เพียงเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา แล้วนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งขึ้นมาทันที จนเธอได้กลิ่นหอมอ่อนๆออกมา เธอจึงได้หรี่ไฟลง
เจี่ยนอี๋รั่วตักโจ๊กใส่ไปในสองชามอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันหน้ามาหาลั่วหยางแล้วตะโกนออกมาว่า : “ลั่วหยาง หนูกับซวงซวงกินโจ๊กกันไปก่อนนะคะ เดี๋ยวหม่าม้าจะรีบเอาขึ้นไปให้คุณพ่อกินก่อน”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ถือถ้วยโจ๊กขึ้นชั้นสองไป
ลั่วหยางมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่น จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วมองไปที่โจ๊กที่เจี่ยนอี๋นั่วทำให้พักหนึ่ง เขาลังเลอยู่นาน จากนั้นลั่วหยางก็ตักโจ๊กขึ้นมาชิม ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วแล้วทำหน้าขื่นขมออกมา
“โจ๊กอร่อยมั้ยคะ?” เจี่ยนซวงวิ่งมาถามด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆลั่วหยาง
ลั่วหยางมองเจี่ยนซวง ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “โจ๊กอร่อยมาก คิดไม่ถึงเลยว่าคุณผู้หญิงเจี่ยนที่ทำอาหารไม่เป็นจะทำโจ๊ะได้อร่อยขนาดนี้ คุณผู้หญิงทำโจ๊กให้เธอกินบ่อยมั้ย?”
เจี่ยนซวงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “แน่นอนสิคะ หม่าม้าชอบทำโจ๊กให้หนูกินมากๆ ถึงแม้หม่าม้าจะทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่โจ๊กก็ถือว่าพอใช้ได้ค่ะ อีกอย่างการทำโจ๊กมันใช้เวลาทำไม่นาน แค่เอาข้าวใส่ลงหม้อแล้วก็ค่อยๆต้มเอง ถ้าแม่แต่โจ๊กก็ทำไม่เป็น คงต้องเป็นหม่าม้าที่ซื่อบื้อไร้เทียมทานแล้วแหละค่ะ”
เมื่อเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็หัวเราะฮิฮิก่อนจะตักโจ๊กเข้าปาก จากนั้นเจี่ยนซวงห็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะทำหน้าที่ขมขื่นออกมา : “ว้าว ทำไมไม่อร่อยเลยล่ะ ทำไมรสชาติมันขมอย่างงี้ล่ะคะ อาหารที่หม่าม้าทำรสชาติแย่ลงทุกวันเลย ทำไมทำโจ๊กได้แย่ขนาดนี้ล่ะเนี่ย?”
เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับกินเข้าไปอีกสองสามคำ แล้วหันหน้าไปจ้องลั่วหยางทันที แล้วพูดด้วยน้ำเสียงโมโหว่า : “พี่โกหกหนูหรอคะ? โจ๊กรสชาติแย่ขนาดนี้! พี่ยังโกหกหนูอีกว่ามันอร่อย!”
ลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม : “พี่คิดว่าเธอจะชอบโจ๊กนี้มากไง ไม่ได้คิดว่าเธอจะไม่ชอบมันเลยสักนิด”
เจี่ยนซวงแลบลิ้นออกมาก่อนจะพูดด้วยความโมโหว่า : “พี่คั้งใจโกหกหนู!”
จู่ๆเจี่ยนซวงก็นึกอะไรขึ้นได้ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ : “คุณพ่อต้องคิดว่าโจ๊กของหม่าม้ารสชาติไม่ดีแน่เลย ไม่รู้ว่าคุณพ่อจะด่าหม่าม้ามั้ย? ถ้าคุณพ่อคิดว่าฝีมือหม่าม่าไม่อร่อย ไม่แน่นะว่าในอนาคตฝีมือการทำอาหารของหม่าม้าจะอร่อยขึ้นใน”
ลั่วหยางส่ายหน้าก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เขาไม่พูดหรอกว่าไม่อร่อย แค่ได้กินโจ๊กที่คุณผู้หญิงเจี่ยนทำให้เขาก็ดีใจมากๆแล้ว”
“คุณผู้หญิงเจี่ยน? คุณผู้ชายเกลิ่งงั้นหรอคะ?” เจี่ยนซวงมุ่ยปาก พร้อมกับส่ายหน้า : “เหมือนพี่เป็นแขกยังไงอย่างนั้นเลยอ่ะ ถึงแม้หนูจะไม่ชอบที่พี่เป็นพี่ชายของหนู แต่พี่พูดแบบนี้ หนูก็รู้สึกไม่ดีนะคะ แล้วก็……”
เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้ เธอก็นึกถึงบะหมี่ที่เจี่ยนอี๋นั่วทำที่รสชาติแย่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังบอกว่าอร่อย เจี่ยนซวงเองก็พยักหน้าตามอย่างเห็นด้วย : “คุณพ่อคงจะพูดว่าโจ๊กของหม่าม้าอร่อยจริงๆนั่นแหละ”
เจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปใกล้ลั่วหยาง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเบาๆว่า : “พี่ว่าลิ้นของคุณพ่อเราไม่ดีรึเปล่าคะ ทำไมถึงกินอาหารที่รสชาติแย่ๆของหม่าม้าเข้าไปได้?”
ลั่วหยางไม่ได้พูดอะไร เพียงมองเจี่ยนซวงแล้วพูดด้วเสียงเข้ม : “ไม่รู้”
“อืม เพราะว่าลิ้นไม่ดีแน่ๆ” เจี่ยนซวงพยักหน้า และคาเคะเนความเป็นไปได้กับตัวเหลิ่งเซ่าถิง
เจี่ยนอี๋นั่วถือโจ๊กขึ้นไปชั้นสองก่อนจะเคาะประตูห้องเบาๆ หลังจากที่เธอได้ยินเสียงจากในห้องว่า ‘เข้ามา’ เธอก็เปิดประตูเข้าไปทันทีพร้อมกับโจ๊กของเธอ
เพียงเธอเข้าไปในห้องนอน เธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดนอนนอนอยู่บนเตียง ใบหน้าของเขาแดงมากกว่าปกติ เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะวางโจ๊กไว้ข้างๆแล้วยกมือขึ้นมาทาบหน้าผากของเหลิ่งเซ่าถิง พร้อมกับขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ทำไมหน้าคุณแดงขนาดนี้ล่ะคะ? เป็นไข้รึเปล่า?”
เหลิ่งเซ่าถิงช้อนสายตาของเขามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะมองต่ำแล้วก็ส่ายหน้า : “ฉันไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้รู้สึกไม่ค่อยดีเลย”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมา พยายามที่จะจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่ทาบอยู่ที่หน้าผากของเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่รีรอให้เขาได้มาแตะมือของเธอแตาอย่างใด เธอก็รีบหลีกการสัมผัสจากเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว
เจี่ยนอี๋นั่วเอามือมาไว้ข้างหลังของตัวเองก่อนจะขมวดคิ้ว : “ตัวร้อนมากนะคะ ฉันว่าไปโรงพยาบาลดีกว่าค่ะ”
เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นพฤติกรรมของเจี่ยนอี๋นั่งเขาก็ส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้ม : “หมอมาดูอาการแล้ว ยาก็กินแล้ว เธอไม่ต้องห่วงหรอก ฉันไม่เป็นอะไรแน่นอน ร่างกายของฉัน ฉันรู้ดี”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นทันที : “อะไรคะ? รู้อะไรกัน?ถ้าคุณรู้จริงๆคุณจะกลายเป็นแบบนี้หรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดออกมาเบาๆว่า : “ทำไม? เธอเป็นห่วงฉันหรอ?”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งว่า : “ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้เป็นห่วงคุณ”
เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองก่อนจะยิ้มอ่อนๆ : “ไม่ว่าเธอจะห่วงหรือไม่ห่วงฉัน ฉันก็จะบอกเธออยู่ดี เธอวางใจเถอะ ไม่มีอะไรน่าห่วงจริงๆ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับฉันจริงๆฉันจะบอกเธอตรงๆ เธอไม่ต้องกังวล ในการรักษาโรคมันต้องใช้เวลา ตอนนี้ร่างกายของฉันก็กำลังพักฟื้น”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะกระพริบตา : “ฉันทำโจ๊กมาค่ะ คุณกินหน่อยแล้วกันนะคะ”
เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มก่อนจะกินโจ๊กเข้าไปคำนึง ก่อนที่เขาจะขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่อยู่
“ทำไมคะ? ไม่อร่อยหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “ตอนนี้ฉันมีแค่สกิลในการทำโจ๊กนี่แหละค่ะ ถ้ามันไม่อร่อยจริงๆ ฉันก็คงไม่มีประโยชน์จริงๆ”
“ไม่นี่ อร่อยมาก” เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกินโจ๊กต่ออีกคำ พร้อมกับยิ้มแล้วก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “อร่อยมากจริงๆนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงโล่งอก ก่อนจะยิ้มออกมาด้วยความพออกพอใจ : “แน่นอนสิคะ ถึงแม้อาหารอย่างอื่นฉันจะไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าเป็นโจ๊กฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร คุณกินโจ๊กต่อเลยนะ ฉันขอตัวก่อน เด็กสองคนนั้นจะอยู่ตามลำพังไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็นอนพักซะนะคะ คืนนี้ฉันจะดูแลลูกเอง คุณไม่ต้องห่วงนะ”
เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเพียงพิงเตียงแล้วขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วก็มองเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นท่าทีเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงมีอะไรจะพูด เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “คุณมีอะไรจะพูดหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงเชยตามองเจี่ยนอี๋นั่ว : “ขอโทษที่ฉันโกหกเธอ ขอบคุณที่เธอกลับมาดูแลฉัน”
เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดอะไรอย่างนี้กับเธอ
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “คุณรู้สึกผิดด้วยหรอคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า แล้วพูดด้วยความจริงใจว่า : “แน่นอนสิ ฉันผิดไปแล้ว และรู้สึกผิดมาก”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง : “แล้วต่อไปคุณจะยังทำแบบนี้อีกมั้ยคะ?”
เหลิ่งเซ่าถิงอึ้งไปสักพัก ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ถ้าการพูดโกหกมันสามารถทำให้เธอยังอยู่เคียงข้างฉันได้ ฉันก็ยินดีที่จะโกหก”
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที ก่อนจะพูดเสียงดังๆอัดหน้าเหลิ่งเซ่าถิง : “คุณนี่ไม่เปลี่ยนเลยนะคะ! ฉันไม่ควรอยู่ดูแลคุณแล้ว!”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็หันหลังทันที แต่เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือของเขามาจับเจี่ยนอี๋นั่วเพื่อยื้อเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพยายามสะบัดมือของเขาออก เหลิ่งเซ่าถิงก็จับมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้แน่น ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เธอขอให้ฉันพูดความจริง และเมื่อกี้ฉันก็ไม่ได้โกหก แต่เธอก็ยังโกรธ แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไงล่ะ?”
เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง : “คุณไม่ต้องคิดว่าจะทำยังไงกับฉันหรอกค่ะ ตอนนี้คุณกำลังป่วยอยู่ ไม่ต้องคิดเรื่องพวกนั้นหรอก แค่พักผ่อนให้เต็มที่ก็พอ เดี๋ยวพายุไต้ฝุ่นก็จะเข้าแล้ว ฉันจะออกไปตรวจดูรอบๆคฤหาสน์ก่อน ว่ามีอะไรขาดมั้ย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็มองไปที่มือของเหลิ่งเซ่าถิงที่จับมือเธอเอาไว้อยู่ตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที : “ฉันบอกคุณแล้วใช่มั้ยคะว่าถ้าไม่ได้รับการยินยอมจากฉัน คุณห้ามมาแตะเนื้อต้องตัวฉัน”
เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามามองมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาละงเลอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆปล่อยมือเธอแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มว่า : “ได้ ฉันจะปล่อย”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงปล่อยมือเธอแล้ว เธอก็หันหลังแล้วเดินออกจากห้องไปทันที ก่อนจะพิงผนังแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะสงบจิตสงบใจของเธอที่ตื่นตระหนกนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเดินลงบันไดไปด้วยความสับสน ก่อนจะเห็นเจี่ยนซวงและลั่วหยางกำลังเถียงกันอยู่
เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปเพื่อเข้าไปไกล่เกลี่ย แต่เธอก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องมา ดังจนทำให้เจี่ยนซวงตกใจกลัวจนตัวสั่น ลั่วหยางเอกก็ตะลึงไปชั่วขณะเช่นกัน
เจี่ยนอี๋นั่วรีบโบกมือเรียกเจี่ยนซวงและลั่วหยางก่อนจะตะโกนเสียงดัง : “เด็กๆขึ้นมาชั้นสองเร็วค่ะ รีบขึ้นไปอยู่บนห้องแล้วก็นอนกัน เดี๋ยวหนูตื่นไต้ฝุ่นก็หมดแล้วค่ะ”
เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบวิ่งไปทันที ตอนที่เธอกำลังจะวิ่งขึ้นบันไดเธอก็หันมามองลั่วหยางที่ยังไม่ได้ตามขึ้นมา เจี่ยนซวงรีบไปหาลั่วหยางแล้วก็เอื้อมมือไปจับเขาก่อนจะพูดอย่างเร่งรีบว่า : “พี่คะ ไม่ไปด้วยกันหรอคะ? อยู่ตรงนี้น่ากลัวนะคะ หนูจะไปอยู่กับหม่าม้า”
ลั่วหยางมองเจี่ยนซวงก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยจับมือเจี่ยนซวงไว้แน่นแล้วก็เดินขึ้นชั้นสองไปกับเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเด็กทั้งสองคนขึ้นมาแล้วเธอก็โล่งใจ ก่อนที่เธอจะถามเจี่ยนซวงและลั่วหยางว่า : “เด็กๆกลับไปนอนที่ห้องก่อนนะคะ เดี๋ยวอีกสักพักหม่าม้าจะเข้าไปหา จริงด้วย เด็กๆกินโจ๊กกันหมดรึยังคะ?”
ลั่วหยางลดสายตาลงและไม่ได้พูดอะไร เจี่ยนซวงทำหน้าทำหน้าบึ้งก่อนจะทำเสียงร้องไห้ : “กินแล้วค่ะ แต่ว่ามันไม่อร่อยเลยค่ะหม่าม้า ทำไมหม่าม้าทำอาหารรสชาติแย่ลงเรื่อยๆละคะ? ไม่เห็นอร่อยแบบเมื่อก่อนเลย?”
เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดในใจ เธอรู้แล้วเพราะเมื่อกี้ตอนที่เธอทำโจ๊กอยู่เธอมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเลยไม่ได้ตั้งใจทำ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังหาข้ออ้างมาง้าง : “อย่ามามั่วนะคะ คุณพ่อของหนูยังบอกว่าอร่อยอยู่เลย”
ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ไม่ว่าคุณตะทำอาหารอะไร เขาก็บอกว่าอร่อยทุกอย่างนั่นแหละครับ”
เจี่ยนซวงเสริมอยู่ข้างๆ : “ใช่ค่ะ ใช่ๆ เพราะว่าคุณพ่อเป็นคนที่ไม่มีความรับรู้รสชาติ!”
ในตอนนี้เจี่ยนซวงและลั่วหยางเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างสมบูรณ์
เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวงก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “ซวงซวงคะ……..”
เจี่ยนซวงพูดเสียงเบา : “หนูไม่ได้โกหกนะคะ คุณพ่อเขา……”
เมื่อลั่วหยางได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด ก็ไอสองสามครั้ง ก่อนจะพูด : “ไม่ต้องพูดแล้ว พวกเขาเข้าข้างกันอยู่”
เจี่ยนซวงเข้าใจที่ลั่วหยางพูด เธอก็พยักหน้าแล้วก็ขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “ใช่ค่ะ พวกเขาเข้าข้างกัน”
เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ ก่อนจะหันไปขมวดคิ้วใส่ลั่วหยางและเจี่ยนซวง : “โอเคค่ะ ไม่ต้องพูดกันแล้ว”
เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันหน้ามามองลั่วหยางทันที ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความขมขื่น : “เอ่อ…..หนูไปอยู่กับเจี่ยนซวงที่ห้องก่อนได้มั้ยคะ? ถ้าอย่างงี้หม่าม้าจะได้ดูแลหนูทั้งสองคนสะดวกมากขึ้น”
ลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะเอียงหัวแล้วก็ถามด้วยความสงสัย : “ไปห้องของพวกคุณหรอครับ?”
เจี่ยนซวงจับมือลั่วหยางก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มน่ารักว่า : “พี่คะ ก็มห้พี่มาอยู่ห้องของหนูกับหม่าม้าไงคะ? พี่มาอยู่กับเราสองคน เพื่อที่เราจะได้ดูแลกันและกันไง”
เจี่ยนซวงพูดจบก็กระพริบตาอย่างว่าง่าย ดวงตาของเธอแสดงออกถึงความปรารถนาและความเชื่อฟังออกมา
ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม : “ตัวเองกลัวฟ้าร้องใช่มั้ยล่ะ? เลยคิดว่ายิ่งมีคนอยู่ด้วยเยอะๆยิ่งดีใช่มั้ย?”
เจี่ยนซวงรีบส่ายหน้า ก่อนจะอธิบายออกมาด้วยความน้อยใจว่า : “ไม่ใช่นะคะ จริงๆ…….”
เจี่ยอนี๋นั่วมองลั่วหยางแล้วยิ้มออกมา : “ถ้าไม่ชินกับการมาอยู่ห้องหม่าม้ากับน้อง เดี๋ยวหม่าม้ากับน้องไปที่ห้องของหนูก็ได้นะคะ ถ้าเราได้อยู่ด้วยกันสามคนคืนนี้ คงจะ……..”
เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้เธอก็ยกมือขึ้นมาเขกหน้าผากตัวเองเบาๆ : “หม่าม้าขี้กลัวค่ะ กลัวเสียงฟ้าร้องมากๆๆ ถ้าเราอยู่ด้วยกันคงจะดีมากๆ หม่าม้าก็จะได้วางใจด้วย”
เมื่อลั่วหยางได้ยินเช่นนัน้ เขาก็ยืดตัวเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า : “ถ้าพูดขนาดนี้แล้ว ผมช่วยคุณก็ได้ครับ”
เมื่อลั่วหยางพูดจบ เขาก็จะบมือของเจี่ยนซวงเอาไว้แน่นพร้อมกับพูดว่า : “ไปกัน กลับห้องเรา พี่จะปกป้องเธอเอง”
เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นลั่วหยางจับมือของเจี่ยนซวงเดินเข้าห้องนอนไป เธอก็โล่งใจ ก่อนที่จะยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ถึงลั่วหยางจะดูเป็นผู้ใหญ่ แต่แม้จริงแล้วเขาก็เป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คงไม่รู้ทันความคิดของผู้ใหญ่อย่างเธอหรอก
การที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการนอนห้องเดียวกันกับลั่วหยางและเจี่ยนซวง ก็เพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งสามแม่ลูกนั้นใกล้ชิดสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น การแสดงออกถึงความอ่อนแอออกมาเล็กๆน้อยนั่น อาจจะทำให้ลั่วหยางมีความคิดอยากจะปกป้องพวกเธอมากขึ้น งั้นก็ค่อยๆเข้าใกล้กันไปแบบนี้ทีละนิดก็แล้วกัน เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าถ้าค่อยๆพัฒนาขึ้นไปทีละเล็กละน้อย อีกไม่นานครอบครัวของเธอก็จะมีความผูกพันต่อกันแน่นอน
เมื่อได้ยินคำว่า’ครอบครัวเดียวกัน’ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะไม่นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง ที่เป็นคนรับผิดชอบในฐานะพ่อของครอบครัว เจี่ยนอี๋นั่วอดขมวดคิ้วไม่ได้ พร้อมกับแสดงสีหน้าที่ค่อนข้างงงงวยออกมา แต่ก่อนเธอเคยคิดว่าความสัมพันธ์ของเธอกับลั่วหยางนั้นเป็นเรื่องที่ยากที่สุด
แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงเลยว่า สิ่งที่ยากที่สุดคือการจัดการกับความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้ยังไงและเหลิ่งเซ่าถิงก็เป็นคนที่ทำให้เธอเจ็บปวดที่สุด