่าลมหายใจหอหมื่นปีศาจก็ว่างเปล่า จอมปีศาจเซิ่งเทียนเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางของมหาพันภพพร้อมกับดวงตาสั่นไหวด้วยอาการตื่นเต้นและบ้าคลั่ง

“ท่านเทพปีศาจ เมื่อท่านกลับมาก็จะเป็นวันที่เราเหยียบมหาพันภพไว้ใต้ฝ่าเท้า!”

“ในเวลานั้นทุกสรรพสิ่งในมหาพันภพจะต้องชดใช้เวลาสี่หมื่นเก้าพันปีที่ผ่านมา!”

“เทียบทองคำมหาพันภพ?”

มู่เฉินพึมพำขณะที่มองถ้อยคำโบราณเหล่านั้น เขารู้สึกฉงนในใจเพราะไม่รู้ว่านี่หมายถึงอะไร

“ไม่คิดว่าข้าจะมีโอกาสได้รับเทียบทองคำนี้ด้วย…” ขณะที่มู่เฉินกำลังงุนงง ชิงเหยี่ยนจิ้งก็พลิ้วตัวเข้ามาพลางถอนหายใจ

“นี่คืออะไรหรือขอรับ?” มู่เฉินรู้สึกงุนงง

ฉิงเทียนยิ้ม “ตอนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์และเทพปีศาจจักรพรรดิต่อสู้กันในสมัยโบราณ สุดท้ายก็สามารถยับยั้งการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติที่จะเข้าสู่มหาพันภพได้ สงครามครั้งนั้นจบลงด้วยเทพปีศาจจักรพรรดิถูกผนึกไว้ในเนินเขารกร้างทางเหนือ”

“แต่พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้ แม้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์จะได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์”

“ดังนั้นสนธิสัญญพันธมิตรมหาพันภพจะถูกจัดขึ้นทุกๆ พันปีและส่งเทียบเชิญไปทั่ว เพื่อเชิญเหล่ายอดยุทธ์ในมหาพันภพมาชุมนุม ทั้งนี้ก็เพื่อการใช้พลังของทุกคน เราจะหมุนเวียนผนึกลบพลังที่เหลืออยู่เทพปีศาจจักรพรรดิทิ้งไป”

“มีเพียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะได้รับเทียบเชิญนี้ ซึ่งมีความแตกต่างสามระดับคือ ทองแดง เงิน ทองคำ แสดงถึงขั้นทั้งสามของระดับเทียนจื้อจุน โดยมีเพียงระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเท่านั้นที่จะได้รับเทียบเชิญทองคำ”

ขณะที่พูดท่าทางของฉิงเทียนก็เคร่งขรึมลง “ตามการคาดการของเทพจักรพรรดินิรันดร์ในตอนนั้น เราจะสามารถฆ่าเทพปีศาจจักรพรรดิได้หลังจากหมุนเวียนพลังเป็นเวลาสี่หมื่นเก้าพันปี”

“ถึงตอนนี้เทียบเชิญถูกส่งออกไปแล้วสี่สิบแปดครั้งและนี่… เป็นครั้งที่สี่สิบเก้า”

พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ม่านตามู่เฉินก็หดแคบลงและตระหนักถึงความสำคัญของเทียบเชิญนี้

“เทพปีศาจจักรพรรดิน่ากลัวขนาดนี้เชียวหรือ? ผนึกที่ใช้ชีวิตของเทพจักรพรรดินิรันดร์ยังต้องใช้เวลานานเช่นนี้เพื่อฆ่ามันให้สิ้นซาก?” มู่เฉินหายใจเข้าลึก ความตกใจในน้ำเสียงไม่สามารถปกปิดได้

หลังจากเงียบไปชั่วครู่ฉิงเทียนก็ยิ้มอย่างขมขื่น “พลังของเทพปีศาจจักรพรรดิไม่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริง ดังนั้นไม่ต้องคำนึงถึงราคา เราต้องฆ่ามันขณะที่มันยังถูกผนึกอยู่ มิฉะนั้นหายนะจะบังเกิดกับมหาพันภพแน่นอน”

“เพราะเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์อยู่เพื่อช่วยอีกต่อไป”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงดิ่งลง เนื่องจากพวกเขารู้ว่าชะตากรรมเลวร้ายที่รอคอยมหาพันภพอยู่คืออะไรหากสิ่งนั้นเกิดขึ้น

“ถ้าเทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังขนาดนั้น… พวกเผ่าปีศาจต่างมิติจะหาวิธีพยายามทำลายผนึกหรือไม่?” ใบหน้าของมู่เฉินเคร่งเครียดลง

“พวกมันพยายามเข้ามาแทรกพิธีอยู่แล้ว แต่เนื่องจากมีตราประทับที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ซึ่งอนุญาตให้เฉพาะสรรพชีวิตในมหาพันภพเข้าใกล้ได้เท่านั้น”

ฉิงเทียนพยักหน้าหรี่ตาลง “แต่ช่วงนี้เผ่าปีศาจมีการเคลื่อนไหว นี่เป็นสาเหตุทำให้เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามต้องประจำการที่ชายแดน”

สีหน้ามู่เฉินเคร่งขรึมลงเนื่องจากเขาเข้าใจความหมายเบื้องหลังสนธิสัญญานี้ นี่เกี่ยวข้องกับความสงบสุขของมหาพันภพ…

เมื่อเทียบกับเรื่องนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็สามารถวางลงก่อน

“จะเริ่มเมื่อไรหรือ?” ชิงเหยี่ยนจิ้งถาม

“สามเดือนนับจากนี้” ดวงตาของฉิงเทียนวูบไหวพร้อมกับรัศมีดุดันกวาดออกจากร่างกาย “คราวนี้เราต้องกำจัดภัยคุกคามนี้ให้จงได้!”

มู่เฉินพยักหน้า เทพปีศาจจักรพรรดิทรงพลังนัก หากพวกเขาไม่สามารถฆ่าได้ ทั้งมหาพันภพก็จะตกอยู่ในความตึงเครียด

นั่นคือภูเขาไฟล้างโลก ตราบใดที่ปะทุก็จะกลืนกินทั้งมหาพันภพ

ฉิงเทียนพยักหน้าตอบว่า “จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งหมดได้รับคำเชิญ แต่คงมีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่มุ่งหน้าไปยังเนินเขารกร้างทางเหนือ เพราะยังต้องมีคนคอยจับตามองเผ่าปีศาจด้วย”

“ช่างเป็นงานใหญ่ของมหาพันภพจริงๆ” มู่เฉินถอนหายใจ เกือบครึ่งหนึ่งของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนแห่งมหาพันภพไปชุมนุมกันจะอลังการขนาดไหน?

เมื่อเทียบกับเหตุการณ์นี้ สิ่งที่เจอมาในอดีตก็ไม่มีอะไรเลย

“นี่เป็นงานยิ่งใหญ่จริงๆ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของมหาพันภพ ดังนั้นต้องวางความบาดหมางทั้งหมดไว้ก่อน” ฉิงเทียนมองไปยังทิศทางที่หมัวเฮอเทียนจากไปพูดต่อ “นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงเดินทางมาขอให้หยุดสงครามนี้”

เผ่าหมัวเฮอ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงถือเป็นขุมกำลังสำคัญในมหาพันภพ ไม่มีใครสามารถรับผิดชอบต่อความสูญเสียใดๆ ได้

มู่เฉินเข้าใจประเด็นนี้เช่นกัน สีหน้าของเขาจริงจังขึ้น “ท่านฉิงเทียนวางใจเถิด ข้าเป็นคนที่ได้รับผลจากเหตุการณ์นี้มากที่สุด ดังนั้นข้าจะยับยั้งชั่งใจ แม้ว่าท่านหมัวเฮอเทียนต้องการที่จะจัดการข้าในอนาคตก็ตาม”

ไม่ว่าอย่างไรร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เป็นของเขา เผ่าหมัวเฮอได้แต่อดทนอดกลั้น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องทำอะไรไกลเกินไป

ฉิงเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจตอบอย่างอบอุ่นว่า “เป็นเรื่องดีที่เจ้าสามารถมองภาพรวมใหญ่ได้ แต่ไม่ต้องกังวล วังมหาพันภพจะไม่อยู่นิ่งเฉยหากหมัวเฮอเทียนลากเรื่องไปไกล เพราะยังไงเจ้าก็เป็นราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ”

มู่เฉินยิ้ม หมัวเฮอเทียนอาจจะหยิ่งยโสแต่ไม่ใช่คนโง่ หลังจากเรื่องวันนี้เขาก็น่าจะรู้แล้วว่ามู่เฉินไม่ใช่คนที่เขาจะยุ่งด้วยได้

“ข้าเสร็จภารกิจแล้ว ดังนั้นคงต้องขอลาไปก่อน เวลาไม่คอยท่า ข้ายังต้องไปส่งเทียบเชิญให้กับจอมยุทธ์คนอื่นๆ อีก” หลังจากสนทนาสั้นๆ กับมู่เฉิน ฉิงเทียนก็ประสานมืออำลา

มู่เฉินรู้ว่าเรื่องนี้สำคัญจึงไม่รั้งฉิงเทียนไว้และกล่าวคำอำลา

“หวังว่าสามเดือนนับจากนี้เราจะได้พบกันอีกครั้งที่เนินเขารกร้างทางเหนือนะ” ฉิงเทียนหัวเราะขณะที่ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

มองไปที่การจากไปของฉิงเทียน สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ซับซ้อน “พายุกำลังก่อตัว…”

เทพปีศาจจักรพรรดิเป็นมหาจักรพรรดิของเผ่าปีศาจต่างมิติ ดังนั้นพวกมันต้องรู้ถึงความสำคัญของสนธิสัญญาพันธมิตรมหาพันภพนี้ การผนึกพลังในครั้งนี้ไม่สงบแน่นอน

เผ่าปีศาจต่างมิติต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือมหาจักรพรรดิแน่

มู่เฉินพยักหน้า แม้ว่าฉิงเทียนจะไม่ได้ลงรายละเอียดลึก แต่จอมยุทธ์ระดับในพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความสำคัญของเรื่องนี้ในใจของฉิงเทียน

มิฉะนั้นคงไม่ให้ราชันสังหารปีศาจมาเดินทางส่งเทียบเชิญให้เป็นการส่วนตัวหรอก

“เผ่าปีศาจกำลังจับตามองพวกเรา ไม่คิดว่าจะมีภัยคุกคามยิ่งใหญ่ในเนินเขารกร้างทางเหนืออีก…” มู่เฉินถอนหายใจ โชคดีที่เขาบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว มิฉะนั้นเขาคงไม่มีคุณสมบัติที่จะยุ่งกับเรื่องแบบนี้

“เนินเขารกร้างทางเหนือถือได้ว่าเป็นดินแดนต้องห้ามของมหาพันภพเป็นที่รู้จักกันในชื่อดินแดนวั้นมู่ โดยมีกลุ่มหนึ่งเฝ้าระวังอยู่ พวกเขาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาโดยตรงของเทพจักรพรรดินิรันดร์ ผู้นำของก็คือจักรพรรดิอมตะ ซึ่งอาจอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม แต่ตัวเขาอยู่ในเนินเขารกร้างทางเหนือไม่เคยออกไปไหน ดังนั้นจึงไม่เป็นที่รู้จักมากนัก” ฝูถูเฉวียนอธิบาย

“ดินแดนวั้นมู่… จักรพรรดิอมตะ…”

สีหน้าของมู่เฉินเคร่งขรึมลง มหาพันภพสมกับเป็นสถานที่พยัคฆ์หมอบมังกรซ่อนจริงๆ

“ถ้าจักรวรรดิปีศาจต่างมิติบุกเข้ามา เราจะสามารถต้านทานพวกมันได้หรือไม่?” มู่เฉินถามขึ้น

ฝูถูเฉวียนกับชิงเหยี่ยนจิ้งแลกเปลี่ยนสายตากันตอบว่า “ในแง่ของความแข็งแกร่งมหาพันภพในปัจจุบันเทียบได้กับสมัยโบราณหรืออาจจะแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ เรามีทั้งเทพจักรพรรดิอัคคี เทพจักรพรรดิสงคราม ราชันสังหารปีศาจ กระบี่เทพเขียว จักรพรรดิอมตะและขุมกำลังสุดยอดอื่นๆ รวมทั้งห้าเผ่าโบราณยังมีรากฐานพลังของตนและไม่ต้องพูดถึงขั้วอำนาจอื่นๆ…”

“ดังนั้นหากเผ่าปีศาจคิดจะรุกรานอีกครั้ง เราก็ใช่ว่าจะไม่มีพลังโต้ตอบกลับ”

“แต่ปัญหาเดียวก็คือเราไม่มีเทพจักรพรรดินิรันดร์ ต้องรู้ว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์เป็นจอมยุทธ์ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตระดับเทียนจื้อจุน ดังนั้นเราจึงทำได้เพียงแค่เรียกผนึกและสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิเพื่อทำลายความทะเยอทะยานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

มู่เฉินพยักหน้าพลางพึมพำ “ข้าว่าพวกปีศาจต่างมิติก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน…”

จักรวรรดิปีศาจไม่นั่งดูให้พวกเขาสังหารเทพปีศาจจักรพรรดิหรอก ดังนั้นสนธิสัญญาพันธมิตรครั้งนี้อาจซัดสาดไปด้วยพายุโลหิต…

เผชิญกับสถานการณ์นี้ แม้แต่มู่เฉินก็รู้สึกกดดันอย่างมาก

ขณะที่อารมณ์ของมู่เฉินพลุ่งพล่านอยู่ในใจ มือเรียงบางก็จับมือเขาเอาไว้ เมื่อเขาหันไปก็เห็นดวงหน้าเรียวเล็กของลั่วหลี

เมื่อหญิงสาวกะพริบตาส่งมาให้ ความอบอุ่นก็พวยพุ่งขึ้นในหัวใจเขาชำระล้างอารมณ์หมดสิ้น แม้แต่คิ้วที่ขมวดแน่นก็คลายออก

มู่เฉินกุมมือลั่วหลีเงยหน้าขึ้นมองไปที่ดวงอาทิตย์พร้อมกับไฟลุกโชนในดวงตา

การมีคนรักอยู่เคียงข้างเป็นเรื่องที่ดีนัก ไม่ว่าเผ่าปีศาจจะดุร้ายแค่ไหนคนอย่างมู่เฉินก็ไม่กลัว เพราะเขาจะสละทุกอย่างเพื่อปกป้องนางไว้

“ข้าฝึกฝนมาหลายสิบปีกว่าจะมาถึงจุดนี้… แล้วข้าจะยอมให้พวกแกมาทำลายความพยายามได้อย่างไร…?

“ถ้าพวกแกมา ก็แค่ถึงเวลาศึกชี้ชะตาเท่านั้น”

เสียงสะท้อนไปทั่ว

ทุกคนมองภาพเงาก้าวออกจากในเสา มีแสงดาวส่องประกายระยิบระยับรอบตัวผู้มาใหม่ มองเห็นภูเขาและแม่น้ำปักอยู่บนเสื้อคลุม รูม่านตาของเขาก็ลึกราวกับห้วงมหรรณพ เขายืนอยู่ที่นั่นเพียงลำพังแต่กลับเอิบอาบไปด้วยแรงกดดันมหาศาลที่ทำให้ทุกคนรู้สึกเคารพ

“ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน…”

เมื่อทุกคนเห็นร่างนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปขณะร้องอุทานออกมา

ทุกคนในมหาพันภพรู้ดีว่ามีเพียงวังมหาพันภพเท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นขั้วอำนาจที่แข็งแกร่งที่สุด นั่นเป็นเพราะพลังดังกล่าวโอบอุ้มทุกสรรพชีวิตในระบบสุริยะจักรวาลนี้

วังมหาพันภพเหมือนกับสมาพันธ์ของมหาพันภพ

จัดตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ผู้ก่อตั้งคือเทพจักรพรรดินิรันดร์

เมื่อวังมหาพันภพก่อตั้งขึ้นครั้งแรกในสมัยโบราณก็รวบรวมพลังทั้งหมดของมหาพันภพเอาไว้ ทุกคนละทิ้งความแตกต่าง ยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันเพื่ออุดมกาณ์ป้องกันในการรุกรานของจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ

ในสงครามครั้งนั้นวังมหาพันภพทุ่มเททุกสิ่งอย่าง ไม่มีใครไม่เห็นถึงความสามารถในการขับไล่จักรวรรดิปีศาจต่างมิติ ดังนั้นทุกวันนี้ผู้คนจึงให้ความเคารพต่อวังอันยิ่งใหญ่นี้

แม้แต่จอมยุทธ์ที่ทรงอำนาจอย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามก็เข้าร่วมกับวังพันมหาพันภพในฐานะผู้อาวุโส

ในวังมหาพันภพจะต้องใช้คะแนนสังหารปีศาจเพื่อก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งทีละก้าว โดยต้องสังหารจอมปีศาจเท่านั้นถึงจะได้รับตำแหน่งราชันสังหารปีศาจ บางทีนี่อาจไม่ใช่สิ่งหายากในสมัยโบราณ แต่ในปัจจุบันการฆ่าจอมปีศาจอาจหมายความว่าต้องบุกเข้าไปรังของเผ่าปีศาจต่างมิติ

นี่เป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็ไม่กล้าลอง

ดังนั้นในช่วงหลายพันปีที่ผ่านมามีราชันสังหารปีศาจหนึ่งเดียวที่ปรากฏในวังมหาพันภพ เขาเป็นจอมยุทธ์ที่บุกตะลุยเข้าไปในรังปีศาจและกลับมาพร้อมกับการสังหารที่น่าสะพรึง

ชายคนนั้นก็คือคนที่ยืนเบื้องหน้าทุกคนตอนนี้ ฉิงเทียน

เมื่อเทียบสถานะของมู่เฉินในฐานะราชันสังหารปีศาจที่ได้มาเพราะโชคช่วย ฉิงเทียนเป็นของแท้ เนื่องจากเขาได้รับตำแหน่งจากการสังหารปีศาจต่างมิติ

ดังนั้นเมื่อจอมยุทธ์เช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น แม้แต่สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็อดไม่ได้ที่จะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับความหวั่นเกรงในสายตา

“พี่ฉิงเทียนนี่เป็นเรื่องของเผ่าหมัวเฮอ วังมหาพันภพน่าจะเข้ามายุ่งไม่ได้ใช่ไหม?” หมัวเฮอเทียนสูดลมหายใจพลางถาม

เสื้อคลุมของฉิงเทียนสะบัดไปตามสายลม เขาหันหน้ายิ้มให้หมัวเฮอเทียน “ทำไมเจ้าถึงยึดติดกับร่างมหาเทพนิรันดร์อย่างดื้อรั้นเช่นนี้? เผ่าของเจ้าไม่ได้รับการยอมรับแม้จะผ่านไปหลายหมื่นปี ดังนั้นจึงสามารถสรุปได้ว่าไม่มีชะตาร่วมกัน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น สีหน้าของหมัวเฮอเทียนก็ไม่น่าดู ถ้าเป็นคนอื่นพูดเขาจะตบให้ถลา แต่เขาไม่สามารถทำเช่นนั้นกับคนเบื้องหน้าได้ เนื่องจากฉิงเทียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายมานานแล้ว เป็นหนึ่งในสิบจอมยุทธ์อันดับแรกของมหาพันภพ ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

ถ้าหมัวเฮอเทียนมีขวดมหาเพลิงวารี เขาก็อาจจะสู้กับฉิงเทียนได้ ทว่าเวลานี้ขวดหยกถูกปราบปรามไว้ในเจดีย์ เขาคงกระอักเลือดแน่หากต้องต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย

แน่นอนว่าที่สำคัญคือวังมหาพันภพที่อยู่เบื้องหลังฉิงเทียน แม้ว่าโดยปกติทางวังจะไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องต่างๆ ในมหาพันภพ แต่พลังอำนาจของพวกเขาก็เป็นสิ่งที่เผ่าหมัวเฮอต้องไว้หน้า

แต่เขาจะยอมปล่อยให้มู่เฉินนำร่างมหาเทพนิรันดร์ออกไปได้ยังไง?

“พี่ฉิงเทียน เผ่าหมัวเฮอปกป้องร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปีแล้ว แม้จะไม่ได้สร้างผลประโยชน์แต่ก็ทุ่มแรงไปมาก แล้วพวกข้าจะยอมให้มู่เฉินนำไปได้อย่างไร?”

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึก ดวงตากะพริบวาบ “นอกจากนี้เราก็ถอยคนละก้าวแล้ว ข้าขอให้เขาวางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่เป็นเวลาแค่ร้อยปี หลังจากนั้นทางข้าจะไม่ขัดขวางเมื่อเขาขอคืน”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้นฉิงเทียนก็เพียงยิ้ม “ท่านประมุข ข้าจะไม่พูดเรื่องไร้ความหมาย ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพราะได้รับจดหมายของเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม”

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนแข็งค้าง ส่วนเหล่าผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปด้วยความกลัวกะพริบในดวงตา

เผชิญหน้ากับเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง เผ่าหมัวเฮอยังกัดฟันสู้ไหว แต่ถ้าแคว้นหวู่จิ้งฮั่วและแคว้นหวูกระโจนลงมาในศึกนี้ด้วย แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็รับไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาเคยทำสงครามกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว ท้ายที่สุดตอนนั้นก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของหมัวเฮอเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะขวดมหาเพลิงวารี ชื่อเสียงของเผ่าหมัวเฮอคงป่นปี้หมดแล้ว

ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เทพจักรพรรดิอัคคีไม่ใช่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาก้าวข้ามหมัวเฮอเทียนบรรลุระยะปลายกลายเป็นหนึ่งในจอมยุทธ์ทรงอำนาจสูงสุดแห่งมหาพันภพ

ในแง่ของรากฐานแคว้นหวู่จิ้งฮั่วไม่ได้อ่อนไปกว่าเผ่าหมัวเฮอเลย

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพจักรพรรดิสงครามและแคว้นหวูที่ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าเทพจักรพรรดิอัคคีและแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว

ที่นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนได้แต่เบ้ปาก พวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์นี้จะระเบิดไปถึงระดับนี้…

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำแต่ในใจเกรี้ยวกราดอย่างที่สุด ตอนแรกเขาต้องการใช้กำลังเพื่อปราบมู่เฉิน แต่เขาไม่เคยคิดว่าจะทุบหน้าตัวเองจนยับแบบนั้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว แคว้นหวู วังมหาพันภพ เผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง…

ด้วยการผนึกกำลังขั้วอำนาจทั้งห้าเข้าด้วยกันแม้แต่โลกทั้งใบยังสั่นสะเทือน กระทั่งเผ่าหมัวเฮอของพวกเขาก็ไม่สามารถเผชิญกับขุมกำลังมหาศาลเช่นนี้ได้

“พี่ฉิงเทียน เจ้ากำลังพยายามบีบคั้นเผ่าหมัวเฮอหรือ?” ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำ

เมื่อมองไปที่หมัวเฮอเทียน ใบหน้าของฉิงเทียนก็ดูเคร่งขรึมขณะที่ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอ มหาพันภพกำลังเผชิญอันตรายจากจักรวรรดิปีศาจต่างมิติ เรื่องที่เกิดวันนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับมหาพันภพของเราที่ร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถหาเจ้าของได้ ดังนั้นข้าหวังว่าเจ้าจะสามารถพิจารณาภาพรวมได้มากขึ้น”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น หัวใจของมู่เฉินก็สั่นสะท้าน เขาคิดเชื่อมโยงถึงสาเหตุที่เซียวเหยียนและหลินต้งต้องอยู่ประจำการในดินแดนของตนเอง เขาก็รู้สึกไม่สบายใจในใจ ‘จักรวรรดิปีศาจต่างมิติจะเคลื่อนพลอีกครั้งแล้วหรือ?’

หมัวเฮอเทียนเงียบไป ตอนนี้เขารู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียกคืนร่างมหาเทพนิรันดร์ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงต้องเดินลงสะพานที่อีกฝ่ายมอบให้ หากเขาดึงดั้นคงมีเพียงเผ่าหมัวเฮอเท่านั้นที่จะต้องแบกรับทุกข์ทรมาน

“ในเมื่อวังมหาพันภพเข้ามาขอเรื่องนี้ งั้นเผ่าหมัวเฮอก็จะไว้หน้าให้”

ในที่สุดหมัวเฮอเทียนก็เปิดปาก ความผันผวนคลื่นหลิงทรงพลังรอบตัวก็หดกลับ ก่อนที่เขาจะมองไปที่มู่เฉิน “แต่เขาต้องคืนขวดมหาเพลิงวารีมา”

ฉิงเทียนมองไปที่มู่เฉินพลางยิ้ม “ราชันมู่ เราควรแก้ปมระหว่างศัตรูมากกว่าสร้างปม ในเมื่อประมุขเผ่าหมัวเฮอยอมถอยแล้ว เจ้าก็ถอยบ้างได้ไหม?”

ในเมื่อฉิงเทียนเอ่ยปากเอง มู่เฉินก็พยักหน้าให้โดยดี เพราะถึงยังไงเขาก็ไม่ต้องการทำสงครามกับเผ่าหมัวเฮอ แม้ว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิง แต่นั่นก็เสี่ยงเกินไป อาจทำให้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนต้องสังเวยชีวิต นั่นเป็นราคาหนักสำหรับทั้งสองฝ่าย

ดังนั้นหมัวเฮอเทียนยอมถอยจึงเป็นผลสรุปที่ดีที่สุดแล้ว

มู่เฉินหันกลับประสานมือไปที่เจดีย์วั้นกู่ “เรื่องในวันนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว รบกวนท่านผู้อาวุโสช่วยเคลื่อนไหวอีกครั้ง”

พร้อมกับเสียงของเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนเปล่งรัศมีออกมา ลำแสงสีดำทะยานออกมากลายเป็นขวดหยกดำขาว

หมัวเฮอเทียนเรียกขวดหยกคืนมาทันที เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง หลังจากเห็นว่าไม่มีความเสียหายใดๆ ก็รู้สึกโล่งใจอย่างมาก

“สมกับเป็นพลังที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ทิ้งไว้ให้ ช่างทรงพลังอย่างแท้จริงแม้จะผ่านมาหลายหมื่นปีแล้วก็ตาม” มองไปที่เจดีย์ฉิงเทียนก็ถอนหายใจ แม้เขาจะมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลาย เขาก็ยังรู้สึกเคารพในพลังโบราณที่เหลืออยู่ในเจดีย์

ทว่าหลังจากปลดปล่อยขวดหยก พลังที่เหลืออยู่ในเจดีย์ก็เริ่มเหือดหาย มากจนกระทั่งมีรอยแตกบนพื้นผิว

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ มู่เฉินก็โค้งคำนับด้วยมารยาทสูงสุดให้เจดีย์วั้นกู่อีกครั้ง

เมื่อเห็นบรรยากาศตึงเครียดคลายลง ทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอกเพราะเหตุการณ์ระดับนี้มักมีผลกระทบในวงกว้าง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนยังไม่กล้าเข้าร่วม

ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะสลายความขัดแย้งนี้

“พี่ฉิงเทียน ข้าควรจะต้อนรับเจ้าสำหรับการมาเยี่ยมเผ่าหมัวเฮอให้ดีกว่านี้ แต่ข้าคงทำได้แค่ขอโทษเนื่องจากวันนี้ยุ่งมาก” หมัวเฮอเทียนยังรู้สึกกรุ่นโกรธในใจเมื่อมองเมืองวั้นกู่ที่วินาศวันตะโร เขาไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นเขาจึงคารวะฉิงเทียนก่อนที่จะทะยานหายไปในเส้นขอบฟ้า

ผู้อาวุโสของเผ่าหมัวเฮอก็ติดตามไปด้วย

มองหมัวเฮอเทียนที่จากไปฉิงเทียนก็ไม่ใส่ใจ เนื่องจากการมาถึงของเขาทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เผ่าหมัวเฮอจะรู้สึกโกรธเคือง

ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางมาของเขาไม่ได้เป็นเพราะเรื่องเผ่าหมัวเฮอเท่านั้น

ฉิงเทียนโบกมือมองไปที่มู่เฉินก่อนจะก้าวไปปรากฏตัวต่ออีกฝ่ายพลางยิ้มให้ “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าวังมหาพันภพมีราชันสังหารปีศาจคนใหม่ ในที่สุดข้าก็ได้เจอเจ้า”

ได้พบกับราชันสังหารปีศาจตัวจริงอย่างฉิงเทียน มู่เฉินก็รักษามารยาทไว้อย่างสูงสุด “ผู้อาวุโสฉิงเทียนชมข้าเกินไปแล้ว ท่านน่าจะรู้ว่าสถานะของข้าในฐานะราชันสังหารปีศาจมีน้ำหนักแค่ไหน”

ฉิงเทียนหัวเราะก่อนที่จะตอบว่า “ไม่ว่าจะเป็นวิธีใดนี่ก็เป็นโชคชะตาของเจ้าที่ได้รับ ยิ่งกว่านั้นตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะเป็นราชันสังหารปีศาจแล้วจริงๆ”

ในอดีตอาจเป็นไปไม่ได้ที่มู่เฉินจะสังหารจอมปีศาจ แต่ด้วยกายาเซิ่งและร่างมหาเทพนิรันดร์ตอนนี้ เขาก็เทียบเคียงได้กับจอมยุท์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางปลายสุด ดังนั้นจึงสามารถสังหารจอมปีศาจธรรมดาได้แล้ว

มู่เฉินเผยรอยยิ้มบนริมฝีปากพลางประสานมือ “ไม่ว่ายังไงข้าก็ต้องขอบคุณท่านฉิงเทียน มิฉะนั้นเหตุการณ์นี้คงจะไม่ยุติลงอย่างง่ายดาย”

แม้ว่าเขาจะไม่กลัวหมัวเฮอเทียน แต่เขาก็ไม่ต้องการลากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

ฉิงเทียนโบกมือไปมาพลางถอนหายใจ “ตราบใดที่สามเผ่าโบราณทำสงครามกันก็จะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสู้กันเอง”

หลังจากหยุดคิดชั่วครู่ ฉิงเทียนก็พูดต่อ “แต่นอกเหนือจากการมาหยุดศึกระหว่างเผ่า ข้ายังมีเรื่องอื่นต้องทำในการเดินทางครั้งนี้”

เมื่อพูดจบเขาก็โบกมือ แสงสีทองหลายชิ้นพุ่งไปหาชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิง มีแม้กระทั่งสามชิ้นที่พุ่งไปในทิศทางของเผ่าหมัวเฮอ

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและคนอื่นได้รับแสงสีทองนี้ ท่าทางก็เปลี่ยนไปรุนแรง

“นี่คือ…?” ดวงตาของมู่เฉินกะพริบพร้อมกับความประหลาดใจ เขารู้สึกได้ว่าดูเหมือนจะเป็นเทียบทองคำ…

ฉิงเทียนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้เจ้าก็มีคุณสมบัติได้รับแล้วเช่นกัน”

ขณะที่พูดแสงสีทองอีกชิ้นก็พุ่งจากแขนเสื้อเขาไปหามู่เฉิน

มู่เฉินกางฝ่ามือออกแสงสีทองก็ตกลง กลายเป็นป้ายสีทองวางไว้

เมื่อมองไปเขาก็เห็นคำโบราณตราตรึงใจ

เทียบทองคำมหาพันภพ

ฟู่ ฟู่!

หมอกสีดำและสีขาวอบอวลฟ้าดิน ก่อนที่จะเกิดจุดตัดที่ลึกซึ้งไม่มีที่สิ้นสุด

ทุกคนต่างตกตะลึงเมื่อมองไปที่ขวดหยกบนท้องฟ้าที่กำจายแรงกดดันมหาศาล แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนก็อดตัวสั่นสะท้านไม่ได้

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงไม่น่าดูอย่างยิ่งขณะที่มองขวดหยกบนท้องฟ้าด้วยความหวั่นเกรงเข้มข้น

ขวดหยกนี้เป็นอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าหมัวเฮอที่มีพลังไร้ขอบเขต แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็ไม่สามารถเผชิญหน้าได้

ทว่าทุกครั้งที่ใช้อาวุธระดับนี้ก็จะทำให้มันหมดพลังงานลงมาก ดังนั้นถ้าไม่ถึงขั้นวิกฤตก็ไม่มีใครคิดจะใช้มัน

ด้วยเหตุนี้ใบหน้าของพวกเขาจึงเปลี่ยนไปเมื่อเห็นหมัวเฮอเทียนเรียกอาวุธนี้ออกมา

“หมัวเฮอเทียนบ้าไปแล้ว” ไท่หมิงเอ่ยออกมา

สีหน้าของลั่วหลีเปลี่ยนไป นางกำหมัดแน่นแผนภาพเหนือศีรษะนางเริ่มเปล่งรัศมีออกมา

“ลั่วหลีอย่าผลีผลาม แม้ว่าแผนภาพวิญญาณโบราณจะไม่อ่อนแอกว่าขวดมหาเพลิงวารี แต่เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะดึงพลังออกมาได้เต็มที่ หากฝืนทำก็รังแต่บาดเจ็บเท่านั้น” ไท่หมิงพูดขึ้นทันทีเมื่อเห็นการกระทำของลั่วหลี

ลั่วหลีกัดฟัน ดวงตาอัดแน่นด้วยความไม่เต็มใจ หมัวเฮอเทียนชักจะมากเกินไปแล้ว

“ไม่ต้องกังวล หากมีอะไรเกิดขึ้นกับมู่เฉิน เราไม่ยืนรอดูแน่” ไท่หมิงปลอบใจ เขากลัวใจหญิงสาวคนนี้ที่อาจใช้แก่นโลหิตจนหมดพลังเพื่อกระตุ้นแผนภาพวิญญาณโบราณ ซึ่งนั่นจะทำให้เกิดผลสะท้อนกลับมากอย่างแน่นอน

ลั่วหลีกำหมัดแน่น สงบใจลงหลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้ว่าการฝืนเคลื่อนไหวตอนนี้ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่ถ้าหมัวเฮอเทียนล้ำเส้นเข้ามา ไม่ว่าต้องจ่ายราคาเท่าไร นางก็จะยืนเคียงข้างมู่เฉิน

มู่เฉินยืนอยู่กลางอากาศ เขามองไปที่ขวดหยก ม่านตาหดเกร็ง แรงกดดันที่กำจายออกมาจากขวดหยกทำให้เขายังรู้สึกหวั่นใจ

“สมเป็นเผ่าโบราณแท้จริง รากฐานน่าประทับใจยิ่งนัก” มู่เฉินเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ

ตามการคาดการณ์ของเขาพลังของขวดหยกอาจติดอันดับหนึ่งในสิบของมหาพันภพเลยทีเดียว

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชาลงขณะส่งเสียงขึ้นจมูกมองไปที่มู่เฉิน ตราประทับวาดขึ้นด้วยมือข้างเดียวขวดมหาเพลิงวารีก็เอียงลง รัศมีสีดำขาวไหลออกมาจากปากขวด

รัศมีสีดำและสีขาวเป็นคลื่นหลิงที่บริสุทธิ์ โดยความเป็นหยินหยางนี้คือตัวแทนของไฟและน้ำแข็ง ขณะที่คลื่นสองสายตัดกันก็ยิ่งลึกซึ้งมากขึ้น คลื่นหลิงที่แปดเปื้อนก็กลายเป็นสีดำและสีขาวเช่นกัน

ดังนั้นเมื่อตกลงมาก็กลายเป็นมหาสมุทรสีดำขาวก่อนที่จะพลิ้วลงบนลูกทรงกลม

ชี่ ชี่!

พลังงานสองฝั่งปะทะกันเกิดเสียงแหลมเสียดแทงดังขึ้น พลังมหาศาลทั้งสองเสียดสีกันอย่างรุนแรง แต่คราวนี้เมื่อรัศมีสีดำขาวไหลลงมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนเห็นว่าลูกทรงกลมเริ่มจางลง…

นี่เป็นเพราะพลังงานของลูกทรงกลมถูกผลาญไป

อึดใจหมัวเฮอเทียนก็คำราม เสาสีดำและสีขาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ากระแทกเข้ากับโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์

ปัง!

ครั้งนี้เสาทะลุสิ่งกีดขวาง รอยแตกปรากฏบนโลกผนึก ก่อนที่จะระเบิดออกกลายเป็นจุดแสง

เมื่อผู้คนเห็นฉากนี้ก็ต่างตกใจ ยามนี้หมัวเฮอเทียนสามารถต่อกรกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายได้เลยทีเดียว

เผชิญหน้ากับไพ่ตายของหมัวเฮอเทียน มู่เฉินก็ตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบแม้ว่าจะมีร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ตาม เพราะไม่ว่าอย่างไรขุมพลังหลิงของมู่เฉินอยู่ในขั้นเซียนระยะกลางเท่านั้น

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพมหันต์ แววตาเปลี่ยนไปเป็นเย็นชาขณะจ้องมองมู่เฉิน เขายื่นฝ่ามือออก ขวดมหาเพลิงวารีก็พลิ้วลงมา ลอยอยู่เหนือฝ่ามือเขา

“ยังไม่ยอมยกร่างมหาเทพนิรันดร์ให้อีกเรอะ?” หมัวเฮอเทียนถามเสียงเย็น

“แกนี่ดูถูกข้าจริงๆ” มู่เฉินตอกกลับ

หมัวเฮอเทียนหลุบตาลงพลางหัวเราะเยาะ “แม้ว่านี่จะไม่ชอบธรรมในการเอาชนะแก แต่เผ่าหมัวเฮอก็ไม่สามารถใส่ใจเรื่องนั้นเมื่อเทียบกับร่างมหาเทพนิรันดร์”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉิน คำพูดก็เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ “ถ้าเจ้ายอมมอบให้ เผ่าหมัวเฮอก็จะคืนให้หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยปี”

มู่เฉินส่ายหัวตอบว่า “ร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ดังนั้นอย่าหวังว่าข้าจะมอบให้”

ดวงตาของหมัวเฮอเทียนเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ในเมื่อเป็นแบบนี้ข้าก็ต้องใช้กำลังเอามาเท่านั้น!”

มู่เฉินหรี่ตามองไปที่หมัวเฮอเทียนนิ่ง “แม้ว่าเผ่าหมัวเฮอจะมีรากฐานลึกซึ้ง แต่ก็อย่าคิดว่าวันนี้แกจะกลั่นแกล้งข้าได้”

“ฮ่าๆ”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะเสียงเย็นเยียบ ทำเหมือนคำพูดเหล่านั้นเป็นการต่อต้านที่ดื้อรั้นของมู่เฉิน

“ข้าจะดูว่าแกทำอะไรได้อีก!” หมัวเฮอเทียนยกมือขึ้น ขวดมหาเพลิงวารีก็ทะยานออกไปพร้อมกับความผันผวนที่น่ากลัว

“หมัวเฮอเทียน แกอย่าได้ทำเกินไปนะ!”

ในที่สุดชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่สามารถอดรนทนได้ นางพูดเสียงเย็นชาว่า “รังแกลูกชายข้าต่อหน้าอย่างนี้ คิดว่าข้าไม่อยู่รึไง?”

นางรู้ชัดเจนเกี่ยวกับพลังของขวดมหาเพลิงวารี ซึ่งทำให้หมัวเฮอเทียนมีความสามารถแม้จะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์อย่างเทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงคราม

“ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ในเมื่อหมัวเฮอเทียนอยากหาเรื่องใส่ตัวก็ปล่อยเขาไปเถอะ” แต่เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งพูดจบ มู่เฉินก็เอ่ยปากปลอบใจทันที

คำพูดของเขาทำให้ทุกคนตกใจ หรือว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายใบอื่นที่สามารถเผชิญหน้ากับขวดมหาเพลิงวารีของหมัวเฮอเทียนได้?

แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? ภายใต้สภาวะนี้ หมัวเฮอเทียนสามารถปะทะกับจอมยุทธ์ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะปลายสุด แม้ว่ามู่เฉินจะมีกายาเซิ่งบวกกับร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ระดับนี้

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยังงงงวย แต่นางลังเลเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะก้าวถอยหลังเนื่องจากนางเชื่อใจในตัวบุตรชาย ในเวลาเดียวกันก็ดึงคลื่นหลิงผันผวนรอบตัวกลับ

“เจ้าหนูนั่นยังมีวิธีอื่นอีกหรือ? แต่เป็นไปได้ยังไง…?” ไท่หมิงก็พึมพำอย่างสงสัย

ตอนนี้ชัดเจนแล้วว่ามู่เฉินไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้

“ไอ้เด็กอวดดี!”

หมัวเฮอเทียนกรี้ยวกราดวาดตราประทับขึ้นโดยไม่ลังเล ขวดมหาเพลิงวารีเอียงลงรัศมีระเบิดออกมาพุ่งลงมาที่มู่เฉิน

ภายใต้รัศมีสีดำขาวยามนี้แม้แต่กายาเซิ่งก็สลายเป็นเถ้าถ่าน

ทุกสายตาพุ่งตรงไป

แต่มีเพียงมู่เฉินเท่านั้นที่ยังคงสีหน้าสงบและเงยหน้าขึ้นมองไปที่สายธารสีดำและสีขาว เมื่อสายธารเข้ามาในระยะร้อยจั้ง มู่เฉินก็ถอนหายใจเบาๆ และหันกลับไปก่อนที่จะโค้งคำนับให้เจดีย์วั้นกู่ “หมัวเฮอเทียนดื้อดึงนัก ท่านผู้อาวุโสโปรดจัดการด้วย”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

เมื่อสิ้นเสียงของมู่เฉิน เจดีย์ก็สั่นแสงเปล่งปลั่งกวาดออกสายธารสีดำและสีขาวถูกดูดเข้าไปในเจดีย์

ตู้ม!

ในขณะเดียวกันเจดีย์ก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า พริบตาก็ไปปรากฏขึ้นเหนือขวดมหาเพลิงวารี เงาปกคลุมลงมา สุดท้ายขวดหยกก็ถูกดูดเข้าไปในเจดีย์ เจดีย์ร่อนลงจากฟ้ากลับไปสถิตในบริเวณเดิม

ตึง ตึง!

คลื่นกระแทกที่ไม่อาจจินตนาการได้กวาดออกมาจากเจดีย์ซึ่งคงอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสงบลง…

บนท้องฟ้าเมื่อรัศมีสีกำขาวหายไป ขวดหยกก็หายไปเช่นกัน

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีเพียงภาพเจดีย์ลอยสูงขึ้นและลดต่ำลง เมื่อมันกลับไปสถิตที่เดิมทั่วเมืองก็สงบลงแล้ว

ขณะนี้ทุกคนถึงได้หายจากอาการตื่นตะลึง

พวกเขามองท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก่อนจะสูดลมเย็นลึกสุดปอด

“อะไรน่ะ?!”

หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอต่างตกตะลึงพร้อมกับความตกใจสุดขีดพล่านในดวงตา

“เกิดอะไรขึ้น?”

แม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงก็ตกตะลึงก่อนจะหันไปมองเจดีย์วั้นกู่ ขณะนี้พวกเขาสามารถสัมผัสได้อย่างคลุมเครือถึงพลังลึกลับและทรงพลังที่แทรกซึมออกมาจากเจดีย์

พลังนี้ทำให้จอมยุทธ์อย่างพวกเขายังรู้สึกถึงความกลัว

“พลังนี้…” ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนแลกเปลี่ยนสายตากันก่อนที่จะอุทาน “เทพจักรพรรดินิรันดร์!”

พลังนั้นเกินขีดจำกัดของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ตั้งแต่โบราณกาลจะมีใครทรงพลังเช่นนี้นอกจากเทพจักรพรรดินิรันดร์?!

ริ้วความตกใจเกิดขึ้นชั่วครู่บนใบหน้าของหมัวเฮอเทียน ก่อนจะค่อยๆ คืนสติมองไปที่มู่เฉินด้วยดวงตาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน “มู่เฉิน แกทำอะไร?! ขวดมหาเพลิงวารีของเผ่าข้าอยู่ที่ไหน?!”

มู่เฉินกวาดสายตามองอย่างเฉยเมยตอบว่า “ในเมื่อเทพจักรพรรดินิรันดร์วางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอ เขาก็ทิ้งวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าอ้างสิทธิ์แบบผิดเพี้ยน”

ตอนที่เขาออกจากเจดีย์ จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็บอกว่าเขาสามารถใช้พลังงานที่เหลืออยู่ในเจดีย์ได้หากเผ่าหมัวเฮอสร้างปัญหาให้

พลังนั้นถูกทิ้งไว้โดยเทพจักรพรรดินิรันดร์เพื่อหยุดสถานการณ์บานปลายเหมือนในวันนี้ไม่ให้เกิดขึ้น

ตอนแรกมู่เฉินก็ไม่คิดจะใช้ ทว่าหมัวเฮอเทียนทำเกินไป ถึงขนาดนำอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งของเผ่าออกมาอีกด้วย สิ่งนี้บีบให้เขาต้องใช้พลังที่เหลือจากเทพจักรพรรดินิรันดร์

“พลังในเจดีย์วั้นกู่จะคงอยู่เป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะสลายไป ในเวลานั้นขวดมหาเพลิงวารีก็จะเป็นอิสระ”

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนอย่างเรียบเฉยพูดต่อว่า “ยังคิดจะบีบทางตัวเองอีกไหม?”

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนกระตุกสองตาแดงก่ำ เขารู้สึกเดือดดาลครั้งแล้วครั้งเล่าในใจ ที่แท้เทพจักรพรรดินิรันดร์ก็ได้ทิ้งบางสิ่งไว้เบื้องหลังเพื่อป้องกันเผ่าหมัวเฮอตั้งแต่แรกแล้ว

เขารู้สึกอับอายและเดือดดาลในใจ

“ข้าประมุขเผ่าหมัวเฮอไม่ใช่คนที่เด็กอย่างแกจะตำหนิได้!”

หมัวเฮอเทียนแผดเสียงออกมาแสงเย็นก็กำจายจากดวงตา “วันนี้ข้าจะดูสิว่าเทพจักรพรรดินิรันดร์ที่ตายไปแล้วจะสามารถปราบปรามเผ่าหมัวเฮอของข้าอย่างไร!

“หากเจ้าต้องการนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปด้วยละก็ สงครามกับเผ่าหมัวเฮอระเบิดแน่!”

เสียงของหมัวเฮอเทียนดังก้องไปทั่วภูมิภาค “เผ่าหมัวเฮอเตรียมพร้อมรบ!”

เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอได้ยินเช่นนั้น ก็ปลดปล่อยคลื่นหลิงที่น่าสะพรึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้ขอบฟ้าสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปหมด

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้งและไท่หมิงเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็มืดครึ้มลง หมัวเฮอเทียนเสียสติไปแล้ว!

“งั้นเผ่าฝูถูก็ขอสู้ตายเช่นกัน!” ชิงเหยี่ยนจิ้งหายใจเข้าลึกพลางพูดเสียงเย็นชา

ไท่หมิงถอนหายใจก่อนตอบว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เผ่าไท่หลิงก็ต้องเข้าร่วมแล้ว…”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะด้วยความโกรธ “ได้ เผ่าหมัวเฮอขอประกาศสงครามกับทั้งสองเผ่าในวันนี้ ข้าจะดูสิว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรกับเผ่าหมัวเฮอของข้าได้บ้าง!”

นอกเมืองวั้นกู่ ทุกคนมีสีหน้าตกใจหวาดผวา สามเผ่าโบราณกำลังจะทำสงครามกันรึ? ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องเกิดคลื่นยักษ์กวาดไปทั่วมหาพันภพแน่

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ใบหน้าของมู่เฉินก็เย็นชาลง

ตึง!

ทว่าขณะที่บรรยากาศระหว่างฟ้าดินตึงเครียด ทั้นใดนั้นเสียงระฆังโบราณก็ดังก้องมาแต่ไกล…

เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น บรรดาจอมยุทธ์ก็หดตาและเงยหน้าขึ้น

“นี่คือ… ระฆังพันภพแห่งวังมหาพันภพ?”

ภายใต้ความสนใจ ลำแสงก็พุ่งมา ร่างกำยำปรากฏตัวในอุโมงค์มิติ ทำให้เกิดแรงกดดันไปทั่วภูมิภาค

ในเวลาเดียวกันเสียงหนักแน่นก็ดังขึ้น

“โปรดไว้หน้าวังมหาพันภพ หยุดสงครามลงเถิด”

เมื่อเหล่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเห็นร่างกำยำนี้ ใบหน้าก็เคร่งเครียดลง พวกเขาไม่เคยคิดว่าคนผู้นี้จะมาที่นี่

ราชันสังหารปีศาจแห่งวังมหาพันภพ—ฉิงเทียน!

ฮึ่ม!

เมื่อลูกทรงกลมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก็กวาดข้ามขอบฟ้าพุ่งเข้าใส่หมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าเขา

แม้ว่าลูกทรงกลมนี้จะดูไม่ทรงพลัง แต่หมัวเฮอเทียนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเสียดแทงทะลุกระดูกออกมาพร้อมกับความกลัวและความไม่สบายใจกวนตัวในหัวใจ

“เจ้าสามารถฝึกฝนโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ได้เรอะ?!”

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเขียวคล้ำ ในฐานะผู้พิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาเข้าใจทักษะเทห์สวรรค์นี้ได้โดยธรรมชาติและโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ก็เป็นหนึ่งในทักษะนั้น

เล่าลือกันว่าร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถใช้แก่นนิรันดร์สร้างเป็นลูกทรงกลมขึ้นมาได้ ใครก็ตามที่ติดอยู่ในนั้นจะได้ตกอยู่ในกาลเวลาโบราณ แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งก็จะมีช่วงเวลายากลำบากที่จะหลุดออกมาได้ พวกเขาทำได้เพียงยอมจำนนให้ร่างกายค่อยๆ สลายกลายเป็นขี้เถ้า

ในอดีตเทพจักรพรรดินิรันดร์ได้ใช้ทักษะเทห์สวรรค์นี้ในการสังหารจอมปีศาจจำนวนเท่าใดคงมีแต่เทพเซียนที่รู้

ดังนั้นในแง่ของพลังโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าวิทยายุทธระดับเสินทงขั้นสุดยอดในตำนานเลย

เพียงแค่ว่าการจะใช้ต้องมีแก่นนิรันดร์จำนวนมาก แต่มู่เฉินเพิ่งได้รับการสืบทอดร่างมหาเทพนิรันดร์มา แล้วเขามีแก่นนิรันดร์มากมายที่จะสนับสนุนมาจากไหน?

แม้ความคิดนี้จะผ่านเข้ามาในใจ แต่ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนกลับไม่น่าดูและก็ไม่กล้าที่จะหย่อน

เขากระทืบฝ่าเท้า ร่างเทพมหันต์ก็กลายเป็นลำแสงถอยออกไป พริบตาก็อยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจจะหลบหลีกเลี่ยงการโจมตีนี้

ฮึ่ม!

แต่เมื่อเขาปรากฏตัวห่างออกไป ความปั่นป่วนจากมิติก็ก่อตัวที่ด้านบน ลูกทรงกลมไล่ตามมาติดๆ

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนไม่น่าดู ขณะที่สั่งให้ร่างเทพมหันต์ถอยห่างออกไปอีกหมื่นลี้

ทว่าความพยายามของเขาก็ไร้ผล ไม่ว่าความเร็วของเขาจากเพิ่มขึ้นมากเท่าไร ลูกทรงกลมก็เหมือนจะยึดติดเขาราวกับวิญญาณ ติดตามไปทุกหนแห่ง…

ดังนั้นสิบกว่าลมหายใจต่อมาหมัวเฮอเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือเมืองวั้นกู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ทำไม? ไม่วิ่งต่อแล้วเหรอ?” มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนพลางยิ้มไม่เชิงยิ้ม

“หึ แกคิดว่าข้ากลัวทักษะเทห์สวรรค์ของร่างมหาเทพนิรันดร์จริงๆ รึ!” หมัวเฮอเทียนกราดเกรี้ยว เขาเป็นประมุขเผ่าหมัวเฮอ แต่วันนี้กลับต้องเป็นลูกไก่ในมือเด็กเหลือขอ ช่างเป็นความอัปยศอดสูสำหรับเขานัก

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึกๆ วาดตราประทับเร็วรี่กลายเป็นภาพซ้อนนับไม่ถ้วน

ในเวลาเดียวกันร่างเทพมหันต์ที่อยู่เบื้องล่างก็กำจายหมอกสีดำขาวออกมาจากศีรษะ ก่อร่างเป็นร่มขนาดใหญ่เหนือศีรษะของหมัวเฮอเทียนอย่างรวดเร็ว

“ร่มมหาอุด!”

พร้อมกับเสียงหมัวเฮอเทียน ร่มขนาดมหึมาก็หมุนไปอย่างช้าๆ ปลดปล่อยความลึกซึ้งที่ไม่สิ้นสุด ราวกับว่าการยืนอยู่ใต้ร่มนี้จะทำให้เขาปลอดภัย แม้ว่าสวรรค์และโลกจะฉีกออกจากกันก็ตาม

ฮึ่ม!

เมื่อลูกทรงกลมลดระดับลงมา รัศมีแสงก็สะท้อนบนร่ม ทันใดนั้นทั้งคู่ก็กัดกร่อนกันรุนแรง ภายใต้การปะทะกันของพลังงานสองสาย มิติก็พังทลายลงเรื่อยๆ…

ทว่าแม้คลื่นหลิงสีดำขาวจะลึกซึ้ง แต่ก็ยังขาดเมื่อเทียบกับแก่นนิรันดร์ ดังนั้นแสงสีดำขาวจึงค่อยๆ ถูกกัดกร่อนภายใต้การเผชิญหน้า

เมื่อมองภาพนี้ฝ่ามือของมู่เฉินก็เปลี่ยนไป “โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ ตราประทับบุพกาล!”

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ลูกทรงกลมเริ่มขยายออกห่อหุ้มร่ม หมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์ไว้

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำสิ้นเชิง

ซ่า ซ่า

ภายในลูกทรงกลม เสียงน้ำกระเซ็นดังก้องราวกับว่าแม่น้ำแห่งกาลเวลาอันยาวนานปรากฏขึ้น เสียงซ่าซ่าเกิดอย่างต่อเนื่อง ทุกเสียงน้ำซัดสาดจะทำให้ร่มหดตัวดูเหมือนกับว่าจะไม่สามารถทนต่อการกัดกร่อนของกาลเวลาได้

ร่างมหาเทพนิรันดร์ไม่เพียงแต่มีความเป็นนิรันดร์เท่านั้น แต่ยังมีสิ่งที่ตรงกันข้ามซึ่งก็คือพลังแห่งการกัดกร่อน ดังนั้นร่างมหาเทพนิรันดร์สามารถใช้การกัดกร่อนของกาลเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งกีดขวางให้กลายเป็นเถ้าถ่าน

ในสมัยโบราณจอมปีศาจจำนวนมากถูกขังในโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ สุดท้ายก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่านเมื่อเวลาผ่านไป

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนร่างเทพมหันต์ด้วยสีหน้าเขียวคล้ำขณะมองไปที่ร่มที่ค่อยๆ อ่อนกำลังลง เขากระทืบเท้า ร่างเทพมหันต์ก็ส่งเสียงคำราม รัศมีสีดำขาวก่อร่างเป็นกระบี่พุ่งเข้าหาลูกทรงกลม

ฮึ่ม ฮึ่ม

แต่เมื่อกระบี่สัมผัสกับลูกทรงกลมก็สึกกร่อนอย่างรวดเร็วและหายไป แรงที่เหลือสามารถทำให้ลูกทรงกลมกระเพื่อมได้เท่านั้น

“บ้าเอ้ย!”

หมัวเฮอเทียนกัดฟัน ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงทนทานของลูกทรงกลม มิน่าล่ะกระบวนท่านี้ถึงสามารถสังหารจอมปีศาจจำนวนมากในสมัยโบราณได้ ด้วยการใช้เวลากัดกร่อนทำให้ทุกอย่างสลายกลายเป็นอากาศธาตุ

หมัวเฮอเทียนฉายแววตาน่ากลัว ไม่คิดพยายามที่จะทำลายลูกทรงกลมอีกต่อไป ทันใดนั้นร่างเทพมหันต์ก็ระเบิดรัศมีสีดำขาวเทลงในร่ม การสนับสนุนของพลังนี้ทำให้รัศมีของร่มสีดำขาวกลับคืนมา ปกป้องหมัวเฮอเทียนและร่างเทพมหันต์เอาไว้

“มู่เฉิน โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ของแกทรงพลังก็จริง แต่แกคิดว่าตัวเองเป็นเทพจักรพรรดินิรันดร์เรอะ?! แกกำลังประเมินตัวเองสูงเกินไป ถ้าคิดว่าจะฆ่าข้าด้วยสิ่งนี้!” หมัวเฮอเทียนแผดเสียง

สิ่งที่เขาพูดไม่ใช่เรื่องเท็จ แม้ว่าจะเป็นปัญหามากที่จะหลบหลีก แต่โลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ก็ไม่สามารถฆ่าเขาได้

มู่เฉินหลุบตายิ้มอ่อน แต่ไม่ได้ตอบโต้ เขารู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าหมัวเฮอเทียนด้วยโลกผนึกหนึ่งนิรันดร์ แต่แค่จับอีกฝ่ายเอาไว้ เขาก็บรรลุเป้าหมายแล้ว

เมื่อทุกคนเห็นภาพนี้ ความหวาดผวาก็กวาดไปทั่วใบหน้าขณะมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาแสดงความเคารพนับถือ

ครึ่งปีก่อนช่องว่างระหว่างหมัวเฮอเทียนกับมู่เฉินเรียกว่าห่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้ในระดับเดียวกับหมัวเฮอเทียนได้ มิหนำซ้ำยังผลักหมัวเฮอเทียนลงไปในกับดักได้อีกด้วย

ด้วยความสามารถดังกล่าว เขาสามารถติดอันดับหนึ่งในสุดยอดจอมยุทธ์แห่งมหาพันภพแล้ว

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอใบหน้ามืดครึ้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งหมัวเฮอโยว เขาขบฟันจนเกือบแตก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากยอมรับความจริงที่พี่ชายของตนเองไม่สามารถทำอะไรกับมู่เฉินได้

“หมิ่นกันเกินไปแล้ว! ไอ้สารเลวปล่อยท่านประมุขซะ!”

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคนของเผ่าหมัวเฮอร้องตะโกน ขณะมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับคลื่นหลิงผันผวนรอบตัว

“ฮ่าๆ ใจเย็นสิ นี่เป็นการประลองระหว่างหมัวเฮอเทียนและมู่เฉิน ทำไมต้องเข้าไปยุ่งด้วยล่ะ?” ไท่หมิงสะบัดแขนเสื้อ คลื่นหลิงไร้ขอบเขตรวมตัวกันและขัดขวางผู้เฒ่าทั้งสองเอาไว้

“เรื่องในวันนี้เกิดจากเผ่าหมัวเฮอขาดความซื่อสัตย์ ทำไมต้องกัดไม่ปล่อยด้วย?” ไท่หมิงเหลือบมองไปที่หมัวเฮอเทียนที่ติดอยู่ในลูกโลก “ประมุขหมัวเฮอ ให้ตาแก่คนนี้เป็นคนกลางไหม? ทุกคนต่างถอยกันคนละก้าว ข้าจะบอกให้มู่เฉินหยุด เผ่าหมัวเฮอก็ปล่อยมือจากร่างมหาเทพนิรันดร์ ตกลงไหม?”

รากฐานของเผ่าหมัวเฮอหยั่งลึก หากเรื่องนี้เกิดขึ้นสงครามก็เป็นอะไรที่จินตนาการไม่ได้

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นชาลงเมื่อกวาดมองไปที่ไท่หมิง “วาจายิ่งใหญ่จริง เผ่าไท่หลิงได้รับโอกาสและได้รับร่างมหาปราชญ์วิญญาณไปแล้ว นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้วันนี้เผ่าไท่หลิงยืนยง เผ่าหมัวเฮอของข้าต่อสู้เพื่อสิ่งนี้จากรุ่นสู่รุ่น ถ้ามีร่างมหาเทพนิรันดร์ในครอบครอง เผ่าหมัวเฮอจะอยู่ในแค่จุดนี้ได้อย่างไร?!”

“ในอดีตร่างมหาเทพนิรันดร์ถูกแย่งไปจากมือบรรพบุรุษเผ่าหมัวเฮอของข้าโดยเทพจักรพรรดินิรันดร์ แล้วจะให้เผ่าหมัวเฮอยอมทิ้งโอกาสนี้ได้อย่างไร?”

“วันนี้ไม่ว่าหน้าไหนก็ไม่สามารถนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปจากเผ่าหมัวเฮอของข้า!”

เมื่อคำพูดจบลงสายตาของหมัวเฮอเทียนก็น่าขนพองสยองเกล้าขณะที่ส่งเสียงคำราม

เขาไม่สนใจไท่หมิงอีกต่อไป หันไปจ้องมองมู่เฉินด้วยดวงตาแดงฉาน “ไอ้สารเลว แกคิดว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าไม่มีรากฐานใดๆ เรอะ?!”

“แกไม่มีสิทธิ์ที่จะมาทำโอหังในดินแดนของเผ่าหมัวเฮอ!”

หมัวเฮอเทียนหัวเราะเสียงเย็นชาพร้อมกับแววเด็ดขาดพวยพุ่งในดวงตา เขาพ่นเลือดกลั่นออกมาหนึ่งคำและก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อเขาเริ่มวาดตราประทับก่อนที่จะกลายเป็นอักขระสีแดงเข้ม

เมื่ออักขระสีแดงเข้มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็หายไปในส่วนลึกของพื้นที่นี้

ตู้ม!

ขณะที่อักขระสีแดงเข้มหายไป ทุกคนก็สามารถสัมผัสได้ถึงพื้นดินที่สั่นสะท้าน ก่อนที่แสงสีดำขาวจะพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าจากส่วนลึกของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหมัวเฮอ

เสานี้เชื่อมระหว่างฟ้าดิน มิติเบื้องบนเมืองแตกออก เสาแสงสีดำขาวส่องลงมากจากในมิติ

ท่ามกลางเสาแสงนั้นทุกคนเห็นขวดหยกสีดำขาวปรากฏขึ้น

เมื่อขวดหยกเผยออกมา ทั่วบริเวณก็มีแต่สีดำและสีขาวราวกับว่าเป็นจุดตัดของหยินหยาง

แรงกดดันที่น่ากลัวก็เอิบอาบออกมาจากขวดหยกนั่น

เมื่อชิงเหยี่ยนจิ้ง ฝูถูเฉวียนและไท่หมิงเห็นขวดหยก สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปพลางร้องอุทานว่า “ขวดมหาเพลิงวารี?! หมัวเฮอเทียน เจ้าบ้าไปแล้วหรือ? ถึงขนาดใช้อาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งพิทักษ์เผ่า!”

โดยทั่วไปชนเผ่าโบราณจะมีอาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งอย่างเจดีย์บรรพบุรุษของเผ่าฝูถู ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องเผ่าและสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการใช้ เว้นแต่ว่าเผ่ากำลังเผชิญกับหายนะล้างโลกเท่านั้น

ย้อนกลับไปตอนนั้นที่หมัวเฮอเทียนพ่ายแพ้เซียวเหยียน เขาก็ถูกบีบให้ต้องใช้อาวุธนี้เพื่อบังคับให้เซียวเหยียนถอยออกไป

อาวุธมหสวรรค์ขั้นเซิ่งที่เขาใช้ในตอนนั้นก็คือขวดหยกดำขาวนี่

ไม่มีใครคิดว่าเมื่อเผชิญหน้ากับมู่เฉิน หมัวเฮอเทียนจะถูกบังคับให้ใช้อีกครั้ง

เห็นได้ชัดว่าหมัวเฮอเทียนไม่สนใจวิธีการใดๆ แล้ว ตราบใดที่สามารถคว้าร่างมหาเทพนิรันดร์กลับคืนมาครอบครอง!

ตอนนี้มู่เฉินตกอยู่ในอันตรายแล้ว

ร่างมหึมาสีดำขาวยืนไว้สง่าระหว่างฟ้าดิน

คลื่นกระแทกที่มองเห็นได้เอิบอาบไปทั่ว ทำให้ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป

นั่นเป็นเพราะร่างมหึมานี้คือร่างเทพมหันต์ อันดับแปดของทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่างของมหาพันภพ!

นี่เป็นร่างเทห์สวรรค์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมัวเฮอ ขณะเดียวกันพลังของมันก็โด่งดังไปทั้งมหาพันภพเลยทีเดียว

เนื่องจากพลังที่แข็งแกร่งของร่างเทพมหันต์ ดังนั้นเมื่อผู้คนเห็นหมัวเฮอเทียนใช้จึงพากันตกใจ

นั่นหมายความว่าเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉินกระบวนท่าเมื่อครู่ หมัวเฮอเทียนก็เริ่มเดือดขึ้นมาแล้ว

ฟู่ ฟู่!

คลื่นหลิงก่อตัวขึ้นเป็นกระแสน้ำวนรอบร่างมหึมา ขณะที่มันยืนตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าประหนึ่งเทพ

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนไหล่ของร่างเทพมหันต์จ้องมองไปที่มู่เฉินทั้งสามคนก่อนที่จะวาดตราประทับด้วยมือข้างเดียว ร่างมหึมาก็อ้าปากส่งเสียงคำรามใส่พวกมู่เฉิน

โฮก!

คลื่นหลิงป่าเถื่อนกลายเป็นคลื่นเสียงพัดออกมาพร้อมกับพลังทำลายล้างรุนแรงซัดใส่มู่เฉินทั้งสามที่ไม่ทันหลบหนี

ปัง!

เผชิญหน้ากับการโจมตีรุนแรงนี้ ร่างพวกมู่เฉินก็สั่นสะท้าน คลื่นเสียงไม่เพียงแค่ทำให้เจ็บแปลบบนผิวหนังเท่านั้น แต่ยังทะลุทะลวงเข้าไปในเลือดเนื้อได้อีกด้วย

แต่โชคดีที่กายาเซิ่งแข็งแกร่งพอ นอกจากนี้เนื่องจากรัศมีนิรันดร์ร่างกายของมู่เฉินจึงเต็มไปด้วยกำลังวังชา แม้ว่าเนื้อจะปริแตกออกจากกัน แต่ก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

แต่ถึงอย่างนั้นพวกมู่เฉินก็ยังถูกกระแทกให้ถอยกลับไปหลายหมื่นจั้ง

“นี่คือร่างเทพมหันต์ที่มีชื่อเสียงงั้นเหรอ?” ดวงตามู่เฉินเคร่งขรึมเนื่องจากสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของร่างเทพมหันต์จากการเผชิญหน้าครั้งนี้ ก่อนหน้านี้เขาสู้กับหมัวเฮอเทียนได้ด้วยร่างรองทั้งสอง แต่เมื่ออีกฝ่ายใช้ร่างเทพมหันต์ ข้อได้เปรียบที่เขาได้รับจากร่างรองก็ไร้ผลโดยสิ้นเชิง

ตู้ม ตู้ม!

ทว่าหมัวเฮอเทียนไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายหลุดลอยไป ร่างเทพมหันต์แผดเสียงคำรามเหวี่ยงหมัดออกไป ทันทีใดนั้นก็กลายเป็นหมัดสีดำขาวขนาดหมื่นจั้งที่ราวกับอุกกาบาต พุ่งใส่มู่เฉินทั้งสามอย่างดุเดือด

พวกมู่เฉินถอยห่าง พริบตาก็ปรากฏตัวออกไปตรงจุดหลายร้อยลี้ ทว่ารัศมีสีดำขาวก็วูบไหวเบื้องหน้าแล้วซัดลงมาราวกับพายุ

ครืนๆ!

เมื่อหมัดควงลงมาทั่วบริเวณก็สั่นสะท้านเลื่อนลั่น ในช่วงสิบกว่าลมหายใจควันก็ฟุ้งกระจาย เทือกเขาลดระดับสู่พื้นพร้อมกับหลุมขนาดใหญ่ปรากฏ

ร่างมู่เฉินค่อยๆ ลอยขึ้นจากหลุมนั้น เสื้อผ้าขาดวิ่นมีรอยหมัดบนร่างกาย

ร่างรองทั้งสองที่ด้านข้างก็ได้รับบาดเจ็บเช่นกัน แสงสีดำและสีขาวกะพริบวูบวาบบนร่าง พยายามขัดขวางการฟื้นฟูสภาพกายาเซิ่ง

“แกคิดว่าสามารถใช้เพียงพลังกายต้านรับร่างเวทสวรรค์ของข้าได้เรอะ?” บนท้องฟ้าเสียงของหมัวเฮอเทียนเคร่งขรึมแฝงร่องรอยการเยาะเย้ย ตอนที่เขาไม่ได้นำร่างเวทสวรรค์ออกมา เขาก็ไม่สามารถทำอะไรมู่เฉินได้ แต่ด้วยร่างเวทสวรรค์ ความสามารถในการต่อสู้ก็แตะถึงจุดสูงสุดที่น่าสะพรึงกลัว

ในตอนนี้แม้แต่กายาเซิ่งของมู่เฉินก็ไม่สามารถรับได้

ที่สุดแล้วกายาเซิ่งอาจทรงพลัง แต่ก็ไม่สามารถต้านพลังทั้งหมดของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางได้

ทว่ามู่เฉินกลับอหังการว่าสามารถต่อกรกับร่างเทพมหันต์ได้ด้วยพลังกายของตน ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ

“ข้าแค่ลองพลังร่างเทพมหันต์ในตำนานเท่านั้นเอง” มู่เฉินยิ้มสบายๆ เมื่อเผชิญหน้ากับการเยาะเย้ยนั่น

“ร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าแกเป็นเจ้านายแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมไม่นำมันออกมา? หรือว่าแกก็ไม่สามารถควบคุมมันได้?” หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างน่าขนพองสยองเกล้า

ถ้ามู่เฉินไม่สามารถควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ เขาก็มีข้อแก้ต่างมากขึ้นในการเรียกคืน

“เดี๋ยวลองดูก็รู้” มู่เฉินหรี่ตา

“ต้องลองอยู่แล้ว!”

หมัวเฮอเทียนยิ้มน่ากลัวขณะที่ดวงตาคมชัดขึ้น เมื่อมือเขาประสานเข้าด้วยกัน มือของร่างเทพมหันต์ก็ทำท่าเดียวกัน ก่อนจะค่อยๆ ดึงออกจากกัน

รัศมีสีดำขาวเต้นระริกราวกับสายฟ้าฟาด หอกยาวพันจั้งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นระหว่างฝ่ามือ

“หอกมหันต์สวรรค์!”

สายตาของหมัวเฮอเทียนเย็นเยียบลงขณะที่ตะโกน หอกสีดำขาวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วหายไปพร้อมกับเสียงครางกระหึ่ม เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็อยู่เหนือร่างมู่เฉินแล้วซัดลงมาด้วยพลังทำลายล้างที่ไม่อาจจินตนาการได้

เสียงดังสะท้อนออกไปในระยะทางนับไม่ถ้วน

เผชิญหน้ากับการโจมตีจากหมัวเฮอเทียน แม้แต่สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนก็อดเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แม้แต่พวกเขาก็ต้องประจันหน้าการโจมตีนี้อย่างจริงจัง

“จิตสังหารของหมัวเฮอเทียนถูกกระตุ้นแล้ว” สายตาของไท่หมิงเคร่งเครียดขณะมองไปที่ลั่วหลี “ถ้าคนรักของเจ้าไม่สามารถควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้ละก็ เขาตายคาที่แน่นอน แม้ว่าจะมีกายาเซิ่งช่วยเสริมก็ตาม”

มองไปที่ร่างเงาคุ้นเคย ลั่วหลีก็เห็นว่ามีร่องรอยความเคร่งเครียดในดวงตาของมู่เฉิน ทว่าไม่มีความตื่นตระหนกอย่างที่ลั่วหลีคาดไว้ ทันใดนั้นหัวใจที่ตึงเครียดของนางก็ผ่อนคลายลง ดูเหมือนว่ามู่เฉินยังมีไพ่ตายอยู่ในแขนเสื้ออีก

ฟู่ ฟู่!

หอกเคลื่อนลงมาใกล้จะถึงมู่เฉินในอีกไม่กี่ลมหายใจ ขณะที่กำลังจะกระแทกร่าง มู่เฉินก็หลับตาลง

ในเวลาเดียวกันรัศมีแสงสีทองโบราณก็พุ่งออกมาจากร่างเขา ร่างที่มีความสูงหลายจั้งปรากฏขึ้นเบื้องหน้าแล้วพุ่งออกไปพร้อมหมัดปะทะเข้ากับหอก

เคร้ง!

เกิดการปะทะดังก้องระหว่างสวรรค์และโลก

เมื่อมองไปที่จุดปะทะ ทุกคนก็หดตาลง เพราะเห็นร่างเล็กใต้หอกขนาดใหญ่…

ทว่าแม้จะมีขนาดที่แตกต่างกันมาก แต่ร่างเล็กนั่นก็ไม่ขยับและยืนอย่างมั่นคง ที่ฝั่งตรงข้ามหอกสีดำขาวกลับถูกปกคลุมไปด้วยรอยแตก…

ปัง!

เสียงระเบิดดังสนั่น หอกสีดำขาวก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ภายใต้รัศมีแสงสีดำขาว ร่างนั้นก็เคลื่อนลงมาลอยตัวอยู่ข้างหลังมู่เฉินพร้อมกับรัศมีลึกลับและโบราณหมุนคว้างโดยรอบ เอิบอาบกลิ่นอายเก่าแก่

ทั่วทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนมองไปที่ร่างลึกลับด้วยความอิจฉาและตื่นเต้นในดวงตา…

แม้ว่าพวกเขาจะได้เห็นร่างนั้นผ่านกระจกแสงของเจดีย์วั้นกู่ แต่พวกเขาก็ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ เมื่อได้เห็นด้วยตาของตนเอง

นั่นเป็นเพราะนี่คือร่างมหาเทพนิรันดร์ในตำนาน

หนึ่งในร่างมหาเทพปฐมกาลที่ทรงพลังที่สุดในมหาพันภพ!

ในที่สุดร่างมหาเทพปฐมกาลในตำนานก็ปรากฏตัวต่อสายตาของใต้หล้าอีกครั้ง

ผู้ชมไม่สามารถบรรยายความรู้สึกได้ เมื่อมองไปที่ร่างมหาเทพนิรันดร์พวกเขาก็รู้สึกว่าถูกล่อลวงโดยธรรมชาติ ดังนั้นหากมู่เฉินไม่สามารถควบคุมได้ หัวใจก็จะรู้สึกดีขึ้นเพราะยังมีโอกาสสำหรับพวกเขา

แต่ก็น่าเสียดายเมื่อพวกเขาเห็นร่างโบราณยืนอยู่ด้านหลังมู่เฉิน นี่ทำให้ความหวังที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกแตกสลาย…

แน่นอนว่าพวกเขาแค่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอสีหน้ามืดมน อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

เมื่อลืมตาขึ้นมู่เฉินก็มองไปที่หมัวเฮอเทียน “ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าพอใจกับผลลัพธ์ที่ได้ทดสอบแล้วหรือยัง?”

ความโกรธพุ่งขึ้นในดวงตาของหมัวเฮอเทียน ภาพเบื้องหน้าเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าร่างมหาเทพปฐมกาลยอมรับมู่เฉินเป็นเจ้าของแท้จริง สิ่งนี้ทำให้เขาโกรธมาก เนื่องจากเขารู้สึกว่าถูกทรยศโดยร่างมหาเทพนิรันดร์

เขารู้สึกอยู่เสมอว่าเผ่าหมัวเฮอทำงานหนักเพื่อพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาช้านาน เจ้าของคนใหม่ก็ควรเป็นใครสักคนในเผ่า

“อย่าเพิ่งตีปีก ข้ายังไม่เห็นว่าเจ้าจะเอามันไปจากเผ่าหมัวเฮอของข้าได้!” หมัวเฮอเทียนกล่าวเสียงเย็นชา

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบด้วยไอเย็นเยือก หมัวเฮอเทียนวาจาใหญ่โตและดื้อด้านที่คิดจะยึดร่างมหาเทพนิรันดร์ นี่เริ่มสร้างความรำคาญให้กับมู่เฉินแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…”

มู่เฉินหลุบตาลงพร้อมกับไอสังหารพุ่งออกจากร่าง ด้านหลังเขาร่างมหาเทพนิรันดร์ก็เงยขึ้นมองไปที่หมัวเฮอเทียน

“งั้นข้าก็จะใช้เจ้าทดสอบทักษะเทห์สวรรค์ของร่างมหาเทพนิรันดร์ในรอบหลายหมื่นปี…”

ร่างลึกลับที่อยู่เบื้องหลังมู่เฉินค่อยๆ ลอยขึ้น ไอนิรันดร์รวมอยู่ในฝ่ามือดูราวกับสามารถต้านทานการกัดกร่อนของกาลเวลาและดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขต

ไอนิรันดร์รวมตัวก่อเป็นลูกกลมแสง ซึ่งถูกปกคลุมด้วยลวดลายโบราณ

ร่างมหาเทพนิรันดร์ยกมือขึ้น ลูกกลมก็ลอยขึ้นซัดใส่หมัวเฮอเทียน ขณะเดียวกันปากก็ขยับพร้อมกับเสียงโบราณเปล่งออกมา

“โลก…ผนึกหนึ่งนิรันดร์”

ฝ่ามือทองคำกดลงมา

ประหนึ่งเทพทำลายล้าง ราวกับว่าสิ่งที่อยู่ข้างใต้จะลดลงเหลือเพียงเถ้าธุลี

นี่คือการหลอมรวมสมบูรณ์แบบระหว่างกายาเซิ่งและพลังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลางของมู่เฉิน ในแง่ของพลังอำนาจแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็ไม่สามารถปะทะตรงๆ ได้

ที่นอกเมืองทุกคนมองมาที่มู่เฉินด้วยความหวั่นเกรงและหวาดกลัวในสายตา

ใบหน้าของหมัวเฮอโยวเขียวคล้ำ ขณะเดียวกันความหวาดกลัวและความไม่เต็มใจพล่านในสายตา ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งปีก่อนมู่เฉินสามารถต่อสู้กับเขาได้สูสีเท่านั้น แต่ช่องว่างระหว่างพวกเขาตอนนี้คือหุบเหวกว้างใหญ่…

การโจมตีกระบวนท่านี้จากมู่เฉินสามารถทำลายล้างเขาได้เป็นพันครั้งเลยทีเดียว

“ไอ้บ้านี่คิดว่าจะเอาชนะพี่ชายข้าได้ด้วยสิ่งนี้หรือ? ฝันเฟื่อง!” ใบหน้าของหมัวเฮอโยวดูน่ากลัวสายตาจ้องมองไปที่ท้องฟ้าด้วยความคาดหวังว่าพี่ชายตนจะสามารถบดขยี้มู่เฉินให้แหลกลาญได้

ภายใต้สายตาของทุกคน หมัวเฮอเทียนเผยร่องรอยความเคร่งขรึมในสายตา เมื่อมองไปที่ฝ่ามือ การโจมตีกระบวนท่านี้ของมู่เฉินทำให้เขารู้สึกว่าถูกคุกคาม

“ประมาทไอ้เด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ”

หมัวเฮอเทียนพึมพำกับตัวเอง เผชิญหน้ากับมู่เฉินที่เต็มกำลัง แม้แต่ตัวเขาก็ไม่กล้าลังเล เขาหายใจเข้าลึกรัศมีสีดำขาวก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างกายก่อตัวเป็นกำแพงแข็งแกร่งห่อหุ้มเขาไว้ภายใน

“ปราการวิญญาณหมัวเฮอ!”

เสียงลึกต่ำดังก้องขณะที่ลูกทรงกลมสีดำขาวลอยอยู่บนท้องฟ้าเอิบอาบความเจิดจรัสยิ่งใหญ่

ปราการวิญญาณหมัวเฮอเป็นวิทยายุทธระดับเสินทงในการป้องกันที่ยอดเยี่ยมของเผ่าหมัวเฮอ นี่เป็นสิ่งที่สามารถขัดขวางการโจมตีของจอมยุทธ์ในระดับเดียวกันได้เลยทีเดียว

ตู้ม!

ฝ่ามือใหญ่กดลงมากระแทกเข้ากับลูกทรงกลมสีดำขาวจังใหญ่ภายใต้สายตานับไม่ถ้วน ทันใดนั้นสวรรค์และโลกก็เงียบงัน…

บนท้องฟ้าสูง มิติล้วนแตกสลายราวกับกระจก ชิ้นส่วนมิติตกลงจากฟ้า…

ภายใต้พายุบ้าคลั่ง ลูกทรงกลมก็ราวกับหินผายิงเข้าไปในเมืองวั้นกู่

ครืนๆๆๆ!

ทั้งเมืองเริ่มวินาศสันตะโรพร้อมกับความผันผวนทำลายล้างแพร่กระจายออกไป อาคารบ้านช่องในเมืองพังยับเยินในเวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ ก่อนที่เมืองวั้นกู่จะเหลือเพียงซากปรักหักพัง

มีเพียงหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ที่ไร้ก้นบึ้งอยู่ใจกลางเมือง

เมื่อทุกคนเห็นฉากนี้ พวกเขารู้ว่าจอมยุทธ์ทั้งสองคนออมฝีมือไว้ มิฉะนั้นพื้นที่ภายในรัศมีแสนลี้คงจะกลายเป็นมิติเวิ้งว้างไปแน่

ดวงตาคมกริบของมู่เฉินราวกับเหยี่ยวขณะมองไปที่ปากปล่อง รัศมีสีทองรอบตัวเขาวูบไหวสะท้อนบนร่างกาย

“สมกับเป็นประมุขเผ่าหมัวเฮอ จัดการยากซะจริง…”

มู่เฉินพึมพำขณะมองไปด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

การโจมตีก่อนหน้านี้บรรจุพลังทั้งหมดของเขา แต่เขารู้สึกได้ว่าหมัวเฮอเทียนสามารถต้านทานไว้ได้

ลำแสงสายหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนเห็นลูกทรงกลมสีดำขาวลอยคว้าง

ลูกทรงกลมนี้เต็มไปด้วยรอยแตกร้าวราวกับว่ากำลังจะทลายลง ทว่าก็ไม่ได้แตกเป็นเสี่ยงๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการป้องกันที่น่ากลัว

แกร็ก

เมื่อรอยแตกกระจายไปทั่วบนพื้นผิวลูกทรงกลมก็ค่อยๆ สลายไป ภาพเงาของหมัวเฮอเทียนปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคนอีกครั้ง

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนท้องฟ้าไม่ได้รับบาดเจ็บใด ไม่แม้แต่เสื้อผ้าจะเสียหาย แต่ว่ากลับมีแสงน่าขนพองสยองเกล้าวูบวาบในดวงตา

เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีของมู่เฉิน ขนาดตัวเขายังถูกบังคับให้ต้องใช้การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

ตัวเขาเป็นใคร? เขาเป็นประมุขเผ่าหมัวเฮอที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของมหาพันภพ ครึ่งปีก่อนมู่เฉินไม่ได้อยู่ในสายตาเขาเลย เพราะไม่ว่าอีกฝ่ายจะโดดเด่นแค่ไหนก็เป็นเพียงมดปลวกในสายตา

เพราะเขาสามารถบดขยี้ได้อย่างง่ายดาย

แต่หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งปี มดตัวนั้นกลับบังคับให้เขาต้องใช้วิชาป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุด

นี่เป็นความอัปยศสำหรับหมัวเฮอเทียน

ทว่าสติบอกว่าเขาจะต้องทนทุกข์ทรมานแน่หากยังคิดประเมินมู่เฉินต่ำต่อไป…

ฮา

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึกระงับความโกรธที่สะท้อนอยู่ในดวงตา ความดูถูกก็ถูกเก็บลงไปหมด ใบหน้ากลับสู่ความเย็นชาอีกครั้ง

ทว่ามู่เฉินรู้สึกได้ว่าหมัวเฮอเทียนได้หมุนเวียนคลื่นหลิงในร่างกายอย่างสมบูรณ์แบบและไม่สนใจอารมณ์อื่นใด อีกฝ่ายเข้าสู่สภาวะพร้อมรบแล้ว

นั่นหมายความว่าตอนนี้หมัวเฮอเทียนปฏิบัติกับเขาเท่าเทียมกันแล้ว

“ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึงสามารถต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคีในตอนนั้นได้…” เมื่อรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ดวงตาของมู่เฉินก็สั่นระริก ชื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนไม่ใช่เรื่องโม้ ในช่วงเวลาสั้นๆ เขาสามารถมองเห็นสถานการณ์ได้ชัดเจนและเข้าสู่สภาพพร้อมรบ แสดงให้เห็นว่าจิตใจของเขาทั้งมั่นคงและไม่สั่นคลอน

“มู่เฉิน เจ้ามาถึงระดับนี้ได้ด้วยอายุเพียงนี้ พรสวรรค์และจิตใจที่ตั้งมั่นเหนือล้ำไปกว่าทุกคน ถ้าให้เวลาอีกสักหน่อย เจ้าอาจมีตำแหน่งในจุดสูงสุดของมหาพันภพ”

“แต่นั่นจะไม่ใช่วันนี้ เผ่าหมัวเฮอของข้าพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเราไม่อนุญาตให้ใครมาทำให้แปดเปื้อนได้!”

ม่านตาของหมัวเฮอเทียนหมุนเวียนด้วยสีดำและสีขาว ขณะที่เสียงไม่แยแสดังก้องออกมาพร้อมกันนั้นคลื่นหลิงทรงพลังก็รวมตัวกัน ก่อตัวเป็นมหาสมุทรเชี่ยวกรากที่ข้างหลัง

มหาสมุทรกลิ้งตัวไปมา ผืนฟ้าและผืนดินสั่นสะเทือน

หมัวเฮอเทียนคำราม กลืนกินมหาสมุทรคลื่นหลิง จากนั้นทุกคนก็เห็นร่างกายเขาเปลี่ยนเป็นผลึกบริสุทธิ์ ทว่าแบ่งเป็นสีดำและสีขาว ดูอัศจรรย์ใจยิ่งนัก

แรงกดดันที่น่ากลัวเอิบอาบไปทั่วร่าง ทำให้มิติสั่นสะเทือนจากแรงกดดันนี้

“กายาหลิงเซิ่ง…”

เมื่อมองไปที่ฉากนี้ท่าทางของมู่เฉินก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด จากระดับหนึ่งกายาหลิงเซิ่งก็เป็นพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพนัก ทว่าก็ยังด้อยกว่ากายานิรันดร์ของเขาเนื่องจากไม่ใช่พลังกายที่บริสุทธิ์ นี่เป็นการหลอมรวมระหว่างคลื่นหลิงกับพลังกายเพื่อนำการเปลี่ยนแปลงชั่วคราวมาสู่ร่างกาย

แม้ว่ากายาหลิงเซิ่งจะด้อยกว่ากายานิรันดร์ แต่เมื่อบวกกับขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางของหมัวเฮอเทียนก็ยังคงน่ากลัวจนอธิบายไม่ได้

ปัง!

หมัวเฮอเทียนทะยานเข้ามา มิติถูกฉีกออก เขามาปรากฏตัวเบื้องหน้ามู่เฉิน หมัดกวาดซัดผ่านขอบฟ้าพุ่งเข้าใส่มู่เฉิน

เมื่อมองฉากนี้ ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบก่อนที่จะยกแขนขึ้นกันเป็นรูปกากบาทพร้อมกับรัศมีสีทองที่ไหลเวียน

ตึง!

เสียงอื้ออึงจากการปะทะกันดังขึ้นพร้อมกับคลื่นกระแทกใหญ่ ร่างมู่เฉินสั่นสะท้านแล้วปลิวออกไปหมื่นจั้ง

วาบ!

ก่อนที่มู่เฉินจะทรงตัวได้ ภาพเงาของหมัวเฮอเทียนก็ปรากฏขึ้นและเริ่มโจมตี

ตึง ตึง ตึง!

ในเวลาสิบกว่าลมหายใจ มู่เฉินและหมัวเฮอเทียนก็ปะทะกันหลายร้อยกระบวนท่า นอกจากนี้มู่เฉินดูเหมือนจะถูกปราบ เนื่องจากหมัวเฮอเทียนนำพลังระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางออกมาใช้อย่างเต็มที่

“ขุมพลังหลิงของมู่เฉินอ่อนแอเกินไป แม้ว่าพลังกายจะทรงศักยภาพ แต่เขาก็ไม่มีสามารถเทียบได้กับหมัวเฮอเทียน” ฝูถูเฉวียนแสดงความคิดเห็นขณะที่มองการต่อสู้

เมื่อเฉวียนกวางและมั่วถงได้ยินคำพูดเหล่านั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ‘ขนาดนี้ยังไม่พอใจอีกหรือ? ครึ่งปีก่อนมู่เฉินไม่สามารถประลองกับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้เขาสามารถต่อสู้กับหมัวเฮอเทียนถึงระดับนี้ ท่านผู้เฒ่ายังต้องการอะไรอีก?’

ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มหวาน “ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว เฉินเอ๋ออาจจะถูกปราบปรามโดยหมัวเฮอเทียน แต่อย่าลืมทักษะเทพที่เฉินเอ๋อเชี่ยวชาญ…”

ฝูถูเฉวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนที่จะหดดวงตา เนื่องจากเขาเห็นมู่เฉินหยุดลงฉับพลัน ก่อนที่ลำแสงสีดำและสีขาวจะพุ่งออกมาจากร่างกลายเป็นอีกสองร่างยืนเคียงกัน

วิชาสามพิสุทธิ์!

ตอนนี้มู่เฉินทั้งสามยืนอยู่บนท้องฟ้า นอกเหนือจากร่างหลักแล้ว ร่างรองทั้งสองก็ยังเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง เห็นได้ชัดว่ามีกายาเซิ่งด้วยเช่นกัน

นี่คือจุดทรงพลังของวิชาสามพิสุทธิ์ ไม่ว่าร่างหลักจะครอบครองสิ่งใดก็จะส่งต่อให้ร่างรองเสมอ

ชี่!

เสียงแหลมบาดแก้วหูมาถึงที่เบื้องหน้า หมัวเฮอเทียนก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับรัศมีสีดำขาวจากกำปั้นไหลเวียนประหนึ่งกระแสน้ำวน

แต่คราวนี้มู่เฉินไม่ได้ถอยเมื่อเผชิญหน้ากับหมัวเฮอเทียน เขาแผดสียงคำราม ร่างทั้งสามก็ชกหมัดออกไป หมัดและฝ่ามือปะทะกัน

ตึง!

คลื่นกระแทกพัดออกมา แต่ทุกคนต่างตกตะลึงในครั้งนี้ เพราะมู่เฉินไม่ได้ถอยออกไปแม้แต่ครึ่งก้าว…

ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนเคร่งขรึม แต่ก็ยังปล่อยการโจมตีและภาพมายาออกมาไม่หยุด

มู่เฉินทั้งสามนำกายาเซิ่งเร้าไปถึงจุดสุดยอด เผชิญหน้ากับการโจมตีเหล่านั้น

ทั้งโลกพลิกผันจากการปะทะยกนี้

ไม่กี่นาทีต่อมาหมัวเฮอเทียนก็ถอยออกไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นั่นเป็นเพราะเมื่อมู่เฉินใช้วิชาสามพิสุทธิ์ก็สามารถสู้กับเขาโดยไม่เสียเปรียบแล้ว

เผชิญหน้ากับมู่เฉินแบบนี้ แม้แต่กายาหลิงเซิ่งของเขาก็ไม่สามารถได้เปรียบ

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึกๆ มือประสานเข้าด้วยกันพร้อมกับคลื่นหลิงไร้ขอบเขตระเบิดออกมา ในเวลาเดียวกันยักษ์สีดำขาวก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นข้างหลังเขา

สายตานับไม่ถ้วนมองไปที่ร่างมหึมาด้วยความตกใจพร้อมกับเสียงอุทานตามมาอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือ… อันดับแปดในทำเนียบคัมภีร์ร่างเทห์สวรรค์เก้าสิบเก้าร่าง… ร่างเทพมหันต์!”

“หมัวเฮอเทียนถูกบังคับมาถึงจุดนี้แล้วเชียว…”

เสียงหัวเราะของมู่เฉินดังก้องไปทั่วท้องฟ้า

ทำเอาทุกคนตกตะลึงพรึงเพริดไปหมด เห็นได้ชัดไม่มีใครคิดว่ามู่เฉินจะกล้าท้าทายหมัวเฮอเทียน…

ต้องรู้ว่าครั้งหนึ่งเขาเป็นจอมยุทธ์ที่สามารถต่อกรกับเทพจักรพรรดิอัคคีได้!

แม้แต่ในมหาพันภพชื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนก็ยิ่งใหญ่มาก

“มู่เฉินไร้ความกลัวอย่างแท้จริง หมัวเฮอเทียนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลางของแท้ มีไม่กี่คนในมหาพันภพที่อยู่เหนือกว่าเขา”

“ใช่ แม้ว่ามู่เฉินจะครอบครองกายาเซิ่ง แต่เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหมัวเฮอเทียน”

“สุดท้ายเขาก็เป็นชายหนุ่มจอมหยิ่งผยองที่อยากอวดต่อหน้าสาวงาม…”

“…”

เสียงสนทนาดังก้อง แต่ไม่มีใครมองในแง่ดีเกี่ยวกับมู่เฉินเลย เนื่องจากชื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนยิ่งใหญ่เกินไป

“เฮ้ เจ้าหนุ่มคนรักของเจ้าหยิ่งยโสนัก” ไท่หมิงส่งสายตาอัศจรรย์ใจไปที่มู่เฉินก่อนจะยิ้มให้ลั่วหลี

เผชิญหน้ากับหมัวเฮอเทียน ต่อให้เป็นเขาก็ไม่มั่นใจว่าจะชนะ แต่มู่เฉินกลับกล้าท้าทาย คิดบวกก็เป็นเรื่องของความกล้าหาญ แต่ถ้าคิดลบชายหนุ่มคนนี้เป็นจอมยโสโอหัง

ได้เห็นอาการเยาะเย้ยของไท่หมิง ลั่วหลีก็ยิ้มเรียบไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร นางเข้าใจมู่เฉินดี แม้หมัวเฮอเทียนจะแข็งแกร่ง แต่มู่เฉินก็ไม่ใช่คนที่ประมาท ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้วก็ต้องมีความมั่นใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เฉิน หมัวเฮอทียนก็หัวเราะก่อนจะตอบว่า “ฮ่าๆ ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่ข้าหมัวเฮอเทียนถูกมองต่ำ…”

ฐานะของเขาคืออะไร? แต่ตอนนี้เขากลับถูกท้าทายโดยไอ้เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไปละก็ จะเป็นเรื่องตลกแค่ไหน

มู่เฉินยกยิ้ม “เจ้าไม่กล้าเหรอ?”

สถานการณ์นี้ซับซ้อนและหากเกิดสงครามขึ้นก็จะเป็นการทำลายล้างโลก ผลที่ตามมาก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจจินตนาการได้ เขาไม่อยากลากเผ่าฝูถูและเผ่าไท่หลิงเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

ดังนั้นเขาจึงต้องลงมือเอง ตราบใดที่เขายับยั้งหมัวเฮอเทียนได้สถานการณ์นี้ก็จะคลี่คลายลง

หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตามืดมน เขารู้ว่ามู่เฉินกำลังคิดอะไรอยู่ ทว่าเขาก็เห็นด้วยในเรื่องนี้ หากสี่เผ่าโบราณต่อสู้กันเอง แม้แต่เผ่าหมัวเฮอก็ต้องจ่ายราคาแพงระยับ

ดังนั้นนี่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าหากเขาสามารถจัดการกับมู่เฉินได้เอง

หมัวเฮอเทียนลอยตัวขึ้นไปบนท้องฟ้ายืนอยู่ในระดับเดียวกับมู่เฉิน เขาเอามือไพล่ไปด้านหลังพูดอย่างไม่แยแสว่า “ในเมื่อเจ้าชอบความอัปยศอดสูนัด ก็ไม่มีเหตุผลที่ข้าจะไม่มอบความปรารถนาให้”

ตู้ม!

เมื่อน้ำเสียงสะท้อนก้อง เสียงฟ้าคำรนเชี่ยวกรากก็กวาดออกพร้อมกับแรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้ ทำให้สวรรค์และโลกสั่นสะเทือน

“งั้นวันนี้ข้าขอคำชี้นำจากเผ่าหมัวเฮอด้วย!”

ดวงตาของมู่เฉินลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้ เขาประสานมือเข้าด้วยกัน รัศมีกำจายออกมาจากร่างกายซึ่งดูราวกับว่าถูกหลอมมาจากทองคำพร้อมกับเอิบอาบด้วยรัศมีอมตะ

แกร็ก

ตรงบริเวณของมู่เฉิน เสียงแตกดังมาจากในห้วงมิติ ความกดดันแผ่ซ่านออกมาจากร่างกายน่ากลัวยิ่งนัก

ทั้งสองคนยืนประจันหน้ากัน คนหนึ่งเป็นจอมยุทธ์ที่เคยต่อสู้กับเทพจักรพรรดิอัคคี ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่มีกายาเซิ่ง การดวลกันครั้งนี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นศึกสุดยอดแค่ไหน

สายตาของมู่เฉินจับจ้องไปที่หมัวเฮอเทียน อึดใจต่อมาเขาก็พุ่งออกไปในพริบตา

ตู้ม!

เมื่อมู่เฉินเคลื่อนไหว มิติเบื้องหน้าก็ระเบิดด้วยความเร็วเหนือแสง ทำให้เกิดเป็นพื้นที่สุญญากาศ…

พริบตาเขาก็ปรากฏเบื้องหน้าหมัวเฮอเทียน ร่างที่ปกคลุมไปด้วยรัศมีนิรันดร์ กำหมัดแน่นพลางเหวี่ยงออกไป

นี่เป็นหมัดธรรมดาที่ไม่มีทักษะใดอยู่เบื้องหลัง แต่ด้วยความแข็งแกร่งของกายาเซิ่งก็มีพลังเพียงพอที่จะทำลายสวรรค์และโลก ภายใต้การชกนี้แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็จะถูกสังหารได้

“กายาเซิ่งน่ากลัวจริงๆ”

พลังน่าสะพรึงกลัวเบื้องหน้าทำให้ดวงตาของหมัวเฮอเทียนกะพริบ อุทานชื่นชมก่อนจะโบกมือ

ฟิ้ว!

ลำแสงสีดำและสีขาวก่อตัวเป็นมังกรสองตัวเกี่ยวพันกันส่งเสียงคำรามก้องขณะปะทะกับหมัดของมู่เฉิน

ตึง!

เมื่อพลังสองสายปะทะกัน พื้นดินก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่น มิติพังทลายลงจากจุดปะทะก่อนที่คลื่นกระแทกขนาดหลายหมื่นจั้งจะขยายออกไปอย่างรวดเร็ว…

พลังกายที่ไม่อาจบรรยายได้ระเบิดออก ลำแสงสีดำและสีขาวก็รับไม่ไหวจนแตกเป็นเสี่ยงๆ และสลายกลายเป็นจุดแสงขาวดำ

ชี่!

ทว่าลำแสงสีดำและสีขาวก็รวมตัวกันใหม่อย่างรวดเร็วและได้รับการขัดเกลามากยิ่งขึ้น จากนั้นก็ปลดปล่อยการโจมตีที่น่ากลัวและรุนแรงอีกครั้ง

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ช่วงลมหายใจสั้นๆ ลำแสงสีดำและสีขาวก็ปะทะกับหมัดทองคำของมู่เฉินหลายร้อยกระบวนท่า ทุกครั้งที่ปะทะกันจะแผ่ซ่านคลื่นกระแทกที่น่ากลัว ก่อนที่หมัดของมู่เฉินจะค่อยๆ จางลง จากนั้นลำแสงสีดำและสีขาวก็ทะลุแนวป้องกันซัดลงบนหน้าอกของเขา

ปัง!

มู่เฉินกระเด็นออกไปราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ ทำลายบ้านเรือนนับไม่ถ้วนในเมือง …

ร่างหนึ่งพุ่งขึ้นบนท้องฟ้าจากซากบ้านเรือน มู่เฉินปัดฝุ่นบนร่างกาย หน้าอกของเขาปริแตกเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ท่าทางของเขาก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แสงสีทองไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กาย ทุกคนต่างตกใจเมื่อเห็นหน้าอกของมู่เฉินฟื้นคืนกลับมาอย่างรวดเร็ว

“นั่นคือพลังของกายาเซิ่งรึ? น่ากลัวมาก แม้ว่าจะรับการโจมตีจากจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแต่ก็ไม่มีการบาดเจ็บใดๆ” ผู้คนนับไม่ถ้วนเบ้ปาก การโจมตีของหมัวเฮอเทียนไม่ใช่เรื่องดีแม้แต่กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้น ทว่ามู่เฉินสามารถต้านทานไว้ได้ มิหนำซ้ำยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา แสดงให้เห็นถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของกายาเซิ่งนี้

หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้วและรู้สึกหนักใจเกี่ยวกับพลังกายนี้

“สมกับเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะกลาง…”

มู่เฉินแตะหน้าอกพลางถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่กายาเซิ่งนี้ การโจมตีกระบวนท่าเดียวก็ทำให้เขากลายเป็นขี้เถ้าได้

ดูเหมือนว่าเขาต้องเต็มที่ในการเผชิญหน้ากับหมัวเฮอเทียนแล้ว

มู่เฉินหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเปล่งประกาย อึดใจคลื่นหลิงไร้ขอบเขตก็ปะทุออกมาจากร่างกาย

เสาพลังงานหลิงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่จะแตะระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง

“ระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะกลาง?!”

หมัวเฮอโยวใบหน้าบิดเบี้ยวหลังจากสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นหลิงที่มาจากร่างกายของมู่เฉิน ต้องจำได้ว่าตอนที่เขาต่อสู้กับมู่เฉินในเจดีย์วั้นกู่ อีกฝ่ายเพิ่งจะบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นหลิงระยะปลาย แต่ในเวลาเพียงครึ่งปีไอ้เจ้านี่ก็บรรลุขั้นเซียนระยะกลางแล้ว?!

ทุกคนต่างอุทานด้วยความอิจฉาพล่านในดวงตา นั่นเพราะรู้สึกอิจฉาโอกาสของมู่เฉินในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เขาได้ฝึกฝนกายาเซิ่งเท่านั้น แต่ยังได้รับการครอบครองร่างมหาเทพนิรันดร์ มิหนำซ้ำขุมพลังหลิงก็บรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซียนอีกด้วย

คลื่นหลิงไร้ขอบเขตพลุ่งพล่านในร่างกาย การหลอมรวมเข้าด้วยกันของคลื่นหลิงและร่างกายทำให้เกิดพลังที่น่ากลัวยิ่งขึ้น เมื่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่งนั้น มู่เฉินก็แสดงสีหน้าพึงพอใจ

ห้าปีในสมาธิไม่เพียงแต่เขาได้รับกายาเซิ่งเท่านั้น แต่คลื่นหลิงยังเพิ่มขึ้นด้วย

“ลองรับกระบวนท่าของข้าบ้าง!”

พลังทำลายล้างที่ไหลเวียนไปทั่วแทบจะทำให้ร่างระเบิด ม่านตาสีทองของมู่เฉินเลื่อนไปมองหมัวเฮอเทียน จากนั้นก็แสยะยิ้ม

มู่เฉินยกมือขึ้นช้าๆ รัศมีนิรันดร์ไหลเวียนผ่านฝ่ามือพร้อมกับลวดลายโบราณแผ่กระจายออก ก่อนที่เขาจะตบลงเบาๆ ไปทางหมัวเฮอเทียน

ตู้ม!

ทั้งเมืองสั่นสะเทือนรุนแรง หมัวเฮอเทียนเงยหน้าขึ้นก็เห็นฝ่ามือสีทองพุ่งลงมาจากสวรรค์ ทอดเงาขนาดใหญ่เมื่อเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว

ไม่รอให้มือกดลงมา เมืองวั้นกู่ก็พังทลายไปแล้วชั้นหนึ่ง

ฝ่ามือนี้ถูกสร้างขึ้นด้วยพลังจากการหลอมรวมของพลังกายและพลังหลิงของมู่เฉิน พลังนั้นทำลายล้างได้ แม้แต่คนอย่างหมัวเฮอเทียนก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียด

ฝ่ามือสีทองพุ่งลงมากระแทกใส่หมัวเฮอเทียน ขณะเดียวกันเสียงต่ำก็สะท้อนในใจมู่เฉิน

“นี่คือ…หัตถ์สวรรค์อมตะ”

ตู้ม!

ฝ่ามือสีทองเคลื่อนลงมาในลักษณะที่กดขี่ สุดท้ายก็กระแทกลงบนก้อนเมฆสีดำขาวภายใต้สายตาตกใจหวาดผวาของทุกคน

เมื่อลำแสงโบราณเคลื่อนลงมา

คลื่นหลิงทรงพลังก็กวาดออก ทำให้ทุกคนที่อยู่นอกเมืองต้องตกตะลึง

“…เผ่าไท่หลิงก็มาที่นี่ด้วยเรอะ!”

“จุ๊ๆ สี่เผ่าโบราณ ปรากฏการณ์นี้หาได้ยากอย่างแท้จริง…”

“ความสัมพันธ์ของมู่เฉินน่ากลัวมาก ไม่เพียงแต่เทพจักรพรรดิอัคคีและเทพจักรพรรดิสงครามเท่านั้น แต่เขายังมีความสัมพันธ์กับเผ่าไท่หลิงด้วย…”

“ใช่เลย ดีที่ช่วงนี้เกิดสถานการณ์ตึงเครียดทำให้เทพจอมยุทธ์ทั้งสองไม่สามารถออกจากดินแดนของตนได้ มิฉะนั้นเผ่าหมัวเฮอคงตกที่นั่งลำบากในตอนนี้แน่”

“…”

เมื่อได้ยินบทสนทนา สีหน้าของผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอก็เขียวคล้ำ แม้แต่ดวงตาของหมัวเฮอเทียนยังจมลงเนื่องจากการปรากฏตัวของเผ่าไท่หลิงทำลายแผนการของเขาลงทั้งหมด

ทว่านี่ก็ทำเอาเขารู้สึกงุนงง เผ่าไท่หลิงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเผ่าฝูถู ทำไมพวกเขาจึงยอมเสี่ยงเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้

“ท่านผู้อาวุโสใหญ่ไท่หมิงนี่เอง ขออภัยที่ไม่ได้ต้อนรับ” ถึงอย่างไรหมัวเฮอเทียนก็สมกับเป็นประมุข ดังนั้นในเขาจึงหายจากอาการตื่นตะลึงอย่างรวดเร็ว

เมื่อเสาแสงสลายไป ร่างเงาสองร่างก็ปรากฏขึ้นในครรลองสายตาของทุกคน

หนึ่งในนั้นเป็นชายชราแต่กลับมีผิวเรียบเนียนราวกับเด็กทารกพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตรประดับอยู่บนริมฝีปาก ม่านตาเต็มไปด้วยภูมิปัญญาและความลึกลับ

หมัวเฮอเทียนค่อนข้างคุ้นเคยกับชายชราคนนี้ดี เขาเป็นผู้อาวุโสใหญ่ของเผ่าไท่หลิง—ผู้อาวุโสไท่หมิง

ทุกคนพากันจ้องมองไปที่ไท่หมิงชั่วครู่ ก่อนที่คนด้านข้างจะดึงดูดสายตาของพวกเขาไป

นางมีผมสีเงินยวงยาวสลวยอยู่ในชุดสีดำปักลวดลายดวงดาว แสงสีม่วงกำจายออกมาจากช่วงปลายของเสื้อ

รูปลักษณ์นางช่างโดดเด่นพร้อมกับผิวเปล่งประกายด้วยความกระจ่างใส ริมฝีปากบางยกขึ้นเล็กน้อยดูขี้เล่น สิ่งที่ดึงดูดพวกเขามากที่สุดคือม่านตาทั้งคู่ที่ราวกับผลึกแก้วใส บริสุทธิ์ราวกับว่าสามารถมองทะลุความคิดของผู้อื่นได้ เมื่อทุกคนมองเข้าไปในนัยน์ตานั้นต่างก็รู้สึกมึนเมา

ลำคอเรียวระหงงดงาม ถัดลงมาส่วนโค้งเว้าก็ดูสะดุดตาอย่างยิ่ง ช่างเป็นสัดส่วนราวกับสวรรค์สร้าง…

นี่คือหญิงสาวที่มีจิตวิญญาณรายรอบตัว

นี่เป็นประโยคที่ปรากฏในหัวทุกคนเมื่อมองไปที่หญิงสาวคนนั้น ดวงตาอัดแน่นด้วยความตกใจในความงดงาม

“ฮ่าๆ เจ้ามากมารยาทจริง อย่าตำหนิที่ข้ามาโดยไม่แจ้งล่วงหน้า” ไท่หมิงยิ้มตาหยี

หมัวเฮอเทียนหายใจเข้าลึกถามว่า “ข้าว่าเผ่าของเราไม่ได้มีเรื่องบาดหมางใช่หรือไม่? ทำไมท่านถึงเข้ามายุ่งเรื่องครั้งนี้”

เผชิญหน้ากับคำถามของหมัวเฮอเทียน ไท่หมิงก็ถอนหายใจอย่างหดหู่ เขาชี้ไปที่หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ “อย่าโทษเรื่องนั้นเลย สาวน้อยคนนี้กระวนกระวายใจที่จะช่วยเหลือคนรักของนาง ดังนั้นข้าเลยถูกบีบบังคับให้ต้องปรากฏตัว…”

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาหันไปมองหญิงสาว “ไม่ทราบว่าเจ้าคือใคร?”

“ข้าชื่อลั่วหลี ต้องขอบคุณเหล่าผู้อาวุโสเผ่าไท่หลิงที่ให้ความสำคัญกับข้า ตอนนี้ข้าเป็นธิดาเทพของเผ่าเจ้าค่ะ” ลั่วหลีที่ยืนอยู่ข้างไท่หมิงยิ้ม เผชิญหน้ากับคำพูดของหมัวเฮอเทียน เสียงของนางเบาหวิวแต่ไม่มีนัยของการยอมจำนน นี่ทำให้จอมยุทธ์หลายคนดวงตาลุกโชนชื่นชมเลยทีเดียว

“ธิดาเทพเผ่าไท่หลิง?” หมัวเฮอเทียนขมวดคิ้วเข้าหากัน เผ่าไท่หลิงไม่มีประมุข มีเพียงธิดาเทพและใครก็ตามที่ดำรงตำแหน่งนี้จะเทียบเท่ากับจักรพรรดินีเผ่าไท่หลิงซึ่งมีอำนาจสูงสุด

ทว่าเผ่าไท่หลิงมีขั้นตอนที่เข้มงวดในการคัดเลือก ตำแหน่งนี้จึงว่างเปล่ามานาน แต่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งธิดาเทพรึ?

“ในเมื่อเจ้าเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิง เจ้าก็ควรมองว่าเผ่าไท่หลิงสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด หากเจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ อาจนำปัญหาไปสู่เผ่าไท่หลิงนะ” หมัวเฮอเทียนเทียนพูดด้วยน้ำเสียงคุกคาม

แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคำพูดนี้ ลั่วหลีก็ยิ้มด้วยความรักใคร่และความเสน่หาในดวงตา ขณะที่เลื่อนไปมองชายคนรัก “ข้าเป็นธิดาเทพก็เพื่อเขา… ถ้าข้าช่วยเขาไม่ได้แล้วข้าจะเป็นธิดาเทพไปทำไมล่ะ?”

คำพูดของนางทำให้เกิดเสียงทอดถอนหายใจนับไม่ถ้วนทันที จากนั้นทุกสายตาก็มองไปที่มู่เฉินด้วยความอาฆาตมาดร้าย

ชายคนนั้นไม่เพียงแต่แช่ในความสุขของโอกาสเท่านั้น เขายังมีหญิงคนรักที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ข้างกาย เพื่อเขานางสามารถเผชิญหน้ากับหมัวเฮอเทียนได้ไม่หวั่นเกรง โชคดีจนน่าอิจฉาเสียจริง

“ลั่วหลีน้อย เจ้าช่างไม่สนใจหัวใจที่เปราะบางของชายชราคนนี้สักนิดเลย…” ไท่หมิงบ่นกระปอดกระแปด

เมื่อลั่วหลีได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางก็รู้สึกเขินอายไปบ้างตอบว่า “ท่านรู้เรื่องนี้ไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ ผู้อาวุโสใหญ่?”

ไท่หมิงถอนหายใจก่อนจะมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่มีความสุข ถ้าไม่ใช่เพราะชายหนุ่มคนนั้น ลั่วหลีจะได้เป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงอย่างเต็มรูปแบบแล้ว

“ความสัมพันธ์ของธิดาเทพเผ่าไท่หลิงกับมู่เฉินคืออะไร?” ฝูถูเฉวียนก็ตกใจกับคำพูดเหล่านั้น

เมื่อมองไปที่ลั่วหลีดวงตาของชิงเหยี่ยนจิ้งก็เต็มไปด้วยความพึงพอใจ นางเคยพบกับลั่วหลีในทวีปเป่ยชาง ดังนั้นความประทับใจของนางที่มีต่อลั่วหลีจึงลึกซึ้งมาก เพราะเด็กสาวคนนี้มีความสามารถโดดเด่นและนิสัยมั่นคง

“ลูกสะใภ้ข้าน่ะ” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มขณะมองไปที่ฝูถูเฉวียนด้วยความภาคภูมิใจ

บุตรชายของนางมีความสามารถ ไม่เพียงแต่เขาจะเฟ้นหาว่าที่ฮูหยินที่งดงามเช่นนี้ แต่ยังเป็นธิดาเทพเผ่าไท่หลิงอีกด้วย

ฝูถูเฉวียนอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจ “ไอ้หนูนั่นมีความสามารถแท้จริง คว้าได้กระทั่งธิดาเทพของเผ่าไท่หลิง”

เผชิญหน้ากับเสียงเหล่านั้น ใบหน้าหมัวเฮอเทียนก็ดิ่งลงขณะมองไปที่ลั่วหลีและไท่หมิง “ดูเหมือนพวกเจ้ายืนกรานจะแทรกแซงให้ได้นะ แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอีกคนก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้หรอก”

มีเพียงไท่หมิงเท่านั้นที่เป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้ว่าขุมพลังของลั่วหลีจะเพิ่มสูงขึ้นและบรรลุระดับเทียนจื้อจุนแล้ว แต่ก็เป็นอยู่ในขั้นหลิงเท่านั้น

ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ไท่หมิงก็ยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “เจ้ากำลังประเมินธิดาเทพเผ่าไท่หลิงของข้าต่ำเกินไป”

ลั่วหลีกะพริบตาจากนั้นก็วาดตราประทับ

ฮึ่ม!

รัศมีโบราณพวยพุ่งขึ้นจากกระหม่อมของลั่วหลี ทุกคนต้องตกใจเมื่อเห็นแผนภาพโบราณแผ่ออกมาเหนือร่างนาง

แผนภาพโบราณดูเก่าแก่มาก แต่กลับปล่อยความผันผวนคลื่นหลิงรุนแรง เหมือนจะมีร่างเงาแสงปรากฏอยู่เลือนรางด้วย

ความกดดันที่กำจายออกมาเทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

เมื่อมองไปที่แผนภาพนั่น ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนก็ยิ่งไม่น่าดู มากจนแม้แต่ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนยังฉายความตกตะลึงในแววตา

“นั่นคือ…ยอดสมบัติของเผ่าไท่หลิง—แผนภาพวิญญาณโบราณ?!”

เสียงอุทานเปล่งลั่นพร้อมกับหัวใจที่ตกใจไม่แพ้กัน

ก่อนที่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทุกคนของเผ่าไท่หลิงจะละสังขาร พวกเขาจะผนึกคลื่นหลิงลงในแผนภาพ ทำให้มันมีพลังที่น่าสะพรึงกลัว

พูดได้เต็มปากเลยว่าเพียงแค่พลังของแผนภาพนี้อย่างเดียวก็เทียบได้กับระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว

ข้อเสียอย่างเดียวก็คือเผ่าไท่หลิงมีข้อกำหนดที่เข้มงวดสำหรับการเลือกเจ้าของ หลายปีที่ผ่านมามีไม่เกินสามคนเท่านั้นที่ครอบครองมันได้

ก็เป็นเพราะเช่นนั้น พวกเขาจึงตกใจมากที่เห็นลั่วหลีสามารถควบคุมได้

ยามนี้ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าทำไมไท่หมิงถึงให้ความสำคัญกับลั่วหลีมากขนาดนี้… การบัญชาแผนภาพวิญญาณโบราณได้ ต่อให้นางมีขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นหลิงเท่านั้น แต่กระทั่งพวกขั้นเซิ่งก็ไม่สามารถทำอะไรนางได้

เมื่อมองไปที่ลั่วหลี มู่เฉินก็ทั้งสุขใจและปวดใจ เพราะเขารู้ว่านางต้องเผชิญกับความยากลำบากมากมายเพียงใดกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้

เมื่อรู้สึกถึงการจ้องมองของมู่เฉิน ลั่วหลีก็เอี้ยวหน้ามองกะพริบตาอย่างขี้เล่น เหมือนกับจะบอกว่านางกำลังไล่ตามเขาทันแล้วนะ…

เมื่อมองไปที่รอยยิ้มของหญิงสาวคนรัก มู่เฉินก็อดยิ้มไม่ได้ เขารู้สึกถึงความกล้าหาญที่เพิ่มพูนในอก จึงมองไปที่หมัวเฮอเทียนด้วยสายตาเฉียบคม อึดใจเสียงของเขาที่อัดแน่นด้วยเจตนาต่อสู้ก็ดังก้อง

“หมัวเฮอเทียน ถ้าอยากได้ร่างมหาเทพนิรันดร์ก็แสดงฝีมือออกมาเอง วันนี้ข้ามู่เฉินขอเห็นความน่าเกรงขามของประมุขเผ่าหมัวเฮอหน่อยจะเป็นไร!”

เสียงหัวเราะของเขาดังก้อง ทำให้ทุกคนตกตะลึง

‘นี่มู่เฉินกำลังท้าทายหมัวเฮอเทียนเรอะ!’

“กายาเซิ่ง?!”

เสียงจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสะท้อนก้องก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนระหว่างฟ้าดิน ทุกคนถึงกับผงะไป พวกเขารู้สึกตกตะลึงเมื่อมองไปที่ร่างสูงโปร่งนั่น

ในมหาพันภพ จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งเทียบเท่ากับจักรพรรดิที่สามารถมองข้ามสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนได้

ทว่าแม้จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะหายาก แต่ทุกคนก็รู้ว่ากายาเซิ่งนั้นหายากกว่า!

เพราะเส้นทางการฝึกฝนพลังกายนั้นยากลำบากมาก ต้องมีโอกาสmujน่าขนลุกในการฝึกฝนให้ถึงขั้นเซิ่ง ในมหาพันภพผู้ที่มีกายาเซิ่งสามารถนับได้ในมือเดียว

อย่างน้อยตอนนี้ในบรรดาจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งห้าคนที่อยู่ที่นี่ แม้แต่หมัวเฮอเทียนก็ไม่มีกายาเซิ่ง

เป็นเพราะความหายาก ทุกคนจึงตกตะลึงด้วยความไม่เชื่อเมื่อเห็นว่ามู่เฉินทำสำเร็จ

“ขะ…เขามีกายาเซิ่งด้วย?”

เฉวียนกวางและมั่วถงฉายความตะลึงใจบนใบหน้าพร้อมกับปากอ้าค้าง ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา เพราะนี่เป็นสิ่งที่พวกเขาได้แต่ฝันถึงเท่านั้น!

ยามนี้พวกเขาดับความคิดที่สับสนในใจลงหมดสิ้น การที่มู่เฉินได้ครอบครองกายาเซิ่งนั่นก็หมายความว่าเขามีคุณสมบัติพอที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาล้ำหน้าพวกเขาสองคนไปไกลแล้ว

ตอนนี้มู่เฉินมีคุณสมบัติอย่างยิ่งในการดำรงตำแหน่งประขุมเผ่าฝูถู

เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกซับซ้อนในใจ เพราะครั้งก่อนที่ปะทะกันมู่เฉินต้องใช้ค่ายกลในการถล่มพวกเขา แต่ตอนนี้พวกเขาไม่สามารถฝ่าแนวป้องกันของมู่เฉินได้ ต่อให้อีกฝ่ายจะยืนนิ่งอยู่ที่นั่นและปล่อยให้พวกเขาโจมตี

ที่สุดแล้วกายาเซิ่งไม่ใช่เรื่องตลกเลย

“ไม่เลว ไม่เลว…”

ฝูถูเฉวียนลูบเคราเบาๆ แม้แต่คนหัวรั้นอย่างเขายังอดยิ้มไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาตกใจกับความเป็นจริงที่เบื้องหน้าเช่นกัน

“ดูเหมือนเฉินเอ๋อจะได้รับการฝึกฝนกายาเซิ่งโดยใช้โอกาสที่ร่างมหาเทพนิรันดร์มอบให้” ชิงเหยี่ยนจิ้งยิ้มเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

“ความคิดของเจ้าหนูถือว่าใช้ได้ เขารู้วิธีที่จะถ่อมตัวไม่เย่อหยิ่งเพราะได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ เขารู้จักซ่อนตัวในเจดีย์เพื่อเพิ่มศักยภาพของตนเองก่อนที่จะปรากฏตัว” ฝูถูเฉวียนกล่าวชื่นชม หากเป็นคนอื่นได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาคงเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง แต่เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ไม่ไกลจากหายนะแล้ว

เมื่อได้ยินคำชื่นชมจากฝูถูเฉวียน ชิงเหยี่ยนจิ้งก็ยิ้มพยักหน้า ใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

ขณะที่ฝั่งเผ่าฝูถูกล่าวชื่นชมกัน ฝั่งเผ่าหมัวเฮอก็เงียบกริบไป ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอมีสีหน้าเขียวคล้ำ พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่ามู่เฉินที่ไม่สามารถจัดการกับหมัวเฮอโยวได้เมื่อครึ่งปีก่อนจะมีกายาเซิ่ง

นั่นหมายความว่าตอนนี้ความแข็งแกร่งของมู่เฉินเติบโตขึ้นทะลุฟ้าพร้อมคุณสมบัติที่จะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งแล้ว

ทางด้านหมัวเฮอโยวดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ เขาอยากจะแล่เนื้อเถือหนังมู่เฉินนัก นั่นเพราะโอกาสนี้ควรเป็นของเขา ถ้าไม่ใช่การปรากฏตัวขึ้นของมู่เฉิน เขาจะเป็นคนเดียวในเผ่าหมัวเฮอที่มีกายาเซิ่ง เมื่อไรที่ขุมพลังหลิงของเขาไปถึงขั้นเซิ่งละก็ ความสามารถในการต่อสู้ของเขาก็จะก้าวนำหมัวเฮอเทียน กลายเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่า

ถ้าเขารู้เรื่องนี้ ย้อนกลับไปตอนที่ทวีปเทียนหลัว เขาก็จะฆ่ามู่เฉินโดยไม่ลังเลเพื่อไม่ให้มันเข้าร่วมงาน

ทว่าในโลกนี้ไม่มียาแก้อดีตที่น่าเสียดาย ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของมู่เฉิน ความตรอมตรมใจในใจของหมัวเฮอโยวก็เกือบจะทำให้ตนเองเป็นบ้า

ดวงตาของหมัวเฮอเทียนมืดครึ้มลง ทว่าเขาก็รักษาความสงบและหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับอารมณ์ในใจ “ไม่คิดว่าเจ้าจะมีกายาเซิ่ง มิน่าล่ะถึงจองหองพองขน ปฏิเสธความปรารถนาดีของเผ่าหมัวเฮอของข้า”

“ความปรารถนาดี?”

มู่เฉินยิ้มอ่อน “ช่างเป็นความปรารถนาดีที่ไม่สามารถเข้าใจได้จริงๆ”

ในฐานะประมุข หมัวเฮอเทียนไม่เพียงแต่มีพลังที่แข็งแกร่งเท่านั้น แต่เขายังหน้าหนามาก สามารถพูดคำที่ไร้ยางอายได้อย่างเปิดเผย

สีหน้าหมัวเฮอเทียนไม่เปลี่ยนแปลงขณะตอบอย่างเฉยเมย “ตอนแรกข้าอยากคุยกับเจ้าดีๆ แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะหยิ่งเพราะมีกายาเซิ่ง งั้นข้าก็ขอประกาศวันนี้ไม่ว่าเจ้าจะคิดยังไงร่างมหาเทพนิรันดร์ต้องอยู่ที่นี่!”

“ฮ่าๆ วาจาใหญ่โตจริง วันนี้ข้าขอดูหน่อยว่าเผ่าหมัวเฮอจะทำยังไงให้ลูกชายข้าวางร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่!” เสียงเยือกเย็นของชิงเหยี่ยนจิ้งดังสะท้อน

แววตาของหมัวเฮอเทียนมืดครึ้มพร้อมกับไอสังหารเย็นชาไหลเวียนในดวงตาขณะที่เขาหันไปหาชิงเหยี่ยนจิ้ง “พูดแบบนี้ก็หมายความว่าเผ่าฝูถูของเจ้าตัดสินใจประกาศสงครามกับเผ่าหมัวเฮอใช่ไหม?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะเผ่าหมัวเฮอเอาแต่ใจ พวกข้าก็ไม่คิดจะเปิดศึกหรอก” ฝูถูเฉวียนตอบ

หมัวเฮอเทียนถอนหายใจ “ข้าก็คาดไว้แล้วว่าพวกเจ้าจะไม่ยอม ดังนั้นวันนี้ข้าคงต้องใช้บุญคุณที่คนอื่นติดไว้สักหน่อยแล้ว…”

เมื่อพูดจบหมัวเฮอเทียนก็มองไปที่มิติตรงหน้าพูดว่า “พี่เฮยเธียนออกมาเถอะ”

เมื่อหมัวเฮอเทียนพูดจบ ท้องฟ้าก็กลายเป็นมืดมิด ความมืดแผ่ซ่านกลืนกินแสงสว่างทั้งหมด

ความมืดปกคลุมไปอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถอยร่นรวดเร็วเช่นกัน เมื่อความสว่างกลับคืน ทุกคนก็เห็นร่างสองร่างปรากฏข้างกายหมัวเฮอเทียน

ทั้งสองร่างสวมเสื้อสีดำ ดวงตาพวกเขาพิเศษมาก ไม่มีส่วนตาขาว ความมืดหมุนคว้างราวกับหลุมดำ ทำให้คนมองใจสั่นสะท้าน

เมื่อมองไปที่ทั้งสองมู่เฉินก็หดดวงตา เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนที่น่ากลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

“เผ่าเฮยเทียน…เฮยเธียน เฮยตี้ พวกเจ้าสองคนคิดจะมาสอดเกี่ยวกับเรื่องนี้เรอะ?” ใบหน้าของชิ้งเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนเปลี่ยนไปกับการปรากฏตัวของจอมยุทธ์ทั้งสอง

“เผ่าเฮยเทียน?”

หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว ตอนนี้ทราบถึงตัวตนของผู้มาใหม่ทั้งสองคนแล้ว ที่แท้พวกเขาเป็นหนึ่งในห้าเผ่าโบราณนี่เอง?!

ความปั่นป่วนระเบิดนอกเมือง ไม่มีใครคาดคิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะเชิญจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสองคนจากเผ่าเฮยเทียนมาได้

ต้องรู้ว่าโดยทั่วไปแล้วแค่สมาชิกเผ่าเฮยเทียนยังมักไม่ปรากฏต่อหน้าผู้คน ไม่ต้องพูดถึงจอมยุทธ์ระดับนี้ของเผ่าเลย

เมื่อได้ยินคำพูดของชิงเหยี่ยนจิ้ง หนึ่งในนั้นก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าของเขาขาวซีดดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงแสงแดดมาเป็นเวลานาน เขาถอนหายใจ “เผ่าเฮยเทียนเป็นหนี้บุญคุณเผ่าหมัวเฮอ ดังนั้นพวกข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเคลื่อนไหว หวังว่าผู้อาวุโสใหญ่ชิงเหยี่ยนจิ้งจะเข้าใจความยากลำบากใจนี้นะ”

สีหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนไม่น่าดู สถานการณ์นี้เกินความคาดหมายแล้ว ไม่คิดว่าเผ่าหมัวเฮอจะสามารถเชิญเผ่าเฮยเทียนเข้าร่วมได้

ด้วยจอมยุทธ์เผ่าเฮยเทียนจะสร้างความแตกต่างอย่างมากระหว่างสองขุมกำลัง พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งถึงห้าคน แม้แต่เผ่าฝูถูก็รู้สึกกดดันไม่น้อย

ที่ด้านหลังชิงเหยี่ยนจิ้ง จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนของเผ่าฝูถูก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน

ดูเหมือนว่าเผ่าหมัวเฮอจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อแย่งร่างมหาเทพนิรันดร์…

หมัวเฮอเทียนประสานมือคำนับเฮยเธียนและเฮยตี้ก่อนจะมองไปที่มู่เฉิน “อย่างที่ข้าบอกไป ไม่ว่ายังไงเจ้าก็ไม่สามารถนำร่างมหาเทพนิรันดร์ไปด้วยได้”

มู่เฉินหรี่ตาลงตอบกลับอย่างใจเย็น “ได้-ไม่ได้ก็ต้องลองดูก่อน”

แม้ว่าการปรากฏตัวของเผ่าเฮยเทียนจะเกินความคาดหมาย แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างเขาจะทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ที่นี่

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา แกมีเพียงกายาเซิ่งคิดว่าตัวเองอยู่ยงคงกระพันจริงหรือ?” ดวงตาของหมัวเฮอเทียนจมลงก่อนที่จะหันไปหาเฮยเธียนและเฮยตี้ “ข้าต้องรบกวนพวกเจ้าสองคนขัดขวางเผ่าฝูถูด้วย”

“ส่วนร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นหน้าที่ของเผ่าหมัวเฮอที่จะแย่งชิงมาเอง”

เฮยเธียนและเฮยตี้พยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ต้องการมีส่วนร่วมในความขัดแย้งนี้ แต่พวกเขาทำอะไรไม่ได้เพราะเป็นหนี้บุญคุณอีกฝ่ายอยู่…

ที่ด้านหลังของหมัวเฮอเทียน หมัวเฮอโยวมองไปที่มู่เฉินด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมและเย็นชา ‘แกมีกายาเซิ่งแล้วยังไง? ต่อหน้าเผ่าหมัวเฮอของข้า แกก็ต้องถูกจับ’

“บังอาจ!”

ใบหน้าของชิงเหยี่ยนจิ้งเย็นเยือกลง ขณะที่มิติเบื้องหลังแปรปรวน ค่ายกลขนาดใหญ่บีบลงมาซึ่งเต็มไปด้วยแรงกดดันที่น่ากลัว

แสงสีดำวูบไหวบนท้องฟ้า เฮยเธียนและเฮยตี้เข้ามาขัดขวางการเคลื่อนไหวของนาง ความมืดแผ่ออกมาจากเบื้องหลังพวกเขา ราวกับเป็นโลกแห่งความมืด

ในเวลาเดียวกันหมัวเฮอเทียนก็พยักหน้าให้ชายชราสองคนที่อยู่ข้างหลัง ทั้งสองทะยานออกไปหามู่เฉิน

เมื่อมองสองคนที่พุ่งเข้ามา ดวงตาของมู่เฉินก็เย็นชาลงพลางกำหมัดแน่น รัศมีสีทองกระจายไปทั่วร่าง

ฮึ่ม!

แต่เมื่อเขากำลังจะออกกระบวนท่า ม่านคลื่นหลิงโบราณก็พลิ้วลงมาจากท้องฟ้าขวางทางจอมยุทธ์อาวุโสของเผ่าหมัวเฮอไว้

พร้อมกับม่านคลื่นหลิงเคลื่อนลงมา เสียงโบราณก็ดังก้อง

“ฮ่าๆ ครึกครืนดีจริง แต่ว่าท่านธิดาเทพประกาศไว้แล้วว่าเผ่าไท่หลิงต้องปกป้องมู่เฉิน…”

เสียงที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้หัวใจของมู่เฉินสั่นไหว เขาเงยหน้าขึ้นทันที ก็เห็นเสาแสงพุ่งลงมาจากท้องฟ้าพร้อมกับภาพที่สลักลึกอยู่ในหัวใจเขาปรากฏขึ้น

ร่างนั้นมองลงมาตอบกับมู่เฉินด้วยแววตาเปี่ยมล้น รอยยิ้มผุดผาดเผยบนริมฝีปากบาง ทำให้หัวใจของมู่เฉินอ่อนระทวย

เสียงคำรามประหนึ่งฟ้าคำรนสะท้อนออกมาจากเจดีย์วั้นกู่

เสียงคำรามกะทันหันนี้ทำให้ทุกคนต้องหันมาสนใจ ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเย็นเยือก เนื่องจากสัมผัสได้ว่าบรรยากาศระหว่างเผ่าฝูถูและหมัวเฮอตึงเครียดเพิ่มขึ้นพร้อมกับไอสังหารน่าสะพรึงกลัวไหลพล่านเข้ามา…

“ดูเหมือนว่ามู่เฉินจะไม่ซ่อนตัวอีกต่อไปแล้ว…”

“ก็ช่วยไม่ได้นี่ เขาซ่อนตัวมาครึ่งปีแล้ว คงไม่สามารถอยู่ข้างในตลอดไปหรอกมั้ง? เมื่อพิจารณาจากการเคลื่อนไหวของเผ่าหมัวเฮอเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยเรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ”

“ท้ายที่สุดเขาอายุยังน้อย ไม่รู้ว่าการกระทำของตนจะสร้างความปั่นป่วนให้กับภายนอกมากแค่ไหน เผ่าฝูถูอาจแข็งแกร่ง แต่นี่คืออาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอ หากปะทะกันเผ่าฝูถูคงต้องเสียเปรียบ ถึงเวลานั้นร่างมหาเทพนิรันดร์ก็จะถูกเผ่าหมัวเฮอแย่งกลับคืนไป…”

“…”

เสียงกระซิบดังก้องจากนอกเมือง แต่ทุกคนฟันธงไว้แล้วว่าการหายตัวไปของมู่เฉินก็เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกับเผ่าหมัวเฮอ

แต่เผ่าหมัวเฮอและเผ่าฝูถูไม่ได้ใส่ใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น สายตาของพวกเขาจดจ่อไปที่เจดีย์วั้นกู่ด้วยอารมณ์แตกต่างกะพริบในดวงตา

ฮึ่ม ฮึ่ม!

ภายใต้ความสนใจของพวกเขา เจดีย์วั้นกู่ก็สั่นสะเทือนพร้อมกับวงรัศมีล้ำลึกกำจายออกมา หลังจากนั้นร่างแสงร่างหนึ่งก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า

หมัวเฮอเทียนเงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงอารมณ์ใด เขามองไปที่ยอดเจดีย์ ก็เห็นร่างสูงโปร่งค่อยๆ ปรากฏตัวต่อสายตาทุกคน

ร่างนั้นเพรียวบาง เสื้อผ้าพลิ้วไหวเบาๆ ร่างกายเอิบอาบด้วยรัศมีสีทองพร้อมกับความแวววาวประหนึ่งหยกบนใบหน้า แสงสีทองไหลเวียนไปทั่วสรรพางค์กายอบอวลด้วยรัศมีลึกลับ

นี่ก็คือมู่เฉินที่ปลีกวิเวกอยู่ในเจดีย์วั้นกู่มาห้าปี

ภายใต้การจ้องมองเหล่านั้น มู่เฉินก็ยังสงบนิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศกดดันตั้งแต่ก้าวขาออกจากเจดีย์วั้นกู่เลยทีเดียว

การต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจเกิดความกังวลหากมีพลังก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์ เพราะถ้าไม่เข้มแข็งพอก็คงไม่สามารถรักษาความสงบในใจได้

แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ในห้าปีพลังของเขาทบทวีคูณอย่างไม่อาจบรรยายได้

“ช่างยิ่งใหญ่ตระการจริง แม้ว่าข้าจะโชคดีได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ข้าก็รู้สึกเกรงใจจังที่ได้รับการต้อนรับจากเผ่าหมัวเฮอแบบนี้” มู่เฉินกวาดสายตามองไปยังการรวมตัวที่น่ากลัว เขายิ้มขณะมองไปที่หมัวเฮอเทียนและผู้อาวุโสทั้งสองที่ยืนอยู่ข้างหลัง

ที่นอกเมืองทุกคนอดยิ้มไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น มู่เฉินบ้าบิ่นแท้จริง ทุกคนบอกได้ว่าเผ่าหมัวเฮอมีเจตนาร้ายและคำพูดของเขาก็เป็นการตบหน้าเผ่าหมัวเฮอฉาดใหญ่

“ไอ้หนู ข้ากลัวว่าแกจะไม่มีโชคแบบนั้น!” ไม่รอให้หมัวเฮอเทียนได้พูดอะไร หมัวเฮอโยวก็เค้นเสียงหยันออกมาก่อน

เขาสูญเสียโชคครั้งใหญ่เมื่อพ่ายแพ้ให้กับมู่เฉิน ทำให้เผ่าหมัวเฮอต้องสูญเสียร่างมหาเทพนิรันดร์ ชีวิตครึ่งปีในเผ่าของเขาก็ไม่ดีเลย ถ้าไม่ใช่เพราะหมัวเฮอเทียนเป็นพี่ชายของเขา เขาคงได้รับการปฏิบัติราวกับคนบาปแล้ว

ดังนั้นเมื่อเขาเห็นมู่เฉินในตอนนี้เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้

แต่ก่อนที่เขาจะพ่นคำพูดอะไรออกมาอีก หมัวเฮอเทียนก็หยุดเอาไว้แล้วมองไปที่มู่เฉินพร้อมกับรอยยิ้มและน้ำเสียงอบอุ่น “สหายน้อย พรสวรรค์ของเจ้าโดดเด่นแท้จริงที่ได้รับการยอมรับจากร่างมหาเทพนิรันดร์ น่าตกใจจริงๆ”

มู่เฉินมองไปที่หมัวเฮอเทียนตอบว่า “ท่านประมุขกำลังชมข้าเกินไป ถ้าหมัวเฮอโยวหัดตรองอีกสักนิดก็จะแยกความแตกต่างว่าของจริงของปลอมได้และข้าคงไม่มีโอกาสได้แตะร่างมหาเทพนิรันดร์”

เปลือกตาของหมัวเฮอโยวกระตุก มีเส้นเลือดเต้นตุบตับบนหน้าผาก ตอนนี้เขาอยากฆ่ามู่เฉินสักพันครั้ง

หมัวเฮอเทียนพยักหน้ากล่าวว่า “แต่สหายน้อยมู่เฉินก็คงรู้ดีว่าเผ่าหมัวเฮอของข้าพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มานานนับหมื่นปี เราใช้เวลาและกำลังไปมาก ดังนั้นการที่เจ้าจะนำออกไปง่ายเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเหมาะสมนัก”

ดวงตาของมู่เฉินหลุบลง “ท่านประมุขหมัวเฮอพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกต้องนะ ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นทักษะที่เทพจักรพรรดินิรันดร์ฝากไว้ที่นี่เพื่อค้นหาผู้ครอบครองที่เหมาะสม นอกจากนี้เขายังเผยแพร่ทักษะการฝึกฝนร่างเทพสุริยะและร่างเทพสุริยะนิรันดร์ที่สมบูรณ์แบบให้กับเผ่าหมัวเฮอตรงๆ ซึ่งก็หมายความว่าเผ่าหมัวเฮอมีข้อได้เปรียบเหนือคนอื่นๆ”

“และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นค่าตอบแทนที่เทพจักรพรรดินิรันดร์มอบให้กับเผ่าเจ้า แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครจากเผ่าหมัวเฮอได้รับการยอมรับของร่างมหาเทพนิรันดร์ไป ดังนั้นจะมาตำหนิผู้อื่นในเรื่องนี้ไม่ได้”

น้ำเสียงของมู่เฉินไม่ได้ร้อนรนหรือวิตกกังวล ทั้งยังปราศจากความกลัวซึ่งทำให้หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ซ้ำพวกเขายังมีข้อได้เปรียบสูงกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นในแง่ของโอกาสพวกเขามีสิทธ์ได้รับร่างมหาเทพนิรันดร์มากที่สุด

เมื่อพวกเขาล้มเหลว ก็แสดงว่าปัญหาอยู่ที่ตัวพวกเขาเอง

หมัวเฮอเทียนหรี่ตาลง รอยยิ้มเป็นมิตรบนใบหน้าหดหาย “ข้าไม่คิดจะคุยให้มากมาย แต่ข้ามีข้อเสนอ ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้กับเผ่าหมัวเฮอเป็นเวลาร้อยปี หลังจากนั้นข้าสาบานว่าเราจะไม่รั้งเจ้าต่อไปอีกอย่างแน่นอน ว่าไงละ?”

เมื่อเสียงของหมัวเฮอเทียนดังขึ้น รอยยิ้มเยาะเย้ยก็โค้งขึ้นบนริมฝีปากของมู่เฉิน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งจะพูดได้ไร้ยางอายแบบนี้

ทิ้งร่างมหาเทพนิรันดร์ไว้ในเผ่าหมัวเฮอร้อยปี? ตราบใดที่ไม่ใช่เด็กสามขวบก็ไม่มีใครเชื่อหรอก

“ดูเหมือนว่าท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอผู้สูงส่งจะไม่ต้องการรักษาหน้าอีกต่อไปแล้วสินะ?” น้ำเสียงเย็นเยือกกระจายออก ชิงเหยี่ยนจิ้งอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันด้วยคำพูด

มู่เฉินส่ายหัวเบาๆ ตอบว่า “ท่านประมุขเผ่าหมัวเฮอหยุดล้อเล่นเถอะ ในเมื่อร่างมหาเทพนิรันดร์ยอมรับว่าข้าเป็นเจ้าของแล้ว ก็แปลว่าโชคชะตาของมันกับเผ่าเจ้าได้สิ้นสุดลง ข้าสามารถนำมันไปได้เป็นเรื่องปกติ”

เมื่อเสียงของมู่เฉินดังขึ้นทั้งเมืองก็เงียบลง

หมัวเฮอเทียนมองไปที่มู่เฉินอย่างไม่แยแสพูดว่า “ดูท่าเจ้าจะไม่เต็มใจที่จะเติมเต็มความปรารถนาเล็กๆ ให้เผ่าของข้าใช่ไหม?”

ตู้ม!

เมื่อพูดจบรัศมีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งอันน่าอัศจรรย์ก็กวาดออกครอบไปทางมู่เฉิน

ขณะที่ความกดดันแผ่กระจายออกไป ทั้งบรรยากาศและคลื่นหลิงก็แข็งตัวในพื้นที่โดยรอบ

แรงกดดันของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งซัดใส่ร่างกายของมู่เฉิน

เผชิญหน้ากับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง สายตามู่เฉินก็หดเกร็ง แต่น่าแปลกที่ไม่มีร่องรอยความกลัวเลย ตรงกันข้ามกลับถูกแทนที่ด้วยการเยาะเย้ย

ถ้าเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะเข้าสู่เจดีย์วั้นกู่เขาอาจขยับเขยื้อนไม่ได้เมื่อเผชิญกับแรงกดดันของระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แต่หลังจากห้าปีแห่งสมาธิ เขาได้ปรับแต่งร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์แล้ว

ขณะนี้ความแข็งแกร่งของร่างกายเขาเป็นสิ่งที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดาก็เทียบไม่ได้

ฮึ่ม!

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับแรงกดดันเช่นนี้ มู่เฉินก็กำหมัดเปล่งรัศมีสีทองออกมา เลือดเนื้อทั้งตัวกระตุก ทำให้ร่างกายดูเหมือนสร้างมาจากทองคำ

เวลาเดียวกันพลังงานที่น่ากลัวก็ระเบิดออกมาจากร่างกายของมู่เฉิน พริบตาการยับยั้งในมิติก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับเศษแก้ว…

เสี้ยววินาทีความกดดันที่น่ากลัวก็หายไป

“อะไรน่ะ?!”

ผู้คนนับไม่ถ้วนที่อยู่นอกเมืองต่างร้องอุทาน ขนาดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนจำนวนมากก็ยังตกตะลึง นั่นเป็นเพราะพวกเขารู้ถึงความน่าสะพรึงกลัวของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซียนระยะปลายสุดก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวภายใต้การครอบงำแบบนี้ได้ แต่มู่เฉินกลับแก้ไขได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรือ?!

เมื่อผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอเห็นภาพนี้ ใบหน้าก็เปลี่ยนไปรุนแรง ส่วนใบหน้าหมัวเฮอโยวเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ

มีเพียงหมัวเฮอเทียนและชายชราสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของพวกเขาดิ่งลงทันที จ้องเขม็งไปที่ร่างของมู่เฉิน

ชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียนที่กำลังจะเคลื่อนไหวก็อึ้งไป ขณะมองไปที่มู่เฉินก่อนจะสบตากันพลางสูดลมหายใจเย็นลึกสุดปอด

เสียงสั่นเครือดังออกมาจากปากของพวกเขาทำให้เกิดความตกตะลึงไปทั่ว

“นั่นคือ… กายาเซิ่ง?!”

บนท้องฟ้าทางช้างเผือก

หม้อกลั่นปกคลุมไปด้วยเปลวไฟ ปล่อยอุณหภูมิที่น่าสะพรึงกลัวออกมา

โครงกระดูกสีทองตั้งอยู่ภายใน ดูราวกับว่าหลอมมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถทำลายได้ ปลดปล่อยรัศมีอมตะหนาแน่น

มีอักขระโบราณอยู่บนโครงกระดูก ให้ความรู้สึกว่าโครงกระดูกนี้ถูกสร้างขึ้นในยุคแรกของโลก

แต่ถึงแม้จะเป็นโครงกระดูก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาที่เลือนลางภายใน

ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ก็พยักหน้าเบาๆ ท่าทางเคร่งขรึมลง อึดใจเขาก็สะบัดแขนเสื้อหมอกสีม่วงทองรวมตัวกันจากสภาพแวดล้อม หมอกนี้ก็คือแก่นอมตะที่บริสุทธิ์มาก

เมื่อหมอกพุ่งลงไปในหม้อกลั่นก็ห่อหุ้มโครงกระดูก อวัยวะภายในเริ่มก่อตัวขึ้นทีละน้อย…

กระบวนการสร้างขึ้นใหม่เชื่องช้ามาก ผ่านไปหลายวันก็มีเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่เกิดขึ้น

ทว่าเลือดเนื้อที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง เนื้อเยื่อบรรจุไปด้วยไอสีม่วงทองซึ่งทำให้ดูเหมือนลึกลับซับซ้อนนัก

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ก็พยักหน้าเบาๆ ขั้นตอนต่อไปคือการหลอมรวมเนื้อหนังและเมื่อเสร็จสิ้น มู่เฉินจะได้รับกายานิรันดร์ที่แท้จริง

แน่นอนว่านี่ไม่ได้เป็นนิรันดร์แท้จริง แต่แสดงถึงการปรับแต่งร่างกายในระดับที่สูงขึ้น แม้แต่ในหมู่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งในมหาพันภพก็มีคนจำนวนไม่มากนักที่จะก้าวไปถึงขั้นตอนนี้ได้

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่หลับตาลงเข้าสู่ห้วงนิทราเพื่อรอร่างกายมู่เฉินที่จะฟื้นขึ้นมาใหม่

การรอคอยนี้กินเวลาไปอีกหนึ่งปีเต็ม

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เปิดดวงตาขึ้นอีกครั้งกล้ามเนื้อครึ่งหนึ่งบนโครงกระดูกก็สร้างขึ้นใหม่เสร็จสมบูรณ์พร้อมกับผิวหนังเริ่มก่อตัว

นอกจากนั้นยังมีแรงกดดันเลือนรางกำจายออกมาจากร่างกายที่สร้างขึ้นใหม่ด้วย

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่สามารถบอกได้ว่ากายานิรันดร์ของมู่เฉินมาถึงเก้าส่วนแล้ว จากนี้ก็ต้องรอสร้างผิวหนังให้เสร็จสิ้นสำหรับร่างกายอันทรงพลัง…

 

เวลาผ่านไปกว่าสี่เดือน

ขณะที่มู่เฉินอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ ในช่วงสี่เดือนที่ผ่านมาสิ่งที่เกิดขึ้นในเผ่าหมัวเฮอก็ดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วมหาพันภพ

นั่นเป็นเพราะไม่มีใครคิดว่าแรงกดดันภายนอกเจดีย์จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป มากจนแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหลายคนยังรู้สึกหายใจไม่ออก

หมัวเฮอเทียนยืนอยู่บนแท่นโดยไม่มีการแสดงออกใดๆ พร้อมกับจอมยุทธ์สามสิบคนยืนอยู่ข้างหลัง ทำให้เกิดความผันผวนยิ่งใหญ่ สวรรค์และโลกสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เนื่องจากทุกคนล้วนอยู่ในระดับเทียนจื้อจุน!

จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน!

นี่คือรากฐานของเผ่าหมัวเฮอที่สร้างความน่าสะพรึงกลัวให้กับขั้วอำนาจอื่นได้ ขั้วอำนาจธรรมดาสามัญจัดตั้งขึ้นได้ด้วยจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนหนึ่งเดียว แต่เผ่าหมัวเฮอมีถึงสามสิบคน!

แน่นอนว่าจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนทั้งสามสิบคนไม่ได้น่าตกใจที่สุด แต่เป็นชายชราสองคนที่ถือไม้เท้าสีขาวและสีดำสองคนที่ยืนห่างจากหมัวเฮอเทียนครึ่งก้าว

ใบหน้าของพวกเขาเหี่ยวย่นตามวัย ดวงตาลึก ความกดดันที่เล็ดลอดออกมาทำให้แม้แต่แผ่นโลกยังส่งเสียงคราง

ทั้งสองคนเป็นจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง!

เมื่อรวมหมัวเฮอเทียนเข้าไปก็มีจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งสามคน ทั้งหมดจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนสามสิบคน นี่เป็นพลังในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของเผ่าหมัวเฮอ ซึ่งพวกเขาได้เปิดเผยต่อหน้าสาธารณะชนครั้งนี้…

อีกด้านหนึ่งก็มีจอมยุทธ์ยี่สิบกว่าคน โดยที่สองคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คือชิงเหยี่ยนจิ้งและฝูถูเฉวียน ที่เยื้องไปด้านหลังเป็นเฉวียนกวาง มั่วถงและชิงเทียน รวมทั้งเหล่าผู้อาวุโสขุมพลังเทียนจื้อจุนคนอื่นๆ

เป็นเวลาครึ่งเดือนแล้วที่ชิงเหยี่ยนจิ้งและหมัวเฮอเทียนยืนประจันหน้ากันในบรรยากาศตึงเครียด อีกทั้งเผ่าหมัวเฮอก็ส่งคนข่มขู่อยู่ตลอด ทว่าคนอย่างชิงเหยี่ยนจิ้งก็ไม่ได้ขาดอะไร นางใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสใหญ่เรียกระดมพลจอมยุทธ์เผ่าฝูถูมา

ทั้งสองเผ่ายืนเผชิญหน้ากันสร้างแรงกดดันที่น่ากลัวซึ่งทำให้ผืนฟ้าและผืนดินโยกคลอน

ณ เวลานี้เมืองวั้นกู่ไร้ผู้คนเนื่องจากทุกคนอดทนไม่ไหว เพียงแค่ความกดดันจากทั้งสองเผ่าอย่างเดียวก็ทำให้พวกเขาหายใจไม่ได้แล้ว

ดังนั้นขั้วอำนาจเหล่านี้จึงวิ่งออกไปตั้งหลักไกลๆ เพราะเกรงว่าอาจถูกลากเข้าไปในสงครามครั้งนี้ด้วย…

“เกือบครึ่งปีแล้ว…”

หมัวเฮอเทียนมองไปที่เจดีย์วั้นกู่พร้อมกับแสงน่ากลัวและเกรี้ยวกราด “มันซ่อนตัวทำอะไรอยู่ข้างในกันแน่?!”

ตอนแรกเขาคิดว่ามู่เฉินจะซ่อนตัวอยู่ในนั้นไม่เกินหนึ่งเดือน แต่ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้ว่าจะเป็นเวลาครึ่งปีแล้วก็ตาม

“ใจเย็นๆ” ชายชราถือไม้เท้าสีดำกล่าวปลอบโยนก่อนที่จะพูดต่อ “เราได้ปิดทางหนีทั้งหมดแล้ว ไอ้เด็กเหลือขอนี่ไม่สามารถวิ่งหนีออกไปได้ หากมันคิดจะอยู่ข้างในตลอดชีวิต เผ่าหมัวเฮอก็จะรอคอยอยู่เป็นเพื่อนมัน”

“ใช่ เผ่าหมัวเฮอพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์มาหลายหมื่นปี เราจะปล่อยให้ร่างมหาเทพปฐมกาลนี้ตกอยู่ในมือของคนนอกไม่ได้เด็ดขาด!” ชายชราถือไม้เท้าสีขาวกล่าวเสียงเย็นชา

หมัวเฮอเทียนพยักหน้าปรายตามองไปที่เผ่าฝูถูกล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ดูเหมือนว่าเผ่าฝูถูยืนกรานที่จะเปิดสงครามกับเรา”

ดวงตาของจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งทั้งสองเย็นเยือกลงก่อนจะพูดต่อ “ไม่ต้องห่วง หากพวกมันไม่รู้จักกาลเทศะ ก็ให้พวกมันได้ลิ้มรสว่าทำไมเผ่าหมัวเฮอถึงแข็งแกร่งที่สุดในห้าเผ่าโบราณ!”

 

ฝั่งเผ่าฝูถู

“ผู้อาวุโสใหญ่แน่ใจหรือว่าเราจะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอที่นี่? พลังของพวกเราอ่อนแอกว่าพวกเขาหลายส่วนนะ” เฉวียนกวางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งเครียด ขณะมองไปที่การรวมตัวที่น่ากลัวของเผ่าหมัวเฮอ

“ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นอาณาเขตของเผ่าหมัวเฮอด้วย…” มั่วถงกล่าวเสริม

พวกเขาสองคนเคยมีความแค้นกับมู่เฉินในอดีต ดังนั้นจึงไม่เต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับเผ่าหมัวเฮอเพื่อช่วยชายหนุ่ม

ชิงเหยี่ยนจิ้งมองไปที่ทั้งสองอย่างเย็นชาพลางตอบว่า “พวกเจ้ากลับไปได้เลยถ้าไม่เต็มใจที่จะอยู่ที่นี่”

เฉวียนกวางและมั่วถงชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่จะเงียบเสียงลง เพราะถึงยังไงพวกเขาก็เป็นสมาชิกของเผ่าฝูถู ต่อให้พวกเขาต้องการไปแต่เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็ไม่เต็มใจแน่นอน เพราะแม้จะแบ่งตระกูล แต่พวกเขาก็อยู่เผ่าเดียวกัน ดังนั้นจะรอดหรือตายก็ต้องไปด้วยกัน

“อย่าพูดไร้สาระ ตอนนี้มู่เฉินคือประมุขคนใหม่เผ่าฝูถู ดังนั้นเราต้องปกป้องเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!” ฝูถูเฉวียนเค้นเสียงอย่างเย็นชา

เฉวียนกวางและมั่งถงเบ้ปาก พวกเขาหมายมั่นปั้นมือกับตำแหน่งประมุขมานานหลายปี แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถบรรลุระดับเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งได้ ดังนั้นพวกเขาจึงรู้สึกต่อต้านเล็กน้อยที่จู่ๆ ตำแหน่งนี้จะหล่นใส่มือมู่เฉิน

ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เนื่องจากมู่เฉินเป็นเจ้าของร่างมหาเทพนิรันดร์ พวกเขาทราบถึงความสำคัญของร่างมหาเทพปฐมกาลดี หากมู่เฉินได้ครอบครองต่อจากนี้ก็ไม่ต้องกลัวแม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง

ในแง่ของพลังมู่เฉินมีคุณสมบัติที่จะดำรงตำแหน่งประมุขจริงๆ

ทั้งสองคนแลกเปลี่ยนสายตากันจากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนเป็นจริงจัง หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการจัดการที่ดีก็อาจทำให้ทั่วมหาพันภพสั่นสะเทือนได้…

“เรื่องนี้จัดการได้ยากเสียจริง…”

 

ฟู่ ฟู่!

เปลวไฟสีม่วงทองส่งเสียงดังฉ่าๆ หมอกไร้ขอบเขตเทลงในหม้อหม้อกลั่นอย่างไม่รู้จบ

รังไหมสีม่วงทองที่ก่อตัวขึ้นภายในหม้อกลั่นก็สั่นสะท้าน เปลือกตาของร่างเงาภายในกระตุกเบาๆ ก่อนจะเปิดขึ้น หลังจากปิดลงเป็นเวลาห้าปี

ชี่!

เมื่อเขาลืมตาขึ้นลำแสงสองสายก็พุ่งผ่านหม้อกลั่นออกไปไกลกว่าหลายแสนจั้งก่อนที่จะค่อยๆ สลายไป

เขาเปิดปากกลืนกินหมอกสีม่วงทองที่เหลือทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย

เมื่อหมอกค่อยๆ หายไป ร่างมนุษย์คนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากภายในหม้อกลั่น ผิวขาวของเขาเรียบรื่น เส้นขนบนร่างกายเอิบอาบไปด้วยแสงสีม่วงทองเบาบางพร้อมกับรัศมีนิรันดร์ไหลเวียนอยู่รอบตัว ทำให้เขาดูลึกลับอย่างยิ่ง

มู่เฉินก้มศีรษะลงมองก็อึ้งไปเมื่อเห็นร่างเนื้อใหม่ เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ไม่เคยมีมาก่อนภายในร่างกาย เขาก็เงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม

ตู้ม ตู้ม!

ผืนฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสั่นสะเทือนพร้อมกับเสียงคำราม

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นฉากนี้ รอยยิ้มพอใจก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก

ห้าปีแห่งสมาธิ ในที่สุดมู่เฉินก็บรรลุ…กายานิรันดร์

 

ที่ด้านนอกเจดีย์

ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความปั่นป่วนต่างเงยหน้าขึ้นมองไปที่เจดีย์ พวกเขาได้ยินเสียงคำรามแว่วมาจากในเจดีย์

“ในที่สุดก็มีความเคลื่อนไหวแล้ว!”

ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนไป บรรยากาศตึงเครียดระอุขึ้น

ที่นอกเมืองผู้คนที่เฝ้ามองก็สูดอากาศเย็นอัดปอด การเผชิญหน้าที่หยุดชะงักมาครึ่งปีในที่สุดก็จะปะทุขึ้นในวันนี้แล้ว…

“ของขวัญ?”

เมื่อได้ยินคำพูดของจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ดวงตาของมู่เฉินก็กะพริบด้วยความตื่นเต้น

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่คลี่ยิ้มพลางโบกมือมิติโดยรอบก็เปลี่ยนไป ที่นี่ราวกับท้องฟ้าสีทองที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวโบราณ ดวงดาวพริบพราวแสงนับไม่ถ้วน

หมอกสีทองเข้มลอยอวลไปทั้ว ทั้งลึกลับและอัศจรรย์ใจ ให้ความรู้สึกอมตะ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากแก่นอมตะ

“แม้ว่าเจ้าจะเป็นเจ้าของคนใหม่ของร่างมหาเทพนิรันดร์ แต่ยังไม่สามารถดึงพลังออกมาอย่างเต็มที่” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่บอกกล่าว

มู่เฉินพยักหน้ากับคำพูดเหล่านั้น แม้ว่าเขาจะสามารถสั่งการร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เมื่อก่อนหน้า แต่เขาก็เหมือนคนนอกที่ยังไม่ได้หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนเขาสามารถรวมเป็นหนึ่งกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ได้ ซึ่งจะปลดปล่อยพลังที่เหนือล้ำยิ่งขึ้น

ตามการคาดเดา ร่างมหาเทพนิรันดร์ในตอนนี้สามารถเทียบได้กับจอมยุทธ์เทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งระยะต้นปลายสุด แต่ชัดว่าพลังระดับนี้ยังห่างไกลจากจุดสูงสุดของมัน

เขาต้องการควบคุมร่างมหาเทพนิรันดร์ได้เช่นเดียวกับร่างเทพสุริยะนิรันดร์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเขารู้สึกว่ามีกำแพงกั้นอยู่

“นั่นเป็นเพราะตอนนี้กายของเจ้ายังเป็นแค่กายเนื้อธรรมดา ดังนั้นจึงไม่สามารถเชื่อมโยงกับร่างมหาเทพนิรันดร์ และทำให้ไม่สามารถปลดปล่อยพลังออกมา”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มขณะพูดต่อ “เจ้ายังขาดขั้นตอนที่สำคัญที่สุดไป”

“ขั้นไหน?” มู่เฉินถามด้วยท่าทางเคร่งขรึม

“การชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ เพื่อให้เกิดการหลอมรวมที่สมบูรณ์แบบกับร่างมหาเทพนิรันดร์” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ตอบกลับ

หัวใจของมู่เฉินสั่นสะท้าน เขาเคยฝึกฝนวิชาพลังกาย ดังนั้นจึงรู้ว่าการได้รับกายานิรันดร์ยากเพียงใด ซึ่งเป็นระดับที่แม้แต่จอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่งธรรมดายังไม่สามารถฝึกฝนได้สำเร็จ

ด้วยกายานิรันดร์ ในอนาคตแม้ว่าจะต่อสู้กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง มู่เฉินก็สามารถรับกระบวนท่าไว้ได้ด้วยพลังกายเพียงอย่างเดียว

“ผู้อาวุโส ข้าจะชำระร่างกายให้เป็นกายานิรันดร์ได้อย่างไร?” มู่เฉินถามด้วยดวงตาที่ลุกโชน

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้ม “ง่ายมาก โดยธรรมชาติก็ต้องใช้แก่นอมตะที่ฝึกฝนร่างเทพสุริยะนิรันดร์ ด้วยแก่นอมตะจำนวนมากที่นี่ ส่วนหนึ่งก็มีไว้สำหรับเจ้าของใหม่เพื่อชำระพลังกายของเขานั่นเอง”

เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ มู่เฉินก็เต็มไปด้วยความสุข แม้ว่าจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่จะพูดแบบสบายๆ แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งนี้ยากแค่ไหน แก่นอมตะเป็นสิ่งที่สามารถหาได้จากร่างเทพสุริยะนิรันดร์เท่านั้น การพยายามรวบรวมจำนวนมากจำเป็นต้องมีการสกัดจากร่างเทพสุริยะนิรันดร์นับไม่ถ้วน หากไม่ใช่เจดีย์วั้นกู่เก็บรวบรวมไว้ ความพยายามชำระร่างกายของเขาให้เป็นกายานิรันดร์ก็เป็นเพียงแค่ความฝันลมๆ แล้งๆ เท่านั้น

“แต่การชำระกายานิรันดร์เป็นการสร้างขึ้นใหม่ในทางปฏิบัติ ความเจ็บปวดไม่อาจพรรณนาได้ หากเจ้าไม่สามารถทนรับได้ ก็ต้องใช้เวลานานในอนาคตเพื่อบรรลุเป้าหมาย” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ย้ำเตือน

มู่เฉินถามด้วยสายตาแหลมคมขึ้น “ต้องใช้เวลาในการชำระนานแค่ไหน?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ยิ้มพลางยื่นมือออกไป “โดยประมาณน่าจะต้องใช้เวลาห้าปี”

มู่เฉินอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็นเข้าปอด นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องอยู่ในเจดีย์วั้นกู่ห้าปีเต็มหรือ? ถ้าอยู่ที่อื่นก็ว่าไปอย่าง แต่ที่นี่คือเผ่าหมัวเฮอ ถ้าเขาอยู่ที่นี่นานเกินไป เขากลัวว่าเผ่าหมัวเฮอจะทำอะไรบางอย่าง

ดังนั้นคิ้วมู่เฉินจึงขมวดเข้าหากันแน่น

“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา เจ้าไม่สังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างภายในกับภายนอกหรือ?” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เมื่อถูกเตือนความจำ ใบหน้าของมู่เฉินก็เปลี่ยนไปพลางมองไปที่ท้องฟ้าทางช้างเผือกด้วยความตกใจ หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เวลาที่นี่ต่างออกไปหรือ?”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พยักหน้าตอบว่า “ท่านเทพจักรพรรดินิรันดร์ชะลอเวลาในสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นการอยู่ที่นี่ห้าปีเท่ากับครึ่งปีภายนอกเท่านั้น”

เมื่อได้ยินมู่เฉินก็รู้สึกโล่งใจเนื่องจากเวลานั้นเขายอมรับได้ ทว่าเขาก็ยังตกใจเกี่ยวกับวิธีนี้ สมกับเป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาพันภพในสมัยโบราณจริงๆ

“ถ้าอย่างนั้นได้โปรดช่วยข้าสร้างกายานิรันดร์ด้วย” มู่เฉินประสานมือด้วยมารยาท

นี่เป็นโอกาสที่ดีเยี่ยมสำหรับเขา เนื่องจากกายานิรันดร์เป็นสิ่งที่เหนือจินตนาการแม้แต่กับจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง ด้วยพลังกายที่ทรงประสิทธิภาพเช่นนี้ เขาจะสามารถก้าวขึ้นไปในอันดับต้นๆ ในแง่ของความทนทึก

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่รับการคารวะจากมู่เฉินจากนั้นก็โบกมือให้ รัศมีสีม่วงทองไร้ขอบเขตกวาดไป ก่อตัวเป็นหม้อกลั่นขนาดใหญ่

ฟู่

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่อ้าปากพ่นเปลวไฟครอบคลุมหม้อเอาไว้ อุณหภูมิทำให้มิติบิดเบี้ยวไปเลย

“ลงหม้อ” จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่กล่าวสั้นๆ

เมื่อมองไปที่หม้อกลั่นแดงจัด คิ้วของมู่เฉินก็กระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่เขายังรู้สึกเจ็บแปลบบนผิวกายจากอุณหภูมิที่น่ากลัว เขานึกได้เลยว่าจะต้องทนกับความเจ็บปวดแค่ไหนเมื่อเข้าไป

ทว่ามู่เฉินไม่ใช่คนอ่อนแอ ดังนั้นหลังจากตั้งสติสักครู่เขาก็ไม่ลังเลกระโจนเข้าไปในหม้อทันที

ชี่ ชี่!

ทันทีที่เข้าไปเสื้อผ้าและเส้นผมก็ไหม้เป็นเถ้าถ่าน ร่างเขาเปลือยเปล่าและเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง มีร่องรอยการละลายกระจายออกไป

ความเจ็บปวดที่ไม่อาจจินตนาการได้ถาโถมเข้ามา

ร่างกายของมู่เฉินสั่นสะท้านจากความเจ็บปวด แต่เขาก็ปกป้องสติเอาไว้มั่น เขารู้ดีว่าถ้าจิตใต้สำนึกถูกเผาผลาญไปด้วยการชำระพลังกายก็จะล้มเหลว

ตัวเขาเดินบนเส้นทางความเป็นความตายนับตั้งแต่เขาออกจากสำนักศึกษาเป่ยหลิงจนประสบความสำเร็จในวันนี้… และตอนนี้ความฝันของเขาก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม ดังนั้นเขาจะต้องยืนหยัดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ความมุ่งมั่นวูบไหวในดวงตาของมู่เฉิน ก่อนที่เขาจะค่อยๆ ปิดตา ปล่อยให้อุณหภูมิสูงห่อหุ้มร่างกายเอาไว้

เมื่อจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่เห็นภาพนี้ก็พยักหน้า ในเมื่อจอมยุทธ์คนนี้ถูกเลือกโดยร่างมหาเทพนิรันดร์ก็ต้องเป็นคนที่มีปณิธานแข็งแกร่ง

“นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด หวังว่าเจ้าจะผ่านพ้นไปได้”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่พึมพำ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อเส้นใยอมตะพุ่งลงไปในหม้อกลั่นหลอมรวมเข้ากับร่างของมู่เฉินเมื่อละลาย

 

บรรยากาศภายนอกเจดีย์วั้นกู่อึมครึม

ผู้อาวุโสเผ่าหมัวเฮอมองไปที่เจดีย์พลางกระซิบว่า “ทำไมไอ้เด็กนั่นยังไม่ออกมา? เขาตั้งใจจะซ่อนตัวอยู่ในเจดีย์ตลอดรึไง?”

ท่าทางของหมัวเฮอเทียนไม่แยแสราวกับว่ากำลังพักผ่อน มีเพียงริมฝีปากที่ขยับพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้น “เราจะรอ ไม่ว่ามันจะซ่อนตัวนานแค่ไหน”

เหล่าผู้อาวุโสต่างพยักหน้าเข้าใจ เผ่าหมัวเฮอของพวกเขาพิทักษ์ร่างมหาเทพนิรันดร์เป็นเวลาหลายหมื่นปี ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะปล่อยให้มู่เฉินเอาออกไป

“ข้าจะดูซิว่ามันจะซ่อนตัวได้นานแค่ไหน… เมื่อไรที่มันปรากฏตัวก็ต้องส่งมอบร่างมหาเทพนิรันดร์มาให้แต่โดยดี!”

ที่ด้านนอกเจดีย์วั้นกู่ใบหน้าของหมัวเฮอเทียนและชิงเหยี่ยนจิ้งไม่เปลี่ยนแปลงขณะที่เฝ้ารอให้เวลาผ่านไป ภายใต้การเผชิญหน้าของสองจอมยุทธ์ขุมพลังเทียนจื้อจุนขั้นเซิ่ง เหล่าผู้ชมก็ไม่ได้ไปไหน ทว่าทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่กลับกำลังกระจายไปทั่วมหาพันภพด้วยความเร็วเหนือแสง

การประจันหน้าของสองเผ่าโบราณอาจนำมาสู่สงคราม ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งความสนใจมาที่ทวีปหมัวเฮอแห่งนี้

 

เวลาไหลผ่านไปสามเดือนในพริบตา

ในช่วงเวลาสามเดือน จำนวนผู้คนที่รวมตัวกันในเมืองวั้นกู่กลับเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง พร้อมกับข่าวแพร่กระจายออกไป

การเผชิญหน้าของสองเผ่าโบราณช่างน่าตกใจนัก ครั้งล่าสุดที่เกิดศึกใหญ่คือเผ่าหมัวเฮอกับแคว้นหวู่จิ้งฮั่ว…

แต่ตอนนั้นหมัวเฮอเทียนแพ้เซียวเหยียนจนต้องล้มเลิกความทะเยอทะยาน แต่คราวนี้ไม่มีใครรู้ว่าผู้ใดจะสามารถยับยั้งจอมยุทธ์ที่ครั้งหนึ่งเคยท้าทายอำนาจของเทพจักรพรรดิอัคคีได้

แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นการต่อสู้ครั้งนี้ ทำให้โลกสั่นคลอนแน่

 

ขณะที่บรรยากาศนอกเจดีย์ตึงเครียด

ในเจดีย์ ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวสีม่วงทองกลับบิดเบี้ยวภายใต้อุณหภูมิสูง

นับเวลาของที่นี่ก็ผ่านไปประมาณสามปีแล้ว

ในสามปีนี้ไฟในหม้อกลั่นไม่เคยหยุดโหมกระหน่ำสักครั้ง

เปลวไฟสีม่วงทองห่อหุ้มร่างเงาในหม้อกลั่นไว้ แต่เมื่อมองดีๆ จะพบว่านั่นเป็นร่างที่ไม่มีเนื้อหนัง เหลือเพียงโครงกระดูกนั่งเงียบๆ อยู่ในนั้น

ภายใต้ชำระเข้มข้นโครงกระดูกนี้ได้กลายเป็นสีม่วงทองที่เอิบอาบไปด้วยรัศมีนิรันดร์

ด้านนอกหม้อกลั่นจิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ลืมตาขึ้น ถ้าเขาไม่รู้สึกถึงเส้นสายชีวิตที่ซ่อนอยู่ภายในโครงกระดูกนั้น เขาคงคิดว่ามู่เฉินจบชีวิตลงในเปลวไฟแล้ว

“ไม่เลว…”

จิตวิญญาณเจดีย์วั้นกู่ชมเชย ความมุ่งมั่นของมู่เฉินเกินความคาดหมายของเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ถ้าเป็นคนอื่นพวกเขาคงจะหมดสติไปจากความเจ็บปวดแล้ว

“ต่อไปจะเป็นกระบวนการสร้างเนื้อหนังใหม่เพื่อให้ได้มาซึ่งความเป็นนิรันดร์”

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

หนึ่งในใต้หล้า The Great Ruler

Score 10
Status: Completed

ตอนที่ 1 – 1000 อ่านนิยาย

( อ่านต่อข้างล่าง )

หนึ่งในใต้หล้าจากปลายปากกาของเทียนฉานถูโต้ว กล่าวถึงมู่เฉิน เด็กหนุ่มจากสำนักศึกษาเป่ยหลิง ผู้ที่ได้รับเลือกให้เข้าฝึกในสงครามเทพยุทธ์ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าคนเก่งกาจ ทว่า… อยู่ดีๆ เขากลับถูกขับไล่ออกมาด้วยเหตุผลที่ไม่มีใครล่วงรู้ มู่เฉินพยายามฝึกหนักอีกครั้งเพื่อจะพาตัวเองกลับเข้าไปในเส้นทางแห่งนี้ เขาจำเป็นต้องใช้สิ่งนี้เป็นใบเบิกทางเพื่อเข้าศึกษาที่ภาคเบญจภาคี เพื่อ… ปกป้องหญิงสาวที่ตนรัก และยิ่งกว่านั้นคือเพื่อค้นหาเบาะแสของมารดาที่หายสาบสูญไป

‘มหาพันภพ’ เป็นที่ที่มิติทั้งหลายเชื่อมต่อกันในระบบสุริยจักรวาล สถานที่แห่งนี้มีขั้วอำนาจมากมายอาศัยอยู่ จักรพรรดิที่มาจากพิภพเขตล่างต่างเป็นตำนานที่ผู้อื่นปรารถนาขึ้นไปบนเส้นทางแห่งกฎของโลกไร้ขอบเขตนี้

แคว้นหวู่จิ้งฮั่ว เทพจักรพรรดิอัคคีควบคุมเปลวเพลิงกวาดข้ามสวรรค์

แคว้นหวู เทพจักรพรรดิสงครามผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำให้ทั้งสวรรค์และโลกหวาดกลัว

ตำหนักซีเทียน จักรพรรดิสัประยุทธ์ที่แข็งแกร่งไม่มีผู้ใดเทียบเท่า
ในเนินเขารกร้างทางเหนือ ดินแดนวั้นมู่ของจักรพรรดิอมตะครองเหนือภพ

เด็กหนุ่มจากมณฑลเป่ยหลิงออกท่องยุทธภพกับวิหคโลกันตร์คู่ใจ มุ่งหน้าสู่โลกภายนอกที่เต็มไปด้วยสีสัน ใครกันที่จะเป็นผู้กุมชะตากรรมในเส้นทางการเป็นหนึ่ง?

ในมหาพันภพที่สงครามนับหมื่นอุบัติ ข้าคือผู้กุมชะตาฟ้าดิน…

Options

not work with dark mode
Reset