หนี้รัก วิวาห์จำเป็น 230 ฉันต้องรู้ทั้งหมด

ตอนที่ 230 ฉันต้องรู้ทั้งหมด

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “ถ้ารู้แล้ว ต่อไปก็อย่าพลาดเรื่องที่น่าสนใจพวกนี้อีกนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ก่อนจะยกยิ้มอ่อนๆ : “อือ ต่อไปฉันจะอยู่กับเธอ เรื่องที่เกิดขึ้นกับเธอ ฉันจะต้องรู้ทั้งหมด”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาลูบที่ไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อก่อนที่เธอจะพูดอย่างจริงจังว่า : “อย่ามาล้อเล่นอีกนะคะ!”

“โอ้ย……..” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตีไปที่ไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงก็ขมวดคิ้วแล้วแสดงท่าทีที่เจ็บปวดออกมาทันที

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเช่นนั้น ก็รีบยกมือขึ้นมาพยุงเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “เป็นอะไรไปคะ? ฉันตีโดนแผลของคุณหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ไม่หรอก ตอนนี้ยังทนได้อยู่ ฉันไหว”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเช็ดน้ำตาแล้วขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “ตอนนี้มันไม่ใช่เวลามาเล่นนะคะ คุณทนก่อนนะ ฉันจะล้างแผลให้คุณ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็หันหน้าไปมองยาที่อยู่ข้างๆ ก่อนจะเตรียมทุกอย่างอย่างละเอียด แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆล้างแผลให้เหลิ่งเซ่าถิง ที่มีเศษกระจกติดมาด้วย จากนั้นเธอก็ค่อยๆพันแผลให้กับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างระมัดระวัง เหลิ่งเซ่าถิงก่มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังพันแผลให้เขาอยู่ข้างหลัง เขาก็อดไม่ได้ที่จะไม่ลดใบหน้ามาจูบหน้าผากเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากของตัวเอง : “ช่วยอยู่นิ่งๆหน่อยได้มั้ยคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ก่อนจะหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วมองรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างตะหงิดใจ ก่อนจะถามว่า : “คุณมองอะไรไม่ทราบคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มจนตาหรี่เล็ก ก่อนจะพูดว่า : “มองเธอคนสวยไง”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดว่า : “คุณก็รู้ด้วยหรอคะว่าฉันสวย? ฉันคิดว่าคุณไม่รู้ซะอีกว่าฉันเป็นคนสวย”

เหลิ่งเซ่าถิงขยับเข้ามาใหล้เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะกดจูบลงไปที่ปากของเธอครั้งหนึ่ง พร้อมกับค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา : “ฉันจะไม่รู้ได้ไงล่ะว่าเธอคือคนสวย? ในสายตาของฉันเธอคือผู้หญิงที่สวยที่สุด”

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มมุมปากพร้อมกับหัวเราะเบาๆ : “คุณนี่นับวันยิ่งพูดเข้าหูฉันนะคะ”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดคุยกับอยู่ เจี่ยนซวงก็ตะโกนออกมาจากห้องน้ำว่า : “คุณพ่อหม่าม้า! รีบเข้ามาเร็วๆค่ะ หนูคิดถึงแล้ว! หนูไม่อยากอยู่กับพี่ชายซื่อบื้อนี่แล้วค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “หยุดเลยนะคะ ฉันบอกคุณแล้วนี่คะไม่ต้องเข้าใกล้ฉันแบบนี้ เด็กๆยังอยู่ในห้องนะคะ อย่ามาทำอะไรแบบนี้!”

เหลิ่งเซ่าถิงเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ได้ รอให้ทำแบบนั้นได้ค่อยมาคุยกันแล้วกัน”

“หึ ต่อไปคงไม่มีวันนั้นแล้วล่ะค่ะ “ เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปสกล่างของตัวเองพร้อมกับใบหน้าที่แดงระเรื่อของเธอ

แต่ถึงแม้หน้าของเธอจะแดงมากๆ เธอก็ไม่ลืมที่จะช่วยพยุงตัวเหลิ่งเซ่าถิงให้ลุกขึ้น ทั้งสองคนเข้าห้องน้ำไปด้วยกัน หลังจากที่เข้าไผในห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วก็พบเจี่ยนซวงและลั่วหยางก็นอนอยู่บนเตียงที่เธอใช้ผ้านวมปูแล้ว

ลั่วหยางขมวดคิ้วพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “คืนนี้เราต้องนอนในนี้ตริงๆหรอครับ? ผมไม่ชอบนอนในห้องน้ำ! ในนี้ทั้งหนาวทั้งชื้น”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่ลั่วหยางพูดเธอก็ยิ้มออกมาด้วยความประหม่า ก่อนจะรีบพูดขึ้นมา : “เอ่อ…..มันไม่มีทางเลือกแล้วค่ะ ข้างนอกมันไม่ปลอดภัย ในนี้ปลอดภัยกว่า ถ้าหนูหนาวเดี๋ยวหม่าม้าไปเอาผ้าห่มมาให้นะคะ”

“จริงๆเขาหมายความว่าห้องน้ำมันไม่สะอาดค่ะ” เจี่ยนซวงกระพริบตาพร้อมกับพูด : “หนูบอดเขาแล้วว่าห้องน้ำถูกทำความสะอาดแล้ว ห้องน้ำที่นี่สะอาดกว่าบ้านที่เราเคยอยู่อีก บ้านที่เราเคยอยู่ในหมู่บ้านนั้นสิถึงจะเรียกสกปรกของจริง! ห้องน้ำก็ไม่อยู่ในบ้านด้วย”

เจี่ยนซวงพูดออกมาอย่างโอเวอร์พร้อมกับส่ายหน้าไปมา : “แต่หนูก็ผ่านมันมาได้ ไม่เหมือนใครบางคนแถวนี้ที่อารมณ์เสียอยู่นั่นแหละ อี๋ เด็กสมัยนี้นี่ทนทุกข์หน่อยก็ไม่ได้เลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงพูดอย่างกับคนแก่สอนเด็ก ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอมองเจี่ยนซวงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “โอเคค่ะ หนูน่ะจะรู้เยอะไปแล้ว นอนดีๆเถอะค่ะ”

“ค่ะ หนูน่ะเด็กดีที่สุดแล้ว” เจี่ยนซวงชื่นชมตัวเองพร้อมกับนอนลงไปกับหมอน

ในขณะที่เด็กทั้งสองคนหลับไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็หันมามองเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดว่า : “ฉันนอนตรงกลางนะคะ ตอนกลางคืนถ้าเด็กๆนอนดิ้นจะไปรบกวนเวลานอนของคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : ไม่เป็นไร”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้าก่อนจะพูดเสียงต่ำ : “ไม่ได้ค่ะ นอนตามใจไม่ได้ คุณยังบาดเจ็บอยู่นะ ถ้านอนไม่เรื่อยแล้วมันทำให้แผลคุณแย่กว่าเดิมจะทำยังไงคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หยิบหมอนขึ้นมาวางลงข้างๆหมอนของเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “นอนเถอะค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าก่อนจะก้มลงไปมองหมอนสองใบนั้นแล้วค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะล้มตัวลงนอนอย่างว่าง่าย เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงล้มตัวลงนอนแล้วเธอก็ลากผ้าห่มขึ้นมาห่มให้เหลิ่งเซ่าถิงทันที เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองคนนอนด้วยกันจากที่ไม่ได้นอนด้วยกันมานานมากๆ เพียงเจี่ยนอี๋นั่วพลิกตัวมาเธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่มองเธออยู่

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะกระพริบตาปริบๆแล้วพูดขึ้นมาว่า : “คุณมองอะไรคะ? ทำไมสายตาของคุณมันแปลกๆ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก็มองเธอไง”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้ว : “คุณอย่าคิดอะไรลามกนะคะ ตอนนี้เด็กๆยังอยู่ข้างๆ…..อีกอย่างหลังคุณก็เจ็บอยู่ นอนเถอะค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า แล้วก็โค้งตัวของเขามาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ฉันดีขึ้นแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาวางไว้บนไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “คุณพลิกตัวไม่สะดวกรึเปล่าคะ? มาค่ะฉันช่วย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับกอดเหลิ่งเซ่าถิงไปครึ่งตัว เพื่อจะช่วยเขาให้พลิกตัว

ในขณะนั้นเจี่ยนซวงก็ขยับเข้ามสใกล้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “หม่าม้ากอดแค่คุณพ่อคนเดียวไม่ได้นะคะ ต้องกอดซวงซวงด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันตั้งตัวเธอก็ถูกคำพูดของเจี่ยนซวงมำเอาเธอตกใจ ก่อนใบหน้าของเธอจะแดงระเรื่อแล้วเพิ่มระดับเสียง : “หม่าม้ากอดคุณพ่อที่ไหนคะ?”

เนื่องจากเจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงมากเกินไป ร่างที่ได้รับบาดเจ็บอยู่แล้วของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นถูกเจี่ยนอี๋นั่วปล่อยลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าเขาทนเจ็บอยู่ แต่ในขณะนี้เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า : “เจ็บ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเข้าไปใกล้เขาก่อนจะขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิง : “เซ่าถิง คุณเป็นอะไรไปคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า เขาแทบจะพยุงตัวเองไม่อยู่ : “ไม่เป็นอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “ทับโดนแผลใช่มั้ยคะ? ฉันไม่ทันระวังเอง อีกอย่างเมื่อกี้ซวงซวงก็……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเพียงเท่านั้นเธอก็หันหน้าไปมองเจี่ยนซวง แต่เจี่ยนซวงก็มุดตัวเข้าผ้าห่มแล้วหลับตาอย่างว่าง่าย พร้อมกับนอนกรนครอกฟี่ไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเจี่ยนซวงแกล้งหลับ เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา ตอนที่เธอเตรียมจะดุลูก เหลิ่งเซ่าถิงก็เอามือมาขวางไว้ก่อน เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าไปมาให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ช่างเถอะ ลูกนอนหลับไปแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตาโต : “ก็เห็นๆอยู่ว่าแกล้ง………”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ตอนนี้ฉันไม่เจ็บแล้ว ลูกก็ไม่รู้เรื่องอะไร ตอนนี้ก็…..”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด ก่อนจะหันไปมองเจี่ยนซวงแล้วพูดด่วยรอยยิ้ม : “ตอนนี้ก็หลับไปแล้วด้วย”

ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เขาเน้น’หลับไปแล้ว’นี้ด้วย ก่อนเจี่ยนซวงจะรีบมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มทันที ก่อนจะทแสร้งทำเป็นกรมคร่อกฟี่ออกมาอีกครั้ง จนรบกวนลั่วหยางที่หลับตาเตรียมตัวจะนอนชำเลืองมอง จนต้องลุกขึ้นแล้วมามองเจี่ยนซวงด้วยความสงสัย ก่อนจะหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิง

เมื่อกี้นี้เจี่ยนอี๋นั่วโกรธมาก แต่เมื่อเธอเห็นเจี่ยนซวงแกล้งหลับแบบนี้แล้ว ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนเธอจะหันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังยิ้มอยู่เช่นกัน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “ลูกจะเอาแต่ใจหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบเพราะคุณมั้ยคะเนี่ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “การเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนะ เมื่อก่อนฉันอ่านหนังสือเลี้ยงลูกยังไงให้ดีมาเยอะ จริงๆแล้วสิ่งดีๆหลายๆอย่างก็เป็นเหมือนดาบสองคม เลี้ยงลูกให้ซื่อสัตย์ แต่ว่าโลกนี้เต็มไปด้วยคนซื่อสัตย์ที่พูดโกหกเต็มไปหมด มีคนที่เขาซื่อสัตย์จริงที่ไหนล่ะ? หลายๆครั้งที่เราหวังว่าจะเห็นคนที่ไม่ซื่อสัตย์ แต่แค่ดูซื่อสัตย์ สอนให้เด็กๆรู้จักแบ่งปันให้คนอื่น เมื่อโตขึ้นก็จะชินกันการแบ่งปันให้กับคนอื่น ก็จะถูกคนอื่นรังแกครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกคนต้องการคนที่ซื่อสัตย์ จริงใจ รับผิดชอบ แล้วก็คนมีอิทธิพลอยู่รอบข้างพวกเขา คนพวกนี้น่ะมักจะเป็นที่ชื่นชอบของคนอื่น แต่ส่วนมากเวลาที่ต้องทำอะไรด้วยตัวเองก็จะโกหกเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แล้วก็ปัดความรับผิดชอบให้กับคนอื่น…..”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนั้น เธอก็ชิงตัดบทของเหลิ่งเซ่าถิงทันที : “แต่ถ้าท่านประธานสอนลูกแบบนี้จะทำให้ลูกเป็นที่ไม่ชอบของคนอื่นนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองมาที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “ฉันแค่จะบอกว่าอย่าสนใจเรื่องพวกนี้มากเกินไปต่างหาก หลายอย่างที่เธอคิดว่ามันถูก มันอาจจะไม่ดีกับลูกๆก็ได้นะ เทียบไม่ได้กับการปล่อยให้พวกเขาได้เติบโตไปเองนะ”

เจี่ยนอี๋นั่งยิ้ม : “นี่ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบของคุณด้วยมั้ยคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า : “ไม่สิ ไม่ใช่สักหน่อยฉันรับผิดชอบอย่างกล้าหาญต่างหาก เธอรู้อะไรมั้ย? สิ่งสำคัญที่สุดในครอบครัวคือความสัมพันธ์ของเธอกับฉัน ก็คือความสัมพันธ์สามีภรรยานั่นแหละ เรื่องของพ่อแม่คนอื่นก็เอามันไว้ข้างหลังแล้วกัน สอนให้ลูกเรารู้จักรักก็พอ แล้วก็การสอนที่ดีต้องผ่านทางการกระทำ ซค่งวิธีของฉันดีกว่าที่เธอทำนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นก็อดที่จะไม่หัวเราะออกมาไม่ได้ : “คุณเป็นตัวอย่างยังไงให้ล่ะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะขยับเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะกดจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดว่า : “เราก็รักกันดีแบบนี้ก็เป็นวิธีการสอนที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วระมัดระวังพวกเด็กๆอย่างดี ก่อนจะหลบๆแล้วพูดขึ้นว่า : อย่าทำแบบนี้ค่ะ เด็กๆยังนอนอยู่ข้างๆ”

“อ๋า?” เหลิ่งเคเงยหน้าจึ้น ก่อนจะมองไปที่ที่เจี่ยนซวงและลั่วหยางนอนอยู่ ก็เห็นเจี่ยนซวงที่แกล้งหลับไปเมื่อกี้นั้นหลับไปแล้ว แต่ลั่วหยางยังคงลืมตามองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิง

เพราะเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามาทางเหล่งเซ่าถิง และหันหลังลั่วหยาง เธอจึงไม่รู้ว่าลั่วหยางตื่นมาแล้วกำลังมามองอยู่

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดกับลั่วหยางผ่านเจี่ยนอี๋นั่วไปว่า : “ไม่เป็นไรหรอก เด็กๆหลับไปหมดแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาใส่ลั่วหยาง ลั่วหยางขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะหลับตาลงแล้วก็นอนลงในผ้าห่ม

“นอนแล้วจริงๆหรอคะ? “ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหันมามองลูกๆทั้งสองคน ก็เห็นว่าซวงซวงและลั่วหยางนอนกลับในผ้าห่มแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงขยับเข้ามาใกล้เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ดูสิ ฉันไม่ได้โกหก”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดพร้อมกับขยับเข้าไปใกล้อีก แล้วจูบลงที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึดเขินนิดไแต่เธอก็ไม่ได้ขัดขืนแต่งอย่างใด เพียงแต่ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น : “อย่ามาจูบฉันพร่ำเพรื่อนะคะ เราควรให้เกียรติลูกในฐานะพ่อแม่ด้วย”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “เธอนี่อย่างกับผู้ปกครองหัวโบราณเลย”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็จูบลงที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “บอกแล้วไง ว่าความใกล้ชิดสนิทสนมของเราเป็นคำสอนที่ดีที่สุดของลูก มีอะไรที่ดีไปกว่าการเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรักล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “แต่ว่าคุณควรรักษาตัวให้หายก่อนแล้วค่อยพูดเรื่องรักๆใคร่ๆนะคะ…….”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ถอนออกมาทันที เหลิ่งเซ่าถิงอยากตามเธอไปจูบอีกครั้ง แต่เนื่องจากเขาขยับตัว แผลของเขาจึงเจ็บปวดจนต้องขมวดคิ้วขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยุงตัวเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “บอกแล้วใช่มัย้คะว่าอย่าดิ้น เป็นไงล่ะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า : “บนที่นี่มันไม่ค่อยสบายตัวน่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “หรือว่ามันแคบไปคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า : “ไม่หรอก ฉันต้องนอนใกล้ๆเธอถึงจะหลับลง”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “นี่มันเหตุผลบ้าบออะไรกันคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า แล้วถอนหายใจออกมา : “ไม่งั้นก็นอนไม่หลับจริงๆนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตา ตอนแรกเธอยังไม่เข้าใจ แต่เมื่อผ่านไปสักพักเธอก็ตอบสนองด้วยการตีเหลิ่งเซ่าถิงไปทีนึง : “คุณนี่จริงๆเลยนะคะ ทำไมชอบพูดบ้าๆอะไรอย่างนี้? มันไมนับวันยิ่งไม่จริงจังไปทุกทีล่ะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงพิงเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม : “การได้อยู่ใกล้เธอ จริงๆจังๆยากจะตาย”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ที่เธอจำได้คือ ผู้ชายคนนี้เป็นเย่อหยิ่งแล้วก็เย็นชาไม่ใช่หรอ? แล้วผู้ชายที่อ้อล้อแล้วก็เลี่ยนๆตรงหน้าเธอนี่มันใครกัน?

“คุณคือเหลิ่งเซ่าถิงตัวปลอมรึเปล่าคะ? เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาทาบใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วก็ถามขึ้น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Score 10
Status: Completed
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

Options

not work with dark mode
Reset