หนี้รัก วิวาห์จำเป็น 226 เสียหน้า

ตอนที่ 226 เสียหน้า

เจี่ยนอี๋นั่วว้าวุ่นใจทั้งคืน เธอนอนไม่หลับเลย หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วนอนไปได้เพียงแป๊ปเดียวเธอก็ตื่นขึ้นมาแล้ว หลังจากที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็ดึงผ้ายวมขึ้นมาคลุมโปรงอีกครั้ง เพราะไม่อยากตื่น เธอรู้สึกว่าเธอขายหน้าจริงๆ เมื่อวานเจี่ยนซวงยังต้องมาปลอบใจเธออีก ตอนนี้เธอรู้สึกเสียความเคารพในความเป็นผู้ใหญ่ของเธอมากจริงๆ

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา เธอก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนซวง เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วลืมตา เธอก็ยกมือขึ้นมากอดเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “หม่าม้าเป็นอะไรคะ? เมื่อคืนดูหม่าม้าไม่ได้นอนเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะนั่งลง : “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ น่าจะเพราะเปลี่ยนที่นอนเลยนอนไม่หลับน่ะค่ะ? มาค่ะ ซวงซวงควรจะเตรียมตัวลุกจากที่นอนแล้ว”

“หม่าม้าคิดถึงคุณพ่อใช่มั้ยคะก็เลยนอนไม่หลับ?” จู่ๆเจี่ยนซวงก็ถามขึ้น

“ไร้สาระแล้วค่ะ! หม่าม้า……”เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็หยุดไปสักพัก เมื่อคืนเธอคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ และเธอก็กังวลมากกับอาการบาดเจ็บที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง

เพื่อปกปิดความประหม่าของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่งขมวดคิ้วขึ้น : “อย่าพูดอะไรไร้สาระเลยค่ะ ……หม่าม้าไปเปิดโทรทัศน์ก่อน หนูดูไปก่อนนะคะ เดี๋ยวหลังจากหม่าม้าเข้ากห้องน้ำเสร็จจะล้างหน้าให้หนู”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างว่าง่าย เจี่ยนอี๋นั่วก็ไปเอกโทรทัศน์ทันที ในขณะนี้เป็นการรายงานข่าวฝนฟ้าอากาศอยู่ : พายุไต้ฝุ่นกำลังใกล้เข้ามาในเมืองของเรา จากข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าวันนี้จะมีลมกระโชกแรง และมีฝนตกในเมืองของเรา ขอให้ผู้ชททุกท่านใส่ใจและระมัดระวังในความปลอดภัยของการเดินทางด้วย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินข่าวฝนฟ้าอากาศเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะคิดในใจว่า : “พายุไต้ฝุานจะเข้างั้นหรอ?แล้วทางเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไงนะ?”

แต่เธอเพียงคิดถึงตรงนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแน่น ก่อนจะส่ายหน้า เจี่ยนอี๋นั่วคิดมากไปรึเปล่านะ? คนของเหลิ่งเซ่าถิงที่คอยดูแลเขามีตั้งเยอะไม่ใช่รึไง? ทำไมจะไม่มีคนช่วยดูแลพวกเขาล่ะ? ผ่านเรื่องอะไรมาตั้งมากมาย แค่ไต้ฝุ่นแค่นี้จะนับประสาอะไรสำหรับเหลิ่งเซ่าถิง?

ถึงแม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่สจะคิดได้เช่นนั้น แต่ในใจของเธอก็ยังไม่หายกังวล เธอจำได้ว่าคฤหาสน์ของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นอยู่ใกล้กับทะเล ถ้าเกิดไต้ฝุ่นมา ที่ทะเลมันจะไม่รุนแรงกว่าหรอ? มันจะอันตรายมั้ยนะ? เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนดื้อรั้น แผลเก่าของเขาอยู่ ไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรมั้ย หรือเขาจะไม่สนใจไต้ฝุ่นเลยนะ?

หลังจากที่เจี่ยนซวงกินข้าวเสร็จแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้น แล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาเหลิ่งเซ่าถิง เธอกดโทรไปได้ไม่นาน ทางเหลิ่งเซ่าถิงก็รับโทรศัพท์ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยเสียงแหบๆของเขาว่า : “เจี่ยนอี๋นั่วใช่มั้ย?”

เสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินนั้นแปลกหูมากๆ เธอจึงขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “สวัสดีค่ะ คุณ….คุณคือใครคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยังพูดไม่จบเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเป็นไปได้สูงที่คนนั้นจะเป็นเหลิ่งเซ่าถิง แต่ทำไมเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้แหบขนาดนี้ล่ะ? แหบจนเธอแยกไม่ออกเลยเชียวเนี่ยนะ?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “คุณเป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายใช่มั้ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดไปชั่วขณะก่อนจะไออกมาสองสามครั้ง : “ฉันไม่สบายน่ะ เพราะลงน้ำเมื่อวาน ไม่ได้พักผ่อนเท่าไหร่ด้วย”

“งั้นก็รีบไปหาหมอสิคะ? สุขภาพของคุณไม่ดีอยู่แล้ว ถ้าเกิดป่วยอะไรขึ้นมาอีกจะทำยังไงคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นอีดครั้ง : “ไม่สิ นี่คุณคงไม่ได้โกหกฉันใช่มั้ยคะ? ไม่ใช่ว่าแกล้งป่วยใช่มั้ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงไอก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ : “ถ้าไม่เชื่อ เธอก็ถามลั่วหยางได้เลย จากเรื่องเมื่อวานเธอก็คงจะรู้ว่าลั่วหยางเป็นคนซื่อสัตย์ขนาดไหน เดี๋ยวฉันจะให้ลั่วหยางมาคุย เธอจะได้รู้ว่าฉันโกหกรึเปล่า ลั่วหยางมานี่หน่อย มารับโทรศัพท์”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะได้ยินเสียงของลั่วหยางทางปลายสายด้วยน้ำเสียงที่สงบว่า : “เขาไม่สบายใจจริงๆครับ หนักด้วย แค่กๆ…..”

เมื่อเธอได้ยินลั่วหยางไอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบนั่งลง : “หนูก็ไม่สบายด้วยหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วัอนหายใจ ก่อนจะพูดกับลั่วหยางด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม : “ไม่เป็นไรนะคะ เอาโทรศัพท์ให้คุณพ่อ หม่าม้าจะคุยกับเขา”

หลังจากที่ลั่วหยางยื่นโทรศัพท์กลับมาให้เหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะคะคอกออกมาเสียงดังว่า : “คุณเหลิ่งเซ่าถิง! คุณเป็นอะไรไปคะ ทำไมไม่ดูแลลูกดีๆ? ตัวเองป่วยแล้วทำไมไม่ไปหาหมอคะ? แล้วตอนนี้ยังแพร่เชื้อให้ลูกอีก! แค่คืนเดียวทำไมไม่ดูแลตัวเองดีๆ ไม่ดูแลลั่วหยางดีๆคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รอฟังเสียงแหบๆของเหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับมา : “ฉันไม่ได้ตั้งใจแพร่ให้ลูกซะหน่อย ฉันไม่สบายจริงๆนะ ร่างกายเขาอาจจะมีภูมิต้านทานที่ไม่ดี หมอมาดูอาการแล้วด้วย ฉันกำลังรักษาตัว อีกอย่างลั่วหยางไม่อยากให้คนใช้ไปดูแลเขาแบบใกล้ชิด ไม่อยากพัฒนาความสัมพันธ์ระกว่างพ่อลูกกับฉันด้วย……..”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ เธอก็ได้ยินเสียงพึมพำๆของลั่วหยางอยู่ปลายสาย แต่เธอฟังไม่ออกว่าพูดอะไร

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เพียงพูดด้วยเสียงแหบของเขาว่า : “เธออยู่ทางนั้นก็ดูแลตัวเองด้วยนะ ถ้าหายโกรธแล้วเธอคิดว่าอยสกกลับมาเมื่อไหร่ก็กลับมาเมื่อนั้นนะ ฉันกับลั่วอหยางสบายดี เธอไม่ต้องห่วง”

ดีอะไรล่ะ? ป่วยหนักขนาดนั้น อีกอย่างลั่วหยางก็ดูเหมือนจะไม่สบายด้วย นี่เรียกว่าสบายดีหรอ? อีกอย่างอะไรคือหายโกรธไม่ทราบ เธออยากกลับก็กลับงั้นหรอ? อย่างกับเธอเป็นวะใภ้ที่อารมณ์ฉุนเฉียวที่หนีออกจากบ้านอย่างนั้นแหละ!

เจี่ยนอี๋นั่วอยากพูดต่อ แต่ปลายสายทางเหลิ่งเซ่าถิงก็ไอออกมาอีก จึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมสิ่งที่อยากพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงไปแล้ว จึงขมวดคิ้วแล้วรีบพูดขึ้นว่า : “คุณเป็นอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงอยากถามต่อ แต่เธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงชิงพูดก่อน : “ไม่รบกวนเธอดีกว่า แค่ได้ยินเสียงเธอฉันก็สบายใจแล้ว ฉันวางสายก่อนนะ”

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็วางสายไปจริงๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงถือโทรศัพท์แล้วก็เหม่ออยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่อยู่ : “นี่……มันเกิดอะไรขึ้น?”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเหม่ออยู่นั้น เจี่ยนซวงก็ขยับเข้ามาเขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดัง : “หม่าม้าคะ…….หม่าม้า…..คุณพ่อเป็นอะไรหรอคะ? เราต้องกลับกันมั้ยคะ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปได้สักพัก เธอก็หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ก็เริ่มเห็นลมที่พัดมาแรง ถึงแม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน แต่ตอนนี้ห้าก็มืดลง ดูเหมือนว่าจะมีพายุลูกใหญ่กำลังจะมา ซึ่งมันดูน่ากลัวมาก

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะพูดว่า : “ได้ยินมาว่าคืนนี้จะมีพายุไต้ฝุ่น เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนดื้อรั้น บางทีเขาอาจจะไม่ให้คนใช้เข้าใกล้พวกเขาเลยก็ได้ แล้วก็อยู่คนเดียวทั้งคืน ถ้าอย่างนั้น……เขากับลั่วหยางจะทำยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะใช้กุลอุบายไม่ซื่อกับเธออีกครั้ง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่วางใจ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “เป็นเวรเป็นกรรมชาติที่แล้วแท้ๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ก้มหน้าลง แล้วพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงที่จนปัญญา : “ไปค่ะ เรากลับบ้านกัน”

เจี่ยนซวงถอนหายใจออกมาอย่างผิดหวัง : “เราต้องกลับไปจริงๆหรอคะ? เราเพิ่งออกมากันแค่วันเดียวเองนะคะ เรากลับไปเร็วไปหน่อยมั้ยคะ? นี่มันเรียกว่าหนีออกจากบ้านหรอคะเนี่ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงตอนที่เธอออกมาอย่างหยิ่งผยองราวกับว่าเธอจะไม่ไปเจอหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอีก สุดท้ายเธอก็อยู่ได้แค่คืนเดียว ก็ต้องกลับไปแล้ว ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะเก็บสีหน้าเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “จริงแล้ว….หม่าม้าก็ไม่ได้อยากกลับไปหรอกค่ะ แต่ว่าคุณพ่อกับพี่ของกนูป่วยหนัก ถ้าเราไม่กลับ หม้าม้าไม่รู้เลยว่าพวกเขาจะทำยังไง”

เจี่ยนซวงยู่จมูกก่อนจะเอียงหน้าแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “หม่าม้าคะ เราออกมาได้วันเดียว ถ้ากลับไปมันจะเสียหารึเปล่าคะ?”

ใช่ เสียหน้ามากๆ แต่ว่า…..เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงทางนั้นมากน่ะสิ

เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดต่อว่า : “เสียหน้าไม่เสียหน้าอะไรกันล่ะคะ? ตอนนี้คุณพ่อกับพี่ชายของหนูป่วยหนัก ถ้าไม่กลับไปดูแลอาการพวกเขาจะแย่กว่าเดิมนะคะ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราจะทำยังไง?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามด้วยความสงสัยว่า : “อ้าว คุณพ่อรวยไม่ใช่หรอคะ? ทำไมไม่มีคนดูแลล่ะคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงเย็นชา : “ใช่ค่ะ คุณพ่อรวย แต่คนรวยชอบดื้อรั้น ไม่อยากให้คนอื่นดูแลไงคะ!”

“หม่าม้าคะ…..” เจี่ยนซวงมุ่ยปาก เตรียมพูดต่อ

แต่เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองเจี่ยนซวง : “หยุดพูดก่อนได้มั้ยคะ? ครั้งนี้ต้องทำตามหม่าม้า เรากลับไปกันก่อน โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงถึงได้พยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า : “ก็ได้ค่ะ ดูแล้วหม่าม้าจะต้องกลับให้ได้แบบนี้ หนูก็ไม่ขัดแล้วค่ะ แล้วก็ถ้าคุณพ่อกับพี่ชายนิสัยแปลกคนนั้นป่วยหนักกว่าเดิม ไม่ได้หม่าม้าไปดูและล่ะก็ หม่าม้าต้องโกรธซวงซวงแน่ๆ ซวงซวงไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนั้นหรอกค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวเจี่ยนซวง แล้วชมลูกสาวว่า : “ค่ะ ซวงซวงเป็นเด็กดีมากๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นัาวพูดจบ เธอก็จูงมือลูกสาวเดินออกจากห้องทันที ในขณะที่เตี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวงออกมา ก็พบกับคนชุดดำที่มาดูแลพวกเธอคามคำสั่งของเหลิ่งเซ่าถิง เธอพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงขมขื่น : “พาพวกเรากลับไป กลับไปหาท่านประธานเหลิ่ง”

เมือเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ไม่กล้ามองท่าทีของคนๆนั้นต่อ รีบก้มหน้าแล้วขมวดคิ้วไม่พูดอะไรต่อ เธอไม่กล้าคิดเลยว่าคนพวกนี้จะมองเธอยังไง หนีออกมาได้วันเดียว ก็เป็นฝ่ายกลับไปหาเหลิ่งเซ่าถิงซะแล้ว คนอื่นคงคิดว่าเธอเป็นคนเรื่องมากยุ่งยากแล้วมั้งนะ?

เมื่อถึงคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจอยู่หน้าคฤหาสน์ ก่อนจะเตรียมตัวเคาะประตูใหญ่ของคฤหาสน์ แต่เพียงเธอยกมือขึ้นมากำลังจะเคาะ ประตูก็เปิดออกก่อนแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงถูกห่อหุ้มด้วยผ้าห่มพร้อมกับใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา หลังจากที่เขาเปิดประตู เขาก็ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วอย่างสดใส แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าของเขา : “ในที่สุดเธอก็กลับมา”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็รู้ทันทีว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้โกหกเธอ เหลิ่งเซ่าถิงป่วยหนักจริงๆ

เจี่ยอนี๋นั่วรีบขมวดคิ้วขึ้น : “แค่คืนเดียวเอง คุณจะป่วยหนักได้ขนาดนี้เลยหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม : “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเพราะเป็นการแก้แค้นมั้งนะ เพราะฉันโกหกเธอ ฉันก็เลยป่วยแบบนี้”

เจี่ยอนี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วรีบพูดขึ้นว่า : “พูดบ้าอะไรคะ แก้แค้นอะไรกัน? อย่าพูดแบบนั้นนะคะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจา เธอก็จูงมือเจี่ยนซวงเข้ามา เจี่ยนอี๋นั่วเดินตรงมาหาลั่วหยาง ก่อนจะยกมือของเธอขึ้นมาแตะหน้าผากลูกชาย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ถึงตัวจะไม่ร้อน ก็ต้องให้คุณหมอดูอาการนะคะ ว่าหนูป่วยมั้ย ทำไมถึงได้ไอ!”

“อ๋า? พี่ป่วยหรอคะ? งั้นก็อยู่ห่างๆซวงซวงด้วยนะคะ ห้ามมาแพร่เชื่อให้ซวงซวง!” เจี่ยนซวงพูดจบก็อ้าปากออกมาอย่างโอเวอร์

ลั่วหยางหันมามองเหลิ่งเซ่าถิง : “พวกเธอกลับมาแล้ว ความปรารถนาของผมเมื่อวานยังนับอยู่มั้ยครับ? ผมอยากให้น้องสาวบื้อนี่หุบปาก!”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม : “จำไม่ได้แล้วสิว่ามีปรารถนาอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจที่เหลิ่งเซ่าถิงและลั่วหยางพูด จึงขมวดคิ้วขึ้นแล้วถาม : “พวกคุณพูดอะไรกันอยู่คะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงตอบด้วยรอยยิ้ม : “ไม่มีอะไรหรอก …….ก็แค่……”

เหลิ่งเซ่าถิงยังพุไม่จบเขาก็ไอออกมาอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเช่นนั้นเธอก็รีบหันไปดูเหลิ่งเซ่าถิงทันที ก่อนจะออกคำสั่ง : “คุณกลับไปที่ก้องแล้วนอนเดี๋ยวนี้เลยนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะตอบด้วยเสียงแหบๆว่า : “อืม”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเขาก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องของเขาอย่างว่าง่าย เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับห้องนอน เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินไปที่ห้องครัวก่อนจะพับแขนเสื้อขึ้น : “โอเค เดี๋ยวฉันจะทำอาหารให้กิน”

“อ๋า? จะทำให้เรากินจริงๆหรอครับ/คะ?” ลั่วหยางและเจี่ยนซวงพูดเป็นเสียงเดียวกัน

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเจี่ยนซวงและลั่วหยาง ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วพูดว่า : “พวกหนูมั่นใจในฝีมือของหม่าม้าหน่อยได้มั้ยคะ? ครั้งนี้หม่าม้าแค่จะทำโจ๊ก ไม่ต้องปรุงรสอะไรเลย ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนค่ะ วางใจได้เลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เตรียมทำโจ๊กทันที เจี่ยนอี๋นั่วยังทำโจ๊กได้ดีเหมือนเดิม เพราะว่าโจ๊กไม่ต้องปรุงรสใดๆ แค่เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆค้มมันก็พอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วทำโจ๊ะไปด้วยพร้อมกับเก็บของในห้องที่เละเทะไปหมด ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบไปเห็นหน้าต่างที่ปิดไว้ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที : “ทำไมหน้าต่างพวกนี้ถึงผิดไว้หล่ะ?”

ลั่วหยางถือน้ำมา ก่อนจะดื่มลงไป แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “เพราะว่าไต้ฝุ่นจะมาไงครับ เมื่อคืนคุณผู้ชายเหลิ่งเลยลงมาปิดเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “อะไรนะคะ? เขาปิดเองหรอคะ?”

ละ่วหยางที่ถือแก้วน้ำพยักหน้า : “ขาของเขาไม่ดีน่ะครับ ก็เลยไม่สะดวก ก็เลยใช้เวลาปิดนานมากๆ ผมก็ช่วยเขาจนเสร็จ เมื่อคืนเลยไม่ได้นอนน่ะครับ”

“คนมีตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมเขาไม่เรียกมาทำล่ะคะ?” เจี่ยนอี๋นั่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เธอไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องทำแบบนั้น? มีคนตั้งมากมายให้เขาเรียกใช้ ทำไมเขาต้องลงมือทำเองด้วย?

ลั่วหยางที่ถือแก้วน้ำขมวดคิ้ว : “ผมก็ไม่แน่ใจครับ แต่ว่าคุณผู้ชายเหลิ่งเขาเคยพูดว่าบ้านหลังนี้เขาดูแลมันอย่างดี ไม่มีความจำเป็นใดๆที่เขาจะต้องขอความช่วยเหลือจากใครครับ”

“ช่างดื้อรั้นจริงๆคนๆนี้” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงเดินออกมาจากสนามหญ้านั้นโดยที่เธอเอาเสื้อคลุมมาคลุมให้เจี่ยนซวงลูกสาวของเธอด้วย เพียงออกมาถึงข้างนอกก็มีคนสวมใส่ชุดสีดำมาขวางเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างสุภาพว่า : “คุณผู้หญิงเจี่ยนครับ ท่านประธานเหลิ่งให้พวกเรามาเช็คดูคุณหนูครับ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำว่า’คุณหนู’เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที : “คุณหนูอะไร?”

แต่เมื่อเธอถามจบไปแล้ว เธอจึงได้เข้าใจว่า’คุณหนู’ที่ว่า ก็คือเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอ ถึงแม้ว่าตอนนี้ดูเหมือนเจี่ยนซวงจะไม่เป็นอะไร แต่ว่าเธอได้ตกน้ำไป ลองมาตรวจเช็คดูสักนิดน่าจะดีกว่า เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะตามขึ้นรถพยาบาลไป หลังจากที่ขึ้นมาแล้ว ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วเคยเจอกับหมอวัยกลางคนกับเสี่ยวอู๋มาแล้ว ก่อนเขาจะยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนซวงว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ พวกเขาแค่ตรวจร่างกายแป๊ปเดียว เดี๋ยวก็เสร็จแล้ว”

หมอวัยกลางคนพูด ก่อนจะหยิบหูฟังทางแพทย์ขึ้นมาตรวจให้เจี่ยนซวง จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงใหม่ แล้วค่อยตรวจร่างกายให้เจี่ยนซวงอย่างละเอียดอีกครั้ง เมื่อตรวจเช็ตเสร็จเรียบร้อยแล้ว หมอวัยกลางคนคนนั้นจึงได้พูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “เรียบร้อยดีครับ”

“ถ้าอย่างนั้นฉันพาลูกไปได้รึยังคะ?” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นหมอวัยกลางคนคนนั้นพยักหน้า เธอก็ยื่นมือออกมาอุ้มเจี่ยนซวงอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เธออุ้มเจี่ยนซวงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เหลือบไปมองเสี่ยวอู๋ที่นั่งอยู่ข้างๆ เมื่อเธอเห็นมือของเสี่ยวอู๋เธอรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย เจี่ยนอี๋นั่วจึงขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วก็มองไปที่เสี่ยวอู๋อีกครั้ง เสี่ยวอู๋คนนี้มักจะให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับเธออยู่เสมอ แต่ก็ไม่ได้มีความประทับใจใดๆ

เมื่อเสี่ยวอู๋สังเกตเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วมอง เขาก็ก้มหัวลง แสดงท่าทีเขินอายและประหม่าออกมา เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คิดอะไรต่อ บางทีเธออาจจะเคยเจอกับเสี่ยวอู๋มาแล้วแต่เธออาจจะลืมไปแล้ว เพราะเสี่ยวอู๋เป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิง อาจจะเป็นเหลิ่งเซ่าถิงที่จัดให้เสี่ยวอู๋มาคอยดูแลเธอ แต่เธอแค่จำไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังหัวร้อนไม่ได้คิดและไม่ให้ความสนใจกับเสี่ยวอู๋ต่อ เธอห่อตัวเจี่ยนซวงเอาไว้ในผ้า ก่อนจะอุ้มตัวเจี่ยนซวงลงมาจากรถพยาบาล แล้วจึงเดินจากไป ก็มีคนชุดดำหลายคนเดินมาข้างหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยความสุภาพว่า : “คุณผู้หญิงเจี่ยนครับ ท่านประธานสั่งให้เราไปส่งคุณผู้หญิงไปยังสถานที่พักที่ปลอดภัยครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “ฉันไม่ต้องการจัดการอะไรจากเขา”

หนึ่งในนั้นพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ท่านประธานเหลิ่งทำเพื่อความปลอดภัยของคุณผู้หญิงกับคุณหนูนะครับ ตอนนี้เป็นความรับผิดชอบของเราต่อคุณ ถ้าหากคุณไปอยู่ในที่ที่มันเหนือการควบคุมของพวกเรา อาจจะทำให้เกิดอันตรายกับคุณผู้หญิงกับคุณหนูได้นะครับ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นเธอก็ก้มหน้ามามองเจี่ยนซวง เธอทำได้เพียงเม้มปากแน่นก่อนจะพยักหน้าช้าๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกนาย”

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงขึ้นรถไป เจี่ยนซวงจึงมุดหน้าออกมาจากผ้าแล้วถามเจี่ยนซวงว่า : “หม่าม้าคะ พวกเขาคือคนที่คุณพ่อส่งมาให้ดูแลพวกเราหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ใช่ค่ะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเอียงใบหน้าของเธอถามเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่าม้าคะ เราจะออกจากบ้านไปจริงๆหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองคนของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังขับรถอยู่ ที่มองเธอที่นั่งอยู่บนรถของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ทุกย่างก้าวของเธอนั้นอยู่ในการควบคุมของเหลิ่งเซ่าถิงทั้งหมด จะเรียกว่าออกจากบ้านได้ยังไงกันล่ะ? เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของตัวเองด้วยความโกรธ ก่อนเธอจะพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “หนูยังไม่ต้องถามหม่าม้าตอนนี้นะคะ เมื่อกี้หนูเพิ่งทำผิดไป หม่าม้ายังไม่หายโกรธนะ”

เจี่ยนซวงรีบมุดเข้าไปในผ้าทันทีก่อนจะเม้มริมฝีปาก ราวกับเธอไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องอะไร

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงเข้าไปในโรงแรมที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการเตรียมไว้ให้ จากนั้นก็มีคนนำเสื้อผ้าและอาหารเย็นมาส่งให้พวกเธอสองแม่ลูก เจี่ยนซวงโผล่ออกมาจากผ้าห่มด้วยรอยยิ้มก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ว้าว ของอร่อยๆเยอะจังค่ะ หม่าม้าคะ เราออกจากบ้านมานี่ดีจังเลยนะคะ ต่อไปเราต้องหนีออกจากบ้านอีกแล้วล่ะค่ะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นได้ยินคำว่า’หนีออกจากบ้าน’สี่คำนี้ เธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอถูกเยาะเย้ยอยู่ ก่อนจะขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจแล้วก็เกาหัวของตัวเอง : “ซวงซวงคะ กินข้าวดีๆ แล้วก็ไม่ต้องพูดมากค่ะ”

เจี่ยนซวงกัดขนมหวานเข้าไป ก่อนจะถือแก้วชานมขึ้นมา แล้วก็เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง พร้อมกับถามขึ้นด้วยเสียงเล็กของเธอว่า : “หม่าม้าคะ ชานมค่ะ หม่าม้ายังโกรธซวงซวงอยู่ใช่มั้ยคะ? ซวงซวงสัญญาค่ะว่าซวงซวงจะไม่ทำอีก!”

เจี่ยนอี๋นั่วรับแก้วชานมมาก่อนจะขมวดคิ้ว : “หม่าม้ายังโกรธหนูอยู่นะคะ!”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามด้วยเสียงเบาๆว่า : “แต่หม่าม้าโกรธคุณพ่อมากกว่า ใช่มั้ยคะ? ถึงแม้ว่าซวงซวงจะมีความผิด แต่ความผิดของคุณพ่อมากกว่าของซวงซวง คุณพ่อโกหกหม่าม้านะคะ! ถ้ามาเทียบกันกับซวงซวง ซวงซวงก็ยังถือว่าเป็ลูกที่เีอยู่นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวง : “ไม่ต้องคิดว่าคุณพ่อทำให้หม่าม้าโกรธ แล้วหนูจะไม่มีความผิดนะคะ คนละเรื่องกัน หนูไม่ฟังหม่าม้า ไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำแบบนั้น หม่าม้าไม่ลืมนะคะ หม่าม้าเคยบอกแล้วไม่ใช่หรอถ้าหนูไม่ได้อยู่กับหนู ห้ามไปเล่นใกล้ๆแม่น้ำหรือบ่อน้ำ? อย่าคิดว่าหม่าม้าจะเยี่ยงเบนความโกรธไปเพราะว่าคุณพ่อนะคะ แล้วตอนนี้หนูก็กำลังเอาคุณพ่อมาเบี่ยงเบนความสนใจหม่าม้าอยู่ แล้วทำตัวเป็นเด็กว่าง่ายเชื่อฟังแบบนี้ หม่าม้าไม่พอใจเลยนะคะ” “หม่าม้าคะ หม่าม้าจะหย่ากับคุณพ่อใช่มั้ยคะ? หย่ากันเหมือนกันคุณพ่อคุณแม่ของเด็กๆคนอื่น”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า : “หม่าม้ากับคุณพ่อไม่ได้แต่งงานกันค่ะ ดังนั้นเราไม่ต้องหย่า!”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเช่นนั้น เธอก็เบิกตาโตทันที : “จริงหรอคะ? ที่แท้คุณพ่อก็ไม่ใช่คุณพ่อตัวจริงนี่เอง แต่เป็นคุณพ่อตัวปลอม”

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะไม่ยิ้มไม่ได้ : “อะไรคือคุณพ่อตัวปลอมคะ? ไม่ว่าหม่าม้าจะอยู่กับคุณพ่อมั้ยก็ตาม มันไม่ได้มีผลอะไรกับหนูมากหรอกค่ะ แล้วมันก็ไม่กระทบความสัมพันธ์ระหว่างหนูกับคุณพ่อด้วย คุณพ่อก็คือคุณพ่อของหนู ไม่ใช่คุณพ่อตัวปลอมหรอกค่ะ เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะกอดแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ แล้วหัวเราะฮิฮิออกมา: “แต่ตอนนี้หม่าม้าก็ดูออกใช่มั้ยล่ะคะ ว่าหนูเป็นเด็กดีที่คอยอยํ่เครยงข้างหม่าม้า ส่วนลั่วหยางคนนั้นน่ะพึ่งไม่ได้เลย ไม่ได้ตามเรามาด้วย หม่าม้าว่าซวงซวงวามารถพึ่งพาได้มั้ยคะ? หม่าม้าฟังซวงซวงนะคะ ไม่ต้องไปสนใจเด็กชายคนที่ชื่อลั่วหยางแล้วค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่ความคิดราวกับเจ้าเด็กผี ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า : “ค่ะ…….ถ้าหนูไม่พูด หม่าม้าก็คงจะลืมไปเลย หม่าม้าควรจะโทรหาลั่วหยางแล้ว ไม่ให้พี่เขารู้สึกว่าหม่าม้าออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่สนใจพี่อีก”

“ฮึ!” เจี่ยนซวงรีบหันหน้าแล้วพูดด้วยเสียงอู้อี้ : “จริงๆเลยนะ หม่าม้าไม่สนใจซวงซวงที่เสียสละมาอยู่เคียงข้างหม่าม้าเลย ยังสนใจลั่วหยางคนนั้นอีก หม่าม้าลำเอียง!”

เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับยกไหล่ไปด้วยยู่ปากไปด้วย บวกกับทำท่าทางโมโหออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา มืออีกข้างของเธอก็ลูบหัวเจี่ยนซวง พร้อมกับกดโทรไปหาที่เบอร์บ้านของเหลิ่งเซ่าถิง

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นคนโทรไป แต่เธอไม่ได้ทันตั้งตัวที่จะรับสายไวขนาดนี้ ดังนั้นตอนที่เธอกดโทรแล้วมีคนรับเลยนั้น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหลาดใจอยู่ไม่น้อย

“อี๋นั่ว เธอกินข้าวรึยัง?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยรอยยิ้ม ราวกับเมื่อกี้ไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดตอบเหลิ่งเซ่าถิงไปว่า : “ฉันขอสายลั่วหยางหน่อยค่ะ คุณไม่ต้องมาคุยกับฉัน ฉันไม่อยากได้ยินเสียงคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ก่อนจะวางโทรศัพท์ลงช้าๆ แล้วก็หันหลังมาหาลั่วหยางแล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “ขอสายลูกน่ะ”

ลั่วหยางมองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะเดินไปช้าๆแล้วรับโทรศัพท์ : “ฮัลโหลครับ……..”

เจี่ยนอี๋นั่งรีบพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มทันที : “หนูกินข้าวรึยังคะ?”

ลั่วหยางหันมามองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าลั่วหยางห็ส่ายหน้าพร้อมกับพูดออกมาว่า : “ยังครับหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขมวดคิ้วขึ้น : “นี่มันกี่โมงกี่ยาวแล้วคะ ทำไมยังไม่กินข้าวอีก?”

ลั่วหยางมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาใส่คนเป็นลูกชาย ลั่วหยางก็ถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะพูดว่า : “คุณผู้ชายเหลิ่งเขายืนยันที่จะไม่ให้คนใช้มาดูแลผมครับหม่าม้า เขาบอกว่าจะทำกับข้าวเอง ผมไม่รู้ว่าว่าฝีมือการทำอาหารของเขาเป็นยังไง แต่ว่าตอนนี้เห็นได้ชัดเลยครับว่าฝีมือเขาแย่มาก วันนี้ผมว่าผมน่าจะไม่ได้กินอาหารที่เขาหรอกครับ”

ลั่วหยางมองมาที่เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเขียนอะไรลงในกระดาษว่า : “พูดต่อไป ถ้าลูกทำให้หม่าม้ากลับมาได้ พ่อจะให้รางวัลที่ลูกอยากได้”

ลั่วหยางขมวดคิ้ว ก่อนจะครึ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้า แล้งหันหน้ามาคุยโทรศัพท์ต่อ : “ผมอยากทานอาหารฝีมือหม่าม้าจังเลยครับ…….”

ลั่วหยางพูดถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดอย่างขมขื่นว่า : “หม่าม้าครับ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปสักพัก ก่อนที่ดวงตาของเธอจะแดงก่ำ เธอรีบหันหลังมาหาเจี่ยนซวงแล้วจูงมือลูกสาวเพื่อที่จะไปทำกับข้าวให้ลูกชายของเธออย่างรวดเร็ว

เจี่ยนอี๋นั่วถือโทรศัพท์แล้วก็พูดด้วยความเร่งรีบว่า : “งั้นหม่าม้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ หนูไม่ต้องกลัวนะ”

เมื่อลั่วหยางได้ยินเสียงร้องไห้ของคนเป็นแม่ ก็อึ้งไปสักพัก ก่อนจกระพริบตาปริบๆแล้วพูดด้วยน่ำเสียงเข้มว่า : “จริงๆแล้ว…..จริงๆแล้วหม่าม้าไม่ต้องกลับมาก็ได้ครับ เมื่อกี้ที่ผมพูดคือคุณผู้ชายเหลิ่งสั่งให้ผมโกหก ผมทานข้าวแล้วครับหม่าม้า หม่าม้าไม่ต้องห่วงนะครับ หม่าม้ากับ….ยัยน้องสาวบ๊องคนนั้นรีบพักผ่อนเถอะครับ”

เมื่อลั่วหยางพูดจบก็วางโทรศัพท์ทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งเซ่าถิง : “ผมไม่อยากให้หม่าม้าเป็นห่วงแล้วผมก็ไม่อยากโกหกหม่าม้าเหมือนคุณพ่อด้วย แล้วอีกความต้องการของผมเมื่อกี้ก็คืออยากให้เจี่ยนซวงเงียบไปสักสองสามวัน พอมาคิดๆดูแล้ว ให้หม่าม้ากลับมาช้าหน่อยก็ดีครับ จะได้ทำให้ความต้องการของผมเป็นจริงได้นานขึ้น”

เมื่อลั่วหยางพูดจบ เขาก็เงยหน้ามองมองใบหน้าที่หมานๆของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดเสียงเบาๆ ว่า : “คุณพ่อเป็คุณพ่อของผม คุณพ่อคงไม่เอาเรื่องเมื่อกี้มาเป็นเหตุให้ผมผิวตายหรอกใช่มั้ยครับ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที ก่อนจะหรี่ตามองลั่วหยาง ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหัว : “ใช่ พ่อคงไม่ปล่อยให้เราหิวหรอก”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็หรี่ตามองไปที่ลั่วหยางอย่างละเอียด ก่อนจะยิ้มแล้วยืนขึ้นแล้วพูดว่า : “แต่ก็ไม่รับประกันนะว่าเราจะไม่หิวตาย ในห้องครัวน่าจะมีของกินอยู่ ลูกลองไปดูเองแล้วกันว่ากินได้มั้ย พ่อควรจะกลับห้องแล้ว เราฉลาดอยู่แล้วนี่คงหาวิธีดูเองได้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็ก้มหน้ามามองขาของตัวเอง ก่อนจะพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า : “น่าจะรู้ดีนะ ว่าพ่อพิการอยู่ อีกอย่างพ่อก็ไม่ใช่พ่อที่ดีอะไร ลูกทรยศ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็เหลือบมามองลั่วหยาง แล้วเดินขึ้นห้องไป ลั่วหยางนั้งอยู่ที่เดิมอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วส่ายหัวไปมา : “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเมื่อพ่อแม่ของเด็กๆคนอื่นเขาเลิกกัน เด็กส่วนใหญ่จะอยู่กับแม่ เพราะพ่อบางคนไม่มีความรับผิดชอบเท่าไหร่”

ลั่วหยางพูด ก่อนจะไปเอาน้ำส้มในห้องครัว แล้วหันหลังมามองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้นว่า : “อีกทั้งยังขี้เกนียวอีก”

หลังจากที่ลั่วหยางวางสายไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังถือโทรศัพท์เอาไว้อยู่ เมื่อกี้ลั่วหยางเรียกเธอว่าหม่าม้าแล้วหรอ? มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ประหลาดใจมากๆ ราวกับว่าเธอกำลังฝันอยู่

จนเจี่ยนซวงเขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอถึงได้สติกลับมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้าลงมามองเจี่ยนซวงพร้อมกับพูดว่า : “มีอะไรคะ?”

เจี่ยนซวงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วหัวเราะฮิฮิออกมา ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าคะ ทำไมถึงเหม่อไปล่ะคะ? เจอเรื่องอะไรไม่ดีหรอคะ? ลั่วหยางดื้อใช่มั้ย? ตอนนี้ซวงซวงเป็นเด็กดีมากๆใช่มั้ยคะ? หม่าม้ารู้สึกว่ามีซวงซวงเป็นลูกคนเดียวก็พอแล้วรึยังคะ?

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เก็บความคิดนั้นของหนูไปเลยค่ะ ซวงซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กดีทั้งสองคนเลยในใจของหม้าม้า ยกเว้นคนนั้น…….”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็หรี่ตามองแล้วพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “เมื่อกี้นี้เขาดื้อมากๆ!”

เจี่ยนซวงรีบกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบาว่า : “หม่าม้าหมายถึงคุณพ่อหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วตะคอก : “ไม่ใช่เรื่องที่หนูต้องใส่ใจค่ะ ไปกินข้าวแล้วก็อาบน้ำพักผ่อนเลยค่ะ!”

เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เมื่อรู้ว่าตัวเองทำผิดเจี่ยนซวงก็จะเชื่อฟังอย่างว่าง่าย พอถึงเวลานอน เจี่ยนซวงก็รีบเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วอย่างไร้เดียวสาทันที

เจี่ยนอี๋นั่วนอนไม่หลับ ราวกับว่ามีไฟอยู่ในอกของเธอที่มันทำให้เธอรู้สึกไม่ดี เธอมองห้องที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดไว้ให้ ก่อนจะก้มไปมองชุดที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดเตรียมไว้ให้ บางทีก็ยังได้ยินเสียงคนที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดการเพื่อปกป้องเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตอนนี้เธอเป็นเหมือนตัวตลก ที่เธอไม่สามารถออกมาจากขอบเขตที่เหลิ่งเซ่าถิงมีอิทธิพลได้เลย

เมื่อพูดถึงเรื่องการหนีออกจากบ้าน ก็ยิ่งเหมือนเธอทำเรื่องตลก เรื่องที่เธอโกรธอยู่ตอนนี้ก็ยิ่งตลกเข้าไปใหญ่

แต่ที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรำคาญใจก็คือ นอกจากที่เธอจะโกรธเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็โกรธตัวเองอยู่ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงโกหกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้ แต่เธอก็ยังเป็นห่วงเหลิ่งเซ่าถิง กังวลเรื่องแผลที่เขาได้รับบาดเจ็บ จะมีใครเอายามาให้เขามั้ย ห่วงว่าถ้าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูแลลั่วหยางไม่ดี จะทำยังไง?

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำได้ในตอนที่เธอขึ้นมาจากน้ำ ถึงแม้ว่าขาขวาของเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ได้เป็นอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าขาซ้ายเขานั้นมันยังไม่มีแรง น้ำในแม่น้ำเย็นขนาดนั้น มันจะทำให้แผลเก่าของเขาแย่ลงมั้ยนะ อีกอย่างร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังไม่ฟื้นตัวดี โดนน้ำเย็นแบบนั้น เขาจะป่วยมั้ยนะ?

“น่าตายจริงๆ! จะไปห่วงคนที่โกหกกันแบบนั้นทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงทันที พร้อมกับตะคอกออกมาด้วยความรำคาญใจ

เจี่ยนซวงที่นอนอยู่ข้างๆตกใจตื่น รีบยกมือขึ้นมากอดเจี่ยนอี๋นั่วทันที พร้อมกับเกลี้ยกล่อมเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “หม่าม้าเป็นเด็กดีนะคะ ไม่โกรธแล้วนะคะหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “งั้นตอนนี้ฉันจะเชื่อคุณอีกครั้งแล้วกันค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ยิ้มแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะถามเขาต่ออย่าอดไม่ได้ว่า : “แลเวคุณนายเหลิ่งล่ะคะ? ฉันไม่ได้ข่าวของท่านเลย”

จริงๆแล้วเจี่ยนอี๋นั่วนั้นอยากจะถามมากว่าเจอตัวเหลิ่งหมิงอันแล้วหรือยัง แต่เมื่อได้ยินว่าแม้แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็หาตัวเขาไม่เจอ เหลิ่งหมิงอันคงจะซ่อนตัวอยู่ดีมากๆแน่ ถ้าหากอยากจะตามหาตัวเหลิ่งหมิงอันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เมื่อสิ่งที่ถามนั้นไม่ได้คำตอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยไม่อยากถามอีก จึงถามถึงเพียงคุณนายเหลิ่ง

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มอยู่สักพัก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ท่าอายุมากแล้ว หลายปีมานี้เลยอึนๆหน่อยน่ะ ตอนนี้เธออยู่ที่คฤหาสน์เหลิ่ง ไม่ค่อยออกไปเจอใครแล้วล่ะ แม่แต้ฉันท่านยังจำไม่ได้เลย แต่แปลกมากที่ท่านยังจำซวงซวงได้อยู่”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเข่นนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที : “ฉันไม่พาเจี่ยนซวงไปเจอท่านหรอกค่ะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันก็ไม่ปล่อยให้เธอกับเจี่ยนซวงไปเจอท่านหรอก เรื่องที่ผ่านมาแล้วของตระกูลเหลิ่ง ฉันไม่ต้องการให้พวกเราเข้าไปเกี่ยวข้องอีก”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นเธอก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะไม่ขมวดคิ้วขึ้นมาแล้วถามว่า : “คุณนายเหลิ่ง………ป่วยหนักหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบคุณนายเหลิ่ง แต่ถึงแม้ว่าคุณนายเหลิ่งจะเจ้ากี้เจ้าการ แล้วก็ทำกับเธอมาเยอะ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำให้เธอนั้นเจ็บตัวแต่อย่างใด เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเหลิ่งอี๋นั่วทันทีว่า : “ตอนนี้ท่าอยู่คนเดียว น่าสงสารนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน เหลิ่งอันหมิงก็คงไม่กล้าทำอะไรร้ายแรงหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน เธอก็คงยังเป็นภรรยาของฉัน คงไม่มีความสูญเสียมากมายเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้ลงมือทำอะไรกับเธอก็ตาม แต่เธอก็มีส่วนเกี่ยวข้อง ฉันไม่มีทางปล่อยท่านหรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มว่า : “ทำไมคุณดูโกรธมากกว่าฉันอีกล่ะคะ? ฉันใจอ่อนไปหมดแล้ว แต่ใจคุณยังมีความเกลียดชังอยู่หรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว : “คนที่ทำไม่ดีกับเธอ ฉันจำหมดนั่นแหละ รวมถึงตัวฉันด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงหน้าแล้วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็ถามด้วยความตกใจ : “อะไรกันคะ? แม้แต่ตัวคุณก็ไม่เว้นหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “ไม่!”

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่ยิ้มไม่ได้ เธอมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “ถ้าคุณไม่เว้นแม้แต่ตัวคุณ คุณคิดจะลงโทษตัวเองยังไงคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ลงโทษตัวเองด้วยการรักและทะนุถนอมเธอตลอดไปไง ไม่เปลี่ยนใจจากเธอ จะกลัวเธอคนเดียวเลย!”

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงระเรื่อ ก่อนจะหันหน้าหนี : “คุณพูดเก่งกว่าเมื่อก่อนเยอะเลยนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า : “เพราะต้องพูดแต่ความจริงไง เมื่อก่อนตอนที่เธออยู่กับฉัน ฉันเอาแต่พูดสิ่งเหล่านี้ด้วยความรู้สึกผิด คิดว่าเอาทุกอย่างไว้ในใจเป็นเรื่องที่ดี เก็บไว้คนเดียวดีที่สุด แต่ตอนนี้ฉันกลับรู้สึกว่าทุกๆสิ่งมันไม่ได้ดีไปกว่าการที่ได้อยู่ด้วยกันกับเธอเลย ก็เลยพูดออกมาทุกอย่างไง”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ : “ทำไมคุณหนังหน้าหนาจังคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่าหย้าพร้อมกับยิ้มออกมา : “ฉันกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไง เมื่อก่อนฉันคิดว่าแค่พวกเธอมีชีวิตอยู่ ถึงฉันจะไม่ได้เจอหน้าเธอ มันก็เพียงพอแล้ว แต่ตอนนี้ฉันอยากจะอยู่กับเธอ อยู่กับลูก อยู่ด้วยกัน”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็มองมาที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่แล้วพูดว่า : “คูรเปลี่ยนไปแล้วจริงๆนะคะ” ทำไมจะไม่เปลี่ยนล่ะ?” เมื่อเจหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงแค่นี้เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “จริงๆแล้วเธอจะให้โอกาสฉัน…………”

คำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ทันพูดจบ ก็มีเสียงของเด็กคนนึงตะโกนขึ้นมาแล้ว : “เจี่ยนซวงตกลงไปในน้ำ!”

เมื่ออเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นเธอก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เธอรีบวิ่งไปที่เด็กน้อยคนที่บอกว่าเจี่ยนซวงตกน้ำทันที เนื่องจากว่าอยากให้เจี่ยนซวงมีพื้นที่เป็นของตัวเองจึงมีบอดี้การ์ดคอยดูแลความปลอดภัยอยู่ไกลมาก เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ประมาท แต่เธอไม่คิดว่าเจี่ยนซวงจะเบื่อที่จะต้องอยู่ในคฤหาสน์แล้วเปลี่ยนมาเล่นข้างนอก และลูกสาวก็จะตกน้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนซวงที่กวักมือไม่หยุดอยู่ในน้ำ เธอก็รีบกระโดดลงน้ำไปโดยที่ไม่ลังเลอะไรเลย เธอใช้แรงของเธอทั้งหมดว่ายน้ำไปหาเจี่ยนซวง แต่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งจะกระโดดลงน้ำเธอก็ได้ยินเสียงน้ำจากอีด้านหนึ่งแล้ว จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ว่ายไปหาเจี่ยนซวงเร็วยิ่งกว่าเจี่ยนอี๋นั่ว  ในใจของเธอขาวโพลน เหลิ่งเซ่าถิงโกหกเธออีกแล้ว จริงๆแล้วขาของเขาไม่ได้หัก

เจี่ยนอี๋นั่วทำใจให้สงบลงให้เหมือนกับน้ำของแม้น้ำนี้ช้าๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาทะเลาะกับเหลิ่งเซ่าถิง ปล่อยให้เขาไปช่วยเจี่ยนซวงก่อน เจี่ยนอี๋นั่วรีบว่ายน้ำไปหาเจี่ยนซวงทันที ก่อนที่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงจะพาเจี่ยนซวงขึ้นจากน้ำ เมื่อพากันขึ้นมาได้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบวางเจี่ยนซวงลงบนพื้นทันทีก่อนจะลูบหลังลูกสาวด้วยแรง

เจี่ยนซวงไออกมาเพราะสำลักน้ำอยู่หลายครั้ง เธอคายน้ำออกมา ก่อนจะร้องไห้กับเจี่ยนอี๋นั่ว : “หม่าม้า หนูตกใจมากเลยค่ะ ! หนูคิดว่าหนูจะจมน้ำตายซะแล้ว”

ตาของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นสีแดงทันที และอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงดังขึ้นด้วยความโกรธ : “ยังกลัวอยู่หรอคะ? เมื่อกี้หนูตกลงไปในน้ำได้ยังไง? หม่าม้าเคยบอกหนูแล้วใช่มั้ยว่าอย่าลงน้ำคนเดียว? หนูลงไปทำไมคะ?”

เจี่ยนซวงตกใจเมื่อเธอโดนดุ ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอย่างหนัก : “หนูคิดว่าน้ำจะตื้นนี่คะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนซวงร้องไห้ เธอก็ตะโกนออกมาดังๆทันทีว่า : “หนูทำผิดแล้วยังจะกล้าร้องไห้อยู่อีกหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบห้ามเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เธออย่าเพิ่งโมโหนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอเห็นขาขวาของเขาอย่างมั่นคงและไม่ได้แสดงอาการเจ็บปวดออกมาแต่อย่างใด เจี่ยนอี๋นั่วจึงขมวดคิ้วแล้วตะคอกใส่เขาว่า : “ไม่ต้องโมโหงั้นหรอคะ? เด็กไม่รู้เรื่องอะไร แต่ทำไมคุณต้องโกหกฉันด้วย? ขาของคุณหักไม่ใช่หรอคะ? ทำไมตอนนี้ถึงได้หายดีแล้วล่ะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองขาของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้ว : “ฉัน……ฉันไม่ได้…….”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดระแวง ตอนนี้ราวกับว่าตัวเธอนั้นเสียสติไปแล้ว เธอรู้แค่ว่าตอนนี้สมองของเธอนั้นยั่งเหยิงและโกรธไปหมด เธอมองเจี่ยนซวงก่อนจะหันหน้ามามองที่เหลิ่งเซ่าถิง แล้วหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดว่า : “ดูเหมือนขาของท่านประธานเหลิ่งจะหายดีแล้วนะคะ ฉันคงไม่ต้องอยู่ดูแลคุณแล้ว ท่านประธานเอาแต่โกหกฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า คุณได้มันมามากพอแล้วค่ะ! ซวงซวง หนูยินดีที่จะไปกับหม่าม้ามั้ยคะ? ถ้าหนูอยากอยู่กับคุณพ่อต่อ หนูก็อยู่ตรงนี้ ถ้าหนูจะไปหนูก็ไปกับหม่าม้าเลย!”

เจี่ยนซวงไม่เคยเห็นเจี่ยนอี๋นั่วโมโหขนาดนี้มาก่อน เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้นมาแล้วพูดขึ้นทันทีว่า : “หม่าม้าคะ หนูจะไปกับหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง ก่อนจะยื่นมือมาหาเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงรีบวิ่งเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วทันที เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไม่หันหน้ามามองว่า : “ไม่ต้องช่วยฉันเก็บของนะคะ แค่จัดการหารถให้ฉันสักคันก็พอ เรื่องที่อยู่ฉันจะหาเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “อือ เดี๋ยวฉันไปส่งเธอ ถ้าเธอหายโกรธแล้ว……”

“ฉันไม่มีทางหายโกรธค่ะ ไม่ต้องตามฉันมานะคะ! ถ้าคุณตาม ฉันจะโกรธมากกว่านี้!” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วที่อุ้มเจี่ยนซวงอยู่ตอนนี้พูดจบ เธอก็เดินจากเหลิ่งเซ่าถิงไปอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงมาหาลั่วหยาง ก่อนจะถามลั่วหยางว่า : “หนูจะไปกับเราสองคนหรือจะอยู่กับคุณพ่อคะ?”

ลั่วหยางเม้มปากมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะค่อยๆมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังเดินตามมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ผมจะอยู่ที่นี่ครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองลั่วหยาง แล้วถามว่า : “ไม่ไปกับหม่าม้าหรอคะ?”

ลั่วหยางส่ายหน้าไปมา : “ไม่ครับหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้งและพยายามควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเองให้มากที่สุด เพื่อจะไม่แสดงออกมาต่อหน้าลูก เธอฝืนยิ้ม : “งั้นหนูก็อยู่กับคุณพ่อนะคะ ถ้ามีอะไรขาดเหลือก็ขอคุณพ่อนะ คนของคุณพ่อดูแลหนูดีแน่นอน ถ้าหม่าม้าจัดการอะไรเสร็จแล้วหม่าม้าจะโทรมาหานะคะ อ่า……คุณพ่อกับหม่าม้าทะเลาะกัน แต่มันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องของหนูนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆหุบยิ้ม แล้วก็อุ้มเจี่ยนซวงเดินจากไป

ถึงแม้ว่าขาขวาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ได้เป็นอะไรแล้ว แต่เนื่องจากขาซ้ายของเขาได้รับบาดเจ็บมาก่อน เมื่อเขาโดนน้ำเย็นแบบนั้นมันเลยทำให้แผลเดินเจ็บขึ้นมา เขาเดินขากะเผลกไปหาลั่วหยาง ก่อนจะพูดกับลั่วหยางว่า : “ตอนนี้พ่อไปตามพวกเธอมาไม่ได้ ทำไมไม่ตามหม่าม้ากับน้องไปล่ะ? ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ยังไม่คุ้นเคยกับพวกธอสองคนหรอ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะเม้มริมฝีปาก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ถึงคุณพ่อกับหม่าม้าจะเลิกกัน ก็ควรมีลูกอยู่ด้วยฝั่งละคนนะครับ เจร่ยนซวงไปกับหม่าม้าแล้ว ผมก็ต้องอยู่กับคุณพ่อ……..อีกอย่าง……”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามามองลั่วหยาง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “อีกอย่างอะไร?”

ลั่วหยางมองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วก็พูดกับคนเป็นพ่อว่า : “อีกอย่าง คุณพ่อก็ต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะให้หม่าม้ากับน้องกลับมาแน่ๆ ผมเลยไม่ไปๆมาๆน่ะครับ มันเสียเวลา”

เหลิ่งเซ่าถิงมองลั่วหยางแล้วหัวเราะออกมา : “มั่นใจในตัวพ่อขนาดนั่นเลยหรอ?”

ลั่วหยางส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยความไร้เดียงสาว่า : “ผมไม่มั่นใจในหม่าม้าต่างหากครับ โกรธเป็นฟืนเป็นไฟแบบนี้ ยังจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อหน้าผม ยังไงหม่าม้าก็ถูกคุณพ่อเล้าโลมกลับมาได้แน่นอนครับ หม่าม้าใจอ่อนยิ่งกว่าคุณผู้ชายเหลิ่งอีกนะครับตอนนี้ คุณพ่อก็รู้ว่าหม่าม้าจะโกรธ คุณพ่อก็ยังจะโกหกอีก หม่าม้าโกรธขนาดนั้นแล้ว หม่าม้าก็ยังแคร์ความรู้สึกของผม ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเรากับคุณพ่อ หม่าม้าไม่มีทางสู้ไหวหรอกครับ!”

เมื่อลั่วหยางพูดจบก็ลุกขึ้นแล้วก็สะพายกระเป๋าของตัวเอง แล้วเดินตรงไปที่รถทันที

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกของตัวเองก่อนจะยิ้มอย่าขมขื่น : “แต่หวังว่าเธอจะพ่ายแพ้ต่อฉันนะ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่ลั่วหยางพูด เธอก็รีบขมวดคิ้วใส่ลั่วหยางผู้เป็นพี่ชายทันที ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าน่าสงสารว่า : “พี่คะ พี่ไม่อยากไปจริงๆหรอคะ? อากาศวันนี้ดีมากเลยนะคะ ถ้าไม่ออกไปเที่ยวนี่น่าเสียดายมากเลยนะคะ?”

ลั่วหยางส่ายหน้าไปมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “พี่ชอบอยู่บ้าน”

เจี่ยนซวงรีบหันหน้าไปกระพริบตาปริบๆใส่เจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าคะ พี่ไม่ยอมออกไปเที่ยวข้างนอก”

เจี่ยนอี๋นั่วกางมือออกก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นหม่าม้าจะทำอะไรได้ล่ะคะ? หม่าม้าไม่บังคับให้พี่ทำให้สิ่งที่ไม่อยากทำหรอกค่ะ”

“แล้วทำไมหม่าม้าถึงบังคับไม่ให้หนูกินเค้กล่ะคะ” เจี่ยนซวงตอบโต้

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองก่อนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “นั่นไม่ถูกหรอคะซวงซวง? ถ้าพี่ของหนูกินขนมหวานเยอะ หม่าม้าก็จะห้ามพี่เหมือนกันค่ะ”

เจี่ยนซวงคิดอยู่สักพัก : “งั้นก็ไม่พาพี่ไปด้วยก็ได้นี่คะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า : “งั้นหม่าม้าก็ไม่ไปค่ะ

เพราะว่าต้องมีคนอยู่ดูแลพี่ที่บ้าน ขาของคุณพ่อก็บาดเจ็บอยู่ คงให้คุณพ่อดูแลไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ? เหลือแค่หม่าม้าที่ดูแลได้ ซวงซวงจะออกไปเที่ยวข้างนอกคนเดียวหรอคะ? ความคิดที่จะออกไปเที่ยวเป็นความคิดของหนู งั้นหนูควรจะเป็นคนคิดแก้ไขปัญหานี้นะคะ”

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองลั่วหยางก่อนจะทำหน้างอแงออกมา : “พี่คะ ทำยังไงพี่ถึงจะออกไปหรอคะ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวงราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอย่างจริงจังอยู่ จากนั้นถึงจะพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “งั้นอยู่เงียบๆสักสองชั่วโมงได้มั้ยล่ะ?”

“สองชั่วโมงหรอคะ?” เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นมา ก่อนจะรีบพยักหน้าหงึกหงักทันที พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ได้ค่ะ ได้แน่นอน”

ลั่วหยางมองเจี่ยนซวงแล้วก็พูดต่อว่า : “ดูกจากความประพฤติของเธอด้วยนะ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่ลั่วหยางพูดเธอก็ทำหน้ายู่งอแงทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเธอเห็นใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาว่า ‘แล้วแต่หนูจะเลือก’ เจี่ยนซวงก็สูดจูกทันที ก่อนจะพยักหน้า : “ไม่ดีมั้งคะ ต้องรอให้ถึงหลังเวลาทานข้าวเย็นหนูถึงจะพูดได้หรอคะว่าหนูอยากกินอะไร”

ลั่วหยางพยักหน้าก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “ได้สิ พี่จะออกไปกับเธอได้”

เจี่ยนซวงกระโดดโลดเต้นทันที ก่อนจะหันหน้ามาทางเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณพ่อคะ พี่ตกลงแล้วค่ะคุณพ่อ อย่างงี้เราออกไปเที่ยวกันได้แล้วใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม : “จะได้ไปเที่ยวมั้ยนะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันโทรจัดการให้”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดก่อนจะเข็นวีลแชร์ของตัวเองเข้าห้องนอนไป ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมสแล้วกดโท ก่อนจะพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็ตัดสายไป : “จัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะ อีกหนึ่งชั่วโมงคนขับรถจะมารับพวกเรา”

เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดีจังเลยค่ะ หม่าม้ามาช่วยหนูเร็วค่ะ…….”

“หม่าม้าต้องช่วยพ่อล้างหน้าแปรงฟันนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงรีบขมวดคิ้วขึ้นมาใส่เจี่ยนอี๋นั่วทันที : “หม่าม้าคะ……..”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิง แต่ถ้าเธอปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าลูกๆ อาจจะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงนั้นเสียหน้าต่อหน้าเด็กๆ และตอนนี้ก็เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่จะให้เจี่ยนซวงทำอะไรด้วยตนเอง และให้มันเป็นโอกาสของเจี่ยนซวงนั้นได้รับอิสระด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาก่อน ก่อนที่จะมองไปที่เจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่าหนูไปเก็บของที่ต้องใช้เร็วค่ะ เดี๋ยวอีกสักพักหม่าม้าจะไปตรวจดูให้ โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงมุ่ยปาก ตอนแรกเธอรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เมื่อเธอหันไปมองลั่วหยาง พี่ชายของเธอที่ไม่ต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลือ เธอก็ไม่พูดอะไรต่อแล้วก็รีบวิ่งเข้าห้องของตัวเองไปทันที ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า : “ซวงซวงเก่งกว่าพี่แน่ๆ เก็บของไวกว่าแน่นอน!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็อดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้ ก่อนเธอจะวางมือลงที่วีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็พูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณเข้าไปนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่งพูด พร้อมกับเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเข้าห้องน้ำไปทันที ก่อนจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้มว่า :เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว : “ไม่ใช่ว่าเธอจะช่วยหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้มเยาะ : “ฉันจำได้ว่าท่านประธานเจ็บขานะคะ ไม่ใช่มือ คุณน่าจะแปรงฟันเองได้นะคะ ไหนลองดูสิคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างจนปัญญา : “ช่างเถอะ ฉันล้างหน้าแปรงฟันไปแล้วล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างพอใจก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ฉันว่าแล้วว่าคุณโกหกฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนวีลแชร์ เขาทำได้แค่เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ยิ้มอย่างแฮปปี้ขนาดนี้เธอจึงขมวดคิ้วขึ้นมา : “ฉันจับโป๊ะคุณได้แบบนี้มีความสุขมากหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “อือ มีความสุขมาก ที่เธอจับโป๊ะได้ ที่เธอสร้างเงื่อนไข เห็นเธอทำให้ฉันลำบากใจ เห็นเธอโมโห ฉันก็มีความสุขหมดแหละ”

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นสีแดง ก่อนจะหันหลังแล้วขมวดคิ้ว : “โกหกฉันได้คำสวยหรูอีกแล้วนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็รีบเดินออกไปจากห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็อดยิ้มไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วอาจจะคิดว่าการกระทำของเธอนั้นมันน่าเกรงกลัว แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมองว่าการกระทำทั้งหมดของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นน่ารักมากๆ น่ารักที่สุด เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้ เธอก็ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงก็มีความสุขมากๆแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโรคอะไรสักอย่าง ที่สองวันมานี้เขามีความสุขมากกว่าปกติ ราวกับว่าหมอกเมฆหม่นๆที่ผ่านมาหลายปีที่แล้วนั้นกลับกลายมาเป็นความสุขที่สุขที่สุดแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำมาได้ไม่นาน เหลิ่งเซ่าถิงก็เข็นวีลแชร์ออกมาตามแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันไม่ต้องล้างหน้าแปรงฟันแล้วล่ะ เธอไปช่วยเด็กๆเลยก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิงแต่เธอไม่ได้ขยับ แต่นั่งอยู่บนเตียงแล้วส่ายหน้าไปมา แล้วพูดว่า : “ปล่อยเด็กๆดูแลตัวเองเถอะค่ะ ถ้าลืมของอะไร หรือแก้อะไร ครั้งต่อไปก็จะจำกันเอง ถ้าเอาแต่ช่วยลูกตลอด เด็กๆจะไม่รู้นะคะว่าตัวเองต้องการอะไร”

“ลูกยังเล็กอยู่นะ เธอจะเข้มงวดกับลูกเกินไปแล้วนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดพร้อมกับยกยิ้ม ถึงแม้เขาไม่พูดอะไร แต่ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ตำหนิความคิดของเจี่ยนอี๋นั่งเลย

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้ เธอเหลือบตามองเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ถ้าเทียบกับลูกตระกูลเหลิ่งแล้ว พวกเขาคงถูกเลี้ยงจนนิสัยเสียแล้วมั้งคะ ไม่สอนให้ลูกดูแลตัวเองตั้งแต่เด็กๆ รอให้โตก่อนเลยทำให้กลายเป็นเด็กที่เอาแต่รอคนอื่น แบบนั้นมันจะดัดยากนะคะ ถึงแม้เก็บของคนเดียวจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแต่การที่สามารถทำได้ มันแสดงให้เห็นว่าคนๆนี้เขามีระเบียบ คุณเชื่อมั้ยคะ ว่าของที่เด็กๆเก็บต้องไม่เหมือนกันแน่ๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก็พอจะเดาได้อยู่”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกยิ้มออกมา ก่อนจะค่อยๆเก็บรอยยิ้มของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคำพูดที่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงพูดเมื่อกี้ ราวกับว่าเป็นคู่พ่อแม่ที่กำลังคุยกันเรื่องการเลี้ยงลูกอะไรอย่างนั้นเลย ราวกับว่าเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นค่อยๆชินกันกับบทบาทของฝั่งตรงข้ามช้าๆ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนั้น เธอก็อดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเช่นนั้น เขาก็กระตุกมุมปากทันที ก่อนจะค่อยๆยิ้มออกมา เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้สังเกตเลยว่าช่วงนี้ตัวเองนั้นยิ้มบ่อยมากแค่ไหน แต่เขารู้สึกได้ว่าช่วงนี้เขายิ้มบ่อยมากกว่าเมื่อก่อนมากๆ

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ จนเจี่ยนซวงสะพายกระเป๋าและใส่กระโปรงอย่างบิดๆเบี้ยวๆออกมา แล้ววิ่งหน้าตั้งไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะตะโกนเสียงดังว่า : “หม่าม้าคะ! หนูเก็บของเสร็จแล้วค่ะ!”

และแล้วลั่วหยางก็เดินตามเข้ามาในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงช้าๆ ก่อนจะมองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดว่า : “ผมก็เรียบร้อยแล้วครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไหนเปิดกระเป๋าหน่อยคะ ลองมาเช็คกันว่าขาดของอะไรบ้าง ถ้าขาดอะไรจะได้ใส่ลงไปเพิ่ม”

ลั่วหยางและเจี่ยนซวงเปิดกระเป๋าของตัวเอง เหมือนกันที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดเอาไว้เลย ว่ากระเป๋าของลั่วหยางและเจี่ยนซวงนั้นจะต่างกัน กระเป๋าของลั่วหยางบรรจุของที่จำเป็นไว้อย่างเหมาะสม ส่วนกระเป๋าของเจี่ยนซวงนั้นยุ่งเหยิงจนจะบกันเป็นก้อน แต่เห็นได้ชัดว่าของที่ลั่วหยางเตรียมนั้นขาดไปมากกว่าเจี่ยนซวง

เมื่อเจี่ยนซวงมองไปที่กระเป๋าของลั่วหยาง เธอก็เบิกตาโต : “พี่ไม่เอาน้ำไปด้วยหรอคะ? ทิชชู่ หนังยาง ทำไมมีแต่หนังสือล่ะคะ? เราออกไปเที่ยวนะคะ ไม่ได้ไปสอบ!”

ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะหันหลังแล้วรีบพูดขึ้นมาว่า : “งั้นเดี๋ยวผมไปเตรียมเพิ่มนะครับ”

เจี่ยนซวงรีบจัดกระโปรที่บิดเบี้ยวของตัวเองให้เรียบร้อย ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้าคะ ของหนูเตรียมของได้ดีมากใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะพยักหน้า : “ค่ะ ซวงซวงเตรียมมาได้ดีเลย แต่ถ้าหนูเก็บของให้เป็นที่เป็นทางแบบพี่จะดีมากเลยค่ะ……”

เจี่ยนซวงส่ายหน้า : “ซวงซวงไม่ชอบให้มันเป็นระเบียบค่ะ ซวงซวงชอบที่มันยุ่งเหยิงแบบนี้”

“มันก็ได้ค่ะ ถ้าหนูหยิบได้สะดวก ยุ่งเหยิงแบบนี้ก็ไม่เป็นไร” เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม แล้วเธอก็เห็นลั่วหยางเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เด็กลงไปเปิดประตูก่อนเลยนะคะ หม่าม้าจะเข็นคุณพ่อลงไปตาม”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันหลังไปหาเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็ยื่นมือออกมาหาเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดว่า : “ไปค่ะ เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณลงไป รอบนี้ไม่ทำคุณล้มอีกแน่นอนค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆลุกขึ้นจากวีลแชร์ ก่อนจะยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว มืออีกข้างนึงของเขาก็ใช้ไม้พยุงเอาไว้อยู่ หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “งั้นก็ฝากเธอด้วยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่งรับเอาน้ำหนังของร่างเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำได้เพียงแค่อยู่เงียบๆแล้วก็ช่วยพยุงเหลิ่งเซ่าถิงลงไปที่ละก้าวๆ เมื่อถึงชั้นล่าง และเธอพยุงเหลิ่งเซ่าถิงมานั่งที่โซฟาเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเธอ เธอถอนหายใจแรงๆออกมาหนึ่งครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นสุดยอดจริงๆ เพราะเธอกลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นล้มเธอจึงได้แบกร่างของเหลิ่งเซ่าถิงจากชั้นสองลงมาถึงชั้นแรก!

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเธอ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่คิดเลยนะคะว่าฉันจะรับมือไหว”

“นั่นมันเพราะว่าเธอมีฉันอยู่ในใจไงล่ะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นเธอเลยมีแรงพยุงฉันจากชั้นสองลงมาชั้นหนึ่งนี่ไง”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็อึ้งไปสักครู่ ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เพิ่มอีกเงื่อนไขนะคะ ต่อไปห้ามมาเต๊าะฉันนะคะ ฉันเท่านั้นที่เต๊าะคุณได้”

เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับอึ้งเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วจูบเขาอย่างกระทันหัน เขาไม่ได้ที่ปฏิกิริยาตอบกลับ จนเวลาผ่านไปนานเขาถึงได้หลับตาลงแล้วก็คว้าเอวบางของเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาแล้วจูบอย่างลึกซึ้งกับเธอต่อ แต่ในขณะนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอยออกมาอย่างรวดเร็วแล้วหยุดเหลิ่งเซ่าถิงทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้า : “ตอนนี้ฉันให้คุณไปเยอะแล้ว อย่างอื่นไม่ได้แล้วนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอวของเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบของเขา : “แค่จูบเดียวเองหรอ? ฉันบาดเจ็บมาตั้งเยอะ จูบอีกหน่อยไม่ได้หรือไง?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงอาการบาดเจ็บของเขา ใบหน้าของเธอหม่นหมองลงอีกครั้งก่อนจะรีบเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “อันนี้มันเกินหน้าที่แล้วค่ะ แล้วตอนนี้……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า : “แล้วตอนนี้เราก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันด้วยนะคะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด ก่อนจะแอบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เด็กๆวิ่งเล่นด้วยกันข้างนอกสองคนแล้วเมื่อกี้เธอก็จูบเหลิ่งเซ่าถิงด้วย แล้วตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอะไรกันด้วย เธอเลยรู้สึกผิดในใจเล็กน้อย

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ซักถามอะไรต่อ เขาเพียงแต่ยิ้มอ่อนๆให้เจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้น

ไม่รีรอให้เหลิ่งเซ่าถิงพูดอะไรต่อ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดขึ้นมาทันที : “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่จะไปเป็นผู้หญิงของคนอื่นไปเรื่อยไปเทื่อยนะ ที่จะบอกให้ฉันจูบคุณแล้วฉันจะทำแบบนั้นอ่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มก่อนจะพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมาเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความภาคภูมิใจก่อนจะพูดว่า : “คุณรู้ก็ดีแล้วค่ะ คุณคงรู้เรื่องที่ควรขอโทษฉันเมื่อหลายปีมานี้ใช่มั้ยคะ? ฉันต้องทนทุกข์มาตั้งเยอะ คุณก็ยังจะโกหกฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว : “ฉันรู้ หลายปีมานี้ฉันขอโทษนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเม้มปากแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง : “คุณรู้จักขอโทษฉัน คุณก็น่าจะรู้ว่าว่าระหว่างคุณกับฉันเราจะอยู่ด้วยกันได้มั้ย มันขึ้นอยู่กับที่ฉันอภัยคุณได้รึเปล่า”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “อืม ขึ้นอยู่กับคุณนั่นแหละ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “คุณอย่าคิดว่าฉันล้อเล่นนะคะ ตั้งแต่นี้ต่อไป ฉันจูบคุณได้ ฉันสัมผัสคุณได้ ฉันจะทำอะไรกับคุณก็ได้ แต่คุณไม่สามาระทำอะไรกับฉันก็ได้จนกว่าฉันจะหายโกรธแล้วก็ยอมรับคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เต็มใจที่จะกลับไปเคียงข้างเหลิ่งเซ่าถิงอย่างง่ายๆ ราวกับว่าเธอเป็นลูกหมาที่เหลิ่งเซ่าถิงจะเรียกหาแล้วสบัดทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแลเวยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะพูดว่า : “ได้ ฉันจะรอจนกว่าเธอจะหายโกรธ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “คุณอย่าคิดว่าฉันจะหายโกรธง่ายๆนะคะ ฉันเป็นคนตระหนี่นะ ฉันคงต้องใช้เวลาสักสิบปีกว่าจะฉันจะหายโกรธคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มขึ้นมา : “งั้นฉันก็จะยอมเธอตลอดสิบปีนี้แล้วกัน เธอจะจูบ ฉันก็จะให้จูบ เธอจะสัมผัส ฉันก็จะยอม เธออยาก……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วก็เปลี่ยน้ำเสียงให้ต่ำลงก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ถ้าเธออยากจะทำอะไรฉัน ฉันจะไม่ขัดอะไร แค่ให้ฉันนอนลงแล้วนอนราบไปเลย ให้เธอรุกเอง จะหนึ่งปี สองปี สิบปี หรือยี่สิบปี วันไหนที่เธอหายโกรธฉันแล้ว เราค่อยมาคุยเรื่องอื่นกัน”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดว่า : “รู้ได้ไงว่าฉันจะอะไร? คุณรู้หรอคะว่าฉันจะทำอะไรคุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดอะไร เพียงแค่มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยกยิ้มขึ้นมา ท่าทางของเขาราวกับกำลังบอกว่า เธอตะไม่ทำอะไรฉัน แล้วเมื่อกี้ใครกันนะที่จูบฉัน?

“ได้ ฉันยอมรับก็ได้ค่ะว่าฉันอาจจะทำอะไรกับคุณในบางครั้ง แต่คุณจะฟังฉันจริงๆหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “แน่นอนสิ ถ้าเธอจะจูบฉันหนักตอนนี้ ฉันก็จะไม่ขัดเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดออกมาว่า : “ดีเลยค่ะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “งั้นคุณก็ไปนอนรอเลยค่ะ แล้วก็หามผ้าดีๆ อย่าตุกติกนะคะ ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ฉันจะไปส่งลูกทั้งสองคนเข้านอนก่อน”  เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบเอื้อมมือมาจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณนั่งอีกสักพักไม่ได้หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองมือของเหลิ่งเซ่าถิงที่จะบเธอไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “นี่คุณจับอะไรอยู่คะ? ทำไมบยังไม่รีบปล่อยอีก? จำไม่ได้หรอว่าคุณจะเป็นฝ่ายรุกไม่ได้? ต่อไปคนรุกจะต้องเป็นฉัน!”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะ ก่อนจะพูด : “เธอพูดแค่ว่าฉันสัมผัสเธอไม่ได้ ไม่ได้บอวก่าฉันจับมือเธอไม่ได้นี่”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “คุณอย่ามาเล่นลิ้นนะคะ จะบมือไม่เรียกว่าสัมผัสรึไง? คุณมาเล่นคำอะไรของคุณ? ปล่อยเดี๋ยวนี้นะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยมือ ก่อนจะยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วราวกับว่าเป็นเด้กน้อยที่ซนมากๆยังไงอย่างนั้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะขมวดคิ้ว : “คุณกำลังคิดว่าฉันเอาแต่ใจแล้วก็เจ้าเล่ห์อยู่ใช่มั้ยคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “เป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ฉันฉันชอบนะ ฉันไม่เคยเลี้ยงซวงซวงกับลั่วหยาง เลยไม่เคยทะนุถนอมพวกเขา ถ้าเป็นคุณ ก็คงจะเหมือนกัน”

“คุณพูดบ้าอะไรคะ? เอาฉันไปเปรียบเทียบกับซวงซวงกับลั่วหยางอย่างงั้นหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วยขมวดคิ้วไปด้วย : “ในเมื่อฉันเอาแต่ใจแล้ว ฉันจะเอาแต่ใจไปให้ถึงที่สุด ต่อไปคุณอย่ามาจับมือฉันพร่ำเพรื่ออีกนะคะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลย ฉันจะไปแล้วค่ะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงฟังที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็ค่อยๆยิ้มขึ้นมาก่อนจะปล่อยมือของเธอออก แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า : “ได้ งั้นฉันจะรอให้เธอมาจับมือฉันนะ”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะตะโกนดังๆว่า : “รอไปเถอะค่ะ รอให้ถึงชาติหน้าเลย คนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วนะเป็นคนแกร่งอยู่แล้ว ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่เอาคุณ ยังไงฉันก็ไม่เอา!”

แต่เธอไม่ได้พูดมันออกมา เพราะเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าถ้าเธอพูดแบบนั้นออกมามันจะทำให้เธอไม่แน่ใจ เลยถอนหายใจออกมาแล้วสุดท้ายเธอก็พูดออกมาว่า : “คุณก็ค่อยๆรอไปนะคะ………”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ขมวดคิ้วแล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องไปแล้วเขาก็ยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะนอนลงบนเตียงแล้วก้มลงไปมองเท้าที่บาดเจ็บของเขา ก่อนจะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “เท้าที่บาดเจ็บมานี่ถือว่าคุ้มอยู่นะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าของตัวเองแล้วก็พูดขึ้นมาว่า : “จริงๆเลย จะอวดดีแล้วแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกรำคาญกับการกระทำของตัวเองมากๆ เธอคิดว่าตอนนี้ตัวเองรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะไม่เข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่อยากยินยอมที่จะกลับไปคบกันกับเหลิ่งเซ่าถิงง่ายๆ เธอเลยกลายเป็นคนที่อวดดีแบบนี้ไป

เจี่ยนอี๋นั่วพิงอยู่ที่ประตูห้องของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่พักหนึ่ง เธอห็เห็นเจี่ยนซวงและลั่วหยางกำลังพูดคุยกันแล้วกำลังเดินขึ้นบันไดมา เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆก่อนจะสงบจิตสงบใจลง จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็พาเจี่ยนซวงและลั่วหยางเข้านอนทันที

เด็กสองคนทั้งลั่วหยางและเจี่ยนซวงหลับไปแล้ว แม้ว่าพวกเขาทั้งสองนอนไปแล้วทั้งบ่าย แต่เมื่อกลับไปถึงห้องนอนของตัวเองแล้วนั้น ผ่านไปไม่นานทั้งสองก็นอนหลับปุ๋ยไปแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วพลิกตัวไปมานอนไม่หลับ เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งที่เธอทำไปในวันนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปง : “อึดอัดชะมัดบ้า…….น่าอายสุดๆ!”

ยิ่งเจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องน่าอายของเธอนี้เท่าไหร่ สมองของเธอก็ยิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นไปเท่านั้น เธอคลุมโปงแล้วหลับตาลง ผ่านไปอยู่นานกว่าเธอจะหลับลงไปอย่างยากลำบาก

เพียงพริบตาเดียวก็เช้าแล้ว เจี่ยนซวงมาปลุกเจี่ยนอี๋นั่ว : “หม่าม้าคะ……ตื่นเร็วค่ะ วันนี้เราออกไปเที่ยวกันนะคะ อยู่ที่บ้านน่าเบื่อมากๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาก่อนจะลุกขึ้น : “อือ ได้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งตอบไป เธอก็นึดขึ้นมาได้ทันทีว่าที่นี่ไม่ใช่การใช้ชีวิตแบบตอนที่อยู่หมูบ้านนั้นอีกแล้วตอนนี้ทุกที่ต่างก็อันตรายไปหมด เจี่ยนอี๋นั่วเหม่อไปสักพักก่อนจะพูดเสียงเบา : “รอก่อนนะคะ รอหม่าม้ากับคุณพ่อคุยกันก่อน ว่าจะได้ออกไปเที่ยวกันมั้ย โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหัวเราะฮิฮิแล้วพูดกับคนเป็นแม่ว่า : “เมื่อก่อนหม่าม้าเป็นคนตัดสินใจคนเดียว เดี๋ยวนี้ต้องถามคุณพ่อก่อนแล้วหรอคะ….”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ยัยหนูคนนี้นี่ ไม่ต้องมาทำให้หม่าม้าหงุดหงิดเลยนะคะ ตอนนี้เราไม่ได้อยู่กันที่หมูบ้านนั่นแล้วนะ ที่นี่เป็นที่ของคุณพ่อหนู หม่าม้าก็ต้องฟังความเห็นของคุณพ่อสิคะ?”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็วิ่งออกไปด้วยเท้าเปล่าของตัวเองเสียงดัง ‘ตึงๆๆๆ’ ทันที แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงตะโกนออกมาเสียงดัง : “คุณพ่อคะ…..คุณพ่อ พวกเราออกไปเที่ยวกันได้มั้ยคะ? ตั้งแต่เรามาอยู่ที่นี่ยังไม่เคยได้ออกไปเจอเพื่อนบ้านเลย! หนูอยากไปเจอเพื่อนๆที่นี่ค่ะ”

เมือ่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงตะโกนของเจี่ยนซวง เธอก็รีบเดินออกไปทันที ก่อนจะรีบเอามือไปปิดปากของเจี่ยนซวงจากข้างหลัง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ห้ามตะโกนค่ะ คุณพ่อกับพี่อาจจะนอนอยู่ หนูตะโกนเสียงดังแบบนี้จะทำให้พวกเขาตื่นเอานะคะ”

“ไม่เป็นไร ฉันตื่นแล้ว!” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม แล้วก็เข็นวีลแชร์ของตัวเองออกมาจากห้องนอนของตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง : “คุณตื่นแล้วทำไมไม่เรียกฉันคะ? คุณล้างหน้าแปรงฟันรึยัง? ฉันยังไม่ได้ช่วยคุณเลย”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้น ราวกับเขาเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะส่ายหน้าทันที : “อ๋อ ฉันลืมน่ะ ฉันยังไม่ได้ล้างหน้าแปรงฟันหรอก เดี๋ยวก็รบกวนเธอช่วยมาล้างหน้าแปรงฟันให้ฉันหน่อยแล้วกันนะ “

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ใบหน้าที่สะอาดเอี่ยมของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นมา : “ยังจริงหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า พร้อมกับทำหน้าที่ไร้เดียงสาออกมา : “ยังไม่ได้ล้างจริงๆ ไม่เขื่อก็ลองดูสิ?”

ลองงั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดต่อหน้าเด็กๆ มาพูดจาหน้าหนาแบบนี้ต่อหน้าเด็กได้ยังไงกัน เธออึ้งไปครู่หนึ่ง เธอไม่ได้รีบพูดโต้เถียงอะไรกลับไป เพียงแต่เบิกตาโตจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นโอกาส เธอก็รีบจับเอามือของเจี่ยนอี๋นั่วออกจากปากของเธอทันที ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ เราออกไปเที่ยวได้มั้ยคะ? พี่ชายก็คงอยากออกไปเที่ยวเหมือนกัน”

“พี่ไม่ได้อยากไป ไม่ต้องเอาพี่มาอ้างเลย” ลั่วหยางที่เดินออกมาจากห้องนอนพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าทุกอย่างกำลังไปในทิศทางที่ดี ยื่นตะเกียบไปที่มือของลั่วหยาง และพูดด้วยรอยยิ้ม: “เดี๋ยวจะตักข้าวให้ลูกนะคะ ลูกอยากทานเท่าไหร่จ๊ะ?”

“ข้าวครึ่งชาม” หลังจากที่ลั่วหยางพูดจบ เขาก็นั่งลงอย่างเป็นระเบียบ และเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วยื่นข้าวไปให้เขา เขาก็เริ่มทานข้าวทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่ลั่วหยาง หลังจากที่ตักข้าวให้จนครบทุกคนแล้ว จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก็นั่งลง

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วได้คีบอาหารมาหนึ่งคำ แล้วพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า :“เป็นเพราะอาหารปรุงเสร็จไว้ตั้งแต่ตอนเที่ยง มันอาจจะอยู่ในกล่องเก็บความร้อนเป็นเวลานานแล้ว เป็นเพราะอาหารรสชาติไม่ดีใช่หรือเปล่า?ไม่รู้ว่าจะถูกปากทุกคนหรือเปล่านะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ถูกปากแน่นอนค่ะ คุณไม่ต้องคิดมากอย่างนั้นแล้วนะคะ อาหารถูกปากรสชาดอร่อย”

เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันทีและตะโกนว่า :“อร่อยมากจริงๆค่ะ อร่อยมากจริงๆค่ะ คุณพ่อวางใจเถอะค่ะ ”

ลั่วหยางพยักหน้าเช่นกัน เหลิ่งเซ่าถิงจึงก้มหน้าลงและทานโจ๊กไปหนึ่งคำ

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เพราะเมื่อตอนกลางวันเด็กทั้งสองคนหลับมากเกินไป จึงทำให้อารมณ์ดี พวกเขาเดินไปรอบ ๆ เล่นกันอย่างเสียงดัง ถ้าพูดตามความจริงแล้วก็คือลั่วหยางกำลังอ่านหนังสืออยู่ แต่เจี่ยนซวงเดินตามหลังลั่วหยางต่างหาก และเดินเล่นเดินไปเดินมารอบๆเล่นเสียงดังมาก

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงเล่นเสียงดังเธอก็หน้าคิ้วขมวดทันที เจี่ยนอี๋นั่วนึกขึ้นได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ได้พักผ่อน จึงเก็บตะเกียบของเธอ ยิ้มและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง: “เด็กสองคนนี้ไม่รู้ว่าจะเล่นอีกนานแค่ไหน วันนี้ช่วงบ่ายคุณไม่ได้พักผ่อน คุณง่วงมากใช่ไหมคะ ?ไม่งั้นคุณไปนอนก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวฉันจะพาเด็ก ๆ ลงไปเล่นข้างล่างเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงจิบชาคำหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การพักผ่อนหรอกนะ คุณลืมที่จะทายาให้ผมหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก ดวงตาของเธอเบิกกว้างขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยความลำบากใจ: “คุณต้องการทายาจริงๆหรือคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ และถอนหายใจออกมาเบา ๆ : “ถ้านอกจากทายาให้แล้ว ยังสามารถอาบน้ำให้ผมด้วยแล้วล่ะก็จะยิ่งดีเลยล่ะ ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ เธอก็ไม่สนใจเรื่องการทายาแล้ว และรีบชี้ไปที่ขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า:“ ขาของคุณกลายเป็นแบบนี้แล้ว คุณยังสามารถอาบน้ำได้อีกเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาแตะที่หน้าผากของเขา และพูดด้วยท่าทางเศร้าหมอง: “แต่ผมรู้สึกไม่สบายนิดหน่อย แต่ถ้าหากคุณไม่เต็มใจอาบน้ำให้ผม ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะ ผมทนได้”

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำได้ว่าตอนที่เธอเคยอาศัยอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ต้องอาบน้ำทุกวันในตอนเช้าและตอนเย็นหนึ่งครั้ง ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถแม้แต่จะอาบน้ำได้ เพราะอาการบาดเจ็บที่ขา เขาไม่เพียงแค่จะทรมานเท่านั้น แต่ยังน่าจะรู้สึกไม่สบายตัวสุดๆเลยล่ะ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงนี่ ก็ขมวดคิ้วทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “ถ้าอย่างงั้น…… ถ้าอย่างงั้นฉันเช็ดตัวให้คุณดีไหมคะ?เดี๋ยวเอาผ้าเปียกน้ำเช็ดให้ค่ะ ……”

“ได้สิ” เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ทันรอให้เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็พยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ได้สิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนจะวางแผนไว้นานแล้ว และเขามั่นใจว่าเธอจะไม่อาบน้ำให้เขา ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินว่าเธอเต็มใจที่จะเช็ดหลังของเขา เหลิ่งเซ่าถิงก็ตอบตกลงทันที

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว บ่นพึมพำว่าตัวเองนั้นโง่เขลามาก จากนั้นก็พูดเบา ๆว่า : “งั้นฉันจะพาเด็กๆไปเล่นอยู่ข้างล่างก่อน แล้วเดี๋ยวฉันค่อยมาทายาให้คุณนะคะ ”

เด็กทั้งสองมีพฤติกรรมที่ดีมากในตอนนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วลงไปส่ง พวกเขาก็เดินลงไปเล่นชั้นล่างด้วยตัวเอง อันที่จริงเจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้เด็กทั้งสองลงไปข้างล่างเร็วนัก เธออยากให้เด็กๆทั้งสองคนอยู่นานกว่านี้ด้วยซ้ำ เพื่อที่เธอจะได้ถ่วงเวลาให้นานกว่านี้หน่อย สุดท้ายเด็กทั้งสองทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย

หลังจากที่เด็กทั้งสองคนเดินลงไปข้างล่าง เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่มีข้ออ้างล่วงเวลาได้อีกต่อไป ทำได้เพียงเดินไปข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไม่เต็มใจสักเท่าไหร่ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ยาที่จะทาอยู่ไหนคะ ?”

เหลิ่งเซ่าถิงซึ่งนอนรออยู่บนเตียงแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอ รับยาแล้วพยักหน้าเล็กน้อย: “อืม …… ดูแล้วยาตัวนี้สรรพคุณดีมากนะคะ ถ้างั้นตอนนี้ฉันจะลงมือทายาให้คุณแล้วนะคะ ……คุณช่วยดึงกางเกงขึ้นหน่อยค่ะ ”

“ก่อนที่จะทายา ควรเช็ดตัวก่อนไม่ใช่หรือ?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม:“ ไม่งั้นหลังจากทายาแล้วคุณจะเช็ดตัวยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก อันที่จริงเธอพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะผ่านขั้นตอนนี้ไป  เจี่ยนอี๋นั่วเงยมองขึ้นไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็กำลังมองตรงมาที่เธอ ตอนนี้ท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกำลังสงสัย “คุณคงไม่คิดจะผิดสัญญาใช่ไหม”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ กระพริบตาและกัดริมฝีปาก จากนั้นก็คิดในใจว่า: วันนี้เธออับอายขายขี้หน้าจนไม่รู้จะอับอายขนาดไหนแล้ว ยังต้องกลัวอะไรอีกล่ะ? ยังมีเรื่องอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีกเหรอ?

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมใจและทำใจได้แล้ว ก็หน้าคิ้วขมวดรีบหันไปพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปเตรียมน้ำอุ่นและนำผ้าขนหนูมานะคะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็รีบลุกขึ้นและไปที่ห้องน้ำทันที ในขณะที่เธอเปิดก๊อกน้ำอยู่ เธอก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก มองตัวเองในกระจกซ้ำ ๆ และกำลังพยายามทำใจอยู่: ไม่เป็นอะไรหรอกเจี่ยนอี๋นั่ว !ถือซะว่าตัวเองเป็นตุ๊กตาไม้รูปคนล่ะกันนะ!แค่ถือซะเป็นพยาบาลพิเศษที่ดูแลคนแก่ที่พิการแล้วกันนะ!

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วทำใจได้แล้ว เธอรีบนำกะละมังน้ำร้อนและนำผ้าขนหนูกลับมา เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงและปลดกระดุมชุดนอนทีละเม็ด

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งทำใจได้ไม่นาน ดังนั้นในสิ่งที่ทำใจได้แล้วกำลังพังทลายลง เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหน้าหนี และตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนกว่า :“นี่คุณ คุณกำลังทำอะไรอยู่คะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆปลดกระดุมขมวดคิ้วและพูดว่า:“ผมกำลังปลดกระดุมอยู่ อย่าบอกนะว่าจะต้องถอดเสื้อแล้วค่อยเช็ดตัวให้คุณอ่ะ ? แล้วถ้าไม่ถอดเสื้อผ้าจะเช็ดตัวได้อย่างไรล่ะ”

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง และพูดด้วยความตื่นตระหนก: “งั้น งั้น….. งั้นก็ไม่ควรรีบขนาดนี้ไหมคะ?คุณก็ไม่ต้องถอดแล้ว …… ”

“ คุณไม่ต้องการให้ผมถอดใช่ไหม? หรือถ้าอย่างนั้นคุณต้องการช่วยผมถอดเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงก็รู้ได้ทันทีว่าเหลิ่งเซ่าถิงจงใจตีความหมายของเธอให้ผิดเพี้ยน เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆคุณหยุดล้อเล่นอีกต่อไปได้ไหมคะ ถ้าหากคุณยังพูดแบบนี้อีก ฉันก็ไม่มีวิธีที่จะสนใจคุณได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ ”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบพูดทันที: “เอาเถอะ ผมจะไม่พูดอะไรที่ทำให้คุณรำคาญอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณสามารถช่วยผมได้ไหม?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ และค่อยๆหันหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้ด้วยว่าถ้าหากเธอต้องการเช็ดตัวก็คงเป็นไปไม่ได้ ถ้าหากไม่ถอดเสื้อผ้า

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงกัดฟันยกมือขึ้น แล้วเอื้อมมือไปที่กระดุมของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ในเวลานี้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเสียใจอย่างกะทันหัน เหตุใดเธอจึงตกลงรับปากเหลิ่งเซ่าถิงได้เร็วขนาดนั้น และปล่อยให้ตัวเองมาถอดเสื้อผ้าให้กับเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างไรกัน? เธอควรรอสักครู่ รอจนกว่าเหลิ่งเซ่าถิงถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้ว เธอก็ค่อยยื่นมือออกมาอีกครั้งก็ได้นี่ ตอนนี้เธอรู้สึกอายมากกว่าเมื่อกี้นี้เสียอีก!

คิดซะว่าเขาเป็นเพียงตุ๊กกาไม้รูปคนล่ะกันนะ! ก็เหมือนพยาบาลที่ดูแลคนไข้ทั่วไปล่ะกัน!

เจี่ยนอี๋นั่วแอบคิดทบทวนในสิ่งที่ในใจเธอเคยคิดซ้ำ จากนั้นค่อยๆยื่นมือไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วปลดกระดุมเม็ดแรกของเหลิ่งเซ่าถิงออก ปลายนิ้วเย็นของเจี่ยนอี๋นั่วก็สัมผัสโดนผิวของเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอ้าปากค้างด้วยความตกใจและนิ้วของเธอสั่นเล็กน้อย จากนั้นมือของเจี่ยนอี๋นั่วก็เคลื่อนลงอย่างช้าๆ เธอค่อยๆปลดกระดุมเม็ดที่สองของเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็ปลดกระดุมเม็ดที่สาม……

หลังจากปลดกระดุมเม็ดที่สามแล้ว อารมณ์ขี้อายของเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆหายไป เธอขมวดคิ้วและมองไปที่หน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ชุดนอนหลวม ๆ ของเหลิ่งเซ่าถิงถูกถอดออกไปครึ่งหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วสามารถมองเห็นรอยแผลเป็นบนหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างชัดเจน หากแต่ว่ารอยแผลเป็นบนหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น มันน่ากลัวมาก

รอยแผลเป็นบนหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ร้ายแรงเท่ากับรอยบาดเจ็บที่ขา แต่ทุกรอยแผลเป็นนั้นใกล้เคียงกับตำแหน่งหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่รอยแผลเป็นเหล่านั้น ราวกับว่าเธอได้เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงต้องผ่านเหตุการณ์ที่ทำให้เกือบตายครั้งแล้วครั้งเล่า

เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวที่จะขมวดคิ้วออกมา เบิกตากว้างจ้องมองไปที่แผลเป็นบนร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างลำเอียด รอยแผลเป็นเหล่านั้นมีขนาดเล็กแม่นยำและลึกมาก และมันเป็นตำแหน่งที่สำคัญและสามารถเอาชีวิตเหลิ่งเซ่าถิงได้ทันทีเลย

เดิมเจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกตกใจแต่เธอก็ค่อยๆรู้สึกเจ็บปวดที่หัวใจขึ้นมา เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับรอยแผลเป็นตรงหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อสัมผัสกับรอยแผลเป็นที่นูนขึ้นเล็กน้อยบนหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วและถามว่า: “เจ็บไหมคะ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะออกมาเบา ๆ : “ไม่เจ็บครับ เวลานั้นผมสลบไปแล้ว และไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณก็ผ่านมันมาแบบนี้เหรอ?มีชีวิตอยู่ด้วยรอยแผลเป็นทั้งตัว?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า:“มันก็ผ่านมาได้แล้วนี่ ไม่ใช่เหรอ?ขอโทษนะ ผมลืมไปว่าผมยังบาดเจ็บอยู่ ถ้าผมรู้ตัวให้เร็วกว่านี้ผมจะไม่รบกวนคุณมาเช็ดตัวให้ผมอย่างแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและพูดว่า:“ ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเต็มใจทำค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ถอดชุดนอนของเหลิ่งเซ่าถิงออกทันที จากนั้นถอดกางเกงนอนของเหลิ่งเซ่าถิงออก และปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียงโดยใส่แค่กางเกงขาสั้นเท่านั้น ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้รู้สึกขี้อายและตื่นตระหนกแล้ว ในตอนนี้เธอต้องการดูแลเหลิ่งเซ่าถิงให้ดีมากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หลังจากถอดเสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงออกจนหมด เจี่ยนอี๋นั่วก็ใช้ผ้าขนหนูแช่ในน้ำร้อนและถูตัวเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อยในขณะถูอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วแอบนับรอยแผลเป็นบนร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิง ในตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วยังคงจำเลขที่นับได้อยู่ แต่พอตอนหลังรอยแผลเป็นก็ถูกซ้อนทับกัน และเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรจะนับรอยแผลเป็นนั้นได้ยังไงอีก

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วซึ่งก้มศีรษะลงและไม่พูดไม่จา และเขาเข้าใจว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกทรมานใจขนาดไหน เจี่ยนอี๋นั่วกำลังทนทุกข์กับความทุกข์ทรมานที่เขาได้รับในอดีต เหลิ่งเซ่าถิงมีความสุขชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หดหู่เพราะความเศร้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างรวดเร็ว: :“ไม่ต้องเสียใจหรอก ตอนนี้ผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่ต้องมาสนใจผมแล้ว ผมทำเองดีกว่า”

ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเสียใจขึ้นมาอย่างกะทันหัน เขาไม่ควรให้เจี่ยนอี๋นั่วมาช่วยเช็ดหลังให้เขาเลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับขมวดคิ้วและผลักมือของเหลิ่งเซ่าถิงออกไป และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ที่ฉันช่วยคุณมันสมควรแล้ว คุณมาผลักมือฉันออกทำไมเนี่ย ?”

ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไม่มีความคิดอื่นอีกเลย และไม่พูดไม่จากันทั้งสองคน ได้ยินแต่เสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดหลังให้กับเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเช็ดตัวของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดหลอดยา และถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “ยาหลอดนี้ ต้องทายังไง?คุณช่วยบอกฉันหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและบอกเจี่ยนอี๋นั่วว่าจะเริ่มทายาจากตรงไหนก่อน เจี่ยนอี๋นั่วไม่ลังเลใด ๆ รีบก้มหัวลงขมวดคิ้วทันที และค่อยๆถูยาให้เหลิ่งเซ่าถิงอย่างตั้งใจ เมื่อยานั้นทาจนถึงน่อง ค่อยๆนวดทีละนิดทีละนิด และต้องถูซ้ำ ๆ ยานั้นจึงจะเห็นผล

เดิมทีหลิ่งเซ่าถิงยังคงอดทนกับมันได้ แต่ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะไอแค่กออกมา:“ อืม ครีมนั้น ทาได้จนทั่วแล้ว ไม่ต้องทาต่ออีกแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็จงใจแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร และลดสายตาลงทันที: “จะหยุดทาได้อย่างไรกัน?นี่ยังทาไม่เสร็จเลย ”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบปิดปากของเขา และไอออกมาสองสามครั้ง: “เวลานี้ไม่ต้องทาต่อแล้ว ผม……ตอนนี้ผมไม่ค่อยสะดวกนิดหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งข้างเตียง เอียงศีรษะและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัยขมวดคิ้วและถาม: “คุณไม่สะดวกตรงไหน?

มองแล้วไม่สะดวกเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงผงะไปชั่วขณะ และเขาก็คิดได้ทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วจงใจแสร้งทำเป็นสับสน เหลิ่งเซ่าถิงรู้ทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้ทันความคิดของเขา เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและพูดเบา ๆ :“คุณโกรธผมแล้วใช่ไหม ?ผมขอโทษด้วยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: “ฉันโกรธนิดหน่อย แต่ไม่ใช่แค่โกรธคุณเท่านั้น แต่โกรธที่ตัวฉันเองด้วย”

“ คุณโกรธอะไร?” เหลิ่งเซ่าถิงถามพร้อมกับขมวดคิ้ว

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและพูดว่า “ฉันโมโหตัวเองที่…… ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ ก็รีบขยับศีรษะและจูบไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงทันที เจี่ยนอี๋นั่วโกรธตัวเองจริงๆ เธอโกรธที่อายุมากขนาดนี้แล้วแต่เธอยังคงหลงเสน่ห์เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ และหักห้ามใจไม่ไหว แล้วเธออดไม่ได้ที่จะจูบเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเคยบอกว่าเธอไม่ต้องการอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ในเวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน เธอไม่ต้องการอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไปแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ดีว่าเหตุผลที่ไม่อยากอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่เพราะเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ แม้ว่าภายใต้นามแฝงเหลิ่งเซ่าถิงจะถูกเรียกว่า “คุณจู๋” เจี่ยนอี๋นั่วจะยังคงตกหลุมรักเขาเหมือนเดิม จะไม่มีความรู้สึกต่อเขาได้อย่างไร?

คนที่เจี่ยนอี๋นั่วเคยเกลียด เธอเคยเกลียดเหลิ่งหมิงอันและเคยเกลียดฉู่หมิงเซวียน ความแค้นที่แท้จริงนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเธอเกลียดใครสักคนแล้วเธอเกลียดจนอยากฆ่าพวกเขา แต่สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เธอมีเพียงความไม่พอใจ……

ใช่สิ แค่เพียงไม่พอใจ เจี่ยนอี๋นั่วไม่พอใจ เธอไม่พอใจที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงโบกมือไล่ให้ไป จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงโบกมือให้เธอกลับมาอยู่ข้างกายเขา เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอเป็นของเล่นที่เหลิ่งเซ่าถิงที่ถูกโบกมือไปมาอยู่อย่างนี้ แต่เธอกลับยังคงหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำอยู่ ขอแค่เหลิ่งเซ่าถิงเรียกหาเท่านั้นก็จะมาหาเขาทันที

ตราบใดที่เหลิ่งเซ่าถิงกวักมือเรียกเธอ เธอก็จะกลับมาอยู่ข้างกายของเหลิ่งเซ่าถืงอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าเธอไม่เคยจากไปไหนยังไงยังงั้น

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ เธอก็เอนตัวนอนลงบนพรมและเหยียดแขนออกและพูดด้วยรอยยิ้มกับลั่วหยาง: “ลูกต่างจากเด็กคนอื่น ๆยังไงคะ ในสิ่งที่คนอื่นทำได้ ลูกก็สามารถทำได้เช่นกัน ถ้าหากลูกคิดว่าพรมมันแข็งเกินไป อันที่จริงลูกสามารถมานอนตรงแขนของคุณแม่ได้นะคะ ”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสงสัย เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและยกมือขึ้นจับลั่วหยางโดยตรง ให้ ลั่วหยางนอนลงบนแขนของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม: “นอนตรงแขนของคุณแม่มันไม่ได้เป็นอะไรหรอกนะคะ ?เมื่อก่อนนี้ลูกอยู่ในท้องของแม่เป็นเวลานานมากเลยล่ะ ถ้าหากลูกง่วงแล้ว ก็หลับตานอนเถอะ คุณแม่ก็จะหลับเหมือนกัน……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หลับตาลงทันที เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงแล้ว ลั่วหยางก็เอียงศีรษะและกระพริบตาเขามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงจังสักพัก แล้วค่อยๆหลับตาลงบนแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เวลานี้เจี่ยนซวงก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้นอย่างงัวเงีย มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และดึงแขนอีกข้างของเจี่ยนอี๋นั่วออกมา และนอนอีกด้านหนึ่งบนแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว

ในตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วแค่อยากจะหลับตาลงสักพัก แต่อาจจะเป็นเพราะเมื่อคืนเธอนอนหลับไม่สนิททั้งคืน เมื่อเธอหลับตาลงสักพักเธอจึงหลับไปอย่างสนิท

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งเฝ้าดูโมเม้นนี้อยู่ข้างๆเตียง และเมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วพาเด็กทั้งสองคนนอนอยู่บนพรมอย่างไม่เป็นระเบียบ แต่เขากลับรู้สึกว่าโมเม้นนี้มันดูสวยงามมาก สวยงามมากจนทำให้เขาจ้องมองมันเป็นเวลานาน เมื่อเขาเห็นเจี่ยนซวงนอนขดตัวเพราะความหนาวเย็น เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นยืนเอาขาขวาแตะพื้นอย่างระมัดระวัง เขาหยิบผ้าห่มบาง ๆ คลุมให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสองคน

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็นั่งข้างๆพวกเขา เขาอยากที่จะลุกขึ้น หลังจากที่พลาดโอกาสเวลาที่อยู่ด้วยกันแบบนี้มานานมาก ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกไม่อยากเสียโอกาสที่จะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันแบบนี้ไปแม้แต่วินาทีเดียว

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ท้องฟ้าก็มืดลงแล้ว เจี่ยนซวงและลั่วหยางยังคงนอนหลับอยู่ข้างๆเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอยังคงงุนงงเธอไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอเพิ่งนอนข้ามมื้อกลางวันไป แล้วหลับจนถึงหัวค่ำแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเหลือบมองเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่ยังคงหลับอยู่ รีบยกมือขึ้นอย่างรวดเร็วและปลุกเจี่ยนซวงและลั่วหยาง แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังยกมือขึ้นก็คิ้วขมวดทันที แขนทั้งสองข้างของเธอถูกเจี่ยนซวงและลั่วหยางนอนทับจนมันทั้งชาและปวดมาก จนมันไม่มีแรงพอที่จะใช้งานได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงแค่สูดหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและตะโกนออกมาว่า: “นี่ พวกหนูตื่นได้แล้วค่ะ นี่เวลาไหนแล้ว ถ้ายังไม่ตื่นอีกแม้แต่อาหารเย็นก็จะไม่ได้ทานกันแล้วนะคะ ”

เมื่อได้ยินคำว่า “อาหารเย็น” เจี่ยนซวงขยี้ตาทันทีแล้วลุกขึ้นนั่ง รีบตะโกนออกมาว่า: “อาหารอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างเซ็งๆ ขมวดคิ้วและพูดว่า :“คุณแม่หมายความว่า ถ้ายังล่าช้าต่อไปอีก แม้แต่อาหารเย็นก็จะไม่ได้ทานแล้วนะคะ รีบตื่นเร็วๆค่ะ”

เจี่ยนซวงลูบท้องน้อยๆของเธอและบ่นพึมพำ :“อืม หนูรู้สึกหิวจริงๆแล้วล่ะคะ”

เจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ลั่วหยางก็ลุกขึ้น เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าของเขาแดงและเกิดรอยยับขึ้นบนใบหน้า เมื่อเจี่ยนซวงเห็นใบหน้าของลั่วหยาง ก็รีบยกมือชี้ไปที่ใบหน้าของลั่วหยางแล้วหัวเราะเสียงดังออกมาทันที: “ฮ่าฮ่าฮ่า…… ใบหน้าของพี่ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้คะ?”

ลั่วหยางหน้าแดงทันที ก่อนที่จะเตรียมทำท่าทางให้เงียบ เจี่ยนซวงก็ชิงพูดก่อนว่า: “เวลามันผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้ว ไม่นับแล้วล่ะคะ”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ยิ้มออกมาอย่างภาคภูมิใจและลุกขึ้น: “ถ้าหากหนูรู้ว่าหนูสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งการนอนหลับนี้ได้เร็วขนาดนี้ หนูควรจะนอนให้เร็วกว่านี้ จริงๆเลย อุคส่าห์อดทนมาตั้งนาน มันทรมานแทบตาย !อืม ใช่สิ คุณแม่คะ พวกเราทานข้าวได้แล้วหรือยังคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วนวดแขนที่ชาของตัวเองแล้วลุกขึ้นยืน: “อืม คุณแม่จะโทรสั่งตอนนี้นะคะ”

“ไม่ต้องแล้วล่ะ อาหารได้ถูกส่งมาแล้ว และมันวางไว้ในกล่องถนอมอาหาร”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่ เขาก็ดันรถเข็นวีลแชร์มาจากด้านนอก และยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสอง: “เพราะไม่รู้ว่าพวกคุณจะตื่นเมื่อไหร่ ผมกลัวว่าพวกคุณจะหิวเมื่อพวกคุณตื่นขึ้นมา ผมจึงสั่งให้คนอื่นส่งมาที่นี่ก่อน ไปล้างมือล้างหน้ากันก่อน แล้วมาทานข้าวกันได้แล้ว”

“ว้าว เยี่ยมมากจริงๆค่ะ !” เจี่ยนซวงยิ้มและกระโดดโลดเต้นขึ้นทันที: “ซวงซวงหิวจริงๆแล้วคะ คุณพ่อนี่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ ไม่เหมือนคุณแม่ที่เอาแต่นอนอย่างเดียว”

“ซวงซวง…… ” เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างจ้องมองไปที่เจี่ยนซวง แต่ภายนอกของเธอดูแข็งกร้าวมาก และน้ำเสียงที่พูดไม่ควรจะแข็งทื่อขนาดนั้น เนื่องจากในสิ่งที่เจี่ยนซวงพูดออกมานั้นพูดไม่ผิดเลยสักนิด เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่ขาขนาดนั้น แล้วเธอก็มานอนหลับไปอีก ช่วงบ่ายของวันนี้เธอไม่ได้ดูแลเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงมาดูแลพวกเขาอีก ไม่ว่าจะหาเหตุผลข้อไหนก็ตามคงหาเหตุผลมาอ้างไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเจี่ยนซวงได้แค่ว่า: “ถ้าอย่างนั้นจัดโต๊ะให้เรียบร้อย คุณพ่อไม่สะดวกที่จะลงไปข้างล่าง พวกเราทานอาหารที่นี่แล้วกันนะคะ ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็นึกขึ้นได้หน้าคิ้วขมวดถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ถ้าทานที่นี่ อาจจะทำให้มีกลิ่นอาหาร ถ้าหากคุณไม่ชอบ พวกเราสามารถเปลี่ยนสถานที่ใหม่ได้นะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มทันที: “ผมชอบมาก พวกเราก็กินที่นี่กันเถอะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก่อนที่เธอจะเคลียร์โต๊ะ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามือของเธอชาจริงๆ และมือของเธอไม่สามารถใช้การได้ เธอหันหน้าไปมองข้างหลังเธอ และเธอก็เห็นเจี่ยนซวงกำลังจะเก็บพรม และลั่วหยางกำลังเก็บหนังสือที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้น หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนซวงและลั่วหยางก็ทะเลาะกันว่าใครควรเก็บพรม และใครควรเก็บหนังสือ เด็กทั้งสองไม่ทันสังเกตเห็นท่าทางที่แปลกไปของเจี่ยนอี๋นั่วเลย

อันที่จริงเจี่ยนซวงและลั่วหยางเป็นเด็กที่ฉลาดมากอยู่แล้ว แต่พวกเขาก็เป็นแค่เด็กเท่านั้น ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะมีความฉลาดมากแค่ไหน แต่มันก็ต้องมีขีดจำกัด เจี่ยนอี๋นั่วก็เม้มริมฝีปากแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ เธอยืนขึ้นและนวดที่แขนของตัวเอง

“ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า ?” เหลิ่งเซ่าถิงเข็นรถวีลแชร์ไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังคุยกับเธออยู่ จากนั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า :“ไม่ได้เป็นอะไรค่ะ”

“ แขนของคุณชาหรือเปล่า?” เหลิ่งเซ่าถิงยังคงถามต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ : “มันเจ็บนิดหน่อย ลูกทั้งสองคนนี้ค่อนข้างหนักเหมือนกันนะเนี่ย ทับจนแขนของฉันปวดๆชาๆขนาดนี้”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยเสียงเข้ม:“เอามือของคุณยื่นออกมา เดี๋ยวผมจะนวดให้คุณเอง ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที: “หือ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “ทำไมถึงดูตกใจขนาดนี้ล่ะ ? ยื่นมือออกมาให้ผมสิ!”

“แต่ว่าฉัน …… ” เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว เธอไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง และไม่อยากให้ลูกๆของเธอเห็นท่าทางที่เธอดูสนิทสนมกับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เจี่ยนอี๋นั่วปฏิเสธเลย เขายื่นมือออกไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และกดแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเบา ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถูกกดลงไปจุดที่เจ็บ ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดเบา ๆ ว่า: “เจ็บนิดหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงก็ลดแรงลง ค่อยๆนวดแขนให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เดิมแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเจ็บและปวดมาก และเธอก็ไม่สามารถไปสนใจสิ่งอื่นเลย แต่เมื่อแขนของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆดีขึ้นและกลับมาใช้งานได้ปกติ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิงผิดปกติ เจี่ยนอี่นัวรีบดึงมือของตัวเองกลับ แล้วหลบหลีกอย่างไว ขมวดคิ้วและพูดว่า “ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับฉันอีกต่อไปแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยรอยยิ้ม:“ไม่เป็นอะไรจริงๆแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างแรง มองไปทางเจี่ยนซวงและลั่วทาง และเห็นว่าพวกเขายังคงนั่งเล่นกันอยู่ และไม่ทันสังเกตเห็นอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ช่วงบ่ายวันนี้ฉันนอนหลับไป ทำไมคุณไม่ปลุกฉันล่ะคะ? ตกลงกันไว้แล้วว่าฉันจะเป็นคนที่ดูแลคุณเอง แต่ฉันกลับหลับไป วันนี้คุณใช้ชีวิตอย่างไรคะ? ไปห้องน้ำแล้วลื่นล้มหรือเปล่าคะ ?ตอนกระหายน้ำคุณได้ดื่มน้ำหรือเปล่าคะ?”

เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงต้องการจะบอกว่าเขาดูแลตัวเองได้เป็นอย่างดี แต่ก่อนที่เขาจะพูดออกมา เหลิ่งเซ่าก็หยุดชะงักทันที ถ้าหากเขาพูดแบบนี้ออกมา กลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะคิดว่าเขาสามารถดูแลตัวเองได้ ก็จะไม่เสียเวลามาดูแลเขาอีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดไปชั่วขณะ จากนั้นส่ายหัวเล็กน้อย ทำหน้าบึ้งและพูดว่า: “มันก็ลำบากนิดหน่อย และผมก็เกือบจะล้มลง แต่โชคดีที่ผมไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ผมก็ลุกไปนั่งที่รถเข็นวีลแชร์อีกครั้ง ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง พร้อมกับสีหน้าท่าทางที่รู้สึกผิดอย่างมาก

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วและยิ่งพูดเว่อร์มากขึ้นไปอีกว่าอาการของเขานั่นแย่ลงมาก และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “แม้ว่าการล้มอาการจะไม่หนักมาก แต่ขาซ้ายของผมดูเหมือนจะถูกบิดบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้น”

เจี่ยนอี่นั่วก้มหัวลงอย่างรวดเร็ว มองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและถามว่า “คุณบาดเจ็บรุนแรงมากจริงๆเหรอคะ?”

“อืม …… ” เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจออกมา: “หลังจากที่ทานอาหารเย็นเสร็จ กลัวว่าคงต้องทายาแล้วล่ะ ผมคนเดียวทาได้ไม่ทั่วแน่ ๆเลย ผมไม่รู้ว่าคุณจะช่วยผมได้ไหม ?”

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วแสดงอาการที่ลำบากใจออกมา เหลิ่งเซ่าถิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ: “ถ้าคุณรู้สึกลำบากใจ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ตามขาของผมมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วนี่ ถึงจะทาหรือไม่ทายามันก็คงไม่แตกต่างกันหรอก ”

“ฉันจะช่วยคุณองค่ะ!” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ ก็รีบตอบรับทันทีโดยไม่ลังเลใด ๆ : “ฉันจะช่วยคุณแน่นอนค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและพยักหน้าหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนคุณแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ : “ไม่ค่ะ…… ไม่ได้รบกวนค่ะ…… ไม่ได้รบกวนสักนิดเลยจริงๆค่ะ…… ”

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นท่าทางไม่สบอารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชัดเจนมากขึ้น เขายิ้มและยกมือขึ้นเพื่อช่วยเจี่ยนอี๋นั่ววางตะเกียบบนโต๊ะอาหาร ตอนนี้เขาเงยหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นท่าทางที่ไม่สบอารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่กำลังวิ่งเล่นวิ่งไปวิ่งมาอยู่ด้านหลัง

เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงนั้นคืออะไร แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้แล้ว ในอดีตที่เคยใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสได้ถึงแค่ประตูแห่งความสุข แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าในชีวิตทุกอย่างที่อยู่รอบตัวของเขานั้นช่างมีความสุขมากจริงๆ เขาก็หุบยิ้มไม่ได้

“คุณแม่คะ …… ทานข้าวได้หรือยังคะ?”เจี่ยนซวงรีบวิ่งไปหาเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบา ๆ : “ทานได้แล้วค่ะ แต่ก่อนทานต้องไปล้างมือก่อนนะคะ ”

เจี่ยนซวงยื่นมือออกทันที ยื่นมือของเธอให้เจี่ยนอี๋นั่วดู และพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ หนูล้างมือมาจนสะอาดมากแล้วค่ะ”

ลั่วหยางก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยหน้าตาที่คิ้วขมวด :“ผมก็ล้างมือสะอาดแล้วครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ลั่วหยางและพยักหน้าตอบกลับ : “ดีค่ะ ดีมากค่ะ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มทานข้าวกันได้เลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมีความสุขมากเพราะลั่วหยางพยายามทำพฤติกรรมเช่นเดียวกับเจี่ยนซวงแล้ว และนี่มันก็แสดงให้เห็นว่าลั่วหยางเริ่มค่อยๆยอมรับในตัวของพวกเขาแล้ว และค่อยๆเหมือนเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแล้ว ? ทุกอย่างดูเหมือนจะพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของลั่วหยาง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“มันจำเป็นต้องเงียบนานขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ลั่วหยางพยักหน้าทันที: “ใช่สิ ต้องเงียบนานขนาดนั้นแหล่ะ ก็เมื่อกี้นี้น้องเป็นคนบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะขออะไรก็ได้ ”

เจี่ยนซวงก้มหน้าลงหน้าตาน่าสงสาร แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “หนูคิดว่าพี่คงอยากจะขอแค่ขนมจากหนูเท่านั้น!หนูคาดไม่ถึงว่าพี่ไม่อยากฟังหนูพูดอ่ะ ”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อไม่ให้ร้องไห้ออก และหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอขยับริมฝีปากเพื่อต้องการขอความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเธอเป็นคนพูดออกมาด้วยตัวเอง และแม้ว่าเธอจะขอความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่ว และคิดว่าคุณแม่ของเธอคนนี้คงจะไม่ช่วยเธออย่างแน่นอน

ในท้ายที่สุดเจี่ยนซวงก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย เธอเม้มริมฝีปาก นั่งหดตัวลงบนโซฟาและนั่งเงียบสงบลง เมื่อลั่วหยางเห็นเจี่ยนซวงหลบอยู่บนโซฟา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง และหน้าตาที่แสดงออกมากำลังอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก

ลั่วหยางอดไม่ได้ที่จะยักคิ้วและหัวเราะออกมาเบา ๆ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นโมเม้นนี้ ก็อดไม่ได้ที่หัวเราะออกมา เมื่อเห็นเจี่ยนซวงและลั่วหยางเด็กทั้งสองคนนั้นทะเลาะกันบ้างเล่นกันบ้าง ทำให้พวกเขาค่อยๆทำความคุ้นเคยและสนิทสนมกันมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วจึงลุกขึ้นและหยิบหนังสือขึ้นมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เกือบเที่ยงแล้ว และหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงก็สามารถทานข้าวเที่ยงได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเรามามีความสุขกับเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ดีกว่านะ ”

ลั่วหยางลดตาลง พลิกหนังสือหน้าถัดไป และพยักหน้าเห็นด้วย

เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยด้วยความเสียใจ และทันทีที่เธอต้องการพูด เธอก็รีบยกมือขึ้นและใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากของเธอทันที จากนั้นเจี่ยนซวงก็จ้องมองไปที่นาฬิกาอย่างมีความหวัง แต่เวลาที่เธอไม่สามารถพูดคุยได้นั้นมันช่างเป็นเวลาที่นานแสนนานเหลือเกิน ทำให้เจี่ยนซวงเกือบทนต่อไปไม่ไหว และเดินวนไปเดินวนมาอย่างทรมานใจ เจี่ยนซวงปิดปากของเธอพร้อมขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เวลา หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยนซวงก็เดินวนในห้องโถงหลายรอบ จากนั้นก็ไปดึงเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่ว

หลังจากเธอได้ทำทุกวิถีทางแล้วมันไร้ผล เจี่ยนซวงก็เงียบสงบนิ่งลง ขมวดคิ้วถอนหายใจออกมา และนั่งลงบนโซฟาอย่างน่าเวทนา แล้วจ้องมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง

เงียบไปไม่ถึงสิบนาที ทันใดนั้นเจี่ยนซวงก็ตะโกนออกมาว่า :“คุณพ่อ!”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง และกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อน ๆ :“ซวงซวงหนูหยุดก่อความวุ่นวายได้แล้วนะคะ คุณพ่อของหนูได้รับบาดเจ็บที่ขา เขาจะมาถึงนี่ได้อย่างไรกัน?หนูควรจะทำตามสัญญาเรื่องที่หนูเคยรับปากเอาไว้ดีๆนะคะ ”

เจี่ยนซวงรีบวิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วทันที เขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างรีบร้อน: “เป็นคุณพ่อจริงๆค่ะ คุณแม่ดูสิคะ …… เป็นคุณพ่อจริง ๆ ค่ะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางที่เจี่ยนซวงชี้ไป เป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนรถเข็นวีลแชร์จอดอยู่บนบันไดชั้นสอง เขาลดสายตาลงและมองลงมาที่พวกเขา ขมวดคิ้วเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ไม่ค่อยดี

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิงจอดอยู่หน้าบันได ถ้าหากเกิดไม่ระวังแล้วลื่นตกบันได ถ้าอย่างนั้นไม่กล้าคิดต่ออีก้ลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันนึกถึงสิ่งอื่นใด เธอก็รีบวิ่งไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว และวิ่งตรงไปหาเหลิ่งเซ่าถิง แล้วจับรถเข็นวีลแชร์ที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่ และรีบพูดว่า: “ทำไมคุณมาที่นี่ด้วยตัวเองล่ะคะ ?ฉันเคยบอกคุณไว้แล้วว่าถ้ามีอะไรให้เรียกหาฉันไม่ใช่เหรอคะ ?”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเธอหน้าคิ้วขมวด และมีเหงื่อไหลออกจากหน้าผากของเธอ และเขารู้สึกว่าอารมณ์ของเขาไม่เลวร้ายเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อกี้นี้เหลิ่งเซ่าถิงนอนอยู่บนเตียงคนเดียว และได้ยินเสียงที่คลุมเครือจากชั้นล่าง โดยไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกอารมณ์เสียมากขนาดไหน

เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาอย่างช้าๆ”เพราะผมรู้สึกเบื่อที่จะต้องนอนอยู่ตรงนั้นคนเดียว ผมจึงอดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นมาดู ผมอยากรู้ว่าพวกคุณกำลังทำอะไรกันอยู่ ?เป็นยังไงบ้าง สนุกกันมากไหม?”

เจี่ยนซวงรีบร้องไห้แล้ววิ่งไปที่ข้างๆของเหลิ่งเซ่าถิงและฟ้องด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณพ่อคะ พวกเขารังแกซวงซวงคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและถามอย่างสงสัย: “อ้าว? หนูห้ามพูดไม่ใช่เหรอลูก? ในสิ่งที่พวกหนูคุยกันเมื่อกี้นี้คุณพ่อได้ยินหมดแล้ว”

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้าง และเธอตะโกนเสียงออกมาด้วยความเสียใจ: “คุณพ่อเป็นอะไรคะ

เจี่ยนซวงยังคงพร้อมที่จะบ่นไม่หยุด แต่แล้วเธอก็เห็นลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมอง และทำท่าทางให้เธอเงียบเดี๋ยวนี้

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากทันทีและหยุดพูด และนั่งลงบนบันไดด้วยสีหน้าเศร้าโศก เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงที่นั่งสงบลง เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา จากนั้นก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“ บันไดนี้คุณเดินไม่สะดวกหรอก เดี๋ยวฉันจะเข็นคุณกลับไปนะคะ ”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที: “ผมรู้สึกเบื่อนิดหน่อยที่ต้องอยู่ในห้องคนเดียว”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วด้วยความลำบากใจและพูดว่า :“งั้นหนูควรทำอย่างไงดี?”

เจี่ยนซวงรีบหัวเราะออกมาทันที: “คุณแม่นี่โง่มากจริงๆเลยนะคะ ถ้าคุณพ่อไม่สามารถลงมาชั้นล่างได้ พวกเราก็ขึ้นไปชั้นบนสิคะ ห้องของคุณพ่อใหญ่มากขนาดนั้น พวกเราจะเล่นอย่างมีความสุขได้แน่นอนค่ะ และหนูก็อยากจะ……”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ลั่วหยางก็ทำท่าทางให้เจี่ยนซวงเงียบอีกครั้ง เจี่ยนซวงก็ขมวดคิ้ว แล้วค่อยๆยกมือขึ้นปิดปากไม่กล้าพูดอีกต่อไป และเป็นความเงียบสงบที่ถาวร

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่สักพักหนึ่ง และรู้สึกว่านี่ก็เป็นวิธีที่ดีเช่นกัน แต่ปัญหาเดียวของเจี่ยนอี๋นั่วก็คือรู้สึกอับอายเล็กน้อย วิธีที่คบกันระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้เจี่ยนซวงและคนอื่น ๆ เห็น เพราะกลัวว่าจะมีเรื่องอะไรน่าอับอายเกิดขึ้นอีก ทำให้เจี่ยนซวงและลั่วหยางหัวเราะเยาะเธอได้

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนรถเข็นวีลแชร์แล้ว และเมื่อเธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงตัวซีดเซียว ผอม และดูอ่อนแอมาก เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า :“สิ่งที่ซวงซวงพูดก็มีเหตุผลอยู่นะ เอาอย่างนี้ดีไหมพวกเรามาอยู่เป็นเพื่อนคุณในห้องนี้ดีไหมคะ? ถ้าเป็นแบบนั้นคุณจะได้ไม่รู้สึกเบื่ออีก

เหลิ่งเซ่าถิงรีบหรี่ตาและหัวเราะออกมาทันที เขายิ้มและพยักหน้าตอบรับทันที: “โอเคเลย เมื่อถึงเวลาตอนเที่ยง ก็ให้พวกเขาส่งอาหารมาที่ห้องของผมโดยตรง”

“เอ่อ …… ” เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้วางแผนว่าตอนเที่ยงต้องจัดเตรียมอะไรบ้างเลย และคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะ ตัดสินใจไว้ล่วงหน้าแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ทันรอให้เจี่ยนอี๋นั่วปฏิเสธ เขาจึงรีบดันรถเข็นและหันหลังกลับทันที เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเป็นเรื่องลำบากมากที่เหลิ่งเซ่าถิงจะหมุนรถเข็นด้วยตัวเอง ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะก้าวไปข้างหน้า และจับรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิง และพูดอย่างรวดเร็ว: “มาเดี๋ยวฉันช่วยคุณเองค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ดันรถเข็นของเหลิ่งเซ่าถิงและดันตรงไปยังห้องของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากที่ดันไปถึงหน้าห้อง เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งนึกขึ้นว่าลืมเรียกเจี่ยนซวงและลั่วหยาง และเธอรีบหันกลับไปและตะโกนเรียกพวกเขา: “พวกหนูรีบขึ้นมาสิลูก และอย่าลืมเอาหนังสือและของเล่นของพวกหนูขึ้นมาด้วยนะคะ ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเสียงตะโกนเรียกของเจี่ยนอี๋นั่ว และโผล่หัวออกมาทันที มองไปที่ลั่วหยางจากราวบันได และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “พี่ไม่ขึ้นมาเหรอคะ?”

ลั่วหยางปิดหนังสือ และถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเดินขึ้นบันไดไป เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าลั่วหยางก็กำลังเดินขึ้นมาด้วย ค่อยสบายใจขึ้นและเดินตามหลังลั่วหยางแล้วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา :“นี่ เมื่อกี้นี้พี่เห็นคุณพ่อหัวเราะไหมคะ?แม้ว่าพี่จะดูคล้ายกับคุณพ่อมาก แต่ว่าคุณพ่อดูดีกว่าพี่นะ เอ๊ะ ทำไมพี่ถึงถือแต่หนังสือของตัวเองล่ะ?แล้วหนังสือของหนูล่ะคะ ?พี่นี่จริงๆเลยนะ นี่พี่เป็นพี่ชายของหนูนะคะ ตัวเองเดินขึ้นมาคนเดียวกลับไม่ช่วยเอาหนังสือของหนูขึ้นมาด้วย หรือต้องการให้หนูลงไปเอาชั้นล่างอีกรอบคะ?จริงๆเลย ชิ เดี๋ยวหนูจะลงไปหาหนังสือของหนูเอง !และหลังจากนั้นหนูก็จะไม่ให้พี่ดูหรอก”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็กำลังจะหันกลับไปและลงไปชั้นล่าง ลั่วหยางก็เปิดหนังสือของตัวเอง และหยิบหนังสือนิทานที่ถูกหนีบไว้หนังสือของเขา โยนให้เจี่ยนซวง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า :“นี่คือหนังสือของน้องใช่ไหมล่ะ?”

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นหนังสือนิทานของตัวเอง ที่ลั่วหยางโยนให้กับเธอ และพยักหน้าทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “นี่มันเป็นหนังสือนิทานของหนูจริงๆด้วย! นี่พี่ยังคิดจะเอาหนังสือของหนูมาด้วยเหรอคะ และยังช่วยหนูถือไว้ตลอดด้วย หนูรู้สึกว่าพี่ก็ ……”

ก่อนที่คำพูดของเจี่ยนซวงจะพูดจบลง ลั่วหยางได้ยกนิ้วขึ้นชี้ไปริมฝีปากของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“จุ๊ จุ๊ เงียบ หยุดพูด ตอนนี้ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงนะ”

เจี่ยนซวงไม่คาดคิดมาก่อนว่าลั่วหยางจะยังจำเวลาได้ เธอสูดหายใจเข้าและแสดงใบหน้าที่เสียใจร้องไห้ออกมา แล้วเม้มริมฝีปากของเธอ แล้วไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก เดินตามหลังของลั่วหยางด้วยใบหน้าที่เศร้า เจี่ยนซวงไม่พูดไม่จาเดินตามหลังลั่วหยางจนเดินเข้าไปในห้องของเหลิ่งเซ่าถิง และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้รับความช่วยเหลือจากเจี่ยนอี๋นั่วให้นอนลงบนเตียงแล้ว

เจี่ยนซวงรีบก้าวไปข้างหน้าทันที และดึงที่มุมเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เพราะเธอไม่สามารถพูดได้ เจี่ยนซวงจึงได้ แต่มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างอ้อนวอน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา เธอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่จะเตรียมสถานที่ให้พวกหนูนั่งเล่นกันนะคะ ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนอนลงแล้ว เธอจึงเอาพรมจากห้องข้างๆมาปูที่พื้น และพูดกับเจี่ยนซวงและลั่วหยางด้วยรอยยิ้มว่า:“พวกเรามานั่งที่นี่กันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วปูพรมไว้ตรงมุมหน้าต่าง แสงแดดวันนี้อบอุ่นมาก และไม่แสบตาเลยสักนิด เมื่อมันส่องมาที่เรือนร่าง แล้วรู้สึกสบายเป็นพิเศษ นั่งใต้หน้าต่างแบบนี้ และได้อาบแดด มันทำให้เธอมีความสุขมาก เจี่ยนซวงก็ล้มตัวลงนอนบนพรมนั้นและหายใจออกมายาว ๆ หลังจากพลิกหนังสือนิทานเพียงไม่กี่หน้า เธอก็หดตัวเป็นลูกบอลเล็ก ๆ และหลับไปบนพรมนั้น

ลั่วหยางก็เริ่มก้มหัวลงและทำท่าหาวง่วงนอน เหมือนกับว่าเขากำลังจะนอนหลับ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและโอบไหล่ของลั่วหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ถ้าหากลูกง่วงนอนก็นอนเถอะ อย่างไรก็ตามพรมนี้หนามาก ลูกจะไม่รู้สึกเย็นหรอกนะคะ”

ลั่วหยางกระพริบตาอย่างลำบาก และพูดด้วยด้วยเสียงเบา: “ผมไม่สามารถนอนบนพื้นได้ครับ เพราะมันดูไม่มีมารยาทครับ ผมไม่เหมือนเด็กคนอื่น ไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ครับ ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของลั่วหยาง เธอก็ขมวดคิ้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าถึงแม้ว่าลั่วหยางจะดูเป็นคนที่มีกฎระเบียบและฉลาดมาก ในสายตาของคนอื่นเขาอาจจะเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบ

แต่เบื้องหลังความสมบูรณ์แบบของเขานั้น เขาถูกฝึกวินัยมาและใช้กฎของผู้ใหญ่หลายคนเพื่อฝึกวินัยเขา คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลั่วหยาง อาจรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเขา และรู้ว่าลั่วหยางจะต้องกลายเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่ง และกลับมาอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะประมาท และพยายามสอนลั่วหยางให้เป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบให้มากที่สุด

บางทีสำหรับคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของลั่วหยางแล้ว ลั่วหยางไม่ได้เป็นเหมือนเด็กธรรมดาทั่วไป เพียงแค่มีภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์คนที่เลี้ยงดูลั่วหยางมาได้ และไม่สามารถบ่นว่าทั้งสองคนได้เพิกเฉยต่อจิตใจและความรู้สึกของลั่วหยาง และไม่ได้เห็นว่าลั่วหยางเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น และไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นพ่อแม่ของลั่วหยางจริงๆ และเธอเป็นคุณแม่ที่ละเลยหน้าที่ เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะไปเรียกร้องแบบนี้ ?

โชคดีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินไป และทุกอย่างยังมีโอกาสที่จะแก้ไขให้กลับมาได้

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเธออย่างกะทันหันแบบนั้น มันเป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลับมองเธอด้วยหน้าตาที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาและพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า :“ดูเหมือนว่า ผมจะสร้างปัญหาให้คุณมากเกินไปจริงๆ”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็ลดสายตาลง แสดงสีหน้าออกมาอย่างรู้สึกหดหู่ ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง จากนั้นยกมือขึ้นและขยี้ตาของเธอทันที เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงแสดงสีหน้าออกมาอย่างรู้สึกหดหู่เป็นด้วยเหรอ? เขากลายเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

“ช่างมันเถอะ คุณไปเถอะ ผมจะพักผ่อนสักครู่ อีกสักครู่คงจะดีขึ้นแล้ว ” เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วก็ค่อยๆนอนลงอย่างช้าๆ

แต่เวลานี้เจี่ยนรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนที่ทำผิดมากจริงๆ เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างรวดเร็ว: “โอ้ มันเรื่องแค่นี้เอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย คุณลุกขึ้นหน่อยได้ไหม? ฉันสามารถช่วยคุณได้”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นยกมือขึ้นพร้อมถอดเสื้อผ้าออก เจี่ยนอี๋นั่วรีบจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงทันทีและถามด้วยความตื่นตระหนกตกใจว่า: “เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณกำลังจะทำอะไรคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเอียงศีรษะเล็กน้อยมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสับสนและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ผมกำลังจะถอดเสื้อผ้าอยู่นะสิ”

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง: “ทำไม ?ทำไมต้องถอดเสื้อผ้าด้วยคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว: “ถ้าผมไม่ถอดเสื้อผ้า แล้วคุณจะช่วยผมเกามันได้อย่างไรกันล่ะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นว่า: “ฉันสามารถเอามือสอดเข้าไปในเสื้อผ้าของคุณได้เลยนี่”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ และไม่กล้าที่จะลังเลอีกต่อไป รีบเอาสอดมือเข้าไปในเสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงทันที และรีบพูดว่า:“ก็แบบนี้ไงคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาเล็กน้อยและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ที่แท้มันทำแบบนี้ก็ได้ด้วยแฮะ”

“แน่นอนสิคะ!” เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำเบาๆ:“เคยมีประสบการณ์แบบนี้มาก่อนไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงพึมพำเบาๆของเจี่ยนอี๋นั่ว และในใจรู้สึกมีความสุขมาก ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ทำหน้าคิ้วขมวดทันที เธอขยับเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณกำลังหัวเราะอะไรอยู่คะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่มีอะไร ผมไม่ได้หัวเราะอะไรนี่น่า แค่รู้สึกว่าวันนนี้แสงแดดจ้าจริงๆ ผมรู้สึกว่ามีความสุขมากจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลิ่งเซ่าถิงเกาหลังของเขาไปด้วย และเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่นอกหน้าต่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่ว ยังต้องยอมรับว่าดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงข้างนอกนั้นดีจริงๆเลย และแสงที่สอดส่องมาที่ร่างกายของเธอ เธอก็รู้สึกอบอุ่นไปทั้งตัว และอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆเริ่มดีขึ้นแล้ว

“เป็นเวลานานมากแล้วที่ฉันไม่ได้เห็นแสงอาทิตย์ที่ดีเช่นนี้ ” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดมันออกมา

เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาเช่นกัน: “อืม นี่เป็นเป็นแสงแดดที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองแสงอาทิตย์อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ก้มหัวลง และพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจ้องมองเธออยู่ตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วรีบขมวดคิ้ว :“คุณกำลังมองดูอะไรอยู่คะ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็จำได้อีกครั้ง และพูดอย่างรวดเร็ว: “ใช่สินะ ตอนนี้คุณไม่คันแล้วใช่ไหมคะ? ฉันสามารถออกไปได้แล้วใช่ไหมคะ คุณยังต้องการอะไรอีกไหมคะ คุณพูดออกมาทีเดียวเลยค่ะ วันนี้วุ่นวายเรื่องของคุณทั้งวัน ไม่มีเวลาดูและลั่วหยางและซวงซวงเลย ฉันกลัวว่าพวกเขาจะรู้สึกเสียใจ รออีกสักพัก ฉันคงต้องหาเวลาไปดูแลพวกเขาแล้วล่ะ ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ ยิ้มและกล่าวว่า มันควรต้องเป็นแบบนั้นแหล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้คุณไม่คันแล้วใช่ไหมคะ?ถ้าเป็นไปได้ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า: “โอเค คุณไปเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอายเมื่อได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ ตอบรับได้รวดเร็วขนาดนี้ กลับรู้สึกเกรงใจจริงๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ถ้าฉันไม่อยู่ชั้นล่าง ก็น่าจะอยู่ห้องข้างๆนี่นะคะ  คุณสามารถโทรหาฉันได้เลย ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ : “ผมรู้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธออย่างแรง ในที่สุดก็ลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องไป จึงลุกขึ้นจ้องมองไปที่ประตูที่ค่อยๆปิดลง และรอยยิ้มค่อยๆจางหายไป เมื่อกี้นี้แสงแดดที่สว่างไสว ในตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยเมฆดำในชั่วพริบตา และในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงก็มืดมนลงทันที

“ฉันคิดว่าคุณยังต้องการ ……”เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วย พร้อมเดินเข้ามาในห้องไปด้วย เมื่อมองไปที่ เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังทำหน้าบึ้งและจ้องมาที่ประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดชะงักทันที

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ? คุณกำลังมองหาอะไรอยู่คะ?”เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อเขาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยรอยยิ้ม:“ทำไมคุณถึงกลับมาอีกครั้งล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกถาดในมือขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม: “โอ้ ฉันกลัวว่าคุณจะกระหายน้ำหรือหิวแล้ว ฉันจึงเอาแซนวิชและน้ำมาให้คุณ ฉันจะวางของเหล่านี้ไว้ข้างเตียงของคุณนะคะ และคุณสามารถยื่นมือออกมาหยิบได้เลย แบบนี้ก็จะสะดวกมากขึ้น”

แต่ก็ไม่มีข้ออ้างที่จะเรียกหาเจี่ยนอี๋นั่วให้มาหาอีก

เหลิ่งเซ่าถิงคิดถึงนี่ ก็ค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นอย่างช้าๆ และย่อตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนแรงและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าสภาพของเหลิ่งเซ่าถิงดูไม่ค่อยดี รีบถามอย่างรวดเร็ว:“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับเบา ๆ : “ไม่มีอะไร ผมสบายดี”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงในสภาพของตอนนี้ ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงทำให้เธอนึกถึง ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วยังเด็ก เมื่อเธอป่วยเธอต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ข้างกายเธอ และไม่ยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วจากเธอไปไหน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงนี่เรื่องนี่ก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

ให้ตายเถอะ เธอกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย? เจี่ยนซวงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น แต่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นถึงประธานเหลิ่งนะ? เขาจะมีจิตใจที่เหมือนกันกับเจี่ยนซวงได้อย่างไรกัน?

บางทีอาจจะเป็นเพราะหลายปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้เจอกัน เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงมีความกดดันมาก เลยทำให้เขากลายเป็นคนที่มีอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ เธอพยักหน้าเล็กน้อย รู้สึกว่าการคาดเดาของเธอนั้นมันถูกต้องอย่างแน่นอน เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินตรงไปที่ข้างเตียงของเหลิ่งเซ่าถิง วางถาดไว้บนโต๊ะเล็กๆ ข้างๆเตียงนั้น และยิ้มแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า :“ถ้าหากคุณหิวคุณก็กินได้เลยนะคะ ฉันขอตัวก่อนแล้ว ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แต่ไม่ได้รอคำตอบของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ยิน ก็เดินขยับเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดว่า: “ฉันกำลังจะไปแล้วนะคะ”

ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งรู้สึกตัว แต่ปฏิกิริยาของเขาคือการหันหลังกลับ และนอนลงไปโดยหันหลังให้กับเจี่ยอี๋นั่ว

นี่มันอึดอัดมากไหมเนี่ย?

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นเวลานาน เธอพยายามอย่างหนักที่จะคิดถึงท่าทางที่เฉยเมยและหยิ่งผยองตามปกติของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนที่จะระงับความคิดที่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังอึดอัดใจ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังกลับทันทีและเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็ลูบหน้าอกของเธอเบา ๆ และถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก: “ไม่เจอกันมานานหลายปี ทำไมนิสัยถึงกลายเป็นเด็กแบบนี้ด้วยนะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ เธอก็เดินตามเสียงพูดคุยของเจี่ยนซวงและลั่วหยาง และเดินลงไปถึงชั้นล่าง เจี่ยนซวงยังคงใช้วิธีการต่างๆเพื่อ “เกลี้ยกล่อม” ให้ลั่วหยางออกไปจากที่นี่

“พี่ดูสิ ที่นี่มีทั้งหมดกี่คน คุณพ่อเหรอ ก็คือคนที่พี่เรียกคุณเหลิ่งตลอดคนนั้นแหล่ะ ดุขนาดนั้น! พี่เคยเห็นคนที่ดุ ๆ ขนาดนั้นไหมล่ะ? ยิ่งคุณแม่นะ ยิ่งแย่ไปกว่านั้นอีก อาหารที่เธอทำพี่ก็เคยกินแล้วไม่ใช่เหรอ กินยากขนาดไหนล่ะ อีกทั้งเธอยังไม่รู้วิธีการทำอาหารเลย งานบ้านงานเรือนก็แย่เอามากๆเลยล่ะ พี่ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำเธอซักกระโปรงตัวน้อยของหนู สภาพนี้ไม่ต้องพูดถึง นิสัยก็แย่ เมื่อกี้นี้พี่ก็เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ หนูไม่ได้นินทาคุณแม่หรอกนะ เมื่อกี้นี้เธอดุขนาดไหน พี่ไม่กลัวเหรอคะ?”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ก็สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดต่อ: “ก็มีแต่หนูที่ยังพอโอเค นิสัยของหนูก็ค่อนข้างดี แล้วก็ฉลาดมากด้วย แต่ว่าหนูไม่ชอบพี่อ่ะ และพี่ก็ไม่ชอบหนูด้วย พวกเราสองคนไม่เหมาะที่จะเป็นพี่น้องกัน จริงๆนะ …… พวกเราไม่มีวาสนาต่อกัน ”

“ ซวงซวง…… ” เจี่ยนอี๋นั่วลดเสียงลงและขมวดคิ้วขึ้นทันที

เจี่ยนซวงตกใจจนตัวสั่น รีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ คุณแม่ไม่ต้องดูแลคุณพ่อเหรอคะ ?วางใจเถอะค่ะ หนูจะเป็นคนดูแลพี่ชายเอง คุณแม่ไปดูแลคุณพ่อเถอะค่ะ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง ไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ใช้สายตาจ้องมองเจี่ยนซวงเท่านั้น เจี่ยนซวงรีบ ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกทันที และลดเสียงลงยิ่งขึ้น:“ คุณแม่คะ หนูผิดไปแล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามว่า “แล้วผิดตรงไหนคะ?”

เจี่ยนซวงมองไปที่ลั่วหยาง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ มีคนนอกอยู่ด้วย พวกเราไปพูดคุยกันส่วนตัวได้ไหมคะ หนูไม่อยากเห็นให้คนอื่นเห็นตอนหนูถูกคุณแม่ตักเตือน……”

“คุณแม่จะไม่ตักเตือนหนู ” เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงบนโซฟา และมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างจริงจัง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่รู้ว่าตอนนี้หนูกำลังคิดอะไรอยู่ รู้สึกว่าความสนใจของคุณแม่ที่มีให้หนูถูกแบ่งไปให้คนอื่นแล้วใช่ไหมคะ และจะไม่อยู่เคียงข้างหนูอีกต่อไปแล้วอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้ามุ่ย หยิบหมอนที่อยู่ข้างๆเธอขึ้นมากอดแล้วก้มหัวลง และไม่พูดไม่จา

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ซวงซวง ตอนเริ่มต้นมันอาจจะยากลำบากเล็กน้อย แต่เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป พวกเราทุกคนจะปรับตัวเข้าหากันได้แน่ หนูต้องรู้จักที่จะปรับตัว บางทีคุณแม่อาจจะสนใจและเอาใจใส่คนอื่น แล้วก็จะมีคนอื่นที่สนใจหนูและเอาใจใส่หนูเช่นกัน”

เจี่ยนซวงสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อไม่ให้น้ำมูกไหลออกมา ร้องไห้สะอื้นแล้วพูดว่า:“ไม่มีใครมาสนใจหนูและเอาใจใส่หนูหรอกค่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะเล็กน้อย ชี้ไปที่ลั่วหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายของหนูก็อยู่เคียงข้างหนูตลอดไม่ใช่เหรอคะ ? ความจริงแล้วเขาสามารถกลับไปที่ห้องของเขาได้โดยไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนหนูก็ได้”

เจี่ยนซวงหันหน้าไปมองลั่วหยางทันที และถามด้วยน้ำเสียงเบา: “พี่ชายคะ อันที่จริงแล้วพี่อยู่เป็นเพื่อนหนูตลอดเวลาจริงๆเหรอคะ ?”

ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนซวง ก้มหน้าลงและอ่านหนังสือของตัวเองต่อไป โดยไม่พูดอะไรออกมาเลย

เจี่ยนซวงรีบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วทันที: “พี่ชายไม่ได้ยอมรับค่ะ”

“แต่พี่ชายก็ไม่ปฏิเสธเช่นกัน” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายของหนูเต็มใจที่จะอยู่กับหนู และฟังหนูจู้จี้จุกจิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เกลี้ยกล่อมให้เขาไปจากที่นี่ ในใจของเขาจะไม่รู้สึกเสียใจเหรอคะ ?”

“ไม่เสียใจครับ” ลั่วหยางกล่าวอย่างเย็นชา

“ป๊าด …… ” เมื่อกี้นี้เจี่ยนซวงยังร้องไห้อยู่เลย ในตอนนี้ปิดปากของเธอและหัวเราะออกมาทันที: “คุณแม่คะหนูรู้สึกอายมากคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอ จากนั้นก็ไอแห้ง ๆออกมาหนึ่งที และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มทันที :“แม้ว่าพี่ชายของหนูจะไม่รู้สึกเสียใจ แต่เขาก็ไม่เคยรู้สึกรังเกียจหรือรำคาญหนูเลยนะ?แต่ว่าพี่ชายของหนูก็อดทนตลอด หนูควรจะทำอะไรเพื่อพี่ชายของหนูบ้างใช่ไหมคะ?”

เวลานี้เจี่ยนซวงไม่มีอะไรจะพูดแล้ว หันหน้าจ้องมองลั่วหยาง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้นพี่อยากได้อะไรคะ ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“สามารถขอได้จริงเหรอ?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าและสาบานว่าจะตะโกนออกมาเสียงดัง ๆ ว่า: “ได้!”

ลั่วหยางลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม “ถ้าอย่างงั้นก็เงียบสักชั่วโมงนะ”

ลั่วหยางจ้องมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “ทำไมเหรอครับ ผมอธิบายผิดหรือเปล่าครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงเบา “ไม่จ๊ะ ลูกอธิบายได้ดีและมันก็ดีเกินไปด้วยซ้ำ ทำให้คุณแม่รู้สึกละอายใจอย่างมาก”

เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ขมวดคิ้วทันที และเอียงศีรษะเล็กน้อยและพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงที่เบา: “คุณแม่ครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ทันสังเกตว่าลั่วหยางกำลังจะพูดอะไรซ้ำ เจี่ยนอี๋นั่วกำลังสับสนและตื่นตระหนกพร้อมขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมา ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงเรียกชื่อของเธอด้วยน้ำเสียงที่เบา เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นยืนทันทีและพูดกับลั่วหยางและเจี่ยนซวง: “หนูทั้งสองคนออกไปก่อนนะคะ คุณแม่จะต้องดูแลคุณพ่อของพวกหนู”

เจี่ยนซวงเอียงศีรษะกระพริบตาและพูดด้วยรอยยิ้ม: “หนูก็สามารถดูแลคุณพ่อได้เช่นกัน ซวงซวงก็อยู่ช่วยได้อีกคนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก่ายหน้าผากของเธอและพูดอย่างเขินอาย: “พวกหนู……พวกหนูยังดูแลไม่ได้นะคะ พวกหนูรีบออกไปเร็ว ถ้าไม่อย่างนั้นคุณแม่จะหักค่าขนมของพวกหนูแล้วนะคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมีปฏิกิริยาแปลก ๆอะไรเกิดขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นแล้วเมื่อเธออยู่ต่อหน้าลูกทั้งสองแล้วเธอจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงสั่งให้เจี่ยนซวงและลั่วหยางออกไปเดี๋ยวนี้

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็เม้มริมฝีปากและพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่ลำเอียง ได้เจอคุณพ่อแล้ว คุณแม่ก็ไม่สนใจใยดีหนูอีกแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจและพูดกับเจี่ยนซวง:“แม่ก็รู้สึกว่าตั้งแต่หนูหาคุณพ่อเจอ ลูกก็กลายเป็นคนที่จู้จี้จุกจิก ”

เจี่ยนซวงตะคอก ฮึม ออกมาเบาๆ และจับมือของลั่วหยางและส่ายหัวอย่างแรงพูดด้วยความโกรธและพูดประชดว่า: “พี่ชายคะ พวกเราไปกันเถอะ อย่าไปสนใจคุณแม่แบบนี้เลยเป็นผู้หญิงที่พอเห็นผู้ชายก็ลืมลูกไปเลย”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็รีบคว้าลั่วหยางและวิ่งออกจากห้องไป หลังจากออกจากห้อง เจี่ยนซวงก็ยืนอยู่หน้าประตูและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ความจริงแล้วคุณแม่มีลูกคนเดียวนั่นก็คือหนู มาตอนนี้คุณแม่ยังต้องดูแลคุณพ่อ และยังต้องมาดูแลพี่อีก ทั้งวันมานี่คุณแม่ยังไม่ได้พูดคุยกับหนูเลยสักคำ เดิมทีคิดว่าเมื่อหาคุณพ่อเจอ ก็จะมีคนดูแลคุณแม่ และมันจะทำให้คุณแม่มีเวลาใส่ใจดูแลหนูมากขึ้น แต่พอมาตอนนี้รู้สึกขาดทุนแล้ว! ขาดทุนแล้วจริงๆ !

ลั่วหยางสะบัดมือของเจี่ยนซวงทิ้ง และพูดอย่างเย็นชาว่า :“เป็นเพราะนิสัยของเธอไม่ค่อยดี ”

เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างแรง ขมวดคิ้วและบ่นพึมพำ: “นิสัยของเธอก็ไม่ดีจริงๆนั่นแหล่ะ มักทำโทษหนูอยู่ตลอด เวลา พี่พึ่งจะรู้จักกับเธอไม่นาน เธอยังไม่มีโอกาสลงมือกับพี่ พี่รอดูอีกสักสองสามวันเถอะ เธอต้องทำโทษพี่แน่นอน ดังนั้นพี่ควรรีบไปหาคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของพี่ดีกว่านะ นิสัยของเธอแย่มากๆ พี่ทนรับไม่ไหวอย่างแน่นอน ”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง: “แล้วทำไมเธอไม่ไปล่ะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและรีบพูดว่า: “หนู…… เพราะว่าหนู…… เพราะว่า…… เธอเป็นคุณแม่ของหนูนะสิ ……หนูไปไหนไม่ได้หรอก ถ้าหนูไปแล้ว เธอก็คงจะเสียใจ

ลั่วหยางฟังคำพูดของเจี่ยนซวงและเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงตกใจกับแววตาที่จ้องมองของลั่วหยาง และรีบเดินก้าวถอยหลังทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ทำไมพี่ต้องขู่หนูด้วย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและไม่ได้พูดอะไร และเดินตรงไปที่ห้องของเขาทันที เจี่ยนซวงก็เดินตามหลังลั่วหยางไปทันทีและพูดอย่างตื่นตระหนก: “นี่พี่คะ พี่จะไปจากที่นี้แล้วจริงๆใช่ไหมคะ เดี๋ยวหนูช่วยพี่เก็บของนะคะ ?เดี๋ยวหนูจะเตรียมของกินไว้ให้สักสองชิ้นนะ เก็บไว้กินระหว่างทาง ถ้าอย่างนั้น…… ถ้าอย่างนั้นหนูจะแบ่งนมให้พี่ด้วยล่ะกันนะคะ !”

เสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเด็กทั้งสองคนทะเลาะกันค่อยๆเงียบหายไป เธอค่อยจับที่หัวของเธอขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมา  “ลูกซวงซวงคนนี้ ถูกฉันตามใจมากเกินไปจนเสียนิสัยแล้ว”

“อี๋นั่ว คุณอยู่ข้างนอกหรือเปล่า?” เหลิ่งเซ่าถิงตะโกนเรียกหาชื่อเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบาอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่นแล้วล่ะ เธอพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ใช่ค่ะ ฉัน ฉันอยู่ข้างนอกนี้ค่ะ ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ  แล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงได้จับอ่างล้างหน้าข้างๆจนยืนขึ้นมาแล้ว และเขาโบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม :“ต้องรบกวนคุณอีกครั้งแล้วนะ”

“อืม …… ” เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับ ก็รีบเดินไปด้านข้างเหลิ่งเซ่าถิงทันที เธอยกมือขึ้นจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง และปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงวางมือของเขาไว้บนไหล่ของเธอ

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยุงเหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องน้ำทีละก้าวทีละก้าว ทั้งสองคนเข้าใกล้กันเกินไปจนทำให้ร่างกายของพวกเขาอยู่ใกล้ชิดกันมาก และสามารถสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพยุงเหลิ่งเซ่าถิงถึงข้างเตียง ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วก็แดงขึ้นมาอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นแดงถึงขั้นไหนแล้ว เพราะหน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้าแล้วเจี่ยอี๋นั่วรู้สึกว่าตอนนี้เธอน่าอับอายอย่างมาก เมื่อคืนเธอพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันอีกแล้ว ต่างฝ่ายต่างไม่มีกันและกันก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ แต่สุดท้ายหน้าของเธอกลับแดงขนาดนี้ และเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันได้กลายเป็นเรื่องตลกไปหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอับอายมากจริงๆ!

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?”เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยรอยยิ้ม: “คุณร้อนมากใช่ไหม?ถ้าหากคุณรู้สึกร้อนก็เปิดหน้าต่างเถอะ ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง รีบเงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงทันที เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงทำตัวแปลกๆ? เป็นเพราะว่าเขามีปฏิกิริยาแบบนั้น ทำให้เธอเจอสถานการณ์ที่อึดอัดขนาดนี้ แต่ทำไมเขาทำเหมือนกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นเลย สุดท้ายกลับเหมือนเธอเป็นฝ่ายที่ผิดยังไงยังงั้นแหล่ะ

เจี่ยนอี๋นั่วอดคิดไม่ได้ที่จะคิดในใจ: ก่อนหน้านี้ทำไมฉันถึงดูไม่ออกเลยนะ ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่มีความคิดที่เจ้าเลห์ขนาดนี้ ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ตระกูลเหลิ่งก็มีพื้นฐานของการเป็นคนที่ไม่ดี และฉันก็ทำพฤติกรรมแบบนี้ออกมา มันไม่ได้เรื่องจริง ๆ เลย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา: “ฉันไม่ได้ร้อนเลยสักนิด”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า :“คุณบอกว่าไม่ร้อนก็ไม่ร้อนสิ แต่เมื่อกี้นี้ …… ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า:“ฉันรู้ เมื่อกี้นี้ฉันรู้ว่ามันเป็นปฏิกิริยาปกติของผู้ชาย และฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งเซ่าถิงก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดอย่างเคร่งเครียด เหลิ่งเซ่าถิงไอแห้งออกมาสองครั้งและยิ้มอย่างมีเลศนัย พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ผมหมายถึงว่าเมื่อสักครู่นี้เจี่ยนซวงและลั่วหยางมาที่นี่ใช่ไหม ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอทันที เธอสูดหายใจเข้าลึก ๆ และแอบมองไปที่กำแพงข้างๆ เธอกำลังครุ่นคิดสักครู่ และเธอสงสัยว่าจะต้องใช้แรงมากแค่ไหนในการกระแทกศีรษะลงบนผนังหนึ่งครั้งแล้วทำให้เธอตายทันที วันนี้เธอยังทำเรื่องที่น่าอับอายขายขี้หน้ามากกว่านี้ได้อีกไหม?ทำได้อีกไหม?

เมื่อสักครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกละอายใจมากจริงๆ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังมีเจี่ยนซวงและลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วก็กัดฟันอีกครั้ง และอดทนต่อทุกสิ่ง และตัดสินใจอย่างเข้มแข็งว่าควรจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันแล้วตอบว่า: “ใช่ค่ะ พวกเขามาที่นี่ แต่เมื่อกี้นี้พวกเขาพึ่งออกไป”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “ถ้าอย่างนั้นเราสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้ได้แล้ว ”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เวลานี้เธอพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรอีก เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนทะลึ่งแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?

จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความจริงใจ: “ผมขอโทษนะ แม้ว่าบางครั้งร่างกายของผู้ชายจะควบคุมได้ยาก แต่ว่าผมก็ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมกับคุณ หวังว่าคุณจะให้อภัยผมนะครับ”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินคำขอโทษอย่างจริงใจจากเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เธอกระพริบตาทันทีเอียงศีรษะมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“คุณกำลังกล่าวคำขอโทษกับฉันอยู่เหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ใช่ครับ ผมขอโทษ”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นทำได้เพียงพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา: “ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ”

นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำขอโทษอย่างจริงใจจากเหลิ่งเซ่าถิง และมันเป็นเรื่องที่น่าอับอายแบบนี้ แม้ว่า ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ว่านอกจากพูดคำว่า “ไม่เป็นไรแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วยังสามารถพูดอะไรได้อีกล่ะ ?

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “ผมดีใจมากที่คุณสามารถยกโทษให้ผม แต่หลังจากนี้ผมยังต้องรบกวนคุณดูแลผมต่อไป ถ้าหากผมยังมีปฏิกิริยาที่หยาบคายแบบนี้อีก ผมหวังว่าคุณจะไม่รังเกียจและถือสาการกระทำนี้ ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากทันทีขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ เหลิ่งเซ่าถิงเก่งขึ้นมาก แค่คำพูดสั้น ๆ ของเขาไม่กี่คำ ทำให้เธอหมดหนทางในการปฏิเสธเขาได้ และถ้าหากเธอไม่เต็มใจที่จะดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป เธอก็จะเป็นคนที่ไร้น้ำใจมาก ถ้าหากระหว่างที่ดูและเหลิ่งเซ่าถิง แล้วถ้าเหลิ่งเซ่าถิงมีปฏิกิริยาใด ๆเกิดขึ้นอีก ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถถือสาได้ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงได้บอกล่วงหน้าไว้แล้ว

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะปฏิเสธที่จะดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อนั้น เธอคิดทบทวนสักพัก แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในเมื่อวันนี้เธอถึงขีดสุดของความอับอายขายหน้าแล้ว ถึงแม้จะขายขี้หน้าอีก และแสดงให้เห็นว่าเธอไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงตามลำพัง และไม่อยากดูแลเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป แต่มันคงไม่น่าจะมีอะไร

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะกล่าวคำปฏิเสธดูแลเหลิ่งเซ่าถิง และขอให้เหลิ่งเซ่าถิงรีบหาพี่เลี้ยงมาดูแลเขานั้น

จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดด้วยน้ำเสียงเศร้าว่า :“อันที่จริงถ้าหากคุณรู้สึกอึดอัด คุณไม่จำเป็นต้องดูแลผมแล้ว เพราะเราเคยมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกันมาก่อน ความสัมพันธ์แบบนี้ บางทีมันอาจจะส่งผลกระทบต่อคุณและทำให้คุณไม่สามารถคบกับผมได้เหมือนคนปกติทั่วไป ผมก็รู้ อดีตที่เคยผ่านมาใช่ว่าอยากจะลืมมันก็ลืมได้ง่ายดายขนาดนั้น ”

ถ้าหากไม่ดูแลเขา มัวแต่คิดถึงเรื่องในอดีตต่อไป แล้วก็รักเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไปอย่างนั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และขมวดคิ้ว เธอทำได้เพียงกัดฟันและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “เป็นไปไม่ได้หรอก เรื่องในอดีตฉันลืมมันไปหมดแล้ว ฉันสามารถดูแลคุณต่อไปได้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะออกมาอย่างเศร้า ๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและพยักหน้าตอบรับเบา ๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว และอาการที่แสดงออกมาอย่างคนพ่ายแพ้ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ไม่ได้รบกวนค่ะ คุณต้องการให้ฉันช่วยอะไรไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วเล็กน้อยแสดงสีหน้าลำบากใจ: “ไม่มีอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดต่อ: “คุณพูดออกมาเถอะ อย่าทนเก็บเอาไว้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วยอมแล้วจริงๆ อย่างไรก็ตามเธอก็อับอายขายขี้ไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่าจะยังมีเรื่องอะไรที่ทำให้น่าอับอายขายขี้หน้าไปมากกว่านี้อีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและชี้ไปที่ด้านหลังของเขา: “หลังของผมรู้สึกมันคันนิดหน่อย คุณสามารถช่วยผมหน่อยได้ไหม?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง สีหน้าก็แสดงออกมาอย่างเคร่งเครียด

เธอคิดผิดไปแล้ว และเรื่องที่ทำให้เธอยิ่งลำบากใจมากขึ้นไปอีก มีอีกแน่นอน !

เหลิ่งเซ่าถิงจับไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว และเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยุงเหลิ่งซิ่งเดินไปที่ห้องน้ำทีละก้าว บางทีอาจเป็นเพราะอุบัติเหตุเมื่อคืนนี้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วดูแลเหลิ่งเซ่าถิงจึงต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าจะผิดพลาดซ้ำอีก

เดินไปถึงหน้าห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกออกมายาวๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ถ้าอย่างนั้นคุณ ……คุณก็ไปทำธุระก่อนเถอะ ฉันก็……ก็จะออกไปก่อนแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ถ้าคุณออกไปแบบนี้ ผมไม่สามารถประคองตัวเองให้ยืนได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีและรีบถามว่า: “ถ้าอย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ทำอย่างไร?”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดสักพัก ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้เงียบ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก: “คุณ……คุณต้องการอยากให้……ต้องการอยากให้ฉันอยู่ข้างๆคุณตลอด……”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะให้กำเนิดลูก ๆแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกันมานานหลายปีแล้ว ในเวลานี้เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพยุงเหลิ่งเซ่าถิงความรู้สึกก็เหมือนกับคนแปลกหน้ายังไงยังงั้น และรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้าซึ่งค่อนข้างอึดอัด ถ้าหากต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วดูแลเหลิ่งเซ่าถิงเข้าห้องน้ำแล้วล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ลำบากใจอยู่ไม่น้อย

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและหัวเราะออกมาเบา ๆ : “เป็นเพราะผมทำให้คุณลำบาก คุณออกไปก่อนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงและชำเลืองมองไปที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง ขาข้างขวาของเขาเข้าเฝือกอยู่ไม่สามารถเหยียบลงพื้นได้ ดังนั้นการยืนของเขาจึงต้องใช้ขาข้างซ้ายช่วยเท่านั้น และเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขาซ้ายของเขายังไม่หายดี และขาข้างซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงจึงสั่นเล็กน้อย ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วยังเดินออกไปอีก เหลิ่งเซ่าถิงก็อาจจะล้มลงอีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอ และพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา: “ไม่เป็นไรค่ะ ถ้าหากคุณไม่รังเกียจ ฉันก็ไม่รังเกียจเช่นกัน ถึงอย่างไรก็ตามอะไรๆของคุณ…… อะไรๆของคุณฉันก็เคยเห็นมาหมดแล้วนี่นา ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมาทันที เหลิ่งเซ่าถิงก็หน้าแดงออกมาด้วยเช่นกัน หันหน้าหนี ไอแค่กแค่กออกมาและทำตัวไม่ถูก

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม: “ถ้าอย่างนั้นผมต้องรบกวนคุณอีกแล้ว ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอและไม่ได้พูดอะไรต่อ หน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า และพยุงเหลิ่งเซ่าถิงไปตรงหน้าโถปัสสาวะ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งแล้ว ก็รีบหันหน้าไปอีกด้านหนึ่งทันที: “คุณ……คุณต้องการทำอะไร ก็รีบทำเถอะ……”

แต่เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปทางด้านข้าง และเธอรู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงพยายามจะปลดกางเกงของเขาอยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ยังปลดมันไม่ออก เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวก็ใช้สายตากวาดไปมอง ก็เห็นว่าชุดนอนของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีเชือกผูกปมอยู่ ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงมือหนึ่งยังคงวางบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว และปลดกระดุมออกด้วยมืออีกข้างหนึ่ง มันจึงไม่สามารถปลดออกได้

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเฝ้าดูเขาอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงก็ลดสายตาลงอย่างเซ็ง ๆ และถอนหายใจออกมาเล็กน้อย:“แค่เรื่องแค่นี้ผมยังทำไม่ได้ ผมนี่มันไร้ประโยชน์มากใช่ไหม?”

และไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนนี้เหลิ่งเซ่าถิงแสดงด้านที่แข็งแกร่งออกมา เจี่ยนอี๋นั่วพยายามอย่างเต็มที่ที่จะปฏิเสธเหลิ่งเซ่าถิง แต่เมื่อเวลาที่เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีที่พึ่งและดูน่าสงสารมาก เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที  ทำให้เธอนึกถึงคนที่เคยสมบูรณ์แบบอย่างเหลิ่งเซ่าถิง และในตอนนี้อาการบาดเจ็บไปทั่วร่างกายของเขายังไม่ได้หายดี ขาอีกข้างของเขายังต้องมาหักเพราะเธออีก

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดทันทีว่า: “ไม่คะ คุณอย่าคิดอย่างนั้น ทุกคนล้วนเคยเจอปัญหากันทั้งนั้น นอกจากนี้การที่ขาของคุณหักมันเป็นเพราะฉัน ฉันจะรับผิดชอบมันอย่างแน่นอน ถ้าคุณต้องการให้ฉันทำอะไร

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเขาก็ปิดรอยยิ้มจากมุมปากอย่างเร็ว เร็วมากจนเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ทันสังเกตเห็นมัน เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้นทันที พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างอาย และพูดเบา ๆว่า : “งั้น……งั้นคุณช่วยผมปลดกางเกงของผมหน่อยได้ไหม?”

“ห๊ะ?”เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างไม่คาดคิดมาก่อน

เธอรู้สึกว่าเธอเหมือนไม่รู้จักเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นคนที่พูดขอความช่วยเหลือตรงๆแบบนี้ แต่เมื่อสักครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วได้คุยโวไว้แล้ว เธอค่อยๆกระพริบตาช้าๆและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “มันก็คือ……คือให้ฉันปลดกางเกงให้คุณอย่างนั้นเหรอคะ ?”

“ห๊ะ……” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และกระซิบว่า :“พวกเราแยกกันมานานเกินไปแล้ว นอกจากการมีลูกด้วยกันจึงทำให้ต้องติดต่อกัน และเราก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องอะไรกันอีกเลย ? และดูเหมือนเรื่องนี้จะทำให้คุณลำบากใจไม่น้อย ใช่หรือเปล่า?”

ใช่ค่ะ มันทำให้ฉันลำบากใจมากจริงๆนั่นแหล่ะ

ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วคิดแบบนี้ แต่เมื่อเห็นการแสดงออกที่เศร้าและไม่มีที่พึ่งทำอะไรไม่ถูกของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไม่เป็นไรค่ะ ยังไงซะเราก็เคยเป็นคนรู้จักกันมา และสาเหตุเป็นเพราะฉัน คุณถึงได้รับบาดเจ็บ มันเป็นสิ่งที่ฉันควรต้องช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดประโยคนี้ออกมาอย่างลำบากใจมาก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาต่ออีกว่า: “ถ้าอย่างนั้นคุณจับฉันไว้แน่น

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ และยื่นมือสองข้างออกไปจับเจี่ยนอี๋นั่วทันที ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิง ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้จับเธอไว้ แต่กลับเหมือนกำลังถูกเหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดไว้อยู่ แต่หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอต้องทำเรื่องที่น่าอับอายมาก ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้สึกอายกับสิ่งที่เธอกำลังจะลงมือทำอยู่ในตอนนี้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วค่อยๆ ยื่นมือไปที่เข็มขัดของเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและดึงเข็มขัดอย่างแรง เนื่องจากเป็นเพราะตื่นตระหนกมากเกินไป จึงทำให้กระดุมที่สามารถปลดได้ง่ายดายกลับปลดได้ยากขึ้นไปอีก เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นทันที เหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงและพูดอย่างอึดอัดว่า:“เออ คือฉัน ฉันไม่ทันระวัง แต่คุณไม่ต้องกังวลนะคะ ฉันจะปลดกางเกงได้อย่างแน่นอนค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบก้มหน้า และเริ่มลงมือใช้มือทั้งสองข้างและพยายามอย่างมากเพื่อปลดกระดุมกางเกงของเหลิ่งเซ่าถิงออก เหลิ่งเซ่าถิงลดศีรษะลงและได้กลิ่นหอมจาง ๆ บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เหล่ตามองไปที่มือขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่ว และรู้สึกว่ามือของเจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสโดนเขาโดยบังเอิญ เพราะส่วนที่สัมผัสโดนนั้นมันเป็นของลับ เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันสังเกตเห็น แต่เธอเห็นส่วนที่ปูดขึ้นมาอย่างช้าๆของเหลิ่งเซ่าถิง และเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรีบดึงมือกลับทันทีและเงยหน้าขึ้นมอง เดิมเธอต้องการผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกทันที แต่ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกขึ้นได้ว่าขาของเหลิ่งเซ่าถิงบาดเจ็บอยู่ แต่กลับไม่ได้ผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถอยู่ในพื้นที่เดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อไปได้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “อืมคือ …… ฉันออกไปรอข้างนอกก่อนดีกว่านะ ฉันพึ่งนึกขึ้นได้ว่าซวงซวงมีเรื่องอยากจะคุยกับฉัน ถ้าอย่างฉันขอตัวออกไปก่อนนะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ดันเหลิ่งเซ่าถึงนั่งบนชักโครก จากนั้นก็หันหลังกลับพร้อมพูดขึ้นว่า :“ถ้าคุณทำธุระเสร็จแล้ว คุณค่อยเรียกฉันนะคะ ฉัน ฉันขอตัวออกไปก่อนแล้วนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบวิ่งออกจากห้องน้ำด้วยอาการที่ตื่นตระหนก

การหายใจของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ เขามองเจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำไปแล้ว จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ และใช้มือช่วยตัวเอง หลายปีมานี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอารมณ์แบบนี้มานานมากแล้ว เขาเป็นเหมือนนักพรตที่ถูกปิดกั้นจากทุกประสาทสัมผัส ดูเหมือนเขาจะลืมไปแล้วว่าความต้องการของผู้ชายนั้นแข็งแกร่งเพียงใด จนกระทั่งเมื่อกี้นี้ เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าประสาทสัมผัสของเขาค่อยๆตื่นขึ้น เพราะเจี่ยนอี๋นั่วได้กลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง และในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็กลับมามีอารมณ์และมีความรู้สึกเหมือน “มนุษย์” คนหนึ่งอีกครั้ง

เมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างโล่งอก และความเครียดความอึดอัดที่อยู่ในใจก็ถูกปลดปล่อยมันออกมา เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและอดไม่ได้ที่จะมองไปรอบ ๆ ไม่รู้ทำไม ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ช่างน่ามองยิ่งนัก แม้แต่แสงแดดที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างบานเล็กๆนั้นก็ยังดูสดใสมาก เนื่องจากมันน่ารักมาก เหลิ่งเซ่าถิงจึงอดไม่ได้ที่จะหรี่ตามองอย่างละเอียด และยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสกับแสงแดดที่สอดส่องเข้ามา

เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ว่าคนอื่นจะรู้สึกถึงแสงแดดที่สดใสและน่ารักเช่นนี้หรือไม่ แต่ถึงแม้จะอยู่ใต้ผืนฟ้าเดียวกัน เหลิ่งเซ่าถิงก็รู้สึกว่า ในตอนนี้ไม่มีใครที่จะสัมผัสได้ถึงความงามของแสงแดดที่สดใสและน่ารักได้มากกว่าเขาอีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ก่อนหน้าเป็นเพราะว่าเขาเคยได้รับบาดเจ็บจึงทำให้เป็นโรคซึมเศร้า และการที่เขาได้รับบาดเจ็บที่ขาทำให้เขารู้สึกด้อยค่า ในเวลานี้ดวงอาทิตย์สาดแสงส่องเข้ามาทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสิ่งสวยงามขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกขอบคุณความเจ็บปวด เพราะความเจ็บปวดทำให้เขากลายเป็นคนที่อ่อนแอ การที่เขาเป็นคนอ่อนแอมันจึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาดูแลเขาเป็นพิเศษ

เหลิ่งเซ่าถิงเคยไม่ชอบทำตัวเป็นคนที่อ่อนแอต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ตอนนี้เขาพบว่า การที่เป็นคนอ่อนแอนั้น ทำไมถึงมีความสุขมากเช่นนี้

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ไปไหนไกล เพราะเธอกังวลว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นมาอย่างกะทันหันแล้วเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะร้องให้คนช่วยไม่ทัน นับตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องน้ำไป เธอก็ยืนรออยู่หน้าประตูห้องน้ำตลอด หน้าของเธอแดงร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า เธอหายใจเข้าลึก ๆ และโบกมือของเธออย่างแรงเพื่อพัดให้กับตัวเอง แต่แทนที่จะพัดแล้วทำให้เธอรู้สึกเย็นขึ้น แต่มันยิ่งกลับทำให้เธอรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นกว่าเดิม

“จริงๆเลย ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ?” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา

“ฉันเป็นแม่ของลูกสองคนแล้ว นี่ยังเขินขนาดนี้อยู่อีกเหรอ ขายขี้หน้ามากเลยจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เบา

“โอ้ ทำไมฉันถึงอยากไปปลดกางเกงให้เขาด้วยตัวเองด้วยเนี่ย อันที่จริงฉันสามารถจับเขาด้วยกำลังทั้งหมดของฉันเพื่อให้เขาได้ใช้สองมือของเขาปลดกางเกงด้วยตัวเอง! ช่างโง่เง่าจริงๆเลย!ช่างโง่เง่า!” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นพึมพำและรู้สึกแย่ต่อการกระทำของตัวเองมาก

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกขายหน้ามากเธอนั่งย่อลงตรงมุมกำแพง เธอหน้าคิ้วขมวดพร้อมกับใบหน้าที่แสดงออกมาอย่างรู้สึกผิด

“คุณแม่คะ……คุณแม่คะ……” จู่ๆเจี่ยนซวงก็โผล่หัวออกมาจากประตูและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม :“คุณแม่คะ ทำไมคุณถึงมาซ่อนอยู่ที่นี่ล่ะคะ ?นี่คุณแม่กำลังเล่นซ่อนหาอยู่เหรอคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนซวง เธอก็ยิ่งรู้สึกอายมากขึ้น เธอจึงก้มหัวลงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ไม่ ไม่มีอะไรจ๊ะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและมองสำรวจรอบ ๆ และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ในห้อง จึงวิ่งไปหาเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มทะเล้น ยื่นมือน้อยๆที่อวบๆออกมาแล้วจิ้มไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว และกระซิบ: “คุณแม่คะ ซวงซวงรู้แล้วนะคะ รอยแผลที่ปากของคุณแม่เพราะถูกคุณพ่อจูบ”

ในอนาคตเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องน่าอับอายและขายขี้หน้ามากกว่านี้อีกหรือเปล่า แต่ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายและขายขี้หน้าที่สุดสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ใบหน้าของเธอแดงขึ้นทันทีราวกับว่ามันกำลังจะระเบิดออกมายังไงยังงั้นแหล่ะ

“นี่ลูก เมื่อคืนนี้หนูหลับแล้วไม่ใช่เหรอจ๊ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างตื่นตระหนก

เจี่ยนซวงกระพริบตามองไปที่ใบหน้าที่แดงของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า:“โอ้ คุณแม่หน้าแดงมากแดงเหมือนกับตูดลิงเลยค่ะ!”

“ก้นของลิงไม่ได้เป็นสีแดงทั้งหมด! ซวงซวงจ๊ะ หนูต้องการให้คุณแม่ลงโทษหนูใช่ไหมคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง ตะโกนออกมาอย่างรำคาญ

เจี่ยนซวงกระพริบตา และร้องไห้ออกมาอย่างไม่รู้อิโหน่อิเหน่: “ทำไมคะ ก็ซวงซวงไม่ได้ทำอะไรผิดนี่คะ”

“เพราะนี่เป็นการที่รู้สึกอับอายมากจนโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ผู้ใหญ่จึงมักมีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่นนี้ เพียงเพราะคุณพูดเรื่องอะไรที่ทำให้เธอรู้สึกอับอายและขายขี้หน้ามาก ” ลั่วหยางเดินมาถึงหน้าประตู วางมาดเป็นผู้ใหญ่และพูดด้วยเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วกลอกตาของเธอและเงยหน้าขึ้น ในขณะเวลานี้ เจี่ยนอี๋นั่วอายจนอยากตายไปให้พ้นๆ

ในที่สุดเจี่ยนซวงก็ทานอาหารอิ่ม แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปที่ลั่วหยาง พูดด้วยน้ำเสียงเบา :“เอ๊ะ พี่เห็นแล้วหรือยังคะ ริมฝีปากของคุณแม่มีรอยแผล พี่รู้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้น? เมื่อหนูหลับแล้ว และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากที่ตื่นมาก็เห็นคุณปากแตกแล้ว”

เจี่ยนซวงไม่ได้คาดหวังว่า ลั่วหยางจะตอบกลับหรอก เธอก็พูดพึมพำอยู่คนเดียว ไม่คาดคิดว่าลั่วหยางกลับพยักหน้าให้เล็กน้อยและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ฉันรู้”

เจี่ยนซวงบ่นพึมพำคนเดียวแต่ลั่วหยางกลับตอบกลับคำถามที่เธอถามจริงๆ แล้วดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างทันที และถามอย่างไม่คาดคิดมาก่อน: “จริงเหรอคะ พี่รู้เหรอคะ? แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ?”

“ความรัก” ลั่วหยางนึกถึงคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อวานนี้ และพูดให้เจี่ยนซวงฟังซ้ำอีกรอบ

เจี่ยนซวงได้ยินคำตอบของลั่วหยาง เธอเบิกตากว้างทันทีด้วยความตกใจ จากนั้นปิดปาก ยิ้มแล้วพูดว่า :“ที่แท้คุณพ่อเป็นคนจูบนี่เอง”

แม้ว่าเมื่อวานนี้ลั่วหยางจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่เขาไม่รู้ว่าเจี่ยนซวงเดาออกได้อย่างไร ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงอย่างคาดไม่ถึง เขาดื่มนมไปด้วย และขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว และเมื่อเธอไปถึงห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ก็เคาะประตูเบา ๆ และเมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากภายในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดประตูทันทีและเดินเข้าไป: “ขาของคุณทำไม……”

ก่อนที่เธอจะพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นชายวัยกลางคนและชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังตรวจร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ เสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงถูกปลดออกเผยให้เห็นหน้าอกที่แข็งแกร่งของเขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากของเธอทันที และเธอรีบหันหลังไป ใบหน้าของเธอเริ่มแดงขึ้นทันที

“โอ้ คุณหนูเจี่ยนไม่ต้องหลบเลี่ยงแล้วล่ะครับ คุณประธานเหลิ่งใส่เสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ ” ชายวัยกลางคนกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่าขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงถูกใส่เฝือกเอาไว้ ทำหน้าคิ้วขมวด:“เกิดอะไรขึ้นกับขาของคุณคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบกลับ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นเหลือบมองชายวัยกลางคนคนนั้น ชายวัยกลางคนก็รีบถอนหายใจออกมาทันที:“ คุณประธานเหลิ่งขาหักแล้วครับ แต่เดิมสุขภาพของคุณประธานเหลิ่งก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างประหม่า: “ใช่ค่ะ เมื่อวานนี้เขาต้องการที่จะช่วยฉัน ดังนั้นจึงทำให้ล้มลงจนขาหักใช่ไหมคะ ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและหัวเราะออกมาเบา ๆ : “ไม่เป็นไรหรอก คุณไม่ต้องโทษตัวเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นว่ายังมีรอยฟกช้ำบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง และรอยฝ่ามือของเธอยังคงชัดเจนอยู่บนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิด เมื่อวานนี้เธอแสดงปฏิกิริยาโมโหมากเกินไปหรือไม่?

ชายวัยกลางคนยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวว่า :“คุณประธานเหลิ่งครับ ผมได้ทำการรักษาโรคของคุณเสร็จแล้ว ดังนั้นผมจะพาเสี่ยวอู๋กลับก่อนนะครับ”

เมื่อชายวัยกลางคนเห็นเหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นยิ้มแล้วพาเสี่ยวอู๋กลับไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนทั้งสองเดินผ่านไป เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองและเหลือบไปเห็น “เสี่ยวอู๋” ที่อยู่ข้างชายวัยกลางคน เขาก็หันหน้าและเหลือบมองมาที่ เจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน ในขณะนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าแววตาของเสี่ยวอู๋นั้นดูคุ้นเคยมาก แต่เมื่อเธอเห็นรูปร่างหน้าตาที่แสนจะธรรมดาของเขา

เมื่อเสี่ยวอู๋เห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังมองเขาอยู่ ก็ยิ้มอย่างอึดอัดทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็ดันแว่นตาลง และเดินตามหลังชายวัยกลางคนออกไป ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษ มันไม่ต่างจากชายหนุ่มหน้าตาจืดชืดธรรมดา ๆทั่วไป

“คุณกำลังมองอะไรอยู่?” เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วมองเสี่ยวอู๋ตลอด อดไม่ได้ที่ทำหน้าตาเคร่งเครียดและพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  ทุกประโยคที่พูดออกมามันดูมีอำนาจมาก และด้วยประโยคเมื่อกี้นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วตกใจกลัวจนตัวสั่น รีบหันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง พูดตะกุกตะกักและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว: “ฉัน……ฉันไม่ได้มองอะไรนี่คะ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็หัวเราะออกมาทันที: “เมื่อคืนนี้การกระทำที่หยาบคายของผม คุณยังเต็มใจที่จะมาหาผมอีก ผมมีความสุขมากจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า:“ฉันคาดไม่ถึงว่าคุณจะได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ไม่เช่นนั้นฉันคงไม่ทิ้งคุณและเดินกลับห้องไปแบบนี้หรอก ตอนนี้ขาข้างซ้ายของคุณได้รับบาดเจ็บยังไม่หายดี แล้วนี่ขาข้างขวายังมาหักอีก และอีกทั้งสาเหตุที่ขาข้างขวาของคุณได้รับบาดเจ็บนั้นมันเป็นเพราะการที่คุณช่วยเหลือฉัน ถ้าหากไม่ใช่เพราะคุณ คนที่กระดูกหักน่าจะเป็นฉันซะมากกว่า ”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆหัวเราะออกมา เดิมทีเขาเตรียมคำพูดบางอย่างเพื่อบอกเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับคาดไม่ถึงว่าก่อนที่เขาจะพูดอะไรบางอย่างที่เขาวางแผนไว้ออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ชิงพูดออกมาก่อนแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาชัดเจนมากขึ้น เขายิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: “คุณไม่ต้องตำหนิตัวเอง ตอนนี้ผมสบายดี ก็แค่ ……ไอ แค่กแค่ก……”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงไอแค่กแค่ก รีบเดินไปที่ข้างโต๊ะทันทีและหยิบกาน้ำขึ้นมารินน้ำอุ่นให้กับเหลิ่งเซ่าถิง ยื่นน้ำอุ่นไปไว้ที่มือของเหลิ่งซิ่ง :“คุณกระหายน้ำแล้วใช่ไหมคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นริมฝีปากแห้งของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วนั้น ในใจของเธอก็รู้สึกผิดและตำหนิตัวเองมากขึ้น เธอรู้สึกว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงกระหายน้ำขนาดนี้ เป็นเพราะอาการบาดเจ็บที่ขาของเหลิ่งเซ่าถิง ขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงได้รับบาดเจ็บเป็นเพราะถูกเธอทับจนหัก แม้ว่าอาการบาดเจ็บที่ขาข้างซ้ายของเขาจะได้บาดเจ็บและมันไม่ได้เป็นเพราะเธอ และเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงต้องการแย่งชิงอำนาจกับคนอื่น จึงถูกเล่นงาน สาเหตุใดเหลิ่งเซ่าถิงจึงต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ นอกเหนือจากการสนองความต้องการอยากมีอำนาจของตัวเองแล้ว แล้วยังต้องการมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น จึงจะสามารถปกป้องเธอและซวงซวงได้อย่างนั้นหรือ?

เมื่อวานเจี่ยนอี๋นั่วยังผลักไสไล่ส่งเหลิ่งเซ่าถิงอยู่เลย มาตอนนี้เป็นเพราะว่าขาข้างขวาของเหลิ่งเซ่าถิงหัก เธอจึงได้แต่โทษตัวเองว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพราะเธอคนเดียว

“คุณอย่าโทษตัวเองเลย อันที่จริงๆมันไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณเลย มันเป็นเพราะสุขภาพของผมไม่ดี” เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว และถอนหายใจออกมาเบาๆ: “เมื่อวานนี้คุณพูดว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ถึงผมจะไม่มีคุณผมก็มีชีวิตอยู่ได้ ใช่สิ ผมยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่มีชีวิตที่เลวร้ายแค่นั้นเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของตัวเองและก้มหัวลง : “เหลิ่งเซ่าถิง เราหยุดพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ก่อนได้ไหมคะ ถ้าคุณยังพูดต่ออีก ฉันคงไม่สามารถพูดคุยกับคุณได้ต่อไปแล้วจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงปิดปากทันที ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา ๆ : “ได้สิ ถ้าคุณไม่ชอบฟัง ผมก็จะไม่พูดอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเชื่อฟังเธอขนาดนี้ ในความเป็นจริงเธอและเหลิ่งเซ่าถิงต่างก็เป็นคนที่มีนิสัยที่ดื้อรั้น แม้ว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้นจะดีมาก ก็ไม่เคยมีฝ่ายใดยอมตามใจอีกฝ่ายทุกอย่างแบบนี้ ในบางครั้งเมื่อทั้งสองคนปรึกษาหารือกัน ก็มักจะมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันอยู่เสมอ

ตอนนี้เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเห็นด้วยอย่างมีความสุข ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย และอดไม่ได้ที่จะหันหน้ามองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง แววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง มันทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกทำตัวไม่ถูก เขายกมือขึ้นปิดขาข้างขวาทันที และถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า:“มีอะไรหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังอ้าปากของเธอและเตรียมที่จะพูด แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้วเธอก็ส่ายหัวและพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“ไม่มีอะไรคะ แค่ตอนนี้คุณได้รับบาดเจ็บที่ขาทั้งสองข้าง ต้องการเรียกคนรับใช้หรือเปล่าคะ? ”

ในใจเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกแปลก ๆ เธอมาอยู่ที่คฤหาสน์นานมาแล้ว แต่กลับไม่เคยเห็นคนรับใช้สักคน

ดูเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงจะดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเกิดความสงสัยอยู่ เขาก็หัวเราะออกมาเบา ๆ:“ผมมักจะสั่งให้คนรับใช้มาทำความสะอาดในเวลาที่กำหนดเท่านั้น และโดยปกติจะไม่อนุญาตให้พวกเขามา และที่นี่เป็นบ้านของพวกเราทั้งสี่คนเท่านั้น ผมไม่ต้องการให้คนอื่นมายุ่งวุ่นวายที่นี่ ดังนั้นผมจึงไม่ต้องการหาคนรับใช้ ไม่เป็นไร คุณไม่ต้องกังวล ผมสามารถดูแลตัวเองได้”

“แต่คุณได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ คุณจะดูแลตัวเองได้อย่างไร?” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด:“ครอบครัวธรรมดาทั่วไปเขายังมีพี่เลี้ยงเลย อันที่จริงมีคนรับใช้มาดูแลมันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกนะคะ”

“แต่ครอบครัวของคนธรรมดาทั่วไปนั้น ไม่ได้ต้องการที่อยากทำความรู้จักกันมากขึ้นแถมสนิทกันเร็วขึ้นเหมือนครอบครัวของเรานี่ และสมาชิกในครอบครัวของเราทุกคนต้องเรียนรู้ที่จะให้เกียรติและยอมรับซึ่งกันและกัน ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ เขาก็ลดสายตาลงและยิ้มอย่างขมขื่น: “ตอนนี้พวกเราไม่สามารถอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาแทรกแซงพวกเราได้”

เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะคิดอย่างรอบคอบขนาดนี้ ขมวดคิ้วสักครู่ เธอรู้สึกว่าสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้นมันดูสมเหตุสมผล ทั้งสี่คนในคฤหาสน์แห่งนี้ แต่กลับมีประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันถึงสามแบบ ตอนนี้ต้องมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมันก็เป็นเรื่องยากอยู่แล้ว พวกเขายังไม่คุ้นเคยซึ่งกันและกัน ถ้าหากมีคนอื่นอีก และไม่อยากให้อะไรมาหันเห ความสนใจของพวกเขา ? โดยเฉพาะเด็กเล็กๆทั้งสองคนนี้ ถ้าหากมีคนอื่นอยู่ พวกเขาอาจจะหันเหให้ความสนใจกับสิ่งอื่นมากกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็พยักหน้าตอบรับเบา ๆ และพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “ความกังวลของคุณก็สมเหตุสมผลเช่นกัน ถ้า……ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ฉันจะดูแลคุณเอง?”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อย ๆหรี่ตาลงช้าๆและหัวเราะออกมา แล้วก็ค่อยๆส่ายหัวเบา ๆ : “ไม่ต้องแล้ว คุณยังต้องดูแลเด็ก ๆ แล้วยังต้องมาดูแลผมอีก ลำบากคุณเปล่าๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบา ๆ :“ถึงจะลำบากแต่ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้วนี่ เมื่อเทียบกับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน เมื่อถึงเวลากินก็จะมีคนนำมันมาให้ หน้าที่ของฉันคือต้องดูแลคุณให้ดีเท่านั้นก็พอแล้ว และสำหรับเด็กทั้งสองคนนั้น ซวงซวงสามารถดูแลตัวเองได้ดีมาก ลั่วหยาง……ลั่วหยางฉันต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยกับเขาให้มากกว่านี้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการดูแลคุณหรอกนะ ฉันคิดว่าฉันสามารถจัดสรรเวลาได้ และทำมันทั้งหมดให้ออกมาดีที่สุด ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็หรี่ตาลงทันที และกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย: “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องลำบากคุณแล้วจริงๆ”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลง และพูดด้วยความลำบากใจ: “ความจริงแล้วในตอนนี้ผมมีเรื่องที่อยากจะให้คุณช่วยเหลือหน่อย คุณสามารถพยุงผมไปเข้าห้องน้ำหน่อยจะได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหุบยิ้มทันที: “ไปห้องน้ำเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ เขามองไปที่ท่าทางที่แสดงออกมาของเจี่ยนอี๋นั่ว และยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์: “ดูเหมือนว่าจะทำให้คุณลำบากใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่เป็นไร เดี๋ยวผมไปเข้าเองคนเดียวได้……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ พร้อมกับจับที่หัวเตียงทันที เขาพยายามที่จะลุกขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรีบเข้ามาขวางเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว: “ตอนนี้ขาของคุณบาดเจ็บอยู่นะ คุณอย่าขยับไปเรื่อย ใช่สิ แล้วโถปัสสาวะล่ะ……ฉันจะไปเอาโถปัสสาวะให้คุณ ……”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นัวอย่างไม่สบอารมณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ถ้าหากผมสามารถใช้โถปัสสาวะได้ แล้วทำไมผมยังต้องไปเข้าห้องน้ำคนเดียวอีกด้วยล่ะ ?ผมใช้โถปัสสาวะแล้วผมฉี่ไม่ออกจริงๆ”

“เป็นแบบนี้เองเหรอ ……”เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธออย่างแรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “งั้น … งั้น……งั้นฉันจะ……จะช่วยพยุงคุณไปเข้าห้องน้ำนะ แต่ว่าคุณต้องจับฉันไว้แน่นๆนะ อย่าให้ล้มอีกนะ”

แต่ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ง้างมือตบไปที่หน้าของเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดกับเหลิ่งเซ่าด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา :“อย่าแตะต้องตัวฉัน!”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆขยับมือกลับมาและพูดด้วยน้ำเสียงแหบ “ผมทำให้คุณตกใจกลัวหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดอะไรออกมา ดวงตาของเธอแดงก่ำ เธอรีบปิดเสื้อผ้าของเธอที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงฉีกจนขาด เม้มริมฝีปากของเธอและรีบยืนขึ้นทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว และอดไม่ได้ที่จะตะโกนถามเบา ๆ : “อี๋นั่ว เราสามารถอยู่ด้วยกันต่อไปได้หรือไม่?”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดทันทีเธอหายใจเข้าลึก ๆ และถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ :“คุณมองฉันเป็นตัวอะไร? เป็นของเล่นหรือเป็นคน? เป็นเครื่องมือสำหรับระบายอารมณ์ หรือแค่เป็นแม่ของเด็กๆเท่านั้น คุณต้องการที่จะให้ลั่วหยางเป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลใช่ไหม ดังนั้นจึงรับฉันและซวงซวงกลับมา ?เป็นเพราะต้องการกักขังลั่วหยาง หรือต้องการให้ใครบางคนเห็นว่าคุณมีครอบครัวที่แข็งแรงและสมบูรณ์แบบ และเมื่อสักครู่นี้การกระทำที่คุณทำต่อฉัน? ”

เหลิ่งเซ่าถิงทำหน้าเศร้าเล็กน้อย และมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “คุณมักจะคิดว่าการที่ผมไปรับพวกคุณกลับมา เป็นเพราะต้องการลั่วหยางเหรอ?”

“แล้วมันไม่ใช่เหรอ?” เจี่ยนอี่นั่วหันกลับมาและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: “ฉันไม่รู้ว่าคุณยังมีแผนอะไรอีก! เหลิ่งเซ่าถิง ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคุณ ฉันอยากจะเชื่อคุณมาก แต่ความไว้วางใจในตัวคุณมันหมดลงแล้ว ฉันไม่รู้ว่าคุณจะแยกทางกับฉันตอนไหน ไปแต่งงานกับผู้หญิงคนอื่นเมื่อไหร่ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ฉันไม่เคยคิดที่จะนึกถึงอดีตเลย และไม่มีข่าวคราวที่เกี่ยวกับคุณปรากฏขึ้นต่อหน้าฉันอีกเลย แต่ฉันก็ยังผ่านมันมาได้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องเป็นของกันและกัน พวกเรายังมีทางเลือกอื่น รอยแตกร้าวระหว่างเรา เป็นเรื่องยากที่จะให้มันกลับมาเหมือนเดิม หลายปีที่ผ่านมานี้เราไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ฉันเดาไม่ออกว่าในใจของคุณกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่องไหนเป็นเรื่องจริง และเรื่องไหนเป็นเรื่องหลอกลวง? คุณก็อาจจะรู้แล้วว่าฉันไม่สามารถเข้าใจคุณ ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี เห็นได้ชัดเจนว่าความสงบสุขในทุกวันนี้ของฉัน เพราะคุณเป็นคนแย่งมันมา ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และพูดอย่างเย็นชา: “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น คุณเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดและสมบูรณ์แบบที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา และเป็นผู้หญิงที่ผมรักที่สุด ปัญหาของเราในตอนนี้ เกิดจากการตัดสินของผมในครั้งนั้นจึงก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมก่อขึ้น ผมก็จะแก้ไขมันด้วยตัวผมเอง ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและส่ายหัว: “จะแก้ไขได้อย่างไร?ทำให้ย้อนเวลากลับไปได้อย่างนั้นเหรอ? เหลิ่งเซ่าถิงพวกเราอย่าบังคับใจกันอีกเลยนะ แม้ว่าเวลาอาจจะย้อนกลับไปในอดีตได้ ฉันก็เลือกที่จะไม่ตกหลุมรักคุณอีก ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องของเจี่ยนซวง เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆพยุงกำแพงลุกขึ้นยืนและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“แล้วถ้าหากผมต้องการบังคับมันล่ะ?”

หลังจากผ่านความยากลำบากมาก่อนหน้านี้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่เชื่อว่าในที่สุดก็ถึงวันที่เขาสามารถปกป้องเจี่ยนอี๋นั่วได้แล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่ต้องการอยู่กับเขา

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็เห็นลั่วหยางเปิดประตูห้อง เดินออกมาและจ้องมองมาที่เขา

ลั่วหยางจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยแววตาที่ไร้อารมณ์ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกคุณจะแย่มาก”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่ลั่วหยางและพูดด้วยรอยยิ้ม: “แต่มันจะค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่ห้องของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง แล้วส่ายหัวเบา ๆ : “ดูเหมือนว่านิสัยของเธอแย่มาก และเธอเหมาะที่จะเป็นภรรยาของคุณจริงๆหรือ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าวว่า: “ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าเธอแล้ว ภรรยาของผมไม่จำเป็นต้องมีเงื่อนไขมากมาย ขอเพียงแค่ผมรักเธอก็พอแล้ว”

“ความรัก?” ลั่วหยางซึ่งยังเด็กแสดงสีหน้าแบบผู้ใหญ่ เขาเอียงศีรษะและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย ราวกับว่าเขาไม่เข้าใจว่าคำนี้มีความหมายว่าอย่างไร

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก ได้แต่ยิ้มให้ลั่วหยางและพูดว่า:“ ไปนอนเถอะลูก”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็ขมวดคิ้วและกลับเข้าไปในห้อง เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินกลับห้องของเขาด้วยขาซ้าย หลังจากกลับมาถึงห้อง เหลิ่งเซ่าถิงนอนหงายลงบนเตียง ยกมือขึ้นปิดตาและค่อยๆเผยรอยยิ้มที่ไม่เห็นคุณค่าของตนเอง

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆลุกขึ้น ก้มลงมองลงไปที่ขาซ้ายของเขา แล้วก็หัวเราะออกมาเบา ๆ

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงห้องของเธอ ก็ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ และเธอก็ไม่สามารถหลับลงได้เลย ตอนนี้ในสมองของเจี่ยนอี๋นั่วสับสนวุ่นวายไปหมด เป็นเพราะการกระทำของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อกี้นี้ ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและลูบที่ริมฝีปากของเธอ เมื่อเธอสัมผัสโดนบาดแผลบนริมฝีปากของเธอที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงกัด ความเจ็บปวดเล็กน้อยนั้น ก็ยืนยันได้อีกครั้งว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเมื่อกี้นี้มันเป็นเรื่องจริง  แต่หลังจากที่ผ่านไปหลายปี หัวใจของเธอยังคงเต้นเร็วขึ้นและเต้นไม่เป็นจังหวะเพราะจูบของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วหงุดหงิดพลิกตัวไปมาตลอดทั้งคืน ในวันรุ่งเช้าฟ้าเริ่มสว่าง เมื่อเธอลืมตาขึ้น ก็เห็นเจี่ยนซวงนอนอยู่ข้างกายเธอ ถามด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“คุณแม่คะ ริมฝีปากของคุณแม่เป็นอะไรคะ?เป็นเพราะเมื่อคืนคุณแม่แอบไปกินขนม แล้วกัดโดนริมฝีปากของตัวเองใช่ไหมคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดริมฝีปากของเธอและพูดอย่างรีบร้อน:“เปล่าจ๊ะ ไม่มีอะไรจ๊ะ เด็กคนนี้นี่ดูอะไรไปเรื่อยเปื่อย?ยังไม่รีบตื่นขึ้นไปล้างหน้าแปรงฟันอีก และเตรียมไปทานอาหารเช้าได้แล้ว?”

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากของเธอและพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา: “เอ๊ะ?ทำไมคุณแม่ดุจังเลยคะ? ซวงซวงตื่นนานแล้วค่ะ กำลังจะไปล้างหน้าและใส่เสื้อผ้าแล้วคะ จริงๆเลย เมื่อคนหน้าตาไร้ความรู้สึกคนนั้นโผล่มา คุณแม่เหมือนจะไม่สนใจซวงซวงแล้วนะคะ นี่คุณแม่ยังดุใส่ซวงซวงขนาดนี้”

“คนหน้าตาไร้ความรู้สึก?”เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วจ้องมองไปทางเจี่ยนซวง:“หนูหมายถึงพี่ชายของหนู ลั่วหยางเหรอคะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาทันที และพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ แค่หนูพูดคุณแม่ก็เดาได้เลย คุณแม่ก็คิดเหมือนกันไม่ใช่เหรอคะว่าเขาดูเหมือนปลาที่ตายแล้ว……”

ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ ยังเลียนแบบรูปลักษณ์ของลั่วหยางที่แสดงสีหน้าออกมาอย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วสีหน้าเคร่งเครียดทันที และตะโกนเสียงดังใส่เจี่ยนซวง : “เจี่ยนซวง!”

เจี่ยนซวงตกใจจนตัวสั่น รีบหดตัวทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ หนูรู้ว่าหนูผิดไปแล้ว หนูจะไม่ตั้งชื่อเล่นให้กับพี่ชายอีกแล้วค่ะ หนูจะดีต่อพี่ชายให้มากๆนะคะ มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่พี่ชายจะกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันพวกเรา พวกเราต้องสามัคคีและรักกัน และเป็นพี่น้องที่ดีที่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน คุณแม่คะ ซวงซวงจะไปล้างหน้าแล้วนะคะ ”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดคำสารภาพผิดและมีทัศนคติที่ดีแล้ว เจี่ยนซวงพูดในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการจะพูดกับเธอ เธอช่วยเจี่ยนอี๋นั่วปลดปล่อยมันออกมา เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เจี่ยนซวงก็รีบลุกจากเตียงวิ่งตรงไปในห้องน้ำเพื่ออาบน้ำแต่งตัวทันที

เมื่อเห็นเจี่ยนซวงวิ่งหนีจนไม่เห็นแม้แต่เงา เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นลูบที่ริมฝีปากของเธอ และถอนหายใจออกมา:“ มันร้ายแรงขนาดนี้เลยเหรอ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปจนถึงหน้าห้องน้ำ และเหลือบมองไปที่ริมฝีปากของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที รอยแผลบนริมฝีปากของเธอชัดเจนมากและถึงแม้เธอจะทาลิปสติกก็ไม่สามารถปกปิดได้ เจี่ยนอี๋นั่วจับที่อ่างล้างหน้า และถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ หลายปีผ่านไป ทำไมทักษะการจูบของเหลิ่งเซ่าถิงถึงยังไม่พัฒนาขึ้นเลยนะ! นี่คือการจูบ หรือเป็นการกัดกินเนื้ออยู่กันแน่?

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างหมดหนทาง พิงที่อ่างล้างหน้า หน้าขมวดคิ้ว และเธอไม่อยากออกไปจากห้องเลยเมื่อต้องไปเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิง แต่เจี่ยนซวงไม่ยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วซ่อนตัวอยู่ในห้องน้ำเพื่อหนีความจริงทั้งหมดนี้แน่ เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปห้องน้ำเป็นเวลานานมากแล้วยังไม่ออกมาสักที เธอก็ตะโกนออกมาเสียงดัง: “คุณแม่คะ…… คุณแม่ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ซวงซวงหิวข้าวแล้วคะ อยากลงไปกินข้าวแล้วคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ เดินออกจากห้องน้ำ และพาเจี่ยนซวงเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน หลังจากที่เดินออกจากห้อง ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงกำลังเดินลงไปชั้นล่าง ก็เห็นลั่วหยางนั่งรออยู่ที่โต๊ะอาหารอย่างเรียบร้อย มือถือนมหนึ่งแก้วและกำลังดื่ม ผิวของลั่วหยางนั้นขาวมาก และเมื่อเขาจับนมแก้วนั้น มันก็ดูขาวกว่าน้ำนมที่มีสีขาวบริสุทธิ์เสียอีก

เจี่ยนซวงรีบดึงมือเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “คุณแม่คะ เขาเป็นพี่ชายจริงๆใช่ไหมคะ ไม่ใช่พี่สาวใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วลูบหัวเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “เขาเป็นพี่ชายของซวงซวงจริงๆคะ คำถามนี้ห้ามถามพี่ชายหนูนะคะ เดี๋ยวพี่ชายหนูจะไม่พอใจเอา และมันไม่เหมาะสมมากที่จะถามคำถามแบบนี้นะคะ”

เจี่ยนซวงถามอย่างสงสัย:“ถ้าอย่างนั้นถามว่าพี่ชายเป็นพี่สาวไหม จะทำให้พี่ชายโกรธหรือเปล่าคะ หรือเรียกว่าพี่ชายว่าเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก จะทำให้พี่ชายโกรธหรือเปล่าคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าขมวดคิ้วและเหลือบมองเจี่ยนซวง: “ถ้าหนูกล้าที่จะทำการทดลองนี้ และพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าพี่ชายของหนูแล้วล่ะก็ คุณแม่ก็จะทำโทษหนูโดยการตีที่น่องอวบๆของหนูนะคะ ”

เจี่ยนซวงร้องไห้สะอื้นและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ คุณแม่ลำเอียงมากจริงๆ หนูก็แค่คิดเฉยๆ ไม่ใช่เรื่องจริงสักหน่อย !”

“แม่รู้ว่าหนูกำลังคิดที่จะทำอะไร ดังนั้นคุณแม่จะตักเตือนหนูไว้ล่วงหน้า” เจี่ยนอี๋นั่วยักคิ้วพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยและพูดด้วยความโกรธ: “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เห็นว่าคุณแม่จะตักเตือนพี่ชายบ้างละคะ ลำเอียงจริงๆ!หนูไม่สนใจแล้ว หนูจะไปทานข้าวแล้วค่ะ”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็วิ่งไปที่โต๊ะอาหารและหยิบอาหารเช้าของเธอทันที

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปนั่งที่ด้านข้างเจี่ยนซวง แล้วก็หยิบชามโจ๊กขึ้นมา ตักโจ๊กเข้าปาก โจ๊กนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นคนทำ แต่มีคนส่งมาจากข้างนอกเหรอ? แต่ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเรียกคนนำอาหารมาส่ง ตอนนี้เขาไปไหนแล้วล่ะ? หรือบริษัทมีงานด่วน เขาจึงไปทำงาน?

“ขาของเหลิ่งเซ่าถิงได้รับบาดเจ็บสาหัส และตอนนี้เขากำลังพักผ่อนอยู่ในห้อง” ลั่วหยางจิบนมและพูดด้วยน้ำเสียงแบบเด็ก ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว: “บาดเจ็บที่ขาอย่างรุนแรง? ขาของเขากำเริบอีกแล้วเหรอ?”

“มันไม่ใช่อาการกำเริบ แต่เป็นกระดูกหัก” ลั่วหยางจิบนมอีกครั้งและพูดอย่างเย็นชา:“ ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะได้รับบาดเจ็บ”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็จำเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ที่เหลิ่งเซ่าถิงล้มลงไป เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อคืนเหลิ่งเซ่าถิงต้องการกันไม่ให้เธอล้มลงกับพื้น เขาก็เลยเอาตัวมาบังไว้จนได้รับบาดเจ็บที่ขาอย่างรุนแรง ? แต่เนื่องจากขาของเหลิ่งเซ่าถิงหักแล้ว แล้วทำไมเขาถึงมีแรงที่กระทำกับเธอได้มากขนาดนี้ด้วยล่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากกระดูกหักแล้ว แต่ก็คงเป็นเพราะเธอเขาถึงได้รับบาดเจ็บ เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็รู้สึกกระวนกระวายใจนั่งไม่นิ่งแล้ว เธอรีบลุกขึ้นทันทีและพูดว่า :“เดี๋ยวคุณแม่จะขึ้นไปดูที่ชั้นบนหน่อย”

เจี่ยนซวงหยิบชามโจ๊กขึ้นมา แล้วมองไปที่เครื่องเคียงบนโต๊ะอย่างไม่เต็มใจและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ถ้าอย่างนั้นหนูก็เช่นกัน …… ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดทันที: “ซวงซวงคะ หนูไม่ต้องขึ้นไปแล้วนะคะ หนูทานข้าวก่อนเถอะค่ะ”

จากนั้นเจี่ยนซวงก็รีบเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทันที แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคุณพ่อของเธอ แต่เจี่ยนซวงยังไม่ได้มีความผูกพันกับเหลิ่งเซ่าถิงมากเท่าไหร่นัก เวลานี้ในโลกของเจี่ยนซวงก็มีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วคนเดียวที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด จากนั้นคุณแม่ก็อยู่เหนือคุณพ่อเหลิ่งเซ่าถิงของเธอ

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องแบกรับปัญหาต่างๆและเมื่อรับประทานอาหารค่ำเสร็จ หลังจากที่พาลั่วหยางและเจี่ยนซวงเข้านอน เจี่ยนอี๋นั่วค่อยรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย

ลั่วหยางและเจี่ยนซวงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน เมื่อถึงเวลาเข้านอน และไม่มีการทะเลาะเกิดขึ้นอีก ทั้งสองแยกย้ายกันเข้าไปนอนในห้องของตัวเองแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าหาลั่วหยางเจอแล้วจึงละเลยเจี่ยนซวง ดังนั้นคืนนี้เจี่ยนอี๋นั่วคิดวางแผนว่าจะนอนด้วยกันกับเจี่ยนซวง

แต่อาจจะเป็นเพราะความเหนื่อยล้ามากเกินไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียง เธอนอนพลิกตัวไปมาตลอดเวลา และไม่สามารถนอนหลับได้ เมื่อได้ยินเจี่ยนซวงนอนหลับลึกมากแล้ว อีกทั้งยังกรนเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วก็จิ้มแก้มของเจี่ยนซวงอย่างอิจฉาและพึมพำเสียงเบา: “คุณแม่นอนไม่หลับ แต่หนูกลับนอนหลับสนิท เป็นลูกที่แย่มากจริงๆเลยนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอก็ก้มหัวลงจูบหน้าผากของเจี่ยนซวงเบา ๆ แล้วลุกขึ้นและเดินออกจากห้องไป ในบางครั้งถ้าเจี่ยนอี๋นั่วนอนไม่หลับ เธอก็จะไปหาของกิน และแม้ว่ามันจะไม่ดีต่อสุขภาพ แต่มันก็ทำให้หลับได้อย่างรวดเร็ว

เนื่องจากห้องนอนอยู่บนชั้นสอง และห้องครัวอยู่ที่ชั้นหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะเดินลงไปที่ชั้นสอง ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังดื่มเหล้าอยู่ที่บาร์ในครัว

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดทันที เธอต้องการที่จะหันกลับไป ในช่วงเวลากลางวันมีเด็กๆอยู่ด้วย เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่ แต่วาตอนนี้ไม่มีเด็กอยู่รอบ ๆ เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดและก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะเดินขึ้นไปชั้นบน

เหลิ่งเซ่าถิงก็เห็นเธอเข้าซะก่อน รีบพูดขึ้นว่า : “คุณตื่นแล้วเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยืนอยู่นิ่งๆ และหันหน้าไปยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและส่ายหัว: “ยังค่ะ ยังไม่ได้นอนเลยค่ะ ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและถามด้วยเสียงเบา:“เป็นเพราะเปลี่ยนเตียงใหม่เหรอ ?ผมจำไม่ได้ว่าคุณจะเรื่องมากเกี่ยวกับเตียงนอนด้วย ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวทันที: “ไม่ใช่ค่ะ วันนี้ฉันอาจจะยุ่งเกินไปหน่อย ยุ่งจนรู้สึกเครียดนิดหน่อย เมื่อฉันเครียด ฉันก็จะนอนไม่ค่อยหลับ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหล่ตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ผมจำได้ว่าตอนแรกคุณเป็นคนนอนหลับได้ง่าย คุณเพิ่งเอนตัวลงนอนบนเตียงสักพักก็…… ”

“นั่นมันคือตอนที่ฉันอายุยี่สิบต้น ๆ ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและขัดจังหวะบทพูดของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ดื่มเหล้าของเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างเซ็ง ๆ:“ใช่สินะ เวลามันผ่านไปเร็วมากจริงๆ”

“ถ้าหากไม่มีอะไรแล้ว ฉัน…… ” เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ และมองเหลิ่งเซ่าถิงก็ดื่มเหล้าอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“ทางที่ดีคุณอย่าดื่มเหล้าอีกแล้วนะคะ คุณกำลังพักฟื้นอยู่ไม่ใช่เหรอคะ?การดื่มแบบนี้มันไม่ส่งผลดีต่อคุณหรอกนะคะ ”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบวางแก้วเหล้าลงทันที ยิ้มแล้วพูดว่า:“โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะไม่ดื่มแล้ว เป็นเพราะว่าวันนี้ผมก็นอนไม่หลับเช่นกัน ผมจึงอยากดื่มเหล้านิดหน่อย ”

“ คุณเครียดด้วยหรือเปล่า?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ เวลานี้เธอมาถามคำถามพวกนี้ทำไมกัน ? ดูเหมือนกับว่าเธอยังคงเป็นห่วงเป็นใยเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ยังไงยังงั้น!

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าวว่า :“ผมไม่ได้เครียด ผมมีความสุขมากจริงๆ กี่ปีแล้วที่ผมไม่ได้มีความสุขแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ มองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม: “ใช่สิคะ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วนะคะ คุณพักผ่อนเถอะค่ะ”

“อี๋นั่ว……”เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้น เขาอยากจะรั้งเจี่ยนอี๋นั่วไว้

แม้ว่าเมื่อช่วงกลางวันเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงถึงจะหัวเราะและพูดคุยกัน แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็รู้ว่านั้นเป็นเพราะมีเด็กๆอยู่ใกล้ๆ เจี่ยนอี๋นั่วต้องการให้เด็ก ๆเห็นว่าถึงแม้ทั้งสองคนแยกทางกันแล้ว แต่ความเป็นคุณพ่อและคุณแม่ยังอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงรู้ดีว่าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วยังรู้สึกเกลียดในสิ่งที่เขาเคยกระทำ มิฉะนั้นในเวลานี้แม้แต่โอกาสพูดยังไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดสักคำเลย

เหลิ่งเซ่าถิงต้องการรั้งให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่เพื่อพูดคุยกับเขาหน่อย ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่รู้จะหาเหตุผลหรือข้ออ้างอะไร ด้วยความใจร้อน เหลิ่งเซ่าถิงทำได้เพียงจับขาข้างซ้ายของเขาไว้ทันที และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า: “ขาของผม…… ขาของผมปวดเหลือเกิน อี๋นั่วมาช่วยผมหน่อยได้ไหม ?”

ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้อาการบาดเจ็บที่ขาของเขา และเขาไม่ต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่า เขาจำเป็นต้องมีคนดูแล แต่ในตอนนี้ เพื่อต้องการที่จะรั้งเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงกลับต้องการอยากให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเขาก็เป็นผู้ป่วยคนหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไป ขมวดคิ้วแล้วถามว่า :“เป็นอะไรไปคะ ?ต้องการให้ฉันโทรเรียกคุณหมอไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและสูดหายใจเข้าราวกับว่าเขายังคงเจ็บจากความเจ็บปวดนั้นมาก เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “อย่า อย่าเรียกคคุณหมอ นี่เป็นโรคเก่าที่กำเริบ มันดึกแล้ว อย่ารบกวนพวกเขาอีกเลย ให้พวกเขาได้พักผ่อนเถอะ”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่ ก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว:“ ผมจะรบกวนคุณหน่อยได้ไหม ช่วยไปหยิบยาในกระเป๋าเดินทางของผมหน่อยได้ไหมครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วด้วยความสับสน โดยไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับ เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มและพูดก่อนว่า:“ กระเป๋าสัมภาระของผมถูกนำไปเก็บไว้ที่ห้องของผมแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะลุกขึ้นกลับไป แต่นึกขึ้นได้ว่าในห้องของเหลิ่งเซ่าถิงต้องมีของใช้ส่วนตัวมากมาย รวมถึงเอกสารของบริษัท ถ้าหากให้เธอเข้าไปเอายาเอง แล้วถ้ามีสิ่งของบางอย่างหายไป กลัวว่าเธออาจจะเป็นผู้ต้องสงสัย เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงคิดอย่างไรกับเธอ แต่เธอจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งเคย”สอน” บทเรียนให้กับเธอเลย

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับครอบครัวของตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วจึงจำเป็นต้องเรียนรู้ระมัดระวังตัวเองให้มากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“เอาแบบนี้ดีไหม ฉันช่วยพยุงคุณขึ้นไปที่ห้องดีกว่านะ เดี๋ยวทายาให้คุณเสร็จ คุณก็พักผ่อนได้เลย ”

เหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดสิ่งเหล่านี้โดยไม่ลังเลใด ๆ เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เข้ม: “ได้สิ ได้สิ……”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพักและเดินไปที่ด้านข้างของเหลิ่งเซ่า หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เธอก็ยื่นมือไปหาเหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ถ้าอย่างงั้น…… คุณวางมือของคุณบนไหล่ของฉันเถอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว กลั้นหายใจ และวางมือลงบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว มือของเหลิ่งเซ่าถิงสั่นเล็กน้อยและเมื่อเธอสัมผัสโดนเจี่ยนอี๋นั่ว มือที่เย็นของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อสัมผัสโดนตัวของเจี่ยนอี๋นั่วทำเธอสะดุ้งนิดหน่อย เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวหันหลังเหลือบไปมองเหลิ่งเซ่าถิง และเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่เพียงแสดงอาการประหม่าออกมาแถมยังดูตื่นเต้นเอามากๆ เขาเม้มริมฝีปากไว้แน่น ทำให้เขาดูไม่แตกต่างจากเวลาอื่นสักเท่าไหร่

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจในตอนนั้น และนี่ดูเหมือนว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงมันน่าอึดอัดมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดอยากกลับคำพูด เหลิ่งเซ่าถิงก็เอนเอียงไปที่บนตัวของเจี่ยนอี๋นั่วครึ่งหนึ่งแล้ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ไปกันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก็พลาดโอกาสที่จะปฏิเสธทันที หลังจากที่เม้มริมฝีปากอย่างแรง เธอก็พาเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปสองสามก้าว เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงและมองไปที่ทางเดินอย่างระมัดระวัง เสียงลมหายใจแผ่วเบาของเหลิ่งเซ่าถิงดังอยู่ในหูของเธอ ทำให้เธอร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงใจจดจ่ออยู่กับบันไดนั้น กัดฟันแล้วเดินขึ้นไปอย่างช้าๆ

เนื่องจากต้องแบกรับน้ำหนักของคนสองคน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังแบกเขาขึ้นบันไดต้องใช้แรงอย่างมาก ฉะนั้นไม่มีเวลาไปสังเกตดูเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเดินถึงบันไดขั้นสุดท้าย เจี่ยนอี๋นั่วเกือบจะไปต่อไม่ไหว และสะดุดล้มลงเสียการทรงตัวเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงจงใจโน้มตัวเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว อยากเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วมากกว่านี้หน่อย

ในท้ายที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็เจ็บที่ขาขึ้นมาจริงๆเพราะเดินเหินมากไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วพยุงเข้าขึ้นไปชั้นบน เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินข้ามบันไดแล้วสะดุดเกือบล้ม เหลิ่งเซ่าถิงรีบเอื้อมมือไปจับเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ไม่ทันระวังก็ล้มลงไปทับบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว

ตามแผนการที่เขาคิดไว้ว่า เมื่อเขาล้มลงไปบนพื้นที่เย็นเฉียบและเจี่ยนอี๋นั่วก็คงจะโน้มตัวเข้ามาในอ้อมกอดที่อบอุ่นของเขา

“ คุณบาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่าคะ?” เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและถามด้วยความเป็นห่วง

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว และพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลับนอนแนบอยู่บบพื้น และบังตัวเธอเอาไว้ เจี่ยนอี๋นั่วนึกขึ้นได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังบาดเจ็บที่ตรงขาอยู่ ก็รีบถามอย่างรวดเร็ว: “คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และส่ายหัวเล็กน้อย: “ผมไม่ได้เป็นอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลูบที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงทันที และถามด้วยความตื่นตระหนก:“ขาละ ?บาดเจ็บที่ขาหรือเปล่า?”

เพราะการกอดรัดของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เขาอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นปฏิกิริยาของเหลิ่งเซ่าถิง และคิดว่าเธอสัมผัสโดนบาดแผลของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจริงๆ จึงขมวดคิ้วและถามว่า:“ เจ็บจริงๆเหรอ?ขาของคุณเจ็บ …… ”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจบ เธอก็ถูกดึงโดยเหลิ่งเซ่าถิง และเหลิ่งเซ่าถิงก็จูบที่ริมฝีปากของเธอทันที เหลิ่งเซ่าถิงจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างดุเดือดราวกับหมาป่าที่หิวโหยมานาน เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งจนตัวแข็งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกอย่างแรง ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนคนป่วยตรงไหนกัน? เขากอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น และไม่เปิดโอกาสให้เธอถอยหนีได้เลย

“เหลิ่ง…… ” ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็หันหน้ากลับไปเล็กน้อย โดยหลีกเลี่ยงการจูบของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ตะโกนออกมาได้แค่นามสกุลของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น และริมฝีปากของเธอก็ถูกจูบโดยเหลิ่งเซ่าถิงทันที

สถานการณ์ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มพยายามผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย ตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่? เธอเป็นเจี่ยนอี๋นั่วคนที่กลายเป็นแม่คนไปแล้ว ?หรือเป็นคนที่ก่อนหน้านี้ที่เคยตามตื้อเหลิ่งเซ่าถิง และพยายามอย่างหนักเพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงมารักเจี่ยนอี๋นั่ว?

เธอจับเหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงเข้ม :“คุณกำลังคิดจะทำอะไร?”

ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงมืดมิด ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วเลย

เสียงฉีกเสื้อผ้าที่เหลิ่งเซ่าถิงฉีกเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วง้างมือขึ้นตบไปที่หน้าของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างแรง

ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงจึงหยุดการกระทำนั้น และดูเหมือนว่าเขาจะตื่นขึ้นจากการถูกสะกดจิต กระพริบตาอย่างแรง มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผม……ผม……”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่ เมื่อเห็นบาดแผลบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเขากัดเป็นแผล เขาก็รีบยื่นมือออกไปทันที เพื่อต้องการที่จะลูบไล้บาดแผลบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวงแล้วก็ขมวดคิ้วทันที และเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง แม้ว่าลั่วหยางหน้าเฉยๆดูไร้อารมณ์มาก และเขาดูเป็นผู้ใหญ่ แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังคงเป็นเด็กที่มีความคิดแบบเด็กๆ แต่สำหรับเจี่ยนซวงก็เป็นเด็กที่รู้มากเกินไป ซึ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกังวลว่าเจี่ยนซวงจะแก่แดดเกินไปหรือไม่

เจี่ยนซวงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเหลือบมองเธออยู่ และรู้ได้ทันทีว่าเธอนั่นต้องพูดอะไรผิดอย่างแน่นอน เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปาก เธอนั่งหดตัวลงบนเก้าอี้ ขมวดคิ้วและท่าทางที่ใจกว้าง และซดบะหมี่ไปคำหนึ่ง จากนั้นก็ชูนิ้วโป้งให้เจี่ยนอี๋นั่ว และชมเชยด้วยความตั้งใจแล้วพูดขึ้นว่า: “บะหมี่ที่คุณแม่ทำยอดเยี่ยมมากเลยค่ะ อร่อยมาก……อร่อยมากจริงๆเลยค่ะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ อร่อยมากจริงๆใช่ไหมล่ะ?”

ท่าทีของเจี่ยนซวงที่มองเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้ลั่วหยางก็ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เขาก้มหัวลง ชิมบะหมี่อีกหนึ่งคำ จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด มันไม่อร่อยเหมือนเดิม พวกเขากำลังโกหกคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดงออกมาด้วยความอับอายและพยักหน้าเบา ๆ : “คุณแม่รู้ว่าพวกเขากำลังโกหกคุณแม่อยู่ มันไม่อร่อยขนาดนี้ พวกคุณก็ไม่ต้องฝืนกินอีกแล้วนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ก็ยื่นมือไปเก็บถ้วยชามทั้งสามถ้วย และเอาบะหมี่ที่เหลือจากทั้งสามชามรวมไว้ในชามเดียว จากนั้นก็เททิ้ง

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเทบะหมี่ทิ้งแล้ว เจี่ยนซวงหายถอนหายใจเข้าด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ตบที่หน้าอกของตัวเองด้วยตกใจ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ซวงซวงตกใจมากจริงๆ คิดว่าต้องกินบะหมี่ให้หมดซะแล้วสิ!”

“ถ้าเธอไม่ชอบก็ไม่ต้องกินสิ การพูดโกหกจะต้องแบกรับผลที่ตามมาของมันด้วย” ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วทันทีและตะโกนว่า: “นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก แต่เป็นเรื่องโกหกโดยสุจริต เพื่อต้องการไม่ทำให้คุณแม่รู้สึกขายหน้า หนูจึงต้องพูดแบบนี้!”

“คำโกหกก็คือคำโกหก!” ลั่วหยางพูดพลางเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง เอาผ้าเช็ดปากเช็ดปากสักครู่: “จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ผมกินเสร็จแล้วครับ”

ลั่วหยางหันหลังกลับและเดินออกไปจากห้องอาหาร และนั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ในขณะที่นั่งอยู่ลั่วหยางขมวดคิ้วและยกแขนขึ้นมองนาฬิกาในมือ ดูเหมือนว่าทุกนาทีที่เขาอยู่ที่นี่ทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจมาก

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่ลั่วหยาง ขมวดคิ้วและพึมพำ:“ เขาเป็นพี่ชายของซวงซวงจริงๆหรือคะ?”

ในขณะที่เจี่ยนซวงพูดอยู่ และเมื่อเธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังเคลียร์โต๊ะอยู่ ก็ถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ ซวงซวงสามารถเปลี่ยนพี่ชายได้ไหมคะ?”

“ไม่ได้ค่ะ ” เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ตอนนี้หนูต้องการเปลี่ยนพี่ชายของหนู ต่อไปหนูก็ต้องการที่เปลี่ยนคุณแม่ด้วยใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา แอบเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “จะกล้าทำแบบนั้นได้อย่างไรกันคะ คุณพ่อคงไม่ปล่อยให้ซวงซวงทำแบบนี้หรอกค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่ตั้งชื่อซวงซวง ให้ชื่อว่าซวงซวง แล้วทำไมเขาถึงเรียกว่าลั่วหยางล่ะคะ? ทำไมนามสกุลของเขาถึงไม่เหมือนกับซวงซวงล่ะคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินซวงซวงพูดแบบนี้ ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“คุณแม่ก็เคยตั้งชื่อให้พี่ชายของหนูด้วย”

เจี่ยนซวงยืดตัวขึ้นทันที และถามด้วยความสงสัย: “คุณแม่คะ คุณแม่เคยตั้งชื่อให้พี่ชายเหรอคะ?ถ้าอย่างนั้นพี่ชายมีชื่อว่าอะไรคะ?”

ซึ่งเดิมลั่วหยางนั่งอยู่บนโซฟาและดูเหมือนว่าเขาจะสนใจเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน เขาหันหน้ามองเล็กน้อยและตั้งใจฟังการสนทนาระหว่างเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“เจี่ยนตาน เขาเป็นพี่คนโต ก็เลยตั้งชื่อว่า เจี่ยนตาน

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอกำลังจะอธิบายความหมายที่อยู่เบื้องหลังชื่อที่เธอตั้งอย่างละเอียด เจี่ยนซวงก็ตบโต๊ะและหัวเราะออกมา: “ฮ่า ๆ ๆ เจี่ยนตาน?เป็นคำที่ความหมายแปลว่ายากหรือง่ายคำนั้นใช่ไหมคะ ?ฮ่า ๆ ๆ ๆๆ ชื่อหนูเพราะกว่าเยอะเลยค่ะ เจี่ยนตาน……แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่ตั้งชื่อเขาว่าเจี่ยนต้า แล้วตั้งชื่อหนูว่าเจี่ยนเอ้อล่ะคะ ?” เป็นครั้งแรกที่เธอพบว่าเธอได้เลี้ยงดู “เด็กซุกซน” ที่ทำให้เครียดจนทำให้อายุสั้นลง

เจี่ยนอี๋นั่วแก้ตัวให้ตัวเองทันทีและแย้งว่า: “ลูกคนนี้นี่ ไม่เข้าใจความหมายของชื่อนี้เลย คุณแม่แค่อยากให้พี่ชายของหนูใช้ชีวิตของเขาอย่างเรียบง่าย”

แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงหัวเราะและหดตัวอยู่อย่างนั้น เห็นเธอยิ้มอย่างมีความสุขขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้หัวเราะออกมาด้วยเช่นกัน เธอหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร และอดหัวเราะไม่ได้ถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ชื่อไม่เพราะจริงๆเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากของเขาและพูดด้วยรอยยิ้ม: “มันก็ดูแปลกนิดหน่อย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งนี้ เธอก็ยิ้มอย่างเซ็งๆและส่ายหัว: “โชคดีที่ฉันยังไม่ได้ตั้งชื่อนี้ให้เขาใช้”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเขาก็หันไปมองลั่วหยาง ลั่วหยางหันหน้าของเขากลับไป ยังคงลดตาของเขา และนั่งลงบนโซฟาด้วยท่าทางที่เรียบร้อย เหมือนราวกับว่าสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่นั้นมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเขาเลยสักนิด เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองท่าทางของลั่วหยาง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ค่อย ๆ จางหายไป แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ

แม้ว่าเจี่ยนซวงจะดูเป็นเด็กที่เสียงดังและซุกซน และเธอก็ดูเหมือน “เด็กซุกซน” มากๆ แต่อย่างน้อยที่สุด เจี่ยนซวงก็เต็มใจที่จะสื่อสารกับเธอ แต่ลั่วหยางกลับไม่ต้องการญาติดีกับพวกเขาเลย

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางคิดในใจ: ฉันเร่งรีบมากเกินไป หลังจากเราแยกทางกันมาหลายปี จะคุ้นเคยได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไรกันล่ะ? และอีกทั้งเขายังเป็นเด็กขนาดนี้ ก็ต้องการเวลาที่จะปรับตัว

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามหัวเราะออกมาอีกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ และกล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว : “เรื่องอาหารการกินไม่ต้องกังวลแล้วนะ ผมจะโทรสั่งให้คนส่งอาหารมาให้กับพวกเรา”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่พลางก้มหัวลงและชำเลืองมองที่ขาซ้ายของเขา ถ้าหากร่างกายของเขายังคงแข็งแรงเหมือนเดิม เขาจะลงมือทำอาหารด้วยตัวเองให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและลูกๆทั้งสองของเขาได้ทานอาหารที่อร่อยอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ขาซ้ายของเขายังไม่หายดี และไม่สามารถลงมือทำอาหารได้

แต่เหลิ่งเซ่าถิงแค่เหลือบมองไปที่ขาซ้ายของเขา จากนั้นเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ยิ้มและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “พวกคุณทุกคนอยากกินอะไร ไหนบอกมาสิ”

เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันทีและตะโกนออกมาว่า: “หนูคะ! หนูคะ! หนูอยากกินหมูตุ๋นซุปซี่โครงหมู และปีกไก่โคล่า ผัดถั่ว! จากนั้นขอคัสตาร์ดนมเนื้อเนียนนุ่มอีกหนึ่งที่ ขอหวานๆหน่อยนะคะ! ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ : “ซวงซวงคะ หนูคนเดียวแต่สั่งอาหารอย่างกับทานกันสี่คนแล้วนะคะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หนูไม่สามารถจะสั่งเยอะขนาดนี้ได้เหรอคะ? คุณแม่ก็ชอบทานด้วยไม่ใช่เหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ:“แต่ถ้าจะสั่งเยอะขนาดนี้ แล้วถ้าหากพี่ชายและคุณพ่อของหนูชอบทานอย่างอื่นละคะ จะทำยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงมีรสนิยมที่เหมือนกัน แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงต้องควบคุมอาหารบางชนิด และไม่รู้ว่าลั่วหยางรสนิยมแบบไหน ในความเป็นจริงแม้ว่าเขาจะสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ เหลิ่งเซ่าถิงก็มีปัญญาที่จะจ่ายได้อย่างแน่นอน แต่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการสอนให้เจี่ยนซวงปรับตัวให้เข้ากับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของทั้งสี่คน ตอนนี้มันไม่ได้เป็นเหมือนตอนที่พวกเธอใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแค่สองคนแล้ว

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วหมายถึงอะไร ถึงแม้ว่าเธอจะทำหน้ามุ่ยและไม่มีความสุขอยู่สักพักหนึ่ง แต่เธอก็ยังคงหันหน้าไปถามเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณพ่อคะ คุณพ่ออยากทานอะไรคะ ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าวว่า :“อาหารของคุณพ่อต้องแยกออกมาจากพวกหนู เดี๋ยวอีกสักพัก คุณพ่อจะไปทานคนเดียว ”

หลังจากเจี่ยนซวงได้ยินแล้วเธอพยักหน้าแล้วเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นหันหน้ามองไปที่ลั่วหยาง ถามด้วยน้ำเสียงเบา:“ แล้ว……แล้วนั่น…… เธออยากทานอะไรหรือเปล่า?”

ลั่วหยางไม่ได้พูดอะไรออกมา เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว มองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามลั่วหยางด้วยน้ำเสียงที่เบา: “พี่ชายคะ…… พี่ชายอยากทานอะไรหรือเปล่าคะ?”

ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ และรีบตอบกลับ: “ดูเหมือนพี่จะไม่หิวเลย ไม่ต้องทานอะไรแล้วใช่ไหมคะ?”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ พี่ชายเขาไม่อยากทานอะไรค่ะ…… ”

ก่อนที่เจี่ยนซวงจะพูดจบ ลั่วหยางที่นั่งอยู่บนโซฟาก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “สปาเก็ตตี้”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของลั่วหยาง เธอก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดซ้ำอย่างไม่เต็มใจ: “คุณแม่คะ เขาอยากกินสปาเก็ตตี้ค่ะ ถ้าอย่างนั้น…… ถ้าอย่างนั้นซวงซวงก็ไม่สามารถกินอาหารที่เพิ่งสั่งไปเมื่อกี้ได้แล้วใช่ไหมคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: “ได้สิจ๊ะ และเพราะซวงซวงประพฤติดีมาก ยังสามารถสั่งขนมหวานเพิ่มอีกหนึ่งชุด หนูลองคิดดูสิว่า หนูอยากกินขนมหวานแบบไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อที่ให้เจี่ยนซวงได้เรียนรู้วิธีการเอาใจใส่ดูแลเหลิ่งเซ่าถิงและลั่วหยาง ก็จะได้รับผลประโยชน์และรางวัลตอบแทน และเมื่อเจี่ยนซวงเรียนรู้และเข้าใจและคุ้นเคยกับมันแล้ว เจี่ยนซวงก็จะกลายเป็นลูกสาวของเหลิ่งเซ่าถิง และน้องสาวของลั่วหยางอย่างแท้จริง แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะอยู่ด้วยกันกับลั่วหยางไม่นานนัก แต่ก็สามารถดูออกว่าลั่วหยางเป็นคนที่ใจอ่อนไหวง่าย และเมื่อเจี่ยนซวงคุ้นเคยกับบทบาทของตัวเองแล้ว ถ้าอย่างนั้นลั่วหยางก็จะค่อยๆเป็นเหมือนเจี่ยนซวง เริ่มเรียนรู้และเข้าใจบทบาทของการที่ต้องเป็นพี่ชายเช่นกัน

ในโลกนี้ไม่มีเด็กที่สมบูรณ์แบบไปทุกอย่างหรอก และหากไม่มีการชี้แนะจากคุณพ่อและคุณแม่ เด็ก ๆ ก็จะไม่รู้ว่าอะไรควรทำหรืออะไรไม่ควรทำ

เจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด รีบกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจออกมาทันที : “เยี่ยมมากค่ะ !คุณแม่เยี่ยมมาก!คุณพ่อเยี่ยมมากค่ะ พี่ชาย …… ”

ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ พร้อมกับหันหน้าไปมองลั่วหยาง ยิ้มแล้วถามว่า :“พี่ชายคะ พี่ชายอยากทานของหวานด้วยไหมคะ?”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวงและเม้มริมฝีปาก: “พุดดิ้งนมสด”

เจี่ยนซวงหันหน้าไปด้วยรอยยิ้มทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ พี่ชายอยากกินพุดดิ้งนมสดค่ะ ถ้าอย่างนั้นซวงซวงสามารถสั่งขนมหวานเพิ่มอีกหนึ่งชุดใช่ไหมคะ

“ไม่ได้แล้วค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว จ้องมองดูใบหน้าเล็ก ๆ ของเจี่ยนซวงที่ทำหน้ามุ่ย เจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะออกมาทันที ยิ้มและพูดว่า: “แต่ของหวานที่หนูต้องการ เพิ่มขนาดให้ใหญ่ขึ้นอีกหน่อยได้ค่ะ ”

เจี่ยนซวงรีบหัวเราะและตะโกนออกมาทันที: “เยี่ยมมากค่ะ เยี่ยมมากค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง จากนั้นเดินไปที่ด้านข้างของลั่วหยาง ยิ้มและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “แล้วลูกล่ะ ?ลูกอยากทานอะไรเพิ่มอีกไหมจ๊ะ ?ต้องการเพิ่มขนาดพุดดิ้งนมสดไหมคะ”

ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เม้มริมฝีปากขึ้นและนั่งอยู่บนโซฟา เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่หน้าด้านข้างของลั่วหยาง รู้สึกเหมือนกำลังเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นเวอร์ชั่นที่รุ่นเล็กกว่ายังไงยังงั้น คิ้วและการแสดงออกที่คล้ายกันมาก เป็นไปได้ไหมว่าเมื่อสมัยที่เหลิ่งเซ่าถิงยังเป็นเด็กเขาก็เป็นแบบนี้เช่นกัน?

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ลั่วหยางด้วยความงุนงง ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ชื่อที่เรียกว่า เจี่ยนตาน นั้น ฟังแล้วไม่เพราะจริงๆด้วย ”

เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าลั่วหยางจะกล้าพูดออกมาแบบนี้ ใบหน้าของเธอดูราวกับว่ากำลังถูกตบอย่างแรง และอดไม่ได้ที่จะพูดซ้ำ: “อันที่จริงชื่อนี้มีความหมายที่ดีมากนะคะ”

ลั่วหยางลดสายตาลงและขมวดคิ้ว:“ ผมรู้ครับ แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่เพราะครับ ผมรู้สึกว่าชื่อปัจจุบันของผมน่าฟังกว่าครับ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงพาลูกทั้งสองคนขับรถไปที่คฤหาสน์ด้วยกัน จอดรถตรงหน้าคฤหาสน์แห่งนั้นที่ดูเป็นคฤหาสน์ที่ธรรมดา ๆ มีสองชั้นเรียบง่ายพร้อมสวนขนาดเล็ก คฤหาสน์นี้แตกต่างตรงที่มียามเฝ้าอยู่ทุกชั้น

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเหลือบไปมองเหลิ่งเซ่าถิง และพูดอย่างไม่คาดคิดว่า :“ไม่ได้กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อมาโดยตลอดว่าคฤหาสน์คือเป็นสัญลักษณ์และอำนาจสูงสุดของตระกูลเหลิ่ง ในเมื่อตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ถืออำนาจและใหญ่ที่สุดในตระกูล ก็ควรจะกลับไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่งไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่?

แม้ว่าคฤหาสน์นี้จะดูไม่เลว แต่เมื่อเทียบกับอำนาจและความยิ่งใหญ่ที่เหลิ่งเซ่าถิงมีในตระกูลเหลิ่งมันก็ดูไม่เหมาะสมกับฐานะเอาซะเลย และมันก็ดูไม่ค่อยสปอร์ต

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและส่ายหัวไปมา:“ ผมไม่เคยชอบอาศัยอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่ง แต่เดิมผมยังคิดอยากกกลับไปอยู่บ้านหลังก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้ฐานะของผมก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ถ้าผมยังอาศัยอยู่ในบ้านหลังก่อน ผมกลัวว่ามันจะมีปัญหามากขึ้น เราก็อาศัยอยู่ที่นี่เถอะ เพื่อให้สะดวกในการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของเรา และไม่ไกลมากนัก ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหลังจากได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วคิดในใจ: หรือบ้านก่อนหน้านี้ที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึง มันก็คือห้องขนาดเล็กสองห้องนอนและห้องนั่งเล่นเดียวที่เคยอาศัยอยู่มาก่อนหรือไม่?

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงศรีษะครุ่นคิดสักครู่ เหลิ่งเซ่าถิงและพวกเธออาศัยอยู่ห้องนอนสองห้องและห้องนั่งเล่นเดียวในคอนโดเล็กๆนั้น ๆ มันก็รู้สึกเป็นเรื่องที่น่าแปลกมาก เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:“ เข้าไปดูด้านในกันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ และพาเจี่ยนซวงเข้าไปในคฤหาสน์ หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นว่า ลั่วหยางไม่ได้เดินตามขึ้นมาด้วย เจี่ยนอี๋นัวก็รีบหันกลับไปทันที ก็เห็นลั่วหยางยืนอยู่ที่ประตูคฤหาสน์ หน้าคิ้วขมวดจ้องมองประตูคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วเดินตรงไปหาลั่วหยาง และเอื้อมมือออกไปหาลั่วหยาง ยิ้มและพูดว่า:“คุณแม่พาลูกเข้าไป ดีไหมคะ?”

ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงจัง จากนั้นก็หันหน้าหนี ไม่ตอบรับอะไร แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธเจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆแล้วยื่นมือออกไปอย่างระมัดระวัง หลังจากจับมือของลั่วหยางแล้ว เธอก็ยิ้มและพูดว่า:“เราเข้าไปด้วยกันเถอะ”

เนื่องจากก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงเคยเล่าให้เจี่ยนอี๋นั่วว่าสภาพจิตใจของลั่วหยางยังไม่ค่อยดี เจี่ยนอี๋นั่วจึงระมัดระวังอย่างมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลั่วหยาง เพราะกลัวว่าจะทำผิดเพียงเล็กน้อย จากนั้นก็จะเป็นการไปเพิ่มภาระให้กับระบบหัวใจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างทางเจี่ยนซวงและลั่วหยางยังคงปะทะกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหม่ามากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลั่วหยาง แต่สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงนั่นคือลั่วหยางไม่ได้เข้าถึงยากอย่างที่คิดแบบนั้นเลยสักนิด เขายอมให้เธอจับมือ ถ้าอย่างนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็มีความมั่นใจมากขึ้นว่าสามารถทำให้ลั่วหยางยอมรับเธอเป็นแม่อีกคนในไม่ช้า

มืออีกข้างหนึ่งของเจี่ยนอี๋นั่วที่จับมือของเจี่ยนซวงไว้ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวดและบ่นว่า:“คุณแม่คะ เขาไม่ชอบหนูเลยสักนิด อย่าไปจับมือของเขาค่ะ ”

เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง เขาก็พยายามอย่างหนัก และพยายามสะบัดให้หลุดจากมือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ยอมปล่อยมือของลั่วหยาง และในขณะที่จับมือของลั่วหยาง เธอก็ยิ้มให้เจี่ยนซวงและพูดว่า:“ คุณแม่ไม่สนใจหรอกว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบคุณแม่หรอกนะคะ ตราบใดที่เขายังเป็นลูกของคุณแม่ คุณแม่ก็ต้องจับมือของเขาตลอด และคุณแม่ก็จะรักเขา”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ลั่วหยางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาหยุดดิ้นรน และยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือเข้าไปในคฤหาสน์ แต่ตอนนี้ลั่วหยางดูเย็นชา และเจี่ยนอี๋นั่วมองไม่ออกว่าในใจของลั่วหยางนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้กังวลเหมือนตอนที่เธอเห็นลั่วหยางครั้งแรก เธอกังวลมาตลอดกลัวว่าจะทำร้ายลั่วหยาง หรือทำให้ลั่วหยางเกลียดเธอ และเธอควรจะทำอย่างไรดี

แต่จนถึงตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้ เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย เธอเพียงแค่ต้องทำหน้าที่ของตัวเองในฐานะแม่คนหนึ่งเท่านั้น แค่นี้ก็พอแล้ว

เจี่ยนซวงยังคงไม่พอใจเล็กน้อยที่เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของลั่วหยาง เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ ในมืออีกข้างหนึ่งจูงเจี่ยนซวงด้วยใบหน้าที่ไม่พอใจ มันดูไม่เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกันที่กลับเข้าบ้านใหม่เลย แต่เหมือนคนสองคนที่กลายเป็นศัตรูกัน และให้เจี่ยนอี๋นัวเป็นคนกลางที่ต้องทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาคืนดีกัน

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่การตกแต่งภายในคฤหาสน์แห่งนี้ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณจัดเตรียมไว้นานแล้วหรือคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับเบา ๆ :“ มีอยู่ช่วงหนึ่งผมใช้ชีวิตค่อนข้างลำบาก มักมีเรื่องทำให้ไปต่อไม่ได้ ก็คิดตลอดว่าถ้าหากพวกเราได้อยู่ด้วยกันแล้วควรจะตกแต่งคฤหาสน์นี้ยังไงดี  ไม่ทันที่จะรู้ตัวคฤหาสน์หลังนี้ก็ต่อเติมเสร็จแล้ว ”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นก็หัวเราะเบา ๆ : “ขาของคุณยังไม่หายดี คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ในเวลาเดียวกันเธอก็ปล่อยมือของลั่วหยางและเจี่ยน เจี่ยนซวงรีบปล่อยมือทันที แต่ว่าลั่วหยางยังคงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้อยู่อย่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงอยู่สักครู่ จากนั้นก็รีบกลับไปจับมือของลั่วหยางทันที หันหน้าไปทางเจี่ยนซวงยิ้มและถามว่า:“คุณแม่กำลังจะบะหมี่กินแล้ว พวกหนูต้องการอะไรเพิ่มอีกไหมคะ?”

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังคงจับมือของลั่วหยาง เจี่ยนซวงก็รีบยื่นมือออกจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วทันที และจับมือเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ต้องการอะไรเพิ่มแล้วค่ะ ขอเพียงเป็นอาหารที่คุณแม่ทำ ซวงซวงก็ชอบกินทุกอย่างเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่ววยิ้มพร้อมพยักหน้า จากนั้นหันไปมองลั่วหยาง และถามด้วยน้ำเสียงเบา: “ลูก ลูกชอบกินบะหมี่ไหมจ๊ะ?”?”

ลั่วหยางยังคงไม่แสดงออกใดๆ แต่พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและพูดว่า: “โอเคจ๊ะ คุณแม่จะไปต้มบะหมี่แล้วนะคะ แต่ว่า……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“แต่ว่าพวกหนูต้องปล่อยมือก่อนนะคะ แล้วไปเล่นกันก่อนดีไหมคะ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ลั่วหยางก็ปล่อยมือทันที เดิมสีหน้าที่ไม่แสดงออกใดๆ ก็เริ่มแดงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หันกลับไปและเดินตรงไปที่โซฟาทันที เจี่ยนซวงปล่อยมือของทันทีและวิ่งไปที่โซฟาเช่นกัน เจี่ยนอี๋นั่วชำเรืองมองไปที่ด้านหลังของลั่วหยางและเจี่ยนซวง และทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเจี่ยนซวงอาจไม่ได้ตั้งใจทะเลาะกับลั่วหยาง แต่ไม่ชอบพฤติกรรมของลั่วหยางที่เพิกเฉยต่อเธอไม่เห็นเธออยู่ในสายตาสักมากกว่า?

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มสักครู่ จากนั้นก็หันไปที่ห้องครัวและเริ่มทำอาหาร แม้ว่าเธอจะมาถึงบ้านใหม่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้สึกว่าไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งในคฤหาสน์นี้ เธอสามารถค้นหาได้อย่างง่ายดายว่าจะเป็นจานหรือตะเกียบวางอยู่ที่ใดในคฤหาสน์นี้ทุกอย่างดูเหมือนถูกจัดเตรียมไว้จัดเตรียมตามความเคยชินของเธอ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเทบะหมี่ลงในหม้อ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งกำลังนั่งอยู่บนโซฟาเพื่อดูแลลั่วหยางและเจี่ยนซวงเด็กทั้งสอง เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย ราวกับว่ามองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังออกแบบห้องครัวและจัดเตรียมสิ่งของในห้องครัวอยู่ยังไงยังงั้น และห้องครัวนี้ถูกจัดเรียงทุกอย่างด้วยความเคยชินของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเจ็บปวดในหัวใจของเธอ เธอนึกไม่ออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงโดดเดี่ยวเพียงใดในบ้านที่ว่างเปล่าแห่งนั้น ซึ่งคอยวาดฝันครอบครัวที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว โบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จนกระทั่งน้ำที่ต้มบะหมี่เดือดล้นออกมา เธอหันกลับมาอย่างรีบร้อนและรีบปิดไฟ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่ววางบะหมี่ที่ปรุงสุกแล้วลงบนโต๊ะ เจี่ยนซวงก็อุทานออกมาอย่างโอ้อวด: “ว้าว บะหมี่น่าทานมากค่ะ นี่เป็นฝีมือของคุณแม่จริงๆเหรอคะ ?คุณแม่เยี่ยมมากจริงๆค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างเขินอาย: “ซวงซวงทำแบบนี้ทำให้คุณแม่ยิ่งอับอายมากนะคะ คุณแม่ไม่ทันระวังต้มบะหมี่จนเละเลย เอาแบบนี้ดีไหมคะ พวกเราออกไปทานข้างนอกบ้านดีไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นตักบะหมี่ให้ตัวเองเต็มชาม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม:“ ไม่จำเป็นต้องออกไปทานข้าวข้างนอกแล้ว นี่ก็สามารถกินได้”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็ป้อนเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นเบิกตากว้างและพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“มันอร่อยมากจริงๆนะ แม้ว่าสีหน้าของมันจะดูไม่ค่อยดี แต่ว่ารสชาติดีมากจริงๆนะ”

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่การแสดงออกของเหลิ่งเซ่าถิง ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อสายตาของตัวเอง เธอมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ การปรุงอาหารของคุณแม่ดีขึ้นมากขนาดนี้แล้วหรือคะ? ถ้ามันอร่อยจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ตักให้ซวงซวงหนึ่งถ้วยสิคะ ซวงซวงก็อยากทานค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและตักบะหมี่ให้เจี่ยนซวงหนึ่งถ้วย และวางไว้ตรงหน้าเจี่ยนซวง จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและหันหน้าไปมองลั่วหยางและถามด้วยรอยยิ้ม :“ลั่วหยาง ลูกจะกินบะหมี่ไหมคะ?เดินทางมาทั้งวัน ลูกคงหิวแล้วใช่ไหม ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าลั่วหยางไม่ปฏิเสธ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและตักบะหมี่หนึ่งถ้วยวางไว้ตรงหน้าลั่วหยาง ลั่วหยางก็หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วป้อนเข้าปากหนึ่งคำ จากนั้นคิ้วขมวดจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า :“มันไม่อร่อยเลย”

เจี่ยนซวงก็รีบตะโกนออกมาทันที: “มันไม่ใช่แค่ไม่อร่อย แต่มันกินไม่ได้เลย คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่ถึงทำบะหมี่ได้ไม่อร่อยขนาดนี้ค่ะ ก่อนหน้านี้ยังทำได้อร่อยกว่านี้อีกนะคะ บะหมี่นี้มันโคตรไม่อร่อยสุด ๆ เลยค่ะ!”

“แต่พ่อคิดว่าก็สามารถกินได้อยู่นะ” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวงและลั่วหยาง: “พวกหนูอย่าเป็นคนขี้จู้จี้จุกจิกอย่าพูดเกินจริงได้ไหมลูก”

เมื่อลั่วหยางได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็ขมวดคิ้วทันที ก้มหัวลงกินบะหมี่อีกคำหนึ่ง จากนั้นพูดอย่างเย็นชา:“ดูเหมือนว่าจะแย่กว่าเดิมอีกนะครับ”

“ พี่ยังกล้าทานอีกคำหรือ นี่พี่โง่หรือเปล่าเนี่ย?” เจี่ยนซวงเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นพฤติกรรมของลั่วหยาง

ลั่วหยางมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา: “พี่แค่ทดลองอีกหนึ่งครั้ง ว่ามันไม่อร่อยจริงๆใช่ไหม”

“ยังจำเป็นต้องทดลองอีกเหรอคะ ?ไม่อร่อยแน่นอนค่ะ ! หนูอยากจะแกล้งกินลงสักหน่อย แต่ก็แกล้งกินไม่ลงแล้วค่ะ !” เจี่ยนซวงตะโกนออกมาเสียงดัง

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าบะหมี่นั้นอร่อยจริงๆ และสามารถแสดงฝีมือของเธอให้เด็กๆเห็น แต่เมื่อมองอาการของเจี่ยนซวงและลั่วหยางที่แสดงออกมานั้น มันดูเหมือนว่าบะหมี่ที่เธอปรุงนั้นแย่มากจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเขินอายเบา ๆ : “จริงๆเหรอคะ ไหนคุณแม่จะลองชิมดูหน่อยสิคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบตะเกียบคีบบะหมี่กินดูหนึ่งคำ จากนั้นเกือบอาเจียนออกมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากและขมวดคิ้ว เมื่อเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังรับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เธอสงสัยว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้กลิ่นไม่รู้รสแล้วใช่ไหม ?บะหมี่ที่ปรุงออกมาได้แย่ขนาดนี้ เขากลับยังกินบะหมี่นี้ได้อีก!

เจี่ยนอี๋นั่วฝืนกลืนบะหมี่ลงคอ และยกมือขึ้นเพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงหยุดกิน: “คุณคะ คุณอย่ากินอีกต่อไปแล้วนะคะ ฉันกลัวว่าอาการบาดเจ็บของคุณจะแย่ลงหลังจากที่คุณกินบะหมี่นี้เข้าไป!”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มและพูดว่า:“ผมทานแล้วมันอร่อยจริงๆนะ”

เมื่อเห็นท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิง ลั่วหยางขมวดคิ้วด้วยความสับสน และพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างซับซ้อน: “คุณเหลิ่งครับ คุณสูญเสียประสาทสัมผัสการดมกลิ่นและรับรสหรือเปล่าครับ ”

เจี่ยนซวงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า :“มันไม่ใช่สูญเสียประสาทสัมผัสการดมกลิ่นและรับรสหรอก แต่เป็นปัญหาของคนต่างหาก”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นลั่วหยางเธอก็อดไม่ได้ที่จะจับมือของเจี่ยนซวงไว้แน่น เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วบีบจนเจ็บ รีบเหลือบไปมองเจี่ยนอี๋นั่วทันที จากนั้นก็มองตามแววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองไปที่ลั่วหยาง

ในขณะที่เจี่ยนซวงเห็นลั่วหยาง ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างทันที และเธอก็อดไม่ได้ที่จะพึมพำด้วยเสียงเบา:“คุณแม่คะ คุณแม่คะ พี่ผู้ชายคนนั้นหน้าตาดีมากค่ะ เขาก็คือพี่ชายของซวงซวงใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงมองไปที่ลั่วหยางด้วยความตะลึง เวลาผ่านไปสักครู่เธอก็ได้สติคืนมา และพยักหน้าเล็กน้อยให้เจี่ยนซวง : “เขาน่าจะเป็นพี่ชายของซวงซวง”

เจี่ยนซวงรีบหัวเราะทันที: “ถ้าคุณแม่บอกซวงซวงตั้งแต่แรก ว่าพี่ชายของซวงซวงหน้าตาดีขนาดนี้ ซวงซวงต้องมาพบหน้าพี่ชายเร็วกว่านี้แน่นอนค่ะ”

ในขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูดอยู่ ก็ยิ้มและวิ่งไปหาลั่วหยาง: “พี่ชายคะ หนูเป็นน้องสาวของพี่ค่ะ หนูชื่อซวงซวง”

เจี่ยนซวงยิ้มและวิ่งไปที่ข้างๆลั่วหยาง ลั่วหยางเหลือบมองเธออย่างเย็นชา เจี่ยนซวงก้าวถอยหลังด้วยความตกใจหันกลับมาและวิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง กอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณแม่คะ พี่ชายน่ากลัวมากค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้าไปหาลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงกังวลเล็กน้อย เธอจับมือของเจี่ยนซวงเบา ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “พี่ชายแค่ไม่คุ้นเคยกับพวกเราจ๊ะ รอคุ้นเคยแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นแน่นอนจ๊ะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เดินไปหาลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่ว พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงรอยยิ้มที่ใจดีที่สุดออกมา: “สวัสดีจ๊ะลั่วหยาง ฉันชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว”

“คุณก็คือคุณแม่ของผมหรือครับ”?”ลั่วหยางเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่อย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วตาแดงก่ำขึ้นมาทันทีและพยักหน้า: “คาดไม่ถึงเลยว่าลูกจะโตขนาดนี้แล้ว”

“คุณน่าจะคิดได้” ลั่วหยางยกนิ้วของเขาชี้ไปทางเจี่ยนซวง : “เธอไม่ใช่น้องสาวฝาแฝดของผมหรือครับ? เธอโตขนาดนี้ และผมก็ต้องโตเท่ากับเธอไม่ใช่เหรอครับ ดังนั้น เดิมทีคุณเลือกที่เลี้ยงดูเธอ เป็นเพราะว่าเธอดูโง่มากกว่า เลยเลือกที่จะเลี้ยงดูเธอใช่ไหมครับ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าคำพูดของลั่วหยางจะเย็นชาและโหดร้ายขนาดนี้ ทำให้เธออึ้งไปสักพัก แต่ยังไม่ทันที่เธอจะรู้สึกตัว เจี่ยนซวงก็พุ่งไปหาลั่วหยาง และทับลงไปบนตัวลั่วหยาง และทั้งดึงผมของลั่วหยางไปด้วย อีกทั้งร้องตะโกนออกมาเสียงดัง :“ซวงซวงไม่ได้เป็นคนโง่เง่า !ไอ้คนไม่มีเหตุผล!”

ลั่วหยางคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนซวงจะกล้าพุ่งเข้ามาหาเขาอย่างสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายตัวเล็กๆตัวหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเขาต่อสู้ไม่เก่ง เขาถูกเจี่ยนซวงหยิกอย่างรุนแรงสองสามครั้ง และใบหน้าขาวๆของเขาก็ถูกับพื้นคอนกรีตตรงนั้น จนเกิดเป็นรอยแผลขึ้นมา

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครคิดว่าฉากการรวมตัวของครอบครัวที่อบอุ่นนั้นมันจะกลายเป็นเรื่องน่าเศร้าและกลายเป็นสนามรบของเด็กสองคนระหว่างเจี่ยนซวงและลั่วหยาง

เจี่ยนอี๋นั่วดึงสติของตัวเองกลับมาได้ก่อน ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่ออุ้มเจี่ยนซวง และตะโกนเสียงดังใส่: “เจี่ยนซวง! นี่หนูกำลังทำอะไรคะ? ทำไมหนูต้องลงมือทำร้ายพี่ชายของหนูด้วยคะ?”

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเบะปากทันที ร้องไห้แล้วพูดว่า: “คุณแม่คะ เขาบอกว่าหนูโง่! คุณแม่ยังมาดุหนูอีก คุณแม่เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ !คุณแม่คิดว่าเขาหน้าตาดี คุณแม่ก็จะไม่เอาซวงซวงแล้วใช่ไหม!”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา: “หนูไม่สามารถลงมือทำร้ายคนอื่นแบบนี้นะคะ!”

“ เขารังแกหนูก่อน !” เจี่ยนซวงร้องไห้สะอื้นออกมาเสียงดัง

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง แล้วเดินไปที่ข้างกายลั่วหยาง ยังไม่ทันที่เขาจะยืนมือออกไปพยุงลั่วหยาง ลั่วหยางก็ลุกขึ้นด้วยตัวเองเช็ดเลือดบนใบหน้าและพูดอย่างเย็นชาว่า: “คุณเหลิ่งครับ ผมคิดว่าคุณควรส่งผมกลับไปหาคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของผมนะครับ ผมไม่ต้องการอยู่ที่นี่อีกต่อไป”

“ถ้าอย่างนั้นก็ไปสักเถอะ  เจี่ยนซวงร้องไห้ไปด้วยพร้อมพูดไปด้วย

ลั่วหยางขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง กัดฟันของเขาและพูดว่า :“ยัยบ้า”

“เธอนั่นแหละที่เป็นคนบ้า คนบ้า คนไม่มีเหตุผล !”เจี่ยนซวงพูดไปด้วย และเอามือออกมาทำท่าเหมือนจะทำร้ายลั่วหยางอีก

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขวางให้เจี่ยนซวงหยุดทันที ขมวดคิ้วและพูดว่า “เจี่ยนซวง!”

ก็รู้ได้ทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นโกรธจริงๆแล้ว เจี่ยนซวงไม่กล้าที่จะลงมืออีกต่อไป เธอจึงทำได้เพียงแค่พิงอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง และเริ่มร้องไห้ออกมาอย่างเงียบ ๆ

ลั่วหยางก็ตาแดงก่ำ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้นว่า:“ผมอยากกลับบ้าน ผมไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ที่นี่กับพวกคุณ ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะรวมครอบครัวที่แยกจากกันมานานในตอนนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คาดคิดว่ามันจะยากขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างทำอะไรไม่ถูก ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกจริงๆ และเธอก็ไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสามารถจัดการกับเรื่องนี้ได้หรือไม่

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับส่ายหัวและพูดว่า :“ไม่เป็นไร มันต้องค่อยๆใช้เวลานะคุณ”

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับลั่วหยางว่า: “ถ้าหากลูกไม่ต้องการอยู่กับพวกเรา คุณพ่อจะแจ้งให้คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลูกมา แต่ก่อนที่คุณพ่อและแม่บุญธรรมของลูกจะมา ลูกจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันกับพวกเราก่อน”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็ลดสายตาลงโดยไม่พูดไม่จาอีกเลย เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ลั่วหยาง จากนั้นหันไปมองเจี่ยนซวง และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ เขาเป็นพี่ชายของหนู หนูจำเป็นต้องยอมรับเขา หนูไม่มีทางเลือกใดๆ ต่อไปห้ามทำร้ายพี่เขาอีก ถ้าไม่เช่นนั้นหนูจะต้องโดนทำโทษ”

เจี่ยนซวงเฝ้าดูใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงที่พูดกับเธอ และไม่กล้าแม้แต่จะร้องไห้ออกมาอีก เธอแตะที่จมูกและไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว แม้ว่าก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วจะเข้มงวดกับเจี่ยนซวง แต่ในก้นบึ้งของหัวใจเจี่ยนซวงรู้ว่าที่การเจี่ยนอี๋นั่วดุเธอ ไม่ได้ต้องการลงโทษเธอจริงๆ ดังนั้นเจี่ยนซวงจึงไม่เคยกลัวเจี่ยนอี๋นั่วเลย แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ เจี่ยนซวงก็รู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอคนนี้ คือคนที่เธอควรเรียกว่า “คุณพ่อ” ไม่ได้พูดล้อเล่นกับเธออย่างแน่นอน

เจี่ยนซวงไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก และทำได้เพียงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น เด็กทั้งสองถูกเหลิ่งเซ่าถิงขู่ไว้ และในที่สุดสถานการณ์ก็กลับมาสงบอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆและเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างซาบซึ้ง

เมื่อเห็นแววตาที่จ้องมองของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยกมุมปากขึ้นและหัวเราะออกมาเบา ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นไปทานอาหารเย็นด้วยกันเถอะ พวกคุณอยากกินอะไรกันคะ?”

ลั่วหยางเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดอย่างเย็นชา:“ผมทานอาหารมาจากโรงแรมแล้วครับ ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องไปทานข้าวพร้อมกับพวกคุณแล้ว”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินลั่วหยางพูดแบบนี้ เธอก็รีบจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม และพูดด้วยรอยยิ้มน่ารัก: “คุณแม่คะ ซวงซวงอยากทานทุกอย่างเลยค่ะ โดยเฉพาะอาหารที่คุณแม่ทำค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“หนูเต็มใจที่จะพูดเรื่องโกหกเช่นนี้หรือคะ ถ้างั้นมื้อนี้คุณแม่ทำบะหมี่ให้กินดีไหมคะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นหันไปมองลั่วหยาง และถามอย่างระมัดระวัง: “ดีไหมจ๊ะ?”

ลั่วหยางไม่ได้มองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเพียงแค่เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และพูดต่ออย่างเย็นชา:“ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธ ไม่ใช่หรือครับ ?”

หลังจากที่ลั่วหยางพูดจบ เขาก็หันกลับไปทันที และเดินตรงไปที่ที่รถจอดอยู่ข้างๆ ลั่วหยางเดินไปที่รถ และคนขับที่ยืนอยู่ข้างประตูก็รีบเปิดประตู และปล่อยให้ลั่วหยางขึ้นไปนั่งรออยู่ในรถ

เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ซวงซวง พวกเรานั่งรถไปด้วยกันกับพี่ชายของหนู ดีไหมคะ?”

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ซึ่งทำหน้ามุ่ยแล้วพูดตามคำพูดของลั่วหยาง และพูดอย่างเย็นชา: “หนูไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ ไม่ใช่หรือคะ?”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ส่ายหัวและเดินไปที่รถ จากนั้นเธอก็ปีนขึ้นไปบนรถด้วยตัวเอง และนั่งหลังเบาะของลั่วหยาง เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาและกุมหน้าผากของเธออย่างเคร่งเครียด: “ดูเหมือนว่ามันจะแย่ลง”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า: “ผมคิดว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ถ้าหากทุกคนอยู่ด้วยกันแล้วไม่พูดคุยกันมันจะแย่กว่านี้และในตอนนี้อย่างน้อยเราก็รู้ว่า พวกเขาดูเหมือนจะไม่ชอบหน้ากันทั้งคู่ การมาของลั่วหยางทำให้ซวงซวงรู้สึกไม่ปลอดภัย และลั่วหยางก็ยังน้อยใจที่คุณเลือกซวงซวงไว้ข้างกายคุณ เขาน้อยใจ ก็เท่ากับว่าเขาแคร์คุณ ยิ่งเป็นแบบนี้ ก็ยิ่งต้องอยู่ด้วยกัน ค่อยๆปรับเข้าหากัน และยังแยกจากกันไม่ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว: “แต่คุณบอกว่าคุณพ่อและแม่บุญธรรมของลั่วหยางกำลังจะมา……”

“ มาแน่นอน แต่ว่าไม่ใช่มารับเขา แต่มาอยู่กับพวกเรา มันต้องมีกระบวนการของมันเสมอ ในปีสองปีนี้คุณและผมต้องลำบากหน่อยนะ ” เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้เรื่องที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูกมากมายขนาดนี้ เธอคิดว่าคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ไม่ได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเด็กเลยสักนิด ดูเหมือนว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูออก ความคิดของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเบา ๆ : “ผมได้เรียนรู้วิธีการเป็นคุณพ่อคนหนึ่ง”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ :“ขอบคุณคุณมากนะคะ ถ้าหากคุณเต็มใจที่จะพยายาม ถ้าอย่างนั้นมันจะง่ายกว่านี้มาก”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและส่ายหัว: “นี่มันเป็นสิ่งที่ผมควรต้องทำอยู่แล้ว คุณไม่ควรที่กล่าวคำขอบคุณกับผม”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงสักครู่หนึ่ง เหลิ่งเซ่าถิงถามอย่างประหม่าว่า “ทำไมคุณถึงมองผมแบบนี้?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ฉันรู้สึกว่าเมื่อได้พบคุณอีกครั้ง คุณดูเหมือนเป็นคนที่ชอบหัวเราะมากขึ้น”

แม้ว่าสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงจะยังไม่ดีนัก แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง จะช่วยบรรเทาผิวที่ดูเยือกเย็นบนใบหน้าของเขา และดูเหมือนว่าจะอ่อนโยนลงกว่าเดิม

เหลิ่งเซ่าถิงแสดงสีหน้าอย่างไม่คาดคิดบนใบหน้าของเขา หน้าขมวดคิ้ว: “ผมยิ้มแล้ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: “คุณหัวเราะตลอดเวลานี่ ฉันกลัวว่าเด็กทั้งสองจะทะเลาะกันอีกครั้ง ฉันขอตัวขึ้นรถก่อนแล้ว”

เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยกมือขึ้นลูบมุมปากของเขาขมวดคิ้วอย่างสงสัย ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาไม่ค่อยหัวเราะเลย ไม่ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานแค่ไหน เขาไม่เคยขยับที่มุมปากและแสดงความดีใจออกมาแม้แต่น้อย

เมื่อกี้นี้เขาหัวเราะตลอดเลยเหรอ? เขาไม่ได้สังเกตเห็นมันด้วยซ้ำ

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆวางมือลง ดูเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในรถ เสียงร้องไห้ของเจี่ยนซวงดังขึ้นในรถอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาให้เห็นอีกครั้ง แม้ว่าจะดูเหมือนว่ายังมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ยังไม่น่าพอใจ และมีปัญหามากมายที่ต้องเผชิญ แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทุกข์เหมือนเดิมอย่างนั้นอีกแล้ว และดูเหมือนว่าในที่สุดหัวใจของเขาก็สงบลง

เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่รถพร้อมไม้เท้า และได้รับความช่วยเหลือจากคนขับรถมาช่วยพยุงเขาขึ้นไปในรถ ทันทีที่เหลิ่องเซ่าถิงขึ้นมาบนรถ เดิมทีเจี่ยนซวงกำลังจะอ้าปากจะร้องไห้ออกมา ก็ค่อยๆปิดปากและหยุดร้องไห้ และไม่กล้าร้องไห้อีกต่อไป

ลั่วหยางก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็หันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างรถอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิง เห็นเจี่ยนอี๋นั่วนั่งข้างๆเจี่ยนซวง เขาก็เลยนั่งข้างๆลั่วหยาง พูดกับคนขับรถด้วยรอยยิ้ม: “ออกรถเถอะ กลับบ้านแล้ว”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็จำพี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิงคนนั้นขึ้นมาได้ทันที ซึ่งเป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวด้วยความตื่นตระหนก จากนั้นก้มหัวลงทันทีและรีบจ้องมองไปที่รูปถ่ายตรงหน้า

เหมือนดั่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่าลูกของเธอและเหลิ่งเซ่าถิงดูแล้วจะเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่ว่าก็มีความคล้ายคลึงกับเหลิ่งอวิ๋นเซียวเช่นกัน เมื่อเปรียบเทียบอย่างจริงจังแล้ว นิสัยของลั่วหยางจะคล้ายกับเหลิ่งอวิ๋นเซียวสักมากกว่า เขายังเด็กมาก และในแววตาของเขากลับแสดงออกมาอย่างไม่แยแสและเย็นชามาก

เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเธอก็ไม่รู้ว่าจะต้องเผชิญกับเด็กคนนี้อย่างไร เด็กคนนี้ที่คล้ายกับฆาตกรคนนั้นคนที่ลงมือฆ่าพ่อของเธอ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังตื่นตระหนกอยู่นั้น มือของเหลิ่งเซ่าถิงก็วางอยู่บนหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และเขาก็กุมมือของเธอไว้แน่น เพื่อหยุดอาการสั่นของเธอ

“ อย่ากลัวไปเลยนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผมอธิบายให้คุณฟังทุกอย่าง ไม่ใช่ต้องการทำให้คุณตื่นตระหนกและหวาดกลัว คุณต้องเชื่อว่าคุณมีพละกำลังเพียงพอ แต่ขอให้เขามีชีวิตที่สงบสุขและเข้าใจ เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่รู้จักความรักและการถูกรัก และเหมือนกับผมที่เปลี่ยนแปลงไปเพราะคุณ …… ซวงซวงอยู่เคียงข้างคุณ เธอดูน่ารักและน่าเอ็นดูมา เขาก็ต้องเป็นแบบนี้เช่นกัน ……”

“คุณเปลี่ยนแปลงเพราะฉัน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: “เพื่อฉันแล้วคุณเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างคะ? ฉันยังจำได้ว่า คุณบอกว่าฉันเป็นเพียงแค่ความคึกคะนองของคุณเท่านั้น ในที่สุดคุณก็เลือกครอบครัวตระกูลเหลิ่งของคุณ นี่ก็คือสิ่งที่คุณบอกว่าคุณเปลี่ยนแปลงเพื่อฉันอย่างนั้นเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและลังเลอยู่นาน ก่อนที่เขาจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“เวลานั้นที่ผมพูดแบบนั้น มันมีเหตุผล ผมก็คาดไม่ถึงว่ามันจะกลายเป็นเช่นนี้ ผมยังมีชีวิตอยู่ต่อได้จนถึงทุกวันนี้ และได้มาพบหน้ากับพวกคุณ ความรู้สึกของผมในตอนนั้น ถ้าหากบนโลกนี้มีสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในโลกจริงๆ ผมจะส่งคุณไปที่นั่นโดยไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และใช้ชีวิตที่เงียบสงบและเรียบง่าย ผมไม่ต้องการให้คุณมีเยื่อใยกับผมอีกต่อไป ผมจึงจำเป็นต้องพูดแบบนั้น ปล่อยให้คุณจากผมไป ผมรู้ว่าผมทำให้คุณเจ็บปวด……”

“ช่างมันเถอะ เหลิ่งเซ่าถิง ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ขัดจังหวะในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดอยู่ และพูดด้วยเสียงเข้ม :“ในสิ่งที่คุณพูดอยู่ในตอนนี้ ฉันยังเชื่อคุณได้อีกเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มศีรษะลง และพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น: “ผมรู้ว่ามันยากมากที่คุณจะเชื่อในตัวผมอีกต่อไป มันยากมาก มันยากมาก……หลังจากที่ผ่านไปหลายปี คุณก็ยังเต็มใจที่จะพูดคุยกับผมอย่างสงบสุข โอกาสแบบนี้มันหายากมาก เป็นเพราะผมทำให้คุณไม่เชื่อใจเอง แต่จะเป็นไปได้ไหม? พวกเราจะอยู่ด้วยกันชั่วคราวก่อนที่สภาพจิตใจของลั่วหยางจะดีขึ้นและปรับตัวได้ก่อนแบบนี้ได้ไหม?เมื่อเขาดีขึ้นและหายเป็นปกติ และปรับตัวให้เข้ากับตัวตนของเขาแล้ว คุณเต็มใจจะไปไหน ผมจะไม่บังคับคุณอีก ถึงแม้ว่าโลกนี้จะไม่มีความปลอดภัย แต่ผมจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องคุณและซวงซวง และพวกคุณสามารถตัดสินใจเลือกทางเดินของตัวเองได้ ตอนนี้ผมมีอำนาจมากพอ ที่จะสามารถปกป้องพวกคุณให้อยู่ห่างจากอันตรายได้แล้ว ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ก้มหัวลงและมองไปที่มือของเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่บนหลังมือของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วควรจะดันมือของเหลิ่งเซ่าถิงออก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกกังวลใจและตื่นตระหนกเพราะลูกชายลั่วหยางคนนี้ เธอต้องการแรงผลักดันและความแข็งแกร่งอื่น ๆ และแรงผลักดันและความแข็งแกร่งนี้อาจจะได้จากเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และในที่สุดก็พยักหน้าเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “อืม …… ฉันเห็นด้วย…… เราสามารถอยู่ด้วยกันก่อน และรอจนกว่าเด็ก ๆ จะปรับตัวให้เข้ากับตัวตนของพวกเขาได้ ค่อยคุยเรื่องในอนาคต อย่างไรก็ตาม ฉันไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของเราดีแค่ไหนต่อหน้าลูกๆ เพียงแค่แสดงสถานะที่แท้จริงของเราก็พอ มิฉะนั้นจะทำให้พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าความสัมพันธ์ของเราดีมาก และเมื่อพวกเขารู้ความจริงพวกเขาจะคิดว่า เรากำลังหลอกลวงพวกเขาอยู่ เหลิ่งเซ่าถิง ลูก ๆของเราพบกับความยากลำบากมากเกินไปแล้ว ดังนั้นเราควรหยุดหลอกลวงพวกเขา และต้องไม่สร้างภาระให้พวกเขาอีก ”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะและกุมมือเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น แต่ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบดึงมือกลับทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า :“ฉันเหนื่อยแล้ว จะไปพักผ่อนก่อนแล้วนะคะ คุณควรพักผ่อนได้แล้วค่ะ พรุ่งนี้เราจะไปจากที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับเบาๆ : “เอาล่ะ คุณไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้มองเหลิ่งเซ่าถิงอีก เธอรีบก้มหัวลงในมือยังคงถือรูปใบนั้นอยู่แล้วเดินกลับไปที่ห้องของเธอ และเหลิ่งเซ่าถิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม แม้ว่ากลิ่นหอมจาง ๆบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่วที่ทิ้งไว้ในอากาศจะหายไป เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด

จนกระทั่งขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงถึงจับขาแล้วก้าวเดินไปหนึ่งก้าว เมื่อถึงข้างๆเก้าอี้แล้วก็นั่งลง

ในเวลานั้นวลีที่ว่า “เป็นเพียงแค่ความคึกคะนองของผู้ชาย” เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดทำกับเจี่ยนอี๋นั่วและเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจของเธออย่างมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงจากไป ช่วงเวลาแรกๆเหลิ่งเซ่าถิงยังคงคิดถึงเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงอยู่บ้าง แต่ว่าเมื่อเขาต้องแบกภาระทุกอย่างเอาไว้ และเขาไม่มีเวลาและแรงใจเพียงพอที่จะคิดถึงเรื่องของเจี่ยนอั่วและซวงซวง เมื่อเวลาผ่านไป แม้แต่ในความฝันเขายังไม่เคยฝันเห็นพวกเธอเลย และเขาก็ไม่ได้ดูรูปถ่ายของพวกเธออีกต่อไป

เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าลืมพวกเราไปแล้วจริงๆ แล้วเขาคิดว่าเขากลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตระกูลเหลิ่งแล้ว และไม่คิดเรื่องความรักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ดังนั้นเหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าแม้ว่าเขาจะพบเจอเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขาจะไม่รู้สึกอะไรและรู้สึกหวั่นไหวเมื่อพบเจอกับเจี่ยนอี๋นั่วอีก และเขาจะยังคงเป็นประธานเหลิ่งคนเดิมคนที่หยิ่งยโสและเย็นชาไม่แยแสอะไรทั้งนั้น

เมื่อเขาพบเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง สติของเขาทั้งหมดก็แตกสลายไปในทันที มันบ้าคลั่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงมองจากห้องบนชั้นสอง และเฝ้าดูเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในคฤหาสน์พร้อมตะกร้าอาหาร เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าในขณะนั้นเขากลายเป็นคนบ้า ที่บ้าคลั่งแล้วจริงๆ เหลิ่งเซ่าถิงโง่เขลาที่เรียกเฉิงเว่ยหรานออกมา เมื่อเห็นเฉิงเว่ยหรานและเจี่ยนอี๋นั่วสนิทสนมกัน เหลิ่งเซ่าถิงก็อยากฆ่าเฉิงเว่ยหรานทันที เขาเป็นคนส่งเฉิงเว่ยหรานมาเอง และทุกสิ่งทุกอย่างที่เฉิงเว่ยหรานได้ทำนั้น ได้รับอนุญาตจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ทนไม่ไหวที่โมโห เหลิ่งเซ่าถิงคิดหาทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเฉิงเว่ยหรานทิ้งซะ

แม้แต่นักฆ่าก็ถูกส่งไปสั่งเก็บแล้ว แต่ในนาทีสุดท้าย สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่ก็หยุดเขา  ต่อไปจะไม่มีใครกล้าทำงานให้กับเขาอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็จะตกอยู่ในอันตรายมากขึ้น

หลังจากนั้นสิ่งต่างๆก็จะยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้สร้าง“คุณจู๋”ขึ้นมาอีกคน เพื่อให้เข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว

เล้งเส้าถิงนั่งบนเก้าอี้ ยกมือขึ้น กุมหน้าผากของตัวเอง และอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น ตอนนี้เขาไม่สามารถปกป้องเจี่ยนอี๋นั่วได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไป เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไปได้อีกต่อไปแล้ว เขาต้องการเจี่ยนอี๋นั่ว เขาต้องการอยู่กับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างบ้าคลั่ง และยังจงใจสร้างสถานการณ์อาการของลั่วหยางให้เกินจริง เพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วตกลงที่จะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกับเขาและดูแลเด็กๆทั้งสองคนไปด้วยกัน

ความคิดที่จะอยู่ร่วมกันกับเจี่ยนอี๋นั่ว และเป็นปมด้อยของเขาเนื่องจากอาการบาดเจ็บที่ขา และเขาต้องการเจี่ยนอี๋นั่ว

เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าเขาเป็นเหมือนเถาวัลย์ที่บ้าคลั่งในตอนนี้ เติบโตอย่างบ้าคลั่ง เถาวัลย์ที่อยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเถาวัลย์นั้นก็เติบโตและรัดตัวของเจี่ยนอี๋นั่วให้กลับสู่อ้อมกอดของเขาอีกครั้ง เมื่อเขายกมือขึ้นเขาก็จะสัมผัสใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วได้ในทันที

“ฮ่า ๆ ๆ……คนบ้า……”เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่หดหู่

เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยปฏิเสธว่าเขาแตกต่างจากสมาชิกในตระกูลเหลิ่งคนอื่น ๆ แต่ความดื้อรั้นและความบ้าคลั่งของตระกูลเหลิ่งต้องการต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจกัน เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงยังเด็กก็ไม่เคยสนใจอำนาจของตระกูลเหลิ่งเลยสักนิด ความเฉยเมยต่ออำนาจของตระกูลเหลิ่ง ในบางครั้งทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเกิดความสงสัย ในบางครั้งว่าเขาเป็นคนในตระกูลเหลิ่งจริงๆหรือไม่ ทำไมถึงแตกต่างจากคนอื่น และทุกครั้งก็แยกจากกันกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็พบกันใหม่ เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกถึงความดื้อรั้นและความบ้าคลั่งของตัวเองที่ถูกนำไปใช้กับผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน เรื่องในอดีตมักจะวนเวียนอยู่รอบๆตัวเธอ และทำให้เธอฝันร้ายตลอดทั้งคืน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้น เจี่ยนซวงก็นั่งยิ้มร่าเริงอยู่ข้างๆเธอแล้ว ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“ คุณแม่คะ รีบตื่นเร็ว ๆ สิคะ คุณพ่อบอกว่ากำลังจะไปจากที่นี่แล้วค่ะ รอแค่ให้คุณแม่ตื่นเท่านั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาแล้วลุกขึ้นนั่ง: “กี่โมงแล้วคะ? ทำไมหนูไม่ปลุกคุณแม่ล่ะคะ?”

เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: “คุณพ่อบอกว่าคุณแม่ไม่ได้หลับง่ายๆ ดังนั้นอยากให้คุณแม่นอนต่ออีกหน่อยค่ะ ไม่รีบค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่นอนดีมากเลยนะคะ นอนหลับไปนานมากเลยค่ะ ซวงซวงได้ทานอาหารเช้า และทานอาหารของว่างเล็กน้อยแล้วนะคะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้น ยิ้มและพยักหน้าเอามือไปแตะที่จมูกของเจี่ยนซวง: “จริงเหรอคะ ? ช่างเป็นเด็กที่ตะกละจริงๆเลยนะคะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าและพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเบา : “ซวงซวงคะ คุณแม่ยังมีอีกเรื่องที่จะบอกหนูนะคะ ไม่รู้ว่าคุณพ่อพูดกับหนูแล้วหรือยัง?”

เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา:“ไม่ได้พูดอะไรนี่คะ เรื่องอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยความลำบากใจ: “จริงๆแล้วหนูยังมีพี่ชายอีกหนึ่งคนนะคะ เป็นเพราะว่าเมื่อเขายังเด็กก็ต้องแยกจากพวกเราไป ตอนนี้เมื่อเรากลับไป เขาก็จะกลับมาอยู่ด้วยกันกับพวกเรา คุณแม่ไม่รู้ว่าหนูจะรับเรื่องนี้ได้ไหม เพราะก่อนหน้านี้หนูคิดว่าหนูเป็นเพียงลูกคนเดียวของคุณแม่ ……”

หลังจากเจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็ทำหน้ามุ่ย และพูดอย่างไม่มีความสุขว่า: “คุณแม่คะ หลังจากที่เขากลับมา คุณแม่ก็จะไม่รักซวงซวงแล้วใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถาม: “ทำไมหนูถึงพูดแบบนี้ล่ะคะ?”

เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยและพูดว่า :“อดีตเพื่อนร่วมโต๊ะของหนู เสี่ยวหวา หลังจากที่คุณแม่ของเธอให้กำเนิดน้องชายก็ไม่สนใจเธออีกเลย เธอช่างน่าสงสารมากจริงๆค่ะ คุณแม่คะ…… หนูจะกลายเป็นคนที่น่าสงสารแบบนั้นไหมคะ?คุณแม่คะ หนูไม่ต้องการลูกคนที่สองของคุณแม่คนนั้นค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “คุณแม่จะพยายามปฏิบัติต่อหนูและพี่ชายของหนูอย่างยุติธรรมนะคะ และซวงซวงคะ ถ้าตามลำดับแล้ว หนูเป็นน้องสาว หนูเป็นลูกคนที่สองนะคะ โอ้…..ไม่นะคะ พวกหนูเป็นลูกคนที่หนึ่งจ๊ะ เพราะพวกหนูเป็นฝาแฝดกันนะคะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและพูดอย่างโมโห : “หนูไม่สนใจลูกฝาแฝดอะไรนั้นหรอกนะคะ ลูกคนแรกหรือลูกคนที่สองยังไงก็ตาม หนูต้องการให้คุณแม่มีลูกคนเดียวคือหนูเท่านั้นค่ะ หนูไม่ต้องการความยุติธรรม หนูต้องการให้คุณแม่รักและโอ๋หนูคนเดียวเท่านั้นค่ะ! ถ้ามีลูกอีกคนแล้ว คุณแม่ก็จะไม่รักหนูอีกแล้วแน่นอน”

“แต่ซวงซวงรักคุณแม่เพียงคนเดียวเหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงหยุดชะงักทันที และพยักหน้าตอบรับทันที: “หนูจะทำได้แน่นอนค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “หนูไม่รักคุณพ่อแล้วใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนซวงผงะไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า: “หนูก็รักเหมือนกันค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้หาคุณพ่อเจอแล้ว ซวงซวงก็ไม่รักคุณแม่แล้วใช่ไหมคะ ?”

เจี่ยนซวงรีบส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “ไม่ใช่ค่ะ ซวงซวงจะรักคุณแม่ตลอดไปค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ใช่สิคะ ซวงซวงสามารถทำได้ทั้งรักคุณพ่อและทั้งรักคุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงทำไม่ได้ล่ะคะ? ซวงซวงคิดว่าคุณแม่โง่เหรอคะ ใช่ไหมคะ?”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรีบยิ้มและปิดปากของเธอทันที: “โง่นิดนึงค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเอามือไปจั๊กจี้ซวงซวง และรอเจี่ยนซวงหัวเราะและขอร้องอ้อนวอน เจี่ยนอี๋นั่วจึงปล่อยเจี่ยนซวง และพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม:“นี่แน่ะ…… กล้าพูดว่าคุณแม่โง่เหรอคะ หนูสำนึกผิดหรือยังคะ?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันที: “หนูสำนึกผิดไปแล้วค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็มุ่ยขึ้นอีกครั้ง: ” แต่ถ้าคุณแม่ดีกับพี่ชายมากเกินไป ซวงซวงจะอิจฉาได้นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “เป็นเรื่องปกติที่จะอิจฉานะคะลูก ถ้าคุณแม่ก็อิจฉาคุณพ่อด้วยล่ะคะ แค่พบกันครั้งแรก ซวงซวงก็ปกป้องคุณพ่อแล้ว และมันทำให้คุณแม่รู้สึกไม่สบายใจมากเลยรู้ไหมคะ ซวงซวงจะทำอย่างไรคะ เพื่อทำให้คุณแม่สบายใจมากขึ้น?”

เจี่ยนซวงถอนหายใจ และพูดอย่างหมดหนทาง: “โอเคค่ะ โอเคค่ะ ต่อไปนี้หนูจะดีต่อคุณแม่ให้มากกว่านี้นะคะ คุณแม่ไม่ต้องบ่นอีกต่อไปแล้วนะคะ”

จากนั้นเจี่ยนซวงก็เม้มริมฝีปากและพูดอย่างไม่เต็มใจว่า: “ถ้าอย่างนั้น……ถ้าอย่างนั้นคุณแม่จะอิจฉาที่หนูรักคุณพ่อ…… หนูก็จะ……หนูก็จะพยายามยอมรับพี่ชายของหนูแล้วกันนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแล้วลูบหัวของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “โอเคค่ะ สายแล้วจริงๆ พวกเราลุกจากที่นอนกันเถอะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ลุกขึ้นล้างหน้าแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงทันที และเดินออกจากห้องไป หลังจากที่เดินออกจากประตูห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ที่ประตูห้องของเธอแล้ว ราวกับว่ารอเธอมานานแล้ว เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ก็รีบยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดทันทีว่า :“พวกเราไปกันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นหันไปหาเจี่ยนซวงยิ้มแล้วพูดว่า: “พวกเราไปกันเถอะ ลูกซวงซวง…… ”

เจี่ยนซวงรีบจับมือเจี่ยนอี๋นั่วทันที ยิ้มแล้วเดินตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงลงไปชั้นล่าง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงขึ้นไปนั่งบนเครื่องบินส่วนตัวของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนซวงมักจะรู้สึกตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลาเมื่ออยู่บนเครื่องบิน เมื่อหมู่บ้านกลายเป็นในเมืองแล้วจากในเมืองไปสู่เมืองที่เจริญรุ่งเรือง เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าแท้จริงแล้วเธออยู่ไม่ไกลจากเหลิ่งเซ่าถิงเลย

เมื่อเครื่องบินหยุดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็อุ้มเจี่ยนซวงลงมาจากเครื่อง และมองเห็นชายวัยกลางคนสวมชุดสูทสีดำและแว่นตาดำขอบสีดำอุ้มเด็กผู้ชายยืนอยู่ในสวนสาธารณะข้างสนามบิน อยู่ไม่ไกลจากเครื่องบินเท่าไหร่นัก ทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นหน้าเด็กผู้ชายคนนั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกชายของใครกันแน่

ใบหน้านั้นคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงมากๆ ยังไงเจี่ยนอี๋นั่วก็ทายไม่ผิดอย่างแน่นอน

นั่นคือลั่วหยาง เป็นลูกชายของเธอและเหลิ่งเซ่าถิง และเป็นพี่ชายของเจี่ยนซวง

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ยิ้มและมุดเข้าไปในผ้าห่ม เธอซ่อนตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม และยื่นศีรษะเล็ก ๆ ออกมาให้เจี่ยนอี๋นั่วเห็น เธอยิ้มและพูดว่า: “คุณแม่คะ เวลานี้หนูมีความสุขมากๆค่ะ หนูลืมไปแล้วว่าหนูเคยมีความสุขมากขนาดนี้ไหม ตอนนี้หนูมีทั้งคุณพ่อและคุณแม่แล้วค่ะ ถ้าหากคุณแม่อยากจูบคุณพ่อ หรือว่าคุณพ่ออยากจูบคุณแม่แล้วล่ะก็ คุณแม่ไม่ต้องกลัวว่าหนูจะเห็นนะคะ หนูจะแสร้งทำเป็นว่าหนูมองไม่เห็นอะไรเลยค่ะ หนูเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ค่ะ อย่ากลัวว่าหนูจะเห็นเลยนะคะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด และไม่รู้ว่าควรจะโกรธหรือหัวเราะออกมาดี ในที่สุดเธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ และพูดกับเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ ซวงซวงต้องการคุณพ่อจริงๆใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “หนูต้องการให้คุณพ่อและคุณแม่อยู่ด้วยกันค่ะ แต่ว่า…… แต่ว่าถ้าหากคุณแม่ไม่ชอบคุณพ่อจริงๆ ซวงซวงก็จะไม่บังคับให้คุณแม่และคุณพ่ออยู่ด้วยกันหรอกนะคะ …..!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวของเจี่ยนซวง พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เอาเถอะ ได้เวลาพักผ่อนแล้วนะคะ หนูไม่ต้องกังวลกับเรื่องเหล่านี้แล้วนะคะ บางทีพรุ่งนี้พวกเราอาจจะต้องไปจากที่นี่ หนูต้องทำใจไว้ด้วยนะคะ พรุ่งนี้เราอาจจะต้องตื่นแต่เช้านะคะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้าตอบรับ จากนั้นขมวดคิ้วและแตะที่จมูกของเธอ: “แต่ว่า หนูยังไม่ได้บอกลาเพื่อนๆของหนูเลยนะคะ หนูยังไม่ได้บอกพวกเขาเลยว่า หนูไม่ใช่เหยียนเหยียน แต่หนูคือซวงซวง”

“หนูกลัวว่าจะไม่มีเวลาบอกลาแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “หนูเอาเวลามาคิดว่าจะเตรียมของขวัญอะไรให้ดีกว่าไหมคะ จากนั้นเมื่อเราลงจากเครื่องบินแล้ว เราก็สามารถส่งของขวัญกลับมาให้เพื่อนๆของหนู จากนั้นค่อยอธิบายและบอกชื่อจริงของหนู ว่าหนูชื่อซวงซวง แบบนี้ดีไหมคะ?”

เจี่ยนซวงฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว พยักหน้าตอบรับเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “แบบนี้ก็ได้ค่ะ หนูต้องคิดดีๆ ว่าจะมอบของขวัญอะไรให้กับพวกเขาดี อืม จูเสี่ยวพั่งชอบอ่านนิทาน เฉินเฉินชอบใส่กิ๊บสีชมพู ……”

ขณะที่เจี่ยนซวงกำลังพูด เธอก็ค่อยๆหลับตาลง

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนซวงหลับแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงยกมือขึ้นลูบที่หัวเจี่ยนซวงเบาๆ จากนั้นก็โน้มตัวไปจูบหน้าผากของ เจี่ยนซวงทีหนึ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า :“นอนหลับฝันดีนะคะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ค่อยๆเอนตัวลงนอนข้างๆเจี่ยนซวง กำลังเตรียมตัวเข้านอน ก็มองเห็นแสงจากรอยแตกที่ประตูห้องส่องเข้ามา และดูเหมือนว่าประตูฝั่งตรงข้ามได้เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าห้องตรงข้ามนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และรอให้ประตูปิด เธอรออยู่นาน แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับยังไม่ปิดประตูห้องสักที

หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเต้นเร็วขึ้น ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจ้องมองมาทางเธออยู่ จนสุดท้ายเจี่ยนอี๋นั่วอดทนรอต่อไปไม่ไหว ค่อยๆลุกขึ้น แล้วเดินไปที่ประตู และเปิดประตูออก

แน่นอนว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องของเธอ ในขณะที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูออก เหลิ่งเซ่าถิงก็ก้าวถอยหลังทันทีหนึ่งก้าว ราวกับว่าเขากำลังจะกลับเข้าห้อง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นทันที: “ในเมื่อยังไม่นอน ถ้าอย่างนั้นก็คุยกันหน่อยดีไหม”

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดเดิน ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณเต็มใจจะคุยกับผมเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “พวกเรามีเรื่องที่ต้องคุยกันมากมายเหลือเกิน เช่นเรื่องของซวงซวง และเช่นลูกของพวกเราอีกคน”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ปิดประตูห้องของเธอ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”

เล้งเส้าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ตอนนี้เขาสบายดี ล่าสุดผมได้ข่าวเกี่ยวกับเขา คุณอยากเห็นไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอควรทำอย่างไรดี เจี่ยนอี๋นั่วอยากเห็นรูปของเด็กคนนั้นมาก เธอกลัวว่าเมื่อเห็นแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่ต้องการให้เด็กคนนั้นมาอยู่เคียงข้างเธอ

แต่เมื่อลูกกลับมาอยู่ข้างกายเธอ เธอจะปกป้องเขาได้ดีไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่นาน แต่ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอพูดอะไรไม่ออก เธอไม่รู้จริงๆว่าเธอควรจะตัดสินใจยังไงดี

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“คุณไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนก และไม่ต้องกลัว แต่อีกไม่นาน คุณก็จะได้พบเขาในไม่ช้า ”

“อะไรนะคะ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที: “เขาจะ …… เขาจะกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราเหรอคะ …… ”

“อยู่ข้างกายเรา?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดซ้ำด้วยน้ำเสียงต่ำอีกรอบ จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน:“ใช่ เขาจะกลับมาอยู่ข้างกายพวกเราแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและรู้สึกงงงวยเล็กน้อย: “ทำไมมันกะทันหันขนาดนี้คะ คุณไม่ได้วางแผนที่จะให้เขาอยู่ต่างประเทศตลอดไปเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ :“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ก่อนหน้าคนที่ติดตามผมได้รับบาดเจ็บ และผมรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัย ผมจำเป็นต้องมีทายาทคนต่อไป เพื่อทำให้คนเหล่านั้นที่ติดตามผมสบายใจ ถ้าไม่อย่างนั้นถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม คนเหล่านั้นจะไม่มีผู้นำ”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกระพริบตา : “ทำเพื่อบริษัทตระกูลเหลิ่งอีกแล้วเหรอ?ทำเพื่อธุรกิจของตระกูลเหลิ่งอีกแล้วเหรอ? คุณซ่อนพวกเราก็เพราะเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่ง และตอนนี้ขุดพวกเราขึ้นมาก็เพื่อตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว ใช่ไหมคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างเซ็งๆ: “ตอนนี้คุณไม่กลัวว่าเขาจะตกอยู่ในอันตรายหรือคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “ก่อนหน้านี้ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่เมื่อผมเห็นคุณ ในเมื่อคุณและซวงซวงเต็มใจที่จะกลับมา แล้วทำไมเขายังต้องอยู่ข้างนอกล่ะ บางทีเขาอาจจำเป็นต้องเผชิญกับอันตราย แต่เราไม่สามารถปกปิดชาติตระกูลของเขาได้ตลอดไปหรอก คุณอาจจะเกลียดที่ผมหลอกคุณ แล้วคุณคิดว่าเขาจะไม่คิดเหรอ? ยิ่งเขารู้ชาติตระกูลของตัวเองช้ามากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจและพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืนยิ้ม: “ไม่ว่ายังไงก็ตาม มันเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ส่ายหัวไปมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ และพูดด้วยเสียงเบา: “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ก็ให้เขากลับมาเถอะ ฉันอยากเจอเขามากแล้วจริงๆ …… ”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบเม้มริมฝีปากของเขาทันทีพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ : “อืม ถ้าถึงตอนนั้น เราจะ …… ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเพื่อหยุดเหลิ่งเซ่าถิงทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “เรื่องของอนาคต ค่อยว่ากันอีกทีเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกสับสนวุ่นวายใจมาก ฉันไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับเด็กคนนั้นอย่างไร แม้ว่าเราจะแยกจากเขาเพราะมีเหตุผล จึงจำใจต้องแยกจากกัน แต่ว่าเมื่อมองจากหลายๆมุมแล้ว ในความเป็นจริงแล้วก็คือการทอดทิ้งเขานั้นเอง บางทีเขาอาจจะเกลียดฉันมากก็ได้ …… ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ยิ้มอย่างขมขื่น: “ฉันยังเกลียดคุณเลย และเขาคงต้องเกลียดฉันอย่างแน่นอน”

“เป็นพวกเรา…… ” จู่ ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็พูดอย่างเย็นชา: “ถ้าหากจะเกลียด ก็เกลียดผมคนเดียวเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและยิ้มอย่างขมขื่น: “คุณยังสามารถรับผิดชอบต่อความเกลียดชังมากกว่านี้ได้อีกเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า: ” ผมเต็มใจรับผิดชอบทุกอย่าง อี๋นั่ว ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของคุณ ในอนาคตถ้าเด็กสองคนนี้จะเกลียด ก็ให้มาเกลียดผมคนเดียวเถอะ เป็นเพราะผมและตระกูลเหลิ่งก่อขึ้น คุณแค่รักผิดคนเท่านั้นเอง …… ”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่นั้น นิ้วของเขาสั่นเบา ๆ เขาก้มลงและพูดด้วยความทุกข์ใจว่า :“คุณแค่ไม่ควรอยู่กับผม”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เม้มริมฝีปากส่ายหัวไปมาและพูดว่า:“ ฉันไม่ใช่คนที่หนีความรับผิดชอบหรือหนีปัญหาต่างๆ ในสิ่งที่ฉันควรรับผิดชอบ ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณรับผิดชอบคนเดียวเองหรอก ก่อนหน้านี้ที่ฉันไม่อยากเห็นเด็กคนนั้น ก็เพราะว่ากลัวอดใจไม่ไหวที่จะพาให้เขากลับมาอยู่ข้างกายฉัน แต่ในเมื่อตอนนี้สามารถได้พบหน้าเด็กคนนั้นอีกครั้ง ฉันอยากเห็นว่าเด็กคนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร เอาอย่างนี้ เมื่อฉันได้เจอหน้าเขา อย่างน้อยฉันก็จะจำเขาได้ และจะไม่ทำให้เขาเสียใจอีก ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนี้ เขาก็หันศีรษะเล็กน้อย และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า:“รูปของเขาอยู่ในห้องของผม เดี๋ยวผมเอามาให้คุณดู”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัวไปมา: “ไม่ต้องแล้ว ไปดูด้วยกันเถอะ ขาของคุณเดินเหินไม่สะดวก ดังนั้นคุณไม่ต้องเดินไปมาแล้ว ฉันจะทำให้คุณลำบากเปล่าๆ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินตามเหลิ่งเซ่าถิงเข้าไปในห้อง เหลิ่งเซ่าถิงเปิดลิ้นชักของตู้หนังสือหยิบรูปถ่ายออกมาหนึ่งใบ และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา:“นี่ก็คือเด็กคนนั้น ตอนนี้ชื่อของเขาคือ ลั่วหยาง ถ้าหากเขากลับมาเขาจะเป็นเหมือนเจี่ยนซวง ที่ใช้นามสกุลของคุณ แซ่เจี่ยนเหมือนกัน ถ้าถึงเวลานั้นค่อยเปลี่ยนชื่ออีกครั้ง”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้ว: “ทำไมคุณถึงทำเช่นนี้?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวทันทีและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผมไม่อยากให้ใช้นามสกุลของผม สามารถใช้นามสกุลของคุณ มันจะส่งผลดีต่อเด็กทั้งสองคนนี้ ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย และกำลังหยิบรูปให้เจี่ยนอี๋นั่วดูไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ และค่อยๆเอามือออกไปรับรูปถ่ายด้วยมือที่สั่น เธอเห็นเด็กชายอายุหกหรือเจ็ดขวบในรูปถ่ายนั้น เด็กชายคนนี้เป็นเหมือนสำเนาของเหลิ่งเซ่าถิง มีคิ้วและจมูกที่เหมือนกันมาก และริมฝีปากบางไปหน่อย ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ชอบถ่ายรูปนี้เป็นอย่างมาก ในขณะที่ถ่ายรูปนี้อยู่ คิ้วของเขาขมวดแน่น ท่าทางของเขาดูไม่เต็มใจถ่ายเลยสักนิด

เจี่ยนอี๋นั่วมือสั่นเบา ๆ ลูบเด็กชายในรูปถ่ายนั้น ดวงตาสีแดง พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น: “เขาดูดีมาก และดูแข็งแรงมาก ฉันเคยได้ยินเพียงเสียงร้องไห้ของเขา ซึ่งมันแผ่วเบามาก มันเหมือนลูกแมว เมื่อซวงซวงเกิดมา เธอผอมและอ่อนแอมาก ในตอนนั้นเขาต้องผอมกว่าซวงซวงอย่างแน่นอน ในเมื่อสามารถเติบโตได้แข็งแรงขนาดนี้ คุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของเขาต้องดีต่อเขาและดูแลเขาเป็นอย่างดี มันต้องดีกว่าที่อยู่เคียงข้างฉันอย่างแน่นอน …… มันต้องดีกว่าที่อยู่เคียงข้างฉันอย่างแน่นอน…… ”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น น้ำตาค่อยๆหยดลงบนรูปถ่ายใบนั้น เจี่ยนอี๋นั่วกลัวว่าน้ำตาของเธอจะทำให้รูปถ่ายนั้นเปื้อน เมื่อน้ำตาไหนลงมา เธอก็รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาบนรูปถ่ายใบนั้นทันที ร้องไห้และพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น: “ถ้าเขาไม่ต้องการใช้นามสกุลของฉัน หรือไม่ว่าไม่เต็มใจยอมรับคุณเป็นพ่อ คุณห้ามไปบังคับเขาเด็ดขาด ถ้าหากเขากลับมาอยู่เคียงข้างเรา อย่าทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีความสุข ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ไม่ต้องห่วง ผมจะพาเขากลับก่อนเท่านั้น และจะไม่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่เขาไม่ชอบ ยิ่งไปกว่านั้นเขาฉลาดมาก เขารู้ความจริงแล้วว่าเขาไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรม ถ้าหากพาเขากลับมา เขาก็จะไม่รู้สึกแปลกใจมากเกินไปหรอก ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเมื่อเขาได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง: “เขารู้ความจริงแล้วเหรอคะ ?ว่านั่นเป็นคุณพ่อคุณแม่บุญธรรมของเขา ……”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัว:“ เขารู้ความจริงเมื่อปีที่แล้ว อี๋นั่ว ผมจะแนะนำคุณว่า เด็กคนนี้แตกต่างกับซวงซวงมาก เขาเป็นเหมือนคนในตระกูลเหลิ่งมากกว่า ดังนั้นคุณไม่ควรปฏิบัติต่อเขาเหมือนซวงซวง เขาดูเหมือนผมมาก แล้วก็เหมือนพี่ชายของผมมากด้วย คุณเข้าใจไหม?นักจิตวิทยาที่ทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาให้เขา ให้คำแนะนำหลังจากที่ทำแบบทดสอบผลออกมาไม่ค่อยดีเท่าไหร่”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ค่อยเต็มใจเม้มริมฝีปากของเธอขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยและเตรียมที่หาเหตุผลโต้แย้งกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมาเล็กน้อย เจี่ยนซวงดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ให้เธอโต้แย้งกลับ เจี่ยนซวงพยักหน้าขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ถ้าอย่างนั้น ซวงซวงจะเชื่อฟังคุณแม่ค่ะ ซวงซวงจะไม่วาดรูปแล้วค่ะ”

“อืม ดีจ๊ะ ซวงซวงเป็นเด็กดีจริงๆ” หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินไปที่ข้าง ๆเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณพ่อเป็นอะไรไปคะ? ไม่สบายหรือเปล่าคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงฝืนยิ้ม และรู้สึกเซ็งๆพูดขึ้นว่า : “คงเป็นเพราะคุณพ่อนั่งนานเกินไปแล้ว ขาข้างนี้รู้สึกชานิดหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงและมองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง เธอยังจำได้ว่าขานั้นได้รับบาดเจ็บมากเพียงใด เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ ยื่นมือไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “เอาอย่างนี้ดีกว่าฉันช่วยพยุงคุณลุกขึ้นแล้วคุณลุกขึ้นเดินช้าๆและออกกำลังกายเล็กน้อย บางทีอาจช่วยบรรเทาอาการชาได้”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ในตอนแรกเขาคิดจะส่ายหัวเพื่อปฏิเสธ เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเป็นคนป่วยต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงมากเกินไป แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกมา ก็ถูกผิวสวยเนียนของเจี่ยนอี๋นั่วสะกดสายตา เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ไหวที่จะยื่นมือของเขาออกไป วางไว้บนหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า: “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนคุณแล้ว ผมอาจจะหนักหน่อยนะ”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ อาศัยแรงของเจี่ยนอี๋นั่วในการยืนขึ้น จากนั้นครึ่งหนึ่งก็พิงไปที่บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เริ่มแรกเจี่ยนอี๋นั่วรู้ไม่ค่อยคุ้นชิน เดินเซไปสองสามก้าว จากนั้นก็คุ้นชินน้ำหนักของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว และพยุงเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินเข้าไปในห้องอย่างช้าๆ

เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ใกล้กันมาก เหลิ่งเซ่าถิงยังได้กลิ่นหอมของบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว และเขารู้สึกได้ถึงผิวที่อ่อนนุ่มของเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนนี้ แต่ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแต่ก่อนเจี่ยนอี๋นั่วไว้ผมยาว ตอนนี้ถูกตัดให้สั้นลงแล้ว และดวงตาของเธอก็อ่อนโยนลงกว่าเดิมมาก แต่นิสัยที่ชอบเม้มริมฝีปากยังคงแสดงความดื้อรั้นซึ่งไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก

“มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วช่วยเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปได้สองสามก้าว จากนั้นก็รีบหันหน้ามาถามด้วยหน้าตาที่คิ้วขมวด

เดิมที่เหลิ่งเซ่าถิงเอียงศีรษะเล็กน้อยจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังใจเหม่อลอยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวและหันกลับมา ทันใดนั้นริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงก็โดนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว สัมผัสได้ถึงแก้มนุ่มนวลทำให้อดีตที่ฝังลึกในความทรงจำก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกตกใจและรีบปกปิดใบหน้าของเธอ ขมวดคิ้วและรีบถอยห่างออกไปสองสามก้าว และอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความตื่นตระหนก: “คุณกำลังคิดจะทำอะไรอยู่คะ?”

แต่เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ทันจะได้ตอบกลับคำถามของเจี่ยนอี๋นั่ว เนื่องจากต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วช่วยพยุง เหลิ่งเซ่าถิงก็สูญเสียการทรงตัว เกือบจะล้มลงกับพื้น เมื่อเห็นร่างของเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเซ เจี่ยนอี๋นั่วรีบยื่นมือออกไปและจับ เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ขมวดคิ้วและพูดว่า :“คุณยืนให้มันดีๆหน่อยนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แล้วไม่กล้าที่จะปล่อยมืออีก เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก เจี่ยนอี๋นั่วรักษาระยะห่างจากเหลิ่งเซ่าถิงด้วยท่าทางที่น่าอึดอัดใจอย่างยิ่ง หลังจากพยุงเหลิ่งเซ่าถิงไปได้สองสามก้าว เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมายาวๆเธอขมวดคิ้วและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“เป็นยังไงบ้าง ตอนนี้คุณรู้สึกดีขึ้นแล้วใช่ไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงดูออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วอึดอัด ถึงแม้ว่าขายังสึกปวดๆชาๆอยู่ แต่เขาก็พยักหน้ายิ้มแล้วพูดว่า :“ดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณคุณมากจริงๆ”

เนื่องจากเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ใกล้กับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างมาก ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่นั้นดูเหมือนเสียงจะอยู่ใกล้หูเจี่ยนอี๋นั่วมาก เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง และหันหน้าไปเห็นเจี่ยนซวงและเหลิ่งเซ่าถิงกำลังแอบหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโตเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และเจี่ยนซวงก็หันหน้าหนีไปด้วยรอยยิ้มทันที และนั่งอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ราวกับว่าเธอมองไม่เห็นอะไรเลย

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเจี่ยซวงเห็นฉากนี้ และรู้สึกว่าเธอเสียหน้าในฐานะแม่อย่างมาก เจี่ยนอี๋นั่วไม่เต็มใจที่จะพยุงเหลิ่งเซ่าถิงต่อ ดังนั้นเธอจึงพยุงเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ข้างโต๊ะ และถามด้วยน้ำเสียงเบา: ” นั่งลงตรงนี้ แบบนี้ดีขึ้นไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม:“ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณมากจริงๆครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วลดเสียงลง และกระซิบด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเธอและเหลิ่งเซ่าถิงที่สามารถได้ยินเท่านั้น : “ถ้าเป็นคนอื่น ฉันก็คงจะช่วยเหลือเขาแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นคุณไม่ต้องคิดว่าฉันปฏิบัติต่อคุณเป็นพิเศษมากกว่าคนอื่นหรอกนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเก็บรอยยิ้ม ลดตาลงยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นพยายามขจัดความขมขื่นในรอยยิ้มนั้น และยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า: “ผมรู้แล้ว ผมรู้ว่าคุณเป็นคนที่มีจิตใจดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นสูดหายใจเข้าลึก ๆ ในเวลานี้เหล่าสวีทำลายสถานการณ์ที่มีความตึงเครียดและอึดอัดใจ เขาเคาะประตูเรียก และยิ้มอยู่นอกประตู และพูดว่า “คุณท่านครับ คุณหนูเจี่ยนครับ รับประทานอาหารได้แล้วครับ พวกคุณจะไปรับประทานที่ห้องครัวไหมครับ หรือว่าจะให้ผมเตรียมอาหารขึ้นมาเสิร์ฟบนห้องนี้ครับ?”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจะพูด เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดว่า:“ให้พวกเขาขึ้นมาเสิร์ฟข้างบนนี้เถอะค่ะ ขาของคุณยังบาดเจ็บอยู่ทางที่ดีคุณอย่าเดินไปเดินมาจะดีกว่า”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าทันที หัวเราะออกมาเบา ๆ และยิ้มให้เหล่าสวีที่ยืนอยู่นอกประตู: “รบกวนคุณโปรดนำอาหารขึ้นมาเสิร์ฟด้วยเถอะ”

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง และปิดปากของเธอหัวเราะออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง และแกล้งโมโหพร้อมคิ้วขมวดถามว่า:“หนูหัวเราะอะไรคะ?”

เจี่ยนซวงหัวเราะและพูดว่า :“หนูไม่ได้หัวเราะอะไรเลยนะคะ ก็แค่รู้สึกว่าท่าทางของแม่ตอนนี้ ดูตลกมากๆเลยค่ะ ”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่ ก็รีบเอามือปิดปาก และหัวเราะต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วทำตาดุใส่เจี่ยนซวง น้ำเสียง ฮึม ออกมา เพื่อสร้างบรรยากาศ เจี่ยนซวงพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นหัวเราะของเธอไปด้วย และแอบมองดูเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย พูดด้วยน้ำเสียง :“คุณแม่คะ กินข้าวได้แล้วใช่ไหมคะ?ซวงซวงรู้สึกหิวมากแล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า จากนั้นเจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: “อืม ขอเคลียร์โต๊ะก่อนสักครู่นะคะ พวกเราก็พร้อมที่จะทานอาหารเย็นแล้วค่ะ!”!”

เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันที ทำท่าทางร่าเริงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ว้าว เยี่ยมมากเลยค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยรอยยิ้ม: ” อือ ซวงซวง ทำไมหนูถึงยอมทานข้าวดี ๆแล้วล่ะคะ ?หนูเป็นซวงซวงที่ไม่ชอบทานข้าวคนนั้นไม่ใช่เหรอคะ?”

เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงคำโกหกก่อนหน้านี้ของเธอ เธอรีบเอามือถูที่จมูก โน้มตัวไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนว่า: “อืม ซวงซวงรู้ตัวว่าผิดไปแล้วค่ะ ซวงซวงจะไม่พูดไปเรื่อยอีกแล้วค่ะ คุณแม่คะ หนูช่วยคุณแม่ทำความสะอาดบนโต๊ะนี้นะคะ”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ทำท่ายุ่งอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วทันที เหลิ่งเซ่าถิงอยากยื่นมือออกไปช่วยด้วยอีกแรง แต่เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พูดขึ้นว่า:“ คุณนั่งพักผ่อนอยู่เฉยๆเถอะค่ะ ไม่จำเป็นต้องให้คุณมาช่วย ”ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องหยุดที่จะช่วยเหลือทันที

เหลิ่งเซ่าถิงรีบวางมือลงทันที และนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะ โดยมองดูเจี่ยนอี๋นัวและเจี่ยนซวงที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่ หลายปีที่ผ่านมานี้ เจี่ยนอี๋นั่วทำงานบ้านเป็นหลายอย่างแล้ว เธอทำความสะอาดโต๊ะอย่างรวดเร็ว และยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า:“เสร็จแล้ว ได้เวลาเสิร์ฟอาหารแล้วค่ะ”

เจี่ยนซวงยังเลียนแบบเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มและพูดว่า :“คุณพ่อคะ ได้เวลาเสิร์ฟอาหารแล้วค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาข้างๆเขา และพูดอะไรบางอย่างกับเหล่าสวี ใช้เวลาไม่นานเหล่าสวีก็เข็นอาหารเข้ามา นำอาหารออกมาเสิร์ฟทีละจานและจัดวางลงบนโต๊ะ ก่อนหน้านี้เจี่ยนซวงเคยพูดว่าจะกินอาหารคนป่วยพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอคิดว่าจะได้ทานอาหารอ่อนๆ และเรียบง่าย แต่เธอคาดไม่ถึงว่าอาหารบนโต๊ะในตอนนี้กลับดูน่าทานเอามากๆ

เจี่ยนซวงกลืนน้ำลายทันทียิ้มและพูดว่า:“อาหารอร่อยเยอะมากมายขนาดนี้เลยเหรอคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม: “แม้ว่าหนูจะเต็มใจทานอาหารอ่อนๆเป็นเพื่อนพ่อ แต่คุณพ่อกลับรู้สึกว่าสีสันของอาหารพวกนี้ หนูน่าจะชอบมากกว่า คณพ่อก็เลยจะเสิร์ฟอาหารเหล่านี้ให้หนู มา ซวงซวง หนูลองชิมดู ชิมรสชาติอาหารเหล่านี้เป็นอย่างไร ?”

เจี่ยนซวงรีบทานอาหารทันที จากนั้นพยักหน้าอย่างแรง ยิ้มและหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ อาหารพวกนี้อร่อยมากจริง ๆค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้เจี่ยนซวงและพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นหนูก็กินให้อร่อยนะคะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตา และคีบอาหารให้เจี่ยนอี๋นั่ว : “คุณแม่คะ คุณแม่กินด้วยกันสิคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและยกมือขึ้นลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “จ๊ะ นี่สิถึงเรียกว่าเด็กดี”

เจี่ยนซวงก้มหัวลงทันทีด้วยรอยยิ้มและเริ่มรับประทานอาหาร ในระหว่างที่รับประทานอาหารค่ำอยู่นั้น เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางเหลิ่งเซ่าถิงครั้งคราว และรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังมองเธอและเจี่ยนซวงอยู่ เพียงแต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็ค่อยๆหันหน้าหลบตาเจี่ยนอี๋นั่วทันที

หลังจากที่รับประทานอาหารเย็น ฟ้าก็เกือบจะมืดลงแล้ว เมื่อเจี่ยนซวงทานข้าวจนอิ่ม และดูเหนื่อยล้ามากแล้ว เธอถือชามพิงโต๊ะแล้วหาวไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เจี่ยนซวง และถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“ห้องของฉันและลูกอยู่ที่ไหน? ฉันจะพาซวงซวงไปเข้านอนเดี๋ยวนี้”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบลุกขึ้นยืนและชี้ไปยังทิศทางของห้องให้เจี่ยนอี๋นั่วดู: “มันอยู่ห้องถัดไป ห้องน่าจะจัดเตรียมเสร็จแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า:“ถ้าอย่างงั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินออกจากห้องไป เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและยืนอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ราตรีสวัสดิ์ครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง และเมื่อเดินเข้าไปในห้องนอนของเธอและเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงก็รีบยกมือขึ้นไปกอดคอของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ…… พวกเราจะนอนแล้วเหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและวางเจี่ยนซวงลงบนเตียง: “ใช่จ๊ะ ไม่ใช่เป็นเพราะหนูง่วงนอนหรอกเหรอ ทำไมหนูถึงตื่นขึ้นมาอีกครั้งล่ะคะ?”

“อืม หนูกินอิ่มมากเกินไปแล้วค่ะ” เจี่ยนซวงนอนอยู่บนเตียง และพูดด้วยรอยยิ้มทันที: “คุณแม่คะ คุณแม่คะ…… เตียงนี้นุ่มมากเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า :“ใช่จ๊ะ นุ่มสบายมากจริงๆ”

เจี่ยนซวงยิ้มและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณแม่คะ คุณแม่รู้อะไรไหมคะ?ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หนูรู้สึกกลัวคุณพ่อมากๆเลยค่ะ แต่จู่ ๆหนูก็รู้สึกว่าคุณพ่อไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด เพราะจริงๆแล้วคุณพ่อมีคนที่คุณพ่อกลัวค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มและถามว่า:“ โอ้จริงเหรอคะ?แล้วคุณพ่อของหนูกลัวใครมากที่สุดคะ?”

เจี่ยนซวงยิ้มและชี้ไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ก็คือคุณแม่ไงล่ะคะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: “หนูพบว่าคนที่คุณพ่อกลัวที่สุดก็คือคุณแม่ค่ะ ดังนั้นหนูจึงไม่กลัวคุณพ่อแล้วค่ะ และดูเหมือนคุณแม่ก็กลัวคุณพ่อมากเหมือนกันนะคะ…… ”

“ลูกเจี่ยนซวงคะ ถึงเวลานอนแล้วนะคะลูก ” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง แล้วไอแค่กออกมาหนึ่งครั้ง

เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้นปิดปากยิ้มและพูดว่า:“ ได้ค่ะ หนูจะไม่พูดอะไรอีกแล้วค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจเฮือกออกมา จากนั้นเปิดก๊อกน้ำอีกครั้ง และเริ่มขัดมือราวกับพยายามล้างกลิ่นเลือดออกจากมือของเขา เนื่องจากขัดถูแรงเกินไปทำให้มือของเหลิ่งเซ่าถิงเป็นแผลและมีเลือดไหลออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือขึ้นเพื่อหยุดเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและพูดว่า: “คุณหยุดเดี๋ยวนี้นะ! นี่คุณเป็นอะไรไป ?คุณหยุดทำร้ายตัวเองได้แล้วนะคะ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงหยุด เจี่ยนอี๋นั่วก็ลดเสียงลงทันทีแล้วถามว่า: “ตอนนี้อาการของคุณไม่ค่อยดี คุณเคยไปหาจิตแพทย์หรือยังคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึก ๆ และยิ้มอย่างไม่สบอารมณ์: “ตอนนี้สถานะของผม ผมไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกต่อไปแล้ว และผมไม่สามารถไว้ใจใครได้เลย ผมไม่ไว้วางใจจิตแพทย์ เขาจะรักษาอาการป่วยของผมได้อย่างไรกัน? ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ แล้วเขาก็เอามือเข้าไปใต้ก๊อกน้ำอีกครั้งและขัดอย่างแรง เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้าวไปข้างหน้ายกมือขึ้นจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง เธอถอนหายใจออกมา: “คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงเกลียดเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ในใจลึก ๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอจะไม่มีวันลืมทุกสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงได้ทำไว้กับเธอ และการหลอกลวงทั้งหมดที่เธอต้องทนทุกข์ทรมาน แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสภาพของเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นเช่นนี้ เธอก็ทนเห็นไม่ได้ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะห้ามให้เขาหยุดทำร้ายตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง มือของเธอกุมมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ตอนนี้ฉันได้สัมผัสคุณแล้ว และมันไม่มีอะไร ถ้าหากมีคาวเลือด และความสงบสุขที่ฉันจะได้รับ ขอให้เราจะมีความผิดเท่าเทียมกัน”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็สงบลงทันที หันหน้าและมองจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆก้มลงและมองไปที่มือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาพลิกมือ และพยายามกุมมือเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ดึงมือกลับทันที ขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ฉันขอแนะนำให้คุณไปพบจิตแพทย์หน่อยจะดีกว่านะคะ”

“ผมไม่เชื่อพวกเขา แล้วผมจะไปรักษาได้อย่างไร?”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: “นี่คุณไม่มีใครที่จะสามารถทำให้คุณไว้ใจได้อีกแล้วเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า แล้วรีบพูดว่า:“มี”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด รีบถามกลับว่า:“ใคร?คุณไปหาเขาสิ เขาสามารถช่วยเหลือคุณได้อย่างแน่นอน”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พูดอย่างช้าๆและพูดอย่างจริงจัง: “คุณ …… ผมเชื่อในตัวคุณ …… ผมเชื่อในตัวคุณเท่านั้น”

“นี่คุณ เหลิ่งเซ่าถิงคะ……”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะพูดเธอ ทันใดนั้นก็เห็นเจี่ยนซวงเดินมาอยู่ตรงหน้าห้องน้ำ เจี่ยนซวงใช้แววตาคู่นั้นจ้องมองดูเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิง มองไปรอบๆ จากนั้นถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ……เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าคะ ?ทะเลาะกันหรือเปล่าคะ ?”

“ไม่มีจ๊ะ คุณแม่แค่ปรึกษาปัญหากับคุณพ่ออยู่ค่ะ”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้งอย่างระมัดระวัง และถามด้วยน้ำเสียงเบา :“เอ่อ คนนั้น…… หนูเรียกคุณว่าคุณพ่อได้ไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ได้แน่นอนสิลูก”

เจี่ยนซวงเรียกเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“คุณพ่อ……”ด้วยน้ำเสียงที่เบามาก

จากนั้นเจี่ยนซวงก็วิ่งไปที่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วทันที จับมือเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ หนูหิวแล้วค่ะ จะกินข้าวกันตอนไหนคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและตบหัวของเธอหนึ่งที เธอนี่จริงๆเลย ลืมทำอาหารให้เจี่ยนซวงได้ไงเนี่ย

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว: “เอาล่ะ คุณแม่จะไปทำอาหารให้หนูตอนนี้”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ก็หันไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะบอกเหลิ่งเซ่าถิงว่าเธอต้องการพาเจี่ยนซวงไปจากคฤหาสน์และจะกลับบ้าน ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นบาดแผลที่ถูกถูจนเกิดเป็นแผลบนฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิง  และถามเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณได้จัดเตรียมห้องสำหรับฉันและเจี่ยนซวงไว้หรือเปล่าคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงทำหน้าประหลาดใจเล็กน้อย เขาเบิกตากว้างทันที ดวงตาที่มืดมืนสว่างขึ้นมาทันที จากนั้นรีบพูดขึ้นว่า:“ผมจะให้คนไปจัดเตรียมให้เดี๋ยวนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: “ไม่ต้องแล้วค่ะ ที่นี่มีเพียงเหล่าสวีคนเดียวเท่านั้น อย่าไปรบกวนแกเลย แกก็ชรามากแล้ว ……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หยุดชะงักทันทีแห่งนี้จนเธอกลายเป็นคนโง่ไปแล้ว เธอคิดได้อย่างไรว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเตรียมคนไว้แค่นี้ และมีเพียงแค่เหล่าสวีคนเดียวเท่านั้น ก็สามารถอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ที่อยู่ในหมู่บ้านที่ว่างเปล่าแห่งนี้ล่ะ ?

ก่อนหน้านี้เจี่ยนซวงเคยพูดว่า ตราบใดที่มีคนเข้ามาใกล้คฤหาสน์แห่งนี้ ก็จะถูกขับออกไปทันทีจริงๆเหรอ?

ต้องมีคนอื่น ๆ อยู่รอบ ๆ ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงอีกแน่นอน เพื่อปกป้องไม่ให้เธอและเจี่ยนซวงตกใจกลัว ดังนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจึงสั่งให้พวกเขาซ่อนตัวอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งเหล่านี้และพูดด้วยน้ำเสียงเบา : “ในเมื่อคุณพูดอย่างนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนคุณแล้ว”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็นั่งยอง ๆต่อหน้าเจี่ยนซวง และถามด้วยรอยยิ้มว่า:“ ซวงซวงอยากกินอะไรคะ?”

เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงและถามด้วยน้ำเสียงที่เยินยอเบา ๆ : “คุณพ่ออยากกินอะไรคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “พ่อจะกินแบบเดียวกับพวกหนูไม่ได้หรอกนะ พ่อต้องควบคุมอาหารบางประเภท”

เจี่ยนซวงพูดต่อทันทีว่า: “ถ้าคุณพ่อจำเป็นต้องควบคุมอาหาร ซวงซวงก็จะควบคุมอาหารเหมือนกันกับคุณพ่อนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีเมื่อเธอได้ยินเจี่ยนซวงพูด และถอนหายใจอย่างเซ็งๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเศร้าเล็กน้อย เธอเติบโตมาพร้อมกับเจี่ยนซวง แต่เมื่อเจี่ยนซวงได้เห็นเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็เริ่มเอาใจเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคนอย่างเจี่ยนซวงที่ชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจ นี่เธอเต็มใจทำเพื่อเหลิ่งเซ่าถิง และยอมทิ้งในสิ่งที่เธอชอบกินมากอย่างนั้นเหรอ

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะไอแค่กออกมา:“ลูกซวงซวงคะ บางคนที่กำลังควบคุมอาหารอยู่ไม่สามารถกินอาหารที่ร่อยๆได้หรอกนะคะ”

เจี่ยนซวงแตะที่จมูกแล้วพยักหน้า: “ไม่เป็นไรค่ะ ซวงซวงก็ไม่ใช่เด็กที่ตะกละซะหน่อย ขอเพียงอาหารเล็กน้อยก็สามารถเลี้ยงซวงซวงให้อิ่มแล้วค่ะ”

“โอ้ จริงเหรอคะ?ก่อนหน้านี้คุณแม่เคยเลี้ยงดูซวงซวงมามันก็เป็นเรื่องปลอมสิคะ”เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงถูกเจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงอย่างไม่ใยดี หน้าของเธอก็เริ่มแดงขึ้นมาทันที แดงเหมือนแอปเปิ้ลสีแดงยังไงยังงั้น เจี่ยนซวงโกรธเล็กน้อยที่เจี่ยนอี๋นั่วเปิดเผยความจริงออกมา เธอตะคอกใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ฮึม แล้วก็รีบเดินไปที่ข้างกายของเหลิ่งเซ่าถิง และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “คุณพ่อคะ วาดรูปด้วยกันกับซวงซวงนะคะ คุณแม่โง่มากเลยค่ะ คุณแม่วาดรูปไม่เป็นค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เห็นเจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว และมองไปที่เจี่ยนซวงด้วยท่าทางที่ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง และกำลังงอนเจี่ยนซวงอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้จนหัวเราะออกมา และยิ้มกับเจี่ยนซวงพร้อมพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไปวาดรูปบนโต๊ะกันเถอะ ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้า เธอยกมือขึ้น เดิมทีเธอต้องการจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง แต่แล้วเธอก็วางมันลงอย่างขี้อาย จากนั้นเจี่ยนซวงก็แสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอวิ่งไปที่โต๊ะด้วยท่าทางของเด็กน้อยที่น่ารักน่าเอ็นดูแล้วกระโดดโลดแล่นไปมา เธอหยิบสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ และพลิกไปมาเล็กน้อย เจี่ยนซวงก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“อี๊……นี่เป็นรูปคุณแม่ทั้งหมดเลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง เธอพึ่งนึกขึ้นได้ว่าภาพวาดในสมุดบันทึกทั้งหมดนั้นมีบุคคลที่ชื่อว่า“คุณจู๋” เป็นคนที่วาดรูปเหล่านั้นขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ แล้วหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ไอแค่กออกมาทันที และเดินไปที่ด้านข้างของเจี่ยนซวง เขายิ้มแล้วก็รีบปิดสมุดบันทึกนั้นทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า :“สิ่งของเหล่านี้อย่าพึ่งไปดูมันเลย เดี๋ยวพ่อเอากระดาษวาดรูปมาให้หนูใหม่นะ”

เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้น ปรบมือรัวๆ:“ดีมากค่ะ ยอดเยี่ยมมากค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเจี่ยนซวง เธอเป็นคนเลี้ยงดูเจี่ยนซวงมาตลอดและเธอก็รู้ว่าเจี่ยนซวงนั้นเป็นเด็กแบบไหน เป็นเพราะว่าเจี่ยนซวงขาดความรักจากคุณพ่อนานเกินไปแล้ว และเมื่อเจี่ยนซวงได้พบเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะเยินยอเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าเจี่ยนซวงจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิง แต่เจี่ยนซวงก็จะพยายามเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง

แต่เป็นเพราะคุณแม่ก็อยู่ด้วย เพื่อเมื่อต้องการให้เจี่ยนซวงรู้สึกปลอดภัย ถ้าเธอเดินออกจากข้างกายเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงอาจจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิงจนไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อ และเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วก้าวเดินก้าวไปไม่กี่ก้าว เจี่ยนซวงก็ถามอย่างกระวนกระวายทันที: “คุณแม่คะ คุณแม่จะไปไหนคะ?คุณแม่ไม่มาดูซวงซวงและคุณพ่อวาดรูปเหรอคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเดินไปที่ข้างๆโต๊ะและพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ก็กำลังจะมาดู มาดูว่าซวงซวงและคุณพ่อวาดรูปออกมาเป็นอย่างไรกันบ้าง?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยิ้มและนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะ พยักหน้าให้เจี่ยนซวงยิ้มและถามว่า:“ ไม่ต้องกลัวนะคะ คุณแม่อยู่เคียงข้างหนูเสมอค่ะ”

เจี่ยนซวงรีบขยับเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วทันที:“คุณแม่คะ คุณแม่ดีที่สุดในโลกเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบา ๆ : “ใช่จ๊ะ ตอนนี้พึ่งจะมาเยินยอคุณแม่เหรอ สายไปแล้วค่ะ คุณแม่เสียใจแล้ว ปวดใจมากด้วย รู้สึกเศร้ามาก……เมื่อก่อนซวงซวงอยู่ด้วยกันกับคุณแม่ ชอบแย่งคุณแม่กินของอร่อยๆอยู่ตลอดเวลา พออยู่ต่อหน้าคุณพ่อ ก็เปลี่ยนเป็นลูกที่เชื่อฟังแล้ว ?”

เจี่ยนซวงยิ้มทันทีและทิ้งตัวลงต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ปิดหน้าอกของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่ไม่ต้องเสียใจแล้วนะคะ เดี๋ยวซวงซวงจะทำเพิ่มความอบอุ่นให้คุณแม่นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: “อืม แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย เอาล่ะ คุณแม่ได้รับความอบอุ่นแล้ว หนูนั่งกลับไปดีๆ เริ่มลงมือวาดรูปได้แล้วนะคะ ”

เจี่ยนซวงกลับไปนั่งที่เดิม และเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งยืนอยู่ไม่ไกลมองมาที่เจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนซวงรีบตะโกนออกมาเสียงดังทันที:“คุณพ่อคะ……คุณพ่อรีบมาทางนี้สิคะ ……”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบหยิบปากกาและกระดาษเดินไปทันที และวางปากกาและกระดาษไว้ตรงหน้าเจี่ยนซวง: “หนูอยากวาดรูปอะไรก็วาดได้ตามใจเลยนะลูก คุณพ่อจะให้คนไปทำอาหาร และจัดเตรียมห้องให้พวกหนูได้พักผ่อน คุณพ่อจะรีบกลับมานะลูก”

เจี่ยนซวงพยักหน้าตอบรับ หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข:“ถ้าอย่างนั้นคุณพ่อรีบกลับมานะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพยักหน้า จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ก้มหัวลง หยิบปากกาและกระดาษขึ้นมายิ้มให้เจี่ยนซวงแล้วพูดว่า :“เอาล่ะ ตอนนี้ก็ถึงเวลาลงมือวาดรูปแล้วนะคะ”

เจี่ยนซวงแตะที่จมูกเบาๆ และหยิบดินสอขึ้นเม้มริมฝีปาก เริ่มวาดรูปลงบนกระดาษ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าแท้จริงแล้วเจี่ยนซวงไม่ชอบวาดรูปเลย เมื่อเจี่ยนซวงเริ่มวาดรูปลงบนกระดาษ เจี่ยนซวงก็รู้สึกอายจริงๆ

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ที่นั่งของเขา เขาก็หยิบปากกาขึ้นมา และวาดเส้นร่างภาพของเจี่ยนซวงอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนซวงเห็นเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่ดูเหมือนเธอบนกระดาษ และรีบพูดด้วยรอยยิ้มทันที :“นี่ใช่ซวงซวงหรือเปล่าคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: “นี่ก็คือซวงซวง”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และหัวเราะไปด้วย และลูบขาซ้ายของเขาไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถามทันทีว่า:“คุณปวดขาหรือเปล่าคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่ใช่ครับ ขาของผมไม่ได้เป็นอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพยามยามฝืนทนอยู่ จึงยิ้มและพูดกับซวงซวงว่า: “ซวงซวงจ๊ะ พวกเราวาดรูปเหนื่อยกันแล้ว เราพักเหนื่อยกันสักครู่เถอะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็ยกมือขึ้นแล้วลูบหัวเจี่ยนซวงเบา ๆ และพูดอย่างจริงจัง: “ถ้าหากลูกไม่กลัวอันตราย และต้องการกลับไปเป็นซวงซวงอีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นคุณแม่ก็บอกหนูตอนนี้เลยว่า วันเวลาแห่งการซ่อนตัวของเราสิ้นสุดลงแล้ว หนูสามารถกลับมาเป็นซวงซวงใหม่ได้อีกครั้งแล้วนะคะ ”

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างทันที และดีใจจนกระโดดขึ้นเต้นอย่างมีความสุข: “คุณแม่คะ นี่เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?”

หลังจากเจี่ยนซวงกระโดดโลดเต้นขึ้น ดวงตาของเธอก็แดงขึ้นอีกครั้ง เธอจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วบีบจมูกของตัวเอง ร้องไห้แล้วพูดว่า : “คุณแม่คะ ซวงซวงเป็นคนอื่นมานานมากแล้ว ซวงซวงแทบจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเป็นใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็กอดเจี่ยนซวงทันที และพูดด้วยเสียงเข้มว่า:“ จากวันนี้เป็นต้นไป หนูจะกลับมาเป็นซวงซวงแล้ว และไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนของหนูอีกแล้ว หนูจะได้เป็นตัวของตัวเองแล้ว”

เจี่ยนซวงขยี้ตาร้องไห้แล้วพูดว่า:“ คุณแม่คะ ถ้าอย่างนั้นซวงซวงจะได้พบหน้าคุณพ่อแล้วใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “อืม ใช่จ๊ะ คุณแม่จะพาหนูไปพบคุณพ่อเดี๋ยวนี้นะคะ”

เจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วก็ตกตะลึงทันที หลังจากนั้นไม่นาน เธอเบิ่งตาโตจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและถามว่า:“คุณแม่คะ คุณแม่พูดจริงๆใช่ไหมคะ ? คุณแม่ไม่ได้หลอกซวงซวงใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า ยืนขึ้น แล้วจับมือเจี่ยนซวง: “คุณแม่เคยหลอกหนูเหรอคะ ไปกันเถอะ คุณแม่จะพาหนูไปเดี๋ยวนี้ ”

เจี่ยนซวงรีบส่ายหัวไปมาอย่างรวดเร็ว และพูดอย่างรีบร้อนว่า:“คุณแม่คะ อย่าพึ่งไปตอนนี้ได้ไหมคะ?ถ้าหากต้องไปหาคุณพ่อจริงๆ หนูเปลี่ยนชุดใส่กระโปรงใหม่ได้ไหมคะ ?มีอีกเรื่อง ช่วยมัดผมให้ซวงซวงใหม่ได้ไหมคะ ดีไหมคะ?ซวงซวงต้องการถักเปียสองข้างค่ะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยิ้มแล้วตอบรับทันที :“ดีจ๊ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าให้กับเจี่ยนซวง และมัดผมให้กับเธอ เจี่ยนซวงดึงมุมเสื้อผ้าของเธออย่างระมัดระวัง อีกทั้งจู้จี้ถามนู่นถามนี่ไม่หยุด: “คุณแม่คะ คุณพ่อของหนูมีชื่อว่าเหลิ่งเซ่าถิงใช่ไหมคะ? แล้วทำไมหนูถึงไม่แซ่เหลิ่งล่ะคะ แต่ใช้แซ่เจี่ยนของคุณแม่ล่ะคะ?เพื่อนของหนูใช้แซ่ของคุณพ่อกันทั้งหมดเลยค่ะ ”

“แต่ว่าแซ่เหลิ่งก็ไม่ดี เหลิ่งซวง……เหลิ่งซวง เจี่ยนซวงน่าฟังกว่าเยอะเลยคะ”

“คุณแม่คะ คุณแม่คิดว่าคุณพ่อจะชอบหนูไหมคะ?เขายังเหมือนเดิมไหมคะ?”

“ หนูแทบจำไม่ได้เลยว่าคุณพ่อหน้าตาเป็นยังไง แล้วถ้าเกิดหนูจำคุณพ่อไม่ได้ทำยังไงดีคะ ?”

เจี่ยนซวงจู้จี้ถามนู่นถามนี่ตลอดทาง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วจูงมือของเจี่ยนซวงถึงคฤหาสน์ เจี่ยนซวงก็รีบเอามือปิดปาก จ้องมองไปที่คฤหาสน์นั้น และถามด้วยความประหลาดใจ: “คุณแม่คะ ทำไมคุณแม่มาที่นี่คะ?”

“เพราะคนที่เป็นคุณจู๋ ก็คือคุณพ่อของซวงซวงค่ะ ” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการปกปิดความจริงเรื่องนี้กับเจี่ยนซวง เมื่อตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงเห็นหน้าเจี่ยนซวง ในตอนนั้นเจี่ยนซวงยังเล็กอยู่ พวกเขาพบเจอกันอย่างรีบร้อน และเจี่ยนอี๋นั่วก็ดูไม่ออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็คือคุณจู๋ แล้วนับประสาอะไรกับเจี่ยนซวงล่ะ แต่ในช่วงระยะเวลานี้เจี่ยนซวงและคุณจู๋ได้อยู่ด้วยกันบ่อยมากขึ้น และต้องการปกปิดเรื่องที่คุณจู๋ก็คือเหลิ่งเซ่าถิงนั้นให้เจี่ยนซวงรู้ คนอย่างเจี่ยนซวงที่กระตือรือร้นอยากรู้อยากเห็นมันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน และดีกว่าที่รู้สึกว่าตัวเองนั้นโดนหลอก

เจี่ยนซวงหยุดเดินกะทันหันและทำหน้ามุ่ย:“คุณจู๋ก็คือคุณพ่อ?ถ้าอย่างนั้นทำไมเขาไม่บอกซวงซวงล่ะคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา ๆ : “เพราะเขามีเหตุผลของตัวเอง และเขาคงลำบากใจ”

“เขากลัวซวงซวงไปรบกวนเขาหรือเปล่าคะ” เจี่ยนซวงตาแดงก่ำ จ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและน้ำเสียงสะอื้น: “ช่างมันเถอะค่ะ ซวงซวงไม่อยากเจอคุณพ่อแล้วค่ะ เขาไม่อยากรู้จักซวงซวง ซวงซวงก็ไม่อยากรู้จักเขาแล้วค่ะ

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งยอง ๆต่อหน้าเจี่ยนซวง เช็ดน้ำตาให้เจี่ยนซวง และถามด้วยรอยยิ้ม: “ซวงซวง นี่เป็นคำพูดประชด หรือพูดออกมาจากใจจริงๆคะ ?ถ้าหากพูดออกมาจากใจจริงๆ คุณแม่จะพาหนูไปจากที่นี่ทันที และจะไม่ให้คุณพ่อหาหนูเจออีกตลอดไป ถ้าหากเป็นคำพูดที่พูดประชด งั้นรีบเช็ดน้ำตา พวกเราจะเข้าไปด้วยกัน เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณพ่อ บอกว่าหนูโกรธมากๆ และไม่พอใจกับวิธีการของเขา ดีไหมคะ?ให้หนูเป็นคนตัดสินใจเองนะคะ ”

เจี่ยนซวงสั่งน้ำมูกและขยี้ตา ร้องไห้สักพัก แล้วสะอื้นพูดว่า:“เป็นคำพูดที่พูดประชดค่ะ ซวงซวงยังต้องการที่จะเจอหน้าคุณพ่อค่ะ ซวงซวงจะบอกคุณพ่อว่า ซวงซวงโกรธมากค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้กับซวงซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: “ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเดินเข้าไปเดี๋ยวนี้ ดีไหมคะ?”

เจี่ยนซวงสั่งน้ำมูก รีบพยักหน้าตอบรับทันทีและพูดด้วยเสียงสะอื้น: “ดีค่ะ”

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็เอื้อมมือไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และเดินไปที่ประตูคฤหาสน์ ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะกดกริ่ง ประตูก็ถูกเปิดออก เหล่าสวีรีบเปิดประตู พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม:“คุณหนูเจี่ยนคะ พวกคุณมาแล้ว รีบเข้ามาเถอะครับ ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มสักครู่ จับมือเจี่ยนซวงแล้วเดินเข้าไปในประตูคฤหาสน์ทันที  เหลิ่งเซ่าถิงกำลังชะโงกออกมาจากหน้าต่างบนชั้นสอง และมองลงไปที่ เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง เมื่อเจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงก็กระตุกมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าที่ยิ้มแย้มออกมา

หลายปีที่ผ่านมานี้เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้ตระกูลเหลิ่งอยู่อย่างเป็นสุข เขาได้สังหารผู้คนมากมาย จิตสังหารของเขาแรงมาก เจี่ยนซวงเองผ่านเรื่องเลวร้ายมาตั้งแต่เธอยังเด็ก และมีความอ่อนไหวต่ออันตรายอย่างมาก แม้ว่า ก่อนหน้านี้เจี่ยนซวงพูดตลอดเวลาว่าอยากพบหน้าพ่อของเธอ แต่ตอนนี้เมื่อเธอได้เห็นเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเธอก็ถูกใบหน้าที่ซีดเซียวของเหลิ่งเซ่าถิงและกลิ่นอายที่เย็นชาและโหดร้ายนั้น จนทำให้เธอกลัวและไปหลบอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

“คุณแม่ …… เขาเป็นคุณพ่อจริงๆเหรอคะ? ทำไมหนูถึงรู้สึกว่าเขาไม่เหมือนคุณพ่อคนเดิมแล้วคะ” เจี่ยนซวงกระซิบถามและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ : “เพราะว่าคุณพ่อท่านไม่สบายค่ะ เมื่อคุณพ่อหายดีขึ้น คุณพ่อก็จะกลับมาเหมือนเดิมแล้ว”

เจี่ยนซวงแตะที่จมูก พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ทำไมถึงรู้สึกว่าคุณพ่อน่ากลัวจังเลยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า “นั่นเป็นเพราะซวงซวงและคุณพ่อยังไม่คุ้นเคยกัน เมื่อค่อยๆทำความรู้จักกันแล้ว ก็จะไม่รู้สึกว่าคุณพ่อไม่น่ากลัวแล้วนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้ามุ่ยขมวดคิ้วและพยักหน้าเบา ๆ แม้ว่าเจี่ยนซวงจะพยักหน้า แต่เจี่ยนซวงก็ยังคงซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง เจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง หลังจากเคาะประตู เธอก็ได้ยินเสียงออกมาจากภายในห้อง: “เข้ามาสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูและเดินเข้าไปในห้อง เจี่ยนซวงค่อยๆเดินออกมาจากด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว โผล่หัวออกมามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง ในชีวิตนี้เจี่ยนซวงคงไม่อาจลืม ฉากที่พบหน้าคุณพ่อของเธออีกครั้ง พ่อของเธอยืนอยู่ตรงหน้าต่าง และลมที่พัดเข้ามาจากหน้าต่าง ผ้าม่านสีขาวที่พัดเข้ามาเกือบจะห่อหุ้มตัวเขา ราวกับว่าเขากำลังจะปลิวไปยังไงยังงั้น

ในความทรงจำของเจี่ยนซวง คุณพ่อของเธอสมบูรณ์แบบ หล่อมาก และทำอาหารเป็น คุณพ่อตัวสูงและคุณพ่อของเธอเก่งและดีกว่าคุณพ่อของคนอื่น ๆ ทั้งหมด

แต่ตอนนี้ใบหน้าของเขาซีดเซียว นิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะไม่สูงหล่ออีกต่อไปแล้ว เขาดูน่าสงสารมาก สิ่งนี้ทำให้เจี่ยนซวงรู้สึกกลัวเหลิ่งเซ่าถิงน้อยกว่าก่อนหน้านั้น ก็รีบวิ่งไปหาทันที คว้าที่มุมเสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วถามว่า:“คุณเป็นพ่อของหนูจริงๆเหรอคะ?”

เพราะถ้าเทียบกับการที่กลัวเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนซวงกลัวการที่ตัวเองจะต้องสูญเสียคุณพ่อไปมากกว่า

เจี่ยนซวงดึงมุมเสื้อผ้าของเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และเธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่ปล่อยให้พ่อของเธอปลิวไปกับสายลม

เหลิ่งเซ่าถิงสะดุ้งตกใจเมื่อเจี่ยนซวงวิ่งเข้ามาหาอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาก็ยกมือขึ้นทันที พยายามที่จะไม่แตะโดนเจี่ยนซวงให้มากที่สุด

“พ่อเป็นคุณพ่อของหนู ซวงซวง”เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด พยามยามพูดน้ำเสียงที่เบาที่สุด

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นอาการของเหลิ่งเซ่าถิงไม่เป็นธรรมชาติ และอีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงยังยกมือขึ้นอยู่ตลอดเวลา เหมือนกลัวที่จะสัมผัสโดนเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้าวไปข้างหน้าทันที เธอวางมือของเธอลงบนไหล่ของเจี่ยนซวง และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า : “เจี่ยนซวง หยุดรบกวนคุณพ่อได้แล้วค่ะ ให้คุณพ่อได้พักผ่อนก่อนนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วแยกเจี่ยนซวงให้ออกจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยใบหน้าที่เย็นชา: “ผมขอโทษ”

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้าไปในห้องน้ำในห้องทันที เจี่ยนซวงขมวดคิ้วเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยเสียงน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ คุณพ่อไม่ชอบหนูจริงๆใช่ไหมคะ?”

แม้ว่าเจี่ยนซวงจะยังเป็นเด็กที่ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่เธอก็รู้สึกเสมอว่าท่าทางของคุณพ่อเธอเมื่อกี้นี้ ดูเหมือนท่าทางที่ไม่ชอบเธอเลย เหมือนราวกับว่าเธอทำให้คุณพ่อตกใจกลัวยังไงยังงั้น

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแล้วลูบหัวเจี่ยนซวง ยิ้มและพูดว่า:“ไม่มีอะไรหรอก คุณพ่อไม่ค่อยสบาย เดี๋ยวคุณแม่ไปดูคุณพ่อก่อนนะคะ ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันกลับมาด้วยรอยยิ้ม และเดินไปที่ห้องน้ำ เคาะหน้าประตู และไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากในห้องน้ำ มีเพียงเสียงน้ำไหลไม่ขาดสาย เจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูเข้าไปดู เห็นเหลิ่งเซ่าถิงพิงอ่างล้างหน้าและล้างมือตัวเองตลอดเวลา

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวถามด้วยหน้าคิ้วขมวด:“เหลิ่งเซ่าถิง คุณเป็นอะไรไปคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด สูดหายใจเข้าลึกๆใช้แรงส่ายหัวไปมา:“ผมไม่ได้เป็นอะไร!”

“คุณเป็น คุณเป็นอะไรไปคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงที่เบา

เหลิ่งเซ่าถิงปิดก๊อกน้ำมองลงไปที่นิ้วซีดเซียวของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา : “ก่อนที่ผมจะเห็นซวงซวง ผมไม่เคยรู้สึกว่ามือของผมนั้นมันสกปรก แต่เมื่อกี้นี้ ทันใดนั้นผมรู้สึกว่ามือของผมเปื้อนไปด้วยเลือด ไม่สมควรเลยสักนิดที่จะอุ้มซวงซวง”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ คิ้วขมวดแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หลายปีที่ผ่านมานี้ คุณมีแต่ช่วงเวลาที่เลวร้ายเหรอคะ?”

“แต่ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว ” เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงและจ้องมองไปที่นิ้วที่ซีดเซียวและยาวของเขา

เหลิ่งเซ่าถิงลืมไปแล้วว่าสองมือของเขา ฆ่าคนไปแล้วมากแค่ไหน แม้ว่าจะมีใครลงมือฆ่าคนแทนเขา แต่ในบางครั้งเขาก็ต้องลงมือฆ่าด้วยตัวเอง แต่เขาก็ออกคำสั่งให้ฆ่าคนเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว และเอาชีวิตของคนเหล่านั้น ชีวิตของคนเหล่านั้นจะถูกบันทึกไว้ในใจของจนวันตาย

คนดีหรือคนเลว คนบริสุทธิ์หรือคนมีความผิด มันไม่ใช่เกณฑ์ที่เขาจะเป็นคนตัดสิน ขอเพียงเป็นศัตรูของเขา ไม่ว่าจะถูกหรือผิดพวกเขาล้วนต้องตาย! และมันต้องถอนรากถอนโคน แม้แต่เด็กเล็กก็ปล่อยมันไปไม่ได้แม้แต่คนเดียว เนื่องจากจิตใจที่อ่อนไหวของเขา มีโอกาสสูงมากที่เขาจะมีศัตรูหลงเหลือไว้

เหลิ่งเซ่าถิงใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปี และเขาไม่คิดว่าสิ่งที่เขาทำนั้นจะทำอะไรผิดไป แต่จนกระทั่งเขาได้เห็น เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงอีกครั้ง และเหลิ่งเซ่าถิงพบว่า หลายปีที่ผ่านมานี้ ในมือของเขามีแต่กลิ่นไอเลือดเต็มไปหมด เหม็นจนทำให้เขาล้มป่วย เขาไม่กล้าที่จะคิดเลยว่า ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงรู้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตยังไง แล้วพวกเขาจะคิดยังไง

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง สูดหายใจเข้าลึก ๆ ขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงที่เข้มว่า:“ถ้าอย่างนั้นเวลาอื่น เป็นตัวแทนสตั้นท์แมนของคุณเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า: “มีเพียงเวลานั้นเท่านั้นที่มาแทนผม และเวลาที่เหลือนั้นคือผม ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้: “หลังจากที่เฉิงเว่ยหรานกลับไป คุณคงคาดเดาได้แล้วว่าฉันอาจจะสงสัยว่าเจ้าของคฤหาสน์นี้คือคุณ ดังนั้นคุณจึงหาตัวแทนสตั้นท์แมนเพื่อโกหกฉันใช่ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากอย่างแรง หน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นค่อยๆ พยักหน้าอย่างช้าๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว และอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น: “คุณกล้าโกหกฉันได้ถึงขนาดนี้เลยเหรอ ? และฉันก็ตาบอดด้วย ฉันอยู่ด้วยกันกับกับคุณมานานมาก แต่ฉันกลับดูไม่ออกว่าเป็นคุณ? เหลิ่งเซ่าถิงคุณทำเช่นนี้คุณหมายความว่าอย่างไร? คุณมาล้อเล่นกับฉันแบบนี้ คุณคิดว่ามันตลกมากใช่ไหม?จู๋เจียน?จู๋เจียน ?เจี่ยน ? คุณใช้นามสกุลของฉันเป็นนามแฝงของคุณ หลายปีมานี้คุณคิดว่าฉันได้รับการเลี้ยงดูบ่มเพาะความโง่? มันเป็นเรื่องง่ายๆแค่นี้ฉันยังเดาไม่ออกอย่างนั้นใช่ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวเบา ๆ : “ผมไม่ได้คิดแบบนั้น เดิมทีผมตั้งใจอยากพักฟื้นที่นี่ แต่ผมแค่อยากจะใกล้ชิดคุณและซวงซวงมากขึ้นเท่านั้นเอง จากนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะอยากเจอพวกคุณ เมื่อผมเห็นคุณแล้ว ผมเห็นมีคนอื่นกำลังจีบคุณอยู่ ผมก็ทนไม่ไหวเลยให้เฉิงเว่ยหรานปรากฏตัวออกมาก่อนล่วงหน้า หลังจากที่คุณจับได้ว่าเฉิงเว่ยหรานก็คือผม ผมไม่สามารถให้คุณรู้ได้ว่าผมอยู่ที่นี่ ดังนั้นผมจึงทำได้เพียงแค่พยายามปกปิดมันเท่านั้น แต่ว่าผมกลับทนไม่ไหวที่อยากพบหน้าคุณและซวงสักสองสามครั้ง”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ดวงตาของเขาเบิกกว้างและหัวเราะเยาะออกมา: “อดทนไม่ไหวจริงๆแล้ว! คุณประธานเหลิ่งคะ สิ่งที่คุณรู้สึกต่อฉันมันไม่ใช่เพียงแค่การกระทำที่ทำโดยไม่ได้คิด? คุณให้ความสำคัญกับอำนาจตระกูลเหลิ่งมากว่าฉันและซวงซวงไม่ใช่เหรอคะ? ทำไมคุณถึงโกหกฉันครั้งแล้วครั้งเล่า? ครั้งแรกคือเฉิงเว่ยหราน ต่อมาก็จู๋เจียน? คุณต้องการทำอะไร?คุณควบคุมได้ทุกอย่าง และรู้สึกว่าชีวิตมันน่าเบื่อ เลยมาหาฉันเพื่อความสนุกอย่างนั้นเหรอ? ฉันเจี่ยนอี๋นั่วโง่เขลามากจริงๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ ฉันก็ยังคงรักคุณอยู่คนเดียว คุณคงคิดว่าตัวเองร้ายกาจมากใช่ไหม ? ไหนคุณบอกฉันสิ มันคือก่อนหน้านี้ หรือจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่รู้สึกหวั่นไหวต่อคุณอีกต่อไป!”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ก้าวเดินอย่างไวสองสามก้าวจนเดินไปข้างกายเจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณใจเย็น ๆก่อนนะครับ! ผมไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณ!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: “แล้วถ้าหากคุณจงใจโกหกฉัน? คุณจะโกหกฉันยังไง?ฉันเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนเลว ฉันรักคุณ แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้คุณมาล้อเล่นเป็นนี้อีกต่อไปแล้ว!”

“อี๋นั่ว……”เหลิ่งเซ่าถิงพยายามยื่นมือออกไปและคว้าแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว

แต่เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลบหลีกทันที หันหลังแล้วเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง

“อี๋นั่ว……”เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยเห็นท่าทางเจี่ยนอี่นั่วโกรธขนาดนี้มาก่อน เขายังรู้ว่าเขาทำเกินไปแล้วจริงๆ และที่เจี่ยนอี๋นั่วโกรธมันก็สมควรแล้ว รู้ทั้งรู้ว่าจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วโกรธ แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่ต้องทำอย่างนั้น ก็เป็นดั่งเช่นการที่เขาบอกชื่อ “จู๋เจียน” ออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จะเดาได้ทันทีว่าเป็นเขาอย่างแน่นอน

ในช่วงเวลานี้อารมณ์มักจะอยู่เหนือเหตุผลเสมอและทำให้เหลิ่งเซ่าถิงตัดสินใจทำมันลงไป เหลิ่งเซ่าถิงต้องการตามเจี่ยนอี๋นั่วให้ทันและเร็วขึ้นหน่อย แต่ขาซ้ายของเขาปวดอย่างมากเนื่องจากการออกกำลังกายอย่างหนักเกินไป

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดอย่างรวดเร็ว: “อี๋นั่ว คุณรอก่อน……”

เนื่องจากความเจ็บปวดที่ตรงขา ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงล้มลงกับพื้น และแม้แต่เสียงของเขาก็อ่อนแอลง หลังจากได้ยินเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงล้มลงกับพื้น ซึ่งเดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วอารมณ์ของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ เธอรีบหยุดและหันกลับมาทันที

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงล้มลงกับพื้น ใบหน้าผอมๆ ก็ซีดเซียวยิ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรีบวิ่งไปพยุงเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?ขาของคุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง รีบเอื้อมมือไปจับทันที เหลิ่งเซ่าถิงรีบยกมือขึ้นบังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นอย่างเจ็บปวด:“ ไม่เป็นอะไร คุณไม่จำเป็นต้องดู”

“แล้วถ้าฉันอยากดูล่ะ ?”เจี่ยนอี๋นั่วดวงตาแดงก่ำจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง: “คุณประธานเหลิ่งคะคุณจะจัดการกับฉันอย่างไรคะ? จะทำให้ฉันเสียครอบครัวของฉันไป?หรือจะปล่อยให้ฉันติดคุก?หรือจะให้ฉันซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาแห่งนี้ ? ถ้าหากต้องการจัดการกับฉัน ถ้าอย่างนั้นคุณประธานเหลิ่งต้องหาทางอื่นแล้วล่ะค่ะ เพราะเหตุการณ์พวกนี้ฉันผ่านมันมาจนหมดแล้ว ”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลง ในเวลานี้เขาผอมบางกว่าเหลิ่งเซ่าถิงในความทรงจำของเจี่ยนอี๋นั่วมาก และดูเหมือนว่าเขาจะเปราะบางและอ่อนแอมาก

“ ถ้าคุณต้องดูจริงๆแล้วล่ะก็ ผมจะให้คุณได้ดู” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม เขายกมือขึ้นแล้วค่อยๆดึงขากางเกงด้านซ้ายขึ้น

เมื่อขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิงถูกออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปิดปากของเธอ แล้วก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว นี่คือเนื้อของมนุษย์เหรอ? มีแผลเป็นอยู่ทั่วและบิดเบี้ยวอย่างประหลาด

“มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?ฉันอยากฟังความจริง!” เจี่ยนอี๋นั่วถามเบา ๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

เจี่ยนอี๋นั่วคุ้นเคยกับร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงเป็นอย่างดี เธอรู้ดีว่าขาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแข็งแรงมากเพียงใด ในขณะที่แสดงเป็น “คุณจู๋” เหลิ่งเซ่าถิงยังคงหลบเจี๋ยนอี๋นั่วตลอด ไม่ต้องการให้เธอเห็นขาซ้ายที่ได้รับบาดเจ็บของเขา แต่ตอนนี้เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นขาซ้ายที่หักของเขา เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มด้วยความโล่งใจ: “หนึ่งปีก่อน คู่ต่อสู้ของผมคนหนึ่งส่งระเบิดมาให้ผม แม้ว่ามันจะพบได้ทันเวลา แต่ระเบิดนั้นทรงพลังมากจนทำให้ฉันได้รับบาดเจ็บ เดิมคิดว่าฉันคงไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้อีกแล้ว ดังนั้นผมจึงหาเฉิงเว่ยหรานเพื่อต้องการให้เขามาดูแลพวกคุณ เขาสมบูรณ์แบบมาก และเป็นไปตามมาตรฐานของสามีที่สมบูรณ์แบบ”  แต่ขาข้างนี้ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเกินไป และผมยังคงต้องฟื้นตัวอย่างช้าๆ แม้แต่หมอที่เก่งที่สุดในโลกก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าผมจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม จากนี้ไปผมอาจต้องทนเจ็บปวดกับขาคู่นี้ และเวลาเดินอาจจะดูง่อย ๆ……เจี่ยนอี๋นั่ว ผม ไม่อยากให้คุณเห็นสภาพของผมที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เหลิ่งเซ่าถิงคนที่คุณรัก ควรจะเป็นเหลิ่งเซ่าถิงที่สมบูรณ์แบบไม่ใช่เหมือนคนง่อย ”

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งยองๆนั่งข้างๆ เหลิ่งเซ่าถิง จ้องมองไปที่ขาซ้ายของเหลิ่งเซ่าถิง เสียงแหบแห้งและค่อยๆหัวเราะอย่างขมขื่น: “เหลิ่งเซ่าถิงเคยสมบูรณ์แบบหรือ?เขาเป็นคนที่หยิ่งยโสและเฉยเมยไม่ใช่เหรอ?และไม่รู้ว่าการที่รักใครสักนั้นควรรักยังไง เขารู้เพียงแค่ว่าจะจัดการชีวิตของผู้อื่นตามความประสงค์ การคำนึงถึงสิทธิ เห็นสิ่งเหล่านี้สำคัญมากกว่าสิ่งอื่นใด ตอนนี้ขาที่ง่อยจะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงจากคนที่หยิงสโสและเฉยเมยกลายเป็นคนที่เป็นมิตรมากขึ้น ถ้าหากเป็นคนง่อยจริงๆ คุณจะมีข้อดีเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งข้อ”

“อืม……”เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเช็ดน้ำตาให้เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดเบา ๆ ว่า:“ ดังนั้นคุณอย่าร้องไห้อีกแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วออกแรงเช็ดน้ำตา สำลักและพูดว่า:“ฉันจะช่วยพยุงคุณขึ้นมาเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“คุณไม่ต้อง”

“คุณโกหกฉันมานานแล้ว คุณเป็นหนี้ฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่ววางมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้บนไหล่ของเธอ และช่วยให้เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นยืน

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงยืนขึ้น ก็ถูกเจี่ยนอี๋นั่วพยุงกลับไปนั่งที่ห้อง เหลิ่งเซ่าถิงรีบดึงขากางเกงลง เขาพยายามปกปิดรอยบาดเจ็บที่ขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบขวางไว้ให้หยุดทันที และพูดอย่างเย็นชา: “ฉันได้เห็นมันทั้งหมดแล้ว และตอนนี้คุณไม่จำเป็นต้องปิดมันแล้วถึงจะปิดมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: “ช่วยโทรหาเหล่าสวีหน่อย เขาจะช่วยนวดให้ผมเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ชี้ไปที่โทรศัพท์บนโต๊ะ จากนั้นก็พูดหมายเลขสั้น ๆ ออกมา เจี่ยนอี๋นั่วแตะจมูกสักครู่ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วก็โทรออก เมื่อสายถูกเชื่อมต่อ เสียงตอบรับจากปลายสายก็ดังขึ้นเสียงเป็นเสียงของชายชรา: “มีอะไรเหรอครับ?คุณท่าน เมื่อกี้นี้คุณหนูเจี่ยนรีบเข้าไปอย่างอารมณ์หงุดหงิด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นใช่ไหมครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นค่ะ แต่ขาของคุณท่านของคุณกำลังปวดมากค่ะ เขาต้องการให้คุณมานวดให้เขาหน่อยค่ะ”

เหล่าสวีรีบตอบกลับทันที:“คุณหนูเจี่ยน ……ครับ……ได้ครับได้ครับ ……กระผมจะขึ้นไปเดี๋ยวนี้ครับ”

เมื่อเหล่าสวีพูดจบ ก็รีบวิ่งขึ้นมา รีบโค้งงอเล็กน้อยไปทางเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวขอโทษ: “กระผมขอโทษครับ ระยะนี้ที่กระผมได้โกหกคุณหนูเจี่ยนครับ ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เหล่าสวี: “ภรรยาของคุณ ลูกชายและลูกสะใภ้ของคุณ เป็นเรื่องโกหกด้วยใช่ไหม?”

เหล่าสวีมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเห็นเหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เหล่าสวีก็ยิ้มออกอย่างขมขื่นและพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“นั้นมันไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ล้มละลายจริงๆเหรอคะ?”

เหล่าสวีพยักหน้า: “ผมเคยล้มละลายจริงๆครับ แต่เดิมผมเป็นแพทย์แผนจีน และบริษัทของผมก็เป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนจีน คุณหนูเจี่ยนครับ ผมหลอกลวงคุณแค่ตัวตนที่แท้จริงของคุณท่านเท่านั้นครับ เรื่องอื่นๆผมไม่เคยหลอกลวงคุณเลยครับ ผมหวังว่าคุณจะไม่โกรธผมนะครับ”

“ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธ” เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปทีเหลิ่งเซ่าถิง: “คุณควรดูอาการของคุณประธานเหลิ่งก่อนเถอะ ฉันขอตัวกลับก่อนแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว หน้าขมวดคิ้ว:“อี๋นั่ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง ใช้แรงเช็ดน้ำตาของเธอ และถามด้วยรอยยิ้มฝืนๆว่า: “คุณประธานเหลิ่งต้องการพูดอะไรกับฉันเหรอคะ?เตรียมที่จะดูว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรใช่ไหมคะ ?คุณประธานเหลิ่งที่คุณต่อสู้แย่งชิงมรดกของตระกูลเหลิ่งจนทำให้คุณบาดเจ็บ คุณไม่ได้ทำเพื่อฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องรู้สึกทราบซึ้งหรอกนะคะ คุณคงรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่มากใช่ไหมที่ต้องแบกรับภาระมากมายขนาดนี้ ทำให้ฉันอยู่อย่างสบายมาแล้วสองสามปีแล้ว แม้ว่าคุณกำลังจะตายอยู่แล้วคุณยังหาผู้ชายมาดูแลฉันและซวงซวงอีก แต่คุณเคยคิดไหมว่าฉันต้องการทุกอย่างที่คุณมอบให้ฉันหรือเปล่า? ฉันต้องการมันหรือเปล่า?”

“ผมรู้”เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เป็นความผิดของผมเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง:“ตอนนี้ข้างกายคุณปลอดภัยแล้วเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“นอกจากเหลิ่งหมิงอันยังหาไม่พบ นอกนั้น ……”

“ที่นี่ไม่ควรเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการพักฟื้นหรอกนะคะ ถ้ายังเสียเวลาต่อไป เมื่อไหร่คุณถึงจะหาย ?พรุ่งนี้ คุณรีบกลับไปเถอะค่ะ รีบกลับไปรักษาขาที่บาดเจ็บโดยเร็วที่สุด ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ และเดินสองสามก้าวจนเดินไปถึงประตู

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดกะทันหัน หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ ก่อนอื่นเตรียมที่นั่งสองที่นั่งสำหรับฉันและซวงซวงด้วย ฉันจะกลับไปถามความคิดเห็นของซวงซวงก่อน ถ้าหากเธอเห็นด้วย พวกเราจะกลับไปพร้อมกับคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยายามลุกขึ้นยืนทันที แต่เพิ่งจะลุกขึ้นเขาก็ต้องนั่งลงเพราะขาที่บาดเจ็บของเขา เขาจึงต้องนั่งลง เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ก่อนหน้านี้ซวงซวงยังเด็ก และที่นี่จะปลอดภัยมากกว่า แต่ว่าตอนนี้ซวงซวงโตแล้ว เธอก็อยากเจอหน้าคุณพ่อของเธอด้วย ในเมื่อคุณสามารถมาดูฉันและซวงซวงแล้ว นั้นหมายความว่ามันไม่อันตรายเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ใช่ไหมคะ ?ถ้าหากคุณอนุญาตฉันก็อยากเป็นเจี่ยนอี๋นั่วและมีชีวิตอยู่ต่อไป ”

ใช้ชีวิตอยู่โดยการเปลี่ยนชื่อและนามสกุลมาหลายปีแล้ว แม้ว่ามันจะดูมั่นคงมากก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่ทรมานสำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เข้าใจว่าเธอเป็นใครกันแน่ เจี่ยนอี๋นั่วคนก่อนหน้านี้เป็นเธอจริงๆใช่ไหม?

“มันไม่อันตรายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ว่า……” เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วและขัดจังหวะคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง: “ตอนที่ซวงซวงทำชามแตกเป็นครั้งแรก บาดโดนนิ้วมือของตัวเอง แต่ครั้งที่สองก็รู้วิธีหลีกเลี่ยงมัน เป็นเพราะฉันกลัวที่เธอจะโดนบาด ดังนั้นจะไม่ให้เธอจับชามตลอดชีวิตอย่างนั้นเหรอ?ก่อนหน้านี้ที่ฉันตัดสินใจอยู่ที่นี่ เป็นเพราะซวงซวงยังเด็ก และฉันกลัวว่าเลือดข้างนอกจะทำให้เธอตกใจ แต่ตอนนี้คุณพ่ออย่างคุณที่หายไปนานแสนนาน ดูเหมือนจะเป็นโรคในใจของเธอและสาเหตุหลักๆสาเหตุนี้ ทำไมคะ? คุณอยากจะพูดอะไรอีกคะ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวเบา ๆ พิงพนักเก้าอี้และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ถ้าหากเธอตกลง ถ้าอย่างนั้นผมจะพาพวกคุณกลับไปด้วยกัน ”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง เหล่าสวีที่กำลังทายาให้กับเหลิ่งเซ่าถิงรีบพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณท่านครับ นี่เป็นการรวมตัวของครอบครัวขึ้นอย่างอบอุ่นอีกครั้งแล้วนะครับ?”

เหลิ่งเซ่าถิงฝืนยิ้มและส่ายหัว: “อี๋นั่ว เธอเกลียดผมแล้วจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ ก้มหัวลง มองลงที่ขาของเขา จากนั้นพูดด้วยรอยยิ้ม:“แต่เป็นแบบนี้ก็ดี เธอควรเจอผู้ชายที่ดีกว่านี้”

แต่เมื่อเขาพูดจบรอยยิ้มของเขาก็ค่อยๆจางหายไปจากใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงกำมือแน่นแววตาเต็มไปด้วยความหึงหวง แม้จะมืดมนเล็กน้อย เหล่าสวีเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง และก้มหัวลงทันที

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่โรงเรียนประถมของเจี่ยนซวง หลังจากที่รอเจี่ยนซวงเลิกเรียน เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วโบกมือเรียกเจี่ยนซวง เมื่อเห็นเจี่ยนซวงวิ่งมาหาเธอด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วถามเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มว่า :“วันนี้เป็นยังไรบ้างคะลูก?”

เจี้ยนซวงแตะที่จมูกและพูดด้วยความภาคภูมิใจ :“วันนี้เยี่ยมมากค่ะ หนู หนูสอบวิชาคณิตศาสตร์ผ่านแล้วนะคะ คุณแม่คะ หนูเก่งมากใช่ไหมคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยิ้มแล้วพูดว่า:“อืม ใช่สิจ๊ะ ยอดเยี่ยมมากจริงๆนะคะ”

ยังเป็นเหมือนทุกวัน เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือเจี่ยนซวงจากโรงเรียนกลับถึงบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วจับเจี่ยนซวงนั่งลง ถามเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มว่า:“ คุณแม่อยากถามคำถามหนึ่งนะคะ หนูอยากเป็นเหยียนเหยียนหรือซวงซวงคะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและถามอย่างสงสัย:“ คุณแม่คะ นี่คุณแม่ถามคำถามอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า:“บางทีหนูอาจจะกลับไปเป็นซวงซวงอีกครั้ง หนูเต็มใจไหมคะ?”

“จริงเหรอคะ!” เจี่ยนซวงรีบกระโดดขึ้นทันที: “หนูจะได้กลับไปเป็นซวงซวงอีกครั้งแล้ว! หนูอยากเป็นซวงซวงค่ะคุณแม่ พวกเราสามารถกลับไปได้แล้วใช่ไหมคะ สามารถเจอคุณน้าเล่อเล่อแล้วใช่ไหมคะ และยังมีคุณน้าหมิงจูด้วยใช่ไหมคะ และยังมี……ยังมี……”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงนี่จ้องมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า :“แล้วยังมีคุณพ่อด้วย……”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและมองไปที่เจี่ยนซวงที่กำลังจะหัวเราะออกมา เจี่ยนอี๋นั่วกดไหล่ของเจี่ยนซวงและพูดอย่างจริงจังว่า: “หนูอาจถูกแยกจากแม่นะลูก หนูต้องเผชิญอันตราย และก่อนหน้าที่ถูกลุงคนเลวนั้นลักพาตัว หนูอาจได้รับบาดเจ็บเช่นกัน หรือ……หรือถึงตาย……และจะไม่มีวันได้เจอหน้าแม่อีกตลอดชีวิต ถ้าเป็นแบบนี้ หนูก็เต็มใจและยอมที่จะเป็นซวงซวงใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนซวงตกตะลึงกับคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็ค่อยๆพยักหน้าอย่างช้าๆ: “คุณแม่คะ หนูเป็นซวงซวงตั้งแต่แรกแล้วนะคะ”

เมื่อเห็นคุณจู๋ตื่นเต้นมาก เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกจิตใจสงบมากขึ้นแล้ว เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ วางสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือไว้ข้างๆคุณจู๋ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: “คืนให้คุณค่ะ”

คุณจู๋รีบกดสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือนั้นไว้อย่างไว แล้วรีบเข็นวีลแชร์ออกจากสระน้ำทันที เจี่ยนซวงเหลืองบมองคุณจู๋จากไป คิ้วขมวดจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดอย่างงอนๆ ว่า: “แม่คุณคะ คุณแม่ทำให้คุณจู๋ตกใจกลัวแล้วนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะมองไปทางเจี่ยนซวง:“ทำไมลูกถึงพูดแบบนี้คะ?”

เจี่ยนซวงย่นจมูกและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“เพราะว่าคุณจู๋เป็นคนดีมากค่ะ เขาบอกว่าเขาจะตกปลาตัวใหญ่อยู่เป็นเพื่อนหนูค่ะ แต่ตอนนี้เขาจากไปอย่างกะทันหัน เขาคงจะกลัวคุณแม่แน่ ๆ ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง: “เป็นเพราะเขาถูกลูกกวนหรือเปล่าคะ?”

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างขึ้น ขมวดคิ้วและพูดว่า :“เป็นไปไม่ได้แน่นอน หนูออกจะน่ารักและเชื่อฟังแบบนี้!”

จนกระทั่งเขาออกจากคฤหาสน์ เจี่ยนซวงก็ยังคงคิดถึงสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วทำให้คุณจู๋โกรธ พอกลับถึงบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวเลยบีบจมูกของเจี่ยนซวงหนึ่งที ขมวดคิ้วและพูดว่า :“ไหนหนูพูดสิ คุณจู๋เขามีผลประโยชน์อย่างไร?ถึงทำให้หนูเข้าข้างเขาขนาดนี้! เขาก็แค่สอนหนูตกปลาแค่นั้นเองเหรอ?”

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปาก:“”ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์อะไรหรอกนะคะ หนูแค่คิดว่าเขาน่าสงสารมากจริงๆ ความจริงแล้วหนูไม่ชอบตกปลาหรอกนะคะ หนูแค่รู้สึกว่าเวลาที่หนูตกปลาด้วยกันกับเขา เขาจะมีความสุขมาก หนูถึงทำแบบนั้นค่ะ ถึงแม้ว่าหนูจะไม่เห็นคุณจู๋หัวเราะเลย แต่หนูรู้สึกได้ว่าเขามีความสุขมากค่ะ หนูก็รู้สึกมีความสุขมากเหมือนกันค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลง แล้วลูบที่หัวเจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า:“ ดูเหมือนว่า หนูจะเป็นเด็กที่เห็นใจคนอื่นมาก”

เจี่ยนซวงพยักหน้า:“อืม หนูก็เป็นเด็กดีแบบนี้แหละค่ะ!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงยอมรับว่าเธอเป็นเด็กดีอย่างท่าทางมั่นใจมาก เจี่ยนอี๋นั๋วก็อดไม่ที่จะขยี้ที่หัวของเจี่ยนซวงแรง ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: “โอ้ๆๆๆๆๆ หนูเป็นเด็กที่รู้จักยกย่องตัวเองจริงๆเลยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและดันมือของเจี่ยนอี๋นั่วออก ขมวดคิ้วและพูดว่า:“ คุณแม่คะ หนูรู้ว่าคุณแม่กำลังหัวเราะเยาะหนูอยู่ ฮึ่ม ถ้าคุณแม่ยังหัวเราะเยาะหนูอีก หนูจะไปฟ้องคุณลุงจู๋ ว่าคุณแม่ใจร้ายขนาดไหน หนูจะบอกให้คุณลุงไม่ต้องชอบคุณแม่อีกแล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนซวง และถามอย่างสงสัย: “หนูรู้หรือคะ?”

เจี่ยนซวงตอบด้วยน้ำเสียงเบา: “แน่นอนสิคะ หนูไปตกปลากับคุณลุงจู๋บ่อยๆ แน่นอนว่าหนูรู้ว่าเขาแอบมองคุณแม่อยู่เสมอ คุณแม่คะ ช่วงนี้คุณแม่เสน่ห์แรงไม่เบาเลยนะคะ ถึงแม้ว่าคุณลุงจู๋จะแปลกประหลาดไปหน่อย แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วก็ไม่เลวนะคะ ”

“จริงเหรอคะ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและยกมือขึ้นเอามือไปจั๊กจี้เจี่ยนซวง: “ดูเหมือนว่าเจี่ยนซวงจะชอบเขามากใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนซวงหัวเราะขึ้นไปบนเตียง และตะโกนออกมาเสียงดังด้วยรอยยิ้ม: “คุณแม่คะ หนูผิดไปแล้วค่ะ ……”

“ สำนึกผิดจริงๆแล้ว?” เจี่ยนอี๋นั่วยังคงเอามือไปจั๊กจี้เจี่ยนซวงไม่หยุด

เจี่ยนซวงกลิ้งไปกลิ้งมาด้วยความอ้อนวอน :“ค่ะ คุณแม่คะ คุณแม่คะ หนูจะไม่พูดไปเรื่อยแล้วคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วจึงหยุดและยิ้ม แล้วกอดเจี่ยนซวง ค่อยๆตบที่ไหล่ของเจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: “อาการที่แสดงยอมรับผิดดีมากนะคะ”

เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยและพึมพำ: “จริงๆเลย อายุขนาดนี้แล้ว ยังจะขี้อายอีก!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและตบที่บนไหล่ของเจี่ยนซวง: “ถึงแม้จะเดาได้ แต่ก็ไม่ต้องพูดออกมา ไว้หน้าคุณแม่หน่อยนะคะ”

เจี่ยนซวงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว และกระพริบตา: “คุณแม่คะ คุณแม่ก็รักคุณลุงจู๋คนนั้นใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ไม่มีอะไรที่รักหรือไม่รัก สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ อย่าเสียเวลาไปคิดเลยนะคะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่ารักอยู่ใช่ไหมคะ”เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากและถามด้วยน้ำเสียงเบา: “คุณแม่คะ ถ้าคุณแม่รักคุณลุงจู๋ ก็จะไม่รักคุณพ่ออีกต่อไปแล้วใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“รักสิคะ แต่ว่าไม่ใช่รักแบบความรักชายหญิง เหตุผลเป็นเพราะว่าเขาคือคุณพ่อของหนู ดังนั้นจึงรักเขา ”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าขึ้นมาทันที: “ดูเหมือนว่าคุณแม่จะชอบคุณลุงจู๋ขึ้นมาแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วตบที่ไหล่เจี่ยนซวงเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “นี่เป็นเรื่องของคุณแม่ คุณแม่ต้องตัดสินใจด้วยตัวเองดีกว่านะคะ ”

ถ้าเจี่ยนซวงมองออกแล้ว ถ้าอย่างนั้นแปลว่าเธอแสดงออกมาชัดเจนเกินไปไหม ใช่แล้ว จะมองออกได้อย่างไรกันล่ะ ? ใครจะอยู่ห้องเดียวกันกับผู้ชายที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่มีค่าตอบแทน และอ่านหนังสือพิมพ์ให้เขาฟังล่ะ? มันชัดเจนจนไม่รู้จะชัดเจนขนาดไหนได้อีกแล้ว

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วกระทำตามความปรารถนาของตนเองเท่านั้นโดยไม่ยับยั้งชั่งใจ บางทีอาจเป็นเพราะเขารู้ว่า คุณจู๋อาจจะอยู่อีกไม่นานก็ต้องจากไป บางทีอาจเป็นเพราะว่าคุณจู๋คนนี้ดูเหมือนจะไม่สนใจเธอ ดังนั้นเธอคิดว่าอยู่กับคุณจู๋นานหน่อยก็คงไม่เป็นไร ตราบใดที่ฝ่ายหนึ่งไม่สนใจ ก็จะไม่มีอะไรการพัฒนาความสัมพันธ์ขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว คุณจู๋ดูเหมือนก็มีความรู้สึกๆที่ดีต่อเจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน

“ มันดูแย่ไปหน่อย” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะกระซิบหลังจากที่เจี่ยนซวงเหนื่อยล้าพิงไหล่ของเธอและหลับไป

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็พยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่างเกี่ยวกับคุณจู๋ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ไปที่คฤหาสน์สองสามวันในที่สุดโทรศัพท์มือถือของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้น มันยังคงเป็นหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรจากคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่ามันเป็นสายของหญิงชรา จึงรีบรับสายอย่างรวดเร็ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: “ขอโทษค่ะ ช่วงนี้ฉันยุ่งมาก ฉันอาจจะไม่สามารถไปที่นั่นได้อีกแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันวานให้คนนำอาหารไปส่ง และได้ฝากข้อความไปบอกแล้ว คุณไม่รู้เรื่องเหรอคะ?”

“ คุณโกรธหรือเปล่า” มันเป็นเสียงเข้มและแหบ ไม่ใช่เสียงของหญิงชราในคฤหาสน์นั้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นหูมากอย่างอธิบายไม่ถูก หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็จำได้ว่า นั่นมันเป็นเสียงของคุณจู๋นี่นา?

เจี่ยนอี๋นั่วก็ตื่นตระหนกเล็กน้อยในทันที เธอกำโทรศัพท์ไว้แน่น ไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี ปลายสายเงียบมาก แต่กลับดูเหมือนว่าจะรออย่างเงียบ ๆ รอดูว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะตอบสนองกลับอย่างไร

หลังจากนั้นไม่นานเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและกล่าวว่า :“ฉันไม่โกรธค่ะ ไม่มีอะไรต้องโกรธค่ะ”

“ แต่คุณกลับไม่มาสักที” เสียงโทรศัพท์ปลายสายน้ำเสียงเข้มขึ้นเรื่อย ๆ

ระหว่างเขาและเธอมีเพียงแค่สายโทรศัพท์กั้นอยู่เท่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ถึงสภาพจิตใจที่หดหู่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า: “ฉันยุ่งมากจริงๆค่ะ จริงๆนะคะ……”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดอยู่นั้น ราวกับว่ากลัวเขาไม่เชื่ออย่างงั้นแหล่ะ เธอจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาชี้ไปที่สวนผักที่ทำท่าเหมือนกำลังยุ่งมาก จากนั้นก็รีบอธิบายว่า: “ได้ยินแล้วหรือยัง ? ช่วงนี้ฉันยุ่งมากจริงๆค่ะ ฉันไม่ได้จงใจที่จะไม่ไปพบคุณหรอกนะคะ คุณอย่าเข้าใจผิดนะ……”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เธอก็หยุดชะงักทันที ทำไมตอนนี้เธอเหมือนผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่พยายามที่จะอธิบายให้คนที่เป็นคนรักกันเข้าใจด้วยล่ะ?อดไม่ได้ที่จะยิ้มเล็กน้อย นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? ทำไมเธอถึงแอบรักคนที่ไม่สามารถรักได้นะ ก่อนหน้านี้คือเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้คือคุณจู๋ ทำให้เธอมาถึงจุด ๆนี้ได้อย่างไรกัน แอบรักคุณจู๋ ไม่รู้ว่าสภาพของเธอจะเป็นยังไงต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วรีบปิดปากของเธอ เธอไม่ต้องการพูดอะไรต่ออีกแล้ว คุณจู๋ก็เงียบอยู่ที่ปลายสายเป็นเวลานานและจากนั้นเขาก็ค่อยๆพูดว่า: “ช่วงนี้รบกวนชีวิตของคุณแล้ว ผมจะจากไปในไม่ช้า”

เมื่อได้ยินว่าคุณจู๋กำลังจะจากไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที: “คุณเคยบอกว่าคุณจะอยู่รักษาตัวที่นี่อีกสักพักไม่ใช่เหรอคะ?”

คุณจู๋พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: “อืม ใช่ แต่ผมคิดว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วฝืนยิ้ม : “บางที่การจากไปอาจจะเป็นเรื่องที่ดี คุณสุขภาพไม่ดี คุณควรไปที่ที่มีสภาพแวดล้อมทางการแพทย์ที่ดีกว่าที่นี่ ตอนนี้ยังไม่รู้ชื่อเต็มของคุณเลยค่ะ คุณช่วยบอกฉันได้ไหมคะ?”

“จู๋เจียน ที่แปลว่าไม้ไผ่ เจียนที่แปลว่า แข็งแรง……”จู๋เจียนพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชื่อของจู๋เจียน และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจ:: นามสกุลแปลกจริงๆเลย และชื่อก็แปลกไปหน่อยนะคะ

“ถ้าอย่างนั้นฉันจะจำมันเอาไว้”เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูดว่า:“ลาก่อนค่ะ”

“ลาก่อนครับ……”หลังจากจู๋เจียนพูดจบ แต่กลับไม่ได้รีบร้อนวางสายโทรศัพท์

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รอปลายทางวางสาย เธอจึงกล่าวคำว่า “ลาก่อน” อีกครั้ง จากนั้นก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่ววางสายโทรศัพท์ก็ถอนหายใจเฮือกออกมา และพูดด้วยรอยยิ้ม: “ไม่มีการตัดสินใจที่ผิดพลาดอีกต่อไป”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเมื่อพูดประโยคนี้จบ ทันใดนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและพูดซ้ำ ๆ ว่า: “จู๋เจียน จู๋เจียน……ใช่เจี่ยนหรือเปล่า?ใช่เจี่ยน!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและยืนอึ้งแน่นิ่งอยู่ที่เดิม หลังจากที่ยืนอยู่เป็นเวลานาน เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและพูดด้วยเสียงเบาว่า :“ถึงจะมานานหลายปีฉันก็คงฉันรักคนคนเดิมอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงคุณรู้วิธีเล่นเกมจริงๆ นะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็หันหลังวิ่งไปทางคฤหาสน์บนภูเขานั้นทันที ก่อนหน้านี้ความโกรธที่เก็บไว้ในใจของ เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่หายไป แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงหลอกอีกแล้ว ทำให้เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของเธอได้ เธอโมโหจนตัวสั่น และรู้สึกหนาวไปทั้งตัวเมื่อเดินกลางแดด

เหลิ่งเซ่าถิงกำลังเล่นเกมอะไรอยู่? เขาโกหกเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้อย่างไร? เธอซ่อนตัวอยู่ในหมู่บ้านเล็ก ๆ บนภูเขาแห่งนี้มันยังไม่เพียงพออีกหรือ? เธอต้องทนทุกข์ทรมานอีกเท่าไหร่?

เหลิ่งเซ่าถิงเคยรักเธอจริงๆหรือ? หรือคิดว่าเธอเป็นเพียงของเล่นเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจเท่านั้น?

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ประตูหน้าคฤหาสน์นั้นอย่างรวดเร็ว และกดกริ่งประตู ประตูถูกเปิดออกทันที และหญิงชราเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยรอยยิ้มว่า :“คุณมาแล้วเหรอคะ คุณจู๋ท่าน ……”

“อืม ใช่ค่ะ ฉันมาหาเขาโดยเฉพาะ !” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “ฉันต้องการพบเขาเดี๋ยวนี้!”

หญิงชราเห็นว่าการแสดงออกของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ดี หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ชี้ไปทางชั้นสองและพูดด้วยรอยยิ้ม: “คุณจู๋ยังอยู่ในห้องเดิมค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว และเปิดประตูห้องออกทันที ทันทีที่ประตูเปิด เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคนที่เรียกว่า “คุณจู๋” ยังคงนั่งอยู่หน้าหน้าต่างโดยหันหลังให้กับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเยาะและค่อยๆเดินไปหา “คุณจู๋” และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “เหลิ่งเซ่าถิง สนุกมากไหมคะที่มาล้อเล่นกับฉันแบบนี้?”

“คุณจู๋” ค่อยๆหันกลับมาดูเจี่ยนอี๋นั่ว เขาถอดหน้ากากและแว่นกันแดดออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า :“อี๋นั่วเราพบกันอีกแล้วนะ ”

ใบหน้าของเขายังคงเป็นใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง โครงหน้าของเขาคมราวกับมีด ดั้งจมูกสูง คิ้วเข้ม ดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากของเขาบาง และผิวของเขาขาว น้ำเสียงนั้นก็ไม่แหบเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไป และยังคงเป็นน้ำเสียงต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของเหลิ่งเซ่าถิง

“ก่อนหน้านี้ฉันเห็นหน้าแบบนั้นคือ?”เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ:“คนนั้นเป็นสแตนด์อินของผม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมได้หาสแตนด์อินมากมายที่คล้ายกับร่างกายของผม เพื่อปกป้องผม”

“คุณจู๋เป็นคนดีที่หายากจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่หญิงชราแล้วหัวเราะออกมาเบา ๆ

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วคุยเล่นกับหญิงชราแล้วเดินเข้าไปในครัว เจี่ยนอี๋นั่วเอาผักมาล้างก่อน จากนั้นก็กำลังจะจากไป หญิงชรายังคงยิ้มตลอดเวลาจนส่งเจี่ยนอี๋นั่วถึงห้องครัว ทันทีที่เขาเดินออกจากครัว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นว่าคุณจู๋กำลังเลื่อนล้อรถเข็นของเขาเข้าไปใกล้ซิ้งล้างจาน และดูเหมือนว่ากำลังจะมองเธอจากระยะไกล

แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่กล้ายืนยันว่าคุณจู๋กำลังมองมาที่เธออยู่จริงๆหรือเปล่า แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังคงมองไปที่คุณจู๋ เธอพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็เดินออกจากคฤหาสน์ไป

ในวันถัดไปเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมาที่คฤหาสน์อีกครั้ง หญิงชรายิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความลำบากใจ: “คุณมู่คะ ฉันรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่มีความรู้ ฉันมีอีกสิ่งหนึ่งที่อยากรบกวนให้คุณช่วยค่ะ เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะ ระยะนี้อาการของคุณจู๋ดีขึ้นมาก แต่ว่าตาก็มองไม่ค่อยเห็นแล้ว รบกวนคุณช่วยอ่านเอกสารให้คุณจู๋ฟังทุกวันได้ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดของหญิงชรา เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่พักหนึ่ง และเธอกำลังครุ่นคิดว่าเธอควรจะตอบควรเห็นด้วยกับมันหรือไม่ แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองขึ้นที่หน้าต่างที่เปิดอยู่บนชั้นสอง เจี่ยนอี๋นั่วก็พยักหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันเต็มใจที่จะทำสิ่งนี้มากค่ะ”

หญิงชรารีบยิ้มและพูดว่า :“คุณโปรดวางใจ คุณจู๋จะให้ค่าตอบแทนคุณอย่างงามแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยมากค่ะ คุณไม่จำเป็นต้องให้ค่าตอบแทนฉันหรอกนะคะ เมื่อสองวันพวกคุณยอมให้ลูกสาวของฉันมาเที่ยวเล่นที่นี่ ลูกสาวของฉันมีความสุขมากๆค่ะ ถือซะว่านี่เป็นการขอบคุณแล้วกันนะคะ ถ้าหากยังพูดเรื่องเงินอีก ก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้าแล้วนะคะ”

หญิงชราหรี่ตาด้วยรอยยิ้มพยักหน้าซ้ำ ๆ และพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็ดี……ถ้าอย่างนั้นเราจะไม่พูดเรื่องเงิน จะได้ไม่ต้องกลายเป็นคนแปลกหน้า ถ้าอย่างนั้นตอนนี้รบกวนคุณช่วยไปดูหน่อยนะคะ? ห้องคุณจู๋อยู่ทางนี้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วเดินไปที่ห้องของคุณจู๋ เมื่อถึงหน้าห้องของคุณจู๋ ก็เคาะประตูห้องและได้ยินเสียงตอบกลับจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วจึงเปิดประตูจากด้านนอก คุณจู๋ยังคงหันหน้ามองออกไปทางหน้าต่าง และนั่งหันหลังให้กับเธอ เมื่อเขาได้ยินเสียงเธอเดินเข้าประตูห้องมา คุณจู๋ถึงหันหน้ากลับมามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องยิ้มและถามว่า:“ คุณรู้ไหมคะว่าฉันจะทำอะไร?”

คุณจู๋พูดด้วยน้ำเสียงแหบ:“หนังสือพิมพ์วางอยู่บนโต๊ะ เอามาอ่านให้ผมฟังสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมา และมองหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมันเกี่ยวกับหนังสือพิมพ์ด้านการเงิน เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแล้วถามว่า:“ต้องอ่านทั้งหมดเลยเหรอคะ?”

คุณจู๋พยักหน้าช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงหยิบหนังสือพิมพ์นั้นขึ้นมาแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ ค่อยๆอ่านอย่างช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วอ่านๆไปๆเริ่มสะดุด แต่เมื่อเธอมีสมาธิมากขึ้น และคุ้นเคยกับการเขียนของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ เธอก็มีความเชี่ยวชาญในการอ่านมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะยังกระตุกและไม่คล่องเท่าไหร่นัก แต่ก็ดีกว่าตอนเริ่มอ่านในตอนแรกมาก คุณจู๋ดูเหมือนจะตั้งใจฟังในสิ่งที่เธออ่านมาก เขาอ่านไปด้วยแล้วยังจดบันทึกในขณะที่ฟังอยู่อีกด้วย

แต่หลังจากอ่านหนังสือพิมพ์ได้หนึ่งหน้า เจี่ยนอี๋นั่วอ่านจนคอแห้ง ทนไม่ไหวจนไอออกมา เสียงเริ่มแหบเล็กน้อย

“แค่ก แค่ก ……”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือปิดปาก หันหลังไปไอสองสามที

มีคนยื่นน้ำหนึ่งแก้วให้เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบรับแก้วน้ำนั้นไว้ เหลือบมองคนที่ยื่นแก้วน้ำให้นั่นคือคุณจู๋ เธอกล่าวคำขอบคุณ จากนั้นก้มลงทันทีและอ่านหนังสือพิมพ์ต่อ แต่ยังไม่ที่เจี่ยนอี๋นั่วจะอ่านต่อ มีมือข้างหนึ่งมาบังหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้ มือนั้นซีดเซียวและยาวมีข้อต่อที่คล้ายกับมือของเหลิ่งเซ่าถิงมากๆ

เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงในทันที เธอเงยหน้าขึ้นเหลือบมองคนที่ใช้ไม้เท้าเดินมาอยู่ข้างๆเธอนั่นคือคุณจู๋ เธอยังมองเห็นเป็นภาพลวงตาว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นยืนและทนไม่ไหวรีบยื่นมือออกไป ต้องการที่จะถอดหน้ากากของคุณจู๋ออก คุณจู๋เดินก้าวถอยหลังสองสามก้าว ทำให้มือของเจี่ยนอี๋นั่วเหลือแต่ความว่างเปล่า“คุณจะทำอะไร?”คุณจู๋ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเก็บมือแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“ขอโทษค่ะ คุณคล้ายกับคนที่ฉันรู้จักคนหนึ่งมากค่ะ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เคยเห็นรูปร่างลักษณะของคุณ แต่ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะคิดว่าคุณก็คือเขา ฉันขอโทษค่ะ”

“เขาเป็นคนรักของคุณเหรอครับ?”คุณจู๋พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั๋วขมวดคิ้วยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายหัว: “นับว่าเคยเป็นมั้งคะ แต่ตอนนี้ไม่สำคัญอะไรแล้วล่ะค่ะ”

ถ้าอย่างนั้นขอโทษด้วยนะครับ ผมเหมือนเขามากเลยเหรอครับ ทำให้คุณปวดใจแล้ว ”

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มทันที เงยหน้าขึ้นมองเวลา และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ขอโทษนะคะ ใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ฉันจะไปรับลูกสาวที่โรงเรียนแล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบเดินออกจากห้องทันที

“พรุ่งนี้คุณจะมาอีกไหมครับ?”คุณจู๋ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดสักครู่ จานนั้นก็พยักหน้า:“ฉันมาแน่นอนค่ะ”

แม้ว่าคุณจู๋จะสวมหน้ากากและแว่นกันแดด แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเห็นคิ้วที่โค้งเล็กน้อยของคุณจู๋ ดูออกว่าตอนนี้คุณจู๋เหมือนกำลังหัวเราะอยู่

หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วเต้นไม่เป็นจังหวะ และในขณะนี้การหายใจของเธอหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย เธอหัวเราะเบา ๆ อย่างรวดเร็ว เพื่อปกปิดการหายใจที่รวดเร็วของเธอ จากนั้นก็เดินออกจากห้องไป

หลังจากเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังรู้สึกมึนงงเล็กน้อย ในความเป็นจริงแม้ว่าวันนี้เธอและคุณจู๋จะอยู่ห้องเดียวกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรเลย ทำไมเธอถึงรู้สึกกับคุณจู๋มากเป็นพิเศษแบบนี้ด้วย? การเต้นของหัวใจของเธอรุนแรงมาก จนทำให้เธอรู้สึกวูบวาบเล็กน้อย

เธอไม่ได้รู้สึกหัวใจเต้นรัวแบบนี้มาหลายปีแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออก หลังจากเดินออกจากคฤหาสน์ มือของเธอยังคงสัมผัสตรงกลางอกของเธอ พยายามที่จะทำให้การเต้นของหัวใจของเธอกลับมาเป็นปกติ และไปรับรับเจี่ยนซวงที่โรงเรียนแล้วกลับบ้าน หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วดูแลเจี่ยนซวงรับประทานอาหารและทำการบ้านเสร็จ เมื่อเจี่ยนซวงหลับแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงในขณะที่เธอพาเจี่ยนซวงกลับบ้านอยู่นั่น เธอได้อ่านหนังสือพิมพ์การเงินจากข้างถนน แล้วเธอค่อยๆอ่านออกมาทีละตัวอักษรอย่างแผ่วเบา

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วมีความคิดบางอย่างในใจของเธอ เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณจู๋เธอไม่ต้องการที่จะแสดงท่าทางเงอะงะเกินไปต่อหน้าเขา และหวังว่าจะสามารถอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับต่อหน้าเขาได้อย่างเชี่ยวชาญ

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าเธอฝึกฝนมานานแค่ไหนแล้ว รู้เพียงว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว เจี่ยนซวงทำหน้ามุ่ยและเขย่าตัวเธอเพื่อปลุกเธอ: “คุณแม่คะ คุณแม่ตื่นได้แล้วค่ะ ทำไมคุณแม่ถึงไม่นอนบนเตียงคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วตบหน้าผากของตัวเองทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“โอ้ แม่นี่ไม่ได้เรื่องจริงๆเลย”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบลุกขึ้นและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวง แล้วรีบส่งเจี่ยนซวงไปโรงเรียนทันที เมื่อเห็นเจี่ยนซวงเดินเข้าประตูโรงเรียนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมา เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือ? เธอคิดว่าเธอยังเป็นสาวน้อยอยู่อีกหรือ? ทำไมถึงทำเรื่องไร้เดียงสาแบบนี้ได้ยังไงกัน?

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นเดินไปที่คฤหาสน์ ในขณะที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์ให้คุณจู๋นั้น ใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงแม้ว่าเมื่อคืนเธอได้ฝึกฝนมาตลอดทั้งคืนแล้ว สาเหตุเพราะว่าใจของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและการนอนไม่หลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เจี่ยนอี๋นั่วมักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนไม่สามารถลืมตาขึ้นได้

“แกนกลางของปัญหาทั้งหมดในตลาดทุนยังคงเป็น……เป็น……” เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตา แล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอฟุบบนโต๊ะแล้วหลับตาลง

คุณจู๋เห็นเจี่ยนอี๋นั่วนอนหลับอยู่บนโต๊ะ เขาค่อยๆเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขายกมือขึ้นพยายามที่จะลูบหัวเจี่ยนอี๋นั่ว แต่แล้วเขาก็ขมวดคิ้วเอาถอยมือออกมา แล้วหยิบผ้าห่มบาง ๆ มาคลุมบนร่างของเธอเท่านั้น

ในความฝันเจี่ยนอี๋นั่วฝันอะไรไม่รู้สับสนวุ่นวายไปหมด ในความฝันนั้นเธอจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และเดินไปในสวนด้วยรอยยิ้ม มือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นคล้ายกับมือของคุณจู๋มาก แต่ว่ามือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะกว้างกว่าของ คุณจู๋ และข้อมือของเขาจะหนากว่า และดูแข็งแรงมากกว่า และสิ่งนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเสียใจเล็กน้อย คุณจู๋ต้องผ่านความเจ็บปวดแบบไหนมาก่อน ทำไมเขาถึงกลายเป็นคนผอมแบบนี้ เขาน่าจะเป็นเหมือนคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงแบบนั้นสิ?

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตื่นตะหนกมากขึ้น และลืมตาขึ้นมาทันที ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้น ก็มองเห็นนาฬิกาบนผนัง เป็นเวลาบ่ายสองแล้ว เธอหลับไปเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้นเอง เจี่ยนอี๋นั่วลูบหน้าผากของเธอ และทันทีที่เห็นผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตัวเธอ ไม่จำเป็นต้องถาม เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ได้ทันทีว่าใครเป็นคนห่มผ้าให้กับเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองไปทางด้านข้างๆ มองไปที่คุณจู๋ที่กำลังเก็บสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ เธอยิ้มและพูดว่า :“ขอบคุณค่ะ”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดอยู่นั้น เธอก็ลุกขึ้นและหยิบผ้าห่มส่งคืนให้คุณจู๋ และพูดด้วยรอยยิ้มว่า :“ฉันจะไปแล้วค่ะ ลาก่อนค่ะ”

คุณจู๋ถือสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือไว้ในมือ แล้วพยักหน้าตอบรับเบา ๆ : “ลาก่อนครับ”

ในอีกไม่กี่วันถัดมาเจี่ยนอี๋นั่วมาอ่านหนังสือพิมพ์ให้คุณจู๋ตรงเวลา เมื่อถึงวันเสาร์ คุณจู๋ได้เชิญชวนเจี่ยนอี๋นั่วให้พาเจี่ยนซวงมาเล่นที่คฤหาสน์แห่งนี้

เจี่ยนซวงดูเหมือนจะหลงใหลในการตกปลา ทุกครั้งที่มาเธอจะตรงไปที่สระน้ำเพื่อไปตกปลา คุณจู๋ก็จะเข็นรถเข็นไปที่ข้างๆเจี่ยนซวง และแนะนำวิธีการตกปลาให้กับเธอ หลายวันมานี้เจี่ยนอี๋นั่วยังสังเกตเห็นว่า ขาของคุณจู๋ดูเหมือนจะเดินเหินไม่ค่อยสะดวก เขานั่งบนรถเข็นตลอด บางครั้งก็พิงไม้ค้ำ และขาของเขาก็เดินเหินไม่สะดวกอีกด้วย เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ขาของเขา คุณจู๋ก็จะเอาผ้าห่มคลุมขาของเขาอย่างไม่เป็นธรรมชาติ

เป็นเพราะได้รับเจ็บที่ขา? ร่างกายของเขาอ่อนแอมาก ขาของเขาได้รับบาดเจ็บอีก อีกทั้งเขายังถูกแยกออกจากภรรยาและลูกของเขา คุณจู่คนนี้ทำไมถึงน่าเวทนาอย่างนี้?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอย่างนี้ และมองไปที่ด้านหลังคุณจู๋และเจี่ยนซวง พวกเขากำลังตกปลาด้วยกันอยู่ เธอก็อดไม่ไหวที่ถอนหายใจออกมา ในขณะที่มองดูหลังของเจี่ยนซวงและคุณจู๋อยู่นั้น ก็ก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว จนกระทั่งเธอถอยกลับไปที่เก้าอี้นั่งเล่นบนพื้นหญ้า เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันระวังแตะโดนเก้าอี้นั่งเล่นโดยบังเอิญ และทำให้สมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือที่วางอยู่บนเก้าอี้นั่งเล่นตกลงที่พื้น เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้าลงและหยิบสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือขึ้นมา

แต่เมื่อหยิบสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือขึ้นมา และเห็นสมุดเปิดออกมาให้เห็น เจี่ยนอี๋นั่วก็ตะลึงทันที ในสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือนั้นมันมีแต่รูปวาดของเธอ รูปวาดตอนที่เธอนอนหลับ และตอนที่เธอกำลังอ่านหนังสือพิมพ์ และแม้แต่ตอนที่เธอกำลังยิ้มและพูดคุยกันกับเจี่ยนซวง

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด นี่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคุณจู๋ไม่ได้เขียนจดบันทึกหรอกเหรอ แต่กลับวาดรูปเธอ?

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบสมุดบันทึกที่เขียนด้วยลายมือ ลุกขึ้นยืนทันที และเห็นคุณจู๋ที่หันหน้ามามอง เนื่องจากเขาสวมหน้ากากและแว่นกันแดด เจี่ยนอี๋นั่วจึงมองไม่เห็นการแสดงออกของเขาอย่างชัดเจน แต่เธอสามารถเห็นได้ว่านิ้วของเขาสั่นเล็กน้อย และมือของเขาสั่นด้วยความตื่นตระหนก

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและจับหัวของเจี่ยนซวง จากนั้นหันศีรษะมองกลับไปที่คฤหาสน์ กลับบ้านพร้อมเจี่ยนซวง หลังจากกลับถึงบ้าน ก็ถึงเวลาอาหารเย็นพอดี เจี่ยนอี๋นั่วทำตามความคิดของเจี่ยนซวง เอาปลาให้เพื่อนบ้านและขอให้ป้าเพื่อนบ้านช่วยทำซุปปลา

ป้าเพื่อนบ้านได้ยินว่าจะแบ่งให้ครึ่งนึง เธอก็ตอบตกลงทันทีโดยไม่ลังเล เมื่อปลาเสร็จแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เอากลับไปให้เจี่ยนซวง เธอเลียช้อนรอกิน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่ววางซุปปลาลง หยิบชามและตะเกียบขึ้นมาแล้วยิ้มให้เจี่ยนซวง พูดว่า: “กินได้เลย”

เจี่ยนซวงหยิบตะเกียบขึ้นมาและกิน เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้: “ระวังก้างปลาด้วยนะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้าและค่อยๆกินอย่างระมัดระวัง เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงจากนั้นก็หยิบชามและตะเกียบขึ้นมาแล้วกิน ปลารสชาติดีมาก หรืออาจจะหิวเกินไปหลังจากเล่นมาทั้งวัน พวกเธอสองคนถึงกับกินปลาตัวโตหมดภายในพริบตา เจี่ยนอี๋นั่วล้างจานเสร็จ ก็เห็นเจี่ยนซวงหลับไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปถอดเสื้อคลุมเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: “จะนอนก็ถอดเสื้อคลุมก่อนสิลูก”

เจี่ยนซวงขยี้ตา หลับตาและพูดขณะถอดเสื้อผ้า: “แม่ เราจะไปที่คฤหาสน์นั้นอีกเมื่อไหร่? คฤหาสน์นั้นสนุมาก มีตกปลา มีสไลเดอร์ และคุณจู๋คนนั้นก็มีสาระ……”

ในขณะที่เจี่ยนซวงพูด เธอเอนหลังลงบนเตียงครึ่งหลับครึ่งตื่นและพูดว่า:”หนูอยากไปเล่นที่นั่นอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกไปถอดเสื้อให้เจี่ยนซวง และถอยหลังลง ยิ้มและพับเสื้อผ้าส่ายหัวแล้วพูดว่า: “เด็กน้อยจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่ววางเสื้อผ้าของเจี่ยนซวงและนั่งลงข้างเตียงโดยไม่รู้ว่าจะทำอะไร วันนี้หัวใจของเธอเต้นรัวเล็กน้อยและการสั่นไหวที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นเวลานานทำให้จิตใจของเธอปั่นป่วน เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นปิดหน้าผากด้วยความสงสัยว่าเธอเป็นบ้าไปแล้ว เพียงเพราะคุณจู๋ ให้ถือเจี่ยนซวงมเธอก็รู้สึกดีแล้วงั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอไม่ใช่เด็กผู้หญิงอายุสิบเจ็ดสิบแปดแล้ว เธอจะชอบใครง่ายๆได้ยังไง ตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วตกหลุมรักเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายคนเดียวที่ทำให้เธอหลงใหลมานานหลายปี เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธอคงชอบใครไม่ได้อีก เจี่ยนอี๋นั่วไม่คอดว่าผู้ชายคนนี้จะทำให้เธอหวั่นไหว

“เลิกคิดไปเรื่อยได้แล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวอย่างหงุดหงิด

ตอนนี้เธอไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแถมมีลูกแล้ว ความประมาทเพียงเล็กน้อยจะทำให้เธอและเจี่ยนซวงทั้งคู่กลายเป็นเรื่องตลกในสายตาของคนอื่น ชอบก็บอกชอบเหมือนเด็กๆได้ไง ถ้างั้นเธอก็คงกล้าไปถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าทำไมไม่ชอบเธอสิ?

“ช่างมันเถอะ” เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆและหลับตาลงชั่วขณะ

แต่แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะลุกขึ้นหยิบสมุดของเจี่ยนซวงออก พอหันไปหาคำว่า “จู๋” และเห็นว่านามสกุล “จู๋” กับ “จู๋” เหมือนกัน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ: “ปรากฎว่ามีคนนามสกุลจู๋จริงๆ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ปิดหนังสือด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตบหัวตัวเองด้วยหนังสือและพึมพำ: “บ้าจริง ยังคิดเรื่องผู้ชายอยู่ในตอนนี้ ปัญหายังไม่พอหรือไงกัน อีกอย่างผู้ชายคนนี้ก็เป็นไปไม่ได้”

ถ้าเป็นผู้ชายธรรมดา เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงยังคงถูกปกปิดจากกันและกันและสามารถอยู่อย่างสันโดษได้ต่อไป แต่เห็นได้ชัดว่าคุณจู๋เองก็เป็นคนที่มีครอบครัวแล้ว ตราบใดที่ยังติดต่อกันมานานเขาจะรู้จักตัวตนของเธอและเจี่ยนซวงอย่างแน่นอน ใครจะรับประกันได้ว่าคุณจู๋จะชอบเธอเหมือนกัน?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้มานานแล้วว่าตั้งแต่ช่วงเวลาที่เธอตกหลุมรักเหลิ่งเซ่าถิง หลายสิ่งหลายอย่างไม่สามารถช่วยเธอได้และมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะทำสิ่งต่างๆตามความปรารถนาของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้ หลับตาและล้มลงบนเตียง หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเจี่ยนซวงจะนอนหลับอย่างเซื่องซึม แต่เธออาจรู้สึกถึงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและกอดเจี่ยนซวง ทันทีและค่อยๆหัวเราะ โชคดีที่เธอยังมีเจี่ยนซวง ถือว่าเธอยังโชคดี

เจี่ยนอี๋นั่วหลับไปด้วยความงุนงง จนกระทั่งวันรุ่งขึ้น เป็นวันอาทิตย์ เมื่อวานเจี่ยนซวงจึงออกไปเล่นนอกบ้านและไม่ได้ทำการบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วจึงเฝ้าดูเจี่ยนซวงทำการบ้านในวันนี้

ในตอนเที่ยงโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้น เมื่อเห็นว่าเป็นสายจากชายแก่ในคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วด้วยความสับสนและคิดสักพักก่อนที่จะรับโทรศัพท์

เสียงของชายแก่ดูกังวลเล็กน้อยทำไมถึงเป็นคนอื่น?”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า: “คือว่า วันนี้ฉันต้องเฝ้าลูกทำการบ้าน”

ชายแก่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้ม: “แล้วไป แล้วไป…… ”

เมื่อชายแก่พูดจบ เขาก็รีบพูดว่า: “พรุ่งนี้เธอจะมาส่งผักเองไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่ว ส่ายหัว: “เกรงว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะไม่ได้”

เพราะคุณจู๋ไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง แถมเธอยังเริ่มรู้สึกหวั่นไหวกับเขา

“ทำไมล่ะ?” ชายแก่ถามอย่างรีบร้อน: “เป็นเพราะเมื่อวานเราต้อนรับเธอไม่ดี ทำให้เธอโกรธหรอ? ถ้าเราทำให้ไม่พอใจ ฉันจะขอโทษเดี๋ยวนี้ ให้อภัยพวกเราด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชายแก่พูดแบบนี้และรีบพูดขึ้นว่า: “ลุงอย่าพูดอย่างงี้ ลูกสาวของฉันและฉันมีช่วงเวลาที่ดีมากเมื่อวานนี้ ลุงพูดแบบนั้นฉันรู้สึกผิด”

“ ถ้าเธอไม่มาก็คงเป็นความผิดของเรา”

ชายแก่ถึงกับสูดจมูกและพูดด้วยเสียงร้องไห้:“ ฉันเป็นคนแก่ที่พูดไม่คิด ฉันรู้ว่าฉันน่ารำคาญ แต่โกรธฉันเลยนะ เห็นแก่คุณชายเถอะ เขามาที่นี่เพื่อรักษาตัว ตอนนี้เขาป่วยหนักมาก จนเมื่อวานเธอกับลูกสาวมาทำให้เขามีความสุขขึ้นบ้าง ถ้าเธอไม่มาอีกเลย อาจจะทำให้เขาเสียใจและอาการทรุดลง”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าชายแก่กำลังจะจากไปจริงๆและเหตุผลในการปฏิเสธของเธอถูกปิดกั้นทุกทาง เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ บางทีมันอาจจะไม่ใช่คำพูดของชายแก่ที่ทำให้เธอไม่สามารถปฏิเสธได้ อาจเป็นเพราะเธอไม่ต้องการปฏิเสธชายแก่เลย

เจี่ยนอี๋นั่วถามขึ้นว่า: “คุณจู๋ จะอยู่รักษาตัวที่นี่อีกนานแค่ไหน?”

ชายแก่ถอนหายใจ:“ อีกแค่สองสามอาทิตย์เท่านั้น เขามาที่นี่เพราะร่างกายไม่ไหวแล้วจริงๆ ที่จริงเขามีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย อยู่นานไม่ได้”

อยู่นานไม่ได้?

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย: “งั้นพรุ่งนี้ฉันจะเป็นคนส่งผักไปให้เอง”

ชายแก่ยิ้มทันทีและพูดว่า: “เยี่ยมเลย ทางเรากำลังรอเธออยู่นะ”

เมื่อได้ยินเสียงของชายแก่วางสายโทรศัพท์ เจี่ยนอี๋นั่วยังคงถือโทรศัพท์ด้วยความงุนงง เจี่ยนซวงเข้าหาเจี่ยนอี๋นั่วและถามว่า: “แม่……เป็นอะไรหรอ? จะไปคฤหาสน์อีกแล้วหรอ? พาหนูไปด้วยได้ไหม? หนูอยากไปตกปลาอีก”

“ไม่ได้ไปวันนี้ ลูกกลับไปทำการบ้านให้เสร็จ แม่จะไปส่งผักพรุ่งนี้”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอหยิบสมุดงานของเจี่ยนซวงขึ้นมาและขมวดคิ้ว: “ทำไมเขียนลวกๆแบบนี้ ลูกขี้เกียจอีกแล้วใช่ไหม ไปเขียนดีๆ”

เจี่ยนซวงลดจมูกลงและพึมพำ: “หนูตั้งใจสุดๆแล้ว จะให้ตั้งใจขนาดไหน?”

ขณะที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็ค่อยๆเขียนและลายมือของเธอก็ดีกว่าก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่สมุดของเจี่ยนซวงที่เต็มไปด้วยการบ้านและรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย เช้าวันรุ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ไปส่งผักที่คฤหาสน์

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและกำลังจะกดกริ่ง แต่หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็วางมือลง เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่นานและในที่สุดขณะที่เธอกำลังจะยกมือ ประตูคฤหาสน์ก็เปิดออก

ชายแก่ชะโงกหน้าออกจากประตูและพูดด้วยรอยยิ้ม: “เธอมาแล้วหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า: “อืม ฉันมาส่งผัก คุณลุงรู้ว่าฉันมาถึงแล้วหรอ?”

ชายแก่ยิ้มและชี้ไปที่กล้องที่ประตู: “ฉันเห็นในกล้อง”

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงขึ้นทันทีด้วยความอายเล็กน้อย ชายแก่เห็นเธอยืนลังเลอยู่ที่ประตูเมื่อกี้ น่าอายจริงๆ…….

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว คิดว่าจะอธิบายพฤติกรรมของเธอยังไง ชายแก่ดูเหมือนจะเดาได้ว่าเธอต้องการจะพูดอะไร พูดด้วยรอยยิ้ม: “ฉันหันมาดูกล้องแล้วเห็นเธอพอดี เข้ามาก่อนสิ วันนี้แดดแรงมาก อย่าตากแดดอยู่ข้างนอก”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในบ้าน ในมือถือตะกร้าผัก เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไป เธอเห็นหน้าต่างที่ชั้นสองเปิดอยู่ นี่ไม่ใช่ภาพที่พร่ามัว เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคุณจู๋นั่งอยู่ที่หน้าต่างมองมาที่เธออย่างชัดเจน แม้ว่าวันนี้อากาศจะร้อนมาก แต่คุณจู๋ก็ยังคงสวมหน้ากากและแว่นกันแดด

ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้จักคุณจู๋มาก่อน เจี่ยนอี๋นั่วก็คงรู้สึกน่ากลัวอยู่ไม่น้อย หากเขาจ้องมาที่เธออย่างกะทันหันแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามว่า: “ทำไมคุณจู๋ถึงสวมแว่นกันแดดและหน้ากากตลอด ฉันได้ยินลุงพูดบ่อยๆว่าสุขภาพเขาไม่ดี เขาป่วยเป็นอะไรหรอ?”

“อ่อ มีหลายอาการเลย โรคซับซ้อนและเขาแพ้แสงแดดก็เลยต้องสวมแว่นตาตลอดเวลา”

ชายแก่ยิ้มและพูดว่า: “ทำไมหรอ? รู้สึกคุณชายแปลกมากใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ถึงจะดูแปลกไปหน่อย แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นคนดี”

ชายแก่พยักหน้าทันที: “ใช่ ไม่มีใครในโลกนี้ดีกว่าคุณชายแล้ว ฉันหนะ คิดจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่คุณชายช่วยฉันไว้ และยังหาภรรยาที่ดีให้ลูกชายฉันด้วย เขาดูแลครอบครัวฉันดีมาก ไม่มีใครดีไปกว่าเขาอีกแล้ว!”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและเดินไปที่ข้างเจี่ยนซวง ในขณะที่ดูเจี่ยนซวงตกปลาอย่างเงียบๆ เธอก็ให้ความสนใจกับเด็กหญิงตัวเล็กๆที่เล่นอยู่ข้างๆเธอ แต่ดูเหมือนว่าเจี่ยนซวงจะตกปลาได้แย่มาก หลังจากนั่งอยู่ริมบ่อน้ำเป็นเวลานาน เจี่ยนซวงก็ยังตกปลาไม่ได้สักตัว เมื่อเวลาผ่านไปเจี่ยนซวงยังคงบิดตัวอยู่บนเก้าอี้ เหงื่อออกที่หน้าผาก

เมื่อชายแก่ถือบาร์บีคิวออกมา เจี่ยนซวงรีบเช็ดเหงื่อและพูดว่า: “แม่ ทำไมตกไม่ได้สักตัวเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เบ็ดตกปลา ส่ายหัวและยิ้ม: “แม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แม่ตกปลาไม่เป็น”

ชายแก่ถือบาร์บีคิวและเดินไปที่ด้านข้างของเจี่ยนซวง ถามด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน: “มีอะไรหรอ?”

เจี่ยนซวงย่นจมูกและตาแดง: “ปลาพวกนี้รังแกหนู ไม่โผล่มาเลยสักตัว”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “มันก็รู้ว่าถ้าโผล่ขึ้นมาต้องตายแน่ๆ ถูกลูกกิน ก็เลยไม่กล้าออกมา ปลามันจะรังแกหนูได้ยังไง? ลูกนั่นแหละรังแกพวกมัน แต่ทำไม่สำเร็จ”

เจี่ยนซวงที่กำลังจะร้องไห้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอีกครั้ง เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว โค้งริมฝีปากของเธอและพึมพำเบาๆกับเจี่ยนอี๋นั่ว

จากนั้นเจี่ยนซวงก็ขมวดคิ้วไปที่ชายแก่และถามว่า: “คุณปู่ จะทำยังไงดีคะ?”

ชายแก่เงยหน้ามองคันเบ็ดแล้วส่ายหัว:“วันนี้ยังไม่ได้ให้อาหารปลาเลย พวกมันน่าจะติดเบ็ดง่ายสิ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ถ้างั้นกินนี่ก่อนละกัน กินอิ่มแล้วอาจจะมีปลามาติดเบ็ดก็ได้”

เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่เบ็ดตกปลา ใบหน้าของเธอไม่เต็มใจเล็กน้อย แต่เธอได้กลิ่นบาร์บีคิว เจี่ยนซวงหันหน้าไปมองบาร์บีคิว กลิ่นหอม จากนั้นเธอก็วางเบ็ดตกปลา แล้วเดินไปที่โต๊ะและเริ่มกิน

หลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจี่ยนซวงก็หยิบบาร์บีคิววิ่งไปหาเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มและพูดว่า: “แม่……อันนี้อร่อยมาก อร่อยกว่าร้านหน้าโรงเรียนอีก แม่ลองชิมสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งอกด้วยรอยยิ้ม พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “มันอร่อยจริงๆ ลูกกินเถอะ”

เจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ ก็เลยเด็กไปหาผู้หญิงตัวเล็กคนนั้นและเริ่มกินบาร์บีคิวด้วยกัน เจี่ยนอี๋นั่วกำลังช่วยภรรยาของชายแก่ แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะบอกว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นแขกและไม่ต้องช่วย แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชินกับการนั่งเฉยๆแล้วให้คนอื่นมาดูแล ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอคุ้นเคยกับการดูแลตัวเอง

เมื่อเด็กทั้งสองอิ่ม ชายแก่ก็นั่งลง ค่อยๆย่างเนื้อและพูดคุยอย่างสบายๆ กำลังพูดถึงคือละครโทรทัศน์ล่าสุดและเหตุการณ์ของประเทศที่ห่างไกล หลังจากที่คุยกันอย่างเฉื่อยชา เจี่ยนอี๋นั่วก็คุ้นเคยกับครอบครัวนี้มากขึ้น

ชายแก่มองไปเจี่ยนซวงที่หยิบเบ็ดตกปลาขึ้นมาอีกครั้งและอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า: “เด็กคนนี้มีนิสัยดื้อรั้นมาก เธอต้องตกปลาให้ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้: “นิสัยดื้อรั้นของเธอ กำจัดไม่หานจริงๆ……พ่อของเธอและฉันเป็นคนที่อ่อนโยนและเชื่อฟัง ฉันต้องปวดหัวมากกับนิสัยดื้อรั้นของเธอ”

ชายแก่รินน้ำผลไม้หนึ่งแก้วให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “บางครั้งก็เป็นเรื่องดีที่ดื้อรั้น ถ้าเธอมีเป้าหมาย เธอจะไปต่อและเธอจะทำบางสิ่งให้ลุล่วง”

“ ถ้าเป้าหมายผิดล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ :“ บางครั้งการรู้ว่าจะยอมแพ้กับอะไรก็เป็นทักษะเช่นกัน”

เมื่อพูดแบบนี้เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกได้ถึงมีเม็ดฝนตกลงมาที่หลังมือ เจี่ยนอี๋นั่วลูบหลังมือของเธอ เช็ดเม็ดฝนและพูดอย่างรวดเร็ว: “ดูเหมือนฝนกำลังจะตก?”

ชายแก่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันทีและพูดอย่างรีบร้อน: “ไม่ใช่หรอก แต่ตกแล้ว รีบเก็บของเข้าไปข้างในเถอะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า: “ฉันช่วยเอง”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอและครอบครัวชายแก่ก็ช่วยกันย้ายข้าวของ บาร์บีคิวทั้งหมดไปที่ห้องครัวทันที หลังจากที่เก็บทุกอย่างเข้ามา ฝนก็ตกหนัก เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดเม็ดฝนบนร่างกายของเธอ มองดูรอบๆ ปรากฏว่าไม่เห็นเจี่ยนซวง

“ซวยแล้ว เหยียนเหยียนยังตกปลาอยู่แน่เลย!” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นมา และรีบหยิบร่มเดินออกจากห้องครัวทันที เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ด้านข้างบ่อน้ำและตกตะลึงทันที เจี่ยนซวงกำลังตกปลา แต่เธอไม่ได้สัมผัสกับฝนเลยเพราะเจี่ยนซวงมีคนถือร่มให้ คนที่ถือร่มกลับกลายเป็นเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้ “คุณชาย” ที่ซ่อนตัวอยู่ชั้นสอง

คุณชายสวมชุดดำแม้ว่าฝนจะตกแต่เขาก็ยังคงใส่แว่นกันแดดและหน้ากากอนามัย เขาอยู่ในรถเข็นโดยมีผ้าห่มหนาๆที่ขา จับรถเข็นด้วยมือข้างหนึ่งและอีกข้างหนึ่งถือร่ม ท่ามกลางฝนที่กำลังตกหนักเขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย พยายามวางร่มบนศีรษะของเจี่ยนซวงให้มากที่สุด ในขณะที่ร่างกายส่วนใหญ่ของเขาอยู่นอกร่ม เปียกไปหมดทั้งตัว

เจี่ยนซวงหลบตัวอยู่ใต้ร่มและไม่โดนฝนเลย เธอหันศีรษะและพูดกับคุณชายสองสามคำด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเธอคุยกัน แต่เห็นคุณชายพยักหน้าเล็กน้อย ราวกับจะพูดอะไรบางอย่าง เจี่ยนซวงก็ปรับคันเบ็ดทันที ไม่มีความคิดใดๆเธอเดินไปที่บ่อน้ำอย่างรวดเร็ว ยื่นร่มรีบกางบนศีรษะของคุณชาย

เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็รีบลดศีรษะลงและพูดว่า :”สวัสดี”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “สวัสดี เมื่อวานฉันเสียมารยามมาก ขอโทษด้วยนะ ฉันยังไม่ได้ถามชื่อคุณเลย คุณชื่อ……”

“ฉันชื่อ……ฉันชื่อจู๋……” คุณชายตอบด้วยเสียงแหบแห้ง

“จู๋?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและอดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัย: “จู๋สะกดตัวไหนหรอ?”

คุณจู๋ยื่นมือออกและเขียนคำว่า “จู๋” ในอากาศด้วยนิ้วที่ยาวและซีดของเขา: “คำนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ชื่อพิเศษมาก เหมือนของฤาษีในนวนิยายศิลปะการต่อสู้”

คุณจู๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก้มหัวลงทันทีและมองไปที่ผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นที่โดนฝน พื้นน้ำที่สงบในอดีตมีความผันผวนทำให้ผู้คนรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

คุณจู๋ไม่พูดและเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ คุณจู๋ถือร่มให้เจี่ยนซวง ส่วนเจี่ยนอี๋นั่วถือร่มให้คุณจู๋ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน ผ่านไปสักพักก็ยังไม่มีคนเรียกพวกเขา

จนกระทั่ง เจี่ยนซวงยืนถือคันเบ็ดหัวเราะ: “แม่ หนูตกปลาได้แล้ว! แม่ดูสิ!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ปลาบนเบ็ด ปลาของเจี่ยนซวงยังคงดิ้นรนเพื่อหลบหนี ยื่นมือออกไปลูบหัวของเจี่ยนซวงทันทีและพูดด้วยรอยยิ้มว่า:“ อืม ลูกสาวแม่ เก่งจริงๆ”

เจี่ยนซวงยิ้มอย่างเขิน ๆ และพูดว่า: “ต้องขอบคุณ คุณชายคนนี้ ฮิฮิ ไม่งั้นหนูคงตกปลาไม่ได้หรอก เขาพูดมีเหตุผลมาก ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ นอกซะจากจะใช้วิธีการที่ผิด ดูสิ ตอนนี้หนูทำได้แล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่คุณจู๋ พูดเบาๆว่า: “ขอบคุณค่ะ”

คุณจู๋ไม่ได้พูด เขาเอาแต่มองลงไปที่บ่อน้ำและพูดว่า: “ฝนตกแล้ว ถ้านานกว่านี้ถนนในชนบทคงเดินทางลำบาก เธอเอาปลาตัวนี้รีบกลับบ้านเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นี่เป็นปลาที่คุณเลี้ยง…… ”

คุณจู๋พูดขึ้นด้วยเสียงที่แหบแห้ง: “เอาไปเถอะ นี่คือปลาที่ลูกสาวเธอตกได้ มันเป็นของเธอแล้ว”

เจี่ยนซวงกระพริบตาทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว กระซิบถาม: “แม่ เราเอาปลาตัวนี้กลับบ้านได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่คุณจู๋ เธอต้องการเห็นการแสดงออกของคุณจู๋ แต่เธอไม่สามารถเห็นใบหน้าของคุณจู๋ได้ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงยิ้มและพยักหน้าให้เจี่ยนซวง: “อืม เราเอาปลาตัวนี้กลับบ้านได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็หันไปมองคุณจู่และพูดว่า:” งั้นเรากลับก่อนนะ ขอบคุณสำหรับการต้อนรับที่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดในขณะที่กวักมือเรียกเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงวิ่งไปใต้ร่มของเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “แม่ คืนนี้เราได้กินซุปปลาแล้ว แถมหนูเป็นคนตกได้ ปลาดีๆแบบนี้แม่อย่าเป็นคนทำดีกว่า ให้ป้าข้างบ้านทำให้แล้วแบ่งให้เธอ ดีไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า ยกมือขึ้นแตะหัวของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: “ปลาที่ลูกตกได้ ให้ลูกเป็นคนจัดการ”

เจี่ยนซวงกระโดดขึ้นทันที: “สุดยอดไปเลย!”

เจี่ยนอี๋นั่วบอกเจี่ยนซวง: “บอกลาคุณจู๋ก่อน”

“อ้อ……ลาก่อนนะคะ…..คุณจู๋” เจี้ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเธอก็เอาปลาและเดินไป หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดขึ้น: “ลาก่อน” และเดินจากไปพร้อมเจี่ยนซวง

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงไปที่ห้องครัว หาถุงมาใส่ปลา จากนั้นเดินออกจากห้องครัว เมื่อเดินไปที่สนามหญ้า เจี่ยนอี๋นั่วก็หันศีรษะและมองไปที่บ่อน้ำและเห็นว่าคุณจู๋ยังคงอยู่ข้างบ่อน้ำด้วยร่มและรถเข็นไม่รู้ว่ากำลังมองอะไร

เจี่ยนอี๋นั่วรีบยิ้มและพูดกับชายแก่ที่ออกมาส่งเธอ: “สุขภาพของเขาไม่ค่อยดี คุณลุงไปเตือนให้เขารีบเข้าบ้านเถอะ”

เมื่อชายแก่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ผงะไปชั่วขณะและในที่สุดดวงตาของเขาก็เป็นสีแดง เขาก็พยักหน้าแรงๆ : “โอเค โอเค ฉันจะไปบอกเขาเอง”

แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกว่าพฤติกรรมของชายแก่ค่อนข้างแปลก แต่เธอไม่รู้ว่ามีอะไรแปลก เธอจึงทำได้เพียงยิ้มและพูดคำอำลา: “งั้นฉันไปก่อนนะ”

เจี่ยนซวงที่กำลังถือปลาตัวใหญ่ที่เธอตกได้ในมืออีกข้าง ยกมืออีกข้างโบกลาชายแก่: “ลาก่อนคุณปู่”

เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง ยิ้มและเดินออกจากคฤหาสน์ หลังจากที่พวกเธอเดินออกไปยังคงเห็นชายแก่โบกมือลาพวกเธอ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหันไปมองชายแก่ จากนั้นโบกมือ ยิ้มแล้วถามเจี่ยนซวง: “วันนี้เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม?”

เจี้ยนซวงพยักหน้าทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: “มีความสุข มีความสุขมาก แม่ คุณชายคนนั้นเก่งมาก เขาบอกหนูแค่สองสามคำ ก็ทำให้หนูจับปลาได้”

“ลูกไม่กลัวเขาหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อน แล้วส่ายหัว: “ตอนแรกก็กลัว สักพักก็หายกลัว เขาไม่ทำร้ายหนูหรอก”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงต่อ เธออยากเจอเหลิ่งเซ่าถิงและถามว่าเหลิ่งเซ่าถิงว่ากำลังคิดอะไรอยู่ แต่เธอไม่มีโอกาสได้เจอเหลิ่งเซ่าถิง

แม้ว่าคนเหล่านี้ที่ปกป้องเจี่ยนอี๋นั่ว จะรู้ว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ที่ไหน แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าเธอไม่มีทางถามอะไรจากคนเหล่านี้ได้ และพวกเขาก็คงไม่พูดถึงเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะโทรออกไปที่โทรศัพท์ของเหลิ่งเซ่าถิง มีเพียงเสียงของหญิงสาวที่เย็นชาอยู่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์บอกว่าหมายเลขที่เธอโทรมานั้นเป็นเพียงหมายเลขที่ว่างเปล่า

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มอย่างขมขื่นวางโทรศัพท์ ล้มลงบนเตียงและหลับตา หลายคนบอกว่าเจี่ยนอี๋นั่วฉลาด เจี่ยนอี๋นั่วเองก็เคยคิดว่าตัวเองไม่ได้โง่ แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วคิดอะไรไม่ออก ทางตันไปหมด เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่สามารถโน้มน้าวตัวเองให้เป็นคนฉลาดได้จริงๆ

ถึงเวลาที่เจี่ยนซวงกำลังจะเลิกเรียน เจี่ยนอี๋นั่วก็เก็บของและไปรับเจี่ยนซวง เมื่อเดินไปที่ประตูโรงเรียนและรับเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงก็รีบกระโดดไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ตอนนี้ไม่มีคนอื่นอยู่กับเราแล้ว รู้สึกดีจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า:”แต่ก็ไม่มีรถส่งเรากลับบ้านแล้วนะ”

เจี่ยนซวงยิ้มทันทีและพูดว่า: “หนูไปชอบนั่งรถ ชอบใช้สองขาเดินมากกว่า เดินกลับบ้านกัน!”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงตอนนี้ ยิ้มและยืนพิงเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะเบาๆ: “แม่ พรุ่งนี้วันเสาร์ วันหยุดของหนู เราจะไปเที่ยวที่ไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า: “ลูกอยากไปคฤหาสน์บนภูเขาไม่ใช่หรอ?”

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้าง: “จริงหรอ? หนูไปได้จริงๆหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ใช่ พวกเขาชวนแม่ไปกับลูกไป อืม งั้นเราไปช้อปปิ้งกับเถอะ ไปซื้อเสื้อผ้าสวยๆให้หนูดีไหม?”

เจี่ยนซวงรีบกระโดดขึ้นทันทีและพูดว่า: “เยี่ยมไปเลย! แม่รู้ไหมวันนี้มีคนพูดถึงคฤหาสน์นั้นด้วย บางคนแอบไปดูที่นั่นแต่ไม่เห็นอะไรก็เลยกลับไป พวกเขาบอกว่าคนที่นั่นดุมาก หนูบอกว่าแม่ไปมาแล้ว แต่พวกเขาก็ไม่เชื่อ หึหึ พรุ่งนี้หนูต้องดูให้ดี ดูว่าคฤหาสน์หรูหน้าตาเป็นยังไง จะได้ไปโม้ให้พวกเขาฟัง”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงที่มีชีวิตชีวาและหัวเราะ อาการอึดอัดที่หายใจไม่ออกก็รู้สึกโล่งขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงไปซื้อเสื้อผ้า จากนั้นก็ทานอาหารเย็นข้างนอก เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เจี่ยนซวงยังคงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของวันพรุ่งนี้อย่างตื่นเต้น ก่อนนอนเจี่ยนซวงยังคงถามเจี่ยนอี๋นั่ว: “คฤหาสน์หลังนั้นใหญ่มากใช่ไหม? มีคนอาศัยอยู่กี่คน?”

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ : “น่าจะประมาณ5-6คน”

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้าง: “มันวิเศษมาก พวกเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่แบบนี้ พวกเขามีคนรับใช้เหมือนในทีวีไหม บ้านใหญ่ขนาดนั้น ต้องเจอหน้ากันยากมากสินะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและคลุมผ้าห่มให้เจี่ยนซวง ถามด้วยรอยยิ้ม: “ลูกชอบบ้านใหญ่ๆแบบนั้นไหม?”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วพยักหน้า จากนั้นส่ายหัวและในที่สุดก็พิงเจี่ยนอี๋นั่วและกระซิบ: “ถ้าหนูพูดแล้ว แม่อย่าโกรธนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเจี่ยนซวง ยิ้มและพูดว่า: “พูดมาสิ แม่ไม่โกรธหรอก”

เจี่ยนซวงกระตุกจมูกของเธอและพูดเบาๆว่า: “จริงๆที่หนูอยากไปที่คฤหาสน์นั้นเพราะหนูอยากรู้ว่า คฤหาสน์ที่พ่ออยู่กับเจ้าของคฤหาสน์นี้ใครรวยกว่ากัน ดูเหมือนพ่อจะรวยมาก ถ้างั้นพ่อก็ต้องอยู่ในคฤหาสน์เหมือนกัน หนูอยากไปเห็นคฤหาสน์จริงๆ จะได้คิดออกว่าพ่ออาศัยอยู่บ้านแบบไหน ถ้าเกิด……ถ้าเกิดวันหนึ่ง พ่อมารับเราไป หนูจะได้รู้ว่าบ้านเป็นยังไง กินข้าวที่ไหน นอนตรงไหน หนูกลัวอายเขาถ้าทำอะไรผิด กลัวพ่อจะไม่รักเราอีก……”

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงทันที หายใจไม่ออกและพูดว่า: ” ซวงซวงไม่ต้องกลัว  เจี่ยนซวงลดจมูกของเธอ ร้องไห้และกระซิบ: “แม่ หนูทำให้แม่รู้สึกไม่สบายใจอีกแล้วใช่ไหม? แม่อย่ารู้สึกไม่ดีเลยนะ ตอนนี้หนูโอเคมาก จริงๆ หนูชอบบ้านเล็กๆที่อบอุ่นแบบนี้ แต่ก็เสียดายคฤหาสน์นิดหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดว่า: “แม่รู้ พรุ่งนี้แม่จะตื่นเช้าๆ แม่จะรีบพาหนูไป”

เจี่ยนซวงพิงหน้าอกของเจี่ยนอี๋นั่ว กระตุกจมูกของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม: “งั้นพรุ่งนี้หนูก็จะตื่นเช้าๆเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า ดูเจี่ยนซวงนอนหลับพิงแขนของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นตบเจี่ยนซวงเบาๆและถอนหายใจเบา เจี่ยนอี๋นั่วหลับไปชั่วขณะและตื่นขึ้นมาหลังจากรุ่งสาง “แม่ ไวมากแปปเดียวก็วันเสาร์แล้ว! เราจะไปคฤหาสน์กันใช่ไหม”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: “แต่ไปถึงแล้วต้องมีมารยาท ที่คฤหาสน์มีลุงแก่คนหนึ่ง เรียกเขาว่า ‘คุณปู่’ ยังมีคุณชายอีกคน สุขภาพเขาไม่ค่อยแข็งแรงต้องสวมหน้ากากตลอด ถ้าหนูเห็นเขาให้เรียกว่า ‘คุณชาย’ เข้าใจไหม?”

เจี่ยนซวงตอบทันที: “อืม หนูเข้าใจแล้ว หนูจะไม่ทำเอาอะไรผิดพลาด”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและยกมือขึ้นแตะหัวของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: “อืม ลูกสาวแม่เป็นเด็กดีที่สุด”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ถักเปียให้เจี่ยนซวง และเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที หลังทานอาหารเช้า ทั้งสองไปที่แปลงผักเพื่อเก็บผัก จากนั้นก็เดินไปที่คฤหาสน์ เจี่ยนซวงเดินไปที่ประตูคฤหาสน์ เงยคอขึ้นมองไปที่ประตูสีดำและอดไม่ได้ที่จะตะโกน: “ว้าว……ประตูสูงมาก…… ”

เนื่องจากประตูสูงเกินไปและเจี่ยนซวงก็ตัวเล็ก เมื่อเจี่ยนซวงมองขึ้นไปที่ประตู เธอเกือบจะล้มลง เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือขึ้นพยุงเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: “ระวังหน่อย เดี๋ยวล้มนะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้า กระโดดพร้อมพูดว่า: “แม่ หนูขอกดกริ่งประตูได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ได้สิ”

เจี่ยนซวงวิ่งไปที่กริ่งทันที กระโดดขึ้นและกด ทันทีที่เสียงกริ่งประตูดังขึ้นประตูก็เปิดออก ชายแก่เดินออกจากคฤหาสน์มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า: “มาแล้วหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างเขินอายและพูดว่า: “ขอโทษนะที่เมื่อวานมันเสียมารยาทเกินไป ฉันไม่มีอะไรจะให้ นอกจากผัดสดๆจากสวน หวังว่าคุณชายจะไม่รังเกียจ”

ชายแก่ยิ้มและส่ายหัว: “จะรังเกียจได้ยังไง? แค่เธอมาเราก็ดีใจแล้ว เอ้ะ นี่ลูกสาวเธอใช่ไหม?”

ชายแก่ยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงโค้งคำนับชายแก่ทันที ด้วยท่าทางที่เรียบร้อยและพูดด้วยรอยยิ้มที่ดี: “สวัสดีค่ะคุณปู่ หนูชื่อเหยียนเหยียน”

“เป็นเด็กดีจังเลย” ชายแก่พูดด้วยรอยยิ้ม: “ถ้าอย่างนั้นรีบเข้าก่อน ฉันก็ไม่รู้ว่าพวกเธอชอบกินอะไร นึกถึงเด็กๆทุกคนชอบกินขนมและบาบีคิว ก็เลยเตรียมขนม เตรียมเตาอบเอาไว้ย่างเนื้อในบ้าน…… ”

“ว้าว ดีเลย” เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้มทันที

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้และพูดอย่างรวดเร็ว: “นี่……นี่ไม่รบกวนพวกคุณมากไปใช่ไหม?”

ชายแก่ยิ้มและส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: “ไม่รบกวนหรอก พวกเธอมาก็ดีแล้ว ฉันยังกลัวจะมาไม่ได้ แต่ว่า……”

ชายแก่หันศีรษะ ยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง: “แต่ต้องตกปลาเองนะ”

เจี่ยนซวง ลืมตาขึ้นทันที ยิ้มและถามว่า: “ตกปลาได้ด้วยหรอ?”

ชายแก่ยิ้มและพยักหน้า: “อืม ถ้าตกปลาได้ เราก็จะได้ย่างปลากิน ที่บ่อปลามีเบ็ดตกปลาพร้อม วันนี้ยังไม่ได้ให้อาหารปลาเลย พวกมันต้องติดเบ็ดง่ายมากแน่ๆ”

เจี่ยนซวงยกมือขึ้นทันทีและพูดว่า: “แม่ หนูไปตกปลาก่อนได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว: “ไม่ได้ ยังไม่ได้ทักทายคุณชายเลย”

“อย่าไปบังคับเด็กมันเลย เธออยากทำอะไรปล่อยเธอทำเถอะ” ชายแก่ยิ้มและพูดว่า: “คุณชายยังไม่รู้ว่าเธอจะมาหรือไม่มา พวกเธอไม่ต้องเป็นห่วง กินเล่นตามสบายเลย เอ้อ ภรรยาและลูกฉันก็มาด้วย มากินด้วยกัน คนเยอะๆสนุกดี”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเด็กผู้หญิงอายุเจ็ดแปดขวบเล่นอยู่ที่สนาม เมื่อเห็นเจี่ยนซวง เด็กคนนั้นก็กวักมือเรียกให้เจี่ยนซวงไปเล่นด้วยกัน

เจี่ยนซวงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างกระตือรือร้น พูดเบาๆว่า: “แม่…… ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: “ก็ได้ ไปเล่นเถอะ”

เจี่ยนซวงวิ่งไปทันที เดิมทีเธออยากไปตกปลา แต่เมื่อเธอวิ่งไปที่สระว่ายน้ำ เธอถูกดึงดูดด้วยสไลเดอร์และเธอก็เล่นกับเด็กหญิงคนนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่ามีแค่เธอกับเจี่ยนซวงที่มาที่นี่ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนมาเยอะขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมาก เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเป็นการจัดเตรียมของคุณชายหรือชายแก่ แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร เธอก็ระวังตัวให้ดี ตะโกนบอกเจี่ยนซวงที่กำลังเดินไปไกล: “ระวัง อย่าตกลงไปในบ่อน้ำนะ”

เมื่อได้ยินคำตอบของเจี่ยนซวงจากระยะไกล เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มให้ชายแก่และพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นให้ฉันช่วยเถอะ”

ชายแก่ยิ้มและพูดว่า: “ไม่เป็นไร มีคนช่วยเยอะแล้ว เธออยู่ที่นี่ดูเด็กๆเถอะ ตอนนี้เธอเป็นแขก จะให้แขกมาช่วยได้ยังไง”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ต้องไปทักทายเจ้าของบ้าน”

ชายแก่พยักหน้ายิ้มและพูดว่า: “อย่างงั้นก็ได้”

ชายแก่พูดและพาเจี่ยนอี๋นั่วไปที่ห้องครัว ในห้องครัวสมาชิกในครอบครัวของชายแก่กำลังเตรียมส่วนผสมสำหรับทำบาร์บีคิวและพวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะเป็นคนใจดีมาก เจี่ยนอี๋นั่วพูดทักทายพวกเขา จากนั้นก็เดินออกจากห้องครัว เดินไปที่บ่อน้ำ เห็นเจี่ยนซวงที่ยังเล่นอยู่บนสไลเดอร์ และไปหยิบเบ็ดตกปลา

“แม่ ที่นี่สนุกมาก หนูจะไปตกปลาตัวใหญ่ๆให้แม่” เจี่ยนซวงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างมั่นใจ

จนกระทั่งรุ่งสาง เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงชั่วขณะ แต่หลังจากนอนหลับไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ตื่นขึ้นเพราะเจี่ยนซวง สมองก็นึกถึงบางอย่างขึ้นมาทันที

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็จำได้ว่าเธอเคยได้ยินเฉิงเว่ยหรานเคยพูดว่ามั่วเชียนยังเด็กและไม่น่าเชื่อถือ คือคำพูดของชายแก่ในคฤหาสน์! ชายแก่เคยพูดคำนี้

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและลุกขึ้น เธอคิดจะไปที่คฤหาสน์ทันที

แต่เจี่ยนซวงก็สะดุ้งอยู่ข้างๆ เธอจับแขนของเจี่ยนอี๋นั่วและถามว่า: “แม่ เป็นอะไรหรือเปล่า?”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ปรับอารมณ์ให้คงที่ หันศีรษะและยิ้มให้เจี่ยนซวง แล้วพูดว่า:”เปล่า แม่แค่ยังนอนไม่พอ รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”

เจี่ยนซวงรีบพูดว่า: “ถ้าอย่างนั้นแม่ต้องไปส่งหนูที่โรงเรียน เดี๋ยวหนูไปเอง ไปพร้อมกับพวกเขา……”

“ไม่ได้ แม่ยังไหว ส่งหนูไปโรงเรียนได้ อย่าไปรบกวนเขา” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและยืนขึ้น: “ตอนนี้แม่ก็รู้สึกดีขึ้นแล้ว”

เมื่อพูดแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ ลุกจากเตียงทันทีและเตรียมของที่เจี่ยนซวงจำเป็นต้องเอาไปโรงเรียน เมื่อส่งเจี่ยนซวงไปถึงโรงเรียน เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วมองดูเจี่ยนซวงเดินเข้าโรงเรียน จากนั้นเธอก็เดินกลับไปที่หมู่บ้าน

ทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาที่หมู่บ้าน เธอก็ไปที่สวนผัก เพื่อเตรียมผัก จากนั้นก็เดินตรงไปที่คฤหาสน์บนภูเขา เจี่ยนอี๋นั่วไปถึงและลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะกดกริ่งประตู

ทันทีที่เสียงกริ่งประตูดังขึ้น ประตูของคฤหาสน์เปิดออก ชายแก่เดินมาเปิดประตูและพูดด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว: “วันนี้เราไม่ได้สั่งผัก ทำไมคุณถึงมาที่นี่?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้ชายแก่และพูดว่า: “ฉันเห็นผักพวกนี้สดและสวยมาก ฉันก็เลยจะเอามาฝาก ไม่ได้เอามาขาย คุณรับไว้เถอะ”

ชายแก่มองไปผักที่เจี่ยนอี๋นั่วนำมาและพูดด้วยรอยยิ้มทันที: “ผักพวกนี้สดจริงๆ ฉันจะเอารับมันฟรีๆได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า: “ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันเอาไปล้างในครัวให้นะ”

ชายแก่ยิ้มและพยักหน้า: “ยังไงก็ส่งมาแล้ว งั้นรบกวนด้วยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหยิบตะกร้าก่อนที่จะเข้าไปในห้องครัว เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะมองขึ้นไปที่ห้องชั้นสอง เมื่อเห็นว่าหน้าต่างของห้องชั้นสองยังคงเปิดอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง จากนั้น เจี่ยนอี๋นั่ว ก็รีบหันกลับและเดินเข้าไปในครัว รีบใส่น้ำและเริ่มล้างผัก

ในขณะที่ล้างผัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและถาม “คุณลุง ทำไมช่วงนี้ไม่ซื้อผักเลย? ผักเราไม่ดีหรือราคาแพงไปหรือเปล่า? หรือไม่สด? บอกเราได้เลยนะ เราจะปรับปรุงให้ดี”

ชายแก่ยิ้มทันทีและพูดว่า: “ มันไม่เกี่ยวกับผักหรอก สองสามวันมานี้เราไม่ได้กินอาหารที่นี่ คุณนายกับคุณชายน้อยมาที่นี่ คุณชายก็เลยไปอยู่กับพวกเขา คนแก่อย่างฉันกินอะไรก็ได้ ขอแค่ไม่มีผัก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วถามว่า: “คุณนาย? ภรรยาเจ้าของคฤหาสน์นี้หรอ?”

“ใช่แล้ว ไม่งั้นจะเป็นคุณนายคนไหนล่ะ? แต่ตอนนี้น่าจะเป็นภรรยาเก่าแล้วล่ะ” ชายแก่ยิ้มและพูดว่า “เธอไม่รู้หรอกว่าคุณชายดีใจแค่ไหน…… ”

ชายแก่พูดและถอนหายใจเล็กน้อย:ช่วงนี้เธอเป็นยังไงบ้าง?”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพยักหน้า: “ฉันสบายดี สบายดีมาก แล้วตอนนี้คุณชายอยู่คฤหาสน์นี้ไหม?”

ชายชราพยักหน้าและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้: “อยู่สิ กำลังเป็นทุกข์ ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นเมื่อไหร่”

ชายแก่กำลังพูด เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ชายแก่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีและตอบด้วยความเคารพ: “ฉันเข้าใจแล้ว อืมอืม ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

ชายแก่วางโทรศัพท์ลงทันทีและยิ้มขอโทษเจี่ยนอี๋นั่ว: “คุณชายเรียกหาฉัน ฉันต้องออกไปข้างนอกก่อน

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า หลังจากดูชายแก่เดินออกจากครัว เธอเช็ดมือแล้วเดินออกจากห้องครัว เดินไปที่ห้องชั้นสอง เจี่ยนอี๋นั่วเดินขึ้นบันได หลังจากเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆหาห้อง

เจี่ยนอี๋นั่ววางมือลงบนลูกบิดประตูของห้องและเธอรู้ว่าตอนนี้เธอเสี่ยงและเสียมารยาท แต่เธอไม่สามารถควบคุมแรงกระตุ้นของเธอได้ เธอต้องการยืนยันว่าเจ้าของคฤหาสน์นี้ใช่เหลิ่งเซ่าถิงหรือเปล่า?

เหลิ่งเซ่าถิงเขาคิดอะไรอยู่ ทำไมเขาถึงหาสามีให้ฉัน!

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆหมุนลูกบิดประตู แล้วเปิดประตูห้อง เมื่อประตูถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเก้าอี้โดยหันหลังให้เธอ ด้านหลังของเก้าอี้นั้นสูงมาก เจี่ยนอี๋นั่วมองไม่เห็นว่าใครนั่งอยู่บนเก้าอี้ เห็นเพียงมือที่ยื่นออกมาจากเก้าอี้

นิ้วของมือนั้นยาวมีข้อต่อที่ชัดเจน ซึ่งดูเหมือนจะคล้ายกับมือของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวไปข้างหน้า ค่อยๆเปิดประตู เสียงเปิดประตูดังขึ้น ทำให้คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ พยุงแขนของเก้าอี้แล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน เขาสวมแว่นกันแดดและหน้ากาก ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงมองไม่เห็นรูปลักษณ์ของเขา เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าชายคนนี้ผอมบางไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิง

“เธอเป็นใคร” เสียงของชายคนนั้นแหบแห้ง

นี่ไม่ใช่เสียงของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอยหลัง

แต่เจี่ยนอี๋นั่วหยุดทันทีและต้องการยืนยัน หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เธอก็พูดว่า: “ขอโทษนะที่ฉันเสียมารยาท ฉันขอดูหน้าคุณหน่อยได้ไหม ฉันรู้สึกเหมือนเคยรู้จักคุณมาก่อน”

“อ่อ เธอเป็นคนที่ส่งผักมาที่นี่บ่อยๆสินะ” ชายคนนั้นพูดเบาๆ “ฉันคงไม่รู้จักกับคนสวนหรอก เธอน่าจะจำผิดคนแล้วล่ะ”

ชายคนนั้นพูดมือเรียวของเขาเกี่ยวหน้ากาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นมือของเขาสัมผัสกับหน้ากาก ก็หายใจเข้าลึกๆและกลั้นหายใจทันที จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นชายคนนั้นถอดหน้ากาก เผยให้เห็นใบหน้าที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าใบหน้านั้นจะยังคงหล่อมาก แต่ก็ดูเหมือนเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วจ้องไปที่ใบหน้านั้นเป็นเวลานานและในที่สุดก็หายใจ ส่ายหัวและพูดว่า: “ขอโทษนะที่มารบกวน ฉันน่าจะจำผิดจริงๆ ”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตอนนี้เธอกำลังไร้สาระจริงๆ เธอจะสรุปได้ยังไงว่าเจ้าของคฤหาสน์นี้คือเหลิ่งเซ่าถิง? เพียง เพราะชายแก่พูดคล้ายกับเฉิงเว่ยหราน เอาจริงๆคำพูดแบบนั้นใครๆก็พูดได้

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและขอโทษอย่างรวดเร็ว: “ขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันประมาทเกินไป ฉันจะรีบออกไป ขอโทษด้วยนะ!”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบวิ่งลงไปชั้นล่างด้วยความตื่นตระหนกและวิ่งออกจากคฤหาสน์ จนกระทั่งเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาที่บ้าน เธอก็ปล่อยผมออกด้วยความรำคาญรู้สึกว่าเธอโง่จริงๆ เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่รู้ว่าชีวิตของเธอไม่ได้พักผ่อนมาผลนานหรือเปล่า และเมื่อคืนเธอรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทำให้เธอทำเรื่องโง่ๆ

หลังจากหายใจเข้า เจี่ยนอี๋นั่วก็ล้มลงบนเตียงอย่างอ่อนแรง สักพักโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรับสายทันที แต่กลับกลายเป็นเสียงของชายแก่ที่คฤหาสน์: “ทำไมเธอถึงกลับไปแล้วล่ะ? กว่าฉันจะหาเบอร์เธอได้”

ทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงของชายแก่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความอับอาย: “ขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ ฉันประมาทและเสียมารยาทมาก ฉันไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณชาย”

ชายแก่ยิ้มและพูดว่า: “ไม่เป็นไรหรอก คุณชายของฉันไม่สนใจเรื่องนี้ เขาถามฉันเกี่ยวกับเธอ เขาได้ยินว่าเธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและลำบาก เขายังบอกว่าเธอน่าจะคิดถึงใครสักคนมาก เธอถึงคิดว่าเขาเป็นคนนั้น ใช่สิ คุณชายยังชวนเธอกับลูกสาวให้มาเล่นที่คฤหาสน์ด้วย พรุ่งนี้วันเสาร์ไม่ใช่หรอ? เธอกับลูกสาวมาได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวทันทีและพูดว่า: “ฉันจะรบกวนพวกคุณได้ยังไง ดูเหมือนว่าสุขภาพของคุณชายจะไม่ค่อยดี ควรให้เขาพักผ่อนเยอะๆ”

ชายแก่ถอนหายใจเบาๆ:“ คุณชายเป็นโรคหัวใจ ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายได้ด้วยการพักผ่อน คุณชายน้อยถูกภรรยาของเขาพรากจากไปและเขาก็คิดถึงลูกมาก ที่นี่เงียบมาก ช่วยคุณชายเราหน่อยเถอะ ทำให้เขามีชีวิตชีวาอีกวันนึง บางทีอาจจะทำให้เขารู้สึกดีขึ้นบ้าง”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว: “แต่…… ”

เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะบอกว่าตอนนี้เธอยังมีเรื่องที่ต้องกังวลอีกมากและเธอก็ไม่อยากเจอกับชายคนนี้ เมื่อชายแก่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ถอนหายใจ พร้อมพูดว่า: “คุณชายของฉันใจกว้างมาก แม้ว่าเธอจะทำให้เขาตกใจจนป่วย แต่เขาก็ไม่สนใจความผิดของเธอและยังชวนเธออย่างไม่เห็นแก่ตัว ฉันไม่คิดว่าเธอจะไม่อยากเจอเขา ถ้าอย่างงั้นก็ช่างมันเถอะ ฉันจะบอกกับเขาเอง บนโลกนี้ไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นความดีที่เขาทำให้แล้วซึ้งใจ……”

สิ่งที่ชายแกพูด เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีข้อแก้ตัวที่จะปฏิเสธ เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า: “ลุงพูดขนาดนี้ ฉันคงต้องไปแล้ว แต่ลูกสาวฉันซนมาก กลัวจะไปรบกวน”

ชายแก่รีบยิ้มและพูดว่า: “ฉันยังคงกลัวว่าลูกของเธอจะไม่สร้างปัญหา คุณชายชอบเด็กซน วันก่อนที่เธอเคยพูดถึงเครื่องเล่นเด็ก จะมาติดตั้งวันนี้แล้ว พรุ่งนี้ก็ให้ลูกของเธอมาลองเล่นดู ดูว่าสนุกไหม”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ: “อืม ถ้าอย่างงั้นก็ได้”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลง ชายแก่ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็วางสายโทรศัพท์ เจี่ยนอี๋นั่ววางโทรศัพท์และถอนหายใจเบาๆ ส่ายหัวอย่างอ่อนแรงด้วยความรำคาญกับพฤติกรรมที่ไม่มีมารยาทของตัวเองในตอนนี้ เธอสับสนจริงๆ เหลิ่งเซ่าถิงจะไปอยู่ที่คฤหาสน์นั้นได้ยังไง? เขาไม่มีเหตุผลที่ต้องทำแบบนี้นิ?

เฉิงเว่ยหรานตกตะลึง มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและถามออกมาอย่างตกใจ: “นี่เธอทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: “ฉันจะเปิดเผยเธอ แต่ฉันก็ไม่อยากอยู่กับเธอแล้ว ไปซะ ฉันไม่อยากเห็นหน้าเธออีก”

“เธอกำลังลงโทษงั้นหรอ?” เฉิงเว่ยหรานถาม

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน พูดด้วยรอยยิ้ม: “เมื่อกี้เธอไม่กล้าจูบฉันเพราะเธอกลัวทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่พอใจ ถ้าเธอกลัวมากแสดงว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องที่เธอจะเข้าใกล้ฉันมากเกินไป ตราบใดที่เขายังให้ความสำคัญ ฉากเมื่อกี้จะทำให้เขาเจ็บปวด และทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ”

เฉิงเว่ยหรานขมวดคิ้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดเบาๆว่า: “ฉันกลัวอยู่ใกล้เธอมากเกินไป และฉันก็กลัวที่จะทำให้เขาโกรธด้วย เพราะเธอไม่เคยเห็นเขาเวลาที่พูดถึงเธอ น้ำเสียงที่เขาสอนฉันและสายตาที่มองฉันเต็มไปด้วยความหึงหวง แต่ฉันก็ชอบจูบเมื่อกี้เหมือนกัน ฉันอยากอยู่กับเธอ อี๋นั่ว ฉันเรียกชื่อจริงของเธอได้ไหม อี๋นั่ว ฉันรู้ว่าเธอคิดยังไงกับฉัน ฉันเป็นหนี้บุญของคุณเหลิ่ง เพราะงั้นฉันจึงมาทำเพื่อเขาไม่ใช่เพื่อเงิน ฉันยังต้องการที่จะชดใช้ชีวิตที่เหลือของฉัน ฉันแค่เข้าหาเธอไม่กี่วัน คิดไม่ถึงว่าฉันจะชอบเธอจริงๆ ฉันมีความสุขมาก ยังไงคุณเหลิ่งก็อยากให้เราอยู่ด้วยกัน ถ้าเราจะคบกันมันก็ไม่ผิดไม่ใช่หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วสั่นริมฝีปากของเธอ มองไปที่เฉิงเว่ยหรานและกระซิบ: “แล้วฉันเป็นใคร? เธอเป็นใคร? เขาเหลิ่งเซ่าถิงผู้สูงศักดิ์ เขามีเงินอำนาจและการควบคุมทั้งตระกูลเหลิ่ง ก็เลยมาจัดการฉัน? เธอเป็นคนปลอบใจงั้นหรอ? ตลอดชีวิตที่เหลือของฉัน ฉันทำได้แค่เปลี่ยนชื่อและอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขานี้งั้นหรอ? เขาเป็นใคร?ฉันอยู่ที่นี่เพื่อความปลอดภัยของลูกสาวฉัน ให้เธอเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่เพราะเขา! ฉันไม่ต้องการการจัดการของเขา ไม่ต้องการให้เขามาปกป้องฉัน!”

ความโกรธของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เฉิงเว่ยหรานขมวดคิ้ว เฉิงเว่ยหรานพยายามจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ก่อนที่เขาจะจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดอย่างเย็นชาทันที: “อย่าแตะต้องฉัน ไม่งั้นฉันจะผลักเธอออกไปและมันจะทำให้เธออับอายมากขึ้น กล้องจะถ่ายภาพทำให้เหลิ่งเซ่าถิงยิ่งเคือง เธอไปเถอะ ฉันไม่มีทางยอมรับเธอได้หรอก”

เฉิงเว่ยหรานลดมือลง กำมือแน่น ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเบาๆ:“ เป็นไปไม่ได้แล้วจริงๆหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว: “เป็นไปไม่ได้แล้ว”

เฉิงเว่ยหรานลดศีรษะลงและหัวเราะเบาๆ : “งั้นก็ช่างเถอะ ฉันขอโทษนะที่หลอกเธอ โชคดีที่เธอรู้ก่อน ไม่งั้นถ้าเธอตกหลุมรักฉันจริงๆแล้ว ฉันคงรู้สึกผิดมากกว่านี้”

เฉิงเว่ยหรานพูดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว: “เธอโกรธแบบนี้ เพราะเธอยังชอบคุณเหลิ่งใช่ไหม? เธอไม่อยากรู้หรอว่าคุณเหลิ่งอยู่ที่ไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน: “ฉันอยากรู้จริงๆว่าตอนนี้เขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน แต่เธอจะบอกฉันงั้นหรอ?”

เฉิงเว่ยหรานส่ายหัว และพูดเบาๆว่า:“ งั้นฉันไปก่อนนะ”

เฉิงเว่ยหรานพูดจบก็หันหลังเดินออกไป เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้าดูเฉิงเว่ยหรานเดินออกไป ก่อนที่จะหันกลับมาและซ่อนตัวอยู่ที่มุมห้องครัวปิดปากของเธอและล้มลงกับพื้น เธอเพิ่งทำอะไรโง่ๆไปและยังจูบเฉิงเว่ยหราน เพื่อให้เขาดูน่ารังเกียจเป็นการลงโทษ แต่คนแรกที่ถูกรังเกียจกลับกลายเป็นตัวเธอเอง

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสับสนจริงๆ เธอไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำสิ่งนี้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอเป็นสินค้าและเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงชอบเขาก็ถือมันไว้ในมือ เมื่อเขนไม่ต้องการก็จะโยนมันทิ้งและเมื่ออยากได้คืนก็เก็บมันมา

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันด้วยความโกรธ ถ้าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว อยากจะวิ่งเข้าไปกัดอย่างดุเดือด!

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงเปิดประตูเปิด เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆและลุกขึ้นยืนทันที เจี่ยนซวงกระโดดเข้ามาจากด้านนอกของสนามและเห็นเฉิงเว่ยหรานไม่อยู่ที่นั่น เจี่ยนซวงหัวเราะทันที เธอปิดปากและพูดด้วยรอยยิ้ม: “แม่ ลุงเฉิงทนกินอาหารฝีมือแม่ไม่ได้ จนหนีไปแล้วหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดความระคายเคืองทั้งหมดของเธอทันทีและยิ้มให้เจี่ยนซวง พร้อมพูดว่า: “แม่เลิกกับลุงคนนั้นแล้ว แต่ไม่ใช่เพราะแม่ทำอาหารไม่อร่อย เป็นเพราะมันอร่ยเกินจนทำให้เขารู้สึกกดดัน”

เจี่ยนซวงแลบลิ้น ทำหน้ามุ่ย หัวเราะและพูดว่า: “แม่โม้เก่งมาก แต่แบบนี้ก็ดี หนูรู้สึกว่าแม่กับลุงคนนั้น……ไม่ค่อยเหมาะกัน”  “ลูกมีความสุขแบบนี้ แสดงว่าพร้อมจะล้างจานแล้วใช่ไหม?”

เจี้ยนซวงพยักหน้าทันที: “หนูชอบล้างจานที่สุด! ถ้าแม่ไม่ให้หนูล้างจาน หนูจะรู้สึกไม่มีความสุข หนูจะไปล้างเดี๋ยวนี แม่ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า:”โอเค งั้นล้างดีๆนะ อย่าทำจานแตก”

“อืมอา ถ้ามันแตก หนูจะกวาดเอง ถ้ามันบาดมือ หนูจะหาพาสเตอร์มาติดแผล หนูรู้แล้วหน่า!” เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากหลายสิ่งหลายอย่าง เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าเจี่ยนซวงจะสามารถพัฒนาความสามารถในการดูแลตนเองได้ แม้ว่าอาจจะบาดเจ็บตอนทำงานบ้าน แต่เธอก็จำเป็นต้องรู้วิธีจัดการกับบาดแผลด้วย ถึงตอนนี้หมู่บ้านเล็กๆจะค่อนข้างเงียบสงบ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าจะมีอันตรายเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่

หากเธอสามารถดูแลตัวเองและป้องกันตัวเองได้ ไม่ว่าเธอจะพบกับอันตรายอะไรในอนาคตบางทีเจี่ยนซวงอาจมีโอกาสรอดชีวิต เจี่ยนซวงเฝ้าดูเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องครัวและก้าวขึ้นไปบนเก้าอี้เล็กๆ เริ่มล้างจาน ในขณะที่ล้างจานก็ร้องเพลงไปด้วย

ดูเหมือนจะมีความสุขมาก แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวสั่นไปทั้งร่างกาย เมื่อเจี่ยนซวงเข้ามา เจี่ยนอี๋นั่วพยายามระงับความโกรธและกลับสู่สภาวะสงบ จนกระทั่งเธอหลับไปในตอนกลางคืน เจี่ยนอี๋นั่วก็เล่าเรื่องตลกให้เจี่ยนซวงฟัง

แต่เมื่อเจี่ยนซวงหลับไปเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่สามารถนอนหลับได้ เธอจ้องไปที่หลังคารู้สึกเหมือนเป็นเรื่องตลก หลายปีที่ผ่านมา เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้แข็งแกร่งมากนักและต้องการค้นหาความคิดของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เจี่ยนอี๋นั่วอยากเจอเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้และถามว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นอะไร เขากำลังคิดอะไรอยู่?

ในคฤหาสน์ที่เย็นชา เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนเก้าอี้จ้องมองที่หน้าจอตรงหน้าเขา เปิดอยู่ที่ฉากจูบของเจี่ยนอี๋นั่วกับเฉิงเว่ยหราน

ห้องของเขาเป็นเหมือนซากปรักหักพัง ทุกอย่างที่สามารถทุบได้ ถูกเขาทุบพังอยู่บนพื้น เฉิงเว่ยหรานยืนอยู่กลางห้อง ตัวสั่นไม่กล้าพูดอะไร เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรที่มันทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโกรธกว่าเดิม

หลังจากนั้นไม่นาน เหลิ่งเซ่าถิงก็ลดสายตาลงและพูดขึ้นว่า: “ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันให้แกไปเข้าหาเธอเอง แกจะเป็นสามีภรรยากัน มันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันเองก็รู้ดี ไม่เป็นอะไรหรอก ฉันโกรธมาก แต่ไม่ได้โกรธแก ฉันโกรธตัวฉันเอง”

เหลิ่งเซ่าถิง พูดด้วยรอยยิ้มที่เบี้ยว: “แกชอบเธอหรือเปล่า?”

เฉิงเว่ยหรานคิดอยู่สักพัก ไม่รู้ว่าจะตอบยังไง เพราะกลัวว่าถ้าตอบไม่ดี เหลิ่งเซ่าถิงก็โกรธอีก แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็โกรธมากจนทำลายข้าวของในห้อง

เหลิ่งเซ่าถิงลดเสียงลงและพูดด้วยความโกรธ: “แกอยากพูดอะไร ก็พูดออกมา ไม่ต้องกลัว!”

“ชอบ เธอน่ารักมาก” เฉิงเว่ยหรานรวบรวมความกล้าและพูดออกมา: “หลังจากภรรยาของฉันจากไป ฉันคิดว่าฉันคงไม่ตกหลุมรักใครอีก จนมาเจอเธอ แต่เธอปฏิเสธฉันและฉันก็ไม่มีทางเข้าใกล้เธอได้อีก เพราะตอนที่เธอจูบฉัน ฉันหลบมัน ขอโทษนะ……”

“ไม่ต้องพูด” เหลิ่งเซ่าถิงพูดออกมา: “เธอเดาตัวตนของแกได้”

เฉิงเว่ยหรานจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยดวงตาเบิกกว้างในทันทีเพราะวิดีโอนั้นคลุมเครือมาก แม้จะสามารถเห็นการเคลื่อนไหวแต่มันไม่สามารถเห็นรูปร่างปากที่ขยับว่าพวกเขากำลังคุยอะไร เหลิ่งเซ่าถิงรู้ได้ยังไงว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดาตัวตนเขาออก?

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เฉิงเว่ยหรานและพูดว่า:”เพราะฉันรู้จักเธอดีกว่าแก เธอยอมอยู่กับแกเร็วขนาดนี้ เพราะเธอสงสัยตัวแก และเธอเองก็น่าจะคิดมานานแล้ว เลยตัดสินใจอยู่กับแกไงล่ะ”

เมื่อเฉิงเว่ยหรานได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เหลิ่งเซ่าถิงที่กลัวและรู้สึกเขาก็อิจฉา เฉิงเว่ยหรานมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและทำได้เพียงก้มศีรษะลง พร้อมพูดว่า:”ฉันขอโทษ ที่ทำให้เธอรู้ความจริง”

“เธอต้องขู่แกและขอให้แกบอกว่าใครส่งแกสินะ จริงๆเธอรู้ดีอยู่แล้ว แต่แค่ต้องการได้ยินความจริงจากปากแก”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ เขาก็กระตุกมุมปากและพูดว่า: “ตอนนี้เธอคงจะเกลียดฉันมาก เกลียดฉันมากจนนอนไม่หลับ…… ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดออกมาเบาๆ

เฉิงเว่ยหราน พูดขึ้นอย่างรวดเร็ว: “ตราบใดที่เธอเจอคุณเหลิ่ง เธอก็จะรู้ถึงความยากลำบากเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า: “แกไม่รู้จักเธอ เธอจะยิ่งโกรธมากขึ้นเมื่อเห็นฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดพลางก้มศีรษะลง: “แกไปเถอะ หนี้ของแกถือว่าชำระหมดแล้ว ต่อจากนี้แกไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหลิ่งกรุ๊ปอีก ฉันจะไม่ทำให้แกลำบากใจ และจะไม่ช่วยแกอีก แต่ว่า……”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปหน้าจอที่เจี่ยนอี๋นั่วและเฉิงเว่ยหรานจูบกัน: “แต่อย่าให้ฉันเห็นแกอีก ถ้าเจอแกอีก ฉันก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

เฉิงเว่ยหรานตัวสั่นด้วยความตกใจ พยักหน้าทันทีและออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากเดินออกจากห้องของเหลิ่งเซ่าถิง เฉิงเว่ยหรานถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มทั้งน้ำตา: เจี่ยนอี๋นั่วพูดถูกแล้ว ฉันต้องใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความกระวนกระวาย

แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะบอกว่าเธอจะเป็นคนทำอาหาร และเริ่มลงมือ มันต่างจากที่เธอคิด หลังจากทำอาหารได้สักพักเจี่ยนอี๋นั่วก็ยอมแพ้ ถอนหายใจยาว และหันไปมองเฉิงเว่ยหรานที่กำลังยิ้มให้เธอ เธอทำหน้าบึ้งและพูดว่า: “เอาเป็นว่า เธอมาทำดีกว่า”

เฉิงเว่ยหรานยิ้มและเดินไปหยิบมีด เริ่มทำอาหาร เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เฉิงเว่ยหรานอย่างใจจดใจจ่อ จากนั้นไม่นานเฉิงเว่ยหรานก็มีเหงื่อออกที่หน้าผาก เขาอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "อย่ามาจ้องสิ ฉันรู้สึกเกรงนะ"

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้างโดยแสร้งทำเป็นคาดไม่ถึง: "จริงหรอ?"

เฉิงเว่ยหรานพยักหน้า ยิ้มและพูดว่า:"จริงๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเฉิงเว่ยหราน เธอก็ตอบว่า: "งั้นก็ได้ ฉันจะดูเหยียนเหยียนทำการบ้าน ปล่อยเธอไว้คนเดียว เดี๋ยวเธอก็ก่อเรื่องขึ้นอีก"

เฉิงเว่ยหรานมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม ถ้าเสร็จแล้วฉันไปเรียก"

เจี่ยนอี๋นั่วกลับไปที่ห้อง เจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็ย่นจมูกและพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ: "แม่ แม่จะอยู่กับลุงเฉิงคนนี้จริงๆเหรอ? ถึงเขาจะดีกว่าเด็กผู้ชายคนก่อนหน้านี้ แต่หนูก็ยังคิดว่าเขาดีกว่า…… "

เมื่อเจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้ เธอก็หยุดและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ขยิบตายิ้มมุมปากและไม่พูดอะไร ถึงเจี่ยนซวงจะไม่พูด แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าเจี่ยนซวงอยากพูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและยกมือขึ้นลูบหัวของเจี่ยนซวงและถามว่า:"ลูกอยากเจอพ่อจริงๆหรอ?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันทีและรีบพูดว่า: "อยากเจอ หนูอยากเจอพ่อมาก หนูอยากกินอาหารที่พ่อทำ ถึงแม้ฝีมือของลุงเฉิงจะอร่อย แต่หนูก็อยากกินฝีมือพ่อ แม่คะ ทำไมหรอ? พ่อมาหาเราหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: "เปล่า แค่รู้สึกส่าพ่อน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเรา"

เจี่ยนซวงไม่เข้าใจสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด ทำหน้ามุ่ยและพูดว่า: "แม่จะบอกว่าพ่ออยู่เคียงข้างเราตลอดอีกแล้วงั้นหรอ? บอกว่าที่เราอยู่ได้อย่างสงบก็เป็นเพราะพ่อ? ถ้าแม่จะพูดพวกนี้ หนูรู้ตั้งนานแล้ว”

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ก้มศีรษะลงทำการบ้าน และพึมพำเสียงออกมา: "ยังไงพ่อก็ไม่รักพวกเราแล้ว ใครจะเป็นพ่อก็เหมือนกัน ลุงเฉิงยังทำกับข้าวให้หนูตั้งหลายมื้อ พ่อทำให้หนูแค่ครั้งเดียว ลุงเฉิงเป็นพ่อยังดีกว่า! ที่จริงหนูก็แทบจะจำหน้าพ่อไม่ได้แล้ว อีกหน่อยถ้าแม่แต่งงานกับลุงเฉิง หนูก็จะให้ลุงเฉิงเป็นพ่อ ไม่ต้องการพ่อคนนั้นอีกต่อไป”

เจี่ยนอี๋นั่วมองลงไปที่เจี่ยนซวง และกวาดมุมปากไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพยายามแค่ไหนดูเหมือนว่าเขาจะไม่สามารถชดเชยพ่อที่เสียไปให้เจี่ยนซวงได้ หลังจากที่เจี่ยนซวงโตขึ้น เจี่ยนซวงก็ค่อยๆเปลี่ยนจากคำถามที่ว่าทำไมเธอถึงไม่มีพ่อไปสู่ความรำคาญว่าทำไมพ่อของเธอถึงไม่สนใจเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆและทำได้เพียงเฝ้าดูเจี่ยนซวงทำการบ้านอย่างเงียบๆ จนกระทั่งเฉิงเว่ยหรานมาเรียกเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงไปกินข้าว เจี่ยนซวงวางปากกาลงและเดินออกไปพร้อมเจี่ยนอี๋นั่ว เจี้ยนซวงกินไปคำนึง จากใบหน้าที่เหี่ยวย่นก็ค่อยๆคลี่ออกและตะโกนออกมาว่า: "อร่อยมากเลย"

เฉิงเว่ยหรานยิ้มและพูด:"ถ้าหนูชอบ ก็กินเยอะๆนะ"

เมื่อกี้เจี่ยนซวงยังอารมณ์ไม่ดีเรื่องพ่อ แต่เมื่อเธอได้กินอาหารอร่อยๆ เธอก็มีความสุขขึ้นมาทันที ข้าวในจานหมดไปอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนซวงกินกินข้าวเสร็จ มีเม็ดข้าวเล็กๆติดที่หน้าเธอ เฉิงเว่ยหรานนั่งอยู่ข้างๆ เธอกระพริบตา ยิ้มแล้วถาม: "ลุงเฉิง ลุงจะแต่งงานกับแม่เมื่อไหร่? หนูพร้อมจะมีพ่อแล้ว”

ใบหน้าของเฉิงเว่ยหรานแดงขึ้นทันที เขาเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นมองไปที่เจี่ยนซวงและหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้: "เรื่องนี้……ต้องถามแม่หนูแล้วล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวง พูดเบาๆว่า: "อย่ามัวพูด กินเสร็จแล้ว เอาจานของตัวเองไปวางที่อ่างล้างจาน แล้วออกไปเล่น แต่ตอนออกไปข้างนอกห้ามรังแกเพื่อนคนอื่นนะ”

เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้ม: "หนูจะรังแกเพื้อนได้ยังไง มีแต่เพื่อนที่ชอบรังแกหนู"

หลังจากที่เจี้ยนซวงพูดจบ เธอก็ลุกขึ้น หยิบจานและเดินไปเก็บที่อ่างล้างจาน

จากนั้นเจี่ยนซวงก็ตะโกนว่า: "หนูออกไปแล้วนะ แม่ เดี๋ยวหนูกลับมาล้างเอง" และวิ่งออกไป

เฉิงเว่ยหรานแปลกใจเล็กน้อย: "เธอล้างจานเป็นหรอ?"

เมื่อเห็นเจี่ยนซวงจากไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและหันไปมองเฉิงเว่ยหราน: "อืม ฉันกับลูกผลัดกันล้างจาน วันนี้เป็นตาของเธอ ถึงแม้บางครั้งเธอจะล้างไม่สะอาด แล้วเด็กก็ชอบพูดไปเรื่อย เธออย่าไปสนใจเลย”

เฉิงเว่ยหรานยิ้มและส่ายหัว: "ต้องสนสิ ตอนนี้สำหรับเธอแล้วการแต่งงานมันอาจจะดูเร็วไปหน่อย แต่ฉันพร้อมที่จะแต่งงาน เธออย่าตกใจนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เฉิงเว่ยหราน แล้วถามด้วยรอยยิ้ม: "แล้วครอบครัวของเธอเห็นด้วยกับเรื่องนี้ไหม?"

เฉิงเว่ยหรานตอบว่า: "พ่อแม่ของฉันจากไปแล้ว ญาติๆของฉันก็ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่มีใครสนใจหรอกว่าฉันจะแต่งงานกับใคร ฉันย้ายมาอยู่กับเธอที่นี่ก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วลดตาลงหัวเราะเบาๆและพูดว่า:"เธอเหมือนสามีที่สมบูรณ์แบบที่ตกลงมาจากสวรรค์เลย"

เฉิงเว่ยหรานก้มหัวลงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ยังไม่ดีขนาดนั้นหรอก ฉันต้องพยายามกว่านี้ เรียนรู้วิธีดูแลเด็กและการเป็นพ่อที่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น โน้มตัวไปหาเขาและกระซิบ: "ที่จริงเธอดีมากแล้ว"

เมื่อเฉิงเว่ยหรานได้กลิ่นจางๆของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ตะลึงทันที แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเข้ามาใกล้เขาและเกือบจะจูบเขา เฉิงเว่ยหรานก็ตัวสั่นอย่างกะทันหันและผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก เฉิงเว่ยหรานเหลือบมองไปที่กล้องในสนามแล้วถอยหลังสองสามก้าวราวกับหวาดกลัว

เฉิงเว่ยหรานเช็ดเหงื่อออกจากใบหน้าและพูดด้วยความตื่นตระหนก: "ขอ ขอโทษ……."

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงศีรษะและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน: "เธอเป็นอะไรไป? เหมือนกลัวฉันเลย เธอไม่ชอบผู้หญิง ชอบผู้ชายงั้นหรอ?"

"ไม่ใช่ ฉันชอบเธอมาก!" เฉิงเว่ยหรานพูดอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เฉิงเว่ยหรานพูดจบ เขาก็หายใจเข้าลึกๆก้มศีรษะลงและพูดเสียงเบาๆ:“ ฉันชอบเธอ……ฉันชอบเธอมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน จากนั้นก็ยิ้มและพูดว่า :"แล้วมันเป็นเพราะอะไร? เป็นเพราะมีคนส่งเธอเข้าหาฉันงั้นหรอ? เธอกลัวถ้าเข้าใกล้ฉันเกินไปแล้วจะทำให้คนที่ส่งเธอมาโกรธงั้นหรอ? ใคร? ใครอยู่เบื้องหลังเธอ? "

เฉิงเว่ยหรานมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จ้องมองไปที่กล้องในสนาม และพูดเบาๆมีแค่เขาและเจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้นที่สามารถได้ยิน เขากระซิบว่า: "เธอหมายความว่าอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ที่นี่ไม่มีเครื่องดักฟัง พวกเขาไม่ได้ยินที่เราคุยกันหรอก และพวกเขาไม่รู้ว่าเธอล้มเหลว แต่ถ้าเธอไม่พูดอะไร ฉันก็อาจจะออกไปเจอกับเหลิ่งเซ่าถิงคนที่ส่งเธอเข้าหาฉัน บอกว่า เรื่องที่เธอพยายามเข้าหาฉันมันล้มเหลว เธอไม่มีทางทำสำเร็จ แถมยังตกหลุมรักฉัน อาจจะทำให้คนที่ส่งเธอมายิ่งโกรธ”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอยกมือขึ้นและลูบใบหน้าของเฉิงเว่ยหราน ยิ้มและพูดว่า: "เธอได้ใช้ประโยชน์จากฉันและยังกินข้าวกับฉัน พูดคุยสนทนาทั้งวัน สุดท้ายก็ตกหลุมรักฉัน เธอคิดว่าคนนั้นจะปล่อยเธอไว้งั้นหรอ? บอกมาเถอะ เหลิ่งเซ่าถิงใช่ไหม?”

เฉิงเว่ยหรานทำหน้ามุ่ยและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอ……ไม่น่าแปลกใจที่เธอจะกลายเป็นผู้หญิงของเขา…… "

เฉิงเว่ยหรานถอนหายใจเบาๆ ก่อนที่จะลดเสียงลงและพูดว่า:“ ยังไงเธอก็รู้แล้ว จะถามอีกทำไม? เขาให้ฉันมาดูแลพวกเธอ เขาคิดว่าเธอและลูกสาวต้องมีผู้ชายคอยดูแล ก็เลยให้ฉันแกล้งทำเป็นผู้ชายที่มีใจให้เธอ ทำให้เธอและลูกสาวยอมรับฉัน”

"ทำไม?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน: "ทำไมเขาต้องจัดการแบบนี้? เกิดอะไรขึ้นกับเขา?"

เฉิงเว่ยหรานส่ายหัวทันที: "เปล่า เป็นเพราะคนที่ชื่อมั่วเชียนมารบกวนเธอ ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชายคนอื่นไล่ตามเธอมาก่อนแต่เงื่อนไขก็ธรรมดาและจะไม่ทำให้เธอหลงใหล แต่มั่วเชียนนั้นแตกต่างออกไป เขายังเด็กและหล่อเหลา แต่เนื่องจากเขายังเป็นวัยรุ่น คุณเหลิ่งรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อถือ เขาจึงต้องการเลือกสามีที่สมบูรณ์แบบกว่านี้ให้เธอ ผู้ชายที่ยอดเยี่ยมและมั่นคงกว่ามั่วเชียนและจะไม่มีวันทำร้ายเธอ”

"เหอะ……" เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ยกมือขึ้นปิดหน้าและหัวเราะเยาะ: "เขาคิดว่าเขาเป็นใคร? ทำไมเขาถึงมาควบคุมชีวิตของฉัน? เพราะงั้นสามีที่สมบูรณ์แบบคนนั้นก็คือเธอ? เธอมีอะไรเชื่อได้บ้าง?”

เฉิงเว่ยหรานเหลือบมองไปทางประตู ไม่เห็นใครเข้ามา กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา: "ครั้งแรกที่ฉันบอกว่าฉันชอบเธอ มันปลอม แต่ความชอบที่ตามมาทั้งหมดเป็นความจริง เมื่อฉันเข้าหาเธอครั้งแรกฉันอ่านข้อมูลของเธอ เธอเคยเป็นผู้หญิงของเขา ฉันคิดว่าเธอจะเป็นผู้หญิงที่เหนือกว่าฉัน ไม่คิดว่าเธอจะเป็นคนง่ายๆและสบายใจเวลาที่อยู่ด้วย และ…… "

เฉิงเว่ยหรานพูดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วและกระซิบ: "และเธอก็ทำให้ฉันหวั่นไหว ฉันชอบเธอมาก"

"เธอไม่ใช่พ่อครัวธรรมดาสินะ? เธอไม่ได้มาจากร้านขายอาหารริมทาง?" เจี่ยนอี๋นั่วเหล่ไปที่เฉิงเว่ยหรานและถามออกมา

เฉิงเว่ยหรานพยักหน้า จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว: "นอกเหนือจากนี้ ฉันก็ไม่มีอะไรโกหกเธอ รวมถึงการหย่าร้างของฉัน มันเป็นความจริงทั้งหมด คุณเหลิ่งเตรียมทุกอย่างเมื่อปีก่อน เขาเคยบอกกับฉันว่า ฉันต้องอยู่กับเธอตลอดไป เธอฉลาดมากและตัวตนที่แท้จริงจะสามารถป้องกันไม่ให้เปิดเผยตัวตนของฉันได้ง่ายๆ อันที่จริงถ้ามั่วเชียนไม่ออกมาก่อน ฉันอาจจะมีเวลาฝึกอยู่ข้างเธอนานกว่านี้ ความจริงทั้งหมดก็คงไม่ถูกเปิดเผย”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจและพูดด้วยรอยยิ้มที่เบี้ยว: "เขารู้วิธีทำให้ฉันเกลียดเขาจริงๆ!"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ดึงเฉิงเว่ยหรานและจูบริมฝีปากของเฉิงเว่ยหรานทันที ดวงตาของเฉิงเว่ยหรานเบิกกว้างก่อนที่จะยกมือขึ้นกอดเธอ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและผลักเขาออก กระซิบกับเฉิงเว่ยหรานว่า: "นี่คือบทลงโทษที่เธอโกหกฉัน!"

เฉิงเว่ยหรานได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วและหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆเหยียบคันเร่ง ขับรถเร็วมาก และกลับไปถึงหมู่บ้านทันที เมื่อรถหยุด เฉิงเว่ยหรานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันคิดว่าเธอจะเหยียบคันเร่งอีก แรงแค่นี้หรอ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหันกลับมาอุ้มเจี่ยนซวงลงจากรถ: "ก็ลูกสาวฉันอยู่ด้วยนิ ฉันจะกล้าขับเร็วขนาดนั้นได้ไง จะว่าไปฉันก็ไม่ได้ขับรถนานละนะ แต่ฝีมือยังไม่ตกเลย "

เจี่ยนซวงลงจากรถมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นที่เฉิงเว่ยหราน ย่นจมูกและส่งเสียงเบาๆ จากนั้นเจี่ยนซวงก็รีบเดินเข้าบ้าน พร้อมกระเป๋านักเรียนใบเล็กบนหลัง เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่ด้านหลังของ เจี่ยนซวง ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า: "ดูเหมือนว่าเธอจะเดาออกแล้ว มีลูกสาวที่ฉลาดก็ไม่ค่อยดีนะ"

เฉิงเว่ยหรานเหลือบมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนซวง หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างกังวลว่า: "ฉันควรอธิบายให้เธอฟังไหม?"

"อธิบายอะไร? มันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว จะโกหกเธอว่าเราไม่ได้อยู่ด้วยกันงั้นหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว เหล่ตามองเจี่ยนซวงและกระซิบ: "แม้ว่าจะไม่ใช่เธอ เธอก็จะพยายามยอมรับผู้ชายคนอื่นของฉัน "

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม หันศีรษะและมองไปที่เว่ยหรานและพูดว่า: "ไปเถอะ ถึงบ้านฉันแล้ว ฉันกินข้าวของเธอไปหลายมื้อแล้ว เดี๋ยววันนี้ฉันเลี้ยงเอง แต่ฝีมือการทำอาหารแย่หน่อยนะ เธอช่วยฝืนกินหน่อย อย่าอ้วกออกมาก็พอ”

เฉิงเว่ยหรานหัวเราะและพยักหน้า: "ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เครื่องเทศมากเกินไป ฉันจะไม่อ้วกออกมา งั้นเดี๋ยวฉันไปซื้อผักมาให้ อยากได้ผักอะไรบ้างล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: "ไม่ต้องหรอก ที่บ้านมีหมดแล้ว ถ้าไม่พอ เดี๋ยวฉันโทรเรียกให้คนส่งมาให้ อย่าลืมสิ ฉันมีแปลงผักหลายแปลงนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม จากนั้นยิ้มและกวักมือเรียกเฉิงเว่ยหราน: "เข้าไปในบ้านกันเถอะ”

เมื่อเฉิงเว่ยหรานได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาก็สว่างขึ้นและเขาก็พยักหน้าทันที เดินเจี่ยนอี๋นั่วเข้าบ้าน

เมื่อเขาเดินไปที่สวนหน้าประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเจี่ยนซวงยืนอยู่ที่ประตู มั่วเชียนก็มีใบหน้าที่ซีดเซียวและขมวดคิ้ว เจี่ยนอี๋นั่วตกใจเมื่อเห็นมั่วเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฏตัวของมั่วเชียน เจี่ยนอี๋นั่วคงลืมไปแล้วว่ามีมั่วเชียนอยู่ด้วย

"เธอ……." เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่ามีคนยอกว่ามั่วเชียนไปแล้ว แต่ทำไมตอนนี้มั่วเชียนยังอยู่ที่นี่?

เจี่ยนอี๋นั่วจึงถามว่า: "ทำไมเธอถึงกลับมา?"

มั่วเชียนเม้มริมฝีปากและพูดว่า: "ฉันมาหาเธอ"

มั่วเชียนพูด พลางหันหน้าไปมองเฉิงเว่ยหรานและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า: "ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?"

เฉิงเว่ยหรานยิ้มทันทีและพูดเบาๆว่า: "ฉันเป็นใคร คงต้องให้หวันถิงแนะนำซะหน่อย ใช่ไหมหวันถิง?"

แม้ว่าเฉิงเว่ยหรานจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าและน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่มั่นใจ

มั่วเชียนพูดขึ้นว่า: "แกเป็นอะไร? แกเรียกชื่อเธอได้หรอ?"

"พอดล้ว อย่าทะเลาะกัน" เจี่ยนอี๋นั่วขัดจังหวะทั้งสองคน

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ มองลงไปที่เจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เจี่ยนซวง ลูกเข้าบ้านไปทำการบ้านก่อน"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พึมพำว่า: “แต่ว่าแม่…… ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว: "ไม่มีแต่ เข้าบ้านไปก่อน"

จากนั้นเจี่ยนซวงก็พยักหน้า มองไปที่เว่ยหราน จากนั้นก็จ้องมองมั่วเชียน ทำหน้ามุ่ยและเดินเข้าบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆเมื่อเห็นเจี่ยนซวงจากไป เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยมีความรู้สึกเป็นสาวฮอตเหมือนเด็กผู้หญิงคนอื่นๆตอนอายุยี่สิบ บางคนได้รับจดหมายรักใต้ลิ้นชัก แต่เธอไม่เคยได้รับจดหมายรัก อาจจะเป็นเพราะเวลามีผู้ชายเข้าใกล้ เธอมักจะพูดว่า "น่ารำคาญ" ทำให้ผู้ชายทุกคนกลัวและไม่กล้าจีบเธอ

เมื่อถึงวัยผู้ใหญ่ ชีวิตทางอารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ซับซ้อนเช่นกัน เวลาเธอตกหลุมรักผู้ชาย เธอจะไม่มีอารมณ์พัวพันกับผู้ชายคนอื่นอีกต่อไป สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วความหลงผิดของเหลิ่งหมิงอัน เป็นอุบัติเหตุในชีวิตของเธอและเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เห็นเหลิ่งหมิงอันเป็นเหมือนคนปกติ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือปลอม เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยฝันว่า: "ผู้ชายสองคนกำลังแย่งผู้หญิงคนเดียว" จะมาเกิดขึ้นกับเธอตอนอายุสามสิบ และมันเกิดขึ้นตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็คิดว่ามันไร้สาระ แต่รู้สึกอายมากกว่า ยิ่งมันเกิดขึ้นต่อหน้าเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกอายกว่าเดิม

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหน้าผากของเธอเบาๆ หันศีรษะและมองไปที่เฉิงเว่ยหรานที่ยังคงยิ้มให้มั่วเชียนและพูดว่า: "นี่คือ คุณเฉิงเว่ยหราน ตอนนี้เป็นแฟนของฉัน"

มั่วเชียนขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยความไม่เชื่อ: “ เป็นไปไม่ได้ ทำไมเธอถึงมีแฟนไวขนาดนี้?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหันหน้าไปมองเฉิงเว่ยหราน จากนั้นก็เหล่ไปที่มั่วเชียนและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เกรงว่าจะเป็นสิ่งที่เธอไม่ควรถาม"

"ทำไมถึงถามไม่ได้?" มั่วเชียนยังคงถามต่อไป: "เธอต้องการจะหลอกฉันใช่ไหม ถึงไปอยู่กับมันได้"

เฉิงเว่ยหรานขมวดคิ้วเขาจะต้องการพูด แต่เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเพื่อหยุดเฉิงเว่ยหรานทันทีและพูดว่า: "เรื่องนี้เป็นเรื่องของฉัน ไม่ต้องห่วง ฉันจะจัดการเอง"

"ได้" เฉิงเว่ยหรานยิ้มและพยักหน้า ก้าวถอยหลังเล็กน้อย ปล่อยให้เจี่ยนอี๋นั่วกับมั่วเชียนคุยกัน

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ท่าทางของเฉิงเว่ยหรานและถอนหายใจในใจ: พฤติกรรมของเฉิงเว่ยหราน ทำให้ฉันตกหลุมรักทุกทีเลย

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้ยิ้มอย่างขมขื่น จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองมั่วเชียนและพูดว่า: "เพราะคำถามของเธอเมื่อกี้ ถ้าเป็นเขา เขาจะไม่ถามมาก เขาจะหันกลับและจากไป ไม่รบกวนอีก มั่วเชียนเธอยังเด็ก ฉันไม่รู้ว่าเธอจะโตเป็นผู้ใหญ่ในอีกไม่กี่ปี แต่ตามอายุปัจจุบันของเธอ เธอก็รู้ต่อให้พยายามแค่ไหน ถ้าไม่ชอบก็ค่อไม่ชอบ ฉันไม่มีทางที่จะอยู่กับเธอ ไม่ว่าฉันจะเลือกยังไง อีกอย่างฉันก็ไม่จำเป็นที่ต้องเอาผู้ชายคนอื่นเพื่อมาหลอกเธอ”

มั่วเชียนเม้มปากของเขา ตาของเขากลายเป็นสีแดง สำลักและพูดว่า: "เธอพูดจริงหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "เป็นเรื่องจริง อีกไม่กี่ปีเธอก็คงลืมว่าฉันเป็นใคร ที่โรงเรียนมีสาวสวยมากมายรอให้เธอตามจีบ ฉันพูดกับเธอแบบนี้แล้ว หวังว่าเธอจะไม่มากวนฉันอีก”

"กวนเธอ?" มั่วเชียนขมวดคิ้ว:"ถ้าฉันอยากกวนเธอต่อไปล่ะ?"

"ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะโทรหาตำรวจ ฉันว่าตำรวจคงมีวิธีหยุดเธอจากการคุกคามแบบนี้" เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ลดเสียงลงและหรี่ตา: "แต่นั่นจะทำลายอนาคตของเธอทั้งหมด เธอลองคิดให้ดี"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอละสายตาและมองไปที่มั่วเชียน เธอดูจริงจังและดูเหมือนว่าไม่ได้ล้อเล่น มั่วเชียนไม่เคยถูกปฏิเสธที่เด็ดขาดแบบนี้มาก่อน เขาตกตะลึงทันที

จนกระทั่งเจี่ยนอี๋นั่วและเฉิงเว่ยหรานเดินเข้ามาถึงประตู มั่วเชียนยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงง เฉิงเว่ยหรานเดินเข้ามาและยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นว่า: "วิธีจัดการของเธอ เจ็บอยู่นะ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ถ้าไม่จัดการด้วยวิธีนี้ มันจะทำให้ผู้คนเจ็บปวดมากขึ้น ทำไมฉันต้องให้ความหวังเขา ปล่อยให้เขาเสียเวลากับฉันต่อทำไมล่ะ?"

เฉิงเว่ยหรานยิ้มและถาม: "ก่อนหน้านี้เธอก็จัดการกับคนเก่าเธอแบบนี้หรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักครู่และส่ายหัว: "ก่อนหน้านี้ ฉันสูงส่งมากและความฉลาดในตัวของฉันอาจทำให้ผู้ชายเหล่านี้หวาดกลัว แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว ไม่งั้นผู้ชายที่ฉันชอบก็คงจะมาเตะฉัน ก่อนหน้านี้ฉันเจอกับหมอคนหนึ่ง เขาบอกว่าชอบฉันมานานแล้ว ความรู้สึกของเขาไม่เคยเปลี่ยนไป แต่เขาไม่ให้เกียรติฉัน แต่วิธีนี้ไมได้ผลกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างฉัน มีพวกเขามาชอบก็บุญแล้ว ยังจะไปปฏิเสธพวกเขาอีก แทนที่จะขอบคุณพวกเขา แต่ทำไมถึงกล้าปฏิเสธ?”

เฉิงเว่ยหรานมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แต่ในสายตาของฉัน เธอยังคงมีมีเสน่ห์มาก”

"ฮ่าฮ่า……. " เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะออกมา: “ถึงบอกไงว่าฉันเลือกคนไม่ผิด"

รอยยิ้มของเฉิงเว่ยหรานหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลดศีรษะลงทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ที่จริงแล้วเมื่อกี้เธอพูดผิด ถ้าตอนนี้ฉันเป็นเด็กคนนั้น ฉันจะไม่หันกลับไปในทันที ฉันจะรอ ถ้าเกิด……ถ้าเกิดเธอตอบตกลงฉันล่ะ?”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม: "แถมฉันก็ยังดีกว่าเด็กผู้ชายพวกนั้นมาก ฉันคิดว่าฉันมีโอกาสมาก แต่เด็กผู้ชายพวกนั้นจะรู้วิธีเลี้ยงครอบครัวได้ยังไง? เลี้ยงเด็กยังไง? และไม่มีความรับผิดชอบ ผู้ชายอย่างฉันนี่แหละดีที่สุด……

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปชั่วขณะเมื่อเธอได้ยินคำพูดของเฉิงเว่ยหราน เธอจำที่ที่เธอดูเหมือนจะได้ยินคำพูดคล้ายๆกัน เจี่ยนอี๋นั่วคิดหนักอยู่พักหนึ่ง แต่ก็คิดไม่ออก

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึง เฉิงเว่ยหรานก็ถามอย่างกระวนกระวาย:"ทำไมหรอ? ฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่า? ทำไมเธอถึงตกตะลึงขนาดนี้?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เปล่า ฉันกำลังคิดว่าวันนี้จะทำอะไรดี"

"อย่ามัวพูดเรื่องความรัก รีบไปทำกับข้าวเถอะ หนูจะหิวตายแล้ว!" เจี่ยนซวงตะโกนเสียงดังออกมาจากบ้าน

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้เฉิงเว่ยหรานทันทีและพูดว่า: "ถ้าอย่างนั้นรับไปทำกับข้าวให้เธอเถอะ ปล่อยให้ลูกสาวฉันหิวไม่ได้ เดี๋ยวเธอโมโห เธอเป็นนางฟ้าตัวน้อยที่ชอบกินหมูตุ๋น"

"ซี่โครงหมูตางหาก!" เจี่ยนซวงตะโกนออกมา: "หนูไม่ชอบหมูตุ๋นแล้ว หนูชอบซี่โครงหมูและปลาตะเพียนตุ๋นในซอสเผ็ด…… "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน จากนั้นก็หัวเราะเบาๆ : "พ่อของเหยียนเหยียนหรอ?"

เฉิงเว่ยหรานคิดสักพัก แล้วส่ายหัว: "ช่างเถอะ ฉันพูดผิดไป ฉันไม่ควรไปเทียบกับเขา"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ไม่มีอะไรที่ควรหรือไม่ควร แต่เรื่องระหว่างฉันกับเขาผ่านไปแล้ว ไม่มีอะไรให้เทียบ ฉันอยู่กับเธอตอนนี้และฉันจะไม่คิดถึงผู้ชายคนอื่นอีกแล้ว "

เมื่อเฉิงเว่ยหรานได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนี้ เขาก็หัวเราะเบาๆ พยักหน้าและพูดว่า : "จริงๆความคิดเธอกับฉันไม่เหมือนกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน: "เธอคิดยังไงกับฉัน?"

เฉิงเว่ยหรานอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอก็ส่ายหัวไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ยังไงก็ไม่ใช่แบบนี้ ฉันเคยคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีอำนาจมาก ไม่คิดว่าจะคุยง่ายแบบนี้ และเราก็อยู่ด้วยกันได้ "

“อือ……ฉันเคยมีทัศนคติที่ไม่ดีกับเธอมาก่อน ทำให้เธอกลัวกรอ?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามด้วยรอยยิ้ม

เฉิงเว่ยหรานครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า: "อืม ฉันกลัวมากตอนที่รู้จักเธอครั้งแรก"

เจี่ยนอี๋นั่ว โค้งริมฝีปากและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้ารู้งี้ฉันน่าจะทำต่อไป ปล่อยให้เธอกลัวฉัน บางทีเธออาจจะดีกับฉันมากกว่านี้"

เฉิงเว่ยหรานมองไปที่รูปลักษณ์ที่มีเสน่ห์ของเจี่ยนอี๋นั่ว อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ชำเลืองมองเวลาแล้วยิ้ม พูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ ฉันจะส่งเธอไปโรงเรียน เวลานี้เหยียนเหยียนกำลังจะเลิกเรียนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "โอเค รีบไปกันเถอะ อย่าให้เธอรอนาน ปล่อยให้เหยียนเหยียนรอหน้าประตูโรงเรียนนานเกิน เดี๋ยวตังในกระเป๋าเธอจะหายไปกับหมูปิ้งหน้าโรงเรียนหมด กินเยอะแล้วเดี๋ยวปวดท้อง”

“ เด็กๆก็ชอบกินของพวกนี้แหละ”

เฉิงเว่ยหรานหัวเราะและพูดว่า: "ถ้าเหยียนเหยียนชอบกินหมูปิ้ง สักวันฉันจะเตรียมของทำบาร์บีคิวกับเธอ ฝีมือการทำบาร์บีคิวของฉันก็ดีมากเช่นกัน เธอจะต้องชอบมันแน่ๆ "

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเฉิงเว่ยหรานพูดแบบนี้ ค่อยๆคลี่ยิ้มออกมา หันหน้าไปมองเฉิงเว่ยหรานที่กำลังขับรถอย่างตั้งใจ จากนั้นลดศีรษะ หันหน้าไปทางด้านข้างและมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เจี่ยนอี๋นั่ว ขยับริมฝีปากและพูดว่า: "ฉันขอโทษ" อย่างเงียบๆ

เมื่อพวกเขามาถึงโรงเรียน เจี่ยนซวงนั่งยองๆที่แผงขายหมูปิ้งหน้าโรงเรียน ขณะที่กลืนน้ำลายก็พูดกับลุงที่ทำขายว่า: "ลุง ขอเผ็ดกว่านี้ ฉันชอบอาหารรสเผ็ด รีบทำหน่อย ไม่อย่างนั้นถ้าเดี๋ยวแม่หนูมาถึง ไม่ให้หนูกิน ลุงจะเสียลูกค้านะ เร่งหน่อยนะคะ”

"อืม ไม่มีอะไรที่เธอไม่ชอบ" จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา

เจี่ยนซวงได้ยินเสียงของเจี่ยนอี๋นั่ว หายใจเข้าลึกๆ ลังเลอยู่นานก่อนจะหันไปอย่างช้าๆและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มแห้ง: "แม่ มาแล้วหรอ หนูไม่ได้ตั้งใจจะกินหมูปิ้ง หนูรอแม่มานานแล้ว รอจนหิวก็เลยอดใจไม่ไหว”

เจี่ยนอี๋นั่วเหล่ไปที่เจี่ยนซวง จากนั้นยิ้มและถาม: "แล้วตอนนี้เห็นแม่แล้ว ไม่รู้สึกโล่งใจหรอ? รู้สึกแน่วแน่มากใช่ป่าว?"

เจี่ยนซวงกระพริบตา กระตุกจมูก พยักหน้า หลังจากคิดอยู่พักหนึ่งและพูดเบาๆว่า: "อืม รู้สึกสบายใจจริงๆ"

"อะไรกัน ไม่หิวแล้วใช่ไหม?" เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าไม่หิวแล้ว งั้นแม่กินหมูปิ้งหมดนี้เลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบหมูปิ้งของเจี่ยนซวงขึ้นมาและเตรียมที่จะกิน แต่ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะกัด มือของเจี่ยนอี๋นั่วก็ถูกหยุดไว้ หันไปมองและเห็นเฉิงเว่ยหรานขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว: "ตอนนี้เธอกินของพวกนี้ไม่ได้ ร่างกายของเธอ…… "

เจี่ยนอี๋นั่วขยิบตาให้เฉิงเว่ยหรานทันทีและเจี่ยนซวงอ่อนไหวเกินไปเพราะเธอยังเด็ก เมื่อเธอมาที่หมู่บ้านนี้ครั้งแรก ตอนที่เธอหลับใต้หมอนก็ต้องมีมีดซ่อนไว้ ตอนนี้เจี่ยนซวงมีสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้เธอต้องมากังวลกับสุขภาพของเธอ

เฉิงเว่ยหรานเข้าใจการแสดงของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหยุดพูดทันทีและยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว:“ เธอไม่ชอบกินของพวกนี้ไม่ใช่หรอ? ฉันกินเอง”

เฉิงเว่ยหรานพูดพลางหยิบหมูปิ้งมาและกำลังจะกิน ลุงขายหมูปิ้งก็ตะโกนอย่างไม่เต็มใจ: "ทำอะไรของพวกแก? หมูปิ้งของฉันมียาพิษหรือไง? ทำไมทำท่าทีเหมือนกำลังจะกินยาพิษ? พวกแกเป็นครอบครัวที่รักกันจริงๆ หลีกไป ฉันจะขายของต่อ”

เมื่อได้ยินคนขายหมูปิ้งพูดอย่างนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆและขอโทษอย่างรวดเร็ว: “ ขอโทษด้วยนะ เราทำไม่ดีเอง หมูปิ้งนี้เรายังรับอยู่ คุณไม่ต้องเอากลับไปหรอก”

เฉิงเว่ยหรานยิ้มและพูดว่า: "ผมกำลังจะกิน คุณลุงอย่าโกรธสิครับ"

ลุงยื่นมือออกไป เขาดูอารมณ์ไม่ดี เจี่ยนอี๋นั่วและเฉิงเว่ยหรานถูกเขาดุแต่พวกเขายังหัวเราะ ลุงปิ้งหมูปิ้งแล้วส่งให้เฉิงเว่ยหรานยิ้มพูดว่า: "ถ้าอร่อย งั้นก็กินแกสิ"

เฉิงเว่ยหรานมองไปที่หมูปิ้งในมือ สีหน้าของเขาดูแข็งกระด้างเล็กน้อย แต่เมื่อเขาขมวดคิ้ว เขาก็กินหมูปิ้งทั้งหมด เฉิงเว่ยหรานเคยเป็นพ่อครัวและมีรสนิยมที่ดี หลังจากกินหมูปิ้งเหล่านี้แล้ว รสชาติที่มีนุ่มนวลและปรุงรสที่หนักหน่วง เฉิงเว่ยหรานก็ยิ้มและต่อต้านความรู้สึกไม่สบายและค่อยๆกลืนมันลงไป

เพียงแค่ใบหน้าของเฉิงเว่ยหรานนั้นน่าเกลียด เมื่อเขานั่งอยู่ในรถกับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนซวงเหลือบมองไปที่ใบหน้าของเว่ยหรานแล้วประกบปากของเธอ ดึงที่มุมเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วและกระซิบ: "เขาเป็นอะไร? กินหมูปิ้งของหนูหมดยังมาทำหน้าแบบนี้อีก?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดอย่างเย็นชา: "แม่ยังไม่ได้ลงโทษเราเลย ยังจะมาว่าคนอื่นอีก "

เจี่ยนซวงยังคงรู้วิธีมองหน้าของเธอและปิดปากทันที ขมวดคิ้ว กอดอกและนั่งที่เบาะหลังของรถด้วยความโกรธ

เมื่อรถสตาร์ท เจี่ยนอี๋นั่วเห็นการแสดงออกของเฉิงเว่ยหรานน่าเกลียดยิ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามว่า: "เธอเป็นอะไร? ไม่สบายตัวหรอ?"

เฉิงเว่ยหรานปิดปากของเขา หันศีรษะและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นหยุดรถทันทีถึงข้างทางแล้วอ้วกออกมา เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงทันทีและมองไปที่เจี่ยนซวงโดยไม่รู้ตัว เจี่ยนซวงยักไหล่และพูดอย่างไร้เดียงสา: "แม่ หนูไม่ได้วางยาบนหมูปิ้งนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้: "แม่ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ลงจากรถทันทีและเดินไปที่ด้านข้างของเฉิงเว่ยหราน และถามเฉิงเว่ยหราน: "เป็นอะไร? ไม่สบายหรือเปล่า?"

เฉิงเว่ยหรานโบกมือและนั่งยองๆอยู่ข้างถนน ไม่สามารถลุกขึ้นได้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันกลับไปซื้อน้ำแร่หนึ่งขวดที่แผงหนังสือข้างๆ ส่งให้เฉิงเว่ยหราน: "อะ ดื่มน้ำก่อน ดื่มน้ำเยอะๆเผื่อจะช่วยได้"

เฉิงเว่ยหรานเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็เอาน้ำล้างปาก คิ้วของเฉิงเว่ยหรานก็เหยียดออกและเขาก็จิบน้ำ เฉิงเว่ยหรานลุกขึ้น ส่ายหัวและพูดว่า: "อาหารริมถนนร้านนี้กินไม่ได้จริงๆ รสชาติเข้มข้นเกินไป"

"ความรู้สึกรับรสของเธอไวมาก" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม: "เธอน่าจะเป็นพ่อครัวที่เก่งมาก่อนสินะ"

เฉิงเว่ยหรานฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ลดตาลงและจิบน้ำอีกครั้ง จากนั้นยิ้มและส่ายหัว: "ไม่ใช่พ่อครัวที่เก่งอะไรหรอก เมื่อก่อนฉันก็เคยขายของริมถามและกินเยอะไป ก็เลยคุ้นเคยกับรสชาติของเครื่องปรุงรสไว กินรสที่หนักกว่านี้แล้วทนไม่ไหว "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเอียงศีรษะ: "อ่อ เป็นแบบนี้นี่เอง ตอนนี้ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"

เฉิงเว่ยหรานหายใจเข้าลึกๆและพูดเสียงเข้ม: “ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว ขอบคุณนะ”

"อืม ถ้างั้นขึ้นรถเถอะ เดี๋ยวฉันขับเอง" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม

เฉิงเว่ยหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย: "แบบนี้ก็ได้หรอ? ฉันจะปล่อยให้เธอขับได้ยังไง ฉันต้องดูแลเธอสิ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "ทำไมล่ะ? ไม่เชื่อฝีมือขับรถของฉันหรอ? เธอเพิ่งดื่มน้ำที่ฉันให้มาเมื่อกี้ ใครดูแลใครกันแน่ จะปล่อยให้ดูแลฝ่ายเดียวได้ยังไง? ถ้างั้นก็ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ดีสิ ฉันก็รู้สึกเธอไม่ใช่คนรักแต่เป็นคนรับใช้ เราดูแลกันและกันดีกว่าไม่ใช่หรอ?”

เฉิงเว่ยหรานบีบขวดน้ำแร่ทันทีและกระตุกมุมปากอย่างประหม่า: "ใช่ เราเป็นความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมกัน"

เฉิงเว่ยหรานพูดจบ เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้เฉิงเว่ยหรานและพูดว่า: "งั้นก็ขึ้นรถเถอะ สาวน้อยบ้านฉันขี้สงสัย ไม่รีบไปเดี๋ยวเธอจะอยากรู้อยากเห็นว่าทำไมเราถึงอยู่ด้วยกัน”

เฉิงเว่ยหรานพยักหน้าและพูดอย่างรวดเร็ว: "ถ้าอย่างนั้นเรากลับกันเถอะ"

"เดี๋ยวก่อน" เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเจี่ยนซวงที่กำลังเล่นอยู่คนเดียวในรถ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดมุมปากของเฉิงเว่ยหราน จากนั้นยิ้มและพูดว่า: "โอเค ไปได้แล้ว "

เฉิงเว่ยหรานตะลึง เขาขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับไปที่รถและนั่งลงที่เบาะคนขับ เธอกวักมือเรียกเขากลางแดด เฉิงเว่ยหรานก็หายจากอาการป่วยก่อนหน้านี้และขึ้นรถ

หลังจากขึ้นรถแล้ว เฉิงเว่ยหรานก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างงุ่มง่าม: "ขอโทษนะ เมื่อกี้ให้เธอเห็นภาพที่ไม่น่าดู"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและว่า: "ไม่ต้องขอโทษหรอก เราต้องรู้อีกด้านหนึ่งของอีกฝ่ายอยู่แล้ว นี่ถือว่ายังน้อย ฉันเจอแต่คนหยิ่งและทำตัวเองให้เพอเฟคมาตลอด พวกเขาทำเพื่อฉันมากมายโดยไม่ถามฉันว่าฉันต้องการอะไร วางแผนชีวิตของฉันตามแนวคิดของเขา ทุกอย่างต้องอยู่ในการออกแบบของเขา บางครั้งฉันก็สงสัยว่าเป็นเบี้ยของเขาหรือคนรักของเขากันแน่ "

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็หายใจเข้ายาวๆและพูดด้วยรอยยิ้มว่า: "เมื่อเทียบกับผู้ชายแบบนี้……คุณเฉิงเธอดีกว่าเยอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วสะลึมสะลือรู้สึกได้ว่ามีคนเดินไปเดินมาข้างเธอ ราวกับว่ามีใครบางคนกำลังพูดเบาๆ ราวกับว่าเขาถอนหายใจและลูบแก้มของเธอ นิ้วของชายคนนั้นเย็นเฉียบ เมื่อปลายนิ้วลูบแก้มของเธอเบา ๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะสั่น รู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อยในใจของเธอและโดยสัญชาตญาณต้องหลบ แต่แล้วความหนาวเย็นก็หายไป

ปลายนิ้วเย็นออกจากแก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังรู้สึกคิดถึงความรู้สึกเย็นนั้น เธเพยายามลืมตา แต่ก็ไม่สามารถเปิดได้อยู่ดี เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพยายามลืมตาขึ้น เธอก็เห็นเฉิงเว่ยหราน นั่งอยู่ข้างเตียงเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพยุงร่างของเธอลุกนั่ง: "ทำไมเป็นเธอ?"

เฉิงเว่ยหรานช่วยพยุงเจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นนั่ง เขาหัวเราะเบาๆและถามว่า: "ทำไมล่ะ? เจอฉันแล้วแปลกใจหรอ? พวกเขาเห็นเธอเป็นลมจึงส่งเธอไปที่โรงพยาบาล ฉันโทรหาเธอพอดี พวกเขารับโทรศัพท์และบอกฉันว่าเธอไม่สบาย ฉันก็เลยรีบมา ไม่ต้องห่วง ร่างกายของเธอไม่มีอะไร แค่เพียงความเหนื่อยล้าเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเธอไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ต่อไปอย่าหักโหมมากเกินไปนะทำอะไรต้องคิดเยอะๆมต้องคิดถึงเหยียนเหยียน”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เฉิงเว่ยหราน พยักหน้าเบา ๆ และถามวา: "เธอเฝ้าฉันมาตลอดเลยหรอ?"

เฉิงเว่ยหรานพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แน่นอน ฉันไม่เคยไปไหน ปากของเธอแห้งมาก เธอกระหายน้ำหรือเปล่า? ฉันจะไปเอาน้ำมาให้"

เฉิงเว่ยหรานลุกขึ้นยืน เจี่ยนอี๋นั่วก็เอื้อมมือไปจับมือของเฉิงเว่ยหรานทันที ไม่สิ มือของเฉิงเหว่ยหรานนั้นอบอุ่นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับสัมผัสที่เย็นยะเยือกในตอนนั้น คนที่สัมผัสเธอตอนนั้นไม่ใช่เฉิงเว่ยหราน

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหายใจเข้าลึกๆและพูดว่า: "ไม่มีคนอื่นมาที่นี่จริงๆหรอ?"

เฉิงเว่ยหรานมองลงไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและบีบมือของเธอ หลังจากนั้นไม่นานเขาก็หันหน้าหนีและพูดเบาๆว่า: "ไม่มี คนที่พาเธอมาที่นี่ พอเห็นฉันเขาก็กลับไป ทำไมหรอ? ฉันอยู่ที่นี่แล้วเธอรู้สึกไม่สบายใจหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวทันที ขมวดคิ้วและพูดว่า: "เปล่า ขอบคุณนะ บางทีฉันเพิ่งตื่นและร่างกายของฉันยังปรับตัวไม่ทัน ขอโทษที่ทำให้เธอลำบากนะ"

เฉิงเหว่ยหรานยิ้มและพูดว่า: "รบกวนที่ไหนกัน พูดแบบนี้ก็รู้สึกแปลกๆ แต่ฉันดีใจมากที่มีโอกาสได้ดูแลเธอ"

เฉิงเหว่ยหรานพูด พลางรินน้ำให้เธอ เจี่ยนอี๋นั่วหยิบแก้วหายใจเข้าลึกๆแล้วจิบน้ำ เมื่อกี้เป็นแค่ความฝันเหรอ? ไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่จริงหรอ?

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วดื่มน้ำ เฉิงเว่ยหรานก็ยิ้มและพูดว่า: "ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว เธอหิวไหม? เดิมทีฉันโทรหาเธอเพราะฉันทำซุป จะเอาไปมห้เธอพอดี หมอก็บอกว่าเธอควรใส่ใจกับอาหารเสริม เป็นไง? อยากชิมดูไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆและพูดว่า: "โอเค รบกวนด้วยนะ"

เฉิงเหว่ยหรานยิ้มและพูดว่า: "ฉันบอกว่ามันไม่ได้ลำบากเลย ฉันรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ดูแลเธอ”

เฉิงเหว่ยหรานพูด พลางหยิบกล่องออกมาเทซุปซี่โครงหมูหนึ่งชาม เจี่ยนอี๋นั่วผงะไปชั่วขณะ เงยหน้าขึ้นมองเฉิงเว่ยหราน ยิ้มและพูดว่า: "เธอรู้ดีจังเลยว่าฉันชอบอะไร"

เฉิงเหว่ยหรานยิ้มทันทีและพูดว่า: “ก็ฉันตามจีบเธอ ก็ต้องรู้สิว่าเธอชอบอะไร เป็นไงบ้าง? รสชาติโอเคไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่ว จิบน้ำซุปพยักหน้าและบอกว่า: "รสชาติดีมาก ตรงกับรสชาติที่ฉันชอบเลย"

เฉิงเหว่ยหรานยิ้มและพูดว่า: "ดีแล้ว เธอกินซุปเสร็จแล้วก็นอนพัก เดี๋ยวเหยียนหยานเลิกเรียนแล้ว ฉันจะปลุกเธอ แล้วไปรับเหยียนเหยียนด้วยกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆและหลับตาลง เธอรู้สึกได้ว่าเฉิงเหว่ยหรานเฝ้าดูเธอ จากนั้นก็ห่มผ้าห่มให้เธอ เฉิงเว่ยหรานจับมือเจี่ยนอี๋นั่วโดยไม่ได้ตั้งใจ เฉิงเว่ยหรานหดตัวทันทีราวกับว่าเขาตกใจที่เขาสัมผัสมือของเจี่ยนอี๋นั่ว

หลังจากนั้นไม่นาน เฉิงเว่ยหรานก็ค่อยๆลูบหลังมือของเธออย่างระมัดระวัง ในเวลานี้โทรศัพท์ของเฉิงเว่ยหรานดังขึ้นอย่างกะทันหัน หลังจากที่เฉิงเว่ยหรานรับโทรศัพท์ เขาก็เดินออกไปนอกห้องทันที

เมื่อประตูห้องปิดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเฉิงเว่ยหรานพูดกับคนในโทรศัพท์ว่า: "เธอหลับไปแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยดี"

เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาหันหน้าไปมองนอกประตูและหรี่ตาลง เมื่อเฉิงเว่ยหรานกลับมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ปิดตาของเธอทันที จนกระทั่งเฉิงเว่ยหรานขอให้เธอลุกขึ้นและเจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นนั่งขยี้ตาและพึมพำเบาๆ: "เวลาผ่านไปเร็วจัง ฉันยังนอนไม่พอเลย"

เฉิงเหว่ยหรานมองไปที่พฤติกรรมเหมือนเด็กของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า: "ตื่นก่อนดีกว่า นอนเยอะไปเดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเว่ยหราน พูดด้วยรอยยิ้มว่า: "โอเค ฉันจะฟังเธอ"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็กำลังจะลุกจากเตียง เฉิงเว่ยหรานหยิบรองเท้าของเจี่ยนอี๋นั่วออกมา นั่งยองๆต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วและสวมให้เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วมองลงไปที่การเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนของ เฉิงเว่ยหราน ขมวดคิ้ว เมื่อเฉิงเว่ยหรานสวมรองเท้าให้เจี่ยนอี๋นั่วเสร็จ เขาเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มทันทีและพูดกับเฉิงเว่ยหรานด้วยรอยยิ้ม: "เธอดีจัง เท่าที่ฉันจำได้ยังไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสวมรองเท้าให้ฉันเลย”

เฉิงเหว่ยหรานยิ้มและพูดว่า: "ถ้าในใจมีเธออยู่ก็อยากทำให้เองโดยไม่รู้ตัว"

เมื่อเฉิงเหว่ยหรานพูดแบบนี้ ใบหน้าของเขาก็แดงระเรื่อและเขาหันหน้าไปทางอื่น อายเล็กน้อยกำมือแน่นและไออย่างแห้งๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นจับมือของเฉิงเว่ยหราน พูดด้วยรอยยิ้ม: "ครั้งหนึ่งฉันเคยจินตนาการว่าสามีในอนาคตของฉันจะเป็นคนอ่อนโยน ใจดี มีน้ำใจ มั่นคงและใจดีกับลูกสาวของฉัน แต่หลังจากผ่านไปหลายปีฉันก็พบสิ่งนี้มันยากเกินไปที่จะถามถึงจุดหนึ่ง ฉันคิดว่าฉันจะอยู่แบบนี้ไปตลอดชีวิต ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้พบเธอ ฉันเคยคิดว่าจะทำอะไรก่อนหน้านี้ได้ แต่ความเจ็บป่วยนี้ทำให้ฉันรู้ว่าต้องมีใครสักคนอยู่ใกล้ๆเพื่อดูแลฉัน อันที่จริงฉันไม่ได้เห็นด้วยกับเธอในตอนแรก แต่ฉันก็ยังรู้สึกกลัว ฉันเคยประสบกับความโชคร้ายมาก่อน ฉันไม่แน่ใจว่าฉันได้พบเธอและเกลียดที่จะได้รับความสุข แต่ ตอนนี้ฉันไม่ลังเลอีกต่อไป ฉันคิดว่าเธอสามารถอยู่กับฉันได้ตลอดชีวิต ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้พบกับผู้ชายที่สมบูรณ์แบบเช่นเธอ หลังจากประสบกับความโชคร้ายมากมาย "

เมื่อเฉิงเว่ยหรานได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ไม่มีความสุข แต่ราวกับว่าเขากำลังหวาดกลัว เขาก็รีบพูดว่า: "เธอตัดสินใจแล้วจริงๆหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า บีบมือของเฉิงเว่ยหราน ยิ้มและพูดว่า: "ฉันตัดสินใจแล้ว ฉันตกลง เราลองมาคบกันดู ต่อไปนี้เธอเป็นแฟนของฉัน คุณเฉิงเว่ยหราน"

ใบหน้าของเฉิงเหว่ยหรานดูตื่นตระหนกเล็กน้อย ราวกับว่ามีนักเรียนคนหนึ่งกำลังทำข้อสอบอยู่ในโรงเรียน แต่หลังจากนั้นไม่นาน เฉิงเว่ยหรานก็ลดศีรษะลงและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วที่จับมือของเขา สีหน้าของเฉิงเว่ยหรานที่ไม่ดีก็หายไป เขาหัวเราะเบาๆและพูดว่า: "ได้เลย คุณมู่หวันถิง"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหรี่ตา: "งั้นไปรับเหยียนเหยียนกันเถอะ แต่เหยียนเหยียนยังเด็กและมีบางอย่างที่เธอยังไม่เข้าใจ ตอนนี้อย่าเพิ่งบอกเธอเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ได้ไหม?"

เฉิงเว่ยหรานหายใจเข้าลึกๆ บีบมือเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพยักหน้า เมื่อเฉิงเว่ยหรานและเจี่ยนอี๋นั่วจับมือกันเดินออกจากห้อง ไม่รู้ว่าเฉิงเว่ยหรานเห็นอะไร เขารีบปล่อยมือจากเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วมองตามการจ้องมองของเฉิงเว่ยหราน และเห็นชาวนาที่ช่วยเจี่ยนอี๋นั่วปลูกผัก เดินมาและถามเจี่ยนอี๋นั่ว: "คุณมู่ คุณเป็นยังไงบ้าง?"

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตายิ้มและส่ายหัว: "ฉันไม่เป็นอะไร ฉันสบายดี"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดยกมือขึ้นและจับมือของเฉิงเว่ยหรานต่อไป หลังจากนั้นมือของเฉิงเว่ยหรานก็มีเหงื่อออก เฉิงเว่ยหรานจับมือเจี่ยนอี๋นั่วอย่างแข็งกร้าวและกวาดมุมปากอย่างประหม่า

ดูเหมือนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรับรู้ถึงความแปลกประหลาดของเฉิงเว่ยหราน หันหน้ามาและยิ้มให้เฉิงเว่ยหรานแล้วพูดว่า: "เว่ยหราน ไปรับเหยียนเหยียนที่โรงเรียนกันเถอะ"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธเก็ยิ้มให้กับชาวนาที่วิ่งเข้ามาและพูดว่า: "ตอนนี้ฉันสบายดีแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง เธอกลับไปก่อน ฉันได้ยินมาว่ายังมีงานอีกมากในที่สวน ฉันกับเว่ยหรานไปก่อนนะ…… "

เมื่อมาถึงจุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเฉิงเว่ยหรานแล้วเดินออกไป เดินออกไปข้างนอก ขึ้นรถของเฉิงเว่ยหราน เฉิงเหว่ยหรานถอนหายใจด้วยความโล่งอก

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงศีรษะเหลือบมองไปที่เว่ยหราน ยิ้มแล้วพูดว่า: "เป็นอะไรไป? ดูเหมือนเธอจะเกรงๆนะ เมื่อกี้ตอนอยู่กับฉันท่าทางทีลุกลี้ลุกลน ราวกับว่าทำอะไรผิดมา หรือว่าจริงๆแล้วเธอมีภรรยาแล้ว? แต่ตั้งใจมาหลอกฉัน?”

เฉิงเหว่ยหรานรีบส่ายหัวและปฏิเสธทันที: "ไม่ ฉันไม่มีภรรยาจริงๆ ฉันชอบเธอมาก…… "

เฉิงเหว่ยหรานพูดหยุดทันที จากนั้นก้มศีรษะลงและพูดด้วยรอยยิ้มที่เบี้ยว: "ก็แค่……ฉันรู้สึกไม่ดีพอสำหรับเธอ……ฉันกลัวว่าวันหนึ่งเธอจะดูถูกฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: "ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่อายุมาก เธอยังเป็นเด็กที่มีพรสวรรค์ ในสายตาคนอื่น เธอยังหนุ่มยังแน่น แถมมาอยู่กับคนที่เคยแต่งงานแล้วแบบฉัน มีลูกติดอีกด้วย มองยังไงก็เป็นฉันที่ไม่เหมาะกับเธอ ฉันจะดูถูกเธอได้ยังไง?”

เฉิงเหว่ยหรานค่อยๆคลี่ยิ้มที่ขมขื่น มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: "คงเป็นเพราะชอบเธอมาก เลยรู้สึกว่าไม่ดีพอ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ถ้าอย่างนั้นเธอจะไม่ได้รับอนุญาตให้พูดแบบนี้อีก มันจะทำให้ฉันคิดว่าเธอกำลังเหน็บแนมฉัน เธอเป็นผู้ชายที่ดีที่สุด ดีกว่าผู้ชายทุกคนที่ฉันเคยเจอมาก่อน"

“เทียบกับพ่อของเหยียนเหยียนได้ไหม? ฉันกับเขา ใครดีกว่ากัน?” เฉิงเหว่ยหรานถามทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแล้วลูบใบหน้าเล็กๆของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: "พ่อไม่ใช่ไม่รักลูก แต่แค่แยกทางกับแม่แล้ว แต่ความรู้สึกที่พ่อมีต่อซวงซวงยังไม่เปลี่ยนแปลง"

เจี่ยนซวง ก้มหน้าลงและทำหน้ามุ่ย: “ แม่พูดเสมอว่าความรู้สึกของพ่อที่มีต่อซวงซวงไม่ได้เปลี่ยนไป แต่ถ้าพ่อรักซวงซวงจริง ทำไมเขาถึงไม่มาหาซวงซวง? แม่ชอบพูดเข้าข้างพ่อตลอดเลย”

ในขณะที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็ผลักจานและพูดต่อว่า: "ยังไงซวงซวงก็ตัดสินใจแล้ว ถ้าพ่อไม่มาหาซวงซวงอีก ต่อให้พ่อจะดีแค่ไหน ซวงซวงก็ไม่เอา ซวงซวงพูดคำไหนคำนั้น!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าเธอจะพยายามพูดปลอบเจี่ยนซวงว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ละทิ้งเธอและไม่ได้เพิกเฉย แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มาหาเจี่ยนซวงนานแล้ว ไม่ว่าเธอจะอธิบายยังไง ก็ไม่สามารถปลอบใจซวงซวงได้

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าพูดมากกว่านี้เพราะกลัวว่าจะพูดอะไรผิด เจี่ยนซวงยังมีความคิดที่ดื้อรั้น กลัวว่าเธอจะยิ่งคิดมากทำไมเหลิ่งเซ่าถิงไม่มาหาเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดสักพัก จากนั้นก็ยิ้มแล้วลูบหน้าเจี่ยนซวง: "ตอนนี้ลูกเปลี่ยนชื่อเป็นเหยียนเหยียนแล้วไม่ใช่หรอ? ต่อไปนี้อย่าเรียกซวงซวงอีก ต้องฝึกให้ชินตั้งแต่อยู่บ้าน ไปข้างนอกจะได้ไม่เผลอพูดลูกดูสิ ตอนนี้เรามีชีวิตที่สงบแค่ไหน ไม่ต้องติดคุกและไม่ต้องเจอลุงใจร้าย ทั้งหมดนี้พ่อกำลังปกป้องเรา ถึงแม้พ่อจะมาอยู่กับเราไม่ได้แต่พ่อก็คอยดูแลเราตลอด”

เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นและพูดด้วยเสียงร้องไห้: "อยู่กับเราตลอดจริงๆหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า ชี้ไปที่จี้บนสร้อยคอของเจี่ยนซวง แตะที่หน้าอกของเจี่ยนซวง: "ใช่ แม่จะโกหกลูกได้ยังไง?"

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เธอก็พูดว่า: "ถ้าอย่างนั้นแม่ก็ตัดใจจากคุณลุงเฉิง เรามารอพ่อกันเถอะ ให้โอกาสพ่ออีกครั้ง"

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเจี่ยนซวง ยิ้มและหันหน้าออกไป: "ใช่สิ ลูกเห็นที่คฤหาสน์บนภูเขามีคนอยู่หรอ?”

เจี่ยนซวงพยักหน้า: "หนูได้ยินคนบอกว่า บอกว่า…… "

เจี่ยนซวงลดเสียงของเธอและกระซิบ: "แม่ พวกเขาบอกว่ามีผีอาศัยอยู่ในคฤหาสน์บนภูเขา มันน่ากลัวมาก! แม่ ต่อไปแม่ต้องอยู่ห่างๆจากคฤหาสน์นั้น เดี๋ยวโดนผีหลอกนะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: “วันนี้แม่เพิ่งไปมา"

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ: "อะไรนะ? แล้วแม่ไม่เจอผีหรอ?"

"ไม่มีผี มันเป็นแค่ข่าวลือที่สร้างขึ้นโดยบางคน อย่าฟังข่าวลือของคนอื่นและเชื่อว่ามีผี ไม่มีผีในโลกนี้ มีแต่คนดีและคนไม่ดี" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม.

เจี่ยนซวงไม่สนใจคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปในคฤหาสน์ เจี่ยนซวงก็เขย่าแขนของเจี่ยนอี๋นั่วทันที: "แม่ ในคฤหาสน์มีอะไรบ้าง? บอกหนูหน่อย พรุ่งนี้หนูจะได้ไปโม้กับเพื่อนที่โรงเรียน”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ: "แม่บอกได้ แต่อย่าโม้เกินจริงนะ เดี๋ยวคนอื่นจะหัวเราะเยาะได้"

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันที: "อืม หนูจะระวัง ไม่พูดโม้เกินจริง แม่……แม่……ข้างในมีอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้และพูดว่า: "มันสวยงามมาก มีสระน้ำขนาดใหญ่ที่มีปลาคาร์ฟอยู่ด้วยและเป็นปลาคาร์ฟชนิดที่กินได้ แต่ละตัวใหญ่มาก……"

เจี่ยนอี๋นั่วพูด ยกมือขึ้นและแสดงท่าทางเทียบกับขนาดของปลาคาร์พและพูดต่อ: "ดูแล้วน่าจะอร่อย"

เจี่ยนซวงกลืนน้ำลายทันทีและพูดอย่างรวดเร็ว: "ถ้างั้นก็เอามาทำซุปปลาได้ ปลานั้น น่าจะกินได้หลายวัน"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างจริงจัง: "แม่ก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ในคฤหาส์มีคนอาศัยอยู่สองคน……น่าจะมีคนรับใช้อีก แต่ตอนนี้แม่เห็นแค่สองคน คนหนึ่งเป็นชายแก่ อีกคนคือ……"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วคิดเกี่ยวกับร่างที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ที่ซ่อนตัวอยู่หลังหน้าต่างบนชั้นสอง ส่ายหัว: "อีกคนเป็นชายหรือหญิงแม่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันน่าจะเป็นผู้ชายเพราะเขาเคยบอกว่าภรรยาและลูกๆจะมา กำลังจะเปลี่ยนสนามหญ้าให้เป็นแบบที่เด็กๆชอบ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและพูดด้วยรอยยิ้มที่ประจบ: "แม่จ๋า งั้น……งั้นพาหนูไปดูหน่อยได้ไหม"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว: "ตอนนี้ลูกยังไปไม่ได้ แต่ถ้าลูกอยากไป แม่จะพยายามหาโอกาสพาลูกไป แต่ขอบอกไว้ก่อน ถ้าแม่ไม่อนุญาตลูกห้ามไปที่นั่น ถ้าแม่รู้ แม่จะลงโทษแบะโกรธมากด้วย!”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ความอยากรู้อยากเห็นของเจี่ยนซวงมีมากเกิน ความอยากรู้อยากเห็นต้องอยู่ในขอบเขตสายตาของอี๋นั่ว

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันทีและพูดอย่างรวดเร็ว: "แม่ไม่ต้องห่วง หนูจะเชื่อฟังแม่ ไม่ไปที่นั่นคนเดียว!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและแตะหัวของเจี่ยนซวงแล้วพูดว่า "เด็กดีจริงๆ ไปเถอะ ไปทำการบ้านกับแม่”

“ ห้ะ? การบ้านเป็นรางวัลของเด็กดีหรอ?” เจี่ยนซวงทำหน้าจะร้องไห้ แม้ว่าเธอจะดูไม่เต็มใจแต่เธอก็เดินตามเจี่ยนอี๋นั่วไปที่โต๊ะและเริ่มทำการบ้าน

เมื่อเจี่ยนซวงทำการบ้านเสร็จ เจี่ยนอี๋นั่วก็อาบน้ำให้เจี่ยนซวงและนอนลงบนเตียงกับเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงยังไม่ง่วง นอนตะแคงและถามเจี่ยนอี๋นั่วเกี่ยวกับคฤหาสน์นั้น อันที่จริงไม่น่าแปลกใจที่เจี่ยนซวงอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนั้น ขนาดในหมู่บ้านเล็กๆที่สงบแห่งนี้ แค่ไก่บ้านไหนหายก็เป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งคฤหาสน์หลังใหญ่บนภูเขามีคนอยู่จะไม่อยากรู้ได้ไง?

เจี่ยนอี๋นั่วเหนื่อยเล็กน้อย ตอนแรกเธอจะตอบคำถามของเจี่ยนซวงอย่างจริงจัง แต่เธอก็ค่อยๆหลับไปโดยไม่รู้ตัว เจี่ยนอี๋นั่วตกอยู่ในความฝันสีดำ เรื่องราวประสบการณ์ในอดีตปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ภาพที่เจี่ยนอี๋นั่วแต่งงานกับตระกูลเหลิ่งเพื่อกอบกู้ธุรกิจของครอบครัว ชั่วขณะหนึ่งเธอคือเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงเยาะเย้ย ชั่วขณะก็เป็นอี๋นั่วที่ลังเลว่าชอบเหลิ่งเซ่าถิงไหม ไม่นานเธอก็กอดและจูบเหลิ่งเซ่าถิง

ในที่สุด ทุกอย่างก็มาหยุดอยู่ตรงภาพที่เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นและเดินช้าๆในห้องมืด ด้านหน้าของเธอคือศพที่คลุมด้วยผ้าสีขาว เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยฝันร้ายเกี่ยวกับผีเลยเพราะในชีวิตของเธอ เธอเคยเผชิญกับฝันร้ายที่น่ากลัวที่สุดมากมาย

ท่ามกลางฝันร้ายมากมาย คนที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วหวาดกลัวคือคนที่นำศพพ่อของเธอมา เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ห้องเก็บศพที่เย็นเฉียบ เธอไม่กล้าที่จะเปิดผ้าสีขาวที่คลุมศพ แต่ร่างกายของเธอดูเหมือนจะไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเธอ แม้ว่าเธอจะสั่นอย่างรุนแรง แต่เธอก็ยังคงยื่นมือออกไปและบีบมุมของผ้าขาว

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ดึงผ้าสีขาวออกแต่มันไม่ใช่ศพของพ่อเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เป็นเหลิ่งเซ่าถิง! ใบหน้าของเขาซีด ไม่มีเลือดเลยและเขาก็กลายเป็นศพไปแล้ว

"อ๊ะ!" เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนและลุกขึ้นนั่ง

ในเวลานี้เสียงตะโกนของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้เจี่ยนซวงที่หลับไปแล้วตื่น เจี่ยนซวงขยี้ตา หาวและถามขึ้นว่า: "แม่ เป็นอะไรเหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงทันที ตัวสั่นและพูดว่า: "ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร แม่เป็นตะคริวที่ขา ลูกนอนเถอะ!"

เจี่ยนซวงเป็นเด็ก หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอก็เอนตัวไปที่แขนของเจี่ยนอี๋นั่วและหลับตาลงทันที เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแล้วลูบหัวของเจี่ยนซวง ถอนหายใจ ความหนาวเย็นในฝันร้ายในตอนนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดกลัว เธอไม่ได้รับการติดต่อจากเหลิ่งเซ่าถิงมานานแล้ว เธอกลัวจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ในสถานที่ที่เธอไม่รู้และจะมีอันตรายอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า หรือว่าจากไปจากเธอและเจี่ยนซวงตลอดกาลแล้ว

ในความเป็นจริงชีวิตที่ปลอดภัยที่เจี่ยนอี๋นั่วมีอยู่ตอนนี้ เธอก็รู้เช่นกันนั้นขึ้นอยู่กับการต่อสู้ที่สิ้นหวังของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความรู้สึกกับเธอหรือไม่ หรือว่าเหลิ่งเซ่าถิงตกหลุมรักคนอื่นไม่ว่าเขาจะมีครอบครัวใหม่ แต่วันเวลาที่เจี่ยนอี๋นั่วสามารถมีชีวิตอยู่ได้นั้นล้วนได้รับการดูแลจากเขา

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถควบคุมความตื่นตระหนกของเธอได้ แม้ว่าเธอจะปล่อยมันไป แต่ตราบใดที่เธอคิดถึงอันตรายที่เหลิ่งเซ่าถิงอาจเผชิญ เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเจ็บปวด ความเจ็บปวดที่ดูเหมือนจะถูกฉีกออกจากกันในหัวใจของเธอ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถหลับได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่กอดเจี่ยนซวงเบาๆ และเมื่อลืมตาขึ้นก็เช้าแล้ว

หลังจากรุ่งสาง ดวงอาทิตย์ส่องแสงมาที่เจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็แสดงอาการโล่งใจ เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของเธอ ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงที่ลุกขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกราวกับว่าเธอเป็นโรคร้ายแรง เจี่ยนอี๋นั่ว หายใจเข้าพยุงร่างของเธอและกำลังจะลุกขึ้น แต่ก็ล้มลงอย่างอ่อนแรงอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถลุกขึ้นจากเตียงได้

"แม่เป็นอะไรหรือเปล่า?" เจี่ยนซวงมองไปที่ใบหน้าซีดเซียวของเจี่ยนอี๋นั่วและถามด้วยความตื่นตระหนก

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่เป็นไร แม่แค่ยังไม่ตื่น"

เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้เจี่ยนซวงเป็นห่วงเธอ เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นนั่งจากเตียงทันที เธอกัดฟันแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "แม่จะไปทำกับข้าว แล้วส่งลูกไปโรงเรียน"

เจี่ยนอี๋นั่วลุกไปล้างหน้าและลงรองพื้นปกปิดใบหน้าที่น่าเกลียดของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไปทำอาหารให้เจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดเป็นอย่างดีจนกระทั่งไปถึงโรงเรียน เจี่ยนซวงไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วป่วย เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้าดูเจี่ยนซวงเดินเข้าไปในโรงเรียน ก่อนจะค่อยๆนั่งลงที่ข้างถนน

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจ ลุกขึ้น หลังจากนั้นก็ค่อยๆเดินกลับบ้าน พ่อแม่ที่อยู่ข้างๆเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วปาการแปลกๆ จึงถามว่า: "เธอป่วยหรือเปล่า?

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและกำลังจะบอกว่าเธอไม่ได้ป่วย ทันใดนั้นก็ล้มลงทันที

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้นเธอก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที เธอรู้สึกว่าตัวเองพูดผิดไป เลยรีบพูดขึ้นมาทันทีว่า : “ขอโทษจริงๆนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายความรู้สึกของคุณนะ”

เฉิงเว่ยหรานส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่เป็นไรครับ คุณไม่ได้ตั้งใจนี่ อีกอย่างเรื่องนี้มันก็ผ่านไปแล้ว ผมไม่ได้แคร์อะไรแล้วล่ะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิดว่า : “ขอโทษจริงๆค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะยิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน : “ถ้าคุณรู้สึกผิด คุณพอจะมีเวลากินข้าวด้วยกันมั้ยครับ?”

“คะ?” เจี่ยอนี๋นั่วขมวดคิ้วมองเฉิงเว่ยหรานด้วยความตกใจ

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “ถ้าพดแบบนี้อาจจะกระทันหันเกินไป แต่ผมคิดว่าเรื่องบางเรื่องผมควรจะพูดให้ชัดเจนเลยคงจะดีกว่า ผมรู้สึกดีกับคุณตั้งแต่ครั่งแรกที่เจอคุณแล้วครับ ตอนที่ผมถามทางคุณก็เพราะว่าผมหาโอกาสที่จะได้รู้จักคุณ และผมก็ดูออกว่าคุณไม่ได้สนใจอะไรในตัวผม แต่ผมไม่ได้หวังว่าคุณตะให้โอกาสผมหรือรู้จักผมมากขึ้นหรอกนะครับ บางทีอาจจะมีอะไรบางอย่างในตัวผมที่ทำให้คุณชอบก็ได้?”

เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปสักครู่ก่อนที่จะยิ้มออกมา : “แล้วถ้าเรารู้จักกันแล้วแต่ฉันไม่ชอบคุณล่ะคะ?”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้นเราก็คงไม่มีวาสนาต่อกันแล้วล่ะครับ แต่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้คบกัน แค่ผมนึกถึงวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน สำหรับผมมันก็เป็นความทรงจำที่ดีมากๆแล้วครับ”

เจี่ยนอี๋นั่งมองไปที่เฉิงเว่ยหรานอย่างละเอียด รูปลักษณ์ของเฉิงเว่ยหรานนั้นดูสง่า สุภาพบุรุษ อ่อนโยน การพูดของเขาก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วยอมรับได้ง่าย ถ้าเธอคบกับคนอย่างเฉิงเว่ยหรานเธอคงจะผ่อนคลายแล้วก็เป็นตัวของตัวเองได้ดีเลยมั้ยนะ? แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเธอจะชอบผู้ชายอย่างเฉิงเว่ยหรานได้มั้ยน่ะสิ………

เจี่ยนอี๋นั่วมองต่ำ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างขมขื่นแล้วก็ส่ายหน้า : “ฉันว่าคุณไม่ต้องเสียเวลาเลยค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “เวลาผมมีเยอะครับ เสียได้ไม่เป็นไร ผมแค่หวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้ง ผมเองก็รู้อยู่ว่าการเริ่มความสัมพันธ์นั้นมันยาก โดยเฉพาะคุณที่มีลูกด้วย เลยค้องไตรตร่องให้ดีๆ ตอนที่ผมขอความช่วยเหลือจากคุณมันก็ยากมากนะครับ กว่าผมจะบอกว่าผมชอบคุณได้คุณค่อยๆคิดก็ได้ครับ แค่คุณไม่ปฏิเสธที่จะให้ผมเข้าใกล้คุณทีละนิดก็พอ ถ้าวันไหนที่คุณไม่ชอบ ไม่ชอบที่ผมมารบกวนคุณ คุณก็แค่บอกผม แล้วผมก็จะไปเองครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ก่อนที่เธอจะมองเฉิงเว่ยหรานแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณเป็นคนที่ยากที่ปฏิเสธจริงๆนั่นแหละ”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “ได้ยินคุณชมผมแบบนี้ผมก็ดีใจครับ ไม่ทราบว่าวันนี้คุณมีแพลนอะไรมั้ยครับ? ถ้าพอมีเวลาผมขอไปเดินเล่นกับคุณหน่อยได้มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที เฉิงเว่ยหรานเลยยิ้มแล้วชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า : “ถ้าคุณไม่โอเคที่จะออกไปเดินเล่นกับผม เราก็คุยกันอยู่ตรงนี้ก็ได้ครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง : “งั้นเดี๋ยวฉันเอาเก้าอี้มาให้คุณแล้วกัน แล้วจะชงชามาให้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหลังเข้าไปในบ้าน เมื่อเฉิงเว่ยหรานเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปในบ้านแล้ว เขาถึงได้ถอนลมหาใจออกมา ก่อนที่เขาจะเหลือบไปเห็นกล้องที่ซ่อนอยู่ในบริเวณบ้านของเจี่ยนอี๋นั่ว

ผ่านไปได้ไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็หยิบเก้าอี้ออกมาพร้อมกับหยิบชามาเสิร์ฟให้เขาด้วย แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “นั่งในสวนเวลานี้ดีที่สุดค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “ที่ผมมาที่หมู่บ้านนี้ก็เพราะผมชอบที่นี่ครับ ถ้าเป็นไปได้ ผมก็คงจะอยู่ที่นี่ตลอดไปเลย”

เฉิงเว่ยหรานเป็นคนที่เข้าหาคนอื่นเก่งมาก ถึงแม้ว่าตอนแรกเฉิงเว่ยหรานนั้นเป็นเหมือนคนแปลกหน้าสำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่พอได้คุยกันไปสักพัก ด้วยความคิดที่คล้ายกัน ทั้งสองมีอะไรเหมือนๆกัน ทันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นสนิทกับเฉิงเว่ยหรานราวกับเขาเป็นเธออีกคนยังไงอย่างนั้น

น้อยมากที่เจี่ยนอี๋นั่วจะคุยกับคนอื่นแบบนี้ คุยกันนานจนมันตกเย็นอย่างไม่ทันรู้ตัว เจี่ยนอี๋นั่วมองดูเวลาก่อนจะรีบลุกขึ้นแล้วพูดว่า : “ฉันต้องไปรับลูกสาวแล้วค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : “ผมมีที่พกัอยู่ในหมู่บ้านนี้ที่ฝ่ายกรรมการหมู่บ้านจัดเตรียมไว้ให้ งั้นผมจะกลับไปทำอาหารนะครับ รอให้คุณกับลูกสาวกลับมาก็จะได้กินข้าวกันเลย จริงๆแล้วผมอยากไปส่งคุณรับลูกสาวมากนะครับ แต่ว่าลูกสาวคุณอายุในช่วงนี้คงไม่ง่ายที่จะยอมรับผม ผมเลยคิดว่าค่อยๆไปเป็นค่อยๆไปดีกว่า”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้น : “งั้นก็รบกวนคุณแย่เลยสิ?”

เฉิงเว่ยหรานพูดพร้อมกับส่ายหน้า : “จะรบกวนได้ยังไงกันล่ะครับ? ผมดีใจมากเลยที่ได้ทำอะไรเพื่อคุณ ผมน่ะสิกังวลรสชาติอาหารที่ผมทำกับที่พวกคุณทำ อีกอย่างผมก็เคยเป็นพ่อครัวมาก่อน ถ้าไม่ทำอาหารก็รู้สึกหงิดๆนิดนึงน่ะครับ ผมไม่รู้ว่าพวกคุณชอบกินอะไร โดยเฉพาะลูกสาวของคุณ แพ้อาหารอะไรมั้ยครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่งพูด : “ไม่มีค่ะ ฉันกับลูกสาวก็แบบนี้ล่ะค่ะ เรื่องอาหารก็ง่ายๆสบายๆเลย ไม่มีอันไหนที่ไม่ชอบหรอก”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้นผมคิดๆแล้วก็ทำเลยล่ะกันนะครับ หมู่บ้านนี้มีข้อดีก็คือผักสดเยอะมากๆ เดี๋ยวผมจะไปซื้อมาทำ คุณไปรับลูกเถอะครับ”

เมื่อเฉิงเว่ยหรานพูดจบเขาก็เดินออกไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังของเฉิงเว่ยหรานก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น จนกระทั่งผู้ปกครองที่มารับลูกเรียกเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วถึงได้สติกลับมา แล้วรีบเดินไปที่หน้าโรงเรียนตามผู้ปกครองเหล่านั้น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วจูงมือเจี่ยนซวงมาถึงหน้าประตูบ้าน เธอก็เห็นเฉิงเว่ยหรานก็ยืนถือกล่องออกหารอยู่หน้าประตูแล้ว เมื่อเฉิงเว่ยหรานเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว้ขาก็ยิ้มขึ้นมาทันที : “กลับมาแล้วหรอครับ?”

จากนั้นเฉิงเว่ยหรานก็หันมามองเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : “หนูคือเหยียนเหยียนใช่มั้ย”

เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า : “คุณคือใครคะ?”

เฉิงเว่ยหรานยกยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ฉันนามสกุลเฉิงนะ หนูเรียกฉันว่าลุงเฉิง หรือจะเรียกว่าผู้เฒ่าเฉิงก็ได้”

เจี่ยนซวงหัวเราะขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้ามาพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว : “หม่าม้าคะ หนูเรีกยเขาว่าผู้เฒ่าเฉิงได้มั้ยคะ? น่าตลกมากๆเลยคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดอะไรเพียงส่งตายตาเย็นชาไปให้ลูกสาว เจี่ยนซวงจึงรีบเก็บรอยยิ้มของตัวเองทันที ก่อนจะพูดกับเฉิงเว่ยหรานอย่างมีมารยาทว่า : “ไม่ๆๆ คุณคือผู้ใหญ่ หนูควรจะเรียกคุณว่าคุณลุงเฉิงมากกว่า คุณลุงเฉินสวัสดีค่ะ หนูคือลั่วเหยียนเหยียน เจอกันครั้งแรกแบบนี้ฝากตัวด้วยค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานยิ้มพร้อมกับพยักหน้า ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว : “เหยียนเหยียนเป็นเด็กดีจังเลยนะครับ คุณสอนลูกดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ขอบคุณค่ะ”

เฉิงเว่ยหรานรีบส่งกล่องอาหารที่อยู่ในมือของเขาให้กับเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ผมทำอาหารเรียบร้อยแล้วครับ คุณกินกับเหยียนเหยียนเลยนะครับ ผมขอตัวกลับก่อน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่าสงสัย : “คุณจะไม่อยู่กินด้วยกันหรอคะ?”

เฉิงเว่ยหรานะพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ล่ะครับ คุณสองแม่ลูกทานให้อร่อยเลยครับ ถ้าผมอยู่ทานข้าวด้วยกันกับพวกคุณตอนนี้ พวกคุณคงจะไม่ชิน ผมกลับก่อนดีกว่าครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วรับเอากล่องอาหารมา เธอรู้สึกเกรงใจ มีที่ไหนล่ะกินอาหารของคนอื่นแล้วแต่ไม่ให้คนทำเขามาร่วมโต๊ะด้วย เจี่ยอนี๋นั่วรีบพูดขึ้นว่า : “คุณอย่าเพิ่งกลับเลยค่ะ มากินข้าวด้วยกันก่อน”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เธอก็เบะปากทันที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างงอแงว่า : “ถ้าหม่าม้ายื้อเขาให้กินข้าวกับเรา งั้นซวงซวงไปแล้วนะคะ”

เฉิงเว่ยหรานยืนนิ่งก่อนจะหันหลังมาแล้วส่ายหน้าก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “ไม่ต้องห่วงครับ ให้เวลาลูกสาวคุณคุ้นเคยก่อน พวกคุณไปชิมดูครับว่ารสชาติอาหารเป็นยังไง ถ้ามันยังไม่ถูกปากหรือยังไง บอกผมเลยนะครับ ผมจะได้ปรับปรุง ผมไปก่อนนะครับ แล้วเจอกันครับ”

เฉิงเว่ยหรานพูดก่อนจะหันหน้ามาโบกมือให้กับเจี่ยนซวง : “เหยียนเหยียน แล้วเจอกันนะ”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจแต่ก็นกมือขึ้นมาโบกลาเขา แล้วพูดกับเฉิงเว่ยหรานว่า : แล้วเจอกันค่ะ”

เมื่อเห็นเฉิงเว่ยหรานเดินจากไปแล้ว เจี่ยนซวงก็หันมามองกล่องอาหารในมือของเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “นี่เขาทำหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ใช่ค่ะ เขาเป็นคนทำ”

เจี่ยนซวงมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะยู่ปากแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ว่า : “เขาชอบหม่าม้าใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ใช่ค่ะ เขาบอกแล้ว”

เจี่ยนซวงสูดจมูกแล้วมองอาหารในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดอย่างโมโหว่า : “หึๆ อาหารที่เขาทำไม่อร่อยเท่าอาหารที่คุณพ่อทำหรอกค่ะ”

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเอาอาหารมาวางบนโต๊ะแล้วเจี่ยนซวงคีบเข้าปากเท่านั้นแล้วกินมันเข้าไป เธอก็เบิกตาโตอย่างประหลาดใจ : “ว้าว อร่อยมากเลยค่ะ”

ถึงแม้ว่าเป็นอาหารที่ทำง่ายๆ แต่รสชาติถูกปากเจี่ยนซวงมากๆ เพียงผ่านไปได้ไม่นานเจี่ยนซวงก็กินข้าวไปแล้วสองจาน ก่อนจะเลียริมฝีปากของตนเอง แล้ววางจานกับตะเกียบลง : “หม่าม้าคะ เขาทำอาหารอร่อยมากๆเลยค่ะ”

เจี่ยอนี๋รั่วคีบอาหารฝีมือเขาเข้าปาก ก่อนจะเคี้ยวแล้วพยักหน้าเบาๆ : “อร่อยจริงค่ะ”

มันอร่อยราวกับอาหารจานนี้นั้นถูกจัดทำมาอย่างดี และถูกปากของเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่วมากๆ อบอุ่นต่อคนอื่น สุภาพบุรุษดูดี มีอาชีพที่ดี ชอบเด็ก ทำอาหารเก่ง แล้วก็ชอบเธอด้วย เฉิงเว่ยหรานน่ะเหมือนถูกออกแบบมาให้เป็นคนที่เจี่ยนอี๋นั่วชอบเลย จนเจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถเห็นข้อเสียเล็กๆน้อยๆของเขาเลย

แต่เพราะเขาไม่มีข้อบกพร่องใดๆเลยมันยิ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่รู้สึกชอบผู้ชายคนนี้รักแต่กลับทำให้เจี่ยนอี๋นี่วรู้สึกระวังมากยิ่งขึ้น

“หม่าม้าคะ ถึงแม้ว่าหนูจะไม่ชอบคุณลุงคนนี้ แต่ว่าคุณลุงคนนี้ดีกว่าพี่ชายคนเมื่อวานเยอะเลยนะคะ” เจี่ยนซวงใช้ช่วงเวลาที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ตัวนั้นแอบคีบอาหารเข้าปาก ก่อนจะเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดกับเธอว่า : “เขาต่างจากคุณพ่อแค่นิดเดียวเองค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถามเจี่ยนซวงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ต่างตรงไหนคะ?”

เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม : “หน้าตาไงคะ สำหรับหนูนะ คุณพ่อน่ะหล่อกว่าเขามากๆเลย ตอนนี้ฝีมือการทำอาหารของเขาก็พอๆกับคุณพ่อเลยนะคะ แต่ว่าเรื่องหน้าตาเนี่ยหล่อน้อยกว่าคุณพ่อนิดนึง”

เจี่ยนซวงถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะพูดอย่างช่วยไม่ได้ว่า : “อีกอย่างนี่ก็ไม่มีทางเลืกแล้วนะคะ ไม่มีใครที่หล่อกว่าคุณพ่อแล้วค่ะ ถ้า……..”

เจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดเสียงเล็กว่า : “ถ้าคุณพ่อไม่ต้องการพวกเราแล้วจริงๆ คุณลุงคนนี้ก็พอไปวัดไปวาได้นะคะ”

หลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง เธอไม่เคยทำเรื่องที่ผิดปกติออกมาเลยสักครั้ง แต่ว่าคฤหาสน์หลังนี้นั้นทำให้เธอรู้สึกสงสัยจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยากอยู่ต่อ เพื่อดูว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้เป็นยังไงกันแน่

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วล้างผักเรียบร้อยแล้ว เธอก็ช่วยชายชราให้อาหารปลาไน คฤหาสน์หลังนี้นั้นน่าสนใจมากๆ คนอื่นเขาเลี้ยงปลาคราฟปลาทองกัน แต่คนบ้านนี้กลับเลี้ยงปลาไน แต่ละตัวก็อ้วนพีทั้งนั้น จนหลงลืมไปว่าตัวเองอาจจะเป็นอาหารให้คนในบ้านนี้ในอนาคตก็ได้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาที่ห้องครัว เธอก็อดยิ้มแล้วพูดกับชายชราไม่ได้ว่า : “ปลาในที่นี่น่าสนใจจังเลยนะคะ”

ชายชรายิ้มก่อนจะพยักหน้า : “จ่ะ เจ้าของคฤหาสน์แห่งนี้ไม่ชอบปลาคราฟหรือปลาทองหรอก เขาบอกว่าถ้าเลี้ยงปลาก็เลี้ยงพวกนี้ดีกว่า ถ้าวันไหนเบื่อมันแล้วก็เอามาทำเป็นอาหารได้”

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะหัวเราะไม่ได้ : “ดูเหมือนคนๆนี้ก็ตลกเหมือนกันนะคะ”

ชายชราพยักหน้า ก่อนจะหุบยิ้มแล้วถอนหายใจออกมา ก่อนจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดอย่างระมัดระวังว่า : “หนูอายุเท่านี้แล้ว น่าจะแต่งงานแล้วสินะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ฉันไม่เคยแต่งงานหรอกค่ะ แต่ฉันมีลูกสาวคนนึง ทำไมหรอคะ? ฉันดูเหมือนคนที่แต่งงานแล้วหรอ?”

ชายชรารีบส่ายหัวแล้วพูดขึ้นมาทันทีว่า : “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก ฉันแค่พูดไปเรื่อยน่ะ แล้วหนูเลี้ยงลูกคนเดียวก็ไม่ง่าย ไม่อยากหาแฟนใหม่สักคนหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “คุณจะแนะนำคนที่เหมาะสมมาให้ฉันหรอคะ?”

ชายชรายิ้มก่อนจะพูด : “ผู้ชายที่ฉันรู้จักน่ะเยอะมาก แต่ไม่รู้ว่าหนูชอบคนแบบไหน? มีสเปคมั้ยล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่สักพัก เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยจริงๆว่าเธอจะหาผู้ชายแบบไหนเพื่อแต่งงานอีกครั้ง เมื่อผ่านไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วถึงได้ยิ้มออกมาก่อนจะพูดว่า : “คนที่ทำอาหารได้ ดีกับลูกสาวของฉันก็พอแล้วค่ะ เพระาฉันทำอาหารไม่ได้เรื่องเลย”

ชายชระพูดด้วยรอยยิ้ม : “คนแบบนั้นน่ะดีเลย ดีมากๆ แต่ต้องหาดีๆนะ ทางดีที่ควรจะหาคนที่เขาเป็นผู้ใหญ่มีวุฒิภาวะหน่อย ไม่ต้องเลือกคนที่เขาหนุ่มเกินไปนะ ตอนนี้น่ะนิยมเป็นคู่รักแบบผู้หญิงอายุเยอะแล้วผู้ชายอายุน้อย แค่คิดก็ไม่เวิร์คแล้ว ผู้ชายพวกนั้นจะดูแลครอบครัวได้ยังไงกันล่ะ? จะรู้วิธีเลี้ยงลูกได้หรอ? พวกเขาน่ะไม่ค่อยมีความรักผิดชอบหรอก”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชายชราพูดเช่นนั้น เธอก็ค่อยๆยกยิ้มแล้วก็พยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันก็อย่างนั้นเหมือนกันค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ชายชราก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ : “หนูคิดแบบนี้ก็ดีแล้วจ่ะ……….ดูคนแก่ที่มึนๆอย่างฉันสิ เข้าวัยกลางคนแล้ว เดี๋ยวฉันไปเตรียมทำอาหารให้หนูก่อนนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกลับหลังหันไปพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เดี๋ยวฉันช่วยค่ะ”

ชายชรายิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา : “ไม่รบกวนหนูดีกว่า หนูไม่ได้บอกว่าหนูทำอาหารไม่เป็นหรือไง? หนูไปเดินเล่นในสวนเถอะจ่ะ ลองเดินดูว่าในสวนยังมีอะไรที่ต้องแก้หรือเสริมอะไรมั้ย แล้วหนูก็มาบอกฉันน่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม : “แล้วในอนาคตใครจะมาอยู่คฤหาสน์นี้หรอคะ? มีแค่คุณกับคุณผู้ชายคนนั้นหรอคะ?”

ชายชราพูดด้วยรอยยิ้ม : “จ่ะ ตอนนี้ก็มีแค่นี้แหละ เดี๋ยวอีกไม่นานภรรยากับลูกของคุณผู้ชายก็จะเข้ามาอยู่แล้ว หนูก็มีลูกไม่ใช่หรอ? หนูลองเดินดูนะ แล้วลองคิดดูว่าถ้ามีเด็กมาอยู่ต้องเพิ่มเติมอะไรตรงไหน ฉันจะไปแนะนำให้เจ้าของที่นี่ฟัง ไม่อย่างนั้นคนแก่อย่างฉันคงไม่รู้หรอกที่ที่ห่างไกลแบบนี้เด็กจะชอบอะไร ไม่ชอบอะไร?”

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง เขาแต่งงานแล้วหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่งถาม

ชายชราขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมา : “เลิกกันแล้วต่างหากล่ะ………”

ชายชราพูดจบก็รีบหยุดแล้วก็ยกยิ้มขึ้นมาทันที : “ดูสิ คนแก่อย่างฉันมาพูดอะไรกับหนูก็ไม่รู้ นี่มันเรื่องส่วนตัวของคนอื่นชัดๆ ไม่เกี่ยวอะไรกับคนแก่ๆอย่างฉันเลย หนูรีบไปเดินดูแถวๆในสวนเถอะ หนูยืนดูฉันทำอาหารแบบนี้ฉันประหม่าจนไม่รู้จะทำอาหารยังไงแล้ว ตอนนี้หนูเป็นแขก หนูไม่ต้องมาทำส่วนนี้หรอกจ่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มขึ้นมา : “อย่างนี้นี่เอง งั้นฉันไปก่อนนะคะ ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วยเรียกได้เลยนะคะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยิ้มแล้วเดินออกจากห้องครัวไปทันที เมื่อเธอเดินไปที่สวนแล้วครุ่นคิดทันที เธอตอบตกลงชายชราไปแล้ว เลยคิดว่าถ้าเจี่ยนซวงมาอยู่ที่นี่ เจี่ยนซวงจะชอบแบบไหนนะ? เธอคิดแล้วเขียนสิ่งอำนวยความสะดวกที่ควรจะมีในสวนแห่งนี้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่สระน้ำ เธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่มองหน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์ เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นไปมองก็เห็นเหมือนกับมีใครบางคนกำลังหลบอยู่บนนั้น

ใช่เขามั้ยนะ? ใช่เหลิ่งเซ่าถิงมั้ยนะ?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองหน้าต่างบานนั้น ก่อนจะจากไป แต่เพียงเธอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เธอก็ได้ยินเสียงชายชราตะโกนเรียกเธออยู่ข้างหลังของเธอ : “อาหารทำเสร็จแล้วนะหนู รีบมาชิมเร็ว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจี่ยนอี๋นั่วจึงหยุดเดินทันที ก่อนจะหันหลังมาด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินตรงไปที่ห้องครัว เจี่ยนอี๋นั่วพบว่ามีกุ้งผัดขึ้นฉ่าย และซุปกระดูกหมู เจี่ยนอี๋นั่วอดที่ยิ้มออกมาไม่ได้ : “นี่เป็นอาหารโปรดของฉันทั้งนั้นเลย……..”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยว่าเจ้าของคฤหาสน์หลังนี้คือเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่สนเรื่องการเจียมเนื้อเจียมตัวแล้วก็รีบทานเข้าไปคำใหญ่คำโต แต่เมื่ออาหารเข้าปากเธอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที

ชายชราขมวดคิ้วแล้วรีบถามขึ้นมาทันที : “เป็นอะไรไป? รสชาติอาหารมันไม่อร่อยหรอ? ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะจ๊ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่ค่ะๆ อร่อยมากๆ”

อาหารอร่อยมาก แต่ว่ารสชาติมันไม่ใช่รสชาติในความทรงจำของเธอ หรือว่าจะไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงนะ?

ชายชราพูดขึ้น : “ถ้าหนูว่ามันอร่อยก็ดีแล้วล่ะ งั้นหนูก็ค่อยๆทานไปนะ ฉันเอาอาหารไปให้คุณผู้ชายเขาก่อน เขาชอบอาหารพวกนี้มากๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขึ้นมา : “ที่จริงก็เป็นอาหารที่เขาชอบเองหรอคะ?”

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ชอบอาหารพวกนี้เลยนะ

ชายชราพยักหน้า ก่อนจะเอาอาหารวางลงบนถาดแล้วก็เดินออกจากห้องครัวไป เจี่ยนอี๋นั่วคียอาหารใส่ปาก เมื่อกินเข้าไปคำนึงเธอก็อดที่จะไม่ยิ้มออกมาไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดว่าตัวเองบ้าไปแล้วรึเปล่านะ? ทำไมเธอถึงคิดว่าเจ้าของคฤหาสน์นี้คือเหลิ่งเซ่าถิงกัน ถ้าเป็นเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆล่ะก็ เหลิ่งเซ่าถิงจะหลบซ่อนเธอแบบนี้หรอ? ถึงแม้ไม่อยากมีถาพจำเรื่องของเธอ ไม่อยากเจอเธออีก แต่เหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ซ่อนตัวแล้วก็ไม่ออกมาเจอกันกับเจี่ยนอี๋นั่วหรอก เหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ใช้วิธีนี้เพื่อเรียกเธอมาแล้วหลับเธอแบบนี่หรอก

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้อย่างนั้น เธอก็นึกไม่ออกเลยว่าถ้าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นเจ้าของคฤหาสน์นี้จริงๆ ทำไมต้องมห้เธอมาส่งผักที่นี่ แล้วก็ไม่ออกมาเจอกันแบบนี้ เจ้าของคฤหาสน์หลังนี้คงไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงใช่มั้ย?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เข่นนั้น เธอก็ก้มหัวแล้วกินข้าวด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น บางทีเจียนอี๋นั่วคงจะเศร้าเอามากๆ เพราะแม้แต่อาหารที่กินเข้าไปยังไม่อร่อยเลย จึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากกินมันต่อ เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงเก็บจานชาม รอชายชรากลับมา เมื่อเขากลับมาเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดกับชายชราด้วยรอยยิ้มทันทีว่า : “ฉันกินเรียบร้อยแล้วค่ะ งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

ชายชราพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “จ่ะ ฉันไม่ไปส่งหนูแล้วนะ พรุ่งนี้หนูมาส่งผักอีกได้มั้ยจ๊ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ได้ค่ะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันเอาผักมาส่งให้อีก”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากที่นั่น เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตู เธอก็หันหน้าไปมองที่หน้าต่างชั้นสองของคฤหาสน์ แต่เธอกลับไม่เจอใคร

“ฉันคงคิดไปเองล่ะมั้ง?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดคนเดียว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะกลับบ้านไป เมื่อเธอใกล้จะถึงบ้านแล้ว จู่ๆเธอก็ถูกสะกิดที่ไหล่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังทันที ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ่มว่า : “ใครคะ?”

เธอมองผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอก่อนจะตะลึงไปชั่วครู่แล้วก็ยกยิ้มขึ้นมา : “คุณมู่ลืมแล้วหรอครับเนี่ยว่าผมคือใคร? ผมเฉิงเว่ยหรานเองครับ”

เฉิงเว่ยหรานยกมือขึ้นมาเผยให้เห็นกุญแจอยู่ในมือของเขา ก่อนที่เขาจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณทำครับ นี่เป็นกุญแจของคุณรึเปล่าครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่งรีบพยักหน้า ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวของตัวเอง แล้วก็รีบคว้ากุญแจในมือของเฉิงเว่ยหรานกลับมาทันที : “ขอบคุณค่ะ ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองทำกุญแจตกไปตั้งแต่ตอนไหน”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “เมื่อกี้ผมเรียกคุณหลายครั้งแต่ไม่รู้ว่าคุณคิดอะไรอยู่ น่าจะใช้ความคิดหนัก ผมเลยได้แค่เดินตามมา ขอโทษด้วยนะครับที่ทำให้คุณตกใจ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า : “ฉันต้องขอบคุณคุณซะอีกค่ะ”

“ถ้าคุณอยากขอบคุณจริงๆ ผมขอน้ำสักแก้วได้มั้ยครับ? ก่อนหน้านี้ผมเอาแต่เดินดูหมู่บ้านนี้ ตอนนี้เลยกระหายน้ำนิดหน่อยน่ะ” เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น เขามีความเป็นเอกลักษณ์มากๆ ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่น่าคบ ทำให้คนยากที่จะปฏิเสธเขา

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงยิ้มแล้วก็พยักหน้า : “ไม่มีปัญหาค่ะ เชิญคุณเข้ามาเลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตู เฉิงเว่ยหรานก็เดินตามเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปด้วยรอยยิ้ม ไม่เหมือนกันเด็กซื่อบื้ออย่างมั่วเชียนเลย เฉิงเว่ยหรานเป็นคนที่มีขอบเขตในการสร้างปฏิสัมพันธ์ต่อผู้อื่น ถึงแม้ว่าเขาเข้ามาในเขตบ้านแล้ว แต่เขาก็ยังยืนรออยู่หน้าประตู ไม่ได้เดินเข้ามาเลยทีเดียว

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบน้ำร้อนออกมาแก้วหนึ่ง เธอก็เห็นเฉิงเว่ยหรานที่กำลังหัวเราะให้กับตุ๊กตาลิงน้อยที่แวข้อาไว้อยู่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่งน้ำให้กับเฉิงเว่ยหรานก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “นี่เป็นตุ๊กตาที่ฉันกับลูกสาวทำน่ะค่ะ ลูกสาวฉันว่ามันคือซุนหง๋อคง แขวนไว้หน้าประตูเพื่อขวางคนไม่ดีไม่ให้เข้ามา”

เฉิงเว่ยหรานรับน้ำนั้นมาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดว่า : “ลูกสาวหรอครับ? เด็กคนที่หลับอยู่ข้างหลังคุณเมื่อวานใช่มั้ยครับ? เธอน่ารักมากๆเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วส่าหยน้าก่อนจะถอนหายใจ : “เธอซนมากๆต้างหากล่ะค่ะ บางทีก็น่ารัก แต่บางทีก็ทำให้ฉันปวดหัวมากๆ”

“เด็กก็แบบนี้แหละครับ ผมชอบเด็กที่สุดแล้วครับ แต่เสียดายที่ผมไม่มีวาสนากับเด็กๆเท่าไหร่” เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นก่อนจะส่ายหน้าไปมา

“ทำไมล่ะคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะไม่ถาม จากนั่นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า : “อ่า ขอโทษค่ะ ฉันไม่ควรถามเรื่องส่วนตัวของคุณ”

เฉิงเว่ยหรานพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่เป็นไรครับ จริงๆแล้วมันก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก ผมมีลูกไม่ได้น่ะครับ ว่าที่ภรรยาของผมเลยเลิกกันกับผม เธอชอบเด็กมากๆเลยครับ เธออยากได้ลูกที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเราสองคน แต่ผมทำให้ความต้องการเธอเป็นจริงไม่ได้ ก็เลยทำได้เพียงเลิกกันไปน่ะครับ……..”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ดูแล้วหม่าม้าต้องจับตาดูหนูดีๆแล้วล่ะค่ะ ช่วงนี้พูดอะไรไปเยอะเลยคะเนี่ย? จะฉลาดเกินตัวไปรึเปล่า? ต่อไปต้องดูละครให้น้อยๆแล้วอ่านหนังสือเยอะๆแทนนะคะ เข้าใจมั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะยกมือขึ้นมาดึงหน้าของเจี่ยนซวง ผิวหน้าเจี่ยนซวงนั้นผิดรูปไป เธอจุงพูดออกมาทันทีว่า : “หม่าม้าคะ อย่าทำหนู…….”

มั่วเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม : “นี่ลูกสาวของคุณสินะครับ น่ารักมากเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : “มาค่ะ เรียกเขาว่าพี่ชายนะคะ”

เจี่ยนซวงยิ้มแล้วตะโกนพูดกับมั่วเชียน : “สวัสดีค่ะพี่ชาย”

มั่วเชียนกระพริบตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว : “เรียกลุงดีกว่าครับ”

“ฮิ………” เจี่ยนซวงหัวเราะก่อนจะรีบเอามือมาปิดปาก : “มีลุงที่ไหนทีายังหนุ่มๆแบบนี้ล่ะคะ พี่น่ะคือพี่ชายต่างหาก พี่น่าจะเรียกหม่าม้าหนูว่าน้าด้วยนะคะถึงจะถูก”

ใบหน้าของมั่วเชียนซีดลงทันที ก่อนที่รอยยิ้มของเขาค่อยๆหุบลงแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดอย่างจริงจัง : “ผมคิดมาโดยตลอดว่าอาจจะเพราะผมยังไม่เป็นผู้ใหญ่เท่าไหร่ แต่ว่าโปรดอย่าปฏิเสธผมโต้งๆแบบนี้เลยนะครับ บางทีเราอาจจะเข้ากันได้ แล้วคุณก็อาจจะมองผมอีกแบบก็ได้นะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะส่ายหัว : “ขอโทษนะ ฉันเลี้ยลูกสาวฉันก็ยุ่งแล้ว ไม่อยากเลี้ยงลูกชายเพิ่มอีกคน ฉันไม่มีเวลาแล้วก็ประสบการณ์การรอเเ็กผู้ชายให้เติบโตหรอกนะ ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ต่อไปแล้ว ถ้าเธอยังทำแบบนี้ฉันจะคิดว่าเป็นตัวปัญหา เธอเองก็คงไม่อยากให้ฉันรู้สึกรังเกียจเธอหรอก ใช่มั้ย?”

มั่วเชียนหน้าซีดพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นมา เขายืนอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วโดยที่ไม่ เจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูบ้านก่อนจะพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : “รีบเข้าบ้านกันค่ะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดกับมั่วเชียนด้วยรอยยิ้มว่า : “เธอก็รีบๆกลับบ้านซะนะ อย่าให้เพื่อนๆของเธอมาเห็น ไม่อย่างนั้นอาจจะเอาไปล้อเธอก็ได้นะ รีบกลับไปเถอะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ปิดประตูบ้านทันที เจี่ยนซวงส่ายหน้าก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะพูดอย่างเชยๆว่า : “เด็กน้อยๆไม่ตั้งใจเรียน แต่มาตามจีบคนอื่นเขา ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ หม่าม้าคะ หนูไม่เอาคุณพ่อที่ไม่เป็นผู้ใหญ่แบบนี้นะคะ หนูกลัวเขามาแย่งเค้กของหนูกิน”

เจี่ยนอี๋นั่วจับผมเปียของเจี่ยนซวงเอาไว้ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เด็กน้อยๆไม่ตั้งใจเรียน เอาแต่พูดจาไร้สาระ ไม่รู้เรื่องเลยจริงๆ”

เจี่ยนซวงหัวเราะฮิฮิออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า : “เอ๊ะ ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมลอยมาล่ะเนี่ย”

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะสูดจมูกฟิดๆ แล้วสะบัดมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่จับผมเปียของเธอ แล้วถ่อตัวไปที่ห้องครัวทันที เธอจึงพบกับบะหมี่ที่อยู่ในห้องครัว ก่อนที่เจี่ยนซวงจะก้าวเท้าเข้าไปหามันแล้วยกชามขึ้นแล้วซดน้ำจนหมด จากนั้นเจี่ยนซวงก็หันหลังแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้าคะ บะหมี่นี่หม่าม้าทำหรอคะ ฝีมือหม่าม้าพัฒนาขึ้นเยอะเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าไปมา : “ไม่ใช่ค่ะ พี่ชายคนเมื่อกี้ทำอย่างหาก”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้นเธอก็เบิกตาโตขึ้นมาทันที : “หม่าม้าคะ หม่าม้าปล่อยให้เขาเข้าบ้านเราหรอคะ!”

จากนั้นเจี่ยนซวงก็กระพริบตาปริบๆแล้วพูดขึ้นว่า : “ให้เขาเข้าบ้านเราแล้วแบบนี้ ทำไมไม่ให้เขาทำอาหารให้เรากินต่อล่ะคะ? ให้เขาทำอาหารเย็นให้แล้วหม่าม้าก็ปฏิเสธเขาเลยหรอคะ นี่มันเกินไปแล้วนะคะ! ตอนที่หนูอยู่โรงเรียนมีผู้ชายคนนึงมาชอบหนูเหมือนกัน หนูยังไม่เคยปฏิเสธเข้าโต้งๆแบบนั้นเลยนะคะ พวกเขาช่วยหนูทำเวณ หนูเลยครุ่นคิดว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจะไม่ช่วยหนูแล้วนะ หนูเลยปฏิเสธเขา เขาก็มักจะพูดว่าผู้ชายจะต้องช่วยเหลือผู้หญิง พวกเขาเต็มใจ แล้วทำไมต้องขวางพวกเขาด้วยล่ะคะ หม่าม้าลองคิดดูสิคะ ถ้าผู้ชายคนเมื่อกี้มาทำอาหารเย็นให้เรากิน มันจะดีขนาดไหน……”

เจี่ยนอี๋นั่วจับไหล่ ก่อนจะพิงประตูแล้วเอียงใบหน้ามองเจี่ยนซวง รอให้เจี่ยนซวงกินบะหมี่ไปกว่าครึ่งก่อนจะรู้สึกแปลกๆ เจี่ยนซวงจึงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะสูดจมูก แล้วพูดขึ้นมาว่า : “แน่นอนว่ามันไม่ถูก รู้อย่างนี้สองวันก่อนหนูไม่ทำอย่างนี้หรอกค่ะ”

“ดูแล้วหม่าม้าคงต้องสั่งสอนหน่อยแล้วล่ะค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวง แล้วยิ้มจนตาหยี

เจี่ยนซวงเม้มปากแล้วกระพริบตาก่อนจะพูดว่า : “สอนเรื่องอะไรหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามอง : “ความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงค่ะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆแล้วใบหน้าของเธอก็แดงขึ้นมา : “หม่าม้าคะ หนูยังเด็ก เรียนรู้เรื่องอะไรแบบนี้มันจะเร็วไปรึเปล่าคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเขกหัวเจี่ยนซวง : “ดูจากความรู้ในสมองของหนูแล้ว หม่าม้าคิดว่าหม่าม้าสอนช้าไปนะคะ”

ในขณะนั้นเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น ดวงตาของเจี่ยนซวงเป็นประกายขึ้นมาทันที : “หม่าม้าคะ ผู้ชายคนเมื่อกี้จะมาทำอาหารให้เรากินรึเปล่าคะ? รีบไปเปิดประตูมั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมกับพยักหน้า เธอเดินไปที่ประตูก่อนจะเปิดมันออก แต่คนที่เธอพบกลับไม่ใช่มั่วเชียนแต่เป็นผู้ชายที่มาถามทางเธอคนเมื่อกี้ เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มให้เขาทันทีก่อนจะพูดว่า : “ขอโทษนะคะ คุณมาผิดบ้านแล้วล่ะค่ะ”

เมื่อพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มก่อนที่จะเตรียมตัวผิดประตู ผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มก่อนจะถาม : “สวัสดีครับ คุณคือคุณมั่วหวันถิงรึเปล่าครับ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินผู้ชายคนนั้นเรียกชื่อปลอมของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดชะงักไปทันที ก่อนจะขมวดคิ้วใส่ผู้ชายคนนั้น แลเวพูดด้วยเสียงเข้มว่า : “ใช่ค่ะ คุณมีเรื่องอะไรรึเปล่าคะ?”

ชายคนนั้นยิ้มก่อนจะพูดขึ้น : “สวัสดีครับ ผมคือเฉิงเว่ยหราน ประธานเว่ยหรานโฮเทลครับ ผมได้ยินมาว่าในสวนของคุณมีผักที่สดใหม่มากๆ ผมอยากจะมาคุยเรื่องธุรกิจกับคุณหน่อยน่ะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า : “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่อยากทำธุรกิจอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณอยากซื้อผัก บ้านในระแวกแถวๆนี้มีนะคะ ผักพวกนี้ไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันหรอกค่ะ”

“โอเคครับ” เฉิงเว่ยหรานยิ้ม : “ขอโทษที่รบกวนนะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าเฉิงเว่ยหรานจะยอมแต่โดยดี เธอยิ้มออกมาเล็กน้อย เตรียมที่จะผิดประตู แต่เธอยังไม่ได้ปิดประตู ก็ถูกเฉิงเว่ยหรานขวางเอาไว้ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะถามขึ้นมาว่า : “คุณคิดจะทำอะไรคะ?”

เฉิงเว่ยหรานยิ้มก่อนจะส่ายหัวแล้วพูดว่า : “อ่า คุณอย่าประหม่าขนาดนั่นสิครับ ผมไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไร แค่กลัวว่าคุณจะเข้าใจผิดน่ะครับ เพราะว่ามันบังเอิญมากเกินไป จนทำให้คุณคิดว่าผมตามคุณอยู่ ทำให้คุณรู่สึกไม่ดี แต่เพื่อนผมได้คำแนะนำมาจากเพื่อนของผมว่าผักที่หมู่บ้านนี้สดใหม่ แล้วพอผมมาที่นี่ พวกเขาก็แนะนำสวนผักของคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “อ่อ งั้นฉันก็ไม่รู้ด้วยแล้วค่ะ วางใจได้เลย ฉันไม่เข้าใจผิดหรอกค่ะ งั้นฉันไปนะคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็รีบปิดประตูทันที ก่อนจะหันหลังแล้วเธอก็พบกับเจี่ยนซวงที่ถือชามบะหมี่เอาไว้อยู่นั้นทำให้เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับตกใจ เธอเอามือขึ้นมาทาบอกก่อนจะพูดว่า : “ทำไมมายืนอยู่หลังหม่าม้าไม่ซุ่มไม่เสียงล่ะคะ?”

เจี่ยนซวงกินบะหมี่ไปด้วยพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วยว่า : “หม่าม้าคะ เขาเปิดร้านอาหารหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “น่าจะใช่ค่ะ”

ตาของเจี่ยนซวงเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนจะกลืนบะหมี่ทั้งหมดเข้าไป แล้วหัวเราะฮิฮิออกมาแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นแสดงว่ามีของอร่อยเยอะมากเลยสิคะ? หม่าม้าคะ คนนี้ใช้ได้เลยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเจี่ยนซวง : “เมื่อกี้หนูยังบอกว่าเขาเทียบไม่ได้กับคุณพ่อของหนูอยู่เลยนะคะ”

เจี่ยนซวงพยักหน้า : “ใช่ไงคะ เทียบไม่ได้สักอย่างเลย แต่ตอนนี้คุณพ่อไม่อยู่ เขาทำมาหากินเป็นด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วมองลูกสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ : “หม่าม้าน่ะบางทีก็คิดนะ ว่าวันนึงหนูอาจจะหม่าม้าไปขายเพื่อแลกของกินอร่อยๆมา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ส่ายหัวก่อนที่จะเดินเข้าบ้านไป เจี่ยนซวงกอดชามบะหมี่เอาไว้แล้วเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่งไป ราวกับว่าเป็นลูกหมาที่อยากได้กระดูก : “หม่าม้าคะ หม่าม้าลองไปไตร่ตรองดูสิคะ บางทีขนมหวานที่ร้านอาหารของเขาอาจจะอร่อยมากๆก็ได้นะคะ…..หม่าม้า…..”

วันรุ่งขึ้น หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วก็พาเจี่ยนซวงไปส่งที่โรงเรียน เธอก็ได้รับโทรศัพท์จากคฤหาสน์บ้านนั้นอีก เพื่อให้เธอไปส่งผัก

“เขาขอมาว่าให้เธอไป บอกว่าเธอระวังตัวดี”คนที่ช่วยเจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพยักหน้า : “ได้จ่ะ งั้นเดี๋ยวฉันไปเอง แต่ว่าจักรยานของฉันมันเสียน่ะ……”

“พวกเขาบอกว่าพวกเขาเจอแล้วก็ซ่อมเรียบร้อยแล้วน่ะ เพิ่งเอาส่งเมื่อกี้นี้เลย” ชาวนาคนนั้นยิ้มแล้วชี้ไปที่จักรยานคันนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา : “คนบ้านนี้นี่แปลกจังเลย มีเวลาเอาจักรยานมาคืนแต่ไม่มีเวลาเอาผักกลับไปด้วยงี้หรอ?”

ชาวนายิ้วก่อนจะส่ายหน้า : “อื้อ ได้ยินคนนั้นพูดว่าเขาเอาจักรยานมาส่งแล้วก็บอกว่าจะไม่ได้กลับไปที่คฤหาสน์ทันทีนะ ก็เลยให้พวกเราเอาผักขึ้นไปส่งน่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “เข้าใจแล้วจ่ะ เดี๋ยวฉันจะเอาไปส่งให้”

เธอตอบไปอย่างนี้แต่ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็ยังอดไม่สงสัยไม่ได้ พวกเขารู้ได้ยังไงนะว่าจักรยานเป็นของเธอ? เจ้าของคฤหาสน์นี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสงสัยมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดจะทำร้ายเธอ แต่ว่าเขานั้นดูจะสนใจเจี่ยนอี๋นั่งมาก ทำให้เธอนั้นสงสัยในเจ้าของคฤหาสน์นี้มากๆ

เจี่ยนอี๋นั่งเองก็อยากจะไปดูที่คฤหาสน์หละงนั้นเหมือนกันว่าเจ้าของที่นั่นเป็นคนยังไงกันแน่? เจี่ยนอี๋นั่วปั่นจักรยานเอาผักไปส่งที่คฤหาสน์หลังนั้น เพียงเธอกดกระดิ่ง ชายชราคนก่อนก็เปิดประตูให้เธอทำที ก่อนจะยิ้มแล้วพูดกับเธอว่า : “รบกวนหนูเอามาส่งอีกแล้ว เมื่ออกี้คนงานในบ้านออกไปทำธุระ เลยเอาจะกรยานไปให้หนูด้วย ตอนแรกว่าจะให้เอาผักกลับมาด้วย แต่ว่าเขามีธุระน่ะ เลยต้องรบกวนหนูให้เอามาส่ง”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ไม่เป็นไรเลยค่ะ ฉันว่างพอดี”

ชายชรายกยิ้มขึ้นมาทันที : “ดีแล้วจ่ะ ดีแล้ว งั้นหนูก็กินข้าวเที่ยงที่นี่เลยนะ เมื่อวานหนูไม่ได้กินข้าวที่นี่ จัดรยานของหนูก็เสียอีก เจ้าของบ้านเขารู้เขาโมโหเชียวนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าเจ้าของบ้านจะโมโหร้าย ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “เขาโมโหใส่คุณหรอคะ?”

ชายชรายิ้มก่อนจะพูด : “โมโหใส่ฉันก็ดีแล้วล่ะ โมโหอยู่คนเดียวนะ”

เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วสงสัย ชายชราก็ยิ้มก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : “เจ้าของที่นี่เขาก็เป็นคนแบบนี้แหละ เขาไม่ชอบอะไรกับใคร อย่าง่าแต่หนูเลย คนในบ้านนี้นะ ถึงเวลากินข้าวเที่ยงเมื่อไหร่ ไม่กินข้าวแล้วกลับไปแบบนั้น เขาก็ไม่สบายใจนะ”

“ก็ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวฉันจะกินข้าวเที่ยงที่นี่แล้วกันค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอก้มหน้าลงแล้วล้างผักอย่างระมัดระวัง

เจ้าของคฤหาสน์ที่นี่นี่แปลกนะเนี่ย หรือจะเป็นคนที่เธอรู้จักกันนะ? เจี่ยนอี๋นั่วเดาออกมาด้วยความกล้าว่าเจ้าของของคฤหาสน์แห่งนี้จะเป็นเหลิ่งเซ่าถิง?

มั่วเชียนทำบะหมี่เสร็จ เขาก็รีบเอามาเสิร์ฟตรงหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เจี่ยนอี๋นั่มองไปที่มั่วเชียนอย่างลังเลพักหนึ่ง ก่อนจะกินบะหมี่เข้าไป แล้วเธอก็พยักหน้าขึ้นลงเบาๆ : “รสชาติใช้ได้เลยนี่”

มั่วเชียนรีบยกยิ้มขึ้นมาทันทีทันใด รอยยิ้มของเขานั้นสดใสมาก ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “งั้นต่อไปผมจะทำให้คุณกินบ่อยๆนะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงคอมองหน้ามั่วเชียน ก่อนจะถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมาว่า : “อายุยังน้อยอยู่ ต้องเรียนหนังสือเยอะๆแล้วก็คิดเรื่องที่มันยุ่งยากน้อยๆหน่อยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็กินบะหมี่ไปอีกครึ่งหนึ่ง ก่อนจะเช็ดปากของเธอ แล้วพูดกับมั่วเชียนไปว่า : “เหลือเวลาไม่มากแล้ว ฉันต้องนรีบไปรับลูกสาว เธอกลับไปตอนนี้เลยได้มั้ย?”

มั่วเชียนขมวดคิ้วขึ้น : “ทำไมคุณเอาแต่ปฏิเสธผมล่ะครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “อพราะว่าฉันไม่ชอบเธอไงล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เดินไปที่ประตูบ้าน ก่อนจะพูดกับมั่วเชียนด้วยรอยยิ้มว่า : “ไปเถอะ”

มั่วเชียนขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเดินออกจากบ้านสวนไป จากนั้นก็หันมามองเจี่ยนอี๋นั่วที่เดินออกไปจากบ้านสวน มั่วเชียนมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อหรอกว่าเด็กวัยรุ่นที่อายุขนาดนี้แล้วจะดื้อดึงไปสักแค่ไหน หลังจากที่จบกิจกรรมของพวกเขาแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่ามั่วเชียนก็คงไปจากที่นี่ แล้วก็ค่อยลืมเลือนเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นี่เอง

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังแล้วเดินมุ่งตรงไปยังโรงเรียนของเจี่ยนซวง เมื่อเดินไปถึงแยกโรงเรียน จู่ๆก็มีรถสองคันมาจอดอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วตกใจจนเดินถอยห่างออกมา

เมื่อประตูรถเปิดออก หัวของชายคนหนึ่งก็โผล่ออกมาทันที ก่อนเขาจะถามเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “สวัสดีครับ ผมอยากถามอะไรหน่อย ที่ใช่โรงเรียนประถมสามมั้ยครับ?”

รูปลักภายนอดของผู้ชายคนนี้ดูตรงไปตรงมา ดูเป็นคนอบอุ่นและสุภาพบุรุษ น่าคบหา

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะชี้ไปที่ประตูโรงเรียน : “นั่นคือโรงเรียนประถมสามค่ะ”

ชายคนนั้นมองมาที่เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะถามว่า : “แล้วคุฯรู้จักหมู่บ้านกวนสุ่นมั้ยครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “รู้จักค่ะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแค่รู้จักเท่านั้น แต่เธอยังอาศัยอยู่หมูบ้านกวนสุ่ยนี้ด้วย ชายคนนั้นเบิกตาโตขึ้นมาทันที : “เยี่ยมเลยครับ ดีเลย เดี๋ยวผมจะเดินทางไปที่นั่น คุณพอจะบอกทางให้ผมหน่อยได้มั้ยครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า : “ขอโทษด้วยนะคะ แต่คงไม่ได้”

ชายคนนั้นอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ดูคุณจะรีบมากนะครับ เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณแค่ทางให้ผมคร่าวๆก็ได้ครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะชี้บอกทางให้ชายคนนั้น ชายคนนั้นรีบขับรถออกไปทันที เขี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ทะเบียนรถของชายคนนั้น แล้วคนมากมายขนาดนี้ทำไมผู้ชายคนนั้นถึงเลือกที่จะถามเธอกันนะ?

อาจจะเป็นเพราะต้องปิดบังตัวตนของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วจึงต้องระมัดระวังต่อการเข้าใกล้คนอื่น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหันหน้ากลับไปมองรถยนต์คันนั้น ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วเดินไปที่ประตูหน้าโรงเรียน

เมื่อเธอมาถึงประตูหน้าโรงเรียน ที่นั่นก็เต็มไปด้วยเหล่าผู้ปกครองของนักเรียน เขี่ยนอี๋นั่วคือหนึ่งในคนที่เดินอยู่ในนั้น และแล้วเธอก็เห็นเจี่ยนซวงที่สะพายกระเป๋าใบเล็กวิ่งออกมาจากโรงเรียน เธอทั้งวิ่งมาด้วยพร้อมกับตีกับเพื่อนร่วมชั้นด้วย เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะโบกมือให้เจี่ยนซวง : “เหยียนเหยียน อย่าไปทะเลาะกับเพื่อนแบบนั้น รีบมานี่เร็วค่ะ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็อึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาเจี่ยนอี๋นั่วคนเป็นแม่อย่างรวดเร็ว แล้วเช็ดเหงื่อบนใบหน้าของตัวเอง : “หม่าม้าคะ วันนี้หนูเรียนคาบพละ หนูวิ่งได้ที่1ด้วยแหละค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วลูกหัวลูกเบาๆก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ค่ะ เก่งมาก”

“แต่ว่าหลักภาษาเหยียนเหยียนสอบได้แค่ห้าสิบคะแนนเองครับ สอบไม่ผ่าน!”

เรืทองที่เจี่ยนซวงตีกับเพื่อนผู้ชายเมื่อกี้นี้ พูดแทรกขึ้นมาทันที

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วทันที ก่อนจะหันหน้าไปจ้องหน้าเด็กผู้ชายคนนั้น ดวงตาของเจี่ยนซวงและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเหมือนกันมาก ตอนที่เธอจ้องคนอื่นด้วยความเย็นชานั้นเหมือนกันกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีผิด เด็กชายคนนั้นเบะปากไม่กล้าพูดอะไรต่อ

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าเด็กคนนั้นหยุดพูดแล้ว เธอก็เปลี่ยนสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา ก่อนจะพูดกับคนเป็นแม่ว่า : “หม่าม้าคะ หลักภาษามันยากเกินไปค่ะ หนูไม่ชอบท่องหนังสือ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “หม่าม้ารู้ค่ะว่าหนูไม่ชอบ แต่ถึงจะไม่ชอบยังไงก็ต้องตั้งใจนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะลูบหัวลูกสาว : “แต่วันนี้หนูวิ่งได้ที่หนึ่ง หม่าม้าจะให้รางวัล หม่าม้าจะซื้อให้หนูกินเค้กละกันค่ะ”

เจี่ยนซวงรีบยกมือขึ้นพร้อมกับกระโดดโลดเต้นทันที : “เยี่ยมไปเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลง ก่อนจะพูดต่อว่า : “แต่ว่าหนูสอบหลักภาษาไม่ผ่าน กลับบ้านไปหนูต้องคัดบทเรียนนะคะ”

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วกลับมามุ่ยอีกครั้งก่อนจะทำท่าเหมือนจะร้องไห้ : “หม่าม้าคะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วยกนิ้วชี้ของเธอขึ้นมาก่อนจะส่ายไปซ้ายขวา : “ไม่มีข้อแม้ใดๆทั่งสิ้นค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สนใจเรื่องคะแนนสอบของลูกเลย แต่เธอเพียงไม่อยากให้เจี่ยนซวงคิดว่าตัวเองนั้นไม่มีความสามารถในการทำบางสิ่งบางอย่างแบบนี้ เพราะมันจะไปจำกัดพัฒนาการของเจี่ยนซวงในอนาคต เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าเจี่ยนซวงจะมีความคิดที่ว่า ตัวเองไม่ได้เก่งมาตั้งแต่เกิด แต่เพียงแค่พยายามลูกสาวก็จะสามารถแก้ไขปัญหาที่ยากๆเหล่านั้นได้

เจี่ยนซวงยังคงมีสีหน้าท้อใจ แต่เธอรู้ว่าการแสดงออกแบบนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วนั้น ไม่ได้เป็นการจัดการกับการออดอ้อนของเธอแต่อย่างใด เจี่ยนซวงครั่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็หันไปสนใจขนมที่กำลังจะถูกส่งมาถึงมือของตัวเอง เธอหัวเราะฮิฮิขึ้นมาทันที : “หม่าม้าคะ หนูอยากกินเค้กช็อกโกแลตค่ะ แล้วก็หน้าเค้กมีครีมเยอะๆ บนครีมมีสรอเบอร์รี่ด้วยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้ม : “ชอบจังเลยนะคะ ได้ค่ะ หม่าม้าจะพาหนูไปดู ดูว่าจะมีแบบที่หนูอยากกินมั้ย”

เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือเจี่ยนซวงไปถึงร้านขนมหวาน โอกาสที่จะได้กินขนมของเจี่ยนซวงมาถึงมาแล้ว เธอมองเข้าไปที่บานกระจกขนมนั้นอยู่นาน ก่อนจะชี้ไปที่ขนมนั้น ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “อันนี้ค่ะ”

เมื่อได้ขนมอย่างสมใจตัวเองเลย เจี่ยนซวงก็ไปนั่งในร้านขนม เธอทั้งดื่มนมไปด้วย กินขนมหวานไปด้วย ก่อนจะกลับบ้านไปกับเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเดินไปถึงถนนทางเข้าหมู่บ้าน เจี่ยนอี๋นั่วก็พบรถคันนั้นที่มีคนมาถามทางเธอนั้นจอดอยู่บนถนน และเห็นผู้ชายที่ถามทางเธอก็ยืนอยู่ตรงสี่แยกแล้วกำลังมองไปรอบๆอยู่

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วจูงมือลูกสาวเดินผ่านมา เขาก็ยิ้มขึ้นมาทันทีก่อนที่จะถามว่า : “อ้าว? คุณอยู่หมู่บ้านนี้หรอครับ? คุณพาผมไปหาคณะกรรมการหมู่บ้านได้มั้ยครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า : “ขอโทษด้วยค่ะ ฉันไม่รู้จักค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็จูงมือเจี่ยนซวงเดินกลับบ้านไปต่อ ชายคนนั้นเพิ่มระดับเสียงก่อนจะพูดเสียงดังอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว : “เห้ เราเคยเจอมาก่อนใช่มั้ยครับ ผมไปทำอะไรให้คุณขุนเคืองใจรึเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ากลับไปมองผู้ชายคนนั้น แต่เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา ก่อนจะจูงมือเจี่ยนซวงแล้วเดินกลับบ้านต่อ เดินไปได้ไม่นาน เจี่ยนซวงก็แอบหัวเราะขึ้นมา : “หม่าม้าคะ ………เข้าตั้งใจเข้ามาจีบหม่าม้ารึเปล่าคะ?”

“น่าจะใช่ค่ะ……”เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็หันหน้ามามองเจี่ยนซวง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามว่า : “หนูไปได้ยินคำว่าจีบมาจากไหนคะ? หนูเคยไปจีบเด็กผู้ชายที่ไหนมาแล้วใช่มั้ย?”

เจี่ยนซวงส่ายหน้าไปมา : “หนูไม่สนใจพวกเขาหรอกค่ะ เจ้าเล่ห์ๆทั้งนั้น หม่าม้าคะอย่าไปคบกับผู้ชายคนเมื่อกี้นะคะ เขาต่างจากคุณพ่อมากๆ ถ้าหม่าม้าจะเลือกใครให้เลือกคนที่ไม่ต่างจากคุณพ่อนะคะ แต่ว่าคนที่ไม่ต่างจากคุณพ่อคง……..”

เจี่ยนซวงครุ่นคิดอย่างจริงใจไปสักพัก ก่อนจะยู่ปากแล้วส่าหน้าไปมา : “ไม่น่าจะมีหรอกค่ะ เพราะว่าคนพวกนั้นต่างจากคุณพ่อมากๆๆๆ”

เจี่ยนซวงพูดจบเธอก็มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะถามอย่างระมัดระวังว่า : “หม่าม้าคะ หม่าม้ายังคิดว่าคุณพ่อเป็นคนที่ดีที่สุดมั้ยคะ? เขาทั้งสูง ทั้งหล่อ ทั้งทำอาหารเก่ง ทั้งรวย!”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ ก่อนจะพยักหน้า : “ค่ะ คุณพ่อของหนูน่ะดีที่สุดแล้ว แต่ว่าหม่าม้ากับเขาเลิกกันแล้ว ก็ไม่ควรคิดถึงเขาแล้ว ในวันนึงหม่าม้าอาจจะคบกับคุณลุงคนนึงก็ได้ เขาอาจจะไม่รวย ไม่หล่อ ไม่สูง ทำอาหารไม่ได้เท่าคุณพ่อของหนู แต่คุณลุงคนนั้นอาจจะชอบหม่าม้ามากกว่าคุณพ่อของหนูก็ได้นะคะ เขาอาจจะอยากอยู่กับหม่าม้าจนแก่ไปด้วยกัน แล้วก็จับมือกันไปเดินเล่นด้วย”

เจี่ยนซวงมุ่ยปาก ก่อนจะกระพริบตา : “บางทีคุณพ่ออาจจะทำแบบนั้นได้ก็ได้นี่คะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจเจี่ยนซวงดี เธอไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยกมือขึ้นมาแล้วก็ลูบหัวเจี่ยนซวง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “บางทีหนูควรจะเรียนรู้ที่จะปล่อยวางแล้วก็ยอมแพ้บ้างนะคะ โดยเฉพาะกับสิ่งของหรือคนที่ไม่ใช่ของหนู อย่าไปฝืนมันนะคะ”

เจี่ยนซวงเบะปาก ตาของเธอแดงก่ำ ก่อนจะก้มหน้าลงช้าๆแล้วพูดขึ้นว่า : “หนูรู้ค่ะว่าคุณพ่อไม่ต้องการพวกเราแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วย่อตัวลงมาก่อนจะกอดเจี่ยนซวงเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “สร้อยของหนูไปไหนแล้วคะ?”

เจี่ยนซวงรีบเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะหยิบเอาสร้อยเส้นนั้นขึ้นมา แล้วพูดขึ้นเสียงดังว่า : “อยู่นี่ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดูสิคะ คุณพ่อก็อยู่กับหนูไม่ใช่หรอ? แล้วทำไมถึงพูดว่าคุณพ่อไม่ต้องการหนูล่ะคะ?”

เจี่ยนซวงสูดจมูกก่อนจะเตรียมที่จะดึงเสื้อของตัวเองมาเช็ดน้ำตา เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกแขนขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้ลูกสาวทันที ในขณะนั้นก็มีกระทิชชู่ก็ยื่นมาอยํ่ตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่วอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมามอง จึงได้เห็นผู้ชายที่เข้ามาถามทางคนนั้นยืนอยู่ข้างๆเธอ ก่อนที่เขาจะยิ้มแล้วก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงว่า : “นี่ครับทิชชู่ อย่าเอามือเช็ดน้ำตาให้เด็กนะครับ มันทำให้ดวงตาติดเชื้อได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงเพื่อเป็นการขอบคุณ แล้วจึงรับเอาทิชชู่นั่นจากผู้ชายคนนั้น แล้วเช็ดน้ำตาให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงเห็นคนแปลกหน้ามายืนอยู่ตรงหน้าเธอก็หยุดร้องไห้ทันที ก่อนจะดึงชายเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าคะ เรากลับบ้านกันเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ก่อนจะหันไปบอกลาผู้ชายคนนั้น หลังจากนั้นเธอก็เดินจูงมือเจี่ยนซวงกลับบ้านไปทันที เมื่อเดินไปถึงประตูหน้าบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วก็พบมั่วเชียนที่ยืนอยู่หน้าบ้านของเธอ เมื่อเขาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาก็ขึ้นเป็นประกายทันที ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “ในที่สุดคุณก็กลับมาสักทีนะครับ”

“อืม” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะถาม : “ทำไมเธอยังอยู่ตรงนี้อีกล่ะ?”

มั่วเชียนยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ผมคิดว่าถ้าคุณไปรับลูกสาวคุณกลับมาแล้วต้องกินข้าวกันแน่ๆ ผมก็เลยว่าจะมาทำบะหมี่ให้พวกคุณกินนะครับ”

“นี่ใครอีกล่ะคะเนี่ย?” เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว ก่อนจะเบะปากแล้วพูดว่า : ”ทำไมจู่ๆมีผู้ชายเข้ามาเยอะแยะเลยล่ะคะ? หม่าม้าคะ ช่วงนี้หม่าม้ามีดวงด้านความรักรึเปล่าคะ?”

มั่วเชียนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะไปสักพัก พอเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่จักรยานที่ยังไม่ไปซ่อม มั่วเชียนก็กลับมามีสติอีกครั้งก่อนจะรีบลงไปนั่งยองๆข้างรถจักรยาน เจี่ยนอี๋นั่วมองมั่วเชียนซ่อมจักรยาน ตอนเริ่มนั้นมั่วเชียนค่อนข้างเก็ก แต่ผ่านไปอยู่นานสองนาน จักรยานก็ยังซ่อมไม่เสร็จ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้กินข้าวเที่ยงเธอจึงหิวมากๆ เธอเห็นว่ามั่วเชียนนั้นซ่อมจักรยานไม่เสร็จสักทีเธอก็อดที่จะไม่ถามไม่ได้ : “มันซ่อมยากมากใช่มั้ย ถ้ามันยาก ก็ไม่ต้องซ่อมแล้วนะ ฉันเข็นกลับก็ได้ มันไม่ได้ไกลอะไร”

มั่วเชียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของตนเองก่อนจะรีบพูดขึ้นมาทันที : “ไม่เป็นไรครับ อีกนิดเดียวเอง ระยะทางมันไกลขนาดนี้ คุณจะเข็นกลับได้ยังไงล่ะครับ? เดี๋ยวผมก็…..”

ในขณะที่มั่วเชียนพูดอยู่ เนื่องจากเขาใช้แรงลงไปที่มือมากเกินไปเลยทำให้กรงเกียร์ของจักรยานเจี่ยนอี๋นั่วหลุดออกมาทันที มั่วเชียนเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะใบหน้าของเขาจะซีดลง

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกขอบคุณมั่วเชียนมากที่เขาเก็นสร้อยมาคืนให้ ต่อมาเธอกับกลุ่มคนที่มากับมั่วเชียนนั้นพูดกันไม่ถูกคอเท่าไหร่ รวมถึงมั่วเชียนทำเป็นไม่รู้จักเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกไม่ชอบเด็กผู้ชายคนนี้เล็กน้อย เมื่อกี้ที่เธอเจอมั่วเชียน มั่วเชียนเอ่ยปากจะซ่อมจักรยานให้เธอ เธอจึงรู้สึกขอบคุณมากๆ

แต่เตี่ยนอี๋นั่วไม่คิดมาก่อนเลยว่ามั่วเชียนนั้นซ่อมจักรยานไม่เป็น แล้วทำไมเขายังจะมาถ่วงเวลาของเธออยู่อีกทำไมกันนะ? มั่นใจในตัวเองเกินไป แล้วหยิ่งผยองทำสิ่งที่มันเกินความสามารถของตัวเอง อาจจะเป็นเพราะบุคลิกเด็กผู้ชายทั่วไปในช่วงวัยนี้ล่ะมั้ง ถ้าเกิดเธอคือเจี่ยนอี๋นั่วเมื่อสิบปีที่แล้ว เธอคงไม่สนใจปัญหานี้ เพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขาที่หล่อเหลานี้ หรือผู้ชายเล่นบาสก็สามารถดึงดูดความสนใจเธอได้แล้ว เธอน่ะชอบผู้ชายแนวนี้มากๆโดยสิ้นเชิง

แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอายุเท่านี้แล้ว การที่เธอต้องสื่อสารกับเด็กชายอย่างมั่วเชียนแบบนี้รู้สึกว่าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย ความอ่อนโยนและความเกรงใจนั้นมันไม่ได้ติดตัวเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เกิด จากเด็กวัยรุ่นที่ซื่อบื้อจนโตเป็นผู้ชายที่อบอุ่นสุภาพบุรุษแบบนี้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลามากมายแค่ไหน หรืออาจจะมีผู้ชายบางคนที่ไม่ได้รู้จักคำว่า ‘สุภาพบุรุษ’เลยทั้งชีวิตก็ได้

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามรักษารอยยิ้มของเธอเอาไว้ ก่อนจะพูดกับมั่วเชียนด้วยรอยยิ้มว่า : “กรงเกียร์ตกหรอ? ไม่เป็นไรนะ ฉันคิดว่าจะไม่ใช้จักรยานคันนี้แล้วพอดี เธอทิ้งมันไว้ข้างทางเลยแล้วกัน ทำป้ายด้วยนะ พรุ่งนี้ถ้ามีคนมาส่งผักเดี๋ยวเขาก็คงจะเอากลับไปด้วยเอง”

มั่วเชียนขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “ได้ยังไงล่ะครับ? ผมทำมันเสีย เดี๋ยวผมจะชดเชยให้ครับ จะลองดูว่าผมจะซ่อมได้มั้ย…….”

อ่า………เด็กผู้ชายคนนี้ยังมีข้อบกพร่องอะไรบางอย่างอยู่ ก็คือความดื้อรั้นของเขานั่นเอง

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นเธอก็ค่อยๆซ่อมไปนะ ฉันขอตัวก่อน”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันหลังแล้วเดินลงเขาทันที

“เห้ เดี๋ยวก่อนสิครับ” เมื่อมั่วเชียนเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินจากไป เขาก็รีบปล่อยจักรยานแล้วก็รีบตามเจี่ยนอี๋นั่วไปทันที

มั่วเชียนพูด : “ขอโทษนะครับ คุณโกรธรึเปล่าครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองมั่วเชียน ก่อนจะยิ้มแล้วก็พยักหน้า : “อืม โกรธมาก ถึงเธอจะใจดีออกปากช่วยเหลือฉัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันเกินกำลังของเธอ สุดท้ายไม่ใช่แค่จะช่วยฉันไม่ได้นะ แล้วก็ยังจะเสียเวลาของฉันอีก แล้วตอนนี้ฉันทั้งเหนื่อยแล้วก็ทั้งหิว แต่เธอมีน้ำใจ ดังนั้นถึงฉันจะโกรธมากๆก็ตาม ยังไงก็มาใส่อารมณ์กับเธอไม่ได้อยู่ดี”

ราวกับมั่วเชียนไม่ได้คาดไว้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะพูดออกมาตรงๆว่าเธอโกรธเขา ใบหน้าของมั่วเชียนขึ้นสีแดงก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกับเดินไปข้างๆเจี่ยนอี๋นี่วเงียบๆ โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

จนพวกเขาลงมาจากเขา มั่วเชียนถึงได้พูดขึ้นว่า : “ผมใจดีก็จริง ผมเห็นว่าคนอื่นซ่อมได้ ผมเลยคิดว่าตัวเองก็ซ่อมได้เหมือนกันน่ะครับ”

“นี่พ่อหนุ่ม ต่อไปมั่นใจในตัวเองให้มันน้อยๆหน่อยนะ แล้วก็ประเมินความสามารถของตัวเองให้เป๊ะๆด้วยล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะเดินตรงกลับไปที่บ้านของตนเอง

เพิ่งจะพูดจบ มั่วเชียนก็มาขวางหน้าเธอทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นว่า : “คุณเกลียดผมมากใช่มั้ยครับ? เพราะตอนเช้าผมกับเพื่อนๆของผมเสียมารยาทกับคุณ แล้วผมก็ยังทำเป็นไม่รู้จักคุณอีก หรือว่าเพราะผมทำจักรยานของคุณเสียหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่หรอก แต่ที่ฉันไม่ชอบที่สุดก็คือการที่เธอมาขวางฉันอยู่แบบนี้ต่างหาก ช่วยหลบไปด้วยนะ โอเคมั้ย?”

มั่วเชียนขมวดคิ้วพร้อมกับมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปได้สักพักเขาถึงได้รวบรวมความกล้าแล้วพูดไปว่า : “จริงๆแล้วผม………….”

“จริงๆแล้วฉันไม่ชอบเธอ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดตัดประโยคของเขาด้วยรอยยิ้ม : “ฉันไม่ชอบเด็กผู้ชายอย่างเธอหรอก ดังนั้นไม่ต้องมาเสียเวลากับแม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างฉันเลย”

มั่วเชียนขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างโกรธๆว่า : “ผมไม่ได้บอกว่าผมชอบคุณนี่ครับ!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ใช่ เธอไม่ได้พูด ฉันก็แค่ปฏิเสธเธอก่อนเท่านั้นเอง ตอนนี้เธอจะให้ฉันไปได้รึยัง?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ยิ้มแล้วเดินผ่านมั่วเชียนไปทันที มั่วเชียนดึงสายคล้องดล้องของเขาสักพัก ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วรีบหันหลังก้าวตามเธอไปอย่างรวดเร็ว

“คุณหิวไม่ใช่หรอครับ? ผมทำอาหารให้คุณได้นะครับ” มั่วเชียนรีบตามไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะถามขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่ต้องหรอก ฉันชอบอาหารที่ฉันทำเองน่ะ”

มั่วเชียนรีบพูดทันที : “ผมก็ทำให้คุณกินได้นะครับ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินมั่วเชียนพูดเช่นนั้น เธอก็หยุดเดินทันที ก่อนเธอรอยยิ้มของเธอจะค่อยๆหุบลง พร้อมกับพูดกับมั่วเชียนด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ฉันไม่ชอบที่คนอื่นมารบกวนฉันแบบนี้ เธอช่วยออกห่างฉันหน่อยนะ ตอนที่เธอนิ้มน่ะก็หล่อแล้วก็สดใสอยู่ แต่มาวุ่นวายกับฉันแบบนี้ มันทำให้คนอื่นรำคาญรู้มั้ย เธอเคยช่วยฉัน ฉันเลยจะบอกอะไรให้นะ ต่อไปก็ยิ้มให้เยอะๆ แล้วก็วุ่นวายกับคนอื่นให้น้อยลงด้วย”

ราวกับมั่วเชียนไม่เคยได้ยินใครพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและรุนแรงขนาดนี้มาก่อน จึงยืนนิ่งอย่างเหม่อลอย เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไปที่บ้านของตัวเองทันที เมื่อถึงแล้วเธอดื่มน้ำก่อนจะถอนหายใจออกมา ความโกรธของเธอถึงได้ค่อยๆหายไป

หลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วเจอผู้ชายแบบมั่วเชียนอยู่ไม่น้อย มีความรู้สึกดีๆกับเธอ ตามจีบเธอ แต่ทันทีที่ฝ่ายตรงข้ามเริ่มรุกเธอ เธอก็รู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาทันที เกิดอะไรขึ้นกับเธอกันนะ? หรือว่าเธอเกิดมาพร้อมกับการที่จะไม่ได้เจอผู้ชายที่’ดี’กันนะ? ผู้ชายที่เธอเคยเจอมาส่วนมากก็เป็นผู้ชายที่’แย่ๆ’ทั้งนั้น

ฉู่หมิงเซวียน ผู้ชายที่โคตรแย่

สวี่อี้เฟย ผู้ชายแย่ๆ

ส่วนเหลิ่งหมิงอัน……

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหลิ่งหมิวอันสามคำนี้ เธอก็รู้สึกหนาวๆเย็นๆขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่าชื่อนี้ได้เลือนหายจากชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วมานานแล้ว แต่ทุกครั้งที่เธอนึกถึงเขา ก็เหมือนกับว่าเธอนั้นหวนกลับไปในฝันร้ายเหล่านั้น

พอเจี่ยนอี๋นั่วลองมาคิดๆดูแล้ว หนึ่งในคนที่ไม่ใช่ผู้ชาย ‘แย่ๆ’ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอก็คือเหลิ่งเซ่าถิง เพราะเขาไม่เคยทำร้ายเธอ ไม่เคยทำให้เธอรำคาญ และเขาก็เป็นคนตรงไปตรงมาว่า เขาเปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้รักเธอแล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังทำให้เธอได้หายจากที่ตรงนั้นแล้วมาโผล่อยู่ที่หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้ แม้แต่ความทรงจำเธอยังต้องเลี่ยงผู้ชายคนนี้เลย

เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วเคยพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างภูมิใจว่าเธอจะชอบผู้ชายคนอื่นได้ และอาจจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นได้ แต่ไม่เคยคิดเลยว่าเธอไม่เคยจะทำมันให้เป็นจริงเลย ถึงแม้ว่าช่วงปีหลังๆมานี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ปรากฏตัวให้เห็นในข่าว แต่บางครั้งข่าวของเขาก็จะมีมาให้เห็นในหนังสือพิมพ์บ้าง เดี๋ยวก็แต่งงาน เดี๋ยวก็หย่า แล้วก็แต่งงานอีก เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้เลยว่าข่าวพวกนี้เป็นข่าวจริงหรือข่าวปลอมกันแน่

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้เธอก็เอามือขึ้นมาเขกหัวตัวเองหนึ่งที ตอนนี้ราวกับว่าเธอเป็นรื้อฟื้นความทรงจำของแฟนเก่าขึ้นมายังไงอย่างนั้น

“ผ่านไปแล้ว…..ก็ให้มันผ่านไป…” เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

เมื่อเธอพูดจบ เธอก็ได้ยินเสียงเตาะประตูดังขึ้นมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นก่อนจะเดินตรงไปที่ประตู แล้วก็เปิดประตูออก กลังจากที่เธอเปิดประตูแล้ว เธอก็เห็นมั่วเชียนที่ยืนอยู่ตรงนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “จะมาอะไรกับฉันอีกล่ะ?”

ราวกับว่ามั่วเชียนนั้นยืนอยู่ตรงนั้นมานานแล้ว ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดง เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูแล้วเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาทันที เผยให้เห็นฟันเสน่ห์สองซี่ออกมา : “ถ้าคุณคิดว่าผมยิ้มแล้วดูดี ต่อไปผมจะยิ้มให้คุณเยอะๆนะครับ”

มั่วเชียนพูดถึงตรงนี้เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “คุณพูดถูกครับ ผมชอบคุณ และผมก็เคยชอบผู้หญิงคนอื่นมาแล้วเช่นกัน แต่ความรู้สึกนั้นไม่เหมือนกันกับที่ผมมีต่อคุณนะครับ แค่ผมเจอคุณผมก็ประหม่า ไม่รู้ว่าจะสารภาพกับคุณยังไง แล้วก็กลัวด้วยว่าคนอื่นจะรู้ว่าผมชอบคุณ กลัวคุณรู้ กลัวเพื่อนๆรู้ ผมอาจจะทำหลายๆเรื่องที่ทำให้คุณไม่ชอบ แต่ผมจะค่อยๆเปลี่ยนนะครับ ผมไม่รู้อะไรแล้ว รู้แค่ว่าผมชอบคุณ อยากคบกับคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่มั่วเชียนก่อนจะพูดว่า : “แต่ฉันเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวนะ…….”

มั่วเชียนพูดขึ้นมาทันที : “ผมชอบเด็กมากๆครับ ผมเข้ากันกับเด็กมากๆด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นนะ อีกอย่างฉันก็ไม่ได้ชอบเธอด้วย ถ้าเธอยังทำแบบนี้มันจะทำให้ชีวิตของเราทั้งสองฝ่ายยุ่งเหยิงนะ เธอไม่ได้มาเพื่อถ่ายรูปหรอ? พอกิจกรรมของพวกเธอจบพวกเธอก็กลับไปแล้ว ถ้าเธอทำงานแล้ว แล้วผ่านไปอีกสักสองสามปี แล้วฉันยังไม่แต่งงานเธอมาคุยเรื่องนี้อีกครั้ง ฉันน่าจะเก็บไปคิดนะ”

มั่วเชียนลดสายตาลงสักครู่ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณหิวไม่ใช่หรอครับ? ผมทำบะหมี่เก่งนะครับ ให้ผมทำให้คุณกินนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาห้าม แต่มั่วเชียนก็ยังเดินเข้าไปในเขตบ้านของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วรีบตามเข้าไปนั้น มั่วเชียนก็ได้เข้าไปในห้องครัวเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่เขาจะพับแขนเสื้อแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณยังไม่ได้ทานข้าวใช่มั้ยครับ? ผมจะทำบะหมี่ให้คุณกิน”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังมาพบกับร่างของคนที่คุ้นเคยอยู่ข้างนอกประตู ก่อนเธอจะส่ายหน้าไปมา คนคนนั้นถึงได้เดินจากไป เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่กล้องที่ติดไว้ในสวนของเธอ เป็นเพราะมีคนเห็นว่ามีคนแปลกหน้า้ข้ามาในบ้านหรือเกิดปัญหาอะไรขึ้นแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ ก่อนจะพูดกับมั่วเชียนว่า : “บ้านฉันไม่มีบะหมี่หรอกนะ”

มั่วเชียนเอาบะหรี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาสองห่อ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่เป็นไรครับ ผมเอามาด้วย คุณอยากกินรสจืดหรือว่าจัดจ้านล่ะครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอยู่ที่ประตูอย่างช่วยไม่ได้ : “เอารสที่จืดหน่อยแล้วกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ระหว่างเดินทางที่กลับบ้าน เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูเธอก็เห็นกลุ่มเด็กวัยรุ่นเดินอยู่บนถนนพร้อมกับคุยกันหัวเราะขบขับอย่างสนุกสนาน เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าหนึ่งในนั้นมีชายหนุ่มที่เก็บสร้อยมาคืนเมื่อเช้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงยกมือขึ้นมาทักทาย

แต่เมื่อถึงตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะพูดทักทายนั้น ชายหนุ่นคนนั้นก็หันหน้าหนีเธอ ราวกับว่าเขาไม่รู้จักกับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดๆดูแล้วก็ไม่ได้มีอะไร อาจจะเป็นเพราะเขาอยู่กับกลุ่มเพื่อนๆ ถ้าจะมาทักทายสาวชาวสวนอย่างเธอคงจะอายเพื่อน เด็กวัยรุ่นอายุขนาดนี้มักจะมีเรื่องที่น่าปลาดหลาดใจอยู่เรื่อย

เจี่ยนอี๋นั่วลดมือลงแล้วๆค่อยเก็บมือของตัวเองมาอยู่ที่เดิม ก่อนยิ้มแล้วก้มหน้าลงแล้วเดินกลับที่สวนของตัวเอง

“เห้ พี่สาวคะ พี่เป็นคนที่นี่หรอคะ?” สาวน้อยใบหน้ารูปไข่หนึ่งในกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มนั้นหยุดก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “ใช่จ่ะ มีอะไรหรอ?”

สาวน้อยใบหน้ารูปไข่รีบยกกล้องขึ้นมาทันที : “ฉันขอถ่ายรูปพี่หน่อยได้มั้ยคะ? เมื่อกี้ตอนที่พี่เดินภาพมันสวยมากๆเลยค่ะ! ดูสงบมากๆแล้วก็ดูเต็มไปด้วยความสุขด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่กล้องถ่ายรูป ก่อนจะส่ายหน้าไปมา : “ขอโทษด้วยจ่ะ ฉันนงให้ถ่ายไม่ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะเดินต่อไป สาวน้อยหน้ารูปไข่รีบมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะเบะปากแล้วพูดขึ้นว่า : “แค่รูปเดียวเองค่ะ ไม่เห็นจะมากเกินความสามารถเลย ช่วงนี้มหาละยของพวกเรามีนิทรรศการการรูปถ่ายด้วยแล้วก็เอาไปขายเพื่อการกุศล ถ้ามีคนถ่ายเงินที่ได้เราก็จะเอาเงินที่ได้ทุกบาทบริจาคเข้าโรงเรียนยากไร้ทั้งหมดเลย ถือว่าคุณทำความดีด้วยไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าแล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า : “ขอโทษด้วยนะ ฉันไม่อยากถ่าย รบกวนหลบทางให้ด้วย!”

สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดต่อว่า : “ทำไมพี่เห็นแก่ตัวแบบนี้ล่ะคะ ก็เห็นๆอยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่ดี ก็แค่ถ่ายรูป แค่นี้ก็ไม่ได้หรอคะ? ตอนแรกคิดว่าพี่ไม่เหมือนกันสาวชาวนาคนอื่นที่นี่ แต่ทำไมความคิดถึงได้ต่างจังเลยล่ะคะ? คนอื่นเขาให้พวกเราถ่ายได้ตามใจชอบ แต่ทำไมพี่ถึงได้ใจแคบแบบนี้คะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่สาวใบหน้ารูปไข่คนนั้นก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “ฉันคิดว่าฉันมีอิสระที่จะปฏิเสธนะ ถ้าเธอมีทัศนคติแบบนี้คุณก็ไม่มีทางถ่ายรูปออกมาได้ดีหรอกนะ อีกอย่างคุณคงเอาเรื่องการกุศลนี่เขียนลงในประวัติย่อของคุณด้วยสินะ?”

สาวใบหน้ารูปไข่อึ้งไปสักพัก : “พี่รู้ได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เตรียมทำอะไรกันอยู่ล่ะ? เตรียมประวัติโดยย่อของตัวเองเพื่อไปต่างประเทศ หรือว่าเพื่อหางานล่ะ? การขายเพื่อการกุศลของเธอก็เพื่อประโยชน์ส่วนตัวของเธอทั้งนั้น การกุศลเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่ถ้ามันไม่ได้อยู่เส้นของความมีศีลธรรม ฉันก็ไม่ให้ถ่ายค่ะ คุณไม่มีคุณสมบัติพอที่จะทำมัน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้อยมาที่เจี่ยนอี๋นั่วจะระเบิดอารมณ์ออกมาแบบนี้ เธอคิดว่าอารมณ์ของเธอนั้นเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายเพราะการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายแบบนี้ไปซะแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยว่าอารมณ์ของเธอก็ยังแข็งทื่ออยู่ ตอนนี้เธออายุขนาดนี้แล้ว ยังจะมาอารมณ์เสียกับเด็กผู้หญิงแบบนี้อยู่อีก

ดวงตาของสาวใบหน้ารูปไข่คนนั้นขึ้นสีแดง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ว่า : “ทำไมพี่พูดแบบนี้ล่ะคะ?”

เมื่อกลุ่มวัยรุ่นที่เดินผ่านไปได้ยินเสียงร้องไห้ของสาวน้อยคนนั่น ก็รีบหันหลังแล้วเดินกลับมาดู : “เป็นอะไรไป? หลินหลินเธอร้องไห้ทำไม? เกิดอะไรขึ้น?”

ชายหนุ่มคนที่เก็บสร้อยมาคืนคนนั้นเดินมา เขามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหันหน้าไปมองสาวน้อยที่ชื่อหลินหลิน

สาวน้อยที่ถูกเรียกว่าหลินหลินดึงเขาเข้าไปหาตัวเองก่อนจะร้องไห้แล้วพูดขึ้นว่า : “มั่วเชียน ป้าคนนี้ไม่มีเหตุผลเลย ฉันจะถ่ายรูปให้เธอ แต่เธอก็ปฏิเสธ แล้วยังจะว่าฉันแสวงหาประโยชน์ส่วนตัวอีก!”

เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้รู้ว่าชายคนนั้นชื่อมั่วเชียน เธอมองมั่วเชียนก่อนจะหันหน้าไปมองหลินหลินสาวน้อยคนนั้น ที่ไม่ได้มีใจอยากจะเข้าร่วมงานถ่ายภาพนี้ตั้งแต่แรก

เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าเข้ม : “หลีกทางด้วย ฉันจะกลับบ้าน พวกเธอมายืนบังหน้าฉันแบบนี้ต้องการอะไร?”

ใบหน้าของมั่วเชียนแสดงออกถึงความประหม่า ก่อนเขาจะหันหน้าไปมองสาวน้อยที่ชื่อหลินหลินพร้อมกับพูดเสียงเบาว่า : “เธอไม่ยินยอมให้ถ่ายก็ไม่ต้องถ่ายหรอก เราไปกันเถอะนะ”

หลินหลินขัดขืนก่อนจะร้องไห้แล้วพูดว่า : “แล้วทำไมเธอต้องพูดอย่างนั้นกับฉันด้วยล่ะ? มันเกินไปแล้วนะ! อย่างน้อยก็ต้องขอโทษฉันหน่อยสิ”

มั่วเชียนมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะอึ่งแล้วขมวดคิ้วขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา คนข้างที่ยืนอยู่จึงชิงพูดขึ้นมาก่อน : “ใช่ พวกเราทำเพื่อสิ่งดีๆทั้งนั้น ไม่ให้ความร่วมมือก็ช่างมันไป แต่มาด่าพวกเราแบบนี้มันมากเกินไปนะคะ ขอโทษเราด้วยค่ะ หลินหลินก็แค่เด็กผู้หญิงคนนึงที่ต้องมาถ่ายรูปที่นี่อย่างลำบากลำบน ก็เพราะเพื่อทำเรื่องดีนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะหรี่ตามองกลุ่มเด็กวัยรุ่นเหล่านั้น สายตาของเธอจ้องไปที่มั่วเชียนสักพักก่อนจะก้มหัวลงแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “อ๋อ งั้นขออภัยด้วยนะ ฉันขอโทษด้วยก็แล้วกัน”

จะมีเรื่องกันไปทำไมล่ะ? ถึงจะมีเรื่องกับเด็กวัยรุ่นพวกนี้ไปมันก็ไม่ได้มีผลดีต่อเธออยู่ดี อีกอย่างหลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วก็ชินกับการอดทนแล้ว การได้อยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใช่ว่าไม่มีแรงเสียดทานอะไรเลย แต่ทนๆไปมันก็ผ่านไป แล้วสถานการณ์การเธอในตอนนี้ก็ไม่เหมาะที่จะมีเรื่องแล้วทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่โตด้วย

หลินหลินสูดจมูกก่อนจะพูดด้วยใบหน้าที่ร้องไห้ของเธอ : “ก็พูดรู้เรื่องนี่คะ งั้นก็แล้วกันไปเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มให้หลินหลินแล้วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เมื่อกี้ฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อยน่ะ ขอโทษจริงๆ”

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มนั้นมีลักยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเธอ ตาของเธอโค้งงอเล็กน้อย ถึงแม้ว่าเธอจะอายุสามสิบกว่าแล้ว แต่เพราะการใช้ขีวิตอย่างเรียบง่ายของเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมา ผิวพรรณของเธอจึงยังดูดีผุดผ่อง เหมือนไม่ได้ต่างอะไรจากตอนอายุยี่สิบ แสงแดดอุ่นๆสาดส่องมากระทบบนใบหน้าของเธอนั้นราวกับไฟสลัวๆอ่อนๆ

กลุ่มเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้พากันอึ้งจนเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเดินจากไป เหล่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นถึงได้สติกลับมา แล้วพูดกันพึมพำ

“ไม่แปลกใจทำไมหลินหลินถึงอยากถ่ายเธอ เธอสวยมากๆจริงๆ”

“คนนั้นดูไม่เหมือนสาวบ้านนอกเลยนะ?”

สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ที่เอะอะจะถ่ายรูปอย่างเดียวนั้นเงียบไปสักครู่ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมา : “แต่ฉันคิดว่าก็แค่งั้นๆอ่ะ เมื่อกี้ฉันแค่เห็นว่าเธอยืนอยู่ข้างๆดอกไม้ ดูเหมือนจะสวยดี แต่พอมองตอนนี้ ฉันรู้สึกว่าไม่เห็นจะสวยเลย ก็แค่สาวชาวบ้าน ดูแล้วก็ดูอายุ พวกเราเดินไปกันต่อเถอะ ที่เรามาที่นี่ก็เพื่อถ่ายภาพที่สวยๆ เรียบง่ายแบบชนบทนะ สาวอย่างเธอที่ดูเหมือนสาวชาวกรุงอย่างนั้นมีอะไรน่าถ่ายกันล่ะ?”

“ใช่ เราควรถ่ายอะไรที่พิเศษๆมากกว่านะ”

“ไปถ่ายคนแก่ตรงนั้นเถอะ สองวันก่อนฉันเห็นรูปนึงที่ถ่ายคนแก่ไม่มีฟัน ฮิ ออกมาดีมาก แบบนั้นสิถึงเป็นศิลปะของจริง”

“เห้ มั่วเชี่ยนรีบเดินมาสิ? จะยืนอยู่ตรงนั้นทำไม? ดูอะไรอยู่อ่ะ?”

เขาที่เอาแต่มองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อได้ยินเสียงคนเรียกเขา เขาก็รีบหันหน้ากลับมาแล้วก็รีบเดินไปกับกลุ่มวัยรุ่นนั่นต่อทันที

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงที่สวน เธอก็ได้รับโทรศัพท์ บอกว่ามีลูกค้าอยากได้ผักสด แต่ไม่มีคนไปส่ง วานให้เจี่ยนอี๋นั่วไปส่งให้หน่อย เจี่ยนอี๋นั่วรีบยิ้มแล้วตอบตกลงทันที เธอไม่มีอะไรทำพอดีนี่นา ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงจะซนมากๆแต่มีเธออยู่ในบ้านที่คึกคักๆนี้ เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พอเจี่ยนซวงไปโรงเรียนในบ้านก็จะเงียบลงและเวลาก็จะเดินช้ามากกว่าเดิม

เจี่ยนอี๋นั่วรีบปั่นจักรยานไปเอาผักแล้วนำผักขึ้นรถจักรยาน ก่อนที่เธอจะมุ่งตรงไปที่บ้านของลูกค้าคนนั้น น่าแปลกอยู่นะเพราะโลเคชั่นของสถานที่นั้นคือคฤหาสน์บนเขา ซึ่งคฤหาสน์หลังนั้นมันต่างจากบ้านแถวชนบทแบบนี้อย่างสิ้นเชิง มันถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะย้ายมาอยู่ที่นี่แล้ว คนในหมูบ้านก็ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ แต่คงเป็นคนที่รวยมากๆแน่ๆ

แต่หลายปีมานี้ก็ไม่มีคนเข้ามาอยู่และถูกทิ้งร้างไว้ แต่ตอนนี้มีคนมาอยู่แล้วหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วดูแผนที่ก่อนจะยิ้มแล้วถามขึ้น : “ใครมาอยู่ที่นี่กันนะ? เศรษฐีที่ไหนมาสร้างคฤหาสน์ในชนบทแบบนี้กัน?”

คนข้างๆยิ้มก่อนจะส่ายหน้าไปมา : “นี่มันไม่ชัดเจนเลยนะ…..”

คนนั้นกดเสียงต่ำก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่งว่า : “ถ้าเกิดมีอันตรายให้รีบกลับมาเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพี้อมกับพยักหน้า ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “วางใจเถอะค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ปั่นจักรยานมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์อย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าระยะทางนั้นจะไม่ไกลมาก แต่เพราะเธอต้องปั่นจักรยานอยู่ใต้แสงแดดเปรี้ยงๆแบบนี้ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วไปถึงคฤหาสน์เหงื่อของเธอก็ไหลเต็มหน้าแล้วเจี่ยนอี๋นั่วเช็กเหงื่อของเธอบนหน้าผาก ก่อนจะมองไปที่กำแพงสูงใหญ่ตรงหน้าจนไม่สามารถมองเห็นตัวคฤหาสน์ที่อยู่ข้างหลัง ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคนที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์ในชนบทแบบนี้ต้องเป็นคนที่รวยมากๆ แต่พอเธอมาถึงคฤหาสน์แห่งนี้มันกลับสร้างขึ้นค่อนข้างเก๋ และเรียบง่าย เหมือนคฤหาสน์ที่เอาไว้พักผ่อนแบบสบายๆ

ใครอยู่ที่นี่กันนะ? หรือจะเป็นจิตรกรหรือนักเขียนคนไหนที่มารวบรวมความคิดแถวนี้กัน?

เจี่ยนอี๋รั่วคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตัดสินใจเคาะประตู เมื่อเคาะไปได้สักพัก ประตูใหญ่ของคฤหาสน์ก็ถูกเปิดออกทันที คนชราท่าทางใจดีคนนึงมาเปิดประตูก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “อ๋อ หนูมาส่งผักสดใช่มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ค่ะ ขอโทษนะคะผักสดนี้ต้องเอาวางไว้ตรงไหนหรอคะ?”

คนแก่คนนั้นโบกมือ : “เอาไปวางไว้ในห้องครัวนะ มา เข้ามาสิ ฉันจะพาหนูไป”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบตะกร้าผักแล้วเดินตามคนแก่คนนั้นไป เมื่อผ่านประตูใหญ่ไปก็ไปเจอประตูอีกบานเจี่ยนอี๋นั่วมองดูคฤหาสน์ที่อะอาดวะอ้านเรียบง่ายนี้ ก่อนจะผ่านสวนไปแล้วเจอกับประตูอีกบาน และเธอก็เดินตรงเข้าไปในห้องครัวทันที

คนแก่พูด : “เอาวางไว้ตรงนี้นะ…….เอ่อ ไม่รู้ว่าหนูพอจะมีเวลารึเปล่า ช่วยล้างผักพวกนี้ให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ พวกเราเพิ่งย้ายเข้ามา คนใช้ไม่พอน่ะ ฉันเองก็แก่แล้วแถมยังมีโรค โดนน้ำเย็นก็ไม่ได้อีก ถ้าหนูล้างผักให้ฉันได้ ฉันจะเพิ่งเงินให้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก็แค่ล้างผักเองค่ะ ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณไม่ต้องคิดเงินเพิ่มให้ฉันหรอก ถ้าคุณคิดว่าผักพวกนี้อร่อยสดใหม่ ก็ซื้อผักจากหมู่บ้านของเราเยอะๆก็พอค่ะ”

คนแก่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า : “หนูนี่หัวธุรกิจจริงๆนะ”

เจี่ยนอี๋นั่งยิ้ม: “งั้นก็ขอฝากตัวด้วยนะคะ”

คนแก่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า : “แน่นอนอยู่แล้วจ่ะ หายห่วงเถอะ”

คนแก่พูดจนจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเอาผักไปล้างทันที เธอล้างมันด้วยความตั้งใจอย่างช้าๆ เพราะว่าผักที่คนบ้านนี้ต้องการนั้นมีอีกมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วล้างผักเสร็จ เอวของเธอก็ปวดเมื่อยไปหมด ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะยืดตัวขึ้น เธอก็เห็นคนแก่คนนั้นเตรียมต้มยาอยู่ คนแก่เอายาลงไปต้มบนเตา เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปช่วยคนแก่เอายานั้นใส่ลงหม้อย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วใส่ยาลงหม้อแล้วเธอก็ยิ้มขึ้นก่อนจะถาม : “ทำไมหรอคะ? คุณจะกินยานี่หรอ?”

คนแก่ส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจ : “ไม่ใช่จ่ะ เจ้าของบ้านจะกินต่างหาก อายุยังน้อยก็เจ็บป่วยแล้ว ที่นี่วิวทิวทัศน์สวยงาม เขาน่าจะฟื้นตัวได้ไว”

ที่แท้ที่นี่ก็เอาไว้รักษาคนนี่เอง งั้นก็ชัดเจนแล้วน่ะสิ เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “อากาศที่นี่ดีค่ะ น่าจะฟื้นตัวได้เร็วมากๆ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

คนแก่มองดูนาฬิกาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ตอนนี้ก็เวลานี้แล้ว กินข้าวก่อนค่อยกลับเถอะจ่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม : “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ค่อยสะดวก ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ ถ้าคุณต้องการผักอีก ก็โทรหาฉันเลยนะคะ ฉันจะมาส่งของให้ถึงที่เลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เดินออกจากประตูไปทันที จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกราวกับว่ามีคนจ้องมองมาที่เธอ แต่พอเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังกลับไปมอง เธอเห็นเพียงแค่บานหน้าต่างที่เปิดเอาไว้เท่านั้น นอกจากผ้าม่านหน้าต่างที่ลมพัดปลิวไสวอยู่นั่นก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใครสักคน

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้สึกแปลกในใจเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วจึงรีบสาวเท้าแล้วก็เดินออกจากคฤหาสน์นั้นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อออกมาถึงข้างนอกของคฤหาสน์แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปั่นจักรยานแล้วตรงกลับบ้านทันที

แต่บางทีเจี่ยนอี๋นั่วคงจะโอเวอร์เกินไป เธอรีบปั่นจักรยานเสียจนโซ่จักรยานขาด เจี่ยนอี๋นั่วมองโซ่จักรยานที่ขาดนั้น ก่อนจะลงจากจักรยาน เธอเพิ่งจะมาขับจักรยานได้เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง เรื่องการขี่จักรยานน่ะเธอก็พอจะทำได้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะซ่อมมันยังไง

เมื่อเห็นว่าโซ่จักรยานขาด เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจทันที เธอหมดหนทางแล้วจริงๆ

“จักรยานของคุณเสียหรอครับ?” เสียงของชายคนนึงดังขึ้นมาจากข้างหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นอย่างประหม่าก่อนจะหันหลังกลับไปมองอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อเห็นมั่วเชียน เธอพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้น : “ใช่ จักรยานเสียน่ะ”

มั่วเชียนเดินเข้ามาใกล้ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “งั้นให้ผมซ่อมให้ได้มั้ยครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลียวตาไปมองมั่วเชียนก่อนจะถามอย่างสงสัย : “เธอซ่อมได้หรอ?”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ : “เธอก็ไม่ได้พูดติดอ่างนี่?”

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำตอนที่มั่วเชียนคุยกับเธอเมื่อวานได้ เขายังพูดติดอ่างอยู่เลย ทำไมตอนนี้ถึงได้ไม่เป็นแล้วล่ะ? เมื่อพูดจบเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกขึ้นได้มาคำถามนั้นมันเสียมารยาท จึงรีบพูดขึ้นมาว่า : “ขอโทษนะ ฉันพูดผิดไปน่ะ เสียมารยาทแย่เลย”

ใบหน้าของมั่วเชียนแดงก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดติดอ่างว่า : “ผม…..จริงๆแล้วผม….ไม่ได้ติดอ่างนะครับ…..”

ใบหน้าของเขาแดงขึ้นกว่าเดิม ก่อนจะพูดว่า : “ผมแค่ประหม่าน่ะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่ไหว : “เธอนี่ตลกจริงๆเลยนะ”

เมื่อมั่วเชียนเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ยกยิ้มอย่างสดใสขึ้นมาทันที

เจี่ยนซวงหลับลงอย่างรวดเร็ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นผ่านไปอยู่พักใหญ่ก็ยังนอนไม่หลับ เธอกอดเจี่ยนซวงพร้อมกับหลับตา แล้วพยายามนึกถึงภาพของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ยิ่งเธอพยายามมากแค่ไหน ภาพของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ่งเลือนลางไปมากเท่านั้น

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำครั้งล่าสุดที่เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงในโทรทัศน์ คือตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงประกาศยุบบริษัทเหลิ่งลง ถึงแม้ว่าจะมีบางข่าวที่เกี่ยวกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกก็ตาม แต่ก็ไม่ได้เห็นเหลิ่งเซ่าถิงในข่าวนั้นอีกเลย

เธอจำได้ว่าตอนนั้นใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นซีดเซียวมากๆ แต่เขาก็ยังดูดีมากๆ

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิด และแล้วเธอก็หลับตาลงและในที่สุดเธอก็นอนหลับไป

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วยังเห็นว่าเจี่ยนซวงนั้นยังคงนอนอยู่ เธอจึงไม่ได้เรียกให้เจี่ยนซวงตื่น แต่เธอก็ลุกขึ้นมาก่อน ก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วทิ้งกระดาษโน้ตเอาไว้ให้เจี่ยนซวงแผ่นนึง เจี่ยนอี๋นั่วก็ออกไปตามหาสร้อยตามเส้นทางที่เดินผ่าเมื่อวานทันที

เจี่ยนอี๋นั่วตามหาสร้อยเส้นนั้นอยู่นานแต่ก็ไม่เจอสักที เวลาก็ผ่านไปนานมากแล้ว เธอกังวลว่าเจี่ยนซวงจะตื่นขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร และอีกอย่างเจี่ยนซวงก็ต้องไปโรงเรียนด้วย เธอจึงถอนหายใจออกมาแล้วก็ไม่ได้หาสร้อยต่อ ก่อนจะหันหลังแล้วกลับบ้านไป

เธอเพิ่งเดินมาถึงหน้าประตูบ้านสวนเธอก็เจอผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตสีดำกับกางเกงยีนส์หันหลังให้เธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตัวทันที พร้อมกับจับเครื่องระบุตำแหน่งของเธอเอาไว้แน่น แล้วถามอย่างเย็นชาว่า : “คุณมาทำอะไรคะ?”

เครื่องระบุตำแหน่งที่ติดอยู่บนตัวของเจี่ยนอี๋นั่งนั้นเพียงแค่ไปกดมัน บอดี้การ์ดที่คอยปกป้องเธอก็จะมาทันที

ชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ามาก่อนจะเผยใบหน้าที่หล่อเหลาของเขามาด้วย ตอนที่เขาเจอเจี่ยนอี๋นั่วเขาอึ้งไปอยู่พักหนึ่ง ก่อนใบหน้าของเขาจะขึ้นสีแดงแล้วพูดติดๆขัดๆขึ้นมาว่า : “เอ่อ…..คือ….ผมเจอกระดาษ……กระดาษโน้ต แล้วก็…..สร้อยเส้นนึงน่ะครับ”

ชายหนุ่มพูถึงตรงนี้แล้วเขาก็ยกยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วทันที เผยให้เห็นฟันสเน่ห์ของเขา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “สร้อย…..สร้อยแบบไหนคะ?”

“เอ่อ…..แบบนี้ครับ……” ชายหนุ่มเตรียมตัวที่จะยกยือขึ้นมาเพื่อหยิบสร้อยออกมาแต่เขาก็หยุดชะงักเสียก่อน ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว : “เอ่อ…อันนี้ผมควรจะเป็นคนถามคุณรึเปล่าครับ? คุณพูดมาสิ…….”

ในขณะที่เขาพูดนั้นเขารู้ว่าเขาพูดติดอ่างเขาจึงปิดปาก และไม่ได้พูดอะไรต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วตอบทันที : “จะมีจี้คริสตัลอยู่ที่สร้อย แล้วก็ในคริสตัลนั้นมีดอกไม้สีเหลืองอยู่”

ชายหนุ่มยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะเอาสร้อยที่อยู่ในมือของตนส่งให้แก่เจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “นี่ของคุณครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วขอบคุณก่อนจะมองดูสร้อยนั้นแล้วก็เปิดกระดาษโน้ตที่ถูกเขียนด้วยดินสอด้วยตัวหนังสือคดเคี้ยว : ลั่วเหยียนเหยียนและเจิงเซียวเถียนทำสัญญาโดยความสมัครใจ ถ้าใครผิดสัญญา คนนั้นเป็นหมา!

เจี่ยนอี๋นั่งอดใจไม่ไหวที่จะไม่หัวเราะออกมา ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เนื้อหาสัญญาไม่ได้เขียนชัดเจนแบบนี้ ยัยเด็กบ๊องนี้คงโดนหลอกเป็นแน่”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็เงยหน้าขึ้นมาเตรียมตัวที่จะขอบคุณชายคนนั้น ชายคนนั้นก็กำลังมองมาที่เธอด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าเธอเงยหน้าขึ้นมา ชายคนนั้นก็รีบหลบหน้าทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและชำเลืองมองชายหนุ่มที่อายุราวๆยี่สิบต้นๆ ไม่ว่าจะเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ หรือรองเท้าก็ใช้แบรนด์ดัง กระเป๋ากางเกงของเขายังมีบัตรนักเรียนโผล่ออกมาอีก เขาต้องเป็นนักเรียนแน่ๆ นาฬิกาข้อมือของเขาก็ราวๆสามสี่หมื่น แสดงให้เห็นว่าที่บ้านเขารวยแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่ามีคนพูดๆต่อๆกันว่ามีกลุ่มคนมาถ่ายภาพเมื่อไม่นานมานี้ ว่ากันว่าเป็นกลุ่มชมรมถ่ายภาพ เจี่ยนอี๋นั่วจึงเดาว่าเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอคนนี้จะต้องเป็นนักศึกษามหาลัยที่เป็นหนึ่งในสมาชิกชมรมนั้นแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วปล่อยใจไปสักพักก่อนจะยิ้มให้ชายคนนั้น : “ขอบคุณมากนะคะ ลูกสาวของฉันเอาแต่เศร้าที่สร้อยเส้นนี้หายไป ขอบคุณมากๆนะคะ”

ชายหนุ่มคนนั้นเบิกตาโตขึ้นมาทันที ก่อนจะจ้องมาที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “อะไรนะครับ? ลูกสาวหรอครับ? คุณมีลูกแล้วหรอครับ? คุณอายุเท่าไหร่แล้ว?”

คราวนี้ชายหนุ่มถึงได้พูดคล่องขึ้นมาอย่างไม่ติดอ่างเลยแม้แต่น้อย

ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะเสียมารยาทไปหน่อย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม : “ฉันอายุครบสามรอบนักษัตรแล้ว ทำไมหรอ?”

“ผม…..ผมอายุยี่สิบสองครับ……” ชายหนุ่มแสดงท่าทีที่ไม่คาดคิดออกมามองเจี่ยนอี๋นั่งแล้วก็ขมวดคิ้ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : “อ๋อ หนุ่มจังเลย แต่ฉันไม่สนใจอายุของคุณหรอกค่ะ ขอบคุณมากนะคะที่เก็บสร้อยเส้นนี้มาคืน ฉันไม่มีอะไรจะตอบแทนคุณ ที่บ้านฉันก็มีแค่ผักสดใหม่ เดี๋ยวฉันจะเอามาให้นะ……”

ชายหนุ่มยังคงขมวดคิ้วแล้วก็พึมพำอยู่ : “สามสิบ…….สามสิบ……..”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะไม่ได้สนใจเรื่องอายุ แต่เมื่อเธอเก็นปฏิกิริยาของชายหนุ่มตรงหน้าเธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เธอพูดด้วยรอยยิ้ม : “ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณตกใจ ฉันคงแก่เกินไปน่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ…….” ชายหนุ่มพูดก่อนจะส่ายมือแบบอึ้งๆ : “เอ่อผม….ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นนะครับ…………”

เจี่ยอนี๋นั่วยิ้มแล้วมองไปที่ชายหนุ่มคนนั้น : “เดี๋ยวฉันเอาผักมาให้นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เข้าไปในสวนแล้วเอาผักที่สดใหม่ใส่ตะกร้ามาให้ชายหนุ่มทันที : “นี่ค่ะ รับไปสิ”

ชายหนุ่มรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที : “ผมรับไว้ไม่ได้หรอกครับ”

“นี่เป็นของแทนคำขอบคุณ ทำไมจะรับไม่ได้ล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว ก่อนจะยื่นตระกร้าผักสดนี้ไปที่มือของชายหนุ่ม แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม : “มีเรื่องดีๆเกิดขึ้นก็ต้องมีของตอบแทน ต่อไปถึงจะมีคนทำดีมากขึ้นนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ถอยหลังมาหนึ่งก้าว ก่อนจะโบกมือลาชายหนุ่ม : “แล้วเจอกันใหม่ค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็ปิดประตูทันที ชายหนุ่มยืนอยู่หลังประตูอยู่นานกว่าจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับมา ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วผ่านประตูที่ปิดแล้วนั้นว่า : “แล้ว….แล้วเจอกันครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วเอาสร้อยกลับมาที่ห้องแล้วมองเจี่ยนซวงที่นอนอยู่บนเตียง พี้อมกับส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา : “เฮ้…….ตื่นได้แล้วค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วตั่วสั่นก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : “หม่าม้าคะ หนูไม่ได้แกล้งพวกเขานะคะ พวกเขากวนหนูเอง หนูเลยก็แค่จะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงเพียงตรงนี้ก็เห็นสร้อยของเธอปรากฎให้เห็นอยู่ตรงหน้า เธอยิ้มขึ้นมาก่อนจะกระโดดโลดเต้นอย่างดีใจ : “อ๋า? นี่สร้อยของหนูไม่ใช่หรอคะ? สุดยอดไปเลย! หม่าม้าหาเจอได้ยังไงคะ? ทำไมเมื่อคืนเราหาไม่เจอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “มีพี่ชายคนนึงเจอเก็บมาคืนค่ะ เป็นไงคะ? ดีใจมั้ย?”

เจี่ยนซวงกระโดดก่อนจะพูดว่า : “ดีใจมากเลยค่ะ! ขอบคุณหม่าม้ามากนะคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับส่ายหน้า : “ยังไม่ต้องรีบขอบคุณหม่าม้าหรอกค่ะ เรามาคุยกันเรื่องที่คนอื่นมากวนหนูก่อนเถอะ หนูไปตีกับเด็กบ้านอื่นมาใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงรีบส่ายหน้าไปมาทันที ก่อนจะเบิกตาโตแล้วก็ทำหน้าไร้เดียงสาขึ้นมา : “ไม่ใช่ค่ะ หม่าม้าต้องเชื่อหนูนะคะ…..หนูน่ะเป็นเด็กดีมาโดยตลอด ไม่เคยทำตัวมีปัญหาเลยสักครั้ง พวกนั้นต่างหากค่ะ พวกนั้นหัวเราะที่หนูไม่มีคุณพ่อ! หนูเลยต้องสั่งสอนพวกนั้นซะหน่อย ถ้าไม่สั่งสอนคนพวกนี้ดีๆ แล้วถ้าเขาโตขึ้นไปเป็นคนไม่ดีจะทำยังไงล่ะคะ? หนูทำเพราะหนูหวังดีกับพวกเขานะคะหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วเขกหัวเจี่ยนซวงครั้งหนึ่ง : “หาข้ออ้าง!”

เจี่ยนซวงรีบลูบหน้าผากของตัวเองทันทีก่อนจะยิ้มแล้วก็ขยับเข้าไปในอ้อมกอดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดว่า : “พ่อแม่ของพวกเขาก็ไม่ได้มาเอาเรื่องนี่คะ แสดงว่าที่หนูทำมันถูกแล้ว หม่าม้าอย่าโกรธหนูเลยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ บางทีเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสอนเจี่ยนซวงยังไงดี ถ้าเธอไม่ให้ลูกทำแบบนี้ ในอนาคตก็กลัวว่าเจี่ยนซวงจะถูกรังแก แต่ถ้าเธอปล่อยให้ลูกทำแบบนี้ต่อก็กลัวว่าโตขึ้นเจี่ยนซวงจะเป็นคนนิสัยร้ายๆ

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดว่า : “จำไว้นะคะ ต่อไปห้ามไปตีคนอื่นแรงๆนะ ถ้าตกลงกันอย่างสงบได้ก็ไม่ต้องลงไม้ลงมือ”

เจี่ยนซวงพยักหน้า : “คนอย่างพวกนั้นคุยดีๆไม่ได้หรอกค่ะ ต้องลงไม้ลงมือ”

เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับมุดตัวเข้าไปในอ้อมกอดคนเป็นแม่มากขึ้น ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “หนูหิวแล้วค่ะหม่าม้า เช้านี้เรากินอะไรกันดีคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วดูเวลา ก่อนจะขมวดคิ้ว : “ดูแล้วไม่น่าจะทันทำอาหารให้หนูกินแล้วค่ะ หม่าม้าต้องไปส่งหนูที่โรงเรียนอีก ไปค่ะ เดี๋ยวหม่าม้าค่อยไปซื้อข้าวแถวๆโรงเรียนให้กินเอา”

“ว้า……ไม่ต้องอาหารที่หม่า้มาทำแล้ว” เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับกระโดลงจากเตียงด้วยรอยยิ้ม

เพิ่งจะพูดจบ เจี่ยนซวงก็หุบยิ้มทันที ก่อนจะหันไปยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “หม่าม้าคะ จริงๆแล้วหนูชอบอาหารที่หม่าม้าทำมากๆนะคะ แต่ว่าอาหารที่ข้างๆโรงเรียนขายมันอร่อยกว่านิดนึง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “หม่าม้ารู้ค่ะ งั้นตอนเย็นหม่าม้าทำอาหารเพิ่มให้หนู เป็นไข่ทอดสองจานเลย ดีใจมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงเบิกตาโตก่อนจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วสูดจมูกครั้งหนึ่ง แล้วพูดด้วยสีหน้าจะร้องไห้อย่างไม่เต็มใจไปว่า : “ดีใจค่ะ……..”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับลูบหัวเจี่ยนซวง แล้วยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ดีใจขนาดนั้นแล้ว รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วค่ะ หม่าม้าก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเหมือนกัน แล้วจะรีบไปส่งหนูไปโรงเรียน”

เจี่ยนซวงเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งแล้ว เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน เธอกินข้าวเสร็จก็รีบโบกมือลาเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดังว่า : “บ๊ายบายค่ะหม่าม้า!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่เดินไปด้วยรอยยิ้ม เธอก็ค่อยๆออกมาพร้อมกับผู้ปกครองคนอื่นๆทันที คนที่มีลูกแล้วนั้นเรื่องที่เอาไว้พูดคุยกันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับลูกๆทั้งนั้น มีหลายคนที่บอกว่าจะส่งลูกเข้าไปเรียนในเมือง ว่ากันว่าส่งลูกเข้าไปเรียนโรงเรียนในเมืองนั้นคุณภาพดีกว่า เด็กๆจะได้สอบเข้ามัธยมได้ง่าย เพียงพูดถึงเรื่องบ้านที่ใกล้ๆโรงเรียน ทำไมถึงแพงขนาดนั้นนะ? บางคนก็บ่นกันว่าราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ เงินเก็บที่เก็บไว้ก็น้อยลงทุกที จนแทบซื้ออะไรไม่ได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วว่าเจี่ยนซวงนั้นดื้อเกินไป จนเธอจะต้องขอโทษผู้ปกครองคนอื่นอยู่เสมอๆ

กลุ่มคนเดินผ่านไปมาอย่างเฉื่อยชา พระอาทิตย์ก็ค่อยๆลับตาลง เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มจนตาปริ

ถ้านี่เป็นความสุขและความสงบที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้กับเธอ เธอคิดว่าเธอคงได้รับมันแล้วล่ะ

เจี่ยนซวงร้องไห้ออกมาก่อนจะรีบพูดขึ้นว่า : “หม่าม้าคะ หนูจะไปตามหาสร้อยกลับมาค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วดึงเจี่ยนซวงเอาไว้แน่นก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น : “ตอนนี้ฟ้ามันเริ่มมืดแล้วนะคะ จะไปหาที่ไหน? พรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่านะคะ”

ถึงแม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะทะนุถนอมสร้อยเส้นนั้นมากๆ เพราะมันเป็นของขวัญเพียงชิ้นเดียวที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้กับเจี่ยนซวง แต่สิ่งของมันไม่มีชีวิต ถ้าเกิดว่าตอนที่เจี่ยนซวงออกไปตามหาแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนซวงล่ะก็จะซวยขึ้นมาเอา

ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงจะดื้อซนและร้ายขนาดไหน แต่เจี่ยนซวงก็ยังเชื่อฟังเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ครั้งนี้เจี่ยนซวงกับบิดตัวแล้วส่ายหัวก่อนจะร้องไห้แล้วพูดออกมาว่า : “ไม่ได้ค่ะ! ไม่ได้! หนูจะไปหาสร้อยเส้นนั้น ถ้าหม่าม้าไม่ช่วยหนูหา หนูก็จะไปหาเองค่ะ”

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะวิ่งออกจากประตูบ้านไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็หายใจเข้าลึกๆครั้งหนึงก่อนจะไปหยิบไฟฉายแล้วก็ตามลูกสาวไป : “ซวง……เหยียนเหยียน รอหม่าม้าก่อนค่ะ หม่าม้าจะไปกับหนูด้วย!”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตามเจี่ยนซวงทันแล้ว เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดว่า : “หนูยังจำทางที่หนูกลับได้มั้ย?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันที : “จำได้ค่ะ หม่าม้าต้องช่วยหนูหานะคะ”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดจบเธอก็ร้องไห้โฮอีกครั้งหนึ่ง : “หนูมีสร้อยเส้นนั้นเส้นเดียว ถ้าเกิดมันหาย ก็ไม่มีอีกแล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าทันที ก่อนจะยื่นมือมาจับมือลูกสาว : “หม่าม้าจะช่วยหนูหาอย่างสุดความสามารถค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็จับมือเจี่ยนซวงแล้วค่อยๆเดินหาตามทางที่เจี่ยนซวงกลับบ้านวันนี้จนฟ้ามืดสนิท เจี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวงก็ยังไม่เจอสร้อยเส้นนั้น ขาของเจี่ยนอี๋นั่วเมื่อยไปหมดแล้ว แต่เจี่ยนซวงก็ยังยืนยันที่จะยังไม่กลับ

เจี่ยนซวงแหวกพงหญ้าไปด้วยร้องไห้ไปด้วยก่อนจะพูดว่า : “สร้อยอยู่ไหน? หนูจำได้ว่าหนูเอาใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกง? ทำไมถึงตกออกมาได้ล่ะคะ?”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าฟ้ามืดสนิท ในชนบทแบบนี้ไม่เหมือนกันในเมืองหลวง เมืองหลวงในเวลานี้จะมีแสดงไฟสว่างไสวไปทั่ว แต่ในบนชทแบบเมื่อ เมื่อฟ้ามืดลงก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงจูงมือลูกสาวแล้วพูดเบาๆว่า : “วันนี้พอแค่นี้ก่อน ดีมั้ยคะ? รอให้ฟ้าสว่างก่อนหม่าม้าค่อยพาหนูมาหาสร้อยใหม่”

เจี่ยนซวงร้องไห้พร้อมกับส่ายหน้าของเธอไปมา : “ไม่เอาค่ะ สร้อยที่เขาให้หนูมา หนูยังทำมันหาย! หนูต้องหามันให้เจอค่ะ ไม่อย่างนั้นหนูก็ไม่กลับ!”

เจี่ยนอี๋นั่วค้นพบว่านับวันเจี่ยนซวงยิ่งให้ความสนใจกับสร้อยที่เหลิ่งเซ่าถิงให้เธอ เธอจึงถามตรงๆต่อหน้าเจี่ยนซวง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามออกไปว่า : “ทำไมหนูถึงสนใจสี้อยเส้นนี้นักหนาล่ะคะ?”

“เพราะว่าเขาเป็นคนให้หนูไงคะ” เจี่ยนซวงร้องไห้พร้อมกับเช็ดน้ำตาของตัวเอง เมื่อเห็นว่ารอบๆไม่มีคนอยู่ เธอจึงพูดออกมาเบาๆว่า : “หม่าม้าคะ จริงๆแล้วคุณลุงคนนั้นคือคุณพ่อของหนูใช่มั้ยคะ?”

เมื่อหลายปีที่ผ่านมา เจี่ยนซวงยังเด็ก จึงไม่เข้าใจในหลายๆเรื่อง แต่พอเธอค่อยๆเจติบโตขึ้นแล้ว เจี่ยนซวงก็ได้รู้จักกับคุณลุงที่เย็นชาคนนั้น เนื่องจากในโทรทัศน์มักจะมีข่าวที่เกี่ยวกับท่านประธานเหลิ่งของตระกูลเหลิ่งอยู่บ่อยๆ เจี่ยนซวงจึงเริ่มเดาความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง พวกเขาหน้าตาคล้ายกันมากๆ แล้วเมื่อก่อนเหลิ่งเซ่าถิงก็ดีกับเธอมากๆด้วย เจี่ยนซวงจึงอดคิดไม่ได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเป็นพ่อที่แท้จริงของเธอ ดังนั้นเธอจึงให้ความสนใจกับสิ่งที่เขาทิ้งไว้ให้เธอมากๆ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินในสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็เหม่อไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนซวงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า : “หนูอยากให้เขาเป็นพ่อของหนูมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลงหลายๆครั้ง : “หนูอยากได้คุณพ่อค่ะ แต่ถ้าเขาไม่อยากได้หนูจริงๆ หนูก็ไม่เอาคุณพ่อก็ได้ค่ะ หม่าม้าคะ เขาเป็นคุณพ่อของซวงซวงใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้อยู่แล้วว่าเธอปิดบังเจี่ยนซวงได้ไม่นานนัก เจี่ยนซวงนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะเดาเรื่องราวชีวิตของตัวเองได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วเพียงไม่คิดมาก่อนว่ามันจะมาไวขนาดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วหมดหนทางที่จะโกหกเจี่ยนซวง ถ้าหากเจี่ยนซวงเดาไม่ออก เธอก็ยังคงจะปิดบังต่อไปได้อยู่ แต่เจี่ยนซวงนั้นเดาออกหมดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงไร้หนทางที่จะโกหกลูกต่อไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดเสียงต่ำทุ้มว่า : “ใช่ค่ะ เขาเป็นพ่อของหนู มันเกิดจากเหตุผลบางอย่างที่เขาต้องเลิกกับหม่าม้า เขาก็เลยอยู่กับหนูไม่ได้ค่ะ แต่เขายังห่วงใยหนูอยู่นะคะ……หนูยังจำอาหารอร่อยๆที่เขาทำให้หนูกินมั้ย?”

เจี่ยนซวงรีบพยักหน้าทันทีก่อนจะร้องไห้ออกมาแล้วพูดว่า : “จำได้ค่ะ ดังนั้นหนูเลยต้องตามหาสร้อยเส้นนั้นให้เจอ นี่อาจจะเป็นของขวัญชิ้นสุดท้ายที่เขาให้หนูก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวลูกสาว ก่อนจะยิ้มปลอบใจลูก : “ไม่ต้องร้องนะคะ พรุ่งนี้หม่าม้าจะพยายามหาช่วยอย่างเต็มที่ ตอนนี้ฟ้าก็มืดแล้วหนูก็เห็น ถ้าระหว่างที่เราหาสร้อยอยู่แล้วหนูบาดเจ็บขึ้นมาจะทำยังไงคะ?”

“แต่ว่า……..” เจี่ยนซวงขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะทำหน้างอแงแล้วพูดว่า : “แต่ว่าถ้าเราหามันไม่เจอจริงๆล่ะคะ”

“สร้อยเส้นนี้เป็นแค่ของต่างหน้า ถึงหาสร้อยไม่เจอ ก็ไม่ได้หมายความว่าพ่อของหนูจะไม่ห่วงใยหนูนี่นะ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูดถึงตรงนี้เธอก็ยกนิ้วขึ้นมากดไปที่ริมฝีปากของตัวเอง แล้วทำท่าชู่ออกมา : “แล้วอีกอย่าง เรื่องที่คนคนนั้นเป็นพ่อของหนู หนูห้ามไปบอกใครนะคะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆพร้อมกับร้องไห้แล้วก็พยักหน้าขึ้นลง เธอยกมือขึ้นมาจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะถามว่า : “งั้นเรากลับกันก่อนมั้ยคะหม่าม้า แต่คุณพ่อเป็นคนยังไงหรอคะ? หม่าม้าไม่เคยเล่าให้หนูฟังเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วจับมือเจี่ยนซวงก่อนจะหันหน้าไปทางทางกลับบ้านของพวกเธอ เธอเอียงหัวแล้วยกยิ้มขึ้นมาสักพัก แต่บางความทรงจำของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นถูกลบเลือนไปบ้างแล้วในวันวันนี้ เมื่อเธอคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเหลือเพียงเงาจางๆเท่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงคิดไปด้วยยิ้มไปด้วยเท่านั้น ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “เขาหรอคะ? หนูก็น่าจะประทับใจในตัวเขานะคะ เขาเป็นคนที่ดีดูใช้ได้เลย”

“ไม่ใช่แค่ดูดีใช้ได้นะคะ คุณพ่อหล่อมากๆ!” เจี่ยนซวงรีบพูดแทรกเจี่ยนอี๋นั่วทันที

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าพร้อมกับยิ้มไปด้วย : “ใช่ค่ะ หล่อมากๆ ตอนนั้นก็เพราะเขาหล่อมากๆนี่แหละค่ะ หม่าม้าถึงได้ชอบเขา”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ เธอยังเด็ก เธอเลยไม่เขาใจเหตุผลว่าทำไมผู้หญิงถึงชอบผู้ชายคนนึงได้ มันอาจจะดูผิวเผินและเรียบง่ายมากๆ บางทีก็อาจจะเป็นเพราะรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย บางทีก็อาจจะเป็นเพราะคำพูด หรือบางทีก็อาจจะเป็นเพราะการกระทำ

เขี่ยนซวงกระพริบตาด้วยความสงสัย ก่อนจะถามขึ้น : “หม่าม้าไม่ได้รักคุณพ่อเพราะว่าหม่าม้าซาบซึ้งที่คุณพ่อช่วยชีวิตไว้หรอคะ? ในละครมีแต่แบบนี้”

“ยังไงคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามเจี่ยนซวงอย่างสงสัย

เจี่ยนซวงสูดจมูกก่อนจะพูดพร้อมกับแสดงท่าทีขึ้นมา : “ก็แบบว่าหม่าม้าน่าจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วก็ถูกวางยาพิษ ต้องให้ผู้ชายคนนึงมาจุมพิตก่อนถึงจะล้างพิษนั้นได้ แต่ผู้ชายคนนั้นจะโดนยาพิษแล้วก็บาดเจ็บไงคะ แล้วคุณพ่อก็เสี่ยงชีวิตมาจุมพิษหม่าม้า แล้วก็หม่าม้าก็หาย แล้วหม่าม้าก็คิดว่าผู้ชายคนนี้เก่งจังเลย แล้วหม่าม้าก็ตกหลุมรักไงคะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะก้มหน้าลงมามองเจี่ยนซวง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ : “ต่อไปอย่าดูละครเยอะนะคะ โดยเฉพาะพวกละครบู๊ทั้งหลายเนี่ย”

เจี่ยนซวงเบะปากพึมพำทันที : “หนูยังไม่ได้พูดเลยนะคะว่าหม่าม้าเอาตัวมารับมีดแทนคุณพ่อ คุณพ่อเลยตกหลุมรักหม่าม้า”

“ไร้สาระ!” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า : “ที่พ่อเขาชอบหม่าม้าก็เพราะว่าหม่าม้าสวยนั่นแหละค่ะ แล้วก็หุ่นดี หม่าม้าจะไปเอาตัวบังมีดแทนใครเพื่อให้เขามาชอบหม่าม้านะคะ โอเคมั้ย?”

เจี่ยนซวงเอามือขึ้นมาปิดปากของตัวเองทันทีก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากออกมา : “ฮ่าๆๆ……..หม่าม้าสวย……”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “เด็กน้อย หนูไม่คิดว่าอย่างนั้นหรอคะ?”

เจี่ยนซวงรีบหุบปากทันทีก่อนจะพยักหน้า : “แต่ว่า….ถึงหม่าม้าจะสวย แต่ถ้าเทียบกับคุณพ่อ ก็ยังขาดอีกนิดหน่อยนะคะ อีกอย่างคุณพ่อก็ทำอาหารเป็นด้วย ดูแล้วคุณพ่อน่าจะเป็นคนรวยมากๆ หม่าม้าทำอาหารอย่างเดียวยังไม่ได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะทำหน้าเสียใจออกมา: “แล้วหนูจะชอบหม่าม้าหรอคะ?”

เจี่ยนซวงยิ้มก่อนจะกอดเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วก็ส่ายหัวเต็มแรง : “ไม่ค่ะ หนูชอบหม่าม้ามากๆ ถึงแม้ว่าหม่าม้าจะทำอาหารไม่เป็น แล้วก็ชอบบ่นบ้างบางที แต่หม่าม้าสวยนะคะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “แล้วยังไงต่อคะ?”

เจี่ยนซวงอึ้งไปสักพัก ก่อนจะกระพริบตา : “มีอะไรต่ออีกหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วุอนหายใจ : “ลูกสาวคนนี้นี่ไม่มีความปราณีเลยนะคะ หม่าม้าจะบอกให้นะคะ หุ่นหม่าม้านะ…….”

เจี่ยนซวงรีบมองตั้งแต่หัวรจดเท้าแล้วพูดทันทีว่า : “หม่าม้าหุ่นดีมากๆค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ค่ะ ถือว่าหนูน่ะยังปากหวานอยู่”

เจี่ยนซวงจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักพัก เธอก็ทำหน้ามุ่นทันที ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : “หม่าม้าคะ พรุ่งนี้ตอนเช้าๆหม่าม้าต้องพาหนูมาตามหาสร้อยเส้นนั้นจริงๆนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า : “ค่ะ วางใจได้เลย”

ทั้งสองพูดคุยกันตลอดทาง และในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงก็เดินมาถึงบ้านของตัวเอง พวกเธอล็อกประตูบ้านเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่กล้องวงจรในสวนก่อนจะยิ้มให้แล้วถึงได้พาเจี่ยนซวงเดินเข้าบ้านไป เมื่อถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอดเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงก่อนจะเอาเครื่องระบุตำแหน่งติดไว้ที่มุมเสื้อของเธอ

ถึงแม้ว่าดูอหมือนว่าเธอจะมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาๆในชนบทแบบนี้แล้ว แต่บางทีเจี่ยนอี๋นั่วก็ดูไม่ออกว่าใครคือคนที่คอยปกป้องดูแลเธอกับเจี่ยนซวงอยู่ที่อยู่ใกล้เคียงระแวดบ้านเดียวกันกับพวกชาวบ้าน แต่ว่าบนร่างของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงนั้นจะติดเครื่องระบุตำแหน่งไว้ตลอด และกล้องที่ติดอยู่ในสวนก็เป็นเครื่องเตือนเจี่ยนอี๋นั่วว่าการที่เธอกับเจี่ยนซวงอยู่ตรงนี้นั้นปลอดภัยแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงอาบน้ำ ก่อนจะพาลูกน้อยไปนอนบนเตียงเธอยิ้มแล้วพูดกับลูกสาวว่า : “โอเคค่ะ นอนได้แล้ว”

เจี่ยนซวงนีบขยับตัวเข้าไปสู้อ้อมอกคนเป็นแม่ทันที ก่อนจะถามว่า : “หม่าม้าคะ เรียกหนูว่าซวงซวงอีกครั้งได้มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกก่อนจะยิ้มแล้วถามว่า : “ทำไมคะ?”

เจี่ยนซวงมุ่ยปากแล้วพูดว่า : “หนูไม่ชอบให้คนอื่นเรียกหนูว่าเหยียนเหยียนค่ะ หนูชอบชื่อซวงซวงมากกว่า โดนเรียกว่าซวงซวงแล้วมันจะทำให้หนูนึกถึงวันนี้ที่หนูกับหม่าม้าแล้วก็คุณพ่อกินข้าวด้วยกัน อาหารที่คุณพ่อทำอร่อยมากเลยค่ะ หม่าม้าคะ เรียกหนูว่า’ซวงซวง’อีกครั้งได้มั้ย หนูจะไม่บอกใครว่าหนูชื่อซวงซวงแน่นอนค่ะ หม่าม้าวางใจได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงเอาไว้แน่น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ได้สิคะ ซวงซวง”

เจี่ยนซวงยกยิ้มขึ้สมาทันทีก่อนจะกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น แล้วพูดอย่างออดอ้อนว่า : “หม่าม้าคะ เรียกอีกครั้งได้มั้ยคะ ไม่งั้นหนูต้องลืมแน่ๆว่าหนูชื่อ’ซวงซวง’”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองลูกสาวก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ซวงซวง……ซวงซวง…..”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้เวลาในการปรับตัวให้คุ้นชินกับชื่อ “มู่หวันถิง”เพียงสามเดือนเท่านั้น แต่เธอต้องใช้เวลาถึงสามปีเพื่อเรียนรู้สิ่งที่ควรรู้ในการทำเกษตรมาบ้าง แต่ยังเรียนรู้ได้ไม่ทั้งหมด เจี่ยนอี๋นั่วรู้ตัวว่าตัวเองนั้นมีสิ่งที่เธอชำนาญ แต่สำหรับสิ่งที่เธอไม่เชี่ยวชาญ เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะทำสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เลยจริงๆก็คือการทำกับข้าว และการใช้ชีวิตแบบเกษตรกร

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเรียนรู้มันอยู่ แต่เธอก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าผักชนิดไหนควรจะปลูกแบบไหน ใส่ปุ๋ยยังไง เก็บเกี่ยวตอนไหน ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือเธอไม่รู้ว่าควรจะทำเป็นแปลงหรือทำเป็นฟาร์มดี เพราะเธอลงแปลงหรือทำฟาร์มผักทีไร ผักพวกนั้นก็ล้มตายเสียหมด เป็ดไก่ก็ติดเชื้อไข้หวัดนกเช่นกัน เพราะว่าผักที่เจี่ยนอี๋นั่วปลูกนั้นใช้มูลของเป็ดและไก่มาทำปุ๋ย ไม่เคยพ่นยาเลยสักครั้ง ถ้าหากว่าผักตายก็ตายกันหมดทั้งแปลง

เธอจัดการกับพวกเป็ดไก่และพืชผักจนรู้สึกว่าปวดหัวไปหมด คนงานที่ช่วยเจี่ยนอี๋นั่วเลี้ยงไก่นั้นยิ่งปวดใจเข้าไปใหญ่ เพียงเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่แปลงผัก ก็จะมีคนงานมาห้ามเธอเอาไว้ ถึงแม้เธอจะไม่มีพรสวรรค์ด้านนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน เธอตัดสินใจมาเป็นสาวชานาอย่างสบายใจแบบนี้แล้ว เธอจะปล่อยให้ตัวเองไม่รู้เรื่องง่ายๆอะไรแบบนี้ได้ยังไง?

ถึงแม้ว่ามันยากที่จะเรียนรู้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เรียนรู้มันมาเรื่อยๆ เธอก็ยังเรียนรู้งานในสวนของตัวเองอย่างเต็มที่ในทุกๆวัน บนชั้นวางหนังสือของเธอก็มีหนังสือ การเลี้ยงหมู กับหนังสือการปลูกข้าวยี่สิบแปดวิธี เป็นต้น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเรียนรู้ประเด็ดสำคัญใหม่ๆเธอถึงคายเปลือกเมล็ดทานตะวันออกในปากออก แล้วจดบันทึกเอาไว้ ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังตั้งใจศึกษาเรียนรู้การทำเกษตรอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงทุบประตูอยู่ข้างนอก เธอก็รีบปัดเปลืองเมล็ดทานตะวันออกทันที เธอเดินออกจากบ้านไปเปิดประตูสวน เธอจึงพบกับหญิงสาวหน้ากลมคนหนึ่งกีบเด็กที่ถักเปียสองข้างยืนอยู่ข้างนอกประตูอย่างกระวนกระวาย

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “อ๊อ! มาหาใครหรอคะ?”

ยัยหนูคนนั้นรีบเอื้อมมือมาหาเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะร้องไห้โฮออกมา : “หม่าม้า……หนูเองค่ะ…..เหยียนเหยียนไงคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเจี่ยนซวงที่ได้เปลี่ยนชื่อเป็นลั่วเหยียนเหยียนไปแล้ว ก่อนจะมองเจี่ยนซวงอย่างระเอียดแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : “เด็กน้อย หนูมาผิดบ้านรึเปล่าคะ ฉันไม่มีลูกนะ”

เจี่ยนซวงร้องไห้พร้อมกับยื่นมืออกมา แล้วขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้า…..หม่าม้าอย่าใจร้ายแบบนี้สิคะ หนูเป็นลูกแท้ๆของหม่าม้านะคะ เมื่อคืนหม่าม้ายังกอดหนูเรียกหนูว่าเด็กอ้วนอยู่เลย!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับมองเจี่ยนซวงแล้วพูดว่า : “ฉันไม่รู้จักหนูจริงๆ หนูลองเดินไปดูระแวกนี้มั้ย หนูอาจจะจำผิดก็ได้นะ ฉันไม่มีลูกสาวเป็นเด็กอ้วนแบบนี้หรอก!”

สาววัยกลางคนตะโกนสุดเสียงทันที : “พอได้แล้ว ไม่ต้องมาเสแสร้งแล้ว คนบ้านเดียวกันทั้งนั้น เธออย่าทำอย่างนี้เลย เธอสนใจลูกสาวเธอหน่อยไม่ได้รึไงกัน? ยัยหนูคนนี้พาเพื่อนที่เป็นเด็กด้วยกันไปฆ่ากบอเมริกันบลูฟร็อกบ้านฉัน แล้วเอามาย่างกินด้วยกัน เลือดกระเซ็นเต็มไปหมด ลูกสาวเธอก็โตแล้ว มันจะเป็นอาเพสได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเจี่ยนซวงก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “หม่าม้าบอกแล้วใช่มั้ยคะว่าถ้าทำเรื่องแบบนี้อีก หม่าม้าจะไล่ออกจากบ้าน?”

เจี่ยนซวงร้องไห้แล้วมองหน้าคนเป็นแม่ : “เคยพูดแล้วค่ะ แต่หนูไม่ได้ตกลงนี่คะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองผู้หญิงวันกลางคนคนนั้น : “หรือคุณจะเอาเด็กคนนี้ไปเลยดีมั้ยคะ ลูกชายของคุณก็อายุเก้าขวบแล้วไม่ใช่หรอ? เอาเด็กคนนี้ไปเป็นเจ้าสาวในอนาคตของเขาก็ได้นะคะ”

หญิงวัยกลางคนคนนั้น ‘หู้’ ออกมาดังๆหนึ่งครั้ง : “ฉันจะคลุมถุงชนให้ลูก ก็ไม่เอาเด็กแบบนี้หรอกนะ อย่างลูกสาวเธอเนี่ย ฉันต้องมีบ่อปลาสักกี่บ่อถึงจะเลี้ยงลูกสาวเธอได้เนี่ย? ที่ฉันมาหาเธอเนี่ยไม่ได้อะไรมากหรอก แค่จ่ายเงินทุนมาคืนฉันก็พอ ไม่อย่างนั้น…….ไม่อย่างนั้นล่ะก็…….”

หญิงวัยกลางคนคิดอยู่นานสองนานก่อนจะถอนหายใจออกมา : “ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้ว เราเป็นคนบ้านเดียวกัน เธอก็ลองคิดหาวิธีดูก็แล้วกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหรี่ตามองเจี่ยนซวง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “งั้นก็ได้ ฉันจะให้เงินคุณ เงินนั้นก็หักจากค่าขนมของใครบางคนแถวนี้ก็แล้วกัน”

เจี่ยนซวงร้องไห้โฮออกมาทันที : “ห้ามหักเงินหนูนะคะ ไม่ได้นะ เงินนั่นหนูจะเอาไปซื้อเค้กมากินนะคะ มันไม่ใช่ความผิดของหนูด้วยซ้ำ เสี่ยวเอ้อร์ลูกชายของคุณป้าอ้วนต่างหากล่ะค่ะที่พาหนูไป หนูให้เงินเขาไปแล้วนะคะ เงินสิบหยวนแลกกับกบตัวนึง เขาก็รับเงินหนูไปแล้วด้วย แล้วเขาก็ไม่ยอมรับ!”

ใบหน้าของผู้หญิงวัยกลางคนแดงขึ้นมาทันที ก่อนจะตะคอกเสียงดัง : “เขาก็แค่เด็ก คำพูดนั้นมันเชื่อได้ที่ไหนกัน?”

เจี่ยนซวงรีบเบิกตากลมโตก่อนจะพูดเสียงดัง : “หนูก็เป็นแค่เด็กนะคะ คำพูดหนูเชื่อได้ เขาเป็นลูกชายคุณใช่มั้ยล่ะคะ? ธุกิจบ่อปลาอะไรของคุณก็ต้องตกเป็นมรดกของเขาใช่มั้ยคะ? เขาเป็นคนพาพวกเราไปเองนะคะ เขาเป็นผู้ขายหนูเป็นผู้ซื้อ แล้วยังงี้จะโยนความรับผิดชอบมาไว้ที่หนูคนเดียว ไม่โทษเขาเลยหรอคะ? หนูมีใบสัญญาด้วยนะคะ……”

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะหันหลังแล้วจับๆดูบนตัวของตัวเอง แจ่จับไปจับมาก็ไม่เจออะไรอยู่ดี ในที่สุดเจี่ยนซวงก็ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ก่อนจะมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า : “หม่าม้าคะ……ใบสัญญาหาย”

“งั้นก็เปล่าประโยชน์แล้วค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวง ก่อนจะหันไปยิ้มให้ผู้หญิงวัยกลางคนนั้น : “งั้นฉันจะชดใช้ให้คุณค่ะ”

“ไม่เอานะคะ…..หม่าม้า……” เจี่ยนซวงมองเจี่ยนอี๋นั่วที่เอาเงินฝากยื่นให้ผู้หญิงวัยกลางคนนั้น ก่อนจะร้องไห้โฮออกมาอีกที

หญิงวัยกลางคนรับเงินไป ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ยังดีที่ยังคุยรู้เรื่อง แต่ว่าช่วยดูแลลูกสาวคุณดีๆด้วยล่ะ ซนเกินไปแล้วเนี่ย ไม่มีใครวิ่งตามทันเลยเนี่ย เป็นลูกกระต่ายรึไง”

“เกิดจากคู่รักคู่แค่นต่างหากล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะยิ้มให้กับผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นแล้วพูดขึ้นว่า : “งั้นคุณก็กลับบ้านอย่างปลอดภัยนะคะ ฉันคงไม่ไปส่งแล้ว”

เมื่อเห็นว่าผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นเดินจากไปแล้ว เจี่ยนซวงก็ยืนอยู่ที่หน้าประตูด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธพร้อมกับร้องไห้ออกมา : “หม่าม้าจะไม่มีเหตุผลเกินไปแล้วนะคะ หนูไม่ได้ทำจริงๆนะคะ…..”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเจี่ยนซวงก่อนจะยื่นมือออกมา แล้วพูดกับเจี่ยนซวงว่า : “เอาเงินมาให้หม่าม้าเลยค่ะ!”

เจี่ยนซวงปิดกระเป๋าของตัวเองก่อนจะกระพริบตาด้วยความประหม่า : “เงินอะไรคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “หนูใจดีซื้อกบมาเลี้ยงเพื่อนแบบนี้ด้วยหรอคะเนี่ย? คงจะเร่ขายมาล่ะสิ หนูคงได้เงินมาไม่น้อยใช่มั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะตะลึงไปสักครู่แล้วก็หัวเราะฮิฮิออกมา : “คุณชาวไร่คะ สิ่งที่คุณพูดเมื่อกี้มันก็ถูก เหมือนว่าหนูจะมาผิดบ้านแน่เลยค่ะ บ้านหนูน่าจะอยู่ระแวกแถวๆนี้แหละ ถึงแม้ว่าคุณจะหน้าเหมือนหม่าม้าของหนู แต่ก็ไม่ใช่จริงๆด้วย ขอโทษนะคะที่รบกวน!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเจี่ยนซวงหันหลังคิดหนี เธอก็รีบเอื้อมมือไปจับเปียของเจี่ยนซวงทันที ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เจ้าเด็กถักเปีย หนูจะไปไหนคะ? หื้ม? ยัยเด็กอ้วน”

เขี่ยนซวงร้องไห้โฮออกมาทันที : “อา……. พระเจ้าเจ้าขา ……… หม่าม้าโหดร้ายกับลูกสาวเหลือเกินค่ะ…….”

เสียงของเจี่ยนซวงดังลั่น ชาวบ้านที่นั่งทานข้าวอยู่แถวนั้นได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงก็อดไม่ได้ที่จะพากันหัวเราะขึ้นมา ก่อนจะตะโกนมาว่า : “เหยียนเหยียนไปทำอะไรมาอีกแล้วล่ะสิ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะตอบกลับไป : “ใช่จ่ะ คืนนี้เด็กคนนี้ไม่ต้องกินข้าว!”

เสียงร้องไห้ของเจี่ยนซวงหยุดทันที ก่อนที่จะถอนหายใจออกมา : “ถ้ารู้ว่าหม่าม้าจะลงโทษด้วยการไม่ให้กินอาหารฝีมือหม่าม้าหนูน่าจะทำผิดมากกว่านี้ซะให้รู้แล้วรู้รอดเลย!”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา : “หนูยังต้องได้รับผลที่หนูทำผิดอีกค่ะ!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจี่ยนซวงก็ร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง……….

เมื่อตกกลางคืน เจี่ยนซวงก็ยังคงรู้สึกผิดกับเงินที่เธอหามาได้ในวันนี้ไปด้วย กินไข่ทอดที่เจี่ยนอี๋นั่วทำให้เธอไปด้วย ในขณะเดียวกันเธอก็กินไปด้วยคายเปลือกไข่ออกมาด้วยเช่นกัน

“ฮือๆ…….” เจี่ยนซวงสูดจมูกก่อนจะพูดอย่างงอแง : “หม่าม้าคะ หม่าม้าไม่ต้องจงใจแกล้งหนูขนาดนี้ก็ได้นะคะ ทำไมเปลือกไข่มันเยอะกว่าที่หม่าม้าทำเมื่อก่อนอีกล่ะคะ? นี่มันไข่ทอดหรือเปลือกไข่ทอดกันแน่?”

เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ปวดฟันเพราะกัดโดนเปลือกไข่เช่นกัน เธอจึงกินข้าวกับเต้าหู้เหม็นแทนก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “หยุดพูดมากได้แล้วค่ะ กินข้าวของหนูไปเถอะ”

เจี่ยนซวงถอนหายใจ : “หนูน่ะคิดถึงหม่าม้าในความทรงจำของหนูคนนั้นมากค่ะ ตอนนี้หม่าม้าเหมือนกับ……”

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะกดเสียงต่ำทุ้มแล้วพูดต่อว่า : “เหมือนหม่าม้ากระโดดออกมาจากละครหลังข่าวน้ำเน่าที่มาใช่ชีวิตอยู่ในชนบทเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหนี่ตามองเจี่ยนซวง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “หม่าม้าก็คิดถึงลูกสาวคนเดิมเหมือนกันค่ะ ถึงแม้หนูในตอนนั้นจะกินเก่งมากๆ แต่กินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว”

เจี่ยนซวงโดนเสียงหัวเราะของเจี่ยนอี๋นั่วทำเอาเธอตกใจตัวสั่น เธอรีบกระพริบตาปริบๆก่อนจะพูด : “หม่าม้าคะ ไม่ต้องลงโทษหนูแล้วได้มั้ยคะ อย่าทำให้หนูตกใจเพิ่มสิคะ หม่าม้าดูสิคะ ตอนที่หนูวิ่งเมื่อกี้หนูล้มจนขาได้แผลมาด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบมองไปที่ขาของลูกสาวทันทีก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “แล้วทำไมไม่บอกให้เร็วกว่านี้คะ? เข้าห้องเดี๋ยวนี้เลย หม่าม้าจะทายาให้”

เจี่ยนซวงหยิบชามข้าวขึ้นมาก่อนจะพูดด้วยเสียงเล็กของเธอว่า : “เรื่องทายาไม่ต้องรีบก็ได้ค่ะ แต่ไข่ทอดนี่หนูไม่กินแล้วได้มั้ยคะ? เอาเต้าหู้เหม็นมาให้หนูสักก้อนแล้วก็ให้หนูกินกับข้าวแทนนะคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองรอยแผลของเจี่ยนซวงก่อนจะพยักหน้า : “รีบกินรีบเข้ามานะคะ”

เจี่ยนซวงรีบใช้ตะเกียบคีบเค้าหู้เหม็นทันที ก่อนจะกินข้าวในชามจนหมดเกลี้ยง ก่อนจะเดินเข้าห้องไปอย่างช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมกล่องยามาไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนจะส่งสายตาแล้วเจี่ยนซวงก็ขึ้นไปนั่งบนเตียงทันที ก่อนจะยกขาขึ้นมาแล้วชี้ไปที่แผลของตัวเอง : “ตรงนี้ค่ะ…….ตรงนี้ ตรงนั้นแหละ!”

“ค่ะ หม่าม้าเห็นแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่บาดแผลบนขาของเจี่ยนซวง มันเป็นแผลจากการถูกกระแทก

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพาลูกสาวของเธอมาอยู่ที่นี่ เธอคิดไว้ว่าเมื่อก่อนเจี่ยนซวงนั้นทนทุกข์มามาก พบเจอกับความมืดมนมากเกินไป เธอควรจะพยายามทำให้เจี่ยนซวงมีชีวิตที่ดีขึ้น เธออยากให้เจี่ยนซวงมีชีวิตที่ไม่ถูกขัดขวาง แต่เติบโตอย่างดี แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าการได้อยู่แบบอิสระแบบนี้จะทำให้เจี่ยนซวงกลายเป็นเด็กร้ายๆไปได้

เจี่ยนซวงตอนนี้ก็คือลูกสาวของเหลิ่งเซ่าถิง เชื่อได้มั้ยล่ะ? คนนึงปรากฏให้เห็นทางข่าวเรื่องการเงินเป็นครั้งคราว ส่วนอีกคนก็เป็นเด็กเจ้าเล่ห์อยู่บนเขานี้ ทำไมจะดูเหมือนพ่อลูกกันได้ล่ะ

แต่เจี่ยนซวงนับวันก็ยิ่งเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะดวงตา ได้คนเป็นพ่อมาเป๊ะๆ เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ต้นคอของลูก ก่อนจะถามด้วยเสียงต่ำ : “สร้อยหนูไปไปนแล้วคะ? ทำไมไม่ใส่มันไว้?”

เจี่ยนซวงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ตอนที่หนูลงน้ำไปจับกบทำให้สร้อยมันเปื้อนน่ะค่ะ เลยถอดออก”

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะเอามืออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอก็เปลี่ยนเป็นใบหน้าที่กำลังจะร้องไห้ : “แล้วหนูก็ทำมันหายแล้วค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวเจี่ยนซวงเบาๆด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะพาเจี่ยนซวงหันหลังแล้วออกไปจากสุสานไป เจี่ยนอี๋นั่วขึ้นไปนั่งบนรถยนต์คันหรูของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดกับเขาว่า : “ไปคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเจี่ยนหน่อยนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอจะไปหาใคร? คงไม่มีใครอยู่ที่นั่นแล้วหรอกนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ยังเหลืออยู่คนนึงค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : “อือ เธอขอมาขนาดนี้แล้ว ฉันก็จะไปส่ง”

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถตรงไปยังคฤหาสน์หลังเก่าของตระกูลเจี่ยนทันที เดิมทีที่นี่ถือว่าเป็นคฤหาสน์ของเหล่าคนรวย ตอนนี้มีการรีโนเวทใหม่ จึงได้กลายเป็นพื้นที่ร้างไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเดินลงจากรถก่อน ก่อนจะอุ้มเจี่ยนซวงลงมาด้วย

“ไปกับฉันมั้ยคะ ที่นี่ไม่ค่อยมีคนมากนักหรอก” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็จูงมือเจี่ยนซวงแล้วเดินนำไปทันที

เหลิ่งเซ่าถิงลังเลอยู่ครู่นึงก่อนจะลงรถไป แล้วเดินตามเจี่ยนอี๋นั่วไปช้าๆ พร้อมกับบอดี้การ์ดสองสามคน เมื่อเดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ใต้ต้นมันมีเนินเล็กๆอยู่ เธอพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : “ที่นี่แหละค่ะ ซวงซวงไปเล่นรอบๆก่อนได้นะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองที่แห่งนี้ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “ที่นี่หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามาตอบเหลิ่งเซ่าถิง : “จริงๆคุณควรจะเตรียมสร้อยมาสามเส้นนะคะ เพราะฉันมีลูกสามคน”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เขาก็เข้าใจทันทีว่าที่เป็นที่ฝังสูกคนแรกของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเหม่อไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดออกมา : “ฉันจะส่งสร้อยอีกเส้นมาทีนี่ รวมถึงภูเขาลูกนี้ด้วย จะไม่ให้ใครมายุ่งกับที่นี่”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เรื่องสร้อยน่ะได้ค่ะ แต่ไม่ต้องซื้อเขาลูกนี้หรอกค่ะ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นหรอกค่ะ ถ้าเรามีวาสนาต่อกันเราจะได้เจอเขาอีก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติเถอะค่ะ หากไม่มีวาสนาก็ไม่ต้องเรียกร้องอะไร พื้นที่ทำเลดีแบบนี้ ยังมีหลายๆคนที่ควรมาอาศัยอยู่ค่ะ ไม่ใช่เก็บมันไว้เป็นความทรงจำของเรา”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำของเขา : “ไม่คิดเลยนะว่ามันผ่านมานานกว่าหลายปีแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “นั่นสิคะ วันเวลามันผ่านมานานมากๆแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี้ยนซวงที่เล่นอยู่ท่ามกลางทั่งดอกไม้ ที่กำลังวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงถึงได้พาเจี่ยนซวงกลับลงมาจากเขาลูกนั้นมาถึงหน้ารถของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงชี้ไปที่รถคันหรูอีกคันของเขาก่อนจะพูดว่า : “เธอกับลูกนั่งรถคันนั้นไปได้เลย พอถึงที่หมายแล้ว จะมีคนบอกตัวตนใหม่ให้กับพวกเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “งั้น….เราต้องแยกกันแล้วใช่มั้ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากของตนเองก่อนจะจ้องไปที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ๆ ก่อจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วเจอกันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงแล้วบอกกับลูกสาวตัวเองว่า : “ซวงซวงคะ มาบอกลาคุณลุงคนทำอาหารเก่งๆคนนี้เร็วค่ะ”

เจี่ยนซวงยกมืออ้วนๆของเธอขึ้นมาตีมือกับเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ารักว่า : “ลาก่อนค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือลูกน้อยแน่นขึ้นกว่าเดิม ในตอนที่เธอกำลังจะเตรียมตัวหันกลังเดินออกไป เธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเธอ : “ขอกอดเธอเป็นครั้งสุดท้ายได้มั้ย? ถือว่าเป็นการพบกันของเรา”

เจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งก่อนจะยิ้มให้เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนที่เธอจะยกมือของเธอกอดเหลิ่งเซ่าถิง

“ดูแลตัวเองด้วยนะคะ…….” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา เธอยังคนเหมือนเมื่อก่อนที่เวลาเธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงหัวของเธอนั้นจะซบลงที่หน้าอกของเขาอย่างพอดิบพอดี

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแล้วยกมือของเขาขึ้นมา อยากจะกอดเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เขาลังเลไปสักพักก่อนที่ลดมือของเขาลงเช่นเดิม พร้อมกับพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเรียบว่า : “หวังว่าเธอจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและปลอดภัยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะกัดริมฝีปากของตัวเอง แล้วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะปล่อยเหลิ่งเซ่าถิง แล้วกลับมาจับมือเจี่ยนซวง พร้อมกับหันหลังแล้วเดินออกมา ตอนที่เจี่ยนซวงขึ้นรถไปแล้ว เธอยังโบกมือให้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วตะโกนพูดกับเขาว่า : “คุณลุงคนทำอาหารเก่งคะ ล่าก่อนนะคะ ซวงซวงจะคิดถึงคุณลุง …….แล้วก็อาหารที่คุณลุงทำนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มออกมา ก่อนที่จะก้าวออกมาอีกก้ามอย่างไม่สามารถควบคุมตัวได้ แต่เขาก็ไม่ได้ก้าวต่อ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงนึงถึงอาเหวินน่าตายและเหลิ่งเฉิงเยี่ยนั้น เขาก็ก้าวต่อไปไม่ได้ เขายืนอยู่ที่เดิม แล้วมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงจนลับสายตาไป เหลิ่งเซ่าถิงถึงได้หลับตาแล้วหันหลังเดินกลับไปที่รถ

เมื่อเปิดประตูรถ เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดกับจางหมินพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้นทันทีว่า : “ไปสืบหาลูกนอกสมรสของเหลิ่งเฉิงเซวียนมา ว่าเขารู้เรื่องของอาเหวินกับเหลิ่งเฉิงเยี่ยได้ยังไง? ถึงแม้สิ่งเขารู้มันจะไม่ได้ชัดแจ้งอะไร แสดงให้เห็นว่าคนรอบๆฉันไม่ได้ทรยศฉัน แต่มีคนปล่อยข่าวของฉัน สืบมาให้ละเอียด ตัดไฟตั้งแต่ต้นลม แล้วอย่าให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก กำจัดคนคนนั้นซะ จัดการเขาให้สิ้นซากซะ!”

เมื่อจางหมินได้ยินที่เหลิ่งหมิงอันพูดเขาก็รีบพยักหน้าทันที “ครับ……เข้าใจแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลงแล้วเอนตัวลงไปหาเบาะรถ ก่อนจะยกมือขึ้นมาโบกมือแล้วรถยนต์คันหรูก็ออกรถทันที รถที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่นนั้นแล่นออกมาในทางตรงข้ามกันกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรวดเร็ว เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ได้เลยว่าระยะห่างระหว่างเขากับเจี่ยนอี๋นั่วนั้นยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ

เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงนั่งรถมานานกว่าสามวันสามคืน ในระหว่างนั้นก็เปลี่ยนรถอยู่หลายคัน จนในที่สุดก็ถือจุดหมายปลายทาง เจี่ยนซวงนั่งรถนานจนขารู้สึกอ่อนล้าไปหมด ตอนที่เดินลงจากรถเธอเดินไม่ตรงเอาเสียเลย

แต่เมื่อเธอกลับมาเป็นปกติ เจี่ยนซวงก็เริ่มมองไปรอบๆในที่ที่เธอมาถึง ที่นี่อากาศค่อนข้างร้อน เธอมองไปที่ทุ่งนาที่สุดสายตา และมีคนสองสามคนแบกจอบเดินผ่านมา แล้วพูดภาษาที่เจี่ยนซวงฟังไม่ออก

เจี่ยนซวงจับชายเสื้อเจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหม่า ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “หม่าม้าคะ ……..เราถูกส่งมาอยู่ต่างประเทศหรอคะ?”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่เข้าในภาษาของคนที่เดินผ่านไปเมื่อกี้นี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่านี่เป็นภาษาภษานึงแน่ๆ เหมือนจะเป็นภาษาของทางใต้นะ เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าพร้อมกับยกยิ้ม : “ไม่ใช่ค่ะ ในประเทศเรานี่แหละ แต่ว่าแค่เปลี่ยนสถานที่เฉยๆค่ะ”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินว่าเธอยังอยู่ในประเทศ เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจทันที จากนั้นเจี่ยนซวงก็ถูกทุ่งนาแห่งนี้ดึงดูดความสนใจไปทันที : “หม่าม้าคะ ดูนี่สิคะ มีปลาตัวเล็กด้วยค่ะ ซวงซวงจับสักตัวได้มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะส่ายหน้า : “ไม่ได้ค่ะ ที่นี่เป็นที่นาของคนอื่น”

คนที่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงพูดขึ้นมาทันที : “ที่นี่เป็นที่ของคุณครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปสักพัก ก่อนจะมองไปที่คนที่พูดประโยคเมื่อกี้ พี้อมกับยิ้มขึ้นมาอย่างกลั้นไม่ไหว : “นี่ฉันกลายเป็นชาวนาไปแล้ว ฉันพูดถูกมั้ย”

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งออกจากเรือนจำนั้น เธอเคยพูดกับเหอหลวนเล่อ ว่าเธอควรจะทำอะไรต่อดี เมื่อก่อนเธอเคยอยากทำไร่ทำนา เพื่อให้เจี่ยนซวงได้กินผักที่สดใหม่ ตอนนั้นเธอไม่ได้พูดเล่น เพราะเธออยากใช้ชีวิตแบบชาวนาและอยู่กับเจี่ยนซวงจริงๆ เพราะว่าเธอกับเจี่ยนซวงนั้นพบเจออะไรมากมาย เธอเลยต้องการที่ที่ค่อยข้างเรียบง่ายเพื่อมาช่วยฮีลเธอให้ดีขึ้น เธอไม่คิดเลยจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำให้มันเป็นจริง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มทันทีว่า : “ซวงซวงจับปลาได้ค่ะ แต่อย่าจับใบสีเขียวนี้นะคะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปที่ต้นกล้าในนาก่อนจะขมวดคิ้วอยู่นาน เธอไม่รู้ว่ามันคืออะไร เพราะเธอใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมาเป็นเวลานาน เธอจึงไม่คุ้นเคยกับอุปกรณ์ทำไร่สวนพวกนี้ เธอแค่เห็นว่านี่เป็นทุ่งนาก็เลยพอรู้ว่านี้เป็นนำในนา

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่สักพัก ทำไมถึงนึกชื่อหญ้าสีเขียวนี้ไม่ออกนะ เธอจึงทำได้เพียงหัวเราะแล้วพูดออกมาว่า : “ต้นสีเขียวนี้น่าจะเป็นพืช อย่าไปเหยียบมันนะคะ”

เจี่ยนซวงรีบหยักหน้าทันที เธอเดินไปในทุ่งนาด้วยความระมัดระวังอย่างมีความสุข เพื่อหาร่องรอยของปลาตัวน้อย กุ้งน้อยๆ แต่เธอก็คุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมอย่างช้าๆ ก่อนที่เจี่ยนซวงจะหัวเราะแล้ววิ่งจนล้มลงไปในโคลนก่อนจะสำลักน้ำลายออกมา เธอไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วมาช่วย เธอกฌลุกขึ้นมาจากโคลนด้วยตัวเอง ตอนนี้เธอกลายเป็นเจ้ามนุษย์โคลนไปแล้ว ก่อนที่จะหัวเราะ : “ฮ่าๆ…….” ออกมาอย่างเสียงดัง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงหัวเราะของเจี่ยนซวง เธอก็หัวเราะตามคนเป็นลูก น้อยมากที่เจี่ยนอี๋นั่วจะได้ยินเสียงหัวเราะที่มีความสุขขนาดนี้ของเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงนั้นแสดงท่าทีเป็นเด็กที่รู้เรื่องมาโดยตลอด จนบางทีก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ารู้เรื่องและฉลาดมากเกินไป แต่ตอนนี้เธอรู้อย่างแท้จริงแล้ว ว่าเจี่ยนซวงนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงเด็กคนนึง ที่พบเจอเรื่องเล็กๆน้อยๆก็หัวเราะอย่างมีความสุขออกมาได้แล้ว

และในที่สุดเจี่ยนซวงก็ติดอยู่ในโคลนไม่สามารถเดินออกมาได้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงอุ้มลูกน้อยขึ้นมา เมื่อเจี่ยนซวงเห็นว่าโคลนบนตัวของเธอทำให้เสื้อผ้าของเขี่ยนอี๋นั่วคนเป็นแม่สกปรก เธอก็พูดอย่างลุกลี้ลุกลนทันทีว่า : “หม้าม่าไม่ต้องอุ้มซวงซวงค่ะ ซวงซวงเดินเองได้ ซวงซวงทำเสื้อผ้าหม่าม้าสกปรกหมดแล้ว!”

เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกแน่นอนขึ้นพร้อมกับยกยิ้ม : “ไม่เป็นไรค่ะ หม่าม้าชอบให้ซวงซวงเอาโคลนมาเปื้อนหม่าม้าทั้งตัวเลย”

เมื่อเธอพูดจบก็กดจูบไปที่ใบหน้าของเจี่ยนซวงทันที โดยริมฝีปากของเธอนั้นติดโคลนบนใบหน้าของเจี่ยนซวงมาด้วย เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเช่นนั้น เธอก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมาทันที : “หม่าม้าคะ……หม่าม้าตลกมากเลยค่ะ……..”

เจี่ยนอี๋นั่วหอมแก้มลูกอีกครั้งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้ายังตลกได้มากกว่านี้อีกนะคะ”

เจี่ยนซวงเห็นโคลนที่ติดอยู่บนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วเพิ่มเธอก็หัวเราะเสียงดังขึ้นอีก คนเป็นที่ดึงดูดของเหล่าชาวนาให้มองมาทางเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงมาจนถึงอาคารสองชั้นธรรมดาหลังหนึ่ง และมันเป็ยบ้านสองชั้นที่ไม่ได้แตกต่างไปจากบ้านหลังอื่นๆของคนในระแวกนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงไปในสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นเลี้ยงกระต่ายและไก่ไว้อยู่ไม่น้อย เจี่ยนซวงอยากลงไปดู เจี่ยนอี๋นั่วเลยวางเจี่ยนซวงลง ตอนที่เจี่ยนซวงวิ่งไปอยู่ข้างหลังไก่เหล่านั้น คนที่มาส่งเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงก็เอาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านขึ้นมาให้เจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดกับเธอว่า : “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณคือมู่หวันถิง และลูกสาวของคุณชื่อลั่วเหยียนเหยียนนะครับ คุณคือแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่เก็บเงินเพื่อมาทำเกษตรกรรมที่นี่ แล้วก็ยังมีอย่างอื่นที่เกี่ยวข้องอีก แล้วผมจะเอามาส่งให้คุณนะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วรับเอาบัตรประชาชนมาแล้วมองชื่อนั้น ก่อนจะค่อยๆยิ้มขึ้นมา

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงได้หายตัวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันทีและพูดด้วยเสียงหนักแน่น "เจี่ยนซวง หนูพูดแบบนี้ไม่ได้ ไม่ว่าเขาจะชอบหรือไม่ชอบหม่าม้า เขาก็ดีกับซวงซวง หนูลืมไปแล้วหรือ เขายังทำอาหารให้กับหนู ไม่ใช่ว่าซวงซวงชอบมากหรือไง? และพ่อของหนูเขาเป็นคนดี เขารักหนูมาก แค่เพียงไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกันเท่านั้น"

เจี่ยนซวงเช็ดน้ำตาและกล่าว "ซวงซวงไม่เชื่อว่าป่ะป๊ารักซวงซวง ถ้ารักซวงซวงจริง ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับซวงซวง? ทำไมไม่มาหาซวงซวงบ้าง? หม่าม้า หม่าม้ากำลังโกหกซวงซวง"

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปเช็ดน้ำตาให้กับซวงซวงและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลง "หม่าม้าไม่ได้โกหกหนู มีหลายครั้งเวลาที่ผู้ใหญ่เขาพบเจอปัญหาแต่เขาไม่สามารถพูดออกมาได้ ซวงซวงอาจไม่คุ้ยเคยกับพ่อ แต่หม่าม้ารู้ เขารักซวงซวงมากอย่างแน่นอน"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอยกมือขึ้นและสัมผัสสร้อยคอของเจี่ยนซวงพร้อมกับกล่าว "คุณลุงเชฟของหนูก็รักหนูมาก ดูสร้อยนี่สิสวยมากเลย"

เจี่ยนซวงขยี้ตาและร้องไห้ "ซวงซวงไม่ได้อยากได้สร้อยคอสวยๆ ซวงซวงอยากมีป่ะป๊า! เขาโกหก!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว "แต่เขามอบของขวัญให้กับซวงซซง หรือว่าซวงซวงไม่เคยโกหกหม่าม้าเลย?"

เจี่ยนซวงสูดจมูกของเธอจากนั้นเธอก็ชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเสียงเบา "หนู…หนู…เอ่อ บางครั้งก็โกหก..แต่ที่ผ่านมาไม่แล้ว..ซวงซวงรู้ว่าพูดโกหกเป็นเด็กไม่ดี!"

"คนเรานั้นเลี่ยงไม่ได้ที่จะโกหกและอาจทำไม่ได้จริงตามคำสัญญา บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนหรอกที่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตลอดชีวิตเขาไม่เคยพูดโกหก พูดคำสัญญาออกมาแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จ หม่าม้าเองก็ยากที่จะทำได้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะเป็นคนเลว ในความเป็นจริงคำโกหกบางอย่างก็มีประโยชน์เช่นกัน คนเรา แค่เพียงไม่พูดโกหกและไม่จงใจโกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน เท่านั้นก็ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวถึงศีลธรรมของเขาจนมากเกินไป"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบศีรษะของเจี่ยนซวงเบาๆ เธอกล่าว "ถ้าหากว่าคนอื่นบอกว่าจะมาเป็นคุณพ่อของซวงซวง แต่สุดท้ายเขาก็ผิดคำพูด ซวงซวงจะไม่โกรธใช่ไหม?"

เจี่ยนซวงคิด จากนั้นเธอพยักหน้า "อื้อ ใช่"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว "ดังนั้นหนูไม่โกรธที่คำสัญญาของเขาไม่เป็นจริง แต่โกรธที่เขาไม่สามารถมาเป็นพ่อของหนูใช่หรือเปล่า?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าสุดแรง เธอร้องและกล่าว "ซวงซวงชอบเขา อยากให้เขามาเป็นพ่อ เขาหล่อแถมยังทำอาหารเก่งแล้วก็ยังสูงมากอีกด้วย เขาจะช่วยให้หม่าม้าจะชนะคนไม่ดีได้อย่างแน่นอน!"

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ "ซวงซวง บางทีเรื่องราวต่างๆนั้นไม่สามารถไปตามความนึกคิดของหนูได้เสมอไป ในตอนนี้ควรเข้าใจในเรื่องของการปล่อยวาง มองสิ่งที่หนูมีอยู่ตอนนี้ อย่าไปมองว่าหนูนั้นสูญเสียอะไรไป หนูลองดูสิ ตอนนี้หนูมีสร้อยที่สวยๆอยู่แล้วแต่ยังได้ทานอาหารอร่อยๆด้วย หนูไม่ดีใจเหรอ?"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว เธอคิดอย่างจริงจังจากนั้นเธอพยักหน้าและยิ้มเล็กน้อย "ดีใจ"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงการทำอาหารที่ดังอยู่ด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วจึงยิ้มและจูบหน้าผากของเจี่ยนซวงเบาๆ เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า "ซวงซวงอาจจะมีอาหารเช้ามากมายให้ได้ทานในเช้านี้"

ดวงตาของเจี่ยนซวงนั้นเป็นประกายสดใสในทันที "จริงเหรอ มีอะไรบ้าง?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหน้า "หม่าม้าไม่รู้หรอก อาจจะเป็นยอดเชฟของหนูทำอาหาร"

เจี่ยนซวงเม้มของเธอทันที เธอก้มศีรษะลงและกระซิบเบาๆ "คือเขา…"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูด "หรือเพราะว่าเขาเป็นป่ะป๊าให้ซวงซวงไม่ได้ หนูก็เลยไม่ชอบเขางั้นหรือ? แต่เขานั้นไม่ได้หยุดทำอาหารให้กับซวงซวงเพราะว่าซวงซวงไม่ใช่ลูกสาวของเขานะ?"

เจี่ยนซวงกระพริบตาและนั่งลงบนเตียง เธอคิดสักครู่หนึ่งจากนั้นก็เม้มริมฝีปากและกล่าว "ซวงซวงยังคงชอบคุณลุงยอดเชฟอยู่ แต่คุณลุงยอดเชฟต้องมาขอโทษ! บอกขอโทษซวงซวง ซวงซวงถึงจะให้อภัยเขา!"

เจี่ยนอี๋นั่วจับมือเจี่ยนซวงแล้วเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังจัดวางอาหารบนโต๊ะ เธอยิ้มและพูดว่า "ฉันพูดกับซวงซวงแล้ว เรื่องที่คุณไม่อาจเป็นคุณพ่อให้เธอได้ เธอเศร้าเสียใจ คิดว่าคุณนั้นไม่รักษาคำพูด คุณอาจจะต้องขอโทษเธอ"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังเจี่ยนซวง ทันใดนั้นเขาก็เดินมาข้างกายของเจี่ยนซวงอย่างรวดเร็วพร้อมกับคุกเข่าลงต่อหน้าเธอ สายตาของเหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนซวงเหมือนดั่งปกติจากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น "ขอโทษ ขอโทษจริงๆ"

เจี่ยนซวงยังคงเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นเธอก็ค่อยๆคลายริมฝีปากของเธอและค่อยๆยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิง "ในเมื่อคุณลุงขอโทษแล้ว งั้นซวงซวงจะยกโทษให้! ซวงซวงตัดสินใจแล้วว่าจะยังชอบคุณลุงต่อ เป็นเพราะว่าซวงซวงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย!"

เมื่อเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็ได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอเลียริมฝีปากของเธอทันที เธอดึงชายเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่ว "หม่าม้า…หม่าม้า… ซวงซวงกินข้าวได้หรือยัง?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาถาม "ผมป้อนเธอได้หรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองเจี่ยนซวง "คุณควรถามเธอ"

เจี่ยนซวงมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับพยักหน้าอย่างภาคภูมิใจ "ซวงซวงอนุญาตให้คุณลุงป้อน"

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆและอุ้มเจี่ยนซวงไปนั่งบนเก้าอี้ เหลิ่งเซ่าถิงเติมโจ๊กใส่ถ้วยและป้อนให้กับเจี่ยนซวง ในครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีความชำนาญมากกว่าเมื่อคืน เมื่อป้อนโจ๊กหมดถ้วยแล้ว ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงจะยื่นมือเล็กๆออกมาและชี้ไปยังอาหารอีกถ้วยนึง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงวางถ้วยลงบนโต๊ะอาหารและกล่าวว่า "ไม่สามารถกินได้แล้ว"

เจี่ยนซวงย่นจมูกของเธอและหันศีรษะไปมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสีหน้าที่ขื่นขม เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ส่ายหน้าเช่นกัน "ซวงซวงกินเยอะแล้ว"

เจี่ยนซวงจึงก้มหน้าลงจากนั้นเธอก็ส่งสายตามองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง "คุณลุงสุดยอดเชฟ คุณลุงอยู่กับซวงซวงอีกสักสองสามวันได้ไหม? ซวงซวงยังอยากกินอาหารอร่อยๆจากคุณลุง"

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยิ้มและกล่าวเบาๆ "วันนี้ซวงซวงจะต้องไปกับหม่าม้าแล้ว"

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินแบบนั้น เธอก็หันหน้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วทันที เธอขมวดคิ้วและถาม "หม่าม้า ซวงซวงจะต้องไปกับหม่าม้า แล้วเราจะต้องไปที่ไหนกัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วชำเลืองมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มและก้มศีรษะลงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล่าว "ไปยังสถานที่ที่ซวงซวงสามารถเติบโตได้อย่างมีความสุข"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ เธอยิ้มและพูดกับซวงซวงว่า "ใช่แล้ว ซวงซวง เราต้องไปบอกลาคุณแม่เล่อเล่อ"

"โทรศัพท์ไปเถอะ ตอนจากลาอย่าพบหน้ากันเลย" เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออกในทันที เมื่อปลายสายรับสาย เสียงของเหอหลวนเล่อก็ตะโกนอย่างร้อนใจ "อี๋นั่ว เธอกับซวงซวงไปไหนกัน? สองสามวันนี้ฉันไปหาเธอตลอด พวกเธอเป็นอะไรกันหรือเปล่า? ไม่มีข่าวคราวอะไรบอกกันเลย!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูด "ไม่มีอะไร แค่อยากจะย้ายที่อยู่ใหม่ ช่วงนี้กำลังหาที่ที่น่าสนใจและเหมาะสมอยู่ ช่วงนี้ยุ่งมากก็เลยลืมติดต่อเธอไป"

"หา? จะย้ายไปไหน?" เหอหลวนเล่อรีบถาม "ฉันจะไปส่งเธอ.."

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหน้า "หลวนเล่อ เกรงว่าเธออาจจะไม่ได้ไปส่งฉันแล้ว ฉันอาจจะไม่ใช่เพื่อนที่แสนดีนัก ในช่วงนี้ฉันเองก็รบกวนเธอมากแล้ว"

เหอหลวนเล่อนิ่งงันไปชั่วขณะ เธอลดเสียงลงและกล่าว "ที่จู่ๆเธอย้ายไปแบบนี้ เป็นเพราะเรื่องของตระกูลเหลิ่งใช่ไหม?"

หลังจากผ่านไปหลายปี ระดับน้ำเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเหอหลวนเล่อเองก็ไม่ใช่เด็กสาวตัวน้อยที่จะถูกใช้ง่ายๆและไม่เข้าใจเรื่องราวอะไรอีกต่อไป เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่ได้ตอบคำถามของเหอหลวนเล่อ เธอเพียงแต่กล่าวเบาๆ "หลวนเล่อ เป็นเพื่อนกันต่อไปนะ บางทีฉันอาจจะลากเธอลงมาเหนื่อยบ้าง มาเร็ว ซวงซวง มาบอกลาคุณแม่เล่อเล่อ…"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ เธอก็วางโทรศัพท์แนบกับหูของเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงรับโทรศัพท์และเอาโทรศัพท์แนบกับริมฝีปากทันที เธอร้องไห้และตะโกน "คุณแม่เล่อเล่อ ซวงซวงจะจดจำคุณตลอดไป"

เหอหลวนเล่อได้ยินปลายสายมีเสียงร้องไห้ดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วจึงรีบเอาโทรศัพท์กลับคืน เธอยิ้มและกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน "หลวนเล่อ หวังว่าเธอจะมีความสุขมากๆนะ แล้วก็…ลาก่อน.."

เมื่อกล่าวจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ตัดสายในทันที ดวงตาของเจี่ยนซวงนั้นแดงก่ำและจ้องมองอี๋นั่ว "หม่าม้า คุณแม่เล่อเล่อ ซวงซวงจะไม่ได้พบหน้าคุณแม่เล่อเล่ออีกแล้วใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหน้า "ไม่เสมอไป บางทีอาจมีโอกาสได้พบเจอกัน ต่อให้ไม่เจอหน้าก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ซวงซวงเก็บคุณแม่เล่อเล่อเอาไว้ในหัวใจก็เหมือนกับว่าหนูได้มองเห็นคุณแม่เล่อเล่อเช่นกัน"

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเช่นนั้น เธอก็พยักหน้าและจับหน้าอกของเธอ "อื้ม ซวงซวงจะจดจำคุณแม่เล่อเล่อได้แน่นอน"

เจี่ยนอี๋นั่วลูบศีรษะของเจี่ยนซวงอย่างเบามือ จากนั้นก็หันศีรษะกลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มและถาม "พวกเราไปในที่ที่คนพลุกพล่านมากไม่ได้ งั้นเราไปสุสานได้หรือเปล่า? ฉันอยากพบพ่อกับแม่"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ได้ ผมจะไปส่งคุณ"

เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นเห็น เหลิ่งเซ่าถิงจึงไม่ได้มาอยู่ข้างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วนั้นจับมือเจี่ยนซวงและเดินไปยังสุสาน เมื่อเดินเข้าไปในสุสาน ฝนก็เริ่มตกลงมา เจี่ยนซวงไม่เคยมาที่สุสาน เธอมองไปรอบๆและถามอย่างสงสัย "หม่าม้า ที่นี่คือที่ไหน? ทำไมมีหินก้อนใหญ่?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว "เนื่องจากคนในครอบครัวอื่นต่างก็หลับใหลกันอยู่ที่นี่ด้วยก็เลยมีแผ่นหินสลักชื่อและยังมีรูปภาพของคนในครอบครัวนั้นๆ"

"งั้น..งั้นที่นี่ก็คือที่ฝังศพคนตายเหรอ?" เมื่อเจี่ยนซวงกล่าวเช่นนี้ เธอก็รีบเข้าใกล้อแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เธอมองไปรอบๆสุสานอย่างประหม่า

เจี่ยนซวงดึงมุมชายเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่วและรีบพูด "หม่าม้า…หม่าม้ารีบพาซวงซวงไปเถอะ ซวงซวงไม่อยากเห็นคนตาย"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า "แต่ว่าตากับยายของซวงซวงก็อยู่ที่นี่ พวกเขากำลังรอให้หม่าม้าและซวงซวงไปเยี่ยมเขา"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว "คุณตา? คุณตากับคุณยายของซวงซวง? นั่นคือ..ป่ะป๊ากับหม่าม้าของหม่าม้าใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า "ใช่ พวกเขาไม่เคยเจอซวงซวงเลย ดังนั้นซวงซวงอย่ากลัวพวกเขา ที่นี่เป็นที่อยู่ของพวกเขา พวกเขาจะปกป้องซวงซวง"

ซวงซวงถอนหายใจด้วยความโล่งอก "งั้นซวงซวงไม่กลัวพวกเขาแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปยังหลุมฝังศพทั้งสองที่อยู่ด้านหน้า เธอยิ้มและมองเจี่ยนซวง "ซวงซวง ที่นี่"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและมองหลุมฝังศพทั้งสองและกล่าวเบาๆ "นี่คือคุณตา คุณยาย? แต่นี่คือก้อนหินใหญ่สองก้อน"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูด "คุณตาและคุณยายถูกฝังอยู่ด้านล่าง"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว มองไปที่หลุมฝังศพทั้งสองอย่างสงสัยและกล่าวเบาๆ "คุณตา คุณยาย หนูคือซวงซวง ซวงซวงเป็นเด็กดีมาก เชื่อฟังคุณหม่าม้าแล้วก็ยังฉลาดมากด้วย พวกคุณไม่ต้องปกป้องซวงซวง พวกคุณปกป้องหม่าม้า"

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในความมืดเป็นเวลานานจนกระทั่งมีแสงสว่างกระทบเข้ามา เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้ยินเสียงเปิดประตู เมื่อเธอได้ยินเสียงผลักประตูเข้ามา เธอลุกขึ้นและจ้องมองไปยังประตูในทันที

แม้ว่าโครงร่างของเหลิ่งเซ่าถิงจะคลุมเครืออยู่ในความมืดมิด แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถรับรู้ได้ในทันทีว่าคนที่เข้ามาคือเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วถามในทันทีว่า "เซ่าถิง คุณกลับมาแล้วเหรอ?"

ร่างของเหลิ่งเซ่าถิงหยุดลงชั่วขณะ จากนั้นเขาก็เปิดไฟ เมื่อไฟสว่างขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะหรี่สายตาของเขา ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าแสงนั้นซีดขาวจนน่ากลัว เมื่อแสงไฟตกกระทบลงบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว แสงไฟนั้นไม่ต่างจากแสงที่ตกกระทบลงบนผิวหนังที่แตกสลายของอาเหวิน

เหลิ่งเซ่าถิงก้าวเท้าถอยหลังทันทีและถามด้วยความตื่นตระหนก "คุณ คุณมองผมออกได้อย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่เคยเห็นเหลิ่งเซ่าถิงดูตื่นตระหนกขนาดนี้มาก่อน ในขณะที่เธอรินน้ำอุ่นใส่แก้วให้กับเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็พลางยิ้มและถาม "ทำไมฉันจะมองคุณไม่ออก?"

เหลิ่งเซ่าถิงรับแก้วน้ำอุ่นไปจากนั้นเขาก็ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างช้าๆ สติของเขานั้นยังคงเลอะเลือน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามเขา "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า? ไปเจอเรื่องอะไรมา?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถทายได้เลยว่าในตอนนี้ยังมีอะไรอีกที่สามารถทำให้เหลิ่งเซ่าถิงมีท่าทีตกใจกลัวได้มากถึงเพียงนี้

เหลิ่งเซ่าถิงกุมขมับของเขา เขาถือแก้วน้ำ เขาค่อยๆเดินไปยังโซฟาอย่างเหนื่อยล้า เหลิ่งเซ่าถิงนั้นเป็นดั่งภูเขาน้ำแข็งที่เยือกเย็นและหยิ่งผยอง แต่ตอนนี้ดูเหมือนใบไม้ที่เหี่ยวเฉาที่กำลังจะร่วงหล่นในปลายฤดูใบไม้ร่วง

"เกิดอะไรขึ้น?" เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามอีกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงจับแก้วไว้แน่นและหลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขากล่าว "คุณบอกว่าคุณเปลี่ยนไปแล้ว ผมเองก็เช่นกัน ในตอนแรกจริงๆแล้วผมตั้งใจทำเพื่อปกป้องคุณและเจี่ยนซวง ผมคิดที่จะไม่ติดต่อกับพวกคุณอีก ยินยอมให้คุณเข้าคุก ในตอนนั้นผมรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ผมรู้สึกว่าคุณเสียสละเพื่อผม แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ผมก็เริ่มคุ้นชิน ตำแหน่งในวันนี้ของผม มีคนมากมายเช่นกันที่ยอมเสียสละเพื่อผม เจี่ยนอี๋นั่วคุณไม่ใช่คนพิเศษที่สุด ตอนนี้ผู้หญิงที่เต็มใจที่จะติดคุกเพื่อผม ยอมคลอดลูกให้กับผม แค่เพียงผมกวักมือเรียกทุกคนก็พร้อมที่จะเข้ามาอย่างมากมาย"

การแสดงออกบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เปลี่ยนไปเลย แต่นิ้วมือของเธอสั่นอย่างสั่นเทา เธอจึงรีบซ่อนเอาไว้ด้านหลังของเธอจากนั้นเธอกล่าว "เป็นแบบนี้เองเหรอ? เรื่องนี้ฉันเองก็รู้อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ยินคุณพูดออกมาด้วยตัวเอง"

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเม้มริมฝีปากแน่นและจากก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น "ผมเองก็ไม่คาดคิดว่าจะสามารถบอกความคิดที่แท้จริงของตัวเองออกมาเหมือนกัน จริงๆแล้วผมเองก็เป็นคนตระกูลเหลิ่งและไม่ได้ต่างจากคนในตระกูลเหลิ่งคนอื่นเลย ตอนที่ผมยังไม่ได้อำนาจที่แท้จริง ผมก็ไม่รู้เลยว่ามันจะรู้สึกดีได้ขนาดนี้ เหมือนกับว่าผมเป็นจักรพรรดิ สามารถบงการและจัดการชีวิตของคนอื่นได้ ความสุขความทุกข์ของผู้คนมากมายอยู่ในการควบคุมของผม ความรู้สึกนี้ดีกว่าความรู้สึกที่คุณคอยอยู่เคียงข้างผมเสียอีก ตอนนี้ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตอนนั้นถึงตกหลุมรักคุณได้ บางทีตอนนั้นอาจจะเป็นช่วงวัยรุ่น มันก็เลยง่ายที่จะถูกควบคุมโดยแรงกระตุ้นของผู้ชาย"

"แรงกระตุ้นของผู้ชาย?สำหรับคุณแล้วฉันนั้นเป็นแรงกระตุ้นของเพศคุณงั้นเหรอ?" เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนี้ เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง

หลายปีก่อน เจี่ยนอี๋นั่วสามารถเดาได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เพียงแค่มองไปที่เขา จากนั้นก็ร่วมมือและพูดคุยกับเหลิ่งเซ่าถิง ต่อให้เธอต้องเข้าคุก เธอก็ไม่มีแม้แต่ความลังเล

แต่ตอนนี้เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจังและพยายามจ้องมองเขา แต่ก็ไม่สามารถบอกร่องรอยของความคิดที่แท้จริงของเหลิ่งเซ่าถิงได้เลย เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นกำลังพูดความจริงหรือว่าเวลาทำให้เธอสูญเสียความสามารถในการมองทะลุหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิงไป ไม่ว่าความเป็นไปได้จะเป็นแบบไหน ทั้งหมดเจี่ยนอี๋นั่วต่างก็รู้สึกได้ เธอและเหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนตอนเริ่มต้นจริงๆ

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้ม "นอกจากแรงกระตุ้นแล้วก็ยังมีความรับผิดชอบเล็กน้อยด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นเทา เธอสูดลมหายใจเข้าและกล่าว "งั้นในตอนนี้คุณต้องการจะสื่ออะไรกับฉัน?"

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเย็นชา "การมีอยู่ของคุณนั้น เป็นเรื่องที่ยากลำบากต่อผม ผมไม่อยากเสียผลประโยชน์ของผมเพื่อคุณ แต่สถานะของคุณจะทำให้คุณตกอยู่ในอันตราย ผมคิดว่าถ้าวันใดวันหนึ่งมีคนเอาคุณมาขู่ผม ผมอาจตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก แต่ในที่สุดผมเองก็ยังคงเลือกที่จะปล่อยคุณไป แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด ผมไม่ชอบรู้สึกผิดต่อคนอื่นดังนั้นจึงเป็นการดีกว่าที่คุณจะไปจากผมให้เร็วที่สุด ผมกับคุณได้พบกันและคุณได้ให้กำเนิดลูกสองคนแก่ผม ผมจะปฏิบัติต่อคุณด้วยความนิ่งนอนใจไม่ได้หรอก ดังนั้นผมจะยอมให้คุณ…"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้เขาก็หยุดชะงักเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าวกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม "ผมอนุญาติให้คุณไปรักไปชอบพอกับผู้ชายคนอื่นได้และแต่งงานกับเขาได้ ตราบใดที่เขาไม่ได้เป็นผู้ชายที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่ง ผมก็จะไม่เข้าไปยุ่ง หากคุณพบผู้ชายที่คุณสามารถตกหลุมรักได้อีกครั้งก็ให้อยู่กับผู้ชายคนนั้น แต่ผมคิดว่าคุณเป็นผู้หญิงฉลาด คุณไม่ควรตกหลุมรักผู้ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งอีกครั้งหรอกใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ "เรื่องนี้ คุณไม่ต้องกังวล ฉันไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายจากตระกูลเหลิ่งอีกแน่นอนและฉันเคยเดทกับผู้ชายคนอื่นมาก่อน คุณเองก็น่าจะรู้ ผู้ชายที่ชื่อซวีอี้เฟย ฉันกับเขาก็รู้สึกดีต่อกันไม่น้อย ถ้าหากไม่ใช่ว่ามาเจอกับเหลิ่งหมิงอัน ฉันกับเขาอาจจะได้คบกันแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาแล้วยิ้มและพูดว่า "ชายคนนั้น ผมรู้ แต่ในอนาคตอย่าตามหาผู้ชายประเภทนี้ มันเหมือนกับคุณกำลังตามหาลูกสาว หาให้ดีกว่านี้หน่อย เมื่อสถานการณ์โอเคขึ้น ผมจะมอบเงินก้อนใหญ่ให้กับคุณ คุณจะได้รับเงินและความปลอดภัยตลอดชีวิต"

"เงินไม่ต้องหรอก ขอเพียงแค่ความปลอดภัย" เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว

เมื่อเซ่าถิงได้ยินเช่นนั้น นิ้วมือของเขาก็อดไม่ได้ที่จะสั่นเทาจากนั้นเขาก็กล่าวว่า "อืม ความปลอดภัยสำคัญที่สุด.."

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกขึ้นในทันทีจากนั้นเขาก็กล่าวกับเจี่ยนอี่นั่ว "โอเค ทุกอย่างก็พูดกันเข้าใจแล้ว เราก็ไม่น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้วใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลง เธอยิ้มและกล่าว "เหมือนว่าจะไม่มีแล้ว คุณล่ะ? จะแต่งงานใหม่หรือเปล่า?"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าว "ในฐานะประธานบริษัท ผมจะไม่มีภรรยาได้อย่างไร? ผมเองก็เริ่มมองหาภรรยาที่เหมาะสมแล้ว สำหรับผมผู้หญิงอย่างกู้เค่อหยิงนั้นเหมาะสมที่สุด แต่ก็น่าเสียดายที่เธอโลภจนเกินไป"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น เธอมองเหลิ่งเซ่าถิง เวลาผ่านไปไม่นานนัก เธอก็ยิ้มอีกครั้ง "งั้นขอให้คุณโชคดี"

เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดด้วยรอยยิ้ม "งั้นคุณก็รีบพักผ่อนเถอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาช้าๆและถามด้วยเสียงเบา "ไม่ใช่ว่าเวลาเหลืออีกสองวันเหรอ? พรุ่งนี้..ไม่ใช่ว่าพรุ่งนี้พาซวงซวงไปสวนสนุกเหรอ? พวกเราไม่เคยพาเธอไปสวนสนุกเลย…"

"ไม่ได้.." เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยความหนักแน่น "มันไม่มีความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกล่าว "ฉันกับซวงซวงปลอมตัวไปก็ได้.."

เซ่าถิงขมวดคิ้ว เขามองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างเย็นชา "ผมบอกแล้วมันไม่ปลอดภัยสำหรับผม ตอนนี้ผมไม่ควรที่จะออกไปไหนมาไหน สถานที่ที่เสียงดังและคนมากมาย บอดี้การ์ดไม่สามารถรักษาความปลอดภัยให้ผมได้อย่างเต็มร้อย"

"อา … " เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างขมขื่น "ที่แท้ก็เพราะแบบนี้"

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากแน่น เขากล่าวเบาๆ "พรุ่งนี้ก็อยู่ที่นี่ต่อไป เมื่อถึงช่วงเวลาเย็นแล้วผมจะวางแผนให้คุณออกไปจากที่นี่"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ เธอยิ้มและกล่าว "งั้นฉันขอตัวไปพักผ่อนแล้ว"

เหลิ่งเว่าถิงพยักหน้า "ไปเถอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วเดินผ่านเหลิ่งเซ่าถิง เธอเดินตรงกลับไปที่ห้องนอนของเธอ เธอเอนกายลงบนเตียงนอน เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงที่กำลังนอนหลับอย่างสะลึมสะลือก็กอดเจี่ยนอี๋นั่วกลับ ภายในความฝันเธอค่อยๆพึมพำว่า "หม่าม้า ซวงซวงมีคุณพ่อเป็นยอดเชฟแล้ว…"

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงไว้แน่นและตอบรับเธอเบาๆ "อืม"

เหลิ่งเซ่าถิงยังยืนอยู่ตรงนั้นเช่นเคย เขามองไปยังห้องนอนของเจี่ยนอี๋นั่วที่ได้ปิดประตูลงไปแล้ว เขาพิงผนังอย่างอ่อนแรงแล้วหยิบบุหรี่ออกมา แต่เนื่องจากมือสั่นมากเขาจึงไม่สามารถที่จะจุดบุหรี่ได้ เขาขมวดคิ้วมองไปที่บุหรี่ที่ยังไม่สามารถจุดได้จากนั้นเขาก็หัวเราะเยาะตัวเอง เขาพึมพำกับตัวเองว่า "ดูแล้วสำหรับตระกูลเหลิ่ง ความเหงาตลอดชีวิตคือจุดจบที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะทำเพื่อตัวเองหรือเพื่อคนอื่น มันคือตอนจบที่ดีที่สุด"

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหันกลับมาและเดินกลับไปที่ห้องนอนของเขา เขาล้มตัวลงนอนบนเตียง เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสเตียงที่เขาและเจี่ยนอี๋นั่วเคยนอนด้วยกัน เขาหัวเราะเบาๆ "อี๋นั่ว ลาก่อน"

วันถัดมา เมื่อเจี่ยนซวงตื่นขึ้น เธอพลิกตัวกลับมาและเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังนอนกอดเธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เมื่อเจี่ยนซวงค่อยๆขยับตัว เจี่ยนอี๋นั่วก็ลืมตาขึ้น เธอยิ้มและกล่าวกับเจี่ยนซวงว่า "เป็นอะไรไป ตื่นแล้วหรือ?"

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้า "ใช่ ซวงซวงหิวแล้ว อยากให้คุณลุงเชฟทำอาหารให้"

เมื่อเจี่ยนซวงกล่าวเช่นนี้ เธอก็ล้มตัวลงนอนในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มและกล่าว "หม่าม้าเองก็ต้องพยายามเข้า ซวงซวงรู้สึกว่าคุณลุงยอดเชฟนั้นดีมาก ดีกว่าคุณหมองี่เง่าและคุณลุงตั้งมากมาย หม่าม้า สู้ สู้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวของเจี่ยนซวง เธอยิ้มพร้อมกับบอกว่า "สู้ไปก็เปล่าประโยชน์ เขาไม่ชอบหม่าม้า ไม่สามารถคบกับหม่าม้าได้หรอก"

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากขมวดคิ้วและพูดว่า "จะไม่ชอบหม่าม้าได้อย่างไร? หม่าม้าของซวงซวงนั้นดีมาก เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีคนไม่ชอบหม่าม้าของซวงซวง ไม่ชอบซวงซวงด้วยเหมือนกัน! มีบางครั้งซวงซวงไม่เชื่อฟัง หึ! ยังมีหน้ามาบอกให้ซวงซวงเป็นเด็กดีและเชื่อฟังอีกแล้วก็บอกว่าจะมาเป็นป่ะป๊าให้ซวงซวง ที่แท้ก็โกหก คนโกหก!"

แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่สามารถคบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้แล้ว แต่ก็ไม่อยากได้ยินว่าเจี่ยนซวงกล่าวเช่นนี้ถึงเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วจึงรีบเปลี่ยนสีหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "เจี่ยนซวง หนูอย่าพูดแบบนี้!"

ทันทีที่เจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วเรียกชื่อเต็มของเธอ เธอก็ตกใจจากนั้นก็ร้องไห้ออกมา "ทำไมหม่าม้าดุซวงซวง? ก็คุณลุงคนนั้นพูดแล้วไม่ทำตามคำพูด ซวงซวงไม่ต้องการพ่ออีกแล้ว พ่อไม่ใช่คนดี!"

เมื่อกล่าวเช่นนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ตอนที่เธอกำลังเรียนรู้การถักทอไหมพรม นอกจากความคิดที่จะถักเสื้อผ้าและรองเท้าให้เจี่ยนซวงแล้ว เธอเองก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอจะถักอะไรให้กับเหลิ่งเซ่าถิง

เสื้อกันหนาว? หรือผ้าพันคอ?

แต่ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากพูดคำเหล่านี้ออกมา หากว่าพูดออกมาแล้วอาจทำให้เพิ่มความลำบากใจให้กับเหลิ่งเซ่าถิงและเพิ่มความลำบากใจให้กับเธอด้วย พวกเขายังไม่รู้ว่าในอนาคตจะต้องเจอกับอะไร ทำไมจะต้องสร้างเรื่องราวความไม่ชัดเจนอีก?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนี้และกล่าว "เหลิ่งเซ่าถิง ครั้งนี้หลังจากที่จากกันไปแล้ว พวกเรายังมีโอกาสได้เจอกันอีกหรือเปล่า?"

เหลิ่งเซ่าถิงนิ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นเขามองเจี่ยนอี๋นั่ว "คุณยังอยากให้เราเจอกันอีกเหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองเหลิ่งเซ่าถิง เวลาผ่านไปชั่วครู่ เธอส่ายหน้าเบาๆ "ฉันอยากจะเริ่มใหม่อีกครั้ง บางทีฉันอาจจะตกหลุมรักผู้ชายคนอื่นและบางทีฉันอาจจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่น ก่อนหน้านี้ฉันให้เยี่ยหมิงจูบอกคุณแล้ว แต่ตตอนี้ฉันอยากบอกกับคุณเอง ฉัน.."

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นหัวใจของเธอก็เจ็บปวด หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เธอก็กล่าวเบาๆ "ฉันอยากเลิกกับคุณ เหลิ่งเซ่าถิง ฉันอยู่กับคุณและฉันไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการได้ ความรู้สึกของฉันที่มีต่อคุณ มันไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนฉันให้รอคุณได้อีกต่อไป ขอโทษด้วย ฉันไม่ได้เข้มแข็งแบบที่คุณคิด ความรักของฉันนั้นไม่เพียงพอ"

เหลิ่งเซ่าถิงถอยหลังเล็กน้อยและซ่อนตัวในความมืด เขากำมือไว้แน่นและกำก้นบุหรี่ที่ไฟยังไม่มอดดับไว้ในฝ่ามือ แต่เหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่น้อย เขาถามด้วยเสียงที่เครือ "ถ้าหาก..ถ้าหากว่าผมสามารถจัดการเรื่องราวทุกอย่างได้ในเร็วๆนี้และทำให้คุณมีความปลอดภัยมากกว่านี้ล่ะ?"

"จากนั้นเมื่อเจอเรื่องราวอันตราย คุณก็จะผลักไสฉันออกไปงั้นเหรอ? และ…"

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ "ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดกับเยี่ยหมิงจูแล้ว ฉันพูดไปแล้วว่าฉันไม่กลัวตาย แต่หลังจากการลักพาตัวของเหลิ่งหมิงอัน ฉันรู้สึกว่าตัวเองคิดผิด ฉันไม่กลัวตาย แต่ฉันกลัวว่าซวงซวงจะโชคร้ายเพราะฉัน ฉันสามารถเลือกที่จะอยู่กับเหลิ่งหมิงอันได้เพราะว่าซวงซวง ทำไมถึงตัดไม่ขาดจากคุณเสียที? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ฉันรักคุณอยู่หรือไม่ เหลิ่งเซ่าถิง เราผ่านอะไรมามากมาย ตอนนี้แค่ฉันได้ยินคำว่า เหลิ่ง ก็สามารถทำให้ฉันเกือบหยุดหหายใจ ตอนนี้ฉันมองคุณ ฉันรู้สึกอ่อนล้าเสียมากกว่า ฉันรู้สึกเจ็บปวดไปกับคุณ เป็นห่วงคุณ แต่บางทีจริงๆแล้วฉันอาจจะไม่ได้รักคุณแล้ว…"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาส่องประกาย "ความรักแค่พูดว่าหมดไปมันก็หมดไปเลยแบบนั้นเหรอ? เราทั้งสองเคยมีช่วงเวลาที่ดี เราทั้งสองเคยมีความสุขด้วยกันภายในห้องนี้"

"นั่นคือเมื่อก่อน" เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว "ตอนนี้ฉันเปลี่ยนไปแล้ว คุณเองก็เปลี่ยนไป คุณยังมองเห็นฉันเป็นเหมือนเมื่อก่อนเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือออกมาและจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นไปสัมผัสหน้าอกของเขา เหลิ่งเซ่าถิงต้องการตัดความสัมพันธ์กับเจี่ยนอี๋นั่วมาโดยตลอด เขาปล่อยให้เจี่ยนอี๋นั่วใช้ชีวิตอย่างสงบสุขและมีความสุข แต่เมื่อเขาได้ยินในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเขาว่าเธออาจจะไม่ได้รักเขาอีกแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สามารถปล่อยวางได้ เขาอยากจะบอกกับเจี่ยนอี๋นั่วว่าเขาก็เหมือนเดิม เขายังคงเหมือนกับเมื่อก่อน ตั้งแต่ที่เขาได้พบเธอ เขาก็อยากจะสัมผัสเธอ จูบเธอและกอดเธอเอาไว้

ในขณะนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเสียใจอย่างกะทันหัน เขาไม่ควรที่จะผลักไสเจี่ยนอี๋นั่วไป แค่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะไปตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น เจี่ยนซวงอาจจะเรียกคนอื่นว่า "พ่อ" ด้วยน้ำเสียงหวานๆ เหลิ่งเซ่าถิงไม่อาจทนได้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คิดจะผลักเจี่ยนอี๋นั่วไปไกลจากเขา เขาเพียงแค่พยายามที่จะปกป้องเธอ หากพวกเขาเสียชีวิตในขณะที่พบเจออันตรายล่ะ? ถ้าเสียชีวิตทั้งครอบครัวแล้วจะทำอย่างไร?

เขาไม่เพียงต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่กับเขาเพียงเท่านั้น เขายังต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วและลูกของเขาอีกคนนั้นมาอยู่ด้วยกัน แม้ว่าอี๋นั่วจะไม่ได้รักเขาแล้วก็ไม่เป็นไร เขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อตามจีบอี๋นั่วอีกครั้ง เขาจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วตกหลุมรักเขาอีกครั้งและกลับมาอยู่ด้วยกัน

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว น้ำเสียงของเขานั้นทุ้มลึก "แน่นอนว่าผมยังคงเป็นเหมือนเดิม…"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้โทรศัพท์มือถือของเขาก็สั่น เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วจากนั้นเขาก็รับสายโทรศัพท์ ปลายสายคือเสียงของจางหมิน "ประธานเหลิ่ง อาเหวินและเด็กคนนั้นเกิดอุบัติเหตุ"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว "เกิดอะไรขึ้น?"

จางหมินสูดลมหายใจเข้าและกล่าว "ประธานเหลิ่ง คุณควรมาดูด้วยตนเอง"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและกล่าว "แต่ตอนนี้ฉันกำลัง…"

"ประธานเหลิ่ง…."

จางหมินขัดจังหวะคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง "เหตุการณ์นี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคุณเจี่ยนและคุณหนู"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเช่นนี้ เขาก็ปล่อยมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวกับอี๋นั่ว่า "ผมต้องไปธุระ ห้องถัดไปและประตูด้านล่างมีการ์ดคอยดูแลคุณอยู่ หากว่าใครมาเคาะประตู คุณไม่ต้องเปิด ผมมีกุญแจ"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็เดินออกไป เมื่ออี๋นั่วได้ยินเสียงปิดประตูราวกับว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน ทันใดนั้นร่างกายของเธอก็สั่นเทาจากนั้นลมหายใจของเธอก็สั่นเครือ เมื่อครู่ ในตอนที่มือของเธอสัมผัสกับหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็เต้นเร็วขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง "ความรักแค่เพียงพูดว่าหมดไปมันก็จะหมดไปเลยแบบนั้นใช่ไหม?"

เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ชีวิตที่ผ่านอะไรมามากมายทำให้รู้สึกว่ารับอะไรไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นก็ปลอบตัวเองด้วยคำว่าไม่รัก ทำให้ตัวเองรู้สึกว่าหากยอมแพ้ในครั้งนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยและไม่มีค่าอะไรสำหรับตัวเธอ ตราบใดที่คุณมีคนที่คุณรักอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนต่อให้เป็นเพียงปีเดียวหรือสิบปี แต่แค่เพียงคุณได้เห็นเขาอีกครั้ง ได้สัมผัสเขาอีกครั้งก็สามารถทำให้หัวใจเต้นเร็วได้เช่นเคย

มือของเจี่ยนอี๋นั่วปล่อยลงอย่างไร้เรี่ยวแรง ควันที่ยังไม่จางหายไปก็ร่วงหล่นลงบนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วพิงศีรษะของเธอบนกระจกเย็นเฉียบ หัวใจของเธอในขณะนี้นั้นกำลังตื่นตระหนก ตอนนี้เธออยากรู้ว่าคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวไม่จบเมื่อครู่นั้นคืออะไรกันแน่?

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงไปถึงโกดังรกร้างก็เห็นว่าจางหมินกำลังรอเขาอยู่ด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและถามทันที "เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ใช่ว่าอาเหวินกับเด็กคนนั้นออกไปแล้วหรือไง?"

จางหมินพยักหน้าและพูด “ใช่ แต่ผิดคนเข้าใจผิดว่าอาเหวินนำตัวเหลิ่งเฉิงเย่ไป เพื่อที่จะหาสถานที่ปกป้องเหลิ่งเฉิงเย่ดังนั้นจึงส่งนักฆ่าไปฆ่าพวกเขาและยังส่งศพกลับมาพร้อมกับบอกว่านี่คือคำเตือน”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองจางหมิน "ศพ? ศพอยู่ที่ไหน?"

"ศพถูกแยกชิ้นส่วน ประธานเหลิ่งต้องการดูหรือไม่?" ใบหน้าของจางหมินซีดเซียว แม้ว่าเขาจะเห็นเรื่องราวแบบนี้มามากมาย แต่ในขณะที่เขาก็ยังคงขมวดคิ้วแน่นอย่างไม่สบายใจ สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการตายของเหลิ่งเฉิงเย่และอาเหวินนั้นน่ากลัวมากเพียงใด

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ "ฉันต้องการดู"

แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยคิดที่จะปล่อยให้เหลิ่งเฉิงเย่อยู่เคียงข้างเขาในฐานะเกราะป้องกันของเจี่ยนซวง แต่เขาไม่คาดคิดว่า เมื่อเขาล้มเลิกความคิดนี้ เหลิ่งเฉิงเย่ที่รับหน้าที่เป็นลูกชายของเขาจะต้องตายเพราะความแค้นของผู้อื่น

จางหมินสวมถุงมือ เขาเดินไปที่ถุงผ้าสีแดงและสีน้ำเงินหลายใบที่อยู่ด้านข้างเขา เขาก้มตัวลงพร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อยจากนั้นก็เปิดถุงผ้า ในเวลานี้ไฟในโกดังบางเบา เหลิ่งเซ่าถิงเห็นมือของเด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะโผล่ออกมาจากถุงผ้าที่เปิดอยู่ นอกจากนี้ยังมีด้ายสีแดงที่ข้อมือของเขา แม้ว่าเหลิ่งเฉิงเย่จะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเขา แต่หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงยังคงจำด้ายสีแดง ในวันคล้ายวันเกิดของเหลิ่งเฉิงเย่ กู้เค่อหยิงสวมด้ายเส้นนี้ให้กับเขาและบอกว่าเมื่อสวมใส่แล้วจะปลอดภัย

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินไปยังถุงผ้า เขาก้มศีรษะลงและเห็นกองเนื้อ ซึ่งแตกต่างจากเนื้อหมูตรงที่ไขมันของมนุษย์มีสีเหลือง เมื่อเรียงซ้อนกันแล้วกองเนื้อเหล่านั้นก็มีสีแดงและเหลืองปะปนกัน เหลิ่งเซ่าถิงแทบไม่สามารถแยกแยะนิ้วของเด็กกับหูของผู้ใหญ่จากกองเนื้อเหล่านั้นได้เลย

จากนั้นจางหมินก็เปิดถุงผ้าอีกใบ "นี่เป็นอีกส่วนหนึ่ง ในถุงนี้นั้นไม่ได้มีแค่ศพของอาเหวินและเหลิ่งเฉิงเย่เท่านั้น แต่ยังมีศพของคนที่ปกป้องพวกเขาจากการหลบหนีในครั้งนี้ดังนั้นจึงส่งถุงใหญ่มาสองสามถุง"

"ใครเป็นคนทำ? ส่งมาได้อย่างหยิ่งผยอง แน่นอนว่าจะต้องทิ้งร่องรอยไว้มากมาย" เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและถาม

จางหมินสูดลมหายใจเข้าอย่างลึกๆและกล่าว "เป็นลูกนอกสมรสของเหลิ่งเฉิงรุ่ย เขาส่งสิ่งเหล่านี้มาและได้ฆ่าตัวตาย เขาบอกว่านี่คือคำเตือนให้คุณทำ…"

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองจางหมิน เขาขมวดคิ้วและถาม "คำเตือนอะไร? พูดต่อไป!"

จางหมินขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงเบา "เวลาทำเรื่องบางอย่าง อย่าเด็ดเดี่ยวโหดเหี้ยมจนเกินไปจนไม่เหลือช่องว่างสำหรับคนอื่นและทิ้งคนอื่นไว้เบื้องหลังเพราะคุณเองก็จะไม่เหลือทางให้เดินต่อไปเช่นกัน"

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลงอย่างยากลำบาก แสงเหนือศีรษะกระทบลงมาส่องผ่านเปลือกตาของเขาและทำให้ดวงตาของเขาเจ็บปวดเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานนัก เขาก็ค่อยๆลดศีรษะลงและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "เขาเป็นคนที่เด็ดขาดมากจริงๆ ในเมื่อเขาสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ นั่นแสดงว่าฉันยังคงใจกว้างอยู่ เรื่องบางอย่างหากว่าไม่ยอมตัดรากถอนโคน มันอาจจะปล่อยให้คนอย่างเขามีโอกาสที่จะใช้ประโยชน์จากมัน! จางหมิน เตรียมตัวไว้ให้ดี หลังจากนี้มีเรื่องให้พวกเราได้จัดการอีกมาก"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็ก้มศีรษะลง ยกมือขึ้นและลูบนิ้วก้อยที่เปื้อนเลือดของเหลิ่งเฉิงเย่ เขากล่าวเบาๆว่า "ขอโทษด้วยที่ปล่อยให้เธอตายแทนของลูกฉันโดยเปล่าประโยชน์"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็หรี่ตาและมองไปที่กองซากศพที่นองเลือดด้วยสายตาพร่ามัว ราวกับว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นไม่ใช่อาเหวินและเหลิ่งเฉิงเย่แต่กลับเป็นเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว นิ้วที่เขาลูบนั้นเหมือนกับนิ้วเล็กๆอ้วนๆของเจี่ยนซวงที่เขาได้สัมผัสในวันนี้

เหลิ่งเซ่าถิงปิดปากของเขาจากนั้นก็ก้าวเท้าถอยหลังไป เขาหันหน้าหนีไปทางอื่นจากนั้นเขาก็อาเจียนออกมา อาหารที่เขากินไปในวันนี้ ทุกอย่างก็ได้อาเจียนออกมาทั้งหมด นี่คืออาหารทั้งหมดที่เขาเตรียมการไว้อย่างดีเพื่ออี๋นั่วและเจี่ยนซวง เขารอคอยวันนี้มาหลายปีแล้ว เขาอยากจะทำอาหารให้กับเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงสักมื้อจากนั้นก็นอนหลับไปพร้อมกับพวกเธอ

แม้ในคืนนี้เขาอยากจะอยู่ร่วมกับเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว ใช้ชีวิตร่วมกันโดยไม่สนใจอันตรายใดๆ

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สามารถควบคุมอาการอาเจียนนี้ได้ เมื่อเขารับรู้ว่าอาหารที่ได้ลงไปในท้องของเขาในวันนี้กลับอาเจียนออกมาหมด เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยิ้มและหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นแหบแห้งและน้ำเสียงดูสิ้นหวัง

เจี่ยนซวงยิ้มและกล่าวทันที "ซวงซวงเป็นเด็กดีไม่ดื้อไม่ซนอยู่แล้ว คุณลุง คุณลุงสามารถเป็นพ่อของซวงซวงได้แล้ว"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินซวงซวงพูดเช่นนี้ เขายกมือขึ้นแล้วลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ เป็นเพราะการสัมผัสของคนแปลกหน้า ซวงซวงจึงไม่คุ้นชินและหลบเลี่ยง เจี่ยนซวงค่อยๆทำความคุ้นชินกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอจึงนิ่งและไม่ขยับหนี เธอเงยหน้าขึ้นและมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเขินอาย

เซ่าถิงลูบหัวของเจี่ยนซวง และพบว่าผมของเจี่ยนซวงนั้นเบาและอ่อนนุ่มเช่นเดียวกับผมของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นเขาก็ก้มหน้าลงไปมองเจี่ยนซวงและกล่าวเบาๆว่า "แม้ว่าซวงซวงจะมีความพฤติดี ไม่ดื้อไม่ซนแล้ว แต่เจี่ยนซวงก็ยังต้องพยายามมากขึ้น ต้องปกป้องหม่าม้าให้ได้ด้วย พยายามใช้ชีวิตให้มีความสุข บางทีอาจมีสักวันที่คุณลุงจะกลับมาหาซวงซวง"

เจี่ยนซวงทำหน้ามุ่ยหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล่าว "งั้นหม่าม้าต้องช่วยซวงซวงด้วย หากว่าซวงซวงทำอะไรไม่ดี หม่าม้าก็ต้องคอยเตือนซวงซวง"

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบ เธอมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและเธอก็ยื่นนิ้วก้อยของเธอออกมา "คุณลุงห้ามเป็นคนผิดคำพูด พูดจริงก็ต้องทำจริง มา มาทำสัญญากัน"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขายื่นมือออกและเกี่ยวนิ้วก้อยของเจี่ยนซวงและเขาไว้ด้วยกัน เขากล่าวว่า "ได้ ลุงสัญญาแล้วไม่ผิดคำพูด"

เจี่ยนซวงพยักหน้า จากนั้นเธอเลียริมฝีปากของเธอและมองไปที่อาหารที่ส่งกลิ้นหอมเย้ายวน เธอเลียริมฝีปากอีกครั้งและมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว "หม่าม้า หม่าม้า ซวงซวงหิวแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและกำลังเตรียมตัวไปหยิบชาม แต่เหลิ่งเซ่าถิงนั้นเร็วกว่าเธอ เขาหยิบชามและยิ้มกล่าว "ผมป้อนเธอเอง"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า "งั้นคุณก็ระวังด้วย อย่าให้ลวกปากเธอ"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ เขาหยิบชามขึ้นมา เขาตักอาหารและเป่าเบาๆจากนั้นก็ยื่นไปยังปากของเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความลังเล เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เจี่ยนซวงก็กล่าวขอบคุณและอ้าปากทานอาหารนั้น

หลังจากที่เจี่ยนซวงได้ทานอาหารเข้าไปแล้ว เธอก็ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นในทันที เธอส่งยิ้มและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า "ว้าว อาหารของคุณลุงอร่อยสุดยอดเลย อร่อยมากจริงๆ! ซวงซวงไม่เคยกินอาหารที่อร่อยแบบนี้มาก่อนเลย! หม่าม้าทำอาหารได้ไม่อร่อยเลย ซวงซวงกินอาหารไม่อร่อยมาตลอดก็เลยผอมไปหมดแล้ว…"

เจี่ยนซวงกล่าวพลางชี้ไปยังพุงที่กำลังป่อง เมื่อพูดเช่นนี้ เจี่ยนซวงก็เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นเธอก็โบกไม้โบกมือและรีบกล่าว "ไม่ ไม่ใช่แบบนั้น คุณลุง จริงๆแล้วหม่าม้าของซวงซวงทำไข่ต้มได้อร่อยมาก สามารถต้มไข่ได้อย่างพอดิบพอดีเลย! เก่งมากๆ คุณลุงเทพแห่งการทำอาหารอย่ารังเกียจแม่ของซวงซวงเลย"

"ลุงรู้ว่าแม่ของซวงซวงน่ะเก่งมากๆ ลุงไม่รังเกียจแม่ของซวงซวงหรอก" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวและเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆ เธอลดสายตาลงและหยิบชามข้าวขึ้นมาทานอาหาร เมื่อเธอทานไปได้สองคำ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าและกล่าวชมเชย "อาหารอร่อยจริงๆ"

ในความเป็นจริงแล้วก็พูดได้ว่าอร่อย แต่ก็สามารถพูดได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นปรุงอาหารได้เหมาะสมกับความชอบของเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นตามรสชาติของเจี่ยนอี๋นั่วที่มีความเค็มเล็กน้อย

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขายิ้มและกล่าว "คุณชอบก็ดีแล้ว"

ในขณะนั้นซวงซวงก็พยักหน้าอย่างสุดแรง "ซวงซวง ซวงซวงเองก็ชอบ"

เจี่ยนซวงพูดเช่นนี้ เธอก็ยื่นนิ้วออกไปเพื่อชี้ไปที่จานข้างๆเขาและกระซิบ "ซวงซวงยังอยากกินอันนี้อีก"

เหลิ่งเซ่าถิงก็ตักอาหารให้และยื่นให้เธอในทันที หลังจากเจี่ยนซวงทานอาหารแล้ว เธอก็หรี่สายตาและยิ้ม เจี่ยนซวงถูกป้อนข้าวจนพุงของเธอนั้นกลมแต่เธอก็ยังอดไม่ได้ที่อยากจะกินเข้าไปอีก เจี่ยนซวงนั้นสะอึกเพราะความอิ่มและยังกล่าวว่า "ซวงซวง ซวงซวงยังอยากกินอันนี้…"

เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยดูแลเด็กมาก่อน เมื่อได้ยินว่าเจี่ยนซวงอยากกิน เขาก็รีบตักอาหารในทันที แต่เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือมาห้ามเหลิ่งเซ่าถิงไว้และกล่าวว่า "ไม่ต้องป้อนเธอแล้ว เธอกินอิ่มมากแล้ว"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เขาก็หยุดนิ่งและขอโทษเจี่ยนอี๋นั่วในทันที "ผมขอโทษ ผมไม่รู้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูด "คุณทำได้ดีมาก"

เจี่ยนซวงกินอิ่มเกินไป เมื่อเขาหยุดป้อนอาหารให้เธอ ศีรษะของเจ้าตัวน้อยก็วางลงบนโต๊ะอาหารและพร้อมที่จะนอน เจี่ยนอี๋นั่วรีบอุ้มเจี่ยนซวงในทันที เธอกล่าวเบาๆว่า "ซวงซวงกินอาหารอิ่มแล้วอย่าเพิ่งนอน ต้องร่าเริงสดใสไว้ หม่าม้าจะดูการ์ตูนเป็นเพื่อนก่อนแล้วค่อยนอน ดีไหม?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าและกล่าวอย่างงัวเงีย "ดี หม่าม้า… ซวงซวงจะต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังหม่าม้า แบบนี้ซวงซวงจะได้มีพ่อเป็นเทพแห่งการทำอาหารแล้ว"

หลังจากที่เจี่ยนซวงพูดจบเธอก็มีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นจากนั้นเธอก็ลุกไปดูทีวี เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงที่ยังไม่ได้ทานอะไรเลย เธอกล่าวเบาๆว่า "ฉันจะตักอาหารให้คุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ลุกขึ้นและตักอาหารให้กับเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อวางอาหารไว้ตรงหน้าเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็เดินไปข้างๆเจี่ยนซวงและดูการ์ตูนเป็นเพื่อนกับเธอ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงทานอาหารเสร็จ เจี่ยนซวงก็ง่วงและหลับไป เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงและมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความลำบากใจ "เด็กคนนี้นอนหลับไว ฉันจะพาเธอกลับไปก่อน"

"สองวันนี้อยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ? ใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป" เหลิ่งเซ่าถิงถามเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็ยิ้มและมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง "แล้วซวงซวงนอนห้องไหน?"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้องห้องหนึ่ง เขาผลักประตูและกล่าว "นอนห้องนี้แล้วกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเข้าไปภายในห้อง ภายในห้องนี้เหมือนกับว่าเป็นห้องของเด็กผู้หญิงจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่ววางเจี่ยนซวงลงบนเตียงและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมรอยยิ้ม "งั้นวันนี้ฉันนอนที่นี่กับเจี่ยนซวง"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและยิ้ม "งั้นผมไปนอนอีกห้อง หากว่าเหนื่อยก็รีบพักผ่อน ห้องน้ำมีอุปกรณ์อาบน้ำครบชุด คุณสามารถใช้ได้เลย"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินออกไปจากห้องและประตูก็ปิดลง หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วและเอนกายลงนอนข้างๆเจี่ยนซวง เธอหลับตาลงอย่างเหนื่อยล้า เธอคิดว่าเมื่อพบกับเจี่ยนซวงแล้ว เธอจะเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิง เธออาจจะต่อว่าเขาที่ไม่สนใจพวกเธอมาเป็นเวลานานหลายปีและไม่สนใจเจี่ยนซวงเมื่อเธอตกอยู่ในอันตรายหรือไม่ก็เธอยังคงรักเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสุดหัวใจและบอกกับเขาว่าไม่ว่าจะมีอันตรายอะไรอยู่ข้างหน้าเธอก็ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป

แต่เมื่อเธอสงบสติอารมณ์และได้เข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วกลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้มีความรู้สึกใดเป็นพิเศษ เธอมีเพียงความรู้สึกที่แปลกประหลาดและเศร้าใจ เธอไม่รู้ว่าเมื่อใดที่รอยแผลเป็นบนแขนของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นได้เพิ่มขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มถือตะเกียบด้วยมือซ้ายและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เขาเริ่มทำอาหารได้อย่างยอดเยี่ยมขนาดนี้

ในตอนนี้เมื่อเธอมองเหลิ่งเซ่าถิงก็เหมือนกับเธอกำลังมองคนแปลกหน้าที่เธอเริ่มรู้จักใหม่อีกครั้ง ไม่ ไม่อาจถึงต้องเริ่มรู้จักใหม่อีกครั้ง เป็นเพราะนี่เป็นเพียงการพบเจอกันในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอจึงไม่มีโอกาสที่จะได้เริ่มรู้จักเหลิ่งเซ่าถิงอีก

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงบนเตียง เวลาผ่านไปสักพัก เธอก็ไม่สามารถที่จะนอนหลับได้ สุดท้ายเธอจึงลุกขึ้นและมองไปยังเจี่ยนซวงที่กำลังหลับใหล เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ เธอจึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้าและเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าระเบียงยังคงส่องสว่าง เธอจึงเดินเข้าไปอย่างช้าๆและเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังสูบบุหรี่อยู่

เขากำลังพิงข้างหน้าต่างมองออกไปด้านนอก มือข้างหนึ่งของเขากำลังสูบบุหรี่และมืออีกข้างยังคงล้วงกระเป๋า แสงดาวบนท้องฟ้ายามค่ำคืนสาดแสงอ่อนๆมากระทบกับร่างกายเหลิ่งเซ่าถิง ใบหน้าของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก้าวถอยหลังและกำลังจะกลับไปที่ห้อง แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมองเห็นเธอภายใต้แสงสลัว เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างคมชัด สายตาของเหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆอ่อนลง เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังอยู่ในมุมมืดก็ได้กล่าวว่า "ที่แท้ก็คือคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ฉันเอง"

เหลิ่งเซ่าถิงรีบถาม "ดึกดื่นขนาดนี้แล้วทำไม่ยังไม่นาน? เตียงไม่สบายเหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ก่อนหน้านี้ฉันกังวลเกี่ยวกับซวงซวงมาโดยตลอดจนไม่มีเวลาคิดเรื่องอะไรมากมายนัก ตอนนี้ฉันโล่งใจแล้วแล้วเรื่องราวต่างๆก็เข้ามาในความคิดฉันดังนั้นฉันก็เลยนอนไม่หลับ"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขายิ้มและกล่าวว่า "ผมก็เหมือนกัน"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวและหยิบบุหรี่ออกมา "คุณจะสูบด้วยไหม? โอ้..ขอโทษด้วย ผมลืมไปว่าคุณไม่สูบ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆและก้มศีรษะลง เธอเดินไปยังข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง เธอจุดบุหรี่สูบอย่างชำนาญและปล่อยควันออกมา เธอสูบบุหรี่เป็นตั้งแต่ในวันแต่งงานของกู้เค่อหยิงและเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็เป็นเช่นนี้ เธอพลิกไปพลิกมาจนนอนไม่หลับ จากนั้นเพื่อนนักโทษของเธอก็ได้แอบส่งบุหรี่ให้กับเธอ ตั้งแต่นั้นมาเธอก็สูบบุหรี่เป็น แต่เธอสูบได้ไม่นานนักก็เลิกเป็นเพราะว่าเธอห่วงว่าจะส่งผลต่อสุขภาพของเจี่ยนซวง

เจี่ยนอี๋นั่วพิงหน้าต่างและพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณน่าจะได้รู้เรื่องจากเยี่ยหมิงจูแล้ว ที่ฉันสูบบุหรี่ครั้งแรก เธอก็เป็นคนส่งให้"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้ม "เธอไม่ได้บอกผมไปเสียทุกเรื่อง"

เจี่ยนอี๋นั่วพ่นควันบุหรี่เบาๆและยืนพิงหน้าต่าง จากนั้นเธอกล่าวว่า "ขอโทษด้วย คำพูดก่อนหน้านี้อาจทำร้ายคุณ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาฉันรู้ว่าคุณลำบากมามาก ไม่ใช้วิธีที่ผิดแปลกก็คงไม่มีทางเอาตัวรอดมาได้ ฉันไม่ควรใช้ศีลธรรมของคนธรรมดามาเรียกร้องอะไรจากคุณ ขอโทษด้วย"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่น เขาหันศีรษะไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว "หลายปีที่ผ่านมา คุณเป็นอย่างไรบ้าง?"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงถามเสร็จ เขาก็หยุดนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นไม่นานเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก "ผมไม่ควรถาม…"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆ "ไม่เป็นไร ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย เรื่องส่วนใหญ่คุณเองก็ได้รู้ไปหมดแล้ว ฉันเป็นแบบนั้น จริงๆแล้วตอนที่ฉันอยู่ในคุกก็ไม่ได้แย่อะไรมากนัก ฉันไม่เคยใช้ชีวิตแบบเป็นขั้นเป็นตอนเช่นนั้นมาก่อนเลย ทุกวันต้องตื่นเช้า อาบน้ำตรงเวลา เข้านอนตรงเวลา นอกจากนั้นบางเวลาทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีสิทธิมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ส่วนเวลาอื่นๆก็ยังพอโอเค ฉันเห็นคนไม่ดีมากมายอยู่ในนั้น ฉันยังได้เห็นด้านดีของคนเลวอีกด้วย มันเป็นประสบการณ์ชีวิตอันยาวนาน ใช่ ฉันยังได้เรียนรู้วิธีการถักเสื้อกันหนาวด้วย ในช่วงแรกฉันเป็นภาระของกลุ่มเสมอ แต่หลังจากนั้น ฉันกลายเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมสำหรับกลุ่ม ฉันถักได้เร็วและดีเยี่ยม ฉันสามารถใช้ด้ายที่เหลือถักเสื้อกันหนาวและถุงเท้าให้ซวงซวงได้อีกด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงไว้แน่นเธอหลับตาลง เจี่ยนซวงอยู่ในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอร้องไห้และเหนื่อยล้าจากนั้นเธอก็หลับไป เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงขึ้น ในขณะที่เธอหันกลับมาเธอก็เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นกำลังยืนมองพวกเธออยู่ตลอดเวลา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว "คุณคิดไว้ว่าจะให้พวกเราไปที่ไหน?"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเจอเธอแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปอย่างแน่นอน เขาจะต้องพาเธอไปที่ไหนสักแห่ง

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากแน่นและถามเบาๆ "เมืองเล็กๆทางทิศใต้ ผมได้เตรียมฟาร์มเล็กๆไว้ให้คุณแล้ว ผู้คนในฟาร์มก็เป็นคนที่ผมจัดไว้ให้ แม้ว่าพวกเขาจะดูเหมือนชาวบ้านธรรมดา แต่พวกเขาก็จะสามารถปกป้องพวกคุณได้"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย "ฉันคิดว่าคุณจะพาพวกเราไปอยู่สักแห่งบนเกาะที่ต่างประเทศเสียอีก"

สายตาของเหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังใบหน้ากลมของเจี่ยนซวง เขากล่าวเสียงทุ้มว่า "ชีวิตมนุษย์ในโลกนี้ นอกเหนือจากความสงบแล้วยังมีความสนุกสนาน หากว่าส่งคุณและเจี่ยนซวงไปยังเกาะเล็กๆมันจะปลอดภัยกว่าก็จริง แต่เมื่อเทียบกับการปกป้องพวกคุณแล้ว มันก็ไม่ได้ต่างจากการกักขังพวกคุณเลย ผมไม่อยากให้ชีวิตของพวกคุณที่ถึงแม้จะปลอดภัยแต่กลับไม่มีความสนุกสนานในชีวิต"

"ขอบคุณ..เด็กคนนั้น.." เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสเจี่ยนซวงที่หลับไปแล้วอย่างเบามือ เธอขมวดคิ้วและมองเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า "ขอโทษ ผมไม่สามารถให้เห็นเด็กคนนั้นได้ เมื่อเห็นแล้วคุณจะยิ่งปล่อยวางไม่ได้ ทำเหมือนว่าคุณได้ให้กำเนิดเพียงแค่ซวงซวงเถอะ เรื่องเดียวที่ผมจะบอกคุณได้ก็คือชีวิตของเขาในตอนนี้นั้นดีมาก เขามีชีวิตที่มั่นคง เขานั้นฉลาดมากพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน พูดได้อย่างดีเยี่ยมด้วย ริมฝีปากของเขานั้นเหมือนกับคุณเลย เนื่องจากเขาอาศัยอยู่ในเมืองที่ติดทะเลเขาจึงว่ายน้ำเก่งมาก ทั้งหมดที่ผมรู้ก็มีประมาณนี้ หากว่ารู้มากก็จะอันตรายต่อเขา"

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นแดงก่ำ เธอหลับตาลงจากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอพยักหน้าเบาๆ "อืม โอเค แค่นี้ก็เพียงแล้ว แค่ได้รู้ว่าชีวิตของเขานั้นดีกว่าการอยู่กับฉันก็เพียงพอแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอสูดลมหายใจเข้าและกลั้นน้ำตาไว้จากนั้นเธอกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น "ขอบคุณคนที่ดูแลเขาแทนฉันด้วย พวกเขาทำได้ดีกว่าฉันเสียอีก"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ กล่าวเบาๆ "วางใจเถอะ ผมจะต้องขอบคุณพวกเขา"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธอ "ก็ดีแล้ว งั้นฉันก็จะไปแล้ว.."

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาลงและถามด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "พวกคุณอยู่กับผมก่อนสักสองวันได้ไหม? แค่สองวันเท่านั้น…"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นเธอก็ลูบหลังของเจี่ยนซวงเบาๆและค่อยๆพยักหน้า "อืม"

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยิ้มออกมา รอยยิ้มของเขาไม่ใช่รอยยิ้มที่เขาแสร้งทำเป็นมานานหลายปี แต่เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขจริงๆ ใบหน้าซีดเซียวของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นกลับมาสดใสอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงในเวลานี้ หัวใจของเธอนั้นเจ็บปวดเล็กน้อย เธอรีบก้มศีรษะในทันที ผ่านมานานหลายปีแล้ว เรื่องราวต่างๆก็มีมากมาย เธอรักเขา โกรธเขา เหนื่อยหน่ายกับเขา ตำหนิเขาและสุดท้ายก็ยอมแพ้เขาในที่สุด แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นเขาทำเพื่อเรื่องราวที่เรียบง่ายยิ้มและดีใจแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะที่ปวดใจไปกับเขา

เหลิ่งเซ่าถิงพาเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงไปยังบ้านที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นว่าภายในบ้านนั้นยังคงเหมือนเมื่อหลายปีก่อน เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา "เหมือนกับว่าไปย้อนเวลากลับไป"

หลังจากพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้มของเธอ น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นเล็กน้อย เธอกล่าวเสียงเบาและยิ้ม "แต่มันก็นานมามากแล้ว"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบ เธอก็อุ้มเจี่ยนซวงวางลงบนโซฟา ทันทีที่เจี่ยนซวงถูกวางลงบนโซฟาเธอก็ลืมตาขึ้นและรีบตะโกน "อย่ามาจับตัวซวงซวง!"

หลังจากที่ซวงซวงตะโกนแล้วเธอก็หดตัวในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นเวลานาน จากนั้นเธอก็ขยี้ตาและมองไปรอบๆ เธอถามเสียงเบาว่า "หม่าม้า ที่นี่ที่ไหน?"

เจี่ยนซวงพูด ทันใดนั้นเธอก็มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ข้างกายอี๋นั่ว เธอก็ประหม่าในทันที "หม่าม้า เขาคือใคร เขาหล่อขนาดนี้จะต้องเป็นคนเลวแน่!"

เป็นเพราะว่าเจี่ยนซวงนั้นถูกเหลิ่งหมิงอันกักขังตัวไว้ เธอจึงมีความรู้สึกเป็นศัตรูกับชายที่ดูหล่อเหลา เธอเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นหล่อเหลามาก แต่จิตใจโหดเหี้ยม ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ตรงหน้าเธอนั้นดูดีมากกว่าเหลิ่งหมิงอันเสียอีก เขาจะต้องเลวกว่าเหลิ่งหมิงอันแน่ เจี่ยนซวงนั้นใช้การตัดสินใจที่ง่ายดายและตรงไปตรงมา เมื่อเธอตัดสินใจเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนไม่ดี เมื่อเธอเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็มีความรู้สึกที่คุ้นเคย เธอเม้มริมฝีปากในทันที และไม่ตะโกนว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนเลวอีกต่อไป แต่เธอมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงด้วยสายตาที่ระมัดระวัง "คุณลุง เราเคยเจอกันมาก่อนหรือเปล่า"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงกล่าวเช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา น้ำเสียงของเจี่ยนซวงนั้น หากว่าเปลี่ยนสถานที่ได้ก็เหมือนกับว่าเด็กชายตัวเล็กกำลังจงใจเปลี่ยนสถานการณ์ตีสนิทกับเด็กผู้หญิงตัวน้อยอย่างไรอย่างนั้น เจี่ยนซวงเมื่อได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ เธอก็รีบหดตัวลงในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่วและถามเบาๆ "หม่าม้า เขาคือใคร?"

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอไม่รู้ว่าควรจะแนะนำเหลิ่งเซ่าถิงต่อเจี่ยนซวงว่าอย่างไร แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ยิ้มและกล่าวในทันทีว่า "ฉันชื่อหลิ้ง ตัวเด็กเรียกฉันว่าลุงหลิ้งเถอะ"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว เธอมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างพิจารณาจากนั้นเธอก็ละสายตาไป เธอเอนกายพิงเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "หม่าม้า ลุงหลิ้งคนนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ไว้ใจได้สิ"

ก่อนหน้านี้ความกระตือรืนร้นในการตามหาพ่อของเจี่ยนซวงนั้นถูกเหลิ่งหมิงอันและซวีอี้เฟยทำลายทิ้งไปจนหมด ในเวลานี้เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างระมัดระวังและทำท่าทางคิดละเอียดรอบคอบอยู่เป็นเวลานานแต่เธอก็ไม่ได้กล่าวคำว่า "ให้เขาเป็นพ่อของฉัน" ออกมา แม้ว่าเธอจะชอบเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ตรงหน้าของเธอมากก็ตาม เจี่ยนซวงดึงแขนเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวังและกล่าวเสียงเบาว่า "หม่าม้า พวกเราไม่ต้องอยู่ที่นี่หรอก พวกเรากลับบ้านกันเถอะ บางทีเขาอาจจะเป็นคนเลวจริงๆก็ได้นะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่ต้องการบังคับให้เจี่ยนซวงอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เธอไม่ชอบ แต่เหลิ่งเซ่าถิงเองก็อยากใช้เวลาร่วมกันกับเธอและเจี่ยนซวงในเวลาสองวันนี้ ถ้าหากว่าปฏิเสธไปมันจะดูโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือเปล่า

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นก็กล่าวเบาๆว่า "หากว่าเธอไม่อยากอยู่ที่นี่ งั้นผมก็จะไปส่งพวกคุณ"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็หันไปมองเจี่ยนซวงและยิ้มเบาๆให้กับเธอ เขาหยิบสร้อยคอออกมาจากกระเป๋าเสื้อและส่งให้กับเจี่ยนซวง "นี่เป็นของขวัญที่ลุงให้หนู หนูจะยินยอมรับไปไหม?"

เจี่ยนซวงยื่นหน้าออกมาและจ้องมอง เธอเห็นว่าจี้ของสร้อยคอเป็นหินคริสตัลใสและมีดอกไม้สีเหลืองเล็กๆอยู่ในหินคริสตัล เจี่ยนซวงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม "ว้าว..สวยจังเลย…"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง "นี่คือ?"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าว "นี่คือดอกไม้ในเมืองที่เด็กคนนั้นอาศัยอยู่ ซวงซวงเคยมอบดอกไม้ให้ผม ผมก็เลยไปทำเป็นสร้อยคอและมอบให้กับเด็กทั้งสองเพื่อที่พวกเขาจะได้มีร่องรอยของกันและกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้น เธอก็กระพริบตาและพยักหน้า "ดีมากเลย"

เจี่ยนซวงได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นเธอก็เงยหน้าขึ้นมาเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงและถามอย่างสงสัย "ซวงซวงเคยให้ดอกไม้คุณลุงเหรอ? ซวงซวงลืมไปแล้ว"

เจี่ยนซวงยังเด็กและมีประสบการณ์หลายอย่างในช่วงเวลานี้ เธอลืมไปว่าเธอเคยเจอลุงแปลกๆในสวนสาธารณะ เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและมองเจี่ยนซวงจากนั้นเขาก็พยักหน้า "ซวงซวงลืมแล้วก็ไม่เป็นไร ลุงยังจำได้ ซวงซวงจะรับของขวัญชิ้นนี้ไปหรือไม่?"

เจี่ยนซวงเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เจี่ยนซวงจึงรีบพยักหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับรอยยิ้ม "งั้นซวงซวงจะรับของขวัญชิ้นนี้ หม่าม้าใส่ให้ซวงซวงหน่อย"

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบสร้อยคอและสวมใส่กับเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงสัมผัสจี้สร้อยคอและพึมพำด้วยรอยยิ้ม "สวยมากเลย หนูไม่เคยเห็นดอกไม้ที่สวยงามแบบนี้มาก่อนเลย"

จากนั้นเจี่ยนซวงก็หันไปหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มให้กับเขาและกล่าว "คุณลุง ขอบคุณ.."

เจี่ยนอี๋นั่วแตะที่ศีรษะของเจี่ยนซวงและยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิง "งั้นฉันจะพาซวงซวงกลับแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "อืม.."

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มซวงซวงและลุกขึ้น เจี่ยนซวงที่กำลังเล่นกับสร้อยคออยู่ เธอยิ้มและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นเจี่ยนซวงก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้มของเธอ เจี่ยนซวงรู้วิธีการแสดงสีหน้าของผู้ใหญ่ ในตอนนี้เธอมองสีหน้าของคนที่เธอเรียกว่า ลุงหลิ้ง ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเขากำลังร้องไห้อยู่? เมื่อได้มองแล้วรู้สึกช่างน่าสงสาร เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเช่นนี้ภายในหัวใจของเจี่ยนซวงก็รู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

เจี่ยนซวงกอดคอเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและกระซิบว่า "ซวงซวง…ซวงซวงเปลี่ยนใจแล้ว ซวงซวงอยากอยู่ที่นี่"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอพูดด้วยรอยยิ้ม "งั้นได้สิ ซวงซวงนั่งดูทีวีก่อนเดี๋ยวหม่าม้าจะไป…"

"ผมจะไปเตรียมอาหารให้เธอเอง" เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและกล่าว

เจี่ยนซวงเห็นรอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิง เธออดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง เวลาผ่านไปชั่วครู่เธอจึงได้สติ จากนั้นเธอก็ดึงแขนเสื้อของอี๋นั่วและกล่าวเบาๆ "หม่าม้า..คุณลุงคนนี้ดีจังเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองเจี่ยนซวง "ถ้าหนูคิดว่าดี หนูก็ดูเขาไว้แล้วก็จำลักษณะของเขาไว้ด้วย"

เจี่ยนซวงพยักหน้า เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลเหลิ่งในตอนนี้ เมื่อเขาถูกเจี่ยนซวงจ้องมอง เขาเองก็มีอาการประหม่าอยู่บ้าง เขากลัวมาก ถ้าหากว่าเขาทำอะไรผิดพลาดไปก็อาจทำให้เจี่ยนซวงไม่ชอบเขา

เจี่ยนซวงซ่อนตัวอยู่บนโซฟาและมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นย้ายม้านั่งเก้าอี้ตัวเล็กแล้วก็ยังจ้องมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง และสุดท้ายเจี่ยนซวงตรงไปยังประตูห้องครัว โน้มตัวไปด้านในห้องครัวและจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างกระตือรืนร้น ในตอนแรกเธอจ้องมองใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง แต่หลังจากนั้นเธอก็ต้องตกตะลึงกับการทำอาหารของเหลิ่งเซ่าถิง

ดวงตาของเจี่ยนซวงเบิกกว้างเมื่อได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เมื่อรอให้เหลิ่งเซ่าถิงทำอาหารเสร็จแล้วและนำอาหารไปวางบนโต๊ะ เจี่ยนซวงก็ได้ใช้ความกล้าทั้งหมดเดินเข้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิงและสะกิดเขาจากนั้นเธอก็ถามเขาว่า "เอ่อ..คุณลุงเป็นพ่อของหนูได้ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงตกตะลึงในทันที มือของเขาสั่นจนเขาเกือบจะทำถ้วยซุปในมือหล่นลงไปบนพื้น เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เธอไม่รู้ว่าจะตอบเจี่ยนซวงอย่างไร และสุดท้ายเหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มและพูดกับเจี่ยนซวงว่า "หนูต้องเชื่อฟังหม่าม้า หากว่าลุงคิดว่าซวงซวงเป็นเด็กที่มีความประพฤติดี ไม่ดื้อไม่ซนแล้ว ลุงจะเป็นพ่อให้หนูอย่างแน่นอน"

ตลอดเวลาสามวัน เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้ารอคอยฟังข่าวของเจี่ยนซวงอยู่เสมอ เหลิ่งเซ่าถิงยื่นนมให้เธอและพูดเบาๆว่า "ดื่มก่อนหน่อยเถอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นปัดแก้วออก เธอขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง "ข่าวของซวงซวงแล้วก็เด็กคนนั้นที่เป็นลูกของฉัน เมื่อไหร่ฉันจะได้ยินข่าวและพบลูกของฉัน"

ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คาดหวังเลยว่าเธอจะสามารถเลี้ยงลูกได้ทั้งสองคน เธอได้เลี้ยงเจี่ยนซวงมาอย่างยากลำบากแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงไม่กล้าคิดเลยว่าเธอจะสามารถเลี้ยงลูกทั้งสองคนได้ หากว่าเธอเลี้ยงลูกทั้งสองคนเธออาจจะนำพาความยากลำบากที่สุดให้แก่พวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นเด็กผู้ชายคนนั้นอยู่ในครอบครัวเก่าแก่อย่างเช่นตระกูลเหลิ่ง เด็กผู้ชายคือทายาทคนต่อไปที่จะดูแลทรัพย์สินของครอบครัว เขาจะต้องเผชิญเรื่องราวอันตรายมากกว่าเจี่ยนซวงอย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คาดหวังสิ่งอื่นใดอีกแล้ว เธอแค่อยากเฝ้ามองเด็กๆจากระยะไกล แค่เพียงเธอได้รู้ข่าวคราวว่าเด็กๆเป็นอย่างไรบ้างแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงกำแก้วในมือไว้แน่น เขาขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวว่า "คุณรออีกหน่อยเถอะ อีกไม่นานเดี๋ยวก็จะมีข่าวคืบหน้า"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและหันศีรษะไปมองด้านนอกหน้าต่าง ในเวลานี้ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเหลิ่งเซ่าถิงก็ดังขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงรีบรับสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ร้อนใจจนรีบลุกขึ้น เธอถามอย่างร้อนรน "หาซวงซวงเจอแล้วเหรอ? ตอนนี้ซวงซวงอยู่ที่ไหน?"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า เขากล่าวเบาๆ "ไม่เกี่ยวกับซวงซวง"

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างหมดเรี่ยวแรง เธอค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปอีกฝั่งและถามปลายสาย "มีเรื่องอะไร?"

ปลายสายตอบกลับในทันที "อาเหวิน เขาพาตัวคุณชายน้อยออกไป เขาเคยเห็นว่าคุณหญิงคนก่อนได้ทำการตรวจสอบDNA เขาจึงคาดเดาว่าคุณชายน้อยอาจเป็นลูกของเขา ในเมื่อคุณหญิงไม่อยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องอยู่อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึง…จึงจะพาตัวคุณชายน้อยไปด้วยและสัญญาว่าจะไม่ปรากฏตัวต่อหน้าประธานเหลิ่งอีกเลย"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ไม่ได้ เด็กต้องอยู่ที่นั่น แม้ว่าจะไม่ใช่ลูกฉัน"

แม้ว่าเหลิ่งเฉิงเย่ไม่ใช่ลูกชายของเขา แต่การมีอยู่ของเหลิ่งเฉิงเย่นั้นจะกลายเป็นเกราะป้องกันเขา ทำให้การเพ่งเล็งของคนอื่นที่มีต่อลูกสาวของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นได้เปลี่ยนเป็นการเพ่งเล็งไปยังเหลิ่งเฉิงเย่แทน

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงเด็ก เธอก็หันหน้าไปมองเขาพร้อมกับขมวดคิ้วและถาม "เด็กที่คุณพูดถึง ใช่ลูกของคุณและกู้เค่อหยิงหรือเปล่า?"

ในช่วงเวลานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มพูดคุยกับเหลิ่งเซ่าถิงและเริ่มถามเกี่ยวกับสถานการณ์ความเป็นอยู่ของเขา เหลิ่งเซ่าถิงรีบหันหน้าไปอธิบายเธอ "เป็นเรื่องของลูกของกู้เค่อหยิง เด็กคนนั้นไม่ได้กำเนิดจากผมและกู้เค่อหยิง ในตอนนี้พ่อของเด็กต้องการตัวลูกเขาคืน"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แต่เธอก็พอเข้าใจ เธอจึงถามต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "คุณให้ผู้ชายคนอื่นมามีความสัมพันธ์กับกู้เค่อหยิงแทนคุณเหรอ? กู้เค่อหยิงคิดว่าเขาคนนั้นคือคุณ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "แต่ไหนแต่ไรมาผมไม่เคยแตะต้องเธอเลย ตั้งแต่แรกจนกระทั่งตอนนี้ผมมีแค่คุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขมขื่น "ฉันควรประทับใจไหม? คุณใช้การโกหกแบบนี้เพื่อหลอกลวงผู้หญิงที่ชอบคุณงั้นสิ?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ากู้เค่อหยิงนั้นมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับชายคนอื่น เธอเห็นเพียงแต่ว่ากู้เค่อหยิงคือภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับฆ่ากู้เค่อหยิงโดยไม่ได้แยแสอะไรเธอเลยแล้วยังแอบให้ผู้ชายคนอื่นเข้ามามีความสัมพันธ์กับเธอแทนเขาอีกด้วย เจี่ยนอี๋นั่วเองก็เป็นผู้หญิงเหมือนกัน วิธีการที่เหลิ่งเซ่าถิงได้ลงมือกระทำต่อกู้เค่อหยิงนั้นทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดใจ

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว "มันไม่ใช่แบบที่คุณคิด เธอไม่ได้สนใจผมตั้งแต่แรก สิ่งที่เธอสนใจก็คือตำแหน่งคุณหญิงแห่งตระกูลเหลิ่ง ผู้ชายคนนี้เคยพบเธอมาก่อนและมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกัน ผมก็เพียงแค่ให้ผู้ชายที่กู้เค่อหยิงต้องการมาเป็นพ่อของลูกเธอก็เท่านั้น"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง "งั้นในตอนนี้คุณคิดจะทำอะไร?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อว่า "ผมคิดว่าจะให้ลูกของกู้เค่อหยิงนั้นอยู่ต่อและกลายเป็น…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเบาๆ "กลายเป็นเกราะป้องกันของลูกเราใช่ไหม? ให้คนอื่นนั้นเพ่งเล็งเขา ให้คนอื่นคิดว่าเขาเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของคุณ เมื่อเผชิญอันตรายก็ให้เขาเป็นตัวแทนของลูกเราเข้าไปเผชิญจากนั้นลูกๆของเราก็จะปลอดภัย แบบนั้นใช่ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้เบาๆ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "แบบนี้สามารถลดอันตรายบางอย่างที่ลูกเราอาจจะเผชิญได้"

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง เธอกระพริบตาและยิ้มอย่างขื่นขม "จากนั้นลูกของเราจะกลายเป็นคนแบบไหน? กลายเป็นเหมือนคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่ง ใช้ชีวิตของคนอื่นมาปูทางให้ตัวเอง ใช่ไหม? ในฐานะความเป็นแม่ ฉันกลัวมาก กลัวที่จะสูญเสียลูกไป แต่สิ่งที่ฉันกลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ลูกของฉันขาดมนุษยธรรม คนที่ตัดสินชีวิตและความตายของคนอื่น!"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว "ผมแค่พยายามที่จะปกป้องคุณและลูกๆของเรา"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ฉันไม่รู้เลยว่ายังมีวิธีการแบบนี้ในการปกป้องด้วย เพื่อลูก คุณฉันสามารถเสียสละอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่การเสียสละคนอื่น ประธานเหลิ่ง คุณรู้ไหมว่าเพราะอะไรฉันถึงตกหลุมรักคุณ?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว "เพราะอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้ม "เพราะว่าคุณกับคนอื่นในตระกูลเหลิ่งนั้นไม่เหมือนกัน แม้ว่าคุณจะดูเย็นชา แต่ฉันกลับรู้สึกว่าคุณเป็นคนที่อบอุ่นมาก ฉันรู้ว่าคุณต้องการที่จะปกป้องฉันและลูก ฉันรู้ว่าการต่อสู้เพื่ออำนาจจะต้องโหดเหี้ยมเพื่อที่จะได้รับชัยชนะ แต่ฉันก็ยังอดไม่ได้ที่จะกลัวคุณ ตอนนี้ที่ฉันมองคุณมันเหมือนกับว่าฉันกำลังมองเหลิ่งหมิงอัน.."

เหลิ่งเซ่าถิงลดระดับสายตาลง ใบหน้าของเขาซีดเซียว ร่างกายของเขาค่อยๆสั่นเทาและในเวลานี้เขากำโทรศัพท์อย่างสุดแรง เวลาผ่านไปชั่วขณะ เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหมุนตัวกลับและเดินไปยังประตู เมื่อประตูเปิดออก เหลิ่งเซ่าถิงก็หยุดนิ่ง เขากล่าวเบาๆว่า "ผมรู้ คุณไม่ชอบผมในตอนนี้ แต่ตอนนี้ผมมีอำนาจมากพอที่จะปกป้องคุณแล้ว หากว่าคุณไม่ชอบวิธีการที่ผมจัดการกับเหลิ่งเฉิงเย่ ผมก็จะให้พ่อของเขาพาตัวเขาไป รอให้ผมหาเจี่ยนซวงพบ ผมจะให้คุณและเจี่ยนซวงไปซ่อนตัวในที่แห่งหนึ่ง ที่ที่ไม่มีใครหาพวกคุณพบ พวกคุณจะได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและสงบที่สุด"

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะไปมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง ท่าทีที่ไม่แยแสและมีความมุ่งมั่นแต่กลับมีความเหงา ภายในใจของอี๋นั่วราวกับว่าเหมือนจะทนไม่ได้ เธอต้องการที่จะก้าวไปด้านหน้าและโอบกอดเขา แต่เธอยังไม่ทันที่จะก้าวไป เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้เดินออกไปจากห้องจากนั้นประตูก็ได้ปิดลง

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งงันไปชั่วขณะ เธอทรุดลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง ความทุกข์ยากนั้นได้ขัดเกลาตัวตนของเธอและเหลิ่งเซ่าถิงจนไม่เหลือตัวตนก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเผชิญหน้ากัน แต่กลับเหมือนมีกำแพงหนากั้นทำให้พวกเขานั้นเดินเส้นทางที่ขนานกัน ต่อให้มีจุดตัดที่ทำให้พวกเขาได้พบกัน แต่หลังจากที่พบกันตรงจุดตัดแล้วพวกเขาก็ยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ

เหลิ่งเซ่าถิงกำมือแน่นมาก เมื่อเขาคลายมือในฝ่ามือของเขาก็มีรอยแดง ไม่ใช่ว่าเขาไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเกลียดคนแบบไหน เธอกลัวและตกใจกับความโหดเหี้ยมของตระกูลเหลิ่ง เมื่อเขาแสดงท่าทีที่ไม่แยแสต่อชีวิตของคนก็สามารถทำให้เจี่ยนอี๋นั่วหวาดกลัวจนจากเขาไป

สิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงต้องการทำก็คือทำให้เจี่ยนอี๋นั่วออกไปให้ไกลจากเขา แม้ว่าในตอนนี้เขาจะมีอำนาจแต่ศัตรูของเขาก็มีเยอะจนเกินไป เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในบางครั้งคนที่เดินอยู่ข้างกายเขานั้นเป็นนักฆ่าที่คนอื่นส่งมาฆ่าเขาหรือไม่ เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงต้องหลบซ่อนตัวจึงจะใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายและสงบสุข เขาพยายามจนสิ้นหวัง จนกระทั่งตอนนี้เขาสามารถให้เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงได้แล้ว แต่มันคือสิ่งที่ผู้ชายคนอื่นสามารถให้ได้อย่างง่ายดาย

เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปยังห้องถัดไป เขาหยิบโทรศัพท์อีกเครื่องออกมาจากนั้นกดโทรศัพท์และกล่าวกับปลายสาย "อืม คุณสามารถพาเหลิ่งเฉิงเย่ไปหาอาเหวินได้และปล่อยพวกเขาไป ให้พวกเขาไปเปลี่ยนสถานะและตัวตนด้วย มอบเงินให้พวกเขาด้วย คอยปกป้องชีวิตพวกเขา เหลิ่งเฉิงเย่ยังเด็ก ให้อาเหวินพาเขาไปซ่อนตัวสักสองสามปี รอให้เหลิ่งเฉิงเย่โตขึ้นสักหน่อย รอให้หน้าตารูปร่างเขาเปลี่ยนไปก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวจบ เขาก็ตัดสายไป เขาก้มหน้าลงไปมองฝ่ามือของเขา เขารู้สึกดีใจเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะยังเป็นผู้ชายที่เจี่ยนอี๋นั่วชอบอยู่บ้าง หากว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นแบบคนตระกูลเหลิ่งแล้วจริงๆ เหมือนกับตัวตนสถานะของอาเหวินและเหลิ่งเฉิงเย่ ทางที่ดีที่สุดเขาอาจจะฆ่าปิดปากไปทั้งหมดเลยก็ได้

เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปและดูรอยเลือดในมือของเขา รอยแดงเหล่านั้นค่อยๆหายเป็นปกติ จากนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงรับสายจากนั้นก็ได้ยินปลายสายกำลังรายงานความคืบหน้า เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นในทันที เขาก้าวเท้าอย่างรวดเร็วและตรงไปยังห้องของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาพูดกับอี๋นั่วว่า "หาซวงซวงพบแล้ว ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างทาง"

เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือของเธอปิดปากตัวเอง ดวงตาของเธอแดงก่ำ เธอรีบลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้อง เธอร้องไห้และถามเหลิ่งเซ่าถิง "จริงเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาจากมุมหางตาของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเขาก็ค่อยๆวางมือลงและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "จริง"

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ เธอรีบวิ่งลงชั้นล่างด้วยความเร็ว ในขณะที่เดินผ่านเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเพื่อที่จะได้รับกลิ่นกายของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่จริงๆแล้วสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วนั้นก็ไม่ได้มีกลิ่นอะไรเป็นพิเศษต่อคนแปลกหน้า เจี่ยนอี๋นั่วนั้นนอกเหนือจากกลิ่นเจลอาบน้ำแล้วก็ไม่ได้มีกลิ่นอื่นใด

อย่างไรก็ตามเหลิ่งเซ่าถิงที่ได้กลิ่นของเจี่ยนอี๋นั่ว เป็นกลิ่นหอมหวานจางๆ กลิ่นนี้สามารถกำจัดความหนาวเย็นในชีวิตของเขาได้ทันทีและทำให้ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยสีสันอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่ววิ่งลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว เธอรออยู่นานกว่าที่ประตูบ้านจะเปิดออก เจี่ยนซวงถูกชายในชุดดำอุ้มเข้ามาพร้อมกับน้ำตาบนใบหน้าของเธอ ในวินาทีที่เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนซวงก็ร้องไห้เสียงดัง "หม่าม้า หม่าม้า ซวงซวงคิดว่าหม้าม่าไม่ต้องการซวงซวงแล้ว…"

เจี่ยนซวงกล่าวในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วอ้าแขนของเธอออก เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงในทันที เธอกอดเจี่ยนซวงไว้ในอ้อมแขนของเธอ เธอร้องไห้พลางกล่าวว่า "ซวงซวง หม่าม้าเลี้ยงดูหนูได้ไม่ดีพอ หม่าม้าไม่ได้ปกป้องหนู หม้าม่าผิดเอง"

"หม่าม้าไม่ผิด คนเลวต่างหากที่ผิด…" เจี่ยนซวงกล่าว เธอหายใจเข้าลึกๆอีกคราและร้องไห้งอแง

เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหลิ่งหมิงอันก็ตะโกนเสียงดัง "รีบยิง รีบฆ่าเขา!"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง นิ้วมือของเธอสั่น ในเวลานี้ จู่ๆก็มีเสียงปืนดังขึ้น แขนของเหลิ่งหมิงอันก็ถูกกระสุนเจาะเข้าไป เขาทรุดลงกับพื้น ในกลุ่มชายคนหนึ่งของเหลิ่งเซ่าถิงรีบกล่าว "ปืนผมลั่น"

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงอุบัติเหตุ แต่ทุกคนก็กังวลใจมากกว่าเก่า คนของเหลิ่งเซ่าถิงยกปืนขึ้นและเล็งไปที่เหลิ่งหมิงอัน สถานการณ์ตึงเครียดมาก พร้อมที่จะปะทะได้ทุกเมื่อ

เจี่ยนอี๋นั่วถอยกลับไปยังด้านข้างของเหลิ่งหมิงอัน เธอขมวดคิ้วและถาม "เจี่ยนซวงล่ะ? คุณปล่อยเจี่ยนซวง ฉันจะโน้มน้าวให้เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยคุณไป"

เหลิ่งเซ่าถิงทนกับความเจ็บปวด เขากัดฟันยิ้มและกล่าว "โน้มน้าวเขา? คุณคิดว่าเขายังเป็นเหลิ่งเซ่าถิงคนก่อนงั้นหรือ? ส่วนเจี่ยนซวง หากผมตาย คุณก็จะไม่ได้เจอเจียนซวงอีกเลย รีบยิงเหลิ่งเซ่าถิงซะจากนั้นพวกเราก็ค่อยหนี!"

เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาใกล้ เขาพูดกับเหลิ่งหมิงอัน "เหลิ่งหมิงอัน แกไม่ต้องพูดให้เปลืองแรงหรอก ทุกอย่างควรจะจบได้แล้ว อี๋นั่ว

มาที่นี่เร็ว"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังเหลิ่งหมิงอันและกล่าวว่า "หากว่าเหลิ่งเซ่าถิงตาย พวกเราก็หมดหนทางที่จะออกไปจากที่นี่"

เหลิ่งหมิงอันเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขามองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับขมวดคิ้วและถาม "พวกเรา?"

ในขณะที่เหลิ่งหมิงอันยังไม่ทันได้สติ เจี่ยนอี๋นั่วก็คว้ามือเขาและเล็งปืนไปยังเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นเธอก็พูดกับเขา "ปล่อยเราไปซะ ซวงซวงอยู่ในกำมือของเขา!"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดสุขุม "ผมสามารถพาซวงซวงกลับมาได้ เชื่อผม ตอนนี้คุณมาหาผม มายืนข้างกายผม เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรซวงซวงหรอก เขาเพียงแค่ขู่คุณเท่านั้น"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ "ฉันไม่มีทางที่จะเอาชีวิตซวงซวงมาเสี่ยง! ปล่อยฉันกับเขาไปซะ! คุณไม่รู้หรอกว่าเขาจะทำอะไรซวงซวงได้บ้าง!"

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาและช่วยประคองหมิงอัน แต่เหมือนกับว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นโง่งมไปชั่วขณะ เขาขมวดคิ้ว จ้องมองอี๋นั่ว เวลาผ่านไปชั่วขณะ เหลิ่งหมิงอันมีอาการตัวสั่นและถาม "อี๋นั่ว คุณกำลังช่วยผมใช่ไหม?"

ฉันกำลังช่วยซวงซวง!

ภายในใจของอี๋นั่วคิดเช่นนี้ แต่เธอนั้นไม่อยากขัดแข้งกับเหลิ่งหมิงอัน เธอจึงพยักหน้าเบาๆและพูด "ฉันกำลังช่วยคุณ ดังนั้นคุณต้องทำตามที่ฉันบอก…"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มเบาๆ เขายกมือขึ้นเพื่อสัมผัสอี๋นั่วแต่แขนของเขานั้นถูกเหลิ่งเซ่าถิงยิงด้วยปืน เหลิ่งหมิงอันวางแขนลงในทันที เขาถอนหายใจด้วยความเจ็บปวดจากนั้นเขาก็เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยสายตาเคียดแค้น

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงและเธอตะโกนว่า "คุณจะทำอะไร?"

ในเวลานี้มีเสียงกระสุนปืนดังขึ้นจากด้านซ้าย คนของเหลิ่งเซ่าถิงก็ถูกยิงและพวกเขาจึงหันกลับไปต่อสู้ เหลิ่งหมิงอันยิ้มและจ้องมองเซ่าถิง "แกคิดว่าฉันไม่ได้พาลูกน้องมาหรือไง? ฉันมาถึงที่นี่จะไม่ได้เตรียมตัวมาได้อย่างไรกันล่ะ?"

เหลิ่งเซ่าถิงยกปืนขึ้นและเล็งไปยังเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วรีบห้ามเหลิ่งเซ่าถิง เธอส่ายหน้า "อย่ายิง ซวงซวงอยู่ในกำมือเขา ปล่อยฉันกับเขาไปเถอะ!"

ในขณะที่อี๋นั่วกำลังห้ามเซ่าถิงอยู่นั้น มีคนออกมาจากในความมืดและเข้าไปประคองเหลิ่งหมิงอันไว้ เหลิ่งหมิงอันใช้มือปิดบาดแผลของเขาจากนั้นเขาหันกลับมาหาเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "อี๋นั่ว มากับผม คุณมากับผม ผมจะปล่อยเจี่ยนซวงไป"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้าวเท้าไปในทันที คิดจะหนีไปกับเหลิ่งหมิงอันแต่ทว่าเธอยังไม่ทันจะได้วิ่งไปหาเหลิ่งหมิงอัน มือของเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงคว้ามือเจี่ยนอี๋นั่วไว้และเตรียมลั่นไกยิงเหลิ่งหมิงอัน แต่คนที่มาช่วยเหลิ่งหมิงอันยกปืนขึ้นทันทีพร้อมกับยิงกระสุนใส่เหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงดึงมืออี๋นั่วไว้และหลบหลังพุ่มไม้ เขาคอยเฝ้ามองเหลิ่งหมิงอันที่ได้รับการช่วยเหลือ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามสลัดมือออกจากเหลิ่งเซ่าถิงและตามเหลิ่งหมิงอันออกไป เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะคิด ถ้าหากว่าเธอไม่ไปอยู่ข้างกายเหลิ่งหมิงอันแล้วเจี่ยนซวงจะต้องเจอกับเรื่องราวอะไรบ้าง

แต่เหลิ่งเซ่าถิงกำข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นซึ่งไม่มีโอกาสเลยที่เจี่ยนอี๋นั่วจะสลัดมือออกไปได้ เจี่ยนอี๋นั่าเฝ้ามองเหลิ่งหมิงอันที่กำลังได้รับความช่วยเหลือ ด้วยความร้อนใจเธอยกปืนขึ้นและเล็งไปยังหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง "ปล่อยฉันซะ!"

เหลิ่งเซ่าถิงก้มศีรษะลงขมวดคิ้วและเหลือบมองปืนที่กำลังจ่ออยู่ตรงหน้าอกของเขา เขาบีบข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเสียงเบา "คุณจะยิงเลยก็ได้ แต่อย่างไรผมก็ไม่ปล่อยมือ ถ้าหากว่าคุณไป การช่วยคุณออกมาอีกครั้งนั้นไม่ง่ายเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันเรียกชื่อเธอจากระยะไกล เธอต้องการที่จะลุกขึ้นทันที แต่กลับไม่สามารถสลัดมือจากเหลิ่งเซ่าถิงได้เลย

"ฉันไม่ต้องการให้คุณช่วย!" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า "ที่ฉันอยากให้คุณช่วยก็คือซวงซวง ตอนนี้เธออยู่กับเหลิ่งหมิงอันตามลำพัง! คุณปล่อยฉัน!"

เหลิ่งเซ่าถิงกดไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยมือทั้งสองข้างของเขาและพูดด้วยเสียงทุ้มลึก "คุณใจเย็นก่อน เขาใช้ซวงซวงมาข่มขู่คุณ หากว่าคุณไม่ไป ซวงซวงก็จะไม่เป็นอันตรายและคนของผมกำลังพยายามคิดหาทางช่วยเธออยู่ จะต้องเจอตัวอย่างแน่นอน"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันและลูกน้องของเขานั้นได้จากไปแล้ว เธอนั่งลงและกล่าวเสียงเบา "หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับซวงซวง ฉัน..ฉัน…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง เธอกัดฟันและกล่าว "ฉันจะไม่มีวันปล่อยหมิงอันไป จะไม่ปล่อยคุณไปด้วยเช่นกัน! สิ่งที่ฉันต้องการไม่ใช่การคาดเดาของคุณ ไม่ใช่ความใจเย็น สิ่งที่ฉันต้องการคือทั้งความปลอดภัยของซวงซวง!"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ เธอก็ลุกขึ้นและยืนอยู่เช่นนั้น เธอขมวดคิ้วจ้องมองเซ่าถิงค่อยๆลดปืนที่ถืออยู่ในมือลง เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงและถามเบาๆว่า "คุณเตรียมตัวไว้ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหมว่าในเวลานี้จะช่วยฉันและปล่อยซวงซวงไว้ที่นั่น?"

เหลิ่งเซ่าถิงเงียบไปชั่วขณะและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "ผมส่งคนไปช่วยซวงซวงแล้ว แต่พบเพียงตัวแทนของเหลิ่งหมิงอันที่ซ่อนตัวอยู่ที่นั่น ในสถานการณ์นี้ผมจึงทำได้เพียงแค่ช่วยคุณ แต่คนของผมนั้นก็ได้ตามหาในเส้นทางอื่นๆแล้ว อีกไม่นานก็อาจเจอตัว"

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าและหลับตาลง "คุณควรจะให้ฉันไปกับเหลิ่งหมิงอัน!"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่น เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "ผมไม่สามารถให้คุณไปกับเหลิ่งหมิงอันได้ คุณไม่รู้หรือไงว่าเขาพยายามจะทำอะไรคุณ?"

อี๋นั่วกล่าวพร้อมรอยยิ้มโง่เขลา "รู้สิ รู้อยู่แล้ว เขาอยากได้ฉัน อยากคบกับฉัน แล้วมันยังไงเหรอ ขอแค่รับรองได้ว่าลูกสาวของฉันปลอดภัย ฉันก็เต็มใจที่จะทำทุกอย่าง! เหลิ่งเซ่าถิง ฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ ฉันรับผิดชอบการตัดสินใจของตัวเองได้ ตราบใดที่ซวงซวงไม่เป็นอะไร ฉันก็ยอมที่จะแต่งงานกับเหลิ่งหมิงอัน ยอมที่จะเป็นภรรยาของเขา!"

ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมืดมน เขาจ้องมองอี๋นั่วและกล่าวอย่างเยือกเย็น "อี๋นั่ว คุณรู้ไหมว่าตัวเองกำลังพูดอะไร? คุณเป็นคนใจเย็นมาโดยตลอดและคุณเข้มแข็งมาก คุณไม่ควร…"

"ใช่!" เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเซ่าถิง เธอตะโกนเสียงดัง "ฉันในตอนนี้ไม่ใช่เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันเป็นคนที่ลูกสาวกำลังตกอยู่ในอันตราย แต่ตัวเองกลับอยู่ในความปลอดภัย แม่ของเธอกลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยในสิ่งที่ลูกสาวของเธอกำลังเผชิญอยู่!"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว เขามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว "แต่คุณไม่เพียงเป็นแม่ของซวงซวงเท่านั้น คุณยังเป็นแม่ของเด็กอีกคนด้วย เขาต้องการคุณมากเช่นกัน!"

"ฉันมีลูกอีกคนเมื่อไหร่กัน!" เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอเองก็ค่อยๆหยุดนิ่ง เธอขมวดคิ้วจ้องมองเซ่าถิง "เด็กคนนั้นยังไม่ตาย?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดกับอี๋นั่วว่า "ผมช่วยเขาไว้ ตอนนี้เขาอยู่ต่างประเทศ ปลอดภัยแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตา เธอทรุดลงบนพื้น เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง "คุณไม่คิดจะบอกฉันหรือไง? รู้ไหมว่าฉันรู้สึกผิดต่อลูกมานานแค่ไหน? ทำไมคุณถึงไม่บอกฉันตั้งแต่แรกว่าลูกยังมีชีวิตอยู่?"

"เพราะผมเองก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน!" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าว "ถ้าหากว่าผมตาย คุณก็ไม่สามารถรักษาเขาไว้ได้ สู้ให้คุณไม่รู้ตั้งแต่แรกยังดีกว่า"

"นั่นเป็นทางเลือกของฉัน ในฐานะพ่อของเด็ก ไม่ใช่ว่าควรบอกฉันตั้งแต่แรกเหรอว่าเขายังมีชีวิตอยู่?" เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอขมวดคิ้วและกล่าวเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วส่่ายหน้าอย่างอดไม่ได้ เธอยิ้มขมขื่นและกล่าว "ประธานเหลิ่ง คุณใช้วิธีของคุณในการปกป้องเรามาโดยตลอด แต่ตอนนี้ล่ะ? แม้ว่าฉันจะปลอดภัยแต่ลูกของฉันจะอยู่ในสถานการณ์อย่างไรก็ยังไม่รู้แน่ชัด ส่วนลูกชายของฉันนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าใครเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด! วิธีการปกป้องแบบนี้ คุณคิดว่ามันเหมาะสมแล้วหรือ?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "อย่างน้อยตอนนี้พวกคุณก็ยังมีชีวิตอยู่ ตั้งแต่พ่อของคุณเกิดอุบัติเหตุ ผมก็ได้ตัดสินใจไว้แล้วว่าไม่ว่าอุปสรรคจะยากลำบากแค่ไหน สิ่งแรกที่ผมจะช่วยก็คือคุณ คนเราไม่ว่าจะบาดเจ็บแค่ไหนก็สามารถรักษาให้หายได้ในวันหนึ่ง แต่ถ้าไม่เหลือชีวิตรอดก็ไม่เหลือแม้แต่ทางรักษา"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า เธอกล่าวเสียงเบา "ประธานเหลิ่ง คุณรู้ไหมว่าวิธีที่ปกป้องฉันได้อย่างดีที่สุดคืออะไร? ก็คือเราไม่ต้องมาพบเจอกันอีก"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง "เมื่อฉันเลือกที่จะอยู่กับคุณ ฉันก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะต้องพบเจอกับอะไรบ้าง แต่ฉันก็ยังอยู่กับคุณ ช่างเถอะ อย่าเสียเวลาเถียงเรื่องพวกนี้เลย ถ้าคุณไม่ต้องการให้ฉันกลับไปก็ได้โปรดพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยลูกสาวของฉัน ฉันหวังว่าเธอจะปลอดภัย…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอค่อยๆหันหลังและเดินจากไป เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองแผ่นหลังของอี๋นั่วและขมวดคิ้วแน่น นี้คือบทสนทนาระหว่างเซ่าถิงและอี๋นั่วในรอบหลายปีที่ผ่าน แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเขาและเจี่ยนอี๋นั่วห่างกันมากขึ้นเรื่อยๆ เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไป แต่ในเวลานั้นมีคนเดินมาข้างกายของเหลิ่งเซ่าถิง เขาถามเสียงเบาว่า "ประธานเหลิ่ง จะจัดการกับศพของคุณหญิงอย่างไร?"

เหลิ่งเซ่าถิงหันศีรษะไปเล็กน้อยและกล่าว "ก่อนอื่นให้ประกาศว่าเธอถูกยิงโดยเหลิ่งหมิงอัน จากนั้นก็ประกาศไปอีกว่าฉันและเหลิ่งหมิงอันไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งอะไรกันแล้วก็บอกไปอีกว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังคงอยู่เคียงข้างฉัน ปิดกั้นข่าวอื่นๆให้หมด"

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดลงอย่างกะทันหัน เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง เธอหันศีรษะเล็กน้อยและเห็นใครบางคนเดินผ่านมาพร้อมกับร่างของกู้เค่อหยิง ดวงตาของกู้เค่อหยิงยังคงเปิดกว้างราวกับว่าเธอยังไม่เชื่อว่าเธอตายแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วยังคงจำช่วงเวลาที่เหลิ่งเซ่าถิงยิงกระสุนใส่กู้เค่อหยิงได้ ในตอนนั้นเขาไร้ซึ่งความปราณี กู้เค่อหยิงคือภรรยาของเขาไม่ใช่หรือ? เหลิ่งเซ่าถิงไม่สนใจแม้แต่ความรักของเขาเลยหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมา เธอมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง หรือว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้เปลี่ยนไปเป็นคนที่เธอไม่คุ้นเคยไปแล้วงั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอันเดินไปที่ห้องจัดเลี้ยงด้วยกัน เป็นเพราะความกดดันภายในใจ เจี่ยนอี๋นั่วจึงไม่มีโอกาสที่จะสนใจสายตาของคนรอบข้าง หลังจากที่เธอเดินตามเหลิ่งหมิงอันไปยังห้องจัดเลี้ยงแล้ว เธอก็ได้ยินเสียงดนตรีดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นเธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงและกู้เค่อหยิงเดินควงแขนลงมาชั้นล่าง กู้เค่อหยิงยังคงสวยสะดุดตา เมื่อมองแล้วให้ความรู้สึกสง่างาม ส่วนเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงหล่อเหล่าและสะกดทุกสายตา

เมื่อทั้งสองคนเดินเข้าไปในฝูงชนพวกเขาเหมือนไข่มุกที่ส่องแสง ใครๆต่างก็ยกยอคู่เขา เธออดไม่ได้ที่จะอิจฉา คู่รักคู่นี้ดูเหมือนว่าจะมีความสุขในทุกๆอย่าง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เธอเองก็มีอาการสันสนมึนงง เหมือนกับว่าตัวเธอนั้นเกือบลืมลักษณะท่าทีของเหลิ่งเซ่าถิงไปแล้ว เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังก้าวมาทีละก้าว ความทรงจำในอดีตเหล่านั้นก็ค่อยๆกลับเข้ามาภายในหัวใจของเธอพร้อมกับระยะห่างที่ใกล้ขึ้นระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิง

"ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นช่างงดงามจริงๆ" เหลิ่งหมิงอันจ้องมองอี๋นั่วและกล่าวเสียงเบา "ดวงตาที่สวยงามแบบนี้ หากว่าดวงตาแบบนี้มาอยู่ในดวงตาของผมแทนก็คงจะดีไม่น้อย"

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะไปมองเหลิ่งหมิงอันและขมวดคิ้วแน่นในทันที เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเบาๆและพูด "ทำไม? กลัวเหรอ? ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันไม่ได้พูดจริงเสียหน่อย ดวงตาของฉันไม่สามารถปลูกถ่ายใหม่ได้แล้ว สามารถทำให้แค่ใส่ดวงตาปลอมเท่านั้น เป็นไง? คุณรู้สึกรู้สึกดีขึ้นเลยใช่ไหมล่ะ? โล่งใจแล้วล่ะสิ?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและกล่าว "นั่นมันก็เป็นเรื่องของคุณ"

เหลิ่งหมิงอันขยับเข้าใกล้ใบหูของอี๋นั่ว เขากล่าวเบาๆว่า "ถ้าอย่างนั้นอย่าลืมเรื่องที่เกี่ยวกับเราทั้งสองคน อย่าลืมว่าต้องฆ่าเหลิ่งเซ่าถิง"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนั้น เธอชะงักเล็กน้อยและเม้มริมฝีปาก ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็จ้องมองไปในทิศทางของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนอื่นเขาเหลือบมองไปยังมือที่กำลังสัมผัสกันระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอัน จากนั้นเขาก็มองไปที่แหวนบนนิ้วของเจี่ยนอี๋นั่ว แม้ว่าระยะทางนั้นจะไกล แต่แสงระยิบระยับบนแหวนนั้นส่องแสงไปยังดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงจนทำให้เขาต้องหรี่ดวงตาเล็กน้อย

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้อี๋นั่ว เขายิ้มพร้อมกับถาม "ผมกับคุณออกไปในตอนนี้ เขาจะไล่ตามมาไหม? ตอนนี้เขาดูเหมือนสิงโตกำลังจะเป็นบ้า"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอแน่นและไม่ตอบ เหลิ่งหมิงอันบีบมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและเดินออกจากห้องจัดเลี้ยงไปในทันที ไม่เพียงแต่สายตาของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้นที่มองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอัน แต่ยังมีสายตาของกู้เค่อหยิงที่จ้องมองเหลิ่งหมิงอันอย่างประหม่า เมื่อการเต้นรำเริ่มขึ้น กู้เค่อหยิงใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่ไม่มีใครและรีบวิ่งตามไปในทิศทางที่เหลิ่งหมิงอันออกไป

"เหลิ่งหมิง…" กู้เค่อหยิงมองแผ่นหลังของเหลิ่งหมิงอัน ในรีบตะโกนในทันที

เหลิ่งหมิงอันดึงมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหันศีรษะไปมองกู้เค่อหยิงและขมวดคิ้วถาม "ทำไมคุณถึงมาที่นี่?"

กู้เค่อหยิงรีบถามว่า "หมิงอัน ดวงตาของคุณ…เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของคุณ?"

กู้เค่อหยิงนั้นดวงตาสีลูกท้อของเหลิ่งหมิงอันเป็นที่สุด ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ได้มอง กู้เค่อหยิงก็จะเห็นความรักที่ไม่มีที่สิ้นสุดในดวงตาคู่นั้น เหลิ่งหมิงอันหัวเราะอย่างช้าๆ เขามองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่ข้างๆเขาอย่างอ่อนโยนจากนั้นเขายิ้มและกล่าว "ดวงตาเหรอ ดวงตาของฉันน่ะเป็นของหมั้นมอบให้คนอื่นไปแล้ว"

กู้เค่อหยิงนั้นไม่เข้าใจว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นหมายความว่าอย่างไร เธอขมวดคิ้วในทันที "คุณกำลังพูดถึงอะไร?"

เหลิ่งหมิงอันกระพริบตาอย่างช้าๆจากนั้นก็หัวเราะเบาๆ "จู่ๆฉันก็นึกได้ถึงเรื่องบางอย่างที่น่าสนใจ"

เหลิ่งหมิงอันหันศีรษะไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว โดยใช้เสียงที่มีเพียงเขาและเธอเท่านั้นที่ได้ยิน เขากล่าวเบาๆว่า "อี๋นั่ว คุณว่าเมื่อคุณเผชิญหน้ากับกู้เค่อหยิงแล้วเหลิ่งเซ่าถิงจะเลือกใคร? ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องยากสำหรับคุณที่คุณจะจัดการเหลิ่งเซ่าถิง งั้นผมจะเลือกทางเลือกที่มั่นใจกว่านี้ให้คุณได้ดู หากว่าคุณเลือกจะฆ่าเซ่าถิง คุณไม่ต้องรู้สึกผิดเลยเพราะเขาพร้อมที่จะยอมให้คุณตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวและยิ้มให้กับกู้เค่อหยิงพร้อมกับกล่าวว่า "คุณมานี่ ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกคุณ"

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ตะโกนเสียงดัง "อย่าเข้ามา เขาจะทำร้ายเธอ!"

แม้ว่ากู้เค่อหยิงจะไร้ซึ่งมารยาทกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากดึงหญิงสาวคนนี้เข้ามาในเกมที่น่ารำคาญเช่นนี้ เมื่อกู้เค่อหยิงได้ยินคำพูดของอี๋นั่วเธอก็ชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ในในคำเตือนของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มและวิ่งเข้าไปหาเหลิ่งหมิงอัน

กู้เค่อหยิงวิ่งไปยังข้างกายของเหลิ่งหมิงอัน เธอถามหมิงอันด้วยรอยยิ้ม "หมิงอัน คุณจะทำอะไร? ฉันจะบอกพูดให้ ฉันมีวิธีปกป้องตัวเองอยู่ แค่เพียงให้หญิงสาวข้างกายคนนี้…"

กู้เค่อหยิงยังไม่ทันที่จะกล่าวจบ เหลิ่งหมิงอันก็หยิบปืนขึ้นมาและชี้ไปที่หน้าผากของกู้เค่อหยิงจากนั้นเขาพูดด้วยรอยยิ้ม "อย่าขยับ ไม่งั้นผมยิง ผู้หญิงสวยๆอย่างคุณอาจดูไม่ดีเลยหากว่าสมองเละ"

กู้เค่อหยิงเบิกตากว้างด้วยความตกใจ "หมิงอัน คุณจะทำอะไรกันแน่?"

เหลิ่งหมิงอันมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เขายิ้มและก้าวเท้าถอยหลังเพื่อที่จะไปยืนด้านข้างของอี๋นั่วและเค่อหยิง เขาเล็งเพื่อไปยังด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและกู้เค่อหยิงจากนั้นเขายิ้มและกล่าว "พี่ชาย เลือกสักคนสิ คุณเลือกคนหนึ่ง อีกคนก็ต้องตาย เป็นไง? น่าสนใจไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน "มาสร้างปัญหาถึงที่นี่ แกคิดว่าแกควรออกไปจะดีกว่าไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ กลุ่มชายชุดดำก็เดินเข้ามาล้อมเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "เหลิ่งเซ่าถิง ผู้หญิงของแกอยู่ในกำมือฉัน ฉันรู้ว่าแกส่งคนไปช่วยแล้ว แต่แกไปผิดสถานที่ว่ะ แกหาเด็กผิดคน..แกคิดว่าฉันจะไม่ป้องกันตัวเองหน่อยเหรอ? คนที่โตมาพร้อมๆกับฉันคิดว่าฉันไม่รู้หรือไง?"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและขยับมือเล็กน้อย จากนั้นชายชุดดำต่างก็แยกย้ายออกไป สายตาของเหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและละสายตาไปยังเหลิ่งหมิงอัน เขากล่าวเบาๆว่า "แกต้องการจะทำอะไร?"

"ผู้หญิงสองคน คนหนึ่งเลิกกับแกไปนานแล้วและคลอดลูกสาวให้กับแก อีกคนคือภรรยาตามกฎหมายของแก กู้เค่อหยิงคลอดลูกชายให้แกหนึ่งคน แกเลือกผู้หญิงสักคนสิ" เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "คนที่แกไม่ได้เลือก ฉันก็จะฆ่าเธอทิ้งไปซะ"

กู้เค่อหยิงรีบพูดกับเหลิ่งหมิงอัน "เหลิ่งหมิงอัน คุณจะทำอะไร? คุณกำลังข่มขู่ฉันใช่ไหม? หรือว่าคุณลืมไปแล้วว่าระหว่าง.."

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะและตัดบทคำพูดของกู้เค่อหยิง เขาหัวเราะและกล่าว "เหมือนว่าคุณยังไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมจะบอกคุณให้ ระหว่างคุณกับผมมันไม่มีเรื่องอะไรทั้งนั้น คุณก็เป็นแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ผมเล่นด้วยก็เท่านั้นและคุณไม่จำเป็นต้องภักดีกับผม ตอนนี้คุณควรคาดหวังและขอพรว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเลือกคุณ ไม่งั้นชีวิตของคุณก็จบเห่"

เมื่อเหลิ่งหมิงอันกล่าวเช่นนี้ เขาก็ยกปืนขึ้นและเล็งไปยังขมับของกู้เค่อหยิง เมื่อก่อนกู้เค่อหยิงเคยถูกลักพาตัวไป ครั้งหนึ่งเธอเคยเห็นฉากฆาตกรรมและฉากนองเลือด ตอนนี้หากว่ากู้เค่อหยิงนึกถึงก็จะกลายเป็นฝันร้ายของเธอ เธอไม่อยากเป็นศพในฝันร้ายนั้น

กู้เค่อหยิงรีบตะโกนในทันที "คุณอย่า..อย่าทำร้ายฉัน.."

กู้เค่อหยิงกล่าวเช่นนี้ เธอรีบหันหน้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิง "เซ่าถิง เหลิ่งหมิงอันบ้าไปแล้ว คุณรีบเลือกฉัน คุณอย่าลืม คุณและฉันมีลูกด้วยกันแล้ว ลูกของเรานั้นยังเด็กมากยังต้องการการดูแล ชีวิตของฉันนั้นพูดได้เลยว่ามีค่ามากกว่าเจี่ยนอี๋นั่วคนนั้น ฉันไม่สามารถตายได้"

เมื่อเทียบกับกู้เค่อหยิงที่ตื่นตระหนกและร้องขอความเมตตา เจี่ยนอี๋นั่วนั้นสงบกว่าเธอมาก เธอสงบนิ่งและจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงจากระยะไกล เธอเหลือบมองเหลิ่งหมิงอันที่ยืนอยู่ข้างเธอด้วยสายตาเย็นชา ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากตายอยู่ที่นี่จริงๆ เธอไม่เผชิญการเลือกหลังจากนี้

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองมองเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นเขาก็มองกู้เค่อหยิงและกล่าวอย่างเย็นชา "ฉันไม่จำเป็นต้องเลือกอะไรเพราะฉันไม่ได้มีทางเลือกตั้งแต่แรกอยู่แล้ว"

เมื่อกู้เค่อหยิงได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเลือกเธออย่างแน่นอน กู้เค่อหยิงโล่งใจในทันใด ในเวลานี้ดอกไม้ไฟของงานเลี้ยงก็ได้ดังขึ้นและกลบเสียงปืนทั้งหมด กู้เค่อหยิงเบิกตากว้างราวกับว่าความเจ็บปวดทั้งหมดของเธอในขณะนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา

"ทะ ทำไม…" ดวงตาของกู้เค่อหยิงเบิกกว้าง เธอก้มศีรษะลงและมองไปยังท้องของเธอ มองดูเลือดที่ไหลออกมาตลอดเวลาและเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับปืนในมือของเขา เธอกล่าวอย่างร้อนรน "ทำไม ทำไมเป็นฉันที่ตาย? ทำไมคนที่ฆ่าฉันถึงเป็นคุณ?"

กู้เค่อหยิงสัมผัสบาดแผลที่ท้องของเธอและค่อยๆทรุดตัวลงบนพื้น เหลิ่งหมิงอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขาจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับหัวเราะและกล่าว "นี่คือเหลิ่งเซ่าถิงที่ฉันคิดไว้ คนที่ไม่ถูกผู้อื่นควบคุม"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองไปที่กู้เค่อหยิงอย่างว่างเปล่า เธอมองเลือดที่กำลังไหลออกมาจากช่องท้องของเธออย่างต่อเนื่องและดวงตาของกู้เค่อหยิงนั้นยังคงเบิกกว้างราวกับเธอยังไม่ยินยอมที่จะตายจากไป ไม่ใช่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเห็นคนตายมาก่อน แม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเคยทำร้ายคนอื่นและฆ่าคนไป แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเห็นเหลิ่งเซ่าถิงฆ่าคนมาก่อนและเขาตัดสินใจอย่างเฉียบขาด เขาฆ่าคนโดยไม่ลังเลและไม่สนใจในกฎหมาย ผู้หญิงที่เขาฆ่าคือภรรยาของเขา

เหลิ่งเซ่าถิงยกปืนขึ้นและเล็งไปยังเหลิ่งหมิงอัน เขากล่าวเบาๆว่า "ตอนนี้ฉันมีเพียงตัวเลือกเดียว แกควรจะส่งตัวเจี่ยนอี๋นั่วมาให้ฉัน เหลิ่งหมิงอัน ทำไมต้องเล่นเกมที่น่าเบื่อนี้ แกยังไม่ยอมส่งตัวเจี่ยนอี๋นั่วมาให้ฉันอีก ตอนนี้ฉันตัดตัวเลือกออกไปแล้ว แกส่งเจี่ยนอี๋นั่วมาให้ฉันซะ และนำตัวเจี่ยนซวงมา ไม่งั้นแกก็ต้องตาย!"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาชี้ปืนไปยังเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับหัวเราะและกล่าว "แกไม่เชื่อว่าฉันจะฆ่าเจี่ยนอี๋นั่วเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงยกปืนขึ้น เขาค่อยๆก้าวเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอัน เขากล่าวเบาๆว่า "แกทำไม่ได้ หากว่าแกฆ่าเธอได้ แกจะไม่พาเธอมาที่นี่"

มีการแสดงออกที่ผิดเพี้ยนอย่างบ้าคลั่งบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอัน เขาหัวเราะและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง "ไม่ ฉันยังมีทางเลือกที่สาม"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวพร้อมกับมอบปืนในมือของเขาให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหัวเราะและพูดกับอี๋นั่วว่า "ยิง คุณยิงเขาซะ! ไม่งั้นเจี่ยนซวงจะต้องทุกข์ทรมาน"

มือของเจี่ยนอี๋นั่วได้สัมผัสกับปืนที่มีความเย็น เธอขมวดคิ้วแน่น เหลิ่งหมิงอันจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังถือปืนไว้และก้าวเข้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิง เขายิ้มอย่างบ้าคลั่งและพูด "ยิงสิ เจี่ยนอี๋นั่ว คุณยิงมันซะ ฆ่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าคุณแล้วเจี่ยนซวงจะปลอดภัย! คุณไม่ใช่แม่คนเหรอ? หรือว่าคุณไม่อยากปกป้องลูกของตัวเอง?"

หลายปีต่อจากนั้น เรื่องราวระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงที่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ก็ได้กลายเป็นเรื่องราวเพิ่มเติมจากการสุขสันต์วันปีใหม่

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบวันขึ้นปีใหม่ เมื่อถึงวันขึ้นปีใหม่แล้ว แม้ว่าครอบครัวเธอจะมีอยู่ด้วยกันทั้งหมดสี่คน แต่ก็ไม่ได้มีตากับยายแล้วก็ไม่ได้มีเรื่องราวให้น่ารำคาญใจ แต่เมื่อมองดูผู้คนรอบข้างต่างยุ่งวุ่นวายจนไม่มีเวลาทักทายกันและเนื่องจากเป็นปีแรกที่ทั้งสี่คนมาอยู่รวมตัวกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยุ่งวุ่นวายด้วย เหมือนกับว่าเธอไม่เคยมีภาพฉากนี้มาก่อนราวกับว่าเธอไม่เคยฉลองวันปีใหม่

ในที่สุดก็ถึงวันส่งท้ายปีเก่า เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอใช้มือค้ำคางไว้และเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังทำเกี๊ยวอยู่และบ่นเบาๆว่า "ปีใหม่นี้ฉันเหนื่อยแทบแย่ ตอนที่ไปซื้อของก็มักรู้สึกว่าต้องขาดอะไรบางอย่างอีกแน่ แต่หลังจากซื้อมาแล้วฉันก็รู้สึกว่ามันมากเกินไป กินทั้งหมดไม่ไหวหรอก"

เจี่ยนซวงที่อยู่ด้านข้างก็ถอนหายใจในทันที "เหนื่อยจริงๆ มีอาหารอร่อยเยอะแยะไปหมดเลย หนูปวดฟันไปหมดแล้ว"

แขนเสื้อของเหลิ่งเซ่าถิงถูกพับขึ้น ในขณะที่เขากำลังทำเกี๊ยว เขาก็มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดว่า "ถ้าหากว่าเหนื่อยก็ไปดื่มน้ำ เดี๋ยวเกี๊ยวเสร็จ ผมค่อยเรียกคุณกับลูกมาทาน"

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเจี่ยนลั่วหยางที่อยู่ด้านข้าง ในเวลานี้เขากำลังจัดการลงมือทำเกี๊ยวอย่างจริงจัง เธอบังคับตัวเองให้นั่งหลังตรงและกล่าวอย่างจริงจังว่า "ไม่ได้ ลั่วหยางยังคงจริงจังกับการห่อเกี๊ยว ฉันจะออกไปด้านนอกได้อย่างไร? ฉันเองก็เป็นแม่ ฉันก็ต้องเป็นตัวอย่างของแม่ที่ดี"

แม้ว่าเจี่ยนลั่วหยางจะเป็นลูกอีกคนของอี๋นั่วและเซ่าถิง เป็นเพราะว่าพ่อแม่บุญธรรมของเจี่ยนลั่วหยางมีสกุลว่าลั่วดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าลั่วหยางมาโดยตลอด เพื่อที่จะให้เขาปรับตัวกับสถานะได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจึงไม่ได้เปลี่ยนชื่อให้กับเจี่ยนลั่วหยาง พวกเขาจึงเพิ่มนามสกุลของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ด้านหน้าของชื่อเขา

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ชอบนามสกุลของเขา เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าในเมื่อเจี่ยนซวงใช้นามสกุลของเธอ งั้นเด็กอีกคนก็ต้องใช้นามสกุลของเหลิ่งเซ่าถิง แบบนี้ถึงจะเหมาะสม แต่เหลิ่งเซ่าถิงนั้นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ตั้งแต่กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงนั้นตามใจเจี่ยนอี๋นั่วมาโดยตลอด เขาไม่เคยปฏิเสธอี๋นั่วเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้เขานั้นปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจในความหมายของเหลิ่งเซ่าถิงและไม่อยากจะปฏิเสธเขาอีก เธอจึงให้เด็กทั้งสองมีสกุลว่า เจี่ยน

แม้ว่าเจี่ยนลั่วหยางและเจี่ยนซวงนั้นคือพี่น้องฝาแฝด แต่นิสัยของทั้งสองนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจี่ยนซวงนั้นเป็นเด็กมีชีวิตชีวา กินเยอะและช่างเจรจา ส่วนเจี่ยนลั่วหยาวนั้นสุขุมและนิ่งเงียบ เมื่อเจี่ยนลั่วหยางได้ยินในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวแล้ว เขาเพียงแค่เหลือบมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำเกี๊ยวต่อ

ดูเหมือนว่าลั่วหยางนั้นมีอาการกังวลเป็นอย่างมาก เขาจัดระเบียบวางเกี๊ยวอย่างเป็นระเบียบ คล้ายกับการเรียงแถวของทหารที่กำลังรอคอยการตรวจสอบก็ไม่เชิง ส่วนเกี๊ยวของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเขาห่อในขนาดที่พอดิบพอดีและจัดวางลงบนโต๊ะของเป็นระเบียบเช่นกัน และไม่ง่ายเลยที่เจี่ยนอี๋นั่วจะห่อเกี๊ยวที่เหี่ยวย่นและน่าเกลียดนี้ ในขณะที่เธอกำลังจะจัดเรียงลงจาน เจี่ยนลั่วหยางก็ชำเลืองมองเกี๊ยวที่เหี่ยวย่นนั้นทันที

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่กล้าที่จะนำเกี๊ยวที่เหี่ยวย่นของเธอวางลงบนจานที่มีการห่อเกี๊ยวเรียงอย่างสวยงามราวกับสั่งทำจากโรงงานของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่ววางเกี๊ยวของเธอลงข้างๆเขา เธอและเจี่ยนลั่วหยางนั้นพบกันในช่วงเวลาสั้นๆ แต่แยกจากกันเป็นเวลานาน ตั้งแต่ที่เธอได้พบกับเจี่ยนลั่วหยาว เมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับลั่วหยางแล้วเธอก็คอยเอาใจใส่และไม่กล้าที่จะทำอะไรจนเกินควร

เจี่ยนซวงนั้นมองท่าทีของผู้คนออก เธอเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นค่อยๆวางเกี๊ยวอย่างระมัดระวัง เธอจึงแสดงท่าทีหัวเราะและห่อเกี๊ยวเหี่ยวย่นมาวางข้างๆเกี๊ยวของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มและกล่าวเอาอย่างใจ "หม่าม้า ซวงซวงอยู่กับหม่าม้า"

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสศีรษะของซวงซวงอย่างเบามือ เธอยิ้มและพูด "ซวงซวงเด็กดี"

เจี่ยนซวงมองเจี่ยนลั่วหยางด้วยสายตาที่ภาคภูมิใจ "หม่าม้าชอบซวงซวงที่สุด ใครบางคนไม่อาจขโมยแม่ของซวงซวงไปได้หรอก"

ในเวลานี้เจี่ยนซวงไม่ได้มองว่าเจี่ยนลั่วหยาวเป็นพี่ชาย แต่มองว่าเขาเป็นคู่แข่งที่แย่งชิงแม่ของเธอไปจากเธอ เจี่ยนลั่วหยางเหลือบมองเจี่ยนซวงด้วยสายตาเย็นชาจากนั้นเขาละสายตาลงและกล่าวอย่างเย็นชา "เด็กน้อย…"

เจี่ยนซวงปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ทันทีและตะโกน "คุณบอกว่าใครเป็นเด็ก? คุณกับซวงซวงก็โตเท่ากันนั่นแหละ แล้วทำไมซวงซวงถึงเป็นเด็ก? ไม่ใช่ว่าคุณมีพ่อมีแม่หรือไง? ทำไมต้องต้องมาขโมยป่ะป๊ากับหม่าม้าซวงซวงด้วย?"

เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นในทันที เธอขมวดคิ้วและมองเจี่ยนซวงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ซวงซวง หนูกำลังพูดอะไร?"

เจี่ยนซวงย่นจมูกของเธอ ดวงตาของเธอแดงก่ำและร้องไห้ "ก็เพราะเป็นแบบนี้ไง ไม่ง่ายเลยที่เจี่ยนซวงจะมีป่ะป๊า แต่กลับต้องมาแบ่งให้กับเขา เจี่ยนซวงไม่อยากแบ่งให้กับเขา!"

เจี่ยนลั่วหยาวมองไปยังเจี่ยนซวงด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ จากนั้นเขาก็ก้มหน้าและวางเกี๊ยวต่อไป เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองไปยังเจี่ยนซวงที่ยังคงร้องไห้อย่างไม่มีท่าทีจะหยุด เขาขมวดคิ้วพร้อมกับแสดงสีหน้างุนงง เหลิ่งเซ่าถิงนั้นยังไม่คุ้นชินกับบทบาทของพ่อเท่าไหร่นัก เขายังไม่รู้ว่าควรจะปลอบเด็กน้อยอย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวเบาๆ "คุณสามารถเข้าไปกอดไปอุ้มเธอได้"

เหลิ่งเซ่าถิงวางเกี๊ยวในมือลงจากนั้นเขาก็เดินไปยังหน้าของเจี่ยนซวงและอุ้มเธอมากอด เจี่ยนซวงนั้นยังไม่คุ้นชินกับการกอดของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงอุ้มเธอขึ้นมา อาจเป็นเพราะว่าซวงซวงนั้นยังไม่คุ้นชินกับความสูงของเขา เธอเบิกตากว้างและหยุดร้องในทันที เธอคว้าคอของเหลิ่งเซ่าถิงในทันทีด้วยความประหม่าและกลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงอาจทำเธอหล่นลงไป

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่หยุดร้องไห้แล้วและนั่งลงข้างๆเจี่ยนลั่วหยาง เธอพูดกับลั่วหยางเบาๆว่า "คำพูดของน้อง หวังว่าหนูคงจะไม่เก็บเอาไปใส่ใจ น้องยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับหนู คงอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยเดี๋ยวก็ดีขึ้น.."

ลั่วหยางไม่ได้ตอบอะไร เขาก้มหน้าลงและจัดระยะห่างของการวางเกี๊ยว เจี่ยนอี๋นั่วจึงถามอย่างระมัดระวัง "งั้น เกี๊ยวของฉันกับของซวงซวง สามารถนำไปวางในนั้นด้วยได้หรือเปล่า?"

เมื่อเห็นว่าเจี่ยนลั่วหยาวไม่ได้ตอบอะไร เจี่ยนอี๋นั่วจึงวางเกี๊ยวของเธอลงไปในกองเกี๊ยวเหล่านั้นและเธอได้ทำเกี๊ยวที่จัดวางไว้เป็นระเบียบแล้วเละเทะในทันที เจี่ยนลั่วหยางขมวดคิ้ว จ้องมองเกี๊ยวเหี่ยวย่นสองชิ้นนั้นพร้อมกับแสดงสีหน้าที่ยากลำบากใจ

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือออกไปหยิบเกี๊ยวของเธอและซวงซวงพร้อมกับรีบกล่าว "ถ้าอย่างนั้น ฉันเอาเกี๊ยวของฉันกับซวงซวงออกดีกว่า"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอก็ยื่นมือออกไปและกำลังจะหยิบเกี๊ยว

"ไม่ต้องหรอก วางไว้" เจี่ยนลั่วหยางเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเบาๆ "แม้ว่าเกี๊ยวของพวกคุณจะดูน่าเกลียด แต่พวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน ผมรับได้"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของลั่วหยาง เธอนิ่งไปชั่วขณะจากนั้นดวงตาของเธอแดงก่ำและกล่าวเบาๆกับเจี่ยนลั่วหยาง "ขอบใจ..ขอบใจ"

เจี่ยนลั่วหยางส่ายหน้า "ไม่ต้องขอบคุณผม"

เหลิ่งเซ่าถิงยังคงอุ้มเจี่ยนซวงที่หยุดร้องไห้ไปแล้ว เจี่ยนซวงยังคงเบิกตากว้างและสูดจมูกของเธอ เธอมองลงไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวอย่างเอาแต่จ "หม่าม้า…สูงมากๆ…หนูกลัว…"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวงและกล่าว "เมื่อกี้ใครให้หนูดื้อ? หลังจากนี้ถ้ายังดื้ออีกจะให้ป่ะป๊าอุ้มหนูเอาไว้แบบนั้น"

"ไม่เอา.." เจี่ยนซวงรีบส่ายศีรษะของเธอ จากนั้นก็มองลั่วหยางและกล่าว "เฮ้ ป่ะป๊าน่ะสูงมาก สูงจนน่าตกใจ ให้หม่าม้าอุ้มดีกว่าเยอะเลย…"

เจี่ยนลั่วหยางเหลือบมองเจี่ยนซวงจากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตาจัดเรียงเกี๊ยว ดูเหมือนว่าเขาจะพยายามจัดวางเกี๊ยวของเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่วให้อยู่ในกองเกี๊ยวอย่างไม่เกะกะสายตา เจี่ยนซวงนั้นไร้ซึ่งความสนใจ เมื่อกี้เธอนั้นตั้งใจจะพูดคุยกับลั่วหยางแล้วและเหมือนกับว่าเธอขอโทษเขาไปแล้ว แต่ราวกับว่าเจี่ยนลั่วหยางนั้นไม่สนใจ

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากของเธอพร้อมกับลดศีรษะลงปั้นแป้งของเธอต่อไป เมื่อเกี๊ยวสุก เจี่ยนซวงก็รีบกินเกี๊ยวที่ตนเองได้ทำไว้ แต่เมื่อกัดไปเพียงหนึ่งคำเธอก็ขมวดคิ้วในทันที "ไม่อร่อยเลย แป้งเยอะมาก.."

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและหมุนตัวหนีในทันที เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบให้เธอทิ้งอาหาร แต่เกี๊ยวนี้มันไม่สามารถกินเข้าไปได้จริงๆ ในเวลานี้เจี่ยนซวงจึงตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบาก แต่ในขณะนั้นเจี่ยนลั่วหยางได้เดินมาข้างๆเธอและกล่าวเบาๆ "เธอไม่ชอบกินก็ส่งมาให้ฉัน"

เจี่ยนซวงตาโตในทันที เธอยิ้มและพูดว่า "จริงเหรอ ดีเลย!"

หลังจากที่เจี่ยนซวงกล่าวจบ เธอก็รีบวางเกี๊ยวลงในชามของลั่วหยาง เมื่อเจี่ยนลั่วหยางกัดเกี๊ยวไปแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเนื่องด้วยรสชาติของเกี๊ยวที่แย่เกินกว่าจะกิน

หลังจากที่กินเกี๊ยวแล้ว เจี่ยนลั่วหยางก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาและสีหน้าที่ไร้อารมณ์ "ฉันไม่ได้ชื่อ เฮ้ ฉันเป็นพี่ของเธอ เธอควรเรียกฉันว่า พี่ชาย"

เมื่อเจี่ยนซวงรู้ถึงข้อดีของการมีพี่ชาย เธอยิ้มหวานในทันทีจากนั้นเธอยิ้มราวกับเด็กและร้องตะโกน "พี่ชาย..พี่ชาย.."

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คาดคิดว่าเวลาผ่านไปเพียงไม่นานนัก เด็กทั้งสองก็มีมิตรภาพที่ดีต่อกัน เธอยิ้มและมองไปที่เจี่ยนซวงที่เดินตามหลังเจี่ยนลั่วหยางราวกับว่าตัวติดกันอย่างไรอย่างนั้น เธอค่อยๆเอนกายพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆโอบกอดเธอและจูบหน้าผากของเธอเบาๆ

ไม่ว่าหลังจากนี้ครอบครัวจะเจออุปสรรคขัดขวางมากมายเท่าไหร่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็มีความกล้าหาญที่จะเผชิญกับทุกสิ่ง

ในเวลานี้มีการจุดพลุดอกไม้ไฟ ด้านนอกหน้าต่างมีแสงสว่างไสว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและกล่าวว่า "ใครกันที่กล้ามากขนาดนี้? ไม่ใช่ว่าการจุดดอกไม้ไฟเป็นเรื่องต้องห้ามหรือ?"

แต่เจี่ยนซวงที่เห็นดอกไม้ไฟที่สวยงามเช่นนี้ เธอจึงจับมือของเจี่ยนลั่วหยางในทันทีและวิ่งไปมอง เมื่อวิ่งไปถึงข้างเตียงแล้วจากนั้นเจี่ยนซวงก็มองมาที่เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิง เธอกวักมือเรียกและยิ้มพร้อมกับตะโกนว่า "ป่ะป๊า หม่าม้า มาดูเร็ว ดอกไม้ไฟ…"

เจี่ยนซวงกล่าวพร้อมกับหันหน้าไปมองเจี่ยนลั่วหยางที่อยู่ด้านข้างเธอ เธอถามอย่างเอาใจ "พี่ชาย พี่ว่าดอกไม้ไฟสวยไหม? พี่ชอบหรือเปล่า?"

"ไม่ชอบ" เจี่ยนลั่วหยางขมวดคิ้วมองไปที่ดอกไม้ไฟที่สว่างไสวและพูดอย่างเย็นชา "เป็นมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม"

เจี่ยนซวงทำหน้ามุ่ยและบ่นพึมพำ "ซวงซวงชอบมาก งั้น พี่สร้างดอกไม้ไฟที่สวยงามโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมให้ซวงซวงหน่อยสิ"

เจี่ยนลั่วหยางพยักหน้าเบาๆและตอบ "อืม.."

"สุขสันต์วันปีใหม่" เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ดอกไม้ไฟที่งดงามจากนั้นเธอก็หันไปมองเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าว

เหลิ่งเซ่าถิงตอบ "ผมมีความสุขตั้งนานแล้ว"

เหลิ่งหมิงอันยืนขึ้นและเดินไปที่หน้าต่าง เมื่อเขาก้มศีรษะลง เขาก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงกำลังเล่นด้วยกัน เมื่อแสงดวงอาทิตย์กระทบบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้ใบหน้าของเธอนั้นดูอ่อนโยนมาก

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา การจ้องมองนั้นทำให้เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วในทันที ก่อนหน้านี้เหลิ่งหมิงอันยังคงมองเห็นความเกลียดชังในสายตาของอี๋นั่ว แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเขาเหมือนกับว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ การจ้องมองของเธอในตอนนี้ราวกับมองอากศ ราวกับว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วทันที ความรู้สึกดีใจของเขาเพียงเพราะเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ได้ฆ่าเขาก็หายไปทันที ตอนนี้หัวใจของเหลิ่งหมิงอันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดขึ้น เขาไม่ชอบที่เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเขาแบบไร้ความรู้สึก ถ้าหากว่าสามารถเลือกได้ เขายอมให้อี๋นั่วเกลียดเขา อย่างน้อยในเวลานั้นในสายตาของอี๋นั่วก็ยังมีเขาอยู่

"คุณผู้ชาย..มีคนส่งการ์ดเชิญมา" สาวรับใช้หยิบการ์ดเชิญสีแดงส่งให้เหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันหันกลับมาและรับการ์ดเชิญ

เมื่อเขารับการ์ดเชิญแล้วเขาก็เปิดอ่านในทันที เมื่อเห็นข้อความด้านใน ทันใดนั้นเขาก็เบ้ปากจากนั้นก็หัวเราะขึ้น "ดีเลย เหลิ่งเซ่าถิง ฉันจะทำให้คุณเห็นกับตาตัวเองว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเลือกฉันอย่างไร"

เหลิ่งหมิงอันกล่าว เขาถือการ์ดเชิญลงไปด้านล่าง เดินไปข้างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน รอยยิ้มของเธอหยุดนิ่งไปชั่วขณะ แต่แล้วเธอก็หัวเราะออกมาพร้อมกับส่งยิ้มให้เหลิ่งหมิงอันและถามว่า "เป็นอะไร? มีเรื่องอะไรเหรอ?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและส่งการ์ดเชิญในมือให้เจี่ยนอี๋นั่ว เขายิ้มอ่อนโยนและกล่าว "การ์ดเชิญที่เหลิ่งเซ่าถิงส่งมา เชิญให้เราไปร่วมงานครบรอบแต่งงานของเขา"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอถามพร้อมส่งยิ้มให้ "ฉันต้องไปเหรอ?"

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้าทันที เขายิ้มและพูดว่า "แน่นอน คุณต้องไปเป็นคนสนิทของผม"

เจี่ยนซวงลุกขึ้นยืนทันทีและกล่าวอย่างรวดเร็ว "ซวงซวง ซวงซวงก็อยากไป…"

เหลิ่งหมิงอันหรี่สายตามอง เขายิ้มให้ซวงซวงและกล่าว "หนูไปไม่ได้ หนูต้องอยู่บ้าน รอฉันและหม่าม้าของหนูกลับบ้าน"

เจี่ยนซวงกระพริบตาและถามอย่างเอาแต่ใจ "ทำไมซวงซวงถึงไปไม่ได้ล่ะ?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและพูด "เพราะว่าซวงซวงต้องอยู่ที่นี่ รอฉันและหม่าม้ากลับมา หากว่าซวงซวงไปด้วย หม่าม้าของซวงซวงอาจจะไม่ได้กลับมาที่นี่"

เหลิ่งหมิงอันกล่าว เขาลุกขึ้นและจ้องมองอี๋นั่ว "ดูเหมือนว่าสำหรับเซ่าถิงแล้ว คุณยังคงสำคัญอยู่มาก เมื่อเขาได้ยินว่าผมเข้ามาพัวพันกับคุณ เขาก็จัดงานเลี้ยงทันที เขารู้ หากว่าผมอยู่กับคุณ จะต้องอดไม่ได้ที่จะโอ้อวดต่อหน้าเขา ผมเป็นแบบนี้จริงๆ แม้จะรู้ว่านี่อาจเป็นโอกาสของเหลิ่งเซ่าถิง เพื่อที่จะเอาตัวคุณไปจากผม แต่ผมก็ยังอยากพาคุณไป ให้เขาเห็นว่าคุณควงแขนผมอย่างไรและในมือมีแหวนที่ผมมอบให้ จากนั้นก้าวเดินไปข้างหน้าเขาและประกาศข่าวการแต่งงานของเรา"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและจ้องไปที่เหลิ่งหมิงอัน หากว่าเหลิ่งหมิงอันรู้ว่านี่คือเกมที่เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้เราเข้าไป เขาจะต้องเอาเจี่ยนซวงมาข่มขู่เธอแน่

เหลิ่งหมิงอันมองอี๋นั่ว เขากล่าวเสียงเบา "คุณเสียใจมามากแล้ว เคยทำร้ายเซ่าถิงสักครั้งไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว จ้องมองเหลิ่งหมิงอัน "คุณหมายความว่าไง?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้ม "ผมจะสอนคุณยิงปืนแล้วก็ฆ่าเหลิ่งเซ่าถิงไง"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากของเธอและมองไปยังเหลิ่งหมิงอัน "ฆ่าเขา? คุณเป็นบ้าเหรอ? ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขา คุณคิดว่าตัวคุณเองจะไม่ต้องรับผิดชอบอะไรหรือไง?"

"ผมไม่กลัว" เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "มีคนจำนวนมากต้องการฆ่าเหลิ่งเซ่าถิง แต่คุณน่ะมีเกณฑ์ที่จะทำสำเร็จสูงสุด ถ้าคุณฆ่าเขามีคนมากมายที่จะแสดงความยินดี เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็ไปซ่อนตัวที่ต่างประเทศไม่มีใครสามารถตามหาเราพบ"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนซวงจับมืออี๋นั่ว เธอขมวดคิ้วและถามว่า "หม่าม้า เขาให้หม่าม้าทำอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงและมองไปที่เจี่ยนซวง ก่อนที่เธอจะพูดอะไร จู่ๆก็มีคนเข้ามาปิดปากเจี่ยนซวงและอุ้มเจี่ยนซวงไป เจี่ยนซวงยื่นมือออกมา เจี่ยนซวงพยายามอย่างมากที่จะคว้ามือของอี๋นั่วไว้และเจี่ยนซวงก็ร้องอู้อี้ "หม่า…ม้า…"

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยากจะเข้าไปคว้าเจี่ยนซวง แต่เมื่อเธอวิ่งตามไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็ถูกเหลิ่งหมิงอันคว้าเอาไว้และกอดไว้แน่น เหลิ่งหมิงอันกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้จากด้านหลังและกล่าวว่า "เจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าหากว่าคุณฆ่าเซ่าถิง ผม เจี่ยนซวงและคุณก็จะอยู่ด้วยกัน ถ้าหากว่าคุณไม่ฆ่าเหลิ่งเซ่าถิง ผมก็จะไม่ฆ่าเจี่ยนซวงแต่ผมจะขายเธอไปซะ บนโลกนี้มีคนมากมายที่ชอบเด็กตัวน้อย ผมพอจะรู้ว่ามีเกาะแห่งหนึ่งที่สามารถส่งเด็กน้อยน่ารักเหล่านี้ไปได้ มีงานสังสรรค์ไว้สำหรับนักการเมืองที่ร่ำรวยที่มีงานอดิเรกที่ไม่เหมือนกับใคร ในตอนนั้นแม้ว่าคุณจะพบเธอ เธอก็อาจจะเสียผู้เสียคนไปแล้วก็ได้ เธออาจมีบาดแผลในใจที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้และเมื่อคุณเห็น คุณก็อาจจะรู้สึกพลาดไปและคิดว่าทำไมนั้นเวลานั้นคุณถึงไม่ฆ่าเหลิ่งเซ่าถิงไปซะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมา เธอจ้องไปยังเหลิ่งเซ่าถิงและตะโกน "คุณยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า เธอเป็นหลานสาวของคุณ ในเมื่อคุณพูดแบบนี้ออกมามันก็คือการข่มขู่ คุณไม่ควรทำกลอุบายที่น่าขยะแขยงแบบนี้!"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ "ผมก็ไม่รู้ว่าผมยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่าแล้วผมเองก็ไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ คุณไม่มีทางจะรักผม ผมจะมีวิธีอย่างไรบ้าง? สิ่งที่ผมต้องการไม่ใช่ว่าคุณไม่เกลียดผม ถ้าหากว่าคุณไม่มีความรู้สึกกับผม ผมก็ยอมให้คุณเกลียดผม! คุณไม่ต้องกลัวไปหรอก ผมจะขจัดอุปสรรคระหว่างเราทีละคนทีละคน เมื่อถึงตอนนั้นต่อให้คุณไม่รักผม เกลียดผมมากก็ตามแต่อย่างไรคุณก็ต้องเลือกผม!"

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงแล้วกล่าว "เหลิ่งหมิงอัน คุณบ้าไปแล้ว!"

เหลิ่งหมิงอันกอดเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ เขาหัวเราะเบาๆ "ใช่ บ้าไปแล้ว! ทำไม? คุณรู้สึกเสียใจงั้นสิ? รู้สึกเสียใจใช่ไหมที่เมื่อวานคุณไม่ฆ่าผมทิ้งไปซะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ใช่ ฉันเสียใจที่ไม่ฆ่าคุณไปซะ"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะในทันที "ถึงแม้ว่าจะเจ็บปวดมาก แต่ก็ยังรู้สึกดีกว่าเมื่อกี้ อี๋นั่ว คุณเลือกได้แค่สองเส้นทาง จะรักผมหรือจะเกลียดผม หากว่าคุณไม่มีทางรักผมได้ ผมก็จะทำให้คุณเกลียดผมซะ ไปเถอะ ก่อนที่จะไปงานเลี้ยง ผมจะพาคุณไปเลือกของขวัญ งานเลี้ยงของเซ่าถิง เป็นสถานที่ที่หญิงสาวต่างต้องแต่งตัวให้สวยสง่า ผมไม่อยากให้คุณแพ้หญิงสาวคนอื่น"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก เธอมองเหลิ่งหมิงอันด้วยสายตาเกลียดชัง เธอกัดฟันและกล่าว "โอเค ฉันจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและดวงตาของเขาก็ส่องแสงประกาย เหลิ่งหมิงอันกุมมือเจี่ยนอี๋นั่วและพาเธอไปยังห้องโถง ภายในห้องโถงนั้นมีเสื้อผ้าของสตรีมากมาย มีชุดราตรีและชุดไปรเวทธรรมดา เขาหยิบเสื้อผ้าสองสามชุดให้กับอี๋นั่ว "ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมมักคิดถึงคุณเสมอและผมมักจะซื้อสิ่งของเหล่านี้ไว้ให้คุณ มีเสื้อผ้า เครื่องประดับและแม้แต่เครื่องสำอาง ทุกครั้งที่ซื้อ ผมมักคิดว่าถ้าคุณได้รับสิ่งเหล่านี้ คุณจะโกรธหรือคุณจะรู้สึกมีความสุข? แล้วเมื่อคุณสวมเสื้อผ้าเหล่านี้แล้วมันจะสวยมากหรือเปล่า"

เหลิ่งหมิงอันรู้สึกตื่นเต้นที่ได้เลือกสิ่งต่างๆ ในที่สุดก็เลือกเสื้อผ้าจำนวนมากมากองไว้ตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม "คุณไปลองสิ"

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเสื้อผ้าไว้ เธอหันหน้าหนีด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งความรู้สึก เธอเดินเข้าไปในห้องแต่งตัวข้างๆ เธอรีบเปลี่ยนเป็นชุดสีดำเรียบง่ายและออกมา เจี่ยนอี๋นั่ววางชุดทั้งหมดลงและกล่าวอย่างเย็นชา "ไม่ต้องลองแล้ว ฉันใส่ตัวนี้"

เหลิ่งหมิงอันนั้นเหมือนกับว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก เขาเบ้ปากและขมวดคิ้ว "คุณไม่ลองทั้งหมดนี้เหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและจ้องมองเขา "หรือว่าจะใช้เจี่ยนซวงมาข่มขู่ฉันอีก?"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ "คุณโกรธจริงๆแล้วสิ วางใจเถอะ ผมไม่ได้เอาเจี่ยนซวงมาขู่คุณตามอำเภอใจหรอก ไม่ลองก็คือไม่ลอง ผมชอบท่าทางที่คุณปฏิเสธผม มาสิ ผมจะใส่เครื่องประดับให้คุณ"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวพร้อมกับหยิบสร้อยเพชรและสวมให้เจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากใส่สร้อยคอให้เธอแล้วเหลิ่งหมิงอันก็กอดเธอจากด้านหลัง เขามองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกและกล่าวว่า "คุณสวยมากจริงๆ เมื่อผมได้อยู่กับคุณแล้วผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังพ่ายแพ้"

เหลิ่งหมิงอันกล่าว เขาหันศีรษะเล็กน้อยและภาพในกระจกสะท้อนเขาเพียงครึ่งเดียว เหลิ่งหมิงอันเหลือบมองไปที่ภาพของทั้งสองที่อยู่ด้วยกันในกระจก เขาหัวเราะเบาๆพร้อมกับลดศีรษะลงจากนั้นก็มอบจุมพิตที่ต้นคอของอี๋นั่ว เขากล่าวเบาๆว่า "อี๋นั่ว ผมรักคุณ..เหมือนกับว่าผมได้ครอบครองคุณแล้วจริงๆ…"

เจี่ยนอี๋นั่วอดทนต่ออาการคลื่นไส้อยากจะอ้วกเอาไว้ภายใต้จิตใจของเธอ เธอชำเลืองมองภาพของเธอและเหลิ่งหมิงอันในกระจก เธอแทบรอไม่ไหวที่จะถือมีดไว้ในมือและแทงเหลิ่งหมิงอันไปซะ

เหลิ่งหมิงอันปล่อยเธอในทันใด เขาก้มศีรษะลงมองแหวนในมือของเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับสัมผัสเบาๆ เขายิ้มและกล่าว "ไปเถอะ ไปแต่งหน้า เดี๋ยวเราก็จะไปกันแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ เธอกำลังฝืนยิ้มให้กับเขาและทำตามในสิ่งที่เหลิ่งหมิงอันบอกกล่าว

จนกระทั่งท้องฟ้ามืดลง ในที่สุดเหลิ่งหมิงอันก็พาเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นรถเพื่อไปงานเลี้ยง เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ค่อยได้แต่งตัวสวยมานานมากแล้ว เธอกระชับกระเป๋าถือในมือด้วยความประหม่า ในกระเป๋าถือนี้ก็มีปืนพกซ่อนเอาไว้

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและลูบหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขากล่าวว่า "สบายใจเถอะ หากทุกอย่างเป็นไปด้วยดี อีกไม่นานเราก็จะกลับมา"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง เมื่อถึงงานเลี้ยง เหลิ่งหมิงอันก็ได้ลงจากรถไปก่อน จากนั้นเขาก็เดินอ้อมไปยังประตูด้านที่เจี่ยนอี๋นั่วนั่งอยู่และเปิดประตูให้เธอ เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม "ไปกันเถอะ จับแขนผมไว้"

เจี่ยนอี๋นั่ววางมือลงบนแขนของเหลิ่งหมิงอันในทันที พวกเขาเดินตามฝูงชนเข้าไปในงานเลี้ยง งานเลี้ยงนี้ดูยิ่งใหญ่มาก มีดาราเซเลปมากมายเข้าร่วมงาน สายตาของพวกเขาจับจ้องมายังเหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันนั้นผู้คนต่างก็รู้จักแต่กลับไม่มีใครเคยพบเห็นเหลิ่งหมิงอัน

และเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่ข้างกายหมิงอันนั้นก็มีคนบางส่วนไม่รู้จักเธอดังนั้นทุกคนต่างแปลกใจและอยากรู้ว่าทำไมเธอถึงได้กลายเป็นคนสนิทของเหลิ่งหมิงอัน แต่บางคนที่รู้จักอี๋นั่วแล้วก็ประหลาดใจยิ่ง นั่นคือหญิงสาวที่เคยเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ปรากฏตัวในงานเลี้ยงกับเหลิ่งหมิงอันได้อย่างไร? ทั้งสองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองก่อนจะพูดกับเหลิ่งหมิงอันด้วยรอยยิ้มว่า : “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าฉันรักคุณอยู่หรอ?”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะถายหลังไปก้าวหนึ่ง ใบหน้าของเขาค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นก่อนที่เขาจะถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ใช่สิ ตอนนี้เธอก็รักฉันอยู่ไม่ใช่หรอ? ฉันลืมไป…..ฉันลืมไปน่ะ”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะอ่อนๆก่อนจะเปลี่ยนเป็นหัวเราะแบบบ้าคลั่ง เจี่ยนซวงที่ตกใจเสียงหัวเราะของเหลิ่งหมิงอันนั้นรีบเข้าไปขดตัวอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะคว้าชายเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นอย่างตื่นกลัวว่า : “หม่าม้าคะ…..”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาวตัวน้อยเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไม่ต้องกลัวนะคะ เขาแค่ดีใจมากเกินไปเท่านั้นเองค่ะ”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆแล้วหันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอันอย่างจริงจัง เธอขมวดคิ้วขึ้น ไม่ว่าเธอจะดูยังไง เธอก็ไม่รู้สึกว่าผู้ชายอย่างเหลิ่งหมิงอันไม่ได้มีความสุขสักนิดเลยนะ?

เหลิ่งหมิงอันก้มหน้าลงก่อนจะมองเจี่ยนซวงแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม : “ถึงเวลาที่หนูควรไปนอนแล้วมั้ยนะ?”

เจี่ยนซวงรีบคว้าชายเสื้อของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น ก่อนจะพูดด้วยเสียงเล็กๆของเธอว่า : “ซวงซวงไม่อยากนอนค่ะ ซวงซวงยังอยากอยู่เล่นกับหม่าม้าก่อน”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองเจี่ยนซวงก่อนจะยกมือขึ้นมาลูบหัวลูกสาวเบาๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ซวงซวงไปพักผ่อนก่อนนะคะ หนูได้เจอกับหม่าม้าแน่นอน ไม่ต้องกลัวค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะก้มหน้าลงไปจูบหน้าผากเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอขยี้ตาก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่กำลังจะร้องไห้ : “ค่ะ ซวงซวงไม่กลัว ซวงซวงเป็นคนที่กล้าหาญมากๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวของเจี่ยนซวง แล้วสาวรับใช้สองคนก็เดินเข้ามาหาเจี่ยนอี๋นั่วก่อนที่จะพาเจี่ยนซวงออกไป เจี่ยนซวงเม้มปากของตัวเอง กลั้นให้ตัวเองไม่สะอื้น เธอนั้นไม่ได้ร้องไห้ออกมา เพียงแต่อะอึกเท่านั้นเอง

เจี่ยนอี๋นั่วมองตามแผ่นหลังลูกสาวที่เดินจากไป ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆเลือนหายไป จู่ๆฝ่ามือของเธอก็รู้สึกเย็นเฉียบขึ้นมา มือเย็นของเขานั้นค่อยๆสัมผัสกับมือเธอที่ละน้อย เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามามอง เธอพบเหลิ่งหมิงอันที่โอบเธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วยอมรับได้เลยว่าใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันนั้นช่างดึงดูดมากๆ แม้ว่าเขาจะเสียดวงตาของเขาไปข้างนึงแล้วก็ตาม มันไม่ได้มีผลต่อความหล่อเหลาของเขาเลย อีกทั้งมันยังเพิ่มเสน่ห์ความชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ให้เขาอีกด้วยซ้ำ

เมื่อเหลิ่งหมิงอันเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วมองตาข้างซ้ายของเขา เขาก็หลบหลีกอย่างทันทีตามธรรมชาติ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เธอก็กลัวหรอ?”

“ก็ฉันเป็นคนทำมันเองนี่ แล้วฉันจะกลัวทำไมล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เมื่อเหลิ่งหมิงอันได้ยินเช่นนั้นเขาจึงค่อยๆยิ้มขึ้นมา ก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดอย่างจริงจังว่า : “หลังจากที่เราแต่งงานกัน เราจะมีลูกด้วยกัน แล้วก็นามสกุลเจี่ยน”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขึ้น : “งั้นถ้ารอหลังจากเราแต่งงานกันแล้ว ฉันอาจจะไม่มีลูกได้แล้วก็ได้”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะยิ้มด้วยความขมขื่นก่อนจะพูด : “เธอยังกลัวฉันอยู่หรอ? ถ้าคนอื่นเป็นคนทำร้ายฉันแบบนี้ คนนั้นคงจะตายไปแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “แล้วฉันต้องขอบคุณนายมั้ยที่มีพระคุณต่อฉันอย่างนี้?”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว : “มานี่ มาจูบฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปหาเหลิ่งหมิงอันทันที ก่อนเขย่งเท้าเบาๆ ตอนที่เธอกำลังจะยื่นหน้าขึ้นไปจูบเหลิ่งหมิงอันนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ถูกเหลิ่งหมิงอันผลักออกทันที เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้ว ก่อนจะตะคอกกับเธอ : “เธอเป็นอะไรไปเจี่ยนอี๋นั่ว! ฉันต่างจากเหลิ่งเซ่าถิงตรงไหน ฉันเป็นคนไม่ดี ส่วนเหลิ่งเซ่าถิงเป็นนักบุญอย่างนั้นหรอ? ใช่ ฉันเคยทำร้ายเธอ แต่เหลิ่งเซ่าถิงเขาเป็นคนรักที่ปกป้องเธออย่างนั้นหรอ? ทำไมเธอถึงรักเหลิ่งเซ่าถิงได้ แต่ทำไมเธอรักฉันไม่ได้? ถ้าเธอควักลูกตาของเหลิ่งเซ่าถิงออก ฆ่าเขาสองครั้ง เขาคงไม่อาลัยอารมณ์เธอแล้วปล่อยเธออย่างที่ฉันทำหรอก!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “แล้วทำไมต้องพูดถึงเขาด้วยล่ะ? มันไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ตอนนี้ฉันไม่รักเขาอีกต่อไปแล้ว คนที่ฉันรักตอนนี้คือนายไง”

“ดี….” เหลิ่งหมิงอันบีบข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา : “งั้นก็คงไม่ต้องรอหลังวันแต่งงานแล้วล่ะ เรามาซัมติงกันตอนนี้เลยดีมั้ยล่ะ?”

เหลิ่งหมิงอันคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วตรงไปที่ห้องทันที ก่อนจะจะผลักประตูเข้าไปแล้วจัดการผลักเจี่ยนอี๋นั่วลงไปนอนบนเตียง ก่อนจะกดจูบไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเขาก็จัดการฉีกเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เหลิ่งหมิงอันถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วโยนมันลงไปกองกับพื้น

แต่แล้วเหลิ่งหมิงอันที่จูบเจี่ยนอี๋นั่วอยู่นั่นค่อยๆผละจูบออก ก่อนจะลุกขึ้นแล้วมองใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เธอไม่คิดจะขัดขืนหน่อยหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “แล้วทำไมฉันต้องขัดขืนล่ะ?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มด้วยความขมขื่นก่อนถอยออกมาแล้วหันหลังลงจากเตียงไป แล้วมองมาที่เจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาแดงก่ำก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า : “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอนี่ช่างทรมานคนอื่นได้เก่งจริงๆนะ แต่ฉันก็……หึหึ…..ฉันแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว”

เหลิ่งหมิงอันรีบหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาก่อนจะรีบสวมใส่มันอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันเดินออกไปแล้ว เธอก็ค่อยๆลุกขึ้นก่อนจะสวมเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วหยุดอยู่ใต้ฝักบัวก่อนจะหลับตาลงแล้วเปิดฝักบัว เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าคิดเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ ต่อไปเธอจะทำยังไง เธอกลัวว่าถ้าเธอคิดมากเกินไปมันจะทำให้เธอทำต่อไปไม่ได้

กว่าเที่ยงคืนแล้วเหลิ่งหมิงอันค่อยกลับเข้ามา เจี่ยนอี๋นั่วถูกเสียงดังนั้นทำให้เธอตื่น เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นมา ก่อนจะเห็นเหลิ่งหมิงอันหิ้วผู้หญิงร่างสูง หน้าตาสวยอยู่ตรงหน้าเธอ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อกลิ่นเหล้าของเหลิ่งหมิงอันนั้นลอยมาแตะจมูกเธอ

สาวสวยคนนั้นออกเซาะอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะพูดว่า : “คุณเหลิ่งคะ คนนี้คือใครหรอคะ? ทำไมเธอถึงมองพวกเราด้วยสายตาแบบนั้นด้วยล่ะคะ? ฉันกลัวจังเลยค่ะ?”

“หล่อนน่ะหรอ เป็นว่าที่ภรรยาฉันน่ะ อีกไม่นานเราก็จะแต่งงานกันแล้ว “ เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม

ผู้หญิงคนนั้นตกใจก่อนจะเบิดตาโตขึ้นมา แล้วยกยิ้มขึ้นก่อนจะพูดว่า : “คะ? ทำไมถึงเป็นอย่างนั้นไปได้ล่ะ? คุณจะเลวเกินไปแล้วนะคะที่พาฉันมาเจอว่าที่ภรรยาของคุณแบบนี้ ถ้าเธอทำอะไรฉันขึ้นมา ตบตีฉันขึ้นมาจะทำยังไงคะ?”

เหลิ่งหมิงอันจับไหล่ผู้หญิงคนนั้นก่อนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “อย่ากังวลเลย หล่อนไม่ทำอะไรเธอหรอก หล่อนก็แค่คนไม่มีหัวใจ หล่อนแค่เฝ้ามองฉันดื่มด่ำกับความสุข ไม่พูดอะไรมากมายหรอก ใช่มั้ย เจี่ยนอี๋นั่ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องเหลิ่งหมิงอันก่อนจะพูดขึ้นว่า : “นายเมาแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันฟังที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เขาก็ค่อยๆปล่อยมาออกจากไหล่ของหญิงสาวคนนั้น แล้วก็เดินตรงไปที่เตียงก่อนจะพึมพำขึ้นมา : “อืม นอนสิ…..นอน……..”

หญิงสาวคนนั้นขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะจะโกรออกมาอย่างรวดเร็วว่า : “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณคะ? คุณเหลิ่งคะ…….คุณเหลิ่ง แล้วตอนนี้ฉันควรทำยังไงต่อล่ะเนี่ย?”

“นี่!” เหลิ่งหมิงอันพูดอย่างคนเมา : “อี๋นั่วบอกให้ฉันนอนไง เธอออกไปเดี๋ยวนี้เลยนะ! ไม่ต้องมารบกวนพวกเรา”

หญิงสาวกระทืบเท้าอย่างใส่อารมณ์ ก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป เหลิ่งหมิงอันนอนบนเตียงก่อนจะพลิกตัวแล้วหลับตาลง ก่อนจะพึมพำว่า : “อี๋นั่ว เมื่อกี้ฉันประชดเธอ เธออย่าคิดมากนะ ฉันไม่รู้จักแม่แต่ชื่อของผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ ฉันชอบเธอแค่คนเดียว ชอบมากๆ หลายปีมาแล้วฉันฝันถึงแต่เธอ แค่ฝันถึงเธอฉันก็มีความสุขแล้ว แต่ฝนความฝันฉันยังมีความสุขได้ไม่นานมันก็กลายเป็นฝันร้าย แล้วเธอก็ฆ่าฉัน จากนั้นก็ไปใช้ชีวิตกับเหลิ่งเซ่าถิง รู้มั้ยทำไมในฝันเธอถึงฆ่าฉัน?”

เหลิ่งหมิงอันลืมตาก่อนจะหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดกับเธอด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เพราะ……เพราะฉันทำใจไม่ได้ที่จะฆ่าเธอ…..เจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าเรื่องทั้งหมดไม่เกิดขึ้น เราก็คง……เราคงจะมีโอกาสที่จะอยู่ด้วยกันใช่มั้ย? แล้วเธอจะรักฉันบ้างใช่มั้ย?”

เจี่ยอนี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่เธอจะรักเหลิ่งหมิงอันเลย สมมติว่าโลกนี้มีคำว่าถ้าจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าตัวเธอจะสามารถช่วยชีวิตพ่อของเธอได้ สามารถช่วยลูกของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเอาไว้ บางทีเธออาจจะไม่ควรเข้าไปอยู่ในตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนั้นคิดว่าครอบครัวล้มละลายและหนี้สินจำนวนมากเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุด แต่ว่าเมื่อเธอเปรียบเทียบกับตอนนี้ เรื่องพวกนั้นมันคืออะไรกันนะ?”

เหลิ่งหมิงอันทำหน้าเข้มแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “เธอคงไม่รักฉันหรอก ใช่มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูด : “ไม่ ฉันจะไม่รักใครทั้งนั้น”

เหลิ่งหมิงอันก้มหน้าลงมองแล้วล้มลองบนเตียงก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง : “จะไม่รักใครทั้งนั้นอย่างงั้นหรอ? ไม่รักใครเลย? ก็ดีเหมือนกัน…….บางทีฉันอาจจะไม่ได้เจอเธอ ฉันแค่ต้องต่อสู้เพื่อทรัพย์สินเงินทองของตระกูลเหลิ่งเท่านั้น หรือถ้าไม่สำเร็จก็ตายๆไปเลย คงจะดีกว่าตอนนี้เยอะเลย”

เหลิ่งหมิงอันพูดก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา : “ฉันหวังจริงๆนะว่าฉันจะเจอเธอให้เร็วกว่านี้ เจอกันในโรงเรียน เธอนั่งข้างหน้าฉัน ฉันจะได้มองเธอจากข้างหลังเวลาที่เรียนไง แค่เธอหันหลังมาก็จะเจอฉัน เราไม่ต้องสารภาพรักต่อกัน แล้วเราก็จับมือกันและกัน แล้วก็จูบกันอย่างเป็นธรรมชาติ แล้วเราก็…….”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตอนนี้ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงระเรื่อ ราวกับเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาก่อน แต่เหมือนกันผู้ชายที่ไม่เคยมีความรักมาก่อนยังไงอย่างนั้นเลย เหลิ่งหมิงอันหัวเราะก่อนจะหลับตาลงแล้วนอนหลับไป

หลังจากที่เขาหลับไปแล้ว เหลิ่งหมิงอันก็ยกมือขึ้นมากอดเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง

เจี่ยนอี๋นั่วมองต้นคอของเหลิ่งหมิงอัน บนต้นคอของเหลิ่งหมิงอันนั้นยังมีรอยแผลอยู่ ในตอนนี้เหลิ่งหมิงอันนั้นยังไม่ทันตั้งตัว ถ้าหากเธอลงมือฆ่าเขาล่ะก็คงทำได้อย่างง่ายดาย แต่ตอนนี้เจี่ยนซวงยังอยู่ในกำมือของเหลิ่งหมิงอันอยู่ ถ้าเกิดเหลิ่งอันเป็นอะไรขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตัวเองจะปกป้องเจี่ยนซวงลูกสาวของตัวเองได้อย่างไร

ที่สำคัญก็คือตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้มีความคิดที่อยากจะฆ่าเหลิ่งหมิงอันแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นมามองหนังตาซ้ายอันเหี่ยวยนของเหลิ่งหมิงอัน เธอก็ไม่สามารถลงมือต่อได้ ดวงตาข้างนึงกับอีกครึ่งชีวิต เหลิ่งหมิงอันเคยถามเธอว่ามันสามารถที่จะชดเชยทุกอย่างที่เขาเคยทำได้มั้ย

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ตอบคำถามเขา เพราะเธอไม่รู้ว่าควรจะวัดจากที่ไหน ตอนนี้เธอเข้าใจมันอย่างถ่องแท้แล้ว ในบึ้งก้นในใจของเธอนั้น ไม่ไ้มีความเกลียดชังนั้นแล้ว เมื่อความเกลียดชังทั้งหมดหมดไป สำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันก็เป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น ไม่มีความเกลียดชัง แต่ก็จะไม่มีความชอบ เจี่ยนอี๋นั่วหวังเพียงว่าเธอจะได้ออกไปจากเหลิ่งหมิงอันไวๆ สบัดทุกความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งทิ้งให้หมด รงมถึงเหลิ่งหมิงอันด้วย เธอเพียงอยากใช้ชีวิตอย่างสงบและมั่นคงก็เท่านั้น

เมื่อเหลิ่งหมิงอันตื่นมาแล้วพบว่าตัวเขามีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ ในใจของเขาก็อดใจที่จะไม่ชอบใจไม่ได้ : เมื่อคืนเธอไม่ได้ฆ่าเขาอย่างนั้นหรอ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนั้นเหลิ่งหมิวอันก็อดที่ยกยิ้มขึ้นมาอย่างขมขื่นไม่ได้ ความคาดหวังของเขานั้นมาถึงจุดนี้แล้ว เพียงแค่เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดอยากจะฆ่าเขา เขาเลยมีความสุขได้มากขนาดนี้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วจูบเหลิ่งหมิงอันอย่างเหม่อลอย จนเหมิ่งหมิงอันแทบจะขาดอากาศหายใจ เขาผลักเธอออกเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วจึงถอยออกมาก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เป็นอะไรไป?”

เหลิ่งหมิงอันเปิดปากก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “หรือเธอจะเอาชีวิตฉันเลยล่ะ? ร่างกายของฉันตอนนี้ทำต่อไปไหวหรอกนะ แล้วฉันก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบอย่างเหลิ่งเซ่าถองซะหน่อย หลังจากที่ฉันแต่งงานแล้วเข้าหอกับเธอ วันนั้นฉันค่อยทำกับเธอแล้วกัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเหลิ่งหมิงอันก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดว่า : “คิดไม่ถึงเลยนะ ว่านายจะเป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบแบบนี้”

เหลิ่งหมิงอันยกยิ้มมุมปากก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ใช่สิ เธอควรจะแต่งงานกับคนอย่างฉัน แต่งกับสามีในอนาคตอย่างฉันแล้วก็มีความสุขด้วยกัน จริงด้วย……”

เหลิ่งหมิงอันหันหลังกลับไปก่อนจะหยิบกล่องเครื่องประดับออกมา แล้วเปิดมันเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า : “นี่คือแหวนที่ฉันให้เธอ ใส่ซะสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงมามองกล่องเครื่องประดับตรงหน้า ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วเตรียมตัวที่จะสวมมัน เหลิ่งหมิงอันก็กัวเราะก่อนจะขัดเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูด้วยน้ำเสียงทุ้ม : “แหวนวงนี้ต้องให้ฉันเป็นคนใส่ให้เธอสิ”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้เขาก็หยิบแหวนมาก่อนที่จะมองไปที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือของเธอมาทันทีเพื่อให้เหลิ่งหมิงอันสวมแหวนวงนั้นให้เธอ แหวนเพชรชั้นดีนั้นถูกสวมใส่ไปที่นิ้วของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามอง ก่อนจะยกยิ้ม : “แหวนสวยมาก ฉันชอบมาก”

“ต่อไปเธอจะชอบที่จะได้อยู่กับฉันในทุกวัน” เหลิ่งหมิงอันยกยิ้มขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นมาเช่นกัน ก่อนจะพูดซ้ำอีกครั้ง : “แน่นอนสิ ฉันจะชอบการที่ฉันกับนายอยู่ด้วยกันในทุกวัน”

ในห้องพักผู้ป่วย เหลิ่งเซ่าถิงจับแผลของตัวเองที่หัวไหล่ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียวของเขา พร้อมกับมองรูปของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วเจี่ยนซวง

จางหมินขมวดคิ้วยืนอยู่ข้างๆเขา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความรู้สึกผิดว่า : “ท่านประธานเหลิ่งครับ คนที่ทำร้ายคุณคือคนที่เหลิ่งเฉิงรุ่ยส่งมาครับ ตอนนี้ลูกชายของเหลิ่งเฉิงรุ่ยถูกฆ่าตายแล้ว แต่ว่าตอนนั้นคุณกำลังบาดเจ็บอยู่ ตอนนั้นคนของคุณอยู่ในความตื่นตระหนก เลยไม่ได้คอยดูแลคุณเจี่ยนอย่างเต็มที่ครับ เป็นความผิดพลาดของผมเอง”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วขับไล่เยี่ยหมิงจู แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะให้คนตามปกป้องเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ห่างๆ แต่เพราะเรื่องนี้จะต้องทำอย่างระมัดระวังและรอบคอบ จึงไม่สามารถออกตัวปกป้องอย่างออกหน้าออกตาได้ เหลิ่งเซ่าถิงมีลางสังหรณ์ว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นจะไปพบแก่เจี่ยนอี่นั่ว แต่เขารู้ว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นรู้สึกกับเจี่ยนอี๋นั่วยังไง ถึงเจี่ยนอี๋นั่วไปเจอกับเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เป็นอะไรไปแน่นอน

สิ่งเดียวที่เหลิ่งเซ่าถึงคิดไม่ถึงก็คือเขาไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะกล้าแทงเหลิ่งหมิงอันแล้ว และมีความคิดที่จะฆ่าเหลิ่งหมิงอัน การบาดเจ็บของเหลิ่งหมิงอันครั้งนี้นั้นทำให้ทุกอย่างมีการเปลี่ยนไป

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับจ้องมองรูปภาพในมือของตนเอง ในขณะนั้นเสียงโทรศัพท์ของจางหมินก็สั่น เขาก้มหน้ามองโทรศัพท์ตัวเอง ก่อนจะเอามันใส่ลงไปในกระเป๋ากางเกง พร้อมกับมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยความประหม่า

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองจางหมิน : “เกิดอะไรขึ้น?”

จางหมินเม้มปาก : “คือ……คนของเหลิ่งหมิงอันส่งการ์ดแต่งงานของเขามาให้คุณครับ การ์ดแต่งงานของเขากับเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วก่อนจะก้มหน้าลงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม : “การ์ดแต่งงานหรอ?”

จางหมินระวังคำพูดเพราะกลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะเคือง : “ครับ การ์ดแต่งาน”

เหลิ่งเซ่าถองพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “เอามานี่”

จางหมินรีบออกจากห้องพักผู้ป่วยทันที ก่อนจะเอาการ์ดแต่งงานนั้นเข้ามาให้เหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถองรีบยื่นมือออกมารับมันทันที เขาเห็นชื่อของเจี่ยนอี๋นั่วและชื่อของเหลิ่งหมิงอันอยู่ในนั้น เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วพูดว่า : “ส่งการ์ดงานแต่งมาให้ฉันงั้นหรอ งั้นฉันก็คงต้องส่งไปให้เขาสักหน่อยแล้ว กู้เค่อหยิงยังมีชีวิตอยู่ใช่มั้ย? บอกเขาซะ ว่างานครบรอบแต่งงานของฉันกับกู้เค่อหยิงใกล้มาถึงแล้ว จะจัดงานเลี้ยงขึ้น เชิญเขากับเจี่ยนอี๋นั่วมาร่วมงานด้วย”

จางหมินขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูด : “ท่านประธานครับ คุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลงก่อนจะหัวเราะขึ้นมา : “เหลิ่งหมิงอันสมควรตาย เจี่ยนอี๋นั่วฆ่าเขาแต่ทำไม่สำเร็จ ฉันคงต้องลงมือทำเอง”

เมื่อจางหมืนได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนั้น เขาก็รีบพยักทันทีก่อนจะพูดขึ้นว่า : “ผมรู้แล้วครับผมควรทำยังไง”

เหลิ่งเซ่าถองโบกมือรอให้จางหมินออกจากห้องพักผู้ป่วยไป เหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆขยำการ์ดงานแต่งงานในมือของเขาทันที แม้ว่าแขนของเขายังไม่หายดีแต่เขาก็ขยำมันสุดแรงของเขา จนการ์ดแต่งงานในมือของเขาเป็นก้อนกลม

หลังจากที่เขาขยำมันจนเป็นก้อนกลมเขาก็โยนมันออกทันที ปลายนิ้วของเหลิ่งเซ่าถิงสั่นเทา จู่ๆเขาก็นึกขึ้นได้ ระหว่างเขาและเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่เคยพูดอะไรเพื่อเป็นการพิสูจน์ความรู้สึกของพวกเขาในอดีตเลย ตอนนี้เหลิ่งหมิงอันก้าวนำเขาไปแล้วหนึ่งก้าวแล้วสินะ แล้วชื่อของเขาก็ยังอยู่ในการ์ดแต่งงานใบเดียวกันกับเจี่ยนอี๋นั่วอีก?

ตอนนี้เหลิ่งหมิงอันนั่งอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ที่อบอุ่น เขามองคนที่อยู่กับเขาอย่างเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บของเหลิ่งหมิงอันที่ยังไม่หายดีนั้น พวกเขาสามคนก็คงจะเป็นครอบครัวที่มีความสุข เจี่ยนซวงมองเหลิ่งหมิงอันด้วยรอยยิ้มก่อนจะค่อยๆหุบรอยยิ้มนั้นลง แล้วหันมามุ่ยปากใส่เจี่ยนอี๋นั่ว : “หม่าม้าคะ หม่าม้าจะแต่งงานกับคุณลุงคนนี้จริงๆหรอคะ? เขา….เขาดูเป็นคนที่น่ากลัวมากๆเลยค่ะ…..ซวงซวงไม่ชอบเขาเลยค่ะ…..”

เจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้เธอก็มุ่ยปากทันที ก่อนจะพูดด้วเยสียงเล็กๆของเธอ : “ซวงซวงทำให้หม่าม้าลำบากใจรึเปล่าคะ? ถ้าไม่ใช่เพราะซวงซวง หม่าม้าจะแต่งกับผู้ชายคนไม่ดีคนนี้มั้ยคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นมา : “ไม่ใช่ว่าซวงซวงอยากมีคุณพ่อมาโดยตลอดหรอคะ?”

เจี่ยนซวงสูดจมูกครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยตาแดงๆของเธอ : “คุณพ่อที่ซวงซวงอยากมีคือคุณพ่อที่หม่าม้าชอบค่ะ ไม่ใช่คุณพ่อแบบนี้……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “หม่าม้าชอบคุณพ่อคนนี้นะคะ”

เจี่ยนซวงขยี้ตาตัวเองก่อนจะร้องไห้ออกมา : “หม่าม้าโกหกซวงซวง หม่าม้าไม่ได้ชอบคุณพ่อคนนี้เลย หม่าม้าคะ หม่าม้าให้ซวงซวงตายไปเถอะค่ะ แล้วหม่าม้าก็หนีไปแล้วก็ลืมซวงซวง ไปซ่อนตัวแล้วก็ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข หม่าม้ายังมีลูกได้อีกนะคะ ถ้าหม่าม้ามีลูกอีกหม่าม้าก็จะได้ลืมซวงซวงได้ไวๆ แล้วหม่าม้าก็จะมีความสุข”

เจี่ยนอี๋นั่วปิดตาลงอย่างขมขื่นเพื่อกลั้นน้ำตาของเธอเอาไว้ ก่อนจะกระซิบ : “หนูพูดอะไรอยู่คะ? หม่าม้ามีซวงซวงไงคะหม่าม้าถึงได้มีความสุข ถ้าไม่มีซวงซวง หม่าม้าก็ไม่มีความสุข ไม่ว่าในอนาคตหม่าม้าจะมีลูกอีกหรือไม่ก็ตาม ใครก็มาแทนที่ซวงซวงไม่ได้หรอกค่ะ”

เจี่ยนซวงก้มหน้าลงก่อนจะพูดพร้อมกับร้องไห้ : “ถ้าตอนนั้นซวงซวงวิ่งให้ไวกว่านั้นคงจะดีกว่านี้ ตอนนั้นซวงซวงไม่ได้เชื่อฟังคำพูดของหม่าม้า ไม่ได้วิ่งเต็มแรง ก็เลยถูกพวกเขาจับ ถ้าซวงซวงวิ่งสุดแรงอาจจะหนีพ้นก็ได้ค่ะ แต่ว่าซวงซวงไม่อยากไปจากหม่าม้า……”

เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกน้อยเบาๆก่อนจะพูดกับลูกน้อยว่า : “หม่าม้าขอโทษค่ะ”

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าใจทันทีว่าทำไมตอนที่เธอใช้ชีวิตอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เขามักจะขอโทษเธออยู่บ่อยๆ เพราะว่าขอโทษจริงๆ ที่รักคุณ แต่ไม่สามารถปกป้องคุณได้ ทำให้คุณต้องติดอยู่กับข้อพิพาทพวกนั้น ทำให้คุณต้องตกอยู่ในอันตรายมากกว่าคนอื่นๆ ทำให้คุณต้องทนทุกข์มากกว่าคนอื่น คนอื่นๆเขาได้ใช้ชีวิตและดื่มด่ำกับอะไรหลายๆอย่าง แต่คุณไม่สามารถทำแบบนั้นได้

นอกจากคำว่าขอโทษแล้ว ยังพูดคำไหนได้อีก?

ขอโทษที่รักหนู ขอโทษที่เกิดหนูมา ขอโทษที่ปกป้องหนูไม่ได้ ขอโทษที่ทำให้หนูใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไม่ได้

“ร้องไห้ทำไม?” แผลของเหลิ่งหมิงอันดีขึ้นมาก เสียงของเขาก็ไม่ได้แหบเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เสียงของเขาทุ้มต่ำ ทำให้เสียงของเขาไพเราะขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหนังเจี่ยนซวงเบาๆก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูด เจี่ยนซวงก็ชิงพูดขึ้นมาทันที : “หนูล้มค่ะ ทรายเลยเข้าตา”

“อ๋อ? งั้นคงไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าเป็นเด็กชอบพูดโกหกแบบนี้ แล้วทรายเข้าตา ตาก็คงจะกลายเป็นแบบฉัน” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก่อนเขาปัดผมที่ปิดตาซ้ายของเขาเอาไว้เผยให้เห็นหนังตาที่เหี่ยวย่นของเขา

เจี่ยนซวงรีบเข้าไปหลบในอ้อมกอดของเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะเบะปากแล้วตาของเธอก็ขึ้นสีแดงก่ำอีกที เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นอย่างทนไม่ได้ ก่อนหันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอันแล้วพูดว่า : “ทำไมนายต้องทำให้เด็กกลัวด้วย?”

เหลิ่งหมิงอันจ้องหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เพราะว่าโกหกไง”

“เธอยังเด็กอยู่นะ” เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกสาวแน่น

เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม : “แล้วก็ยังเป็นที่ประจบสอพลอทำให้คนอื่นไม่ชอบอีกด้วย”

“ไม่ใช่นะ ซวงซวงเป็นที่รักต่างหาก มีคนชอบซวงซวงตั้งเยอะ!” เจี่ยนซวงชะโงกหน้ามาตะโกนใส่เขา

เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม : “มีคนชอบคนขี้โกหกขนาดนั้นเชียว? เมื่อกี้หนูพูดโกหกกับฉันนะ ตัวเองไม่ได้ล้มด้วยซ้ำ ทรายก็ไม่ได้เข้าตาด้วย”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดอย่างตื่นตระหนกว่า : “เพราะว่าคุณน่ากลัวไง! ซวงซวงเลยโกหก! ซวงซวงไม่อยากให้หม่าม้ากับคนน่ากลัวอย่างคุณอยู่ด้วยกัน ซวงซวงก็เลยร้องไห้…..”

ซวงซวงพูดถึงตรงนี้ก็กระพริบตาปริบๆอยู่กับที่ ก่อนจะรู้ตัวว่าตัวเองพูดทุกอย่างออกไปแล้ว จากนั้นเธอก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองทันที ก่อนจะทำหน้าร้องไห้แล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอันไปว่า : “คุณ….คุณทำให้ซวงซวงกลัว…..”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มก่อนจะเข้ามาใกล้ๆเจี่ยนซวง แล้วเขากับปัดผมเขาอีกครั้ง แล้วใช้ตาที่เขาสูญเสียไปมาหลอกให้เจี่ยนซวงกลัว แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นรีบยกมือขึ้นมาห้ามเหลิ่งหมิงอันทันที เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูด : “นายไม่ต้องทำให้เธอกลัวแล้วได้มั้ย เดี๋ยวกลางคืนเธอจะนอนไม่หลับ”

เหลิ่งหมิวอันก้มหน้ามามองมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่วางอยู่บนไหล่ของเขา สายตาของเขาเกิดความสับสนขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มขึ้นมาอย่างมึนงง ราวกับคนเสพยา ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างโง่เขลาว่า : “เธอพูดกับฉันแบบนี้นี่เหมือนคุณแม่ที่กำลังห้ามคุณพ่อที่เอาแต่คุยเลยนะ”

เหลิ่งหมิงอันพูดก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “จริงๆลูกสาวเธอก็เหมือนฉันนะ แล้วก็มีสายเลือดเดียวกันกับฉันอยู่ด้วย เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคบกับฉันเถอะนะ ตาข้างนึงของฉัน ชีวิตอีกครึ่งนึงของฉัน มันยังไม่เพียงพออีกหรอ? ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมาะที่จะมาคบกับเธอหรอกนะ เธอไม่รู้หรอกว่าเขาผิดใจด้วย ถ้าเธอยังเลือกเขา ต่อไปเรื่องแบบนี้มันต้องเกิดขึ้นอีกแน่ ชีวิตของเธอก็จะไม่สงบสุขตลอดไป แต่ต่างกันกับฉัน ฉันสามารถปกป้องเธอได้ แล้วก็ไม่ใช่ศูนย์กลางของสิทธิอำนาจพวกนั้นด้วย”

เหลิ่งหมิวอันพูดถึงตรงนี้ ก่อนเขาจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงใจว่า : “เจี่ยนอี๋นั่ว รักฉันเถอะนะ”

ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วถือมีดอยู่ เธอกำลังเตรียมที่จะใช้มีดแทงเหลิ่งหมิงอันอีกครั้ง แต่เธอก็ถูกลูกน้องของเหลิ่งหมิงอันขัดขวางอย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งหมิงอันที่ถูกคนพยุงขึ้นมา ลำคอของเขาถูกเฉือนและมีเลือดไหลออกมาจากแผลนั้นไม่หยุด คนที่ช่วยพยุงตัวเหลิ่งหมิงอันนั้นใช้มือกดเข้าไปที่แผลอย่างสุดกำลัง

ตอนนี้เหลิ่งหมิงอันนั้นแทบจะกลายเป็นมนุษย์เลือดเพราะทั้งร่างกายของเขานั้นเต็มไปด้วยเลือด

“ไม่ต้อง….ไม่ต้องฆ่าเธอ….. ดูแลเธอให้ดี ปกป้องเธอ” เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงของเขา : “หาเด็กคนนั้นให้เจอ”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันเองก็มองมาที่เจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดของเขานั้นยังปรากฏให้เห็นรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเจ็บปวดมากๆแต่เสียงของเขาก็ยังคงสั่นอยู่เรื่อยๆไม่หยุด : “เจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้…..เราเคลียร์กันจบแล้วใช่มั้ย…….”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดจบเขาก็หลับตาลงแล้วถูกนำตัวออกไปอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน ก่อนที่เธอจะถูกจับตัวมือมือปิดตาแล้วไปถูกนำตัวไปทันที

ราวกับครั้งก่อนที่เธอโดนเหลิ่งหมิงอันลักพาตัวไป เธอถูกขังเอาไว้ในห้องเล็ก แต่ในนี้เธอยังสามารถดูเวลา เธอไม่รู้ว่าเธอจะถูกจัดการอย่างไร แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นการตายนั่นแหละ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธออาจจะต้องตาย แต่ใบหน้าของเธอนั้นไม่ได้แสดงออกมาถึงความสิ้นหวัง แต่เธอกลับยิ้มอ่อนๆขึ้นมา ถึงแม้ว่าในใจของเธอจะนึกถึงเจี่ยนซวงอยู่ แต่เพื่อการกาข้ออ้างมาจัดการกับความโชคร้ายทั้งหมดในชีวิต เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามาก แต่ความผ่อนคลายนั้นมันผ่านเข้ามาในใจของเจี่ยนอี๋นั่วเพียงครู่เดียวเท่านั้น เพราะหัวใจของเธอนั้นเต็มไปด้วยความกังวลในเรื่องของเจี่ยนซวง

เจี่ยนซวงเด็กแค่นั้น จะหนีไปได้มั้ยนะ? ถ้าเจี่ยนซวงสามารถหลบหนีจากลูกน้องของเหลิ่งหมิงอันแล้วไปเจอคนที่ไม่ดีอีกล่ะ จะทำยังไง?

แต่ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีวิธีอื่นๆแล้ว ถ้าเหลิ่งหมิงอันไม่ได้พูดออกมาว่าเขาส่งเฉิงซานซานเข้าใกล้เธอเพื่อมาทำร้ายเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วรงจะเลือกวิธีที่ดีและอ่อนโยนมากกว่านี้มาจัดการกับเหลิ่งหมิงอันก็ได้ แต่ในเมื่อเหลิ่งหมิงอันมีเจตนาที่จะฆ่าเจี่ยนซวงแล้ว แล้วเธอและเจี่ยนซวงถูกเหลิ่งหมิงอันจับตัวไป เขาจะปล่อยเจี่ยนซวงไปทำไม?

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆผ่านมันไปในทุกๆวัน และคิดว่าทุกๆวันจะเป็นวันสุดท้ายของเธอ

ผ่านไปประมาณวันกว่าๆ ประตูใหญ่ก็ถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วมองไปทางประตูที่ถูกเปิดออก เธอก็เห็นเหลิ่งหมิงอันนั่งวีลแชร์เข้ามา ตาจ้างซ้ายของเหลิ่งหมิงอันมีผ้าปิดตาปิดอยู่ บนคอของเขาก็มีผ้าก็อตพันอยู่รอบๆ ถึงแม้ว่าหน้าของเขาจะซีดเซียวแต่เขาเห็นได้ชัดว่าเขายังมีชีวิตอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าแล้วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน : “นาย……ทำไมนายยังมีชีวิตอยู่?”

“นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่ฉันอยากเห็นหรอกนะ” เหลิ่งหมิวอันขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม เสียงของเขาแหบราวกับว่าเป็นเสียงเสียดสีของแผ่นเหล็ก

“อี๋นั่ว เธอยังฆ่าคนไม่เก่งหรอกนะ ฆ่าไม่ถูกที่ด้วย มันไม่มีทางฆ่าเอาชีวิตฉันได้หรอก”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ก็ยกยิ้มขึ้นมา : “แต่ตาของฉันเสียไปแล้ว ตาข้างนึงกับอีกครึ่งชีวิต สามารถชดใช้ให้กับชีวิตของพ่อเธอรึยัง? เจี่ยนอี๋นั่ว เรามาเริ่มต้นใหม่ด้วยกันเธอคิดว่ายังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องหน้าเหลิ่งหมิงอันก่อนจะหลับตาลง : “ฉันไม่น่าเชือดแค่คอนายเลย น่าจะปักมีดลงหน้าอกนายซะ”

“คนอื่นเขาไม่ได้อ่อนแออย่างที่เธอคิดหรอกนะ” เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม : “ชีวิตของฉันมันแข็งแกร่งมากกว่าที่เธอจินตนาการไว้อีก ไม่อย่างนั้นฉันคงไม่มีชีวิตรอดอยู่ในตระกูลเหลิ่งหรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่นั่งที่เดิมของเธอแล้วก็ถามขึ้นมาด้วยความเย็นชาว่า : “แล้วนายคิดจะจัดการกับฉันยังไงล่ะ?”

เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม : “ก่อนหน้าที่เธอจะเฉือนคอฉัน ฉันยังมีความคิดที่จะเอาเธอมาขู่เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ อย่างน้อยก็อยากพาเธอให้หลุดออกจากเรือนจำนั่น หรือไม่ก็เอาเธอมาเป็นของฉันเพื่อมาทดสอบเหลิ่งเซ่าถิง แต่….”

เหลิ่งหมิวอันพูดถึงตรงนั้นเขาก็ค่อยๆคลายรอยยิ้มของเขา ก่อนจะพูดด้วยความจริงจังว่า : “แต่หลักจากที่เธอเอามีดมาเชือดคอฉัน ฉันคิดว่าตัวเองอยู่ไม่ไกลแล้วล่ะ แต่ฉันเป็นห่วงเธอ กลัวว่าเธอจะต้องเข้าไปอยู่ที่เรือนจำนั้นอีก ฉันกลัวเธอต้องตายเพราะฉัน เธอยังมีมีช่วงเวลาวัยหนุ่มของเธออีกตั้งกี่ปี?จะไปเร่ร่อนอยู่ในคุกแบบนั้นทำไมล่ะ? ฉันคิดถึงเรื่องพวกนี้ฉันก็เลยอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอก็น่าจะเคยได้ยินสิ่งที่ฉันเคยพูดนะ ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากพูดกับเธอคือฉันจะปกป้องเธอ”

เหลิ่งหมิงอันพูดไปด้วยมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ก่อนจะพูดเสียงต่ำ : “เป็นยังไง? เธอซึ้งขึ้นมาบ้างรึยัง?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเหลิ่งหมิงอันก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ฉันรู้แค่ว่าครั่งที่แล้วนายเป็นคนส่งฉันไปอยู่ในเรือนจำ นายร่วมมือกับเหลิ่งอวิ๋นเซียวฆ่าพ่อของฉัน เป็นนายที่พาฉันมาอยู่ในจุดที่ต้องฆ่าคน ฉันต้องซึ้งหรอ? หึๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะออกมา : “ถ้าฉันไม่เจอนาย ฉันก็ไม่ต้องการใครให้มาปกป้องฉันหรอก! ไม่ต้องการให้คนที่กำลังจะตายมาพูดกับฉันว่าจะปกป้องฉันหรอก”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาลงแล้วก็ค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา เขายกมือขึ้นมาแตะที่หน้าอกของตัวเองเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ : “เธอฆ่าฉันมาสองครั้ง เจี่ยนอี๋นั่ว แต่ทุกครั้งที่เธอคิดอยากจะฆ่าฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกได้ถึงความความรุนแรงในใจของเธอ ฉันอยากคบกับเธอจริงๆนะ ฉันไม่อยากได้อะไจากตระกูลเหลิ่งแล้วจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “เหลิ่งหมิงอัน นายฆ่าฉันซะดีกว่า”

“อ๋อ? อยากตายงั้นหรอ?” เหลิ่งหมิงอันยิ้มก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้วกวักมือ : “เอาตัวเด็กขึ้นมา”

ในขณะนั้นก็มีคนพาเจี่ยนซวงขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็ร้องไห้ออกมาทันทีก่อนจะตะโกนขึ้นมา : “หม่าม้าคะ…..หม่าม้า…..ซวงซวงไม่ได้วิ่งหนีค่ะ……….”

เหลิ่งหมิงอันมองสีหน้าที่ค่อยๆเฉื่อยชาของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า : “เธอเป็นแค่เด็กๆจะวิ่งได้ไกลแค่ไหนกันเชียว?”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง ตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนั้น ตาที่แดงก่ำของเธอก็จ้องไปที่เหลิ่งหมิงอันทันที ก่อนจะค่อยๆยิ้มขึ้นมา : “ดี หมิงอัน ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าฉันรักนายขึ้นมาแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว และเขาก็รู้ดีว่าสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดนั้นเป็นเพียงคำโกหก แต่เขากลับอดไม่ได้ที่จะหายใจแรงขึ้น แม้แต่หัวใจของเขาเองก็เต้นรัวขึ้นด้วยเช่นกัน เหลิ่งหมิงอันค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆว่า : “ความรู้สึกของเราตรงกันก็เปรียบไม่ได้กับการที่เราสองคนแต่งงานกันหรอกนะ ฉันจะจัดงานแต่งที่ยิ่งใหญ่และอลังการที่สุด เพื่อให้ทุกคนมาร่วมแสดงความยินดีกับเรา รวมถึงเหลิ่งเซ่าถิงด้วย เธอคิดว่ายังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ผู้ชายรับผิดชอบเรื่องการงาน ผู้หญิงรับผิดชอบงานบ้าน เรื่องพวกนี้แล้วแต่นายจะจัดการก็แล้วกัน”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหรี่ตาลงก่อนจะพูดขึ้นว่า : “เธอขยับมานี่สิ……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงพร้อมกับพูดกับเหลิ่งหมิงอันด้วยเสียงหลุบต่ำว่า : “ลูกสาวฉันยังอยู่ในนี้อยู่นะ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะก่อนจะพูด : “ฉันรู้หน่า ฉันก็ไม่ได้จะทำอะไรเธอสักหน่อย แค่จะให้เธอผลักฉันออกเท่านั้นเอง”

เหลิ่งหมิงอันพูดก่อนจะหันหน้าไปมองเจี่ยนซวงก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “ซวงซวงมานี่สิ หนูควรจะเรียกฉันว่าแล้วนะ”

เจี่ยนซวงสูดสมูก เธอทำหน้ามุ่ยแล้วก็มองเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนซวงก็ยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะเงยหน้าขึ้นแล้วมองเหลิ่งหมิงอันแล้วเรียกเขาว่า : “คุณพ่อ…..คุณพ่อหล่อจังเลยค่ะ ซวงซวงยังไม่เคยเจอคุณพ่อที่หล่อเท่านี้มาก่อนเลย”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันได้ยินเจี่ยนซวงพูดเช่นนั้นเขาก็ค่อยๆยิ้มขึ้นมาทันที เขายกมือขึ้นมาสัมผัสกับใบหน้าเจี่ยนซวงเบาๆ ถึงแม้เจี่ยนซวงจะกระพริบตาด้วยความกลัว แต่เธอก็ไม่ได้ผละออกแต่อย่างใด ปล่อยให้เหลิ่งหมิงอันลูกไล้ใบหน้าของเธอไปอย่างนั้น เจี่ยนซวงยู่ปาก ก่อนจะยิ้มอย่างไร้เดียงสาแล้วก็พูดขึ้นมาว่า : “คุณพ่อคะ ซวงซวงอยู่กับหม่าม้าได้มั้ยคะ?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มก่อนจะส่ายหัว : “เหมือนลูกชายของตระกูลเหลิ่งจริงๆ แต่ฉันจะปล่อยให้หนูอยู่กับแม่ได้ยังไงล่ะ? หนูฉลาดขนาดนี้? คงไม่รู้สินะว่าหนูเป็นเครื่องมือของฉันที่ใช้ควบคุมแม่หนู? ปล่อยให้หนูอยู่กับแม่แล้วถ้าเธอสองคนหนีไปล่ะ ฉันจะทำยังไง?”

ในที่สุดเจี่ยนซวงก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาของตัวเองได้ เธอเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ เธอกลั้นได้เพียงลิมิตตรงนี้เท่านั้น และแล้วเธอก็ร้องไห้โฮออกมา พร้อมกับพูดเสียงดังว่า : “หนูจะเอาหม่าม้า…….หนูจะอยู่กับหม่าม้า…….”

เจี่ยนซวงพูดก่อนที่จะอ้าแขนแล้วก็วิ่งไปหาแม่ของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะก้าวไปหาลูกอย่างใจหาย ก่อนจะพูดกับเจี่ยนซวงว่า : “ซวงซวงไม่ต้องร้องไห้นะคะ กลับไปนอนนะ โอเคมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา : “ไม่เอาค่ะ ถ้าซวงซวงหลับซวงซวงก็จะไม่เจอหม่าม้าแล้ว ซวงซวงจะไม่หนีแล้วค่ะ ซวงซวงจะอยู่กับหม่าม้า”

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามยื่นมาขึ้นมาเพื่อจะคว้าเจี่ยนซวงเอาไว้ แต่เธอก็ค่อยๆลดมือลงในที่สุด เพียงแค่ทำพูดกับลูกว่า : “ซวงซวง เชื่อฟังหม่าม้า…….”

ตอนนี้เธอไม่สามารถพูดอะไรกับเจี่ยนซวงได้แล้วนอกจากจะบอกให้เจี่ยนซวงนั้นเป็นเด็กดีเชื่อฟังเธอ

เหลิ่งหมิงอันยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะหัวเราะออกมา : “เอาตัวเจี่ยนซวงออกไป”

เจี่ยนอี๋นั่วมองตามเจี่ยนซวงที่ถูกพาตัวไป เธอหันหน้ามามองเหลิ่งหมิงอันที่ถอดเสื้อแจ็กเกตของเธอ เธอยิ้มก่อนจะถาม : “ไม่รู้ว่าคุณชายรองจะเปลี่ยนที่หรือจะทำกันตรงนี้เลยดีนะคะ”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วที่สวมใส่เพียงเสื้อสายเดี่ยว ก่อนจะรีบออกคำสั่ง : “หันหน้าไปให้หมด”

บอดี้การ์ดที่ยืนอยู่ข้างๆเหลิ่งหมิงอันนั้นรีบหันหน้าไปทันที เหลือเพียงบอดี้การ์ดคนเดียวที่ก้มหัวลง แล้วขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า : “คุณชายรองครับ แต่เธอเพิ่งจะทำร้ายคุณชายรองจนกลายเป็นแบบนี้นะครับ”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มก่อนจะพูด : “โดนเธอทำร้ายจนกลายเป็นแบบนี้ฉันก็เต็มใจ หันหน้าไปเดี๋ยวนี้ ห้ามหันมามองเด็กขาด”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดจบเขาก็เอียงหัวมองเจี่ยนอี๋นั่วมันที เจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกขังเอาไว้ในห้องนี้ทั้งวันแล้ว เนื้อหนังของเธออิดโรยไปเล็กน้อย เธอเม้มปาก ผมสั้นๆของเธอยุ่งเหยิง ดวงตาของเธอนั้นทั้งดื้อรั้นและบ้าคลั่ง

เหลิ่งหมิวอันไม่รู้ว่าเพราะอาการบาดเจ็บของเขามันยังไม่ได้หายดีรึเปล่า ที่เขามองเจี่ยนอี๋นั่วในสถานการณ์แบบนี้มันทำให้เขาคอแห้ง ร่างกายร้อนระอุไปหมด เหลิ่งหมิงอันยกมือขึ้นมากวักนิ้วเรียกเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ก็เดินไปข้างหน้าเหลิ่งหมิงอันอย่างเชื่อฟัง เหลิ่งหมิงอันนั่งบนวีลแชร์พร้อมกับใช้สายตาเจ้าเล่ห์มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงก่อนจะจ้องมองเข้าไปในดวงตาของเหลิ่งหมิงอัน เธอค่อยๆก้มลงช้าๆและเข้าใกล้ปากของเหลิ่งหมิงอันทีละนิด จนปากของเธอสัมผัสกับปากที่เยือกเย็นของเหลิ่งหมิงอัน ปากของเหลิ่งหมิงอันสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ เขาลืมไปแล้วรสชาติจูบของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเป็นยังไง พอได้มาลิ้มลองในตอนนี้ เขาก็นึกย้อนกลับไปเมื่อหลายปีก่อนทันที

เจี่ยนอี๋นั่วทำแบบนั้นเพื่อปกป้องคนอื่น เธอกอดเขาอย่างเต็มใจ จูบเขาเหมือนผู้หญิงของเขาคนนั้น ราวกับว่ามันไม่เคยมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปเลย

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินอยู่ในห้างสรรพสินค้านั้น จู่ๆเธอก็หยุดชะงักทันที ไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเธอถึงได้รู้สึกไม่สบายใจอย่างนี้ เจี่ยนซวงมองเจี่ยนอี๋นั่วคนเป็นแม่ที่ยืนนิ่งอยู่ตอนนี้ ก็ขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะพูดว่า : “หม่าม้าเป็นอะไรไปคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “หม่าม้าจะเป็นอะไรได้ล่ะคะ? ก็จะซื้อกระเป๋าให้ซวงซวงไงล่ะคะ? ซวงซวงเลือกได้รึยังคะว่าจะเอาแบบไหน?”

เจี่ยนซวงส่ายหน้าไปมา ก่อนจะบ่นพึมพำออกมา : “กระเป๋าที่นี่แพงมากๆเลยค่ะ ซื้อเค้ดมห้ซวงซวงได้ตั้งหลายด้อนแหนะ ซวงซวงไม่เอากระเป๋าแล้วค่ะ ขอเปลี่ยนเป็นเค้กแทนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “แต่ว่าเพื่อนๆของซวงซวงมีกระเป๋ากันหมดเลยนะคะ ถ้าซวงซวงไม่มีจะทำยังไง?”

เจี่ญนซวงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มแล้วพูดว่า : “ซวงซวงไม่เอาแบบเพื่อนๆหรอกค่ะ ซวงซวงจะเป็นซวงซวง”

“แต่ว่าซวงซวงเอาหนังสือเทพนิยายใส่ในกระเป๋าได้นะคะ แบบนี้จะวางใจได้หน่อย” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เลือกสักใบนะคะ”

เจี่ยนซวงครุ่นคิดก่อนจะชี้กระเป๋าใบที่ถูกที่สุด แล้วพูดเลยตามเลยไปว่า : “เอาใบนี้แล้วอันค่ะ ไอหยา กระเป๋าแบบนี้นี่พอซวงซวงโตขึ้นก็ใช้ไม่ได้แล้ว สิ้นเปลืองมากๆเลยค่ะ นี่ทำตัวเป็นคุณแม่กันหรอเนี่ยถึงได้ซื้อของตามอำเภอใจแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาบีบจมูกน้อยๆของเจี่ยนซวง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ไปเรียนมาจากไหนคะเนี่ย พูดจาอย่างกับคนสมัยก่อน”

เจี่ยนซวงหัวเราะคิกๆก่อนจะหันหน้ามา : “เรียนมาจากในละครค่ะ เขาบอกว่าผู้หญิงชอบซื้อของตามอำเภอใจ พอซวงซวงโตขึ้นซวงซวงก็จะเป็นสาว ซวงซวงขะไม่ซื้อของตามอำเภอใจค่ะ ดังนั้นพวกแม่ๆน่ะชอบซื้อของตามอำเภอใจ……..”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวเจี่ยนซวง ก่อนจะพูดเสียงทุ้มด้วยรอยยิ้มว่า : “มาค่ะ มาลองว่ากระเป๋าใบนี้เป็นยังไง”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วย สะพายกระเป๋าให้เจี่ยนซวงด้วย ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงจะบอกว่าตัวเองไม่ชอบ แต่ดวงตาของเจี่ยนซวงก็เป็นประกายวิบวับขึ้นมาทันที เจี่ยนซวงเอาแต่ลูบลายการ์ตูนบนกระเป๋าใบนั้นไม่หยุด ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “น่ารักมากๆเลยค่ะ ซวงซวงก็น่ารักขึ้นเยอะเลย”

เจี่ยนอี๋นั่งเตือนด้วยรอยยิ้ม : “ห้ามเอาของใส่กระเป๋าไปเรื่อยนะคะ ใส่ได้แค่สมุดหนังสือไม่กี่เล่มแล้วก็หมวกของซวงซวงเท่านั้นนะ ถ้ากระเป๋ามันหนักเกินไป มันจะกดตัวซวงซวงนะคะ”

เจี่ยนซวงพยักหน้า : “หม่าม้าคะ หม่าม้าเอาแอปเปิ้ลแล้วก็ซ้อมใส่ในกระเป๋าสิคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเอาของที่เจี่ยนซวงใช้ใส่เข้าไปในกระเป๋า จากนั้นเจี่ยนซวงก็สะพายกระเป๋าใบนั้น ก่อนจะโดดดึ๋งๆอย่างตั้งใจแล้วฟังเสียงก็อกแก็กที่ดังออกมาจากกระเป๋า เธอยิ้มก่อนจะหันหน้ามาหาคนเป็นแม่แล้วกอด : “หม่าม้าคะ หม่าม้าดีกับหนูที่สุดเลยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “เพราะว่าซวงซวงดีกับหม่าม้าไงคะ เอาแต่เป็นห่วงหม่าม้า ดูแลหม่าม้า หม่าม้าเลยดีกับซวงซวงมากๆไงล่ะคะ ต่อไปถ้าซวงซวงอยากให้คนอื่นดีกับซวงซวง ซวงซวงต้องใส่ใจแล้วก็ดูแลพวกเขาดีๆนะคะ เข้าใจมั้ย?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าอย่างสุดแรง : “ซวงซวงจะให้เค้กที่ดีที่สุดกับเขา เขาก็ดีกับซวงซวงแล้วค่ะ”

เมื่อเจี่ยนซวงพูดจบก็กระโดดดึ๋งๆไปในห้างทันที เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มตามลูกอยู่ข้างหลัง เดินไปสักพัก จู่ๆเจี่ยนซวงก็ชนเข้ากับใครบางคน เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ขอโทษค่ะ ซวงซวงไม่ได้ตั้งใจ”

คนคนนั้นย่อตัวลงมาก่อนจะมองเจี่ยนซวงแล้วพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า : “หนูคือซวงซวงใช่มั้ย ไม่เจอกันนานเลยนะ”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนจะหันหน้าไปถามคนเป็นแม่อย่างรวดเร็ว : “หม่าม้าคะ เขาคือคุณลุงคนไหนหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองผู้ชายตรงหน้าของเธอเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้นว่า : “เขาไม่ใช่คุณลุงที่ไหนหรอกค่ะ ซวงซวงมานี่เร็ว”

“ใช่ ฉันไม่ใช่คุณลุงหรอก” เหลิ่งหมิงอันยิ้มก่อนจะพูดกับเจี่ยนซวง : “ฉันคือพ่อของหนูไง มา ซวยซวยมาหาพ่อเร็ว”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเบิกตาโตมองเหลิ่งหมิงอันที่ตรงหน้าของเธอ รูปร่างหน้าตาของเหลิ่งหมิงอันนั้นดูดีกว่าผู้ชายที่เจี่ยนซวงเคยพบมาก่อนมาก

แต่เจี่ยนซวงนั้นกลับแอบกลัวเหลิ่งหมิงอันอยู่เล็กน้อย เธอรีบถอยหลังไปอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วคนเป็นแม่ทันที ชะโงกหน้ามามองเหลิ่งหมิงอันเพียงเล็กน้อยก่อนจะตะโกนออกมาว่า : “คุณไม่ใช่คุณพ่อของซวงซวงหรอก ถ้าคุณเป็นคุณพ่อของซวงซวงจริงๆ หม่าม้าคงไม่ให้ซวงซวงไม่คุยกับคุณ!”

เจี่ยนอี๋นั่วอันค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะขมวดคิ้ว : “ฉันหวังว่านี่จะเป็นแค่ความบังเอิญนะ”

“ขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เธอต้องผิดหวัง เพราะฉันตั้งใจจะมาหาเธอ” เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม

เหลิ่งหมิงอันถอนหายใจ ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “คิดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะพ้นโทษด้วยวิธีอื่นได้ ถ้าตามที่ฉันจัดการล่ะก็ ถ้าเฉิงซานซานจัดการลูกสาวของเธอซะ เธอคงต้องได้พ้นโทษจากการสูญเสียลูกของเธอไปในเรือนจำเพราะการดูแลเจ้าหน้ามันไม่ดีพอ แต่น่าเสียดายนะ ที่ลูกเธอยังอยู่”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่เหลิ่งหมิงอัน : “ที่นายพูดแบบนี้มันหมายความว่ายังไง?”

เหลิ่งหมิวอันเอียงใบหน้าของเขาก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดว่า : “ฉันก็แค่อยากบอกเธอ ว่าฉันพยายามแค่ไหนเพื่อจะช่วยเธอไงล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองก่อนจะเอามือปิดหูของเจี่ยนซวงทันที แล้วค่อยพูดเบาๆว่า : “ความพยายามของนายก็คือการเตรียมตัวที่จะฆ่าลูกสาวของฉันล่ะสิ? ยังจะให้ฉันขอบคุณอะไรนายอีก?”

เหลิ่งหมิงอันขยับเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดเสียงทุ้มว่า : “ฉันก็แค่จะช่วยให้เธอขจัดมารในอนาคตของเธอเท่านั้นเอง พี่ชายฝาแฝดของเหลิ่งเซ่าถิงน่ะฆ่าได้ทั้งคนเป็นพ่อแม่ขนาดนี้? ในอนาคตลูกสาวที่เธอคอยปกป้องมาโดยตลอด ก็จะกลายเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ลูกเธอมีสายเลือดของตระกูลเหลิ่งเหมือนฉันแล้วก็เหลิ่งอวิ๋นเซียว ไม่แน่สักวันลูกของเธออาจจะฆ่าเธอเพื่อปกป้องตัวเองก็ได้”

“แล้วยังไง?” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองหน้าเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “ถ้าสักวันที่มันมาถึง ฉันก็คงตายไปเอง ไม่มีทางทิ้งลูกของฉันให้จมอยู่กับความเสียใจหรอก”

เหลิ่งกมิงอันหรี่ตาแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “ช่างยิ่งใหญ่จริงๆนะ ดูแล้วเธอจะเป็นแม่ที่ดีมากๆเลยนี่ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของฉัน แสดงว่าเธอก็กลัวสิ่งที่ลูกสาวของเธออาจจะต้องทำในอนาคตสินะ? สายเลือดของตระกูลเหลิ่งมันยิ่งใหญ่ใช่มั้ยล่ะ? ก็เพราะสายเลือดที่ไม่แยแสกับใครของตระกูล ที่ทำให้ตระกูลเหลิ่งพัฒนามาเรื่อยๆจนเป็นครอบครัวแบบนี้ คนเราถ้าอยากได้อำนาจอิทธิพลเงินทอง มันจะไม่มีความคิดที่เลวร้ายได้ยังไงกันล่ะใช่มั้ย?”

“รู้มั้ยว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนยังไงไปแล้ว?” เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็พูดขึ้น : “ถ้าเธอได้เจอเหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ เธอคงจะรักคนอย่างเขาไม่ลง”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น : “เขากลายเป็นคนยังไงฉันไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าตอนนี้เขาทำให้นายไม่มีความสุข ทำให้นายเบื่อหน่ายจนต้องมาหาฉันเพื่อฆ่าเวลาสินะ เหลิ่วหมิงอัน นายยังอยากใช้ตัวฉันไปขู่เหลิ่งเซ่าถิงอีกหรอ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ มันไม่มีประโยชน์หรอก เพราะเขาไม่ได้สนใจฉันแล้ว”

เหลิ่งหมิวอันหรี่ตาก่อนจะถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ถ้าไม่ลองจะรู้ได้ไงล่ะ? อีกอย่างมันผ่านมานานขนาดนี้ ฉันก็คิดถึงเธอนะ เราไปหาที่ดีๆนั่งดื่มกันหน่อยไม่ได้หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆทำหน้าเข้มก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “นายไม่ต้องตุกติกล่ะ ฉันจะไปกับนาย แต่อย่าทำอะไรให้ลูกสาวฉันต้องผวา”

เหลิ่งหมิงอันจ้องหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอไม่ปฏิเสธหรอ?”

“ถ้านายเป็นแค่คนๆนึงฉันคงปฏิเสธ แต่…..”เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองเจี่ยนซวง ก่อนจะพูด

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน : “นายช่วยเสแสร้งทำเป็นว่ามันเป็นการไปเที่ยวได้มั้ย?”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วอยู่นานสองนาน ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงค่อยปล่อยมือของตนเองออกจากหูของเจี่ยนซวง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น : “หม่าม้าจะบอกข่าวดีอะไรซวงซวงอย่างนึง คุณลุงคนนี้จะพาหม่าม้ากับซวงซวงไปเที่ยว ดีมั้ยคะ?”

เจี่ยนซวงเงยหน้าไปมองเหลิ่งหมิวอันก่อนจะค่อยๆพยักหน้าเบาๆ : “ค่ะ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาวด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดว่า : “มาค่ะ เอากระเป๋าส่งมาให้หม่าม้าเร็ว หม่าม้าช่วยสะพายกระเป๋าให้ กระเป๋าหนูมันหนัก”

เจี่ยนซวงค่อยๆพยักหน้าก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถอดกระเป๋าส่งให้เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดเบาๆว่า : “หม่าม้า…..หม่าม้าคะ…..”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วนั่งยองๆข้างหน้าเจี่ยนซวง ก่อนจะยกมือของเธอขึ้นมาลูกใบหน้าลูกสาวตัวน้อยแล้วก็กอดเจี่ยนซวง เธอขยับเข้าใกล้หูของลูกสาวก่อนจะพูดว่า : “ซวงซวง หม่าม้ารักหนูมากๆ ดังนั้นซวงซวงต้องหันหลังแล้วก็วิ่งไปให้เร็วที่สุด วิ่งไปหาคุณแม่เล่อเล่อ ถ้าหนูหาคุณแม่เล่อเล่อไม่เจอ หนูก็ต้องซ่อนตัว อย่าให้ใครเห็นหาหนูเจอ หนูต้องทำเป็นไม่ใช่ซวงซวง แล้วลืมหม่าม้า รีบวิ่งเร็วค่ะ แล้วไม่ต้องหันหลังกลับมานะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็สะกิดลูกไปครั้งหนึ่ง จากนั้นซวงซวงก็หันหลังแล้ววิ่งไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วเอาเค้กกับส้อมที่ใช้กินเค้กอยู่ในกระเป๋าซวงซวงออกมา แล้วเธอก็เดินไปข้างหน้าเหลิ่งหมิงอัน จากนั้นเธอก็ใช้ส้อมนั้นแทงเข้าไปในตาข้างซ้ายของเหลิ่งหมิงอันอย่างแม่นยำ

ทุกอย่างมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เหลิ่งหมิงอันเองก็ไม่ได้เตรียมตัวรับมือ เขาคิดว่าตัวเองนั้นรู้จักเจี่ยนอี๋นั่วดี และคิดว่าเธอคงไม่ทำร้ายใคร ในฐานะที่เธอเป็นแม่คน เธอก็คงปล่อยลูกไปไม่ได้ ผู้หญิงที่มีลูกติดมาด้วยคนนึงแบบนี้ จะสามารถทำอะไรได้?

ดังนั้นตอนที่เหลิ่งหมิงอันถูกเจี่ยนอี๋นั่วเอาส้อมเล็กนั้นแทงเข้าไปที่ตาของเขา เขาก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เพราะความเจ็บปวดนั่นแผ่ซ่านไปทั่ว ในตาของเขามีเพียงเลือดสีแดงเท่านั้น และเหลิ่งหมิงอันเองก็ไม่มีเวลามาใส่ใจอะไรแล้ว เขาจึงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

เจี่ยนอี๋นั่วตะโกรสุดเสียง : “ซวงซวงรีบวิ่งเร็วค่ะ! เชื่อฟังหม่าม้า!”

เจี่ยนซวงสะอื้น ก่อนจะร้องไห้แล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าทันที เจี่ยนอี๋นั่วมองตามหลังลูกสาวตัวน้อย แล้วก็มองดูผู้คนที่แตกตื่นเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆยิ้มขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วมีลางสังหรณ์ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ว่าเรื่องในวันนี้จะเกิดขึ้น ยิ่งตั้งแต่ที่เธอเจอกับคุณนายเหลิ่ง ลางสังหรณ์ของเธอมันก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เธอรู้ว่าสักวันจะต้องมีคนตามหาพวกเธอสองแม่ลูกเจอ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะเบาบางขนาดไปนก็ตาม แต่ความเกี่ยวข้องของเธอกับเจี่ยนซวงและเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่เคยเลือนลาง

ถึงแม้ว่าคนอื่นจะกลัวอำนาจของเหลิ่งเซ่าถิงและไม่กล้าทำอะไรเขา แต่เหลิ่งหมิงอันกล้าแน่นอน ครั้งหนึ่งเหลิ่งหมิวอันยังเคยขังเธอเอาไว้เลย ตอนนี้มีอะไรที่เขาจะไม่กล้าทำอีกล่ะ?

เธอเคยทนทุกกับความทรมานนั้น แต่เธอทนไม่ได้ที่จะให้เจี่ยนซวงต้องมาเจอด้วย อย่างน้อยการเป็นขอทานก็ยังดีกว่าไปใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงในบ้านที่ร่ำรวยนั้นอีก

เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังเจี่ยนซวงคนเป็นลูกสาวเป็นครั่งสุดท้าย ก่อนจะหันหน้ามามองเหลิ่งหมิงอัน คนของเหลิ่งหมิงอันที่อยู่ข้างนอกก็ตามเข้ามาทันที ก่อนที่คนเหล่านั้นจะวิ่งเข้ามาเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นมืดของใครก็ไม่รู้ตกอยู่ตรงพื้น เธอเดินไปสองสามก้าวก่อนที่จะเก็บมันขึ้นมา แล้วก็เฉือนคอเหลิ่งหมิงอันที่กำลังดิ้นอย่างเจ็บปวดและทรมาน

“แล้วนายรู้มั้ยว่าฉันกลายเป็นคนยังไงไปแล้ว? ศัตรูของฉัน” เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะยกยิ้ม

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินสิ่งที่กู้เค่อหยิงพูด เขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะต่อ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : “ใช่ ความคิดของเธอนี่ดีจริงๆ ถ้าทำอย่างนั้น เธอก็จะปลอดภัยแล้ว”

กู้เค่อหยิงรีบพูดขึ้นทันทีว่า : “งั้นคุณก็รีบจัดการเลยสิคะ ฉันยกห้องนี้ให้เลยก็ได้”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มอ่อนๆก่อนจะพูด : “ยกห้องนี้ให้เจี่ยนอี๋นั่วมาอยู่อย่างนั้นหรอ?”

กู้เค่อหยิงรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า : “ใช่ค่ะ ตามนั้นเลย ให้เจี่ยนอี๋นั่วมาอยู่ที่นี่…….”

“แล้วถ้าคนอื่นเขาหัวเราะเยาะเธอ บอกว่าเธอเป็นภรรยาที่ฉันไม่ต้องการแล้วล่ะ ถ้าเคาไม่เคารพเธออีกล่ะ?” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหลุบต่ำ

กู้เค่อหยิงกระพริบตาก่อนจะก้มหน้าแล้วพูดด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนว่า : “ไม่เคารพฉันหรอคะ? คือ….ฉัน…….”

กู้เค่อหยิงรู้สึกลำบากใจขึ้นมา เธอไม่เพียงไม่ต้องการรับผิดชอบหน้าที่และได้รับความเสี่ยงในการเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง และเธอก็ไม่อยากละทิ้งความมั่งคั่งรุ่งโรจน์ในฐานะภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงเช่นกัน

เธออาลัยอาวรณ์มันอยู่แล้ว เธอก็ไม่อยากวางมือจากการเป็นภรรยาของเขา ทุกอย่างของตระกูลเหลิ่งสำหรับคนอื่นนั้นมันเกินที่จะเอื้อมมากๆ ตั้งแต่เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง ความคิดเรื่องเงินๆทองในหัวเธอก็หายไป เพียงสิ่งนั้นเป็นของที่เธออยากได้ ไม่มีทางที่เธอจะไม่ได้มันมาอยู่แล้ว ถ้าเธอสูญเสียตำแหน่งคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งไป เธอก็จะกลายเป็นเพียงคนธรรมดาๆคนนึง ที่จะไม่มีโอกาสได้ใส่เสื้อผ้าระดับไฮเอนด์อีกต่อไป ไม่ได้สวมเครื่องประดับที่งดงามเหล่านั้นอีก? แม้แต่ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ที่เธอใช้นั้นอาจจะไม่ได้ใช้มันอีกก็ได้

“ไม่……ไม่มีวิธีที่เราจะวินวินกันทั้งคู่หรอคะ?” กู้เค่อหยิงพูดด้วยความน้อยใจเล็กๆ

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามอง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คนเรามักจะต้องสูญเสียบางอย่างเพื่อที่จะได้รับบางอย่างมา ฉันเองก็ไม่สามารถได้ทุกอย่างมาได้ เธอคิดว่าเธอจะได้ทุกอย่างงั้นหรอ?”

กู้เค่อหยิงถอนหายใจ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปม พร้อมกับการกอดไหล่ของตัวเองแล้วร้องไห้ออกมา

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองกู้เค่อหยิงก่อนจะพูดเสียงทุ้มว่า : “เธอคิดดีๆนะ ว่าเธอจะเลือกทางไหน แล้วพรุ่งนี้ก็มาบอกฉัน ไม่ว่าเธอจะเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งต่อหรือเธอจะยอมปล่อยตำแหน่งคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งไป ฉันก็จะไม่ขัดขวางเธอ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็เดินเข้าห้องหนังสือไปเลย เหลือเพียงกู้เค่อหยิงที่อยู่ในห้องนั้นคนเดียว วันรุ่งขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงตื่นมาแล้วออกมาจากห้องหนังสือ กู้เค่อกยิงถอนหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า : “ฉัน……ฉัน……..”

กู้เค่อหยิงคิดมาทั้งคืนแล้ว สุดท้ายเธอก็กัดปากตัวเองอย่างแรงก่อนจะพูดออกมา : “ฉันยินยอมที่จะเป็นคุณหญิงของตระกูลต่อค่ะ ฉันยินดีที่จะเป็นภรรยาของคุณต่อ แต่…..แต่ฉันจะให้เจี่ยนอี๋นั่วมาเป็นคนรักของคุณ อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้คนอื่นจับตามองฉันมากมายขนาดนี้ แล้วก็ให้คนอื่นมาแบ่งความเสี่ยงนี้ไปจากฉันด้วย เซ่าถิงคะ…..ฉันรู้นะคะว่าคุณไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว แต่ฉันขอร้องนะคะ เพื่อปกป้องตัวฉันกับเฉิงเยี่ย ฉันขอร้องนะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามาแล้วมองไปที่กู้เค่อหยิง เขาค่อยๆยกยิ้มขึ้นมา ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดกับเธอว่า : “เธอนี่เหมือนคนตระกูลเหลิ่งไม่มีผิด ฉันเลือกแต่งงานกับคนไม่ผิดจริงๆ”

กู้เค่อหยิงหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่เข้าใจที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดว่ามันหมายความว่าอะไร เธอครุ่นคิดมาทั้งคืนแล้ว ว่าจะทำยังไงให้เธอรักษาเกียรติในฐานะคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งต่อไปได้อย่างไร โดยที่เธอนั้นจะมีความเสี่ยงอันตรายที่น้อยลง เธอคิดไปคิดมาแล้วและเห็นว่ามันไม่มีวิธีอื่นแล้ว นอกจากจะหาเป้าหมายอื่นที่จะมาแบ่งเอาความเสี่ยงนั้นไป

กู้เค่อหยิงคิดไปสักครู่ เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นกำลังชื่นชมเธออยู่ เธอเลพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ค่ะ ไม่อย่างนั้นเราจะเป็นสามีภรรยากันได้ยังไงล่ะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาแล้วมองไปที่กู้เค่อหยิงก่อนจะค่อยๆหันหน้าไป เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่เอาตัวของเขาออกไปจากตรงนั้น กู้เค่อหยิงไม่รู้เลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นหมายถึงอะไร เธอเพียงตะลึงอยู่ที่ที่เดิมจนเหลิ่งเฉิงเยี่ยร้องไห้ขึ้นมา กู้เค่อหยิงถึงได้มีปฏิกิริยาขึ้นมาอีกครั้ง เธอกอดลูกชายก่อนจะพูดกับเขาว่า : “ไม่เป็นไรนะคะเยี่ยเยี่ย เราจะปลอดภัยแล้วนะ เพียงแค่ให้คนมารับความเสี่ยงนั้นไปแทน เราก็จะปลอดภัยมากขึ้น มันต้องมีทางที่เราจะวินวินทั้งคู่แล้วก็ทำให้เราอยู่อย่างสงบสุขแน่ๆค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงออกจากคฤหาสน์เหลิ่ง ก่อนจะขึ้นไปนั่งในรถ จากนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามาทันที เขาพูดน้ำเสียงเข้ม : ”เตรียมตัวจัดการกู้เค่อหยิงด้วย”

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนที่จะถูกดักฟังหรือแอบลอบมองอีกต่อไป คนขับรถเขาก็ได้เปลี่ยนเป็นคนของเขาเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อกู้เค่อหยิงคิดจะเอาเจี่ยนอี๋นั่วมาเป็นโล่กำบังให้เธอแล้วอย่างนี้ เขาก็คงปล่อยกู้เค่อหยิงไว้ต่อไปไม่ได้ เพราะกู้เค่อหยิงนั้นสามารถทำร้ายเจี่ยนอี๋นั่วได้ แต่คงจะไม่สามารถพาเจี่ยนอี๋นั่วมาเผชิญกับความอันตรายในตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงกดวางสายเขาก็รีบสั่งคนขับรถทันที : “ไปบริษัท”

เมื่อถึงบริษัท หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงลงมาจากรถแล้ว บอดี้การ์ดเดินตามหลังเขามาทันที จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ถูกบอดี้การ์ดคนนึงผลักออก หนึ่งในบอดี้การ์ดมาประกบอยู่ข้างหลังเหลิ่งเซ่าถิง บอดี้การ์ดคนนั้นถูกยิงเข้าที่หน้าอกก่อนที่จะขาดใจตายในทันที

เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดบริเวณไหล่ของเขา เขาไม่ได้หันไปมองแผลบนไหล่ของเขา เขาเพียงหันหลังไปและได้รับการปกป้องจากบอดี้การ์ดแล้วรีบขึ้นรถไปทันที ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นว่า : “รีบออกรถ มีคนซุ่มยิงอยู่”

คนขับรถไม่กล้าที่จะสงสัยต่อไป จึงรีบออกรถไปทันที เมื่อขับรถไปได้ไม่ไกลบอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้รับโทรศัพท์จากสายหนึ่ง เมื่อเขารับโทรศัพท์แล้วกดวางเรียบร้อยแล้ว บอดี้การ์ดคนนั้นก็รีบรายงานเหลิ่งเซ่าถิงทันที : “จับมือปืนคนเมื่อกี้ได้แล้วครับ แต่ว่าเขาฆ่าตัวตายแล้วครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลง พร้อมกับพยักหน้า : “อย่าให้ข่าวนี้หลุดออกไป ปิดข่าวทั้งหมดด้วย”

หลังจากที่เหลื่งเซ่าถิงพูดจบเขาถึงก้มหน้ามามองแผลที่ไหล่ของเขา เป็นแผลถูกยิงที่มีไหลออกมาไม่หยุด เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆก่อนจะพูดด้วยความประหม่าว่า : “ตอนนี้ไป……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก็เห็นแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงจากทางหน้าต่างรถ เหลิ่งเซ่าถิงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะหรี่ตาลงเพราะคิดว่านี่คงเป็นภาพหลอนจากที่เขาได้รับบาดเจ็บ เหลิ่งเซ่าถิงจึงเบิกตาโตแล้วมองไปข้างนอกหน้าต่างอย่างชัดๆ แล้วคนที่เขาเห็นก็คือเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วที่จูงมือเจี่ยนซวงอยู่ มืออีกข้างของเธอถือกระติกน้ำอุ่นไว้ แล้วจู่ๆเจี่ยนซวงก็หยุดแล้วพูดขึ้นมาสองสามประโยค จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็นั่งยองๆข้างหน้าเจี่ยนซวงแล้วก็ยื่นกระติกน้ำนั้นให้ แล้วเจี่ยนซวงก็ดื่มมันก่อนที่จะกลับไปจับมือคนเป็นแม่แล้วเดินต่อไปด้วยรอยยิ้ม

“ท่านประธานเหลิ่งครับ …….ไปไหนต่อครับ? ผมว่าไปโรงพยาบาลก่อนมั้ยครับ แผลของท่านปล่อยทิ้งแบบนั้นไม่ได้นะครับ” บอดี้การ์ดที่นั่งอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงรีบพูดขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าก่อนจะกดเสียงต่ำ : “ไม่ ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ขับรถช้าๆหน่อย”

เมื่อเหลิ่วเซ่าถิงพูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมาช้าๆก่อนจะสัมผัสกับหน้าต่างรถที่ตรงกับแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่งและเจี่ยนซวง เขาทิ้งรอยเลือดที่เปื้อนอยู่บนมือของเขาอยู่บนบานหน้าต่างรถ ในตำแหน่งเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยกยิ้มมุมปากขึ้น ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆปรากฏบนใบหน้าของเขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า : “ขับช้าๆ ขับรถช้าๆหน่อย”

“ท่านประธานครับ…..แปลโดนยิงของท่านประธานมันร้ายแรงนะครับ ต้องรีบไปโรงพยาบาลแถวนี้ให้เร็วที่สุดนะครับ” บอดี้การ์ดรีบเตือนเขาทันที

“ฉันบอกว่าให้ขับรถช้าๆไง” เหลิ่งเซ่าถืงพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ไม่สามารถหักล้างได้ของเหลิ่งเซ่าถิง บอดี้การ์ดก็ทำได้เพียงขมวดคิ้วเท่านั้น ก่อนจะพูดกับคนขับรถว่า : “ขับรถช้าลงหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้น แล้วลูบเบาๆตามหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงต่างก็ไม่รู้ว่าตัวเองพบเห็นอะไร พวกเธอมองหน้ากันแล้วพูดต่อสองสามประโยคแล้วทั้งสองก็หัวเราะขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงก็เองด็ยิ้มตามพวกเธอทั้งสองคน เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อที่จะพยายามจะฟังในสิ่งที่ทั้งสองคนพูด

แต่หน้าผากของเขากลับกระทบกับกระจกรถที่เย็นเยือกนั้น เป็นเพราะเขานั้นเสียเลือดไปมาก แขนของเขาเลยไม่มีแม้แต่แรงที่จะยกขึ้น ทำได้เพียงไถลลงอย่างไร้เรี่ยวแรง แล้วมองเลือดของเขาที่ติดอยู่หน้าต่างรถ ที่ทำให้เขามองไม่เห็นเจี่ยนอี๋นั่งและเจี่ยนซวง เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากของตัวเองก่อนจะดึงเสื้อสูทของเขาออกมาเช็ดเลือดที่กระจก

แขนของเขาสั่น รวมถึงหัวใจที่เต้นรัว เขากลัวว่าจะไม่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงอีก แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเช็ดเลือดที่หน้าต่างรถออกไปแล้วนั้นเขาก็มองไม่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงแล้วจริงๆ เหลิ่งเซ้าถิงมองดูคนที่เดินอยู่บนถนนอย่างพลุกพล่านนั้น และพยายามมองหาเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง แต่ที่สุดเขาก็ไม่เจอเสียแล้ว หรือว่าสิ่งที่เขาเห็นทั้งหมดเมื่อกี้นี้เป็นแค่ภาพหลอนกันนะ

เหลิ่งเซ่าถิงล้มตัวลงที่เบาะหลังรถ ใบหน้าของเขาปรากฎให้เห็นรอยยิ้มที่หดหู่ ชีวิตของเขานี่มันยังไงกันนะ ไม่มีโอกาสได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารัก ไม่ได้เจอลูกชายและลูกสาว ใครจะรู้ว่าท่านประธานเหลิ่งที่มีอำนาจล้นพ้นนั้น จริงๆแล้วเป็นเพียงคนขี้แพ้ไม่กล้าจะอยู่กับผู้หญิงคนที่ตัวเองรัก?

“ท่านประธานเหลิ่งครับ…..ตอนนี้ควรจะไปโรงพยาบาลแล้วนะครับ” บอดี้การ์ดพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

เหลิ่งเซ่าถิงลืมตาขึ้นมาก่อนจะมองไปที่บอดี้การ์ดที่อยู่ข้างๆเขา แล้วพยักหน้าเบาๆแล้วพูดอย่างอ่อนล้าว่า : “อือ งั้นก็ไปเถอะ”

เขายังตายไม่ได้ ถ้าเขาตายไป เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงจะเสียเกราะกำบังที่ดีที่สุดอย่างเขาไป กู้เค่อหยิงและเหลิ่งหมิงอันต้องทำให้เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงอยู่กันอย่างทุกข์ทรมานได้เป็นแน่ อีกทั้งลูกชายของเขา ก็จะต้องมีชีวิตต่อไป ต้องแข็งแกร่งเพื่อที่จะปกป้องพวกเธอได้ เพื่อให้พวกเขามีชีวิตอยู่ใต้ฟ้านี้อย่างปลอดภัยและสงบสุข

เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงจะบอกเจี่ยนอี๋นั่วเองว่าลูกชายของพวกเขานั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาไม่อาจจะขอให้เจี่ยนอี๋นั่วอภัยให้ ไม่ได้หวังว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะกลับมาอยู่ด้วยกันกับเขา เพียงแค่เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเหมือนคนเมื่อกี้ ที่มีรอยยิ้มแบบนั้นต่อไป ได้จูงมือเจี่ยนซวง ได้เดินบนถนนพลุ่งพล่านแบบนั้นต่อไป เพียงเท่านี้มันก็เพียงพอสำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คิดว่าเขาไม่คู่ควรกับเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นคนที่ดูดื้อรั้น แต่เบื้องลึกในใจของเธอนั้นทั้งใจดีและอ่อนโยน เจี่ยนอี๋นั่วนั้นแตกต่างกับเขาอย่างสิ้นเชิงมาตั้งแต่แรก เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางทำอะไรรุนแรงกับคนอย่างเขาแน่นอน อย่างมือที่เปื้อนไปด้วยเลือด ฆ่าคนที่ไม่ควรฆ่า เขาก็ทำมาแล้ว ใช้ประโยชน์จากคนที่ไม่ควรเขาก็ทำมาแล้ว มีหลายเรื่องที่เหลิ่งเซ่าถิงทำแล้วมันทำให้เขารู้สึกยากที่อธิบายด้วยเช่นกัน

เขาจะทำยังไงให้ได้อยู่กับเจี่ยนอี๋นั่วกันนะ? เขากลัวว่าเขาจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นแปดเปื้อน

เพียงแค่เขาสามารถรักษาให้เจี่ยนอี๋นั่วและเด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่อย่างสงบสุข สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงมันก็เพียงพอแล้ว เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งใดนอกจากนี้เลย

แต่………

“ฉันยังคิดถึงเธอ………” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นมาอย่างคลุมเครือเนื่องจากเขาสูญเสียเลือดของเขามากเกินไป

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดเสียงต่ำ : “งั้นย่าจะรอดูนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มมุมปากช้าๆ ในขณะเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงรับโทรศัพท์ ก่อนที่จะพูดกับคนในสายด้วยใบหน้าที่ยิ้มอ่อนๆ : “นายไม่ได้บอกว่าจะไม่โทรมาหายฉันอีกแล้วหรอ? นายจะฆ่าพวกเธอก็เชิญเลย ถ้าไม่กล้าฆ่าก็ปล่อยพวกเธอซะ แล้วก็รีบหนีไป คนของฉันกำลังไปหาแกแล้ว คำสั่งที่พวกนั้นได้รับก็คือฆ่าแก”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็กดวางโทรศัพท์ทันที ก่อนที่จะหันหลังมาดูคฤหาสน์ที่กระเซอะกระเซิงนี้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : “ไม่ต้องเดินไปมาแล้ว ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว รีบไปเตรียมอาหาร ฉันกับคุณย่ายังไม่ได้ทานอะไรเลย”

คนใช้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ก่อนจะมองไปที่สีหน้าเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็หันไปมองคุณนายเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งถอนกายใจก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า : “ได้ยินที่คุณชายสั่งแล้วใช่มั้ย”

เมื่อคุณผู้หญิงเหลิ่งพูดจบก็หันหน้ากลับไปมองข้างในห้อง เธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเข้าไปนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในห้องอาหารแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยความเย็นชา : “ยังจะยืนบื้ออยู่ทำไมล่ะ? ให้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้ายังไม่มีอาหารมาเสิร์ฟให้ฉัน พวกเธอก็เก็บข้าวของออกไปได้เลย”

เมื่อคนรับใช้ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกไปทำตามคำสั่งทันที ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะเย็นชาใส่คนอื่น แต่ก็แทบจะไม่ได้จัดการเรื่องในคฤหาสน์เหลิ่งเลย คนรับใช้ส่วนใหญ่จึงกลัวคุณนายเหลิ่งมากกว่า พวกเขาอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่งนี่มานาน จึงดูออกว่าแม้ว่าคุณชายนั้นจะดูเป็นคนเย็นชา แต่เขาก็ไม่ชอบยุ่งอะไรกับคนรับใช้ และไม่ค่อยโทษพวกเขา เวลาที่คนรับใช้ต้องเผชิญหน้ากับคุณชายจึงรู้สึกผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย

แต่ว่าตอนนี้กู้เค่อหยิงที่นับว่าเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงที่หยิ่งยะโสและเล่ห์เหลี่ยมนั้น กู้เค่อหยิงถูกลักพาตัวไปแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้สนใจอะไร เขายังเตรียมตัวกินข้าวได้อยู่เลย สิ่งนี้ทำให้คนรับใช้รู้สึกถึงความรู้สึกบึ้งก้นหัวใจของเขา พวกคนใช้ไม่กล้าชักช้า เพียงผ่านไปไม่นานอาหารสองสามอย่างก็วางอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงคีบอาหารขึ้นมาแล้วก็กินเข้าไปช้าๆ เหลิ่งหมิงอันก็ลงมาจากชั้นบน ก่อนจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “พี่ใหญ่ดูใจเย็นจังเลยนะครับ ไม่สนใจพี่สะใภ้ที่ถูกลักพาตัวไปเลยหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “นายก็ไปช่วยเธอมาสิ เอาหุ้นของนายไปแลกตัวเธอมา ไม่แน่อาจจะช่วยได้ก็ได้นะ”

เหลิ่งหมิงอันเม้มปาก ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ตัดข้าวให้ฉันด้วย”

คนรับใช้รีบเอาจานข้าวมาวางตรงหน้าของเหลิ่งหมิวอันทันที เหลิ่งกมิงอันกยิบตะเกียบขึ้นมา แล้วก็ยื่นตะเกียบของตัวเองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง เตรียมที่จะคีบอาหาร เหลิ่งเซ่าถิ่งก็รีบเอามือของเขาขึ้นมาบังทันที ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “ฉันไม่ชอบแบ่งอาหารกับใคร นายสั่งอาหารเองแล้วกันนะ”

เหลิ่งหมิงอันกระตุกมุมปากก่อนจะหันไปสั่งคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ : “งั้นเอาแบบที่คุณชายสั่งมาให้ฉันด้วยหนึ่งที่”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดจบเขาก็ขมวดคิ้วใส่เหลิ่งเซ่าถิงทันที ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “พี่รู้มั้ย? ว่าวันนี้คุณนายเหลิ่งออกไปเจอเจี่ยนอี๋นั่วมา”

เหลิ่งเซ่าถิงลดสายตาก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : “แล้วเจี่ยนอี๋นั่วตายไปรึยังล่ะ?”

เหลิ่งหมิงอันจ้องหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เข้าถึงได้รู้ว่าสีหน้าท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ได้แสดงอะไรออกมาเป็นพิเศษ ราวกับว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องธรรมดาทั่วไป เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูด : “ตายแล้วครับ”

“อ๋อ………” เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ก่อนจะคียอาหารแล้วกินต่อ

จนเหลิ่งหมิงอันเดาความคิดของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ออก เขามองเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังกินข้าวอยู่ตอนนี้จนทำให้เขารู้สึกหวาดระแวง เหลิ่งเซ่าถิงคิดอะไรอยู่กันแน่? เหลิ่งหมิงอันเดาไม่ออกเลยจริงๆ

ในขณะนั้นประตูใหญ่ของคฤหาสน์เหลิ่งก็เปิดขึ้น ผู้ชายหลายคนพาผู้หญิงคนนึงที่ทั้งตัวของเธอเต็มไปด้วยเลือดเข้ามา ผู้หญิงคนนั้นสั่นไม่หยุด เธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทุกคนถึงได้รู้ว่าผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเลือดนั้นคือกู้เค่อหยิง

“คุณ….คุณหญิง……” พวกคนใช้ในบ้านนั้นคุ้นเคยกับเธออย่างดี แต่เมื่อได้เห็นกู้เค่อหยิงในสภาพแบบนี้ก็อดที่จะตกใจไม่ได้

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองกู้เค่อหยิงก่อนจะพยักหน้าเบาๆ : “แล้วมาแล้วก็มากินข้าวสิ เอาข้าวมาให้คุณหญิงที่นึง………”

ราวกับว่ากู้เค่อหยิงนั้นตะลึงไปชั่วครู่ เธอถูกชายชุดดำสองคนพาเธอไปที่โต๊ะอาหารด้วยความตกใจ เธอไม่เหลือแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะกอดลูกชายของเธอเหลิ่งเฉิงเยี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ กู้เค่อหยิงถูกพาตัวมานั่งที่นั่งโต๊ะอาหาร ร่างของเธอนั่นสั่นไปทั้งตัวไม่หยุด เหลิ่งเฉิงเยี่ยก็นั่งเหม่ออยู่ข้างๆเช่นกัน ราวกับคนที่ร้องไห้จรหมดแรงยังไงอย่างงั้น

เมื่อผ่านไปได้สักครู่ กู้เค่อหยิงก็ร้องไห้โฮออกมา : “ตาย……ตายไปแล้ว……ตายหมดแล้ว คนพวกนั้นตายหมดแล้ว……..บนตัวฉันมีแต่เลือด พวกนั้นจะฆ่าฉัน…..”

หลังที่กู้เค่อหยิงร้องไห้แล้ว เหลิ่งเฉิงเยี่ยที่นั่งอยู่ข้างๆก็ร้องไห้ออกมาทันที เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองปล้วพูดอย่างเย็นชาว่า : “เวลากินข้าวเขาไม่พูดกัน เธอเป็นถึงคุณผู้หญิงของบ้าน น่าจะรู้กฎในการกินข้าว ไม่ต้องพูดมากแล้ว”

กู้เค่อหยิงตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะเบิกตาโตจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอเห็นว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยลูกชายของเธอนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าวต่อ กู้เค่อหยิงก็ก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเองที่เต็มไปด้วยเลือดนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เลือดของกู้เค่อหยิง แต่ว่าภาพจำเลือดเหล่านัน้ยังอยู่ในรวามทรงจำของกู้เค่อหยิง เธอไม่กล้าจะออกเสียงอีกต่อไป เมื่อเหลิ่งเฉิงเยี่ยนั้นหลุดเสียงออกมากู้เค่อหยิงก็รีบเอามือของเธอไปปิดปากลูกชายทันที

มือของกู้เค่อหยิงนั้นเย็นไปหมดและสั่นไม่หยุดเพราะเธอตกใจ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์เหลิ่ง แล้วเธอรู้สึกกลัวมากขนาดนี้ โดยเฉพาะเหลิ่งเซ่าถิง เขายังเป็นคนอยู่มั้ยนะ? ทำไมเขาถึงได้เลือดเย็นขนาดนี้ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น

กู้เค่อหยิงถอนหายใจก่อนจะหยิบชามของตัวเองขึ้นมาแล้วใช้ตักข้าวเข้าปากอย่างแรง เธอกินเข้าไปหลายคำใหญ่ๆ เมื่อปากของกู้เค่อกยิงเต็มไปด้วยข้าวแล้วเธอก็รีบปิดปากตัวเองทันที เพื่อไม่ให้ข้าวที่อยู่ในปากของเธอนั้นทะลักออกมา

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับกู้เค่อหยิง กู้เค่อกยิงอยากเลี่ยงเขา เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้นเพื่อให้กู้เค่อหยิงนั้นไม่กล้าไปมากกว่านี้แล้วอยู่นิ่งๆ เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาเช็ดข้าวที่อยู่ที่ปากของกู้เค่อหยิง ข้าวสวยสีขาวนั้นเค็มไปด้วยสีแดงของเลือด

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะก่อนจะพูด : “ทำไมเธอกินข้าวเหมือนเด็กแบบนี้ล่ะ?”

กู้เค่อหยิงหายใจเข้าออกไม่กี่ครั้งเธอก็สำลักออกมา ก่อนจะร้องไห้ : “ฉัน…ฉันไม่ได้ตั้งใจค่ะ อย่า…ฆ่าฉันเลยนะคะ อย่าทำฉันเลย……..”

“เธอคงจะเหนื่อย ขึ้นไปพักบนห้องเถอะ” เหลิ่งเซ่าถิงหยิบจานขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึม : “พาคุณหญิงกลับห้องไป”

กู้เค่อหยิงถูกพาขึ้นไปบนห้องของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว เหลิ่งเซ่ายังคงนั่งอยู่ที่เดิม เขากินข้วจนหมดจานก่อนจะลุกขึ้นแล้วหันหลังเดินจากไป เหลิ่งหมิงอันมองตามหลังของเหลิางเซ่าถิง ก่อนจะหรี่ตามอง มือของเขาที่อยู่ใต้โต๊ะกินข้าวนั้นสั่นอย่างห้ามไม่ได้

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกลับมาถึงห้อง กู้เค่อหยิงก็ได้อาบน้ำไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอกอดลูกชายของเธอเหลิ่งเฉิงเยี่ยอยู่ที่มุมห้อง เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปก่อนจะค่อยๆโส้มตัวลงพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : “ที่นั่งตำแหน่งคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งตำแหน่งนี้เป็นไง ดีมั้ย?”

กู้เค่อหยิงร้องไห้ก่อนจะพูดว่า : “ได้โปรด ปล่อยฉันเถอะนะคะ ฉันไม่อยากเป็นคุณหญิงอะไรนี่แล้ว ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากถูกใครลักพาตัวไปอีกแล้ว ได้โปรดนะคะ ปล่อยฉันไปเถอะ…….”

“ความมั่งคั่งรุ่งโรจน์พวกนี้เธอก็ทิ้งมันได้หรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงถาม

กู้เค่อหยิงส่ายหน้า : ฉันไม่เอาอะไรสักอย่างแล้วค่ะ ปล่อยฉันไปเถอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองกู้เค่อหยิง ก่อนจะพูดเสียงเข้ม : “ใช่สิ ไม่แปลกใจที่เธอกลัว เพราะคนเราล้วนอยากมีชีวิตต่อ แล้ว…..แล้วทำไมถึงมีคนที่ยินยอมที่จะตายล่ะ? ตายไปไม่ดีกว่าหรอ ไม่ต้องมาหลบอยู่ข้างหลังฉัน รอให้ฉันประสบความสำเร็จเงียบๆ?”

กู้เค่อหยิงไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงใคร เธอรู้แค่ว่าไม่ว่าคนที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนั้นจะเป็นใคร คนๆนั้นก็คงเป็นคนที่โง่ที่สุดในโลก คนจะตายได้ยังไงกัน? ทุกข์จนตาย เครื่องประดับงามๆพวกนั้นใครจะเป็นคนใส่? เสื้อผ้าสวยๆนั้นจะไม่เสียไปฟรีๆหรือ? เธอจะตายไม่ได้ เธอยังต้องเอนจอยกับการใช้ชีวิตอยู่

“ถ้าเธอตะออกไปจริงๆ ฉันก็จะไม่ขัดขวางเธอ แต่เธอต้องมั่นใจว่าถ้าเธอออกไปแล้ว เธอจะไม่เอาอะไรไปทั้งสิ้น และเธอก็จะไม่ใช้ชีวิตแบบนี้อีก” เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มพร้อมกับพูด

กู้เค่อหยิงสั่นไปสักพัก ดวงตาของเธอสั่นระริก : “ฉันจะไม่ได้ใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้วหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ : “เธอจะไม่ใช่คุณหญิงของตระกูลเหลิางและคนอื่นก็จะไม่นับถือเธออีก คนที่เธอเคยเหยียบย่ำเขา พวกเขาก็จะทำแบบนั้นกับเธอ เธอรับได้มั้ยล่ะ?”

กู้เค่อหยิงสูดจมูกครั้งหนึ่ง เธอนึกถึงสภาพของเธอในอนาคตที่หลิวจื่อซิงใช้ เธออดไม่ได้ที่จะลังเลขึ้นมา ทำไมการเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งนั้นจะอยู่อย่างมีความสุขไปวันๆไม่ได้หรอ? ทำไมเธอต้องมาเจอกับความเสี่ยงอันตราย? ทำเธอยังต้องมามารับผิดชอบอะไรมากมายอีก โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลยหรอ?

ไม่ มันไม่มีทางอื่นแล้ว

กู้เค่อหยิงรีบเงยหน้าขึ้นมาพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนก : “ถ้าอย่างนั้น คุณก็ยังเหลือเจี่ยนอี๋นั่วกับลูกสาวนี่ เซ่าถิงคะ คุณไปหาพวกเธอบ่อยๆได้นะ แล้วต่อไปถ้ามีคนมาคุกคามคุณอีก ก็จะจัดการกับพวกเขา ฉันก็ปลอดภัยแล้ว เซ่าถิงคะ ฉันไม่ว่าอะไรเลย ฉันรู้ว่าคุณหวังดีกับฉัน คุณไปดูแลพวกเธอก็ได้นะคะ ถึงแม้ว่าคุณจะพาพวกเธอมาอยู่ที่นี่ก็ไม่เป็นไร คุณแค่…..แค่ไม่มีลูกชายกับเจี่ยนอี๋นั่วก็พอ ไม่สิ จะมีลูกชายด้วยกันก็ไม่เป็นไรคะ เพราะลูกชายของฉันเหลิ่งเฉิงเยี่ยเป็นคนโต เรื่องมรดกทุกอย่างก็ตกเป็นของเขาในอนาคตอยู่แล้ว ฉันไม่ได้รับผลอะไรในความรักนี้หรอกค่ะ ฉันแบ่งปันได้เพื่อดื่มด่ำกับคุณหญิงภรรยาที่มีเกียรติได้มั้ยคะ?”

“หึ…….” เหลิ่งเซ่าถิงจ้องกู้เค่อหยิง ก่อนจะหัวเราะขึ้นช้าๆ : “ฮ่าๆ…….”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยหัวเราะเสียงดังเท่านี้มาก่อน กู้เค่อหยิงมองเหลิ่วเซ่าถิงที่หัวเราะอยู่ในตอนนี้ ก่อนจะหัวเราะตามเขาแล้วพูดว่า : “ฮ่าๆๆ….มันดีใช่มั้ยล่ะคะ ต่อไปความโชคร้ายก็ตกเป็นของเจี่ยนอี๋นั่วกับลูกสาวของเธอแล้ว ทำไมเมื่อก่อนฉันถึงคิดไม่ได้นะ ฉันหาคนมาแทนฉันได้นี่นา แล้วฉันก็จะปลอดภัย แล้วฉันก็ไม่ต้องประสบปัญหาอีก ใช่มั้ยคะ?”

คุณนายเหลิ่งหรี่ตามองมีดที่วางอยู่บนโต๊ะชา ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้น แล้วยิ้มขึ้นมา : “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคิดว่าฉันกลัวเธอหรอ? คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธองั้นหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะพูดว่า : “ฉันรู้ค่ะว่าคูรนายเหลิ่งกล้าฆ่าฉัน สำหรับคุณฉันก็แค่มดตัวเล็กตัวนึง สามารถตายได้ตามที่คุณต้องการ แต่ว่าถ้าฉันตายแล้ว ความลับทั้งหมดในตระกูลเหลิ่งจะต้องถูกส่งไปยังหนังสือพิมพ์ของต่างประเทศทั้งหมด รวมทั้งเรื่องลูกของฉันที่ถูกลักพาตัวแล้วก็โดนคุณฆ่า”

คุณนายเหลิ่งค่อยๆขมวดคิ้วขึ้นทีละน้อยแล้องจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอคิดว่าสำนักพิมพ์ไหนจะกล้าพิมพ์เรื่องของตระกูลเหลิ่งอย่างงั้นหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาแล้วพูดว่า : “ตระกูลฮั่วไงคะ เมื่อหลายวันก่อนฉันดูข่าว ฉันยังเห็นข่าวความขัดแย้งกันของตระกูลเหลิ่งกับตระกูลฮั่วอยู่เลยนะคะ ไม่คิดเลยนะคะว่าไม่กี่ปีมานี้ตระกูลฮั่วจะเติบโตมั่งคั่งได้ไวขนาดนี้ ไวจนขนาดที่จะเคียงบ่าเคียงไหล่กับตระกูลเหลิ่งอยู่แล้ว แล้วฉันก็ฆ่าคนเพื่อที่จะทรยศต่อตระกูลของคุณด้วย จนได้เข้าคุก ตอนนี้ฉันก็ถูกตัดสินแล้วด้วย แล้วยังไงล่ะคะ? เรื่องราวของฉันอาจจะไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับตระกูลเหลิ่ง แต่ก็สามารถทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่นได้ พอซวงซวงโตขึ้น เธอก็จะรู้ว่าทำไมฉันถึงตาย เธอก็จะเกลียดคัณนายเข้าไส้ไงล่ะคะ….”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักพักเธอถึงได้ใยเย็นขึ้น : “เป็นแม่ที่ดีจังนะ เธอกำลังตัดทางลูกสาวของเธออยู่นะ ถ้าฉันฆ่าเธอขึ้นมาจริงๆ แล้วเอาตัวเจี่ยนซวงกลับไป ลูกสาวเธอก็จะเกลียดฉันแล้วก็ต้องหาทางรับมือกับฉันแบบนี้ มันมีข้อดีตรงไหนล่ะ? ถ้าเธอรักลูกสาวของเธอจริงๆเธอต้องสอนให้ลูกเชื่อฟังแทนที่จะเกลียดชังสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ : “ฉันคิดว่าการเป็นแม่ที่ดีคือสอนให้ลูกของฉันอยู่ห่างจากคนตระกูลเหลิ่งแล้วคุณนายค่ะ ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม”

“นี่เธอ!” คุณนายเหลิงขมวดคิ้วใส่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า : “ไม่แปลกใจเลยทำไมลูกสาวเธอถึงได้ฉลาดพูด ที่แท้ก็ได้เธอสอนจนเสียคนนี่เอง มีเด็กบ้านไหนกันที่คิดมากอย่างลูกสาวเธอ? เธอคิดว่าฉันตัดเด็กนั่นไม่ได้หรอ? ตระกูลเหลิ่งมีหลานชายอีกตั้งคนนึง!”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น : “คุณนายก็ไม่ได้ชอบเจี่ยนซวงอยู่แล้วนะคะ งั้นก็ออกไปห่างๆชีวิตของเราหน่อยนะคะ ฉันกับเจี่ยนซวงแค่อยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุข ไม่อยากมีข้อพิพาทอะไรเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งอีก ไม่อย่างนั้น…..”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ลดเสียงต่ำทันที : ถึงแม้ว่าเม็ดทรายจะเล็ก แต่ถ้ามันเข้าตามันก็ทำให้คนเราเจ็บปวดได้เหมือนกันนะคะ ถ้าฉันยิ่งตายไปแล้ว ฉันก็จะเป็นเม็ดทรายที่จะทำให้ตระกูลเหลิ่งรู้สึกแย่นั้นแหละค่ะ!”

“หึ…….” คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วแล้วยกยิ้ม ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “ใจกล้าจริงๆนะ!”

ในดวงตาของคุณนายเหลิ่งนั้นส่อถึงความอาฆาตอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่สงสัยเลยที่คุณนายเหลิ่งอยากจะฆ่าเธอและคุณนายเหลิ่งทำมันได้ คุณนายเหลิ่งกับเหลิ่งหมิงอันสามารถทำให้เธอต้องไปอยูในคุกแบบนั้นได้ คุณนายเหลิ่งนั้นดูแลตระกูลเหลิ่งมานาน จึงสามารถกดให้คนในตระกูลอยู่ภายใต้เงื้อมมือของเธอได้ เลือกในมือของเธอนั่นมีไม่น้อยแน่นอน

ฆ่าคนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วไป แล้วคุณนายเหลิ่งก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังไม่เลี่ยงคุณนายเหลิ่งแต่อย่างใด เธอทำเพียงมองหน้าคุณนายเหลิ่งต่อไม่หันหัวไปไหน ผ่านไปได้สักพัก คุณนายเหลิ่งถึงได้หันหน้าหนี ก่อนจะพูดอย่างกัดฟันว่า : “พวกเธอนี่นะ….รังแกคนแก่อย่างฉัน…”

คุณนายเหลิ่งพูดจบเธอก็เดินไปที่ประตูทันที เมื่อถึงประตูแล้วคุณนายเหลิ่งก็หยุด ก่อนที่เธอจะมองไปที่รูปภาพครอบครัวของเจี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวง ใบหน้าของเจี่ยนซวงนั้นแนบชอดกับใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เด็กน้อยยิ้มจนตาปิด คุณนายเหลิ่งยังจำความรู้สึกตอนที่เธออุ้มเด็กน้อยได้ เนื้อนุ่มนิ่มนั้น ราวกับว่าเธอกำลังอุ้มหมาน้อยยังไงอย่างงั้น

จริงๆแล้วการพาซวงซวงกลับเข้ามาในตระกูลเหลิ่งนั้น เป็นเพียงความคิดชั่วคราวของคุณนายเหลิ่งเท่านั้น ถ้ามาพิจารณาดีๆแล้ว หารที่เจี่ยนซวงได้กลับไปอยู่กับตระกูลเหลิ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไร ถ้าเจี่ยนชวงได้กลับไปที่บ้านนั้น คุณนายเหลิ่งก็จะพูดเรื่องราวของเจี่ยนซวงให้กับคนอื่นๆ แล้วถ้ามีคนพูดถึงเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา ครอบครัวเหลิ่งมาเป็นครอบครัวได้ยังไง? คนอื่นๆจะมองตระกูลเหลิ่งยังไง

เธออยากพาซวงซวงกลับมาด้วยไม่ได้มีประโยชน์ อะไรต่อเธอ เป็นเพียงแค่การเดินผ่านร้านสัตว์เลี้ยง แล้วก็อยากซื้อสัตว์เลี้ยงมาแก้เบื่อก็เท่านั้น

ช่างมันเถอะ ปล่อยเด็กน้อยไปก็แล้วกัน ปลาอยไปพร้อมกับเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้งนึง

คุณนายเหลิางยะงไม่อยากยอมรับว่าตอนที่เธอเห็นเจี่ยนชวงกับเจี่ยนอี๋นั่วนั้นมีความสุขมากๆ ถึงได้ปล่อยเจี่ยนซวงกับเจี่ยนอี๋นั่วสองแม่ลูกนี้ไป

เมื่อเห็นคุณนายเหลิางเดินออกจากห้องไปเจี่ยนอี๋นั่วถึงล้มตัวลงไปกับโซฟา ก่อนจะถอนหายใจหลายๆครั้ง เมื่อกี้เธอคิดว่าเธอจะตายต่อหน้าของคุณนายเหลิ่งไปซะแล้วจริงๆ ตอนนี้เธอไม่มีใครดันหลัง นอกจากเงื่อนไขนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีสิ่งใดที่สามารถเอามาต่อรองได้อีกแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง ก่อนที่จะเปิดตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอถึงได้ไปล้างหน้า เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสงบขึ้นมาบ้างแล้วเธอก็ได้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนออกจากห้องไปแล้วตรงไปที่ร้านขนมหวาน เมื่อถึงร้านขนมหวานเธอก็มองเข้าไปในร้านที่พนักงานต่างก็กำลังยุ่งๆเช่นนั้นทำให้เธอรู้สึกราวกับอยู่คนละโลก

เมื่อกี้เธอเกือบตายแล้ว ตอนนี้เธอก็อยู่ท่ามกลางความวุ่นวะวุ่นวาย เพื่อวางแผนเกี่ยวกับอนาคตของเธอและลูก เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะยกยิ้มขึ้นมา ถึงแม้ว่าคิ้วของเธอนั้นยังขมวดอยู่แน่น แต่เธอก็ค่อยๆยิ้มออกมา เจี่ยนอี๋นั่วหวังแค่เพียงว่าเมื่อคุณนายเหลิ่งออกไปจากชีวิตของเธอแล้ว ปัญหาชีวิตของเธอจะน้อยลงมาบ้าง

เมื่อคุณเหลิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์เหลิ่ง ภายในนั้นก็กระเซอะกระเซิงไปหมด คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นมา : “นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”

คนรับใช้รีบตอบทันที : “คุณนายคะ คุณหญิงถูก……ลักพาตัวไปแล้วค่ะ…….”

คุณนายเหลิ่งจ้องคนรับใช้คนนั้นพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น : “โดนลักพาตัวงั้นหรอ? หมายความว่ายังไง?”

คนรับใช้รีบตอบทันที : “วันนี้คุณหญิงพาคุณหนูออกไปด้วยค่ะ แล้วก็ไม่กลับสักที ผ่านไปได้ไม่นานก็มีคนโทรมา เขาเป็นคนที่จับคุณหญิงไปค่ะ”

“บอดี้การ์ดล่ะ?” คุณนายเหลิ่งพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว : “บอดี้การ์ดไปไหน?”

“บอดี้การ์ดตายแล้วค่ะ” คนรับใช้เงยหน้ามองคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว

คุณนายเหลิ่งถอนหายใจก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “เธอก็รู้ว่าเธอเป็นไม่สบายใจ แต่นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว? ไม่รู้รึไงว่ามีหลายสายตาจับจ้องเธออยู่? ยังจะกล้าออกไปข้างนอกอีก? จะไม่เอาชีวิตแล้วจริงๆใช่มั้ย!

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตอนนี้ เธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาจากข้างนอก ก่อนจะพูด : “เซ่าถิง หลานรู้มั้ยว่าใครเป็นคนจับกู้เค่อหยิงไป ถ้าเธอน่ะไม่อะไรหรอก แต่เธอพาลูกไปด้วยน่ะสิ”

“เหลิ่งเฉิงถิงครับ” เหลิ่งเซ่าถิงพูจนจบด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : “น่าจะเป็นเพราะการตายของเหลิ่งเฉิงอวี้ไปกระตุ้นให้เขาทำน่ะครับ ผมเพิ่งจะสอบสวนเขาไป เขาก็จับตัวกู้เค่อหยิงไปแล้ว”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วก่อนจะอดไม่ไหวที่จะตำหนิ : “ย่าบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่ารีบ ตอนนี้เลยทำให้คนพวกนี้เขาเคืองเข้าไปใหญ่ อีกหน่อยต้องมีเลือดตกยางออกแน่ๆ ตอนนี้ยิ่งไม่ใช่แค่ตระกูลเหลิ่งที่มีอำนาจมาก ตระกูลอื่นก็ตั้งหน้าตั้งตารอล้มตระกูเหลิ่งอยู่ แล้วพวกมันก็จะทำให้เรานองเลือดกันทั้งหมด”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดด้วน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “คุณย่าครับ เรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้วนะครับ พวกเรารู้ดี ตอนนี้ภายในตระกูลของเราก็เกิดปัญหาขึ้นมากมาย ตอนนี้ทางแก้ก็คือต้องฆ่าคนบางคน คนภายนอกจะได้รับผลประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่ทำในอนาคตอาจจะไม่เหลือตระกูลเหลิ่งแล้วก็ได้ครับ ตระกูลของเราก็จะสลายไปจากคนใน แล้วถึงตอนนั้นเราก็ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะช่วยเหลือตัวเองแล้วครับ”

คุณนายเหลิ่งเม้มปากแน่นก่อนจะหันหน้าไปถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงที่เคร่งขรึมว่า : “แล้วเราควรทำยังไง? เหลิ่งเฉิงถิงเขาต้องการอะไร?”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้น : “เขาอยากได้เงินครับ เขาไม่อยากให้ผมเป็นประธานใหญ่อีกต่อไป อยากให้ผมวางมือจากทุกอย่าง แล้วก็อยากให้ผมประกาศให้ทุกคนรับรู้ว่าทรัพย์สินทุกอย่างให้เขาทั้งหมด”

เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเธอก็สลดลงทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : ถ้าอยากได้เงินยังไงก็ให้ได้อยู่แล้ว แต่นอกจากเงินมันจะทำให้หลานสูญสิ้นอำนาจทุกอย่างไปอย่างสิ้นเชิงเลยนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ผมก็เลยปฏิเสธไงครับ ให้เขาฆ่ากู้เค่อหยิงกับเหลิ่งเฉิงเยี่ยไปเถอะครับ ผมจะได้ไปแต่งงานกับคนอื่น”

คุณนายเหลิ่งรู้ว่านี่คือการตัดสินใจเลือกที่ถูกต้องเหลิ่งเซ่าถิงเลือกอย่างนี้แล้ว มันพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่เพอร์เฟคที่สุดสำหรับการสืบทอดตระกูลเหลิ่งต่อไป แต่คุณนายเหลิ่งก็ยังอดไม่ได้ที่จะเหม่อไปชั่วขณะ เธอหันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็คิดถึงคนที่คิดจะปกป้องลูกของตัวเอง เลยมาสั่งเธอไม่ให้ไปยุ่งด้วยอย่างเจี่ยนอี๋นั่งทันที

คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม ; “เพราะหลานไม่ได้มีกู้เค่อหยิงในใจใช่มั้ยล่ะ”

คุณนายเหลิ่งพูดพร้อมกับกดเสียงต่ำ เพื่อให้เสียงนั้นมีแค่เธอและเหลิ่งเซ่าถิงที่ได้ยิน : “ แล้วถ้าเป็นเจี่ยนอี๋นั่วล่ะ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นปรากฏให้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มของเขา : “คุณย่าครับ ไม่ใช่ว่าผมเลือกไปแล้วหรอครับ คุณย่าน่าจะรู้ ทำไมผมถึงปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไป ไม่ใช่ผมไม่รู้ว่าเธอเธอถูกใส่ความนะครับ แต่เธอเป็นแค่ผู้หญิงคนนึง ทำไมผมต้องปกป้องแล้วก็เสียสละเพื่อเธอขนาดนั้นด้วย ?”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วก่อนจะถาม : “แล้วหลานไม่เกลียดย่าหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม : “ไม่ครับ ในทางกลับกัน ผมต้องขอบคุณคุณย่าด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นพี่ชายคนนั้นก็คงยังไม่ตาย เขาอาจจะเป็นภัยต่อตัวผม ถ้าไม่เอาเรื่องนี้ใส่ความให้เจี่ยนอี๋นั่ว ผมก็ไม่สามารถหาจุดแข็งของเหลิ่งหมิงอันได้ ในเรื่องนี้ถึงแม้ว่าผมจะต้องเสียผู้หญิงคนนึงไป แต่ผมได้อะไรกลับมามากกว่านั้น พี่ชายของผมเคยเจอผม เขาเคยบอกผมมาบ้าง เลยทำให้ผมยืนได้อย่างทุกวันนี้ ขอบคุณคุณย่าแล้วก็ลูกพี่ลูกน้องคุณแม่ด้วยนะครับ ถ้าไม่ใช่เพราะทั้งสองคน เขาคงไม่ทิ้งมกดกมากมายขนาดนี้ไว้กันผม”

คุณนายเหลิ่งมองเหลิ่งเซ่าถิงราวกับคนแปลกหน้าเจอกันพร้อมกับขมวดคิ้วขึ้น : “นี่ย่าเป็นเหลิ่งอวิ๋นเซียวหรือเหลิ่งเซ่าถิงกันเนี่ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มก่อนจะพูด : “ทำไมครับ คุณย่าไม่พอใจหรอ? ไม่คิดว่าผมกลายเป็นแบบนี้แล้วดีหรอครับ?”

ผ่านไปสักพักคุณนายเหลิ่งถึงได้ส่งรอยยิ้มที่อบอุ่นมา : “ไม่หรอก ดีซะอีก แต่ดีซะจนทำให้ย่ากลัวน่ะสิ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมากุมมือคุณนายเหลิ่งเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า : “คุณย่าเตรียมจิตใจไว้ให้ดีเลยนะครับ อีกหน่อยผมจะทำให้คุณย่ากลัวได้มากกว่านี้อีก”

เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าคความเกี่ยวข้องกันทางสายเลือกนั้นมันลึกลับมากเพียงใด ตระกูลเหลิ่งนั้นไม่เคยเจอกันกับเจี่ยนซวงมาก่อน แต่เจี่ยนซวงนั้นกลับมาบุคลิกเฉพาะที่ได้มาจากตระกูลเหลิ่งที่ไม่แยแสและเย็นชานี้ได้

"หม่าม้าคะ…..เป็นอะไรคะ?"เมื่อเจี่ยนซวงเห็นสีหน้าที่เจี่ยนอี๋นั่วแสดงออกมาเธอก็ถามคนเป็นแม่ในทันใด : “หม่าม้าคะ หม่าม้าไม่ชอบที่เจี่ยนซวงเป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ ถ้าหม่าม้าไม่ชอบ ต่อไปเจี่ยนซวงจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วค่ะ ใครมาแย่งของเล่นซวงซวงอีก ซวงซวงก็จะไม่โกรธแล้วค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงพูดเช่นนั้น เธอก็รีบขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “ซวงซวงไม่ต้องมาโกหกหม่าม้าเลยค่ะ หม่าม้าอยากให้หนูพูดในสิ่งที่หนูอยากพูดกับหม่าม้าจริงๆ ไม่ใช่พูดในสิ่งที่หนูอยากให้หม่าม้าอยากได้ยิน สิ่งที่หนูทำ หม่าม้าอาจจะไม่ชอบ แต่แค่ไม่ชอบวิธีการกระทำของหนู มันไม่ดีต่อตัวซวงซวงเองนะคะ ไม่ว่าหนูจะทำเรื่องอะไรที่ทำให้หม่าม้าโกรธ หม่าม้าก็ไม่มีทางเกลียดหนู หม่าม้าต้องการให้ซวงซวงเรียนรู้ไปช้าๆว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ หม่าม้าจะไม่มีวันปล่อยให้หนูเป็นเหมือนคนพวกนั้น……คนพวกนั้นเขา…….”

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นก่อนที่จะถาม : “คนพวกนั้นคือใครหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวเจี่ยนซวงเบาๆ ก่อนจะดูเสียงเบา : “คนที่ทั้งน่าสงสารแล้วก็น่าเกลียดน่ะค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็มองหน้าเจี่ยนซวงแล้วพูดเสียงเข้มว่า : “ซวยซวงคะ หนูอาจจะทำผิดพลาดในวันนึง สมมติว่าหนูกินลูกอมเพิ่มไปชิ้นนึง หม่าม้าก็จะลงโทษไม่ให้หนูกินข้าวสองวัน ใช่มั้ยคะ?

เจี่ยนซวงส่ายหน้าไปมา : “ไม่ถูกค่ะ ซวงซวงต้องหิวมากแน่ๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า : “ค่ะ งั้นเด็กผู้ชายคนนั้นก็เหมือนกันค่ะ เขาทำผิด แต่เขาก็ไม่ควรโดนซวงซวงแกล้งเขาแบบนั้น”

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะทำหน้ามุ่ยแล้วพูดว่า : “เป็นอย่าง….เป็นอย่างนี้นี่เองนะคะ……”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็วว่าเจี่ยนซวงนั้นยังเข้าใจเรื่องนี้อยู่ เธอก็ยกมือขึ้นมาลูบหัวของลูกสามตัวน้อยเบาๆพร้อมกับพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องรีบค่ะ ค่อยๆเรียนรู้”

เจี่ยนซวงพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ : “หม่าม้าคะ ซวงซวงขอกินเค้กกับนมได้มั้ยคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ได้ค่ะ”

เจี่ยนชวงรีบหยิบเค้กขึ้นมาแล้วกินเข้าไปคำใหญ่คำโต เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูกหัวลูกสาวก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ค่อยๆกินค่ะ”

วันที่สอง เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงไปส่งที่โรงเรียนอนุบาล เธอไปดูร้านที่กำลังรีโนเวทใหม่ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก ถึงแม้ว่าเบอร์นั้นเธอจะไม่ได้โทรหามานานกว่าสี่ปีแล้ว แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่งกดโทรไป อีกฝั่งก็รับโทรศัพท์อย่างทันทีทันใด

เมื่อเสียงแก่ของคุณนายเหลิ่งนั้นดังมาจากในสายแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกยิ้มขึ้นมาทันที : “คุณนายเหลิ่งคะ ฉันว่าเราคงต้องเจอกันหน่อยแล้วค่ะ”

คุณนายเหลอ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “เธอคิดว่าเธอเป็นใคร? เจี่ยนอี๋นั่ว เธอบอกว่าอยากเจอฉันก็จะมาเจอฉันเลยงั้นหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับหัวเราะ : “หรือว่าจะให้ฉันไปที่คฤหาสน์เหลิ่งคะ? คงไม่เหมาะมั้ง?”

“เธอจะพูดอะไรก็พูดทางโทรศัพท์นี่เลยแล้วกัน ไม่ต้องออกไปเจอกันหรอก” คุณนายเหลิ่งรีบตอบกลับมาทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มแล้วพูดว่า : “ไปที่บ้านดีกว่าค่ะ คุณนายเหลิ่งคงจะรู้ว่าบ้านของฉันอยู่ที่ไหน วันนี้ตอนบ่ายสามนะคะ ตอนนั้นคุณนายเหลิ่งน่าจะตื่นนอนกลางวันพอดี จะได้ออกมาเจอฉันอย่างเต็มแรง”

คุณนายเหลิ่งตะโกนเสียงดัง : “บังอาจ! แกบังอาจมากนะ! ตอนนี้แกก็แค่…..”

“ตอนนี้ฉันก็เป็นแค่แม่ของเจี่ยนซวง!” เจี่ยนอี๋นั่งพูดอย่างเย็นชา

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นทันที : “นี่เธอจะพบฉันเพราะเรื่องเจี่ยนซวงสินะ? ยัยหนูคนนั้นคงบอกเธอไปหมดแล้ว ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ เด็กคนนี้นี่ไว้ใจไม่ได้! ดี ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเด็กขี้โกหกคนนั้นอาศัยอยู่ในที่ยังไง”

เมื่อพูดจบ คุณนายเหลิ่งก็กดวางโทรศัพท์ทันที เจี่ยนอี๋นั่วก็วางก่อนจะจับโทรศัพท์แน่น

คุณนายเหลิ่งไม่เคยมาสถานที่ที่แย่ๆแบบนี้มาก่อน แม้แต่ลิฟต์ก็ไม่มี คุณนายเหลิ่งเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นสี่ด้วยขาทั้งสองข้างของเธอ ก่อนจะเคาะประตูห้องของเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อประตูเปิดออก คนแรกที่คุณนายเหลิ่งเห็นก็คือเจี่ยนอี๋นั่วที่มาเปิดประตูให้เธอ

ผ่านมากว่าสี่ปีแล้ว แล้วสี่ปีที่ผ่านมรเจี่ยนอี๋นั่วก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ พอมานึกดูแล้วช่วงเวลาที่ผ่านมาของเธอนั้นมันไม่ได้สุขสบายเลย แต่นอกจากที่เจี่ยนอี๋นั่วจะตัดผมสั้นแล้วนั้น อย่างอื่นเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเลย

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วอย่างอดใจไม่ได้ : “เธอนี่ยังเหมือนเดิมเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “คุณนายเองก็เหมือนกันค่ะ”

คุณนายเหลิ่วยกมือขึ้นมาปิดผมหงอกของเธอ หลายปีมานี้ คุณนายเหลิ่งเองก็อายุมากขึ้น เธอเองก็ไม่สามารถปฏิเสธความชราของตัวเองได้เลย คุณนายเหลิ่งพูดเสียงต่ำ : “ช่างเถอะ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว หลบไปสิ ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันหรอ? จะไม่ให้ฉันเข้าไปรึไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลีกทางให้เธอทันทีเพื่อให้คุณนายเหลิางเดินเข้าไป เมื่อคุณนายเหลิ่งเข้าห้องไปเธอก็ยกมือขึ้นมาปิดจมูกทันที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : “นี่มันที่ของใครกันเนี่ย? ทำไมเล็กขนาดนี้? รกขนาดนี้? ห้องแบบนี้ไม่เหมสะแม้แต่จะเป็นห้องลองชุดของตระกูลเหลิ่งด้วยซ้ำ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่คุณนายเหลิ่งพูด เธอก็ยกยิ้มขึ้นก่อนจะชงชาให้กับคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดว่า : “คุณนายเหลิ่งคะ ดื่มชาหน่อยนะคะ ถึงแม้ว่าห้องนี้จะไม่ถูกใจคุณเท่าไหร่ แต่ชานี้อร่อยแน่นอนค่ะ”

ตอนแรกคุณนายเหลิ่งอยากปฏิเสธ แต่ตอนที่เธอจับแก้วชาขึ้นมานั้นคุณนายเหลิ่งก็ได้กลิ่นหอมๆของชาลอยมาทันที จึงทำให้คุณนายเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะรับแก้วชานั้นมา เจี่ยนอี๋นั่งก็คงไม่ใส่อะไรลงไปในชานี้หรอก เธอจีงจิบชาไปคำหนึ่ง สมแล้วที่เป็นชาชั้นดี คุณนายเหลิ่งจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้าเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ถ้าชอบ ดื่มอีกแก้วมั้ยคะ”

“พอแล้ว ตระกูลเหลิ่งดื่มชาพวกนี้เยอะหรอก” คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นเมื่อพูดจบเธอก็วางมือลงก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า : “เธอคงรู้แล้วนะว่าฉันกับซวงซวงเคยเจอหน้ากันแล้ว เธอก็คงจะเตรียมตัวมาแล้ว เด็กคนนั้นก็ใช้ได้เลยนี่ ฉันจะพาเด็กกลับเข้ามาในตระกูลฉัน เธอเซ็นต์สัญญานี่ซะ แล้วก็ไม่ต้องมาเจอเด็กคนนี้อีก”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าคุณนายเหลิ่งด้วยรอยยิ้ม : “ฉันจำได้ว่าฉันเคยเซ็นต์เอกสารแบบนี้มาแล้วนะคะ แต่เนื้อหามันบอกว่าไม่ให้เจี่ยนชวงเกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งอีก แล้วทำไมต้องนี้ถึงให้ฉันเซ็นต์เอกสารนี้อีกล่ะคะ คุณนายจะไม่กลับกรอกไปหน่อยหรอคะ?”

คุณนายเหลิ่งยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชา ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ฉันเป็นถึงคุณนายเหลิ่ง ฉันต้องการอะไรก็ค้องได้อย่างนั้น เธอจะมาขวางฉันได้ยังไงกัน?”

“เจี่ยนซวงไม่ใช่ลูกหมาลูกแมวนะคะ ที่เวลาคุณเกลียดก็ปล่อยทิ้งไป เวลาชอบก็จะเอากลับมาใหม่” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหัวเราะอย่างเย็นชา : “หรือว่าเธอมีเงื่อนไขหรือเธอต้องการเงินเท่าไหร่ล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูดอย่างเสียงดังมากขึ้นว่า : “ที่ฉันกับคุณนายมาเจอกันแบบนี้ ฉันไม่ได้ทำเพื่อมาขายลูกสาวตัวเองนะคะ แต่ฉันจะขอร้องคุณนาย ไม่ต้องมาเจอซวงซวงอีกแล้วก็ไม่ต้องมายุ่งกับชีวิตของซวงซวงอีกต่างหากค่ะ!”

“นี่เธอกำลังสั่งฉันหรอ?” คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะกล้าพูดอย่างนี้กับเธอ แล้วตัวเธอก็ไม่ได้โกรธแต่เพียงถามด้วยความสงสัยเท่านั้น

เจี่ยนอี๋นั่งพยักหน้าแล้วยกยิ้ม : “ค่ะ ฉันกำลังสั่งคุณ ในฐานะที่ฉันเป็นแม่ของเจี่ยนซวง คุณออกไปจากชีวิตซวงซวงเถอะค่ะ“

คุณนายเหลิเงขมวดคิ้วแล้วยกยิ้มก่อนที่จะหรี่ตามอง : “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอเข้าใจเกี่ยวกับญานะของเธอในตอนนี้รึเปล่า ตอนนี้เธอไม่ใช่……”

“ฉันรู้ค่ะว่าฉันไมาเป็นอะไรทั้งนั้น ฉันเป็นแค่มดที่ตระกูลเหลิ่งสามารถบดขยี้ตายได้อย่างตามใจ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งพูดอย่างเย็นชา : “เธอรู้แล้ว เธอก็ควรรู้จักรักษาชีวิตเธอดีๆนะ ไม่ควรทำให้ฉันโกรธ ไม่อย่างนั้นชีวิตของเธอก็ไม่ต้องมีต่อไปแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะใส่คุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “คุณนายคิดว่าฉันจะกลัวหรอคะ? ฉันผ่านอะไรมาตั้งมากมาย ฉันไม่กลัวอยู่แล้วค่ะ และตอนนี้ฉันก็เข้าใจเหตุผลนี้ดี เพื่อปกป้องซวงซวง เลยยอมจำนนต่อพวกคุณ แต่มันก็อาจจะเป็นความเจ็บปวดที่สุดของซวงซวงก็ได้นี่คะ ถึงฉันตายก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่ให้ซวงซวงรู้ว่าพอว่าสิ่งที่แม่ตัวเองทำก็เพื่อปกป้องตัวเอง ให้ซวงซวงมีชีวิตที่ดีต่อไป คุณอาจจะฆ่าฉันได้ แต่ฉันจะไม่มีวันปล่อยซวงซวงไปแน่ ถ้าคุณคิดที่อยากจะลักพาตัวซวงซวงไป ฉันก็จะสู้สุดชีวิตเพื่อให้ได้ลูกของฉันกลับมา”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม แต่น้ำเสียงของเธอนั้นกลับไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด ทุกคนต่างก็รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ใช่คนพูดเล่นอย่างแน่นอน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็พูดต่อด้วยเสียงโทนต่ำทันทีว่า : “ฉันถูกคุณนายลักพาตัวลูกของฉันไปแล้วคนนึง ฉันจะไม่ยอมปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สองแน่ค่ะ”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอรู้แล้วหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : “ฉันเป็นแม่ ทำไมจะไม่รู้คะว่าฉันคลอดลูกมากี่คน? และฉันก็มั่นใจว่าเด็กคนนั้นต้องตายไปแล้วแน่ๆ ไม่อย่างนั้นคุณนายไม่มีวันคิดถึงซวงซวงหรอกค่ะ”

คุณนายเหลิ่งหายใจเข้าลึกๆก่อนจะขมวดคิ้วแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอก็ฉลาดนี่!”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องหน้าคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดด้วยเสียงเคร่งขรึมว่า : “ไม่เท่าใจยักษ์ของคุณนายหรอกค่ะ เด็กคนที่ตายไปแล้วเป็นเด็กผู้ชาย ฉันไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเขาจะรู้เรื่องรึยัง ถ้าคุณนายยังบังคับฉันอยู่อย่างนี้ ฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกเหลิ่งเซ่าถิง”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วแล้วจ้องหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว : “เธอคิดว่าเขาจะสนใจเธอ สนใจลูกชายของเธออย่างนั้นหรอ?”

“ค่ะ เขาอาจจะไม่สนใจฉันแล้วก็ลูกชายของฉัน” ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา : “แต่เขาจะสนใจเรื่องที่คุณนายลักพาตัวเด็กคนนั้นไปมั้ยล่ะคะ ไม่ใช่เพราะว่าเอาไว้ขู่เขาหรอคะ? ว่าจะมาแทนที่เขา”

คุณนายเหลิ่งจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างดุร้าย ก่อนจะยิ้มด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา : “เธอรนหายที่ตายจริงๆ!”

“เดี๋ยวก่อนสิคะ “ เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องครัว ก่อนจะเอามีดปลอกผลไม้ออกมาด้วย

คุณนายเหลิ่งลุกขึ้นมาทันทีก่อนจะตัโกนเสียงดัง : “นี่เธอคิดจะทำอะไร?”

คนที่ยืนอยู่ข้างๆคุณนายเหลิ่งรีบมาบังอยู่ตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วทำท่าป้องกันทันที

เจี่ยนอี๋นั่ววางมีดลงบนโต๊ะชาก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “ฉันแค่อยากจะบอกว่า ถ้าคุณนายอยากฆ่าฉัน ก็ฆ่าฉันตอนนี้ได้เลยค่ะ”

"เธอเรียกใครนะ?" คุณนายเหลิ่งเดินเข้ามาช้าๆ ก่อนจะพูดกับผู้หญิงคนนั้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "ใครคือเด็กบ้านะ?"

เมื่อผู้หญิงคนนั้นเห็นคุณนายเหลิ่งเธอก็ตะโกนเสียงดังทันทีว่า : "อ๋อ คุณคงเป็นผู้ปกครองของเด็กบ้าคนนี้ใช่มั้ย? คุณดูแลเด็กยังไง เด็กถึงได้มาเที่ยวแกล้งคนอื่นไปทั่วแบบนี้? แล้วยังจะพูดโกหกอีก? ทำไมไม่สั่งไม่สอนคะ? ใช่คนที่นี่รึเปล่าเนี่ย? คงไม่ได้มาจากบ้านนอกใช่มั้ย?"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วใส่ผู้หญิงคนนั้นเบาๆก่อนจะค่อยๆพูดขึ้นมา : "ขอโทษด้วยนะจ๊ะ เด็กยังเล็กเลยไม่รู้เรื่อง เธอชื่ออะไรล่ะ บ้านอยู่ที่ไหน? ฉันไม่มีเงินอะไรมากมายหรอกนะ รอให้หลานๆของฉันมาแล้วฉันค่อยพาเด็กคนนี้ไปขอโทษเธอที่บ้านแล้วกันนะ"

ผู้หญิงคนนั้นรีบบอกที่อยู่ของตัวเองทันที ก่อนที่เธอจะคว้าแขนของคุณนายเหลิ่งเอาไว้ ไม่ยอมปล่อย แล้วตะคอกใส่ว่า : "ถึงแม้คุณจะพูดอย่างนี้ ฉันก็ไม่ยอมปล่อยคุณไปง่ายๆหรอกนะ ถ้าคุณไป เราจะทำยังไงล่ะ คุณ……คุณต้องทิ้งหลักฐานไว้ต่างหน้าด้วยสิ"

ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับจ้องมองไปที่สร้อนข้อมือหยกของคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะรีบพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า : "ถ้าคุณจไปก็เอาสร้อยข้อมือหยกนั้นทิ้งไว้ให้ฉันด้วย ไม่อย่างนั้นคุณก็จะไปไม่ได้"

คุณนายเหลิ่งยิ้มก่อนจะถอดสร้อยคอมือหยกของตัวเองออก ก่อนจะส่งสร้อยคอมือเส้นนั้นให้กับผู้หญิงคนนั้นด้วยรอยยิ้ม : "มันมีอะไรดีหรอ? แต่ถ้าเธอชอบก็เอาไปเถอะ ตอนนี้ฉันพาเหลนของฉันไปได้แล้วใช่มั้ย? เธอก็พาลูกของเธอไปโรงพยาบาลซะ ดูแล้วกระดูกท่าจะหักนะ"

หญิงสาวรับเอาสร้อยข้อมือหยกนั้นมาอย่าพอใจ ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนดูหยกไม่ออก แต่ดูๆจากความสวยและสีของมันแล้ว ก็รู้ได้เลยว่าสร้อยมือหยกเส้นนี้มาราคาดีแน่นอน หญิงสาวเอาหยกมาไว้ในอ้อมอกก่อนจะยิ้มออกมา : "คุณยังพูดรู้เรื่องหน่อย ถ้าคุณปฏิเสธล่ะก็ ฉันจะบอกให้นะ ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่!"

หญิงสาวหันหลังกลับมาแล้วรีบวิ่งไปหาลูกของตนเองที่ตกลงมากองอยู่ที่พื้น ก่อนจะสั่งสอนลูก : "ทำไมไม่เชื่อฟังแม่เลยคะ คนอื่นเขาให้ปีนต้นไม้หนูก็ปีน หนูซื่อบื้อหรือไง? พอแล้วค่ะ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว แม่จะพาไปโรงพยาบาล!"

เมื่อพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินมาตรงหน้าคุณนายเหลิ่งทันที ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า : "คุณอย่าคิดว่าแค่คุณให้สร้อยข้อมืออันนี้แล้วเรื่องจะจบนะ คุณต้องให้เงินฉันด้วย ค่ารักษาพยาบาลลูกฉันต้องไม่น้อยแน่ๆ ทางที่ดีคุณควรเอาเงินมาให้ฉันซะ ไม่อย่างงั้นล่ะก็ฉันไม่ปล่อยเอาไว้แน่ๆ ฉันจะบอกอะไรให้คุณนะ ฉันรู้จักคนมีอิทธิพลมากมาย ที่คนอย่างพวกเธอทำอะไรเข้าไม่ได้!"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าพร้อมกับยิ้มขึ้นมา : "เธอวางใจได้เลย ฉันไปหาเธอแน่นอน"

หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นถึงได้เย็นลงมาบ้าง ก่อนจะกำสร้อยข้อมือหยกไว้ในอ้อมอกแล้วเดินจากไป เมื่อคุณนายเหลิ่งเห็นว่าเธอเดินจากไปไกลแล้ว เธอก็มองเจี่ยนซวง ก่อนจะยิ้มแล้วยกมือขึ้นมาลูบหน้าของเด็กน้อย พร้อมกับพูด้วยรอยยิ้ม : "หนูนี่ฉลาดจริงๆเลยนะซวงซวง คิดวิธีการรับมือกับคนพวกนี้ได้ยังไงกัน?"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ : "หนูดูมาจากในละครค่ะ"

คุณนายเหลิ่งหรี่ตามองก่อนจะลูบหัวเจี่ยนซวงเบาๆด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : "ซวงซวงฉลาดมากจริงๆ ย่าทวดล่ะชอบหนูจริงๆ ต่อไปย่าทวดจะมาหาหนูบ่อยๆนะ แต่ไม่ต้องแม่ของหนูล่ะ ไม่อย่างนั้นย่าทวดจะไม่บอก ว่าพ่อของหนูคือใคร?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพึมพำว่า : "ซวงซวงเป็นเด็ก ซวงซวงโกหกหม่าม้าไม่ได้ค่ะ"

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนซวงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : "ไม่มีใครสอนให้ซวงซวงเชื่อฟังคำของผู้ใหญ่หรอ?"

เจี่ยนซวงส่ายหน้า : "ไม่ค่ะ บางทีสิ่งที่หม่าม้าพูดมันก็ไม่ถูก หนูต้องมี…….ต้องมี….."

เจี่ยนซวงหยุดพูดไปสักครู่ก่อนที่จะนึกคำที่เจี่ยนอี๋นั่วเคยพูดขึ้นได้ แล้วรีบพูดทันทีว่า : "ซวงซวงต้องมีความสามารถในการแยกแยะสิ่งที่ถูกกับสิ่งที่ผิดค่ะ ก็คือซวงซวงต้องเข้าใจเองว่า อะไรที่ถูก อะไรที่ผิด อะไรควรทำ ไม่ฟังเชื่อคำพูดของคนอื่น ซวงซวงจะต้องคิดเองค่ะ เพราะว่าชีวิตเป็นของซวงซวง ซวงซวงต้องรับผิดชอบเอง"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้ว : "แม่หนูสอนอะไรหนูไปบ้างล่ะเนี่ย? ย่าทวดจะบอกอะไรให้หนูนะ หนูต้องเชื่อฟังผู้ใหญ่ เด็กที่ดีจะต้องเป็นเด็กยังไง? ก็คือเด็กที่เคารพผู้ใหญ่ หนูอาจจะยังไม่รู้เรื่อง"

เจี่ยนซวงเม้มปากก่อนจะพยักหน้าหงึกๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "งั้นซวงซวงจะเชื่อคุณย่าทวดค่ะ สิ่งที่คุณย่าทวดพูดถูกทุกอย่าง ซวงซวงจะเคารพคุณย่าทวด คุณย่าทวดวางใจได้เลยค่ะ!"

คุณนายเหลิ่งยกมือขึ้นมาบีบจมูกของเจี่ยนซวงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "ไม่รู้จริงๆเลยว่าสิ่งที่หนูกำลังพูดเนี่ยจะใช่ความจริงรึเปล่า"

เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นก่อนจะยิ้มให้คุณนายเหลิ่งแล้วยื่นแขนออกมา : "คุณย่าทวดคะ ทำไมคุณย่าทวดไม่อุ้มซวงซวงล่ะคะ ซวงซวงเล่นจนเหนื่อยแล้วค่ะ"

คุณนายเหลิ่งยิ้มก่อนจะย่อตัวลง คนที่ยืนอยู่ข้างๆคุณนายเหลิ่งรีบห้ามทันที : "คุณนายครับ ร่างกายของคุณนาย…….."

คุณนายเหลิ่งหันไปเหลือบมองคนที่อยู่ข้างๆก่อนจะพูดว่า : "ร่างกายฉันมันทำไม? ฉันอุ้มเด็กไม่ได้หรือยังไง?"

คุณนายเหลิ่งพูดไปด้วยพร้อมกับย่อตัวลงไปอุ้มเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงกอดคอของคุณนายเหลิ่งเอาไว้ ก่อนจะกัวเราะเอิ้กอ้าก็ออกมา : "คุณย่าทวดดีกับซวงซวงมากๆเลยค่ะ!"

ไม่ง่ายเลยที่คุณนายเหลิ่งจะอุ้มซวงซวงขึ้นมาได้ เธอตบก้นเจี่ยนซวงครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "เหมือนเจ้าหมูน้อยจริงๆเลย"

เจี่ยนซวงเอาตัวเองเข้าใกล้อ้อมอกของคุณนายเหลิ่งอีก ก่อนจะพูดขึ้นว่า : "คุณย่าทวดคะ คุณย่าทวดพาหนูกับไปที่โรงเรียนอนุบาลได้มั้ยคะ? เดี๋ยวต้องกลับไปกินของหวานแล้วค่ะ ซวงซวงไม่อยากพลาด"

คุณนายเหลิ่งครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนที่จะพยักหน้า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "ได้สิ ซวงซวงพูดขนาดนี้แล้ว ย่าทวดต้องพาซวงซวงกลับไปอยู่แล้วล่ะ"

เจี่ยนซวงอยากจะหัวเราะออกมา แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคุณนายเหลิ่งแล้วก็กลั้นยิ้มทันที ก่อนเจี่ยนซวงจะพูดกับคุณนายเหลิ่งที่ใบหน้าสลดว่า : "คุณย่าทวดต้องมาหาซวงซวงบ่อยๆนะคะ ซวงซวงจะคิดถึงคุณย่าทวดค่ะ"

"ไอหย่า……..ได้สิ……." คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมกับตอบตกลงเด็กน้อย

คุณนายเหลิ่งพาเจี่ยนซวงกลับมาที่โรงเรียนอนุบาลเรียบร้อยแล้ว เมื่อเธอขึ้นรถแล้ว เธอก็พูดกับคนข้างๆทันทีด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า : "แกจำชื่อกับที่อยู่ของผู้หญิงคนเมื่อกี้ได้มั้ย?"

คนนั้นพยักหน้า : "จำได้ครับ"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา ก่อนที่จะลูบข้อมือของเธอ : "ดี ไปเอาสร้อยข้อมือหยกเส้นนั้นของฉันกลับมาซะ แล้วแกก็เอาไปเลยนะ ถ้ามันผ่านมือของผู้หญิงแบบนั้นแล้วฉันก็จะไม่อยากจะใช้มันอีก คนบ้านนั้น…….."

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ก่อนจะหรี่ตาแล้วพูดอย่างเคร่งขรึมว่า : " ไม่ต้องให้ครอบครัวนั้นอยู่ในเมืองนี้ต่อไปนะ ฉันไม่อยากอยู่เมืองเดียวกันกับพวกนั้น"

"ครับ……" เขาพยักหน้าก่อนจะตอบ

คุณนายเหลิ่งพูดไปลุบข้อมือของตัวเองไป รถก็ออกไปทันที คุณนายเหลิ่งหันหน้าไปมองกระจกรถ มองโรงเรียนอนุบาลที่ผ่านมา ก่อนที่คุณนายเหลิ่งจะยิ้มขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ : "เด็กคนนี้น่าสนใจจริงๆ กอดแล้วเนื้อนุ่มนิ่มเหลือเกิน"

เจี่ยนซวงอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลก็เล่นสนุกเหมือนกับเด็กๆทั่วไป รอให้เจี่ยนอี๋นั่วมอรับ เจี่ยนซวงก็วิ่งเข้าไปในอ้อมอกของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่ปล่อยคนเป็นแม่เลย เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม : "เป็นอะไรไปคะ?"

เจี่ยนซวงมองเหอหลวนเล่อที่ยืนอยู่ข้างๆเธอ ก่อนจะเม้มปากโดยที่ไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เพียงแค่กอดเจี่ยนอี๋นั่วอย่างสุดแรง เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวง เธอไม่ได้ถามอะไรลูกต่อ จนเจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงกลับมาถึงบ้าน และเหอหลวนเล่ออกไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้เอาขนมและนมมาวางตรงหน้าเจี่ยนซวง : "เกิดอะไรขึ้นคะ? บอกหม่าม้าเร็ว"

เจี่ยนซวงสูดจมูกของตัวเอง แล้วกระโจนเข้าหาอ้อมอกของเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาแล้วพูดว่า : "หม่าม้าคะ ซวงซวงไม่เอาคุณพ่อแล้วค่ะ ถ้ามีคุณพ่อก็จะมีคุณย่าทวดที่น่ากลัวด้วย ซวงซวงไม่อยากได้คุณย่าทวดดุๆ"

"คุณย่าทวดหรอคะ?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะมองไปที่เจี่ยนซวงแล้วถาม : "ใช่คนแก่ที่อายุเจ็ดแปดสิบคนนั้นมั้ยคะ?"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ตอนนี้เธอไม่ได้รู้เรื่องอายุอะไรมากมาย เพียงกระพริบตาแล้วพูดออกไป : "คนแก่คนนั้นแหละค่ะหม่าม้า"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงพร้อมกับลูกหัววลูกเบาๆ : "อ๋อ แล้วเธอทำอะไรซวงซวงค่ะ ซวงซวงถึงได้ตกใจกลัวขนาดนี้?"

เจี่ยนซวงทำหน้ามุ่ยก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนก : "เธอจะเอาตัวซวงซวงไปค่ะ แล้วก็บอกซวงซวงว่าห้ามบอกหม่าม้า เธอเคยมาตามหาซวงซวงค่ะ ซวงซวงตอบตกลงไปแต่ซวงซวงโกหก ซวงซวงกลับเธอเอาตัวซวงซวงไป"

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเจี่ยนซวงเก่าจะยิ้มแล้วพูดต่อว่า : "เป็นอย่างนี้นี่เอง ถึงแม้ซวงซวงจะโกหกแต่ดีมากค่ะที่ป้องกันตัวเองแบบนี้ หม่าม้าพอใจกับสิ่งที่ซวงซวงทำมากๆ แต่ซวงซวงจำไว้นะคะ คำโกหกใช้กับคนที่จะมาทำอันตรายต่อตัวเองเท่านั้น ห้ามโกหกคนที่หนูรักหรือคนที่รักหนูนะคะ"

เจี่ยนซวงยิ้มขึ้นมาทันใด ; "ค่ะ ซวงซวงจะไม่เชื่อฟังคำพูดของเธอแล้วมาโกหกหม่าม้าไงคะ ซวงซวงเชื่อฟังหม่าม้านะคะ ซวงซวงจะเป็นเด็กที่รู้จักผิดชอบชั่วดีค่ะ"

เจี่ยนซวงกล่าวพร้อมกับกระพริบตาปริบๆ แล้วพูดต่อไป : "วันนี้ซวงซวงทำเรื่องที่ยิ่งใหญ่มา ซวงซวงฉลาดมากๆค่ะ มีพี่ชายคนไม่ดีคนนึงมาแย่งของรถของเล่นของซวงซวง ซวงซวงก็เลยโกหกเขาว่าบนต้นไม้มีของเล่นอยู่ แล้วเขาก็ปีนขึ้นต้นไม้ไปค่ะ เขาโง่มากๆเลย ตอนที่เขาตกลงมาจากต้นไม้เขาร้องไห้โฮเลยค่ะ ซวงซวงเก่งใช่มั้ยคะ……"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่ซวงซวง เธอกำลังคิด่าทำไมคุณนายเหลิ่งถึงได้เข้าหาพวกเธออย่างนี้ แต่สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วสงสัยมากกว่าในตอนนี้คือสิ่งที่เจี่ยนซวงพูด เธอระงับความโมโหของเธอกอ่นจะพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงปกติ : "พี่ชายคนนั้นตกลงมาแรงมั้ยคะ?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "น่าจะ……กระดูกหักเลยค่ะ……ซวงซวงแฮปปี้มากเลยค่ะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว : "เขาแย่งรถของเล่นของเจี่ยนซวง เป็นความผิดของซวงซวงนะคะ แต่เขาก็ควรคืนรถของเล่นกับซวงซวงเขาควรจะโดนตำหนิ แต่ทำให้เขากระดูกหักแบบนี้ ซวงซวงทำถูกแล้วหอรคะ?"

เจี่ยนซวงพูดเสียงเบา : "ก็ซวงซวงไม่คิดว่าเขาจะโง่ขนาดนั้นนี่คะ อีกทั้ง…..ซวงซวงก็ไม่รู้ว่ากระดูกเขาจะหักนี่คะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเข้ม : "หนูไม่รู้เลยหรอคะว่าเด็กตกลงมาจากต้นไม้มันจะเป็นยังไง? ตอนที่หม่าม้าเปลี่ยหลอดไฟซวงซวงยังเป็นห่วงเลย เด็กที่ขึ้นไปอยู่บนต้นไม้แบบนั้น ซวงซวงไม่เข้าใจจริงๆหรอคะ?"

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : "สมน้ำหน้าเขาสิคะ ใครที่แกล้งซวงซวง คนนั้นก็จะโชคร้าย!"

จู่ๆในใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็เย็นลง ตอนนี้ที่เธอมองเจี่ยนซวงอยู่นี้ก็เหมือนกันเธอเห็นเงาของคุณนายเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็เหลิ่งอวิ๋นเซียวเลย

คุณนายเหลิ่งเหล่ตามองเจี่ยนซวงพร้อมกับยกยิ้ม : "คิดถึงพ่อล่ะสิ? งั้นหนูก็มากับย่าทวดนะ ย่าทวดจะพาไปหาพ่อ"

เจี่ยนซวงพนักหน้าอย่างรวดเร็ว แต่แล้วเจี่ยนซวงก็รีบส่ายหัว : "ไม่ค่ะ ไม่ได้ ซวงซวงไปกัยคุณย่าทวดไม่ได้ ซวงซวงจะรอหม่าม้าก่อน รอหม่าม้ามาแล้วซวงซวงค่อยไปกับคุณย่าทวดนะคะ"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วใส่เจี่ยนซวง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "หนูโตขนาดนี้แล้ว ยังติดแม่อยู่อีกหรอ?"

เจี่ยนซวงเม้มปากของตัวเองก่อนจะพูดว่า : "ซวงซวงยังเด็กอยู่ค่ะ ซวงซวงยังไม่สี่ขวบเลย ซวงซวงติดแม่ได้! คุณย่าทวดนี่ไม่มีเหตุผลเลยนะคะ! เด็กๆก็ต้องติดแม่สิคะ!"

เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเจี่ยนซวงพูดเช่นนั้นเธอก็ขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่เจี่ยนซวงทันที : "เป็นเด็กเป็นเล็กก็พูดต่อล้อต่อเถียงแล้ว! เหมือนแม่ของหนูไม่มีผิด!"

คุณนายเหลิ่งพูดจบเธอก็อดที่จะไม่ยกมือขึ้นมาบีบแก้มของเจี่ยนซวง ในตอนที่มือของคุณนายเหลิ่งสัมผัสกับใบหน้าของเจี่ยนซวงแล้ว เป็นเพราะเธอได้สัมผัสกับผิวที่อ่อนนุ่มและบอบบางของเจี่ยนซวง เธอจึงลดแรงบีบลงเป็นเพียงการลูบใบหน้าของเจี่ยนซวงเบาๆเท่านั้น

เจี่ยนซวงหัวเราะฮิฮิขึ้นมา คุณนายเหลิ่งก้มหน้ามองเธอ ; "หนูหัวเราะอะไร?"

เจี่ยนซวงพูดด้วยเสียงเล็กๆของเธอ : "มือของคุณย่าทวดที่จับหน้าซวงซวงมันจั๊กจี้มากๆเลยค่ะ"

คุณนายเหลิ่งก้มหน้ามองสองมือของตัวเอง ดูมือที่เหี่ยวย่นของเธอก่อนจะพูดขึ้น : "เพราะย่าทวดแก่แล้วไงล่ะ มือเลยหยาบกระด้างแบบนี้ เลยบาดหน้าหนู หนูยังเป็นเด็ก คุณย่าทวดแก่แล้วนี่"

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ : "หนูยังมีนาคต แต่ย่าทวดมีแต่อดีต ย่าทวดนับวันก็ยิ่งแก่ อีกหน่อยก็เดินไม่ไหวแล้วล่ะ"

เจี่ยนซวงเอียงหัวมองคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะยกมือของตัวเองขึ้นมาจับมือของคุณนายเหลิ่ง พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "ถ้าคุณย่าทวดเป็นคุณย่าทวดของซวงซวงจริงๆ แล้วคุณย่าทวดเดินไม่ไหวแล้วซวงซวงจะจับมือคุณย่าทวดเดินเองค่ะ"

คุณนายเหลิ่งยิ้ม : "ช่างพูดจริงๆเด็กคนนี้"

เจี่ยนซวงยังไม่ลืมเรื่องของพอของตนเอง เธอรีบขมวดคิ้วแล้วพูดกับคุณนายเหลิ่ง : "คุณย่าทวดคะ……ซวงซวงบอกหม่าม้าแล้วไปหาคุณพ่อด้วยกันมั้ยคะ?"

คุณนายเหลิ่งตอบกลับเสียงเข้ม : "ไม่ได้ หม่าม้าของหนูจะเจอกับพ่อไม่ได้ แต่ซวงซวงไปเจอพ่อได้นะ ต่อไปซวงซวงก็จะไม่ได้เจอแม่อีกแล้วเหมือนกัน……"

เจี่ยนซวงเบิกตาโตทันที : "ไม่เจอหม่าม้าอีกงั้นซวงซวงไม่เอาคุณพ่อแล้วค่ะ ซวงซวงจะอยู่กับหม่าม้า!"

คุณนายเหลิ่งหันหลังก่อนจะกวักมือเรียกคนที่อยู่ข้างๆของเธอ : "เอาตัวเด็กไป!"

มีคนเดินเข้าไปหาเจี่ยนซวงก่อนจะพยายามอุ้มเจี่ยนซวงขึ้นมา เจี่ยนซวงคิดจะวิ่งหนีแต่ว่าเธอยังไม่ทันได้วิ่งก็ถูกอุ้มไปเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าของเจี่ยนซวงแดงไปหมด เธอดิ้นจนสุดแรง คุณนายเหลิ่งเห้นคนที่อุ้มเจี่ยนซวงอยู่นั้นปิดปากเจี่ยนซวงไม่ให้หายใจอย่างแรง คุณนายเหลิ่งจึงขมวดคิ้วมาทันทีก่อนจะพูดว่า : "แกนี่ยังไงห้ะ? ใครเขาอุ้มเด็กแบบนั้นกัน? ระวังมือไปปิดจนเธอหายใจไม่ออกด้วย! เนื้อของเด็กบอบบาง เดี๋ยวเด็กก็เจ็บหรอก!"

ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างๆคุณนายเหลิ่งรีบผ่อนแรงทันทีจนเกือบจะวางเจี่ยนซวงลงพื้น คุณนายเหลิ่งเรื่มเบื่อหน่ายชายคนนั้นจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "วางเด็กลง ไม่ต้องอุ้มแล้ว ปล่อยลงเดี๋ยวนี้"

ทันทีที่เจี่ยนซวงลงมาอยู่กับพื้น เธอจึงใช้วิธีการอย่างที่เธอได้เติบโตมาในเรือนจำ โดยการวิ่งเข้าไปกอดขาของคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะร้องไห้เสียงดัง : "คุณย่าทวดช่วยหนูด้วยนะคะ อย่าให้คนไม่ดีอุ้มซวงซวงไปเลยนะคะ ซวงซวงไม่อยากถูกพาตัวไป ช่วยซวงซวงด้วยนะคะ แล้วซวงซวงจะกตัญญูต่อคุณย่าทวดอย่างดี…….."

เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเจี่ยนซวงพูดเช่นนั้น จึงอดที่จะไม่ยิ้มไม่ได้ : "แล้วหนูจะกตัญญูต่อย่าทวดยังไงล่ะ?"

เจี่ยนซวงรีบพูดขึ้นทันที : "ซวงซวงจะให้ของกินอร่อยๆทั้งหมดกับคุณย่าทวดค่ะ ซวงซวงจะเหลือไว้กินแค่นิดเดียว ซวงซวงแอบหยิบอมยิ้มมาด้วยค่ะมีสองอัน ซวงซวงให้คุณย่าทวดได้ โดยที่ไม่ให้หม่าม้ารู้เลยค่ะ"

เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเช่นนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็กว้างขึ้นไปอีก แต่ก่อนคุณนายหลิ่งนั้นเอาแต่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ความสนใจส่วนใหญ่ของเธอจึงอยู่กับการแย่งชิงอำนาจเท่านั้น ตอนนี้เธอได้เจอเจี่ยนซวงแล้ว น้อยมากที่จะมีเวลามาสนใจเด็กๆ ไม่พูดถึงเหลิ่งเซ่าถิงหรือเหลิ่งอวิ๋นเซียวเลย แม้แต่ลูกแท้ๆของเธอ เธอยังไม่มีเวลามาใส่ใจดูแลเลย

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งนั้นมีเวลาว่างมากมาย ด้านการแย่งชิงอำนาจก็แพ้พ่ายซ้ำๆ เธอจึงวางมือกับการแกร่งแย่งชิงดีนั้นมาบ้างแล้ว เวลาของเธอก็มีมากขึ้นเธอทำให้คุณนายเหลิ่งก็มีเรื่องเด็กคนนี้มาเติมเต็มเรื่องราวและเวลาของเธอ เมื่อได้ยินคำวิงวรของเจี่ยนซวง คุณนายเหลิ่งก็ใจอ่อนขึ้นมาอย่างไม่คาดคิดก่อนจะเปลี่ยนใจ

คุณนายเหลิ่งมองหน้าเจี่ยนซวงก่อนจะพูด : "หนูไม่อยากแยกจากแม่หนูหรอ?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ราวกับจะร้องไห้ว่า : "คุณย่าทวดคะ ซวงซวงรักคุณย่าที่สุดเลยค่ะ"

คุณนายเหลิ่งหัวเราะก่อนจะถาม : "รักย่าทวดหรอ? รักได้ยังไงกัน?"

เจี่ยนซวงชี้ที่หน้าอกของตัวเองก่อนจะพูดว่า : "ใช้ใจของซวงซวงรักไงคะ"

คุณนายเหลิ่งก้มหน้ามองเจี่ยนซวงก่อนจะยิ้ม : "งั้นก็ไปกับย่าทวดสิ"

เจี่ยนซวงกอดขาของคุณนายเหลิ่งเอาไว้ กอ่นจะร้องไห้แล้วพูดขึ้นมา : "ซวงซวงไม่ไปค่ะ"

คุณนายเหลิ่งหรี่ตาลงก่อนจะถอนหายใจออกมา : "ก็แค่ไปสวนสาธารณะ ไม่ได้จะเอาตัวหนูไปซะหน่อย แต่หนูไม่ต้องไปบอกแม่ล่ะ ว่าย่าทวดพาไป"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูด : "ซวงซวงโกหกหม่าม้าไม่ได้ค่ะ"

คุณนายเหลิ่งก้มหน้ามองเจี่ยนซวงก่อนที่สายตาของเธอนั้นจะค่อยๆสลดลง ไม่ต้องให้คุณนายเหลิ่งพูดอะไรออกมา เจี่ยนซวงก็สามารถรับรู้ได้ผ่านสีหน้าของคุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า : "แต่ว่าการเชื่อฟังคุณย่าทวดคงไม่นับว่าเป็นการโกหกใช่มั้ยล่ะคะ? คุณย่าทวดเป็นผู้อาวุโสแล้ว เชื่อฟังคุณย่าทวดไม่นับว่าเป็นการโกหก"

เจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้ เธอก็มงหน้าคุณนายเหลิ่งแล้วก็กระพริบตาปริบๆใส่คุณนายเหลิ่งทันที คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนซวงก่อนจะยกมือขึ้นมาจับแก้มของเด็กน้อยเบาๆก่อนที่จะอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

คุณนายเหลิ่งจับมือของเจี่ยนซวงออกไปจากโรงเรียนอนุบาล เจี่ยนซวงเม้มปากของตัวเองอย่างประหม่า แต่เจี่ยนซวงก็พยายามยามยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่งอย่างเต็มที่ ราวกับว่าเธอมีความสุขมากๆ เมื่อถึงสวนสาธารณะ เจี่ยนซวงก็กระโดดโลดเต้นบนทรายอย่างกระดี๊กระด๊ากับเด็กๆคนอื่นๆ คุณนายเหลิ่งยืนมองเจี่ยนซวง จู่ๆเธอก็คิดขึ้นมาว่าการได้มองเจี่ยนซวงเล่นของเล่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเหมือนกัน

ตอนนี้ราวกับว่าคุณนายเหลิ่งนั้นดูหนังที่ไม่รู้ตอนจบอยู่ ที่มันดึงดูดให้เธออดไม่ได้ที่จะต้องดูมันต่อไปเรื่อยๆ

ตอนแรกที่เจี่ยนซวงเล่นของเล่นนั้น เธอก็ยังเฝ้าระวังคุณนายเหลิ่งอย่างประหม่า กลัวว่าคุณนายเหลิ่งนั้นจะเป็นอย่างไรอีก แต่ในขณะที่เธอเล่นของเล่นอยู่นั้น เจี่ยนซวงก็เอาแต่สนใจเรื่องเล่นจนไม่ทันเฝ้ามองคุณนายเหลิ่งแล้ว

ในสวนสาธารณะมีรถของเล่นอยู่หลายอันให้เด็กๆได้เล่นเป็นของเล่น ตอนแรกเจี่ยนซวงได้เล่นรถของเล่นนั้นแล้ว เธอสนุกกับมันมาก แต่จู่ๆก็มีเด็กอายุประมาณห้าหกขวบวิ่งเข้ามากระชากรถของเล่นนั้นจากมือของเจี่ยนซวง แม่ของเด็กผู้ชายคนนั้นกำลังคุยกับคนอื่นอยู่ไม่ใกล้ไมม่ไกลากตรงนั้น เมื่อเธอเห็นว่าลูกของตนเองแย่งของเล่นจากเจี่ยนซวง เธอก็ยกยิ้มก่อนที่คุยกับคนนั้นต่อ

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่ของเล่นนั้น ก่อนจะทำหน้ามมุ่ยไปทางที่คุณนายเหลิ่งอยู่

คุณนายเหลิ่งทำหน้าเข้มแล้วมองไปที่เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงหันหน้าไปหาเด็กผู้ชายคนนั้นที่กระชากของเล่นออกจากเธอ ก่อนที่เธอจะรีบไปนั่งข้างเด็กผู้ชายคนนั้นแล้วพูดว่า : "ของเล่นอันนี้มันน่าเล่นตรงไหนหรอคะ หนูจะบอกอะไรให้นะคะ บนต้นไม้ต้นนั้นมีของเล่นที่น่าเล่นกว่านี้อีกค่ะ?"

เด็กชายยู่จมูก : "มีอะไรน่าเล่นอ่ะ?"

เจี่ยนซวงยิ้มแล้วพูดว่า : "มีอมยิ้ม มีรถยนต์ แล้วก็มีอุลต้าแมนด้วยค่ะ เมื่อกี้เห็นพี่ชายคนนึงหยิบไปแล้วด้วย หนูตัวเล็ก ขึ้นไปเอาไม่ได้ หนูจะบอกให้พี่นะคะ พี่เอาของเล่นอันนี้คืนหนูก่อน ได้มั้ยคะ?"

"จริงหรอ?" ดวงตาของเด็กชายเป็นประกายขึ้นมาทันที : "งั้นเดี๋ยวพี่บอกแม่ให้เอาให้แล้วกัน"

"พี่นี่ไร้ประโยชน์จังเลย" เจี่ยนซวงทำหน้ามุ่งด้ยความรังเกียจ : "พี่ชายคนเมื่อกี้ตัวเล็กกว่าพี่อีกนะคะ ยังขึ้นไปเอาเองได้เลย พี่เอาลงมาเองไม่ได้แบบนี้ ไร้ประโยชน์จริงๆเลย"

เด็กชายรีบพูดขึ้นทันที : "พี่ไม่มีประโยชน์ตรงไหน เดี๋ยวพี่จะเอาลงมาให้ดู"

"งั้นก็ส่งของเล่นมาให้หนูสิคะ" เจี่ยนซวงยื่นมือออกมาเพื่อจะเอารถของเล่นจากเด็กชาย

เด็กชายตะคอก : "อะรถของเล่น พี่จะถือมันไว้ด้วย"

เพียงเด็กชายพูดจบก็วิ่งไปที่ต้นไม้ทันที ก่อนที่จะค่อยๆปีนต้นไม้ไปพร้อมกับรภของเล่นอันนั้น แต่ปีนได้เพียงครึ่งทาง เด็กชายก็ปีนต่อไม่ได้แล้ว แต่ก็ไม่กล้าลงมา เด็กชายกอดต้นไม้เอาไว้พร้อมกับตะโกนเสียงดัง : "แม่ครับ …….แม่มาช่วยผมด้วยครับ….."

ในขณะนั้น ผู้หญิงที่คุยกับคนอื่นอยู่นั่นรีบวิ่งมาอย่างรวดเร็ว : "ไอ้หยา ชงชงทำไมปีต้นไม้อย่างนั้นล่ะคะลูก ลงมาเร็ว กระโดดลงมา แม่จะรับ"

เด็กชายร้องไห้ออกมาพร้อมกับส่ายหน้า : "ไม่ครับ……ผมไม่กล้า"

เพื่อที่ตัวเองจะเกาะต้นไม้ได้แน่นขึ้น เด็กชายจึงทำได้เพียงปล่อยรถของเล่นในมือตกลงไป เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเด็กชายร้องไห้อย่างนั้น ก็หัวราะเอิ้กอ้ากขึ้นมาทันทีก่อนที่จะเดินไปเก็บรถของเล่นชิ้นนั้นมา เด็กชายเห็นเจี่ยนซวงจึงตะโกนขึ้นมา : "แม่ครับ เป็นเพราะเธอโกหกผมครับ เธอบอกว่าบนต้นไม้…..มีของเล่น"

ผู้หญิงคนนั้นรีบหันหน้ามามงเจี่ยนซวงทันทีก่อนที่จะตะคอกใส่ : "เธอเป็นเด็กบ้านไหนห้ะ? ยังเด็กแค่นี้ก็โกหกแล้วหรอ? ที่นี่เป็นของเธอรึไง? เป็นเด็กบ้าที่มาจากไหนเนี่ย?"

เจี่ยนซวงถูกผู้หญิงคนนั้นผลักจนล้มไปกองกับพื้น แต่เธอไม่ได้ร้องไห้ เธอมองไปที่เด็กชายที่ติดอยู่บนต้นไม้ ก่อนจะหัวเราะต่อ ในขณะนั้นเด็กชายก็ยึดเกาะต้นไม้ไม่ไหวแล้วจึงตกลงมาจากพื้น เมื่กเด็กชายตกลงมาถึงพื้นแล้ว ผู้ผญิงคนนั้นก็กำลังจะสั่งสอนเจี่ยนซวงอยู่เธอเลยไม่ทันรับลูกของตนเอง

เมือ่ได้ยินเสียงงร้องโอดโอยของเด็กชาย แม่ของเธอถึงได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ ก่อนจะหันไปกอดเด็กชายด้วยความตื่นตระหนก : "ไอ้หยา ชงชงของแม่"

เจี่ยนซวงเอารถของเล่นมากอดไว้ก่อนจะลุกขึ้นมา แล้วปัดดินที่เปื้อนอยู่บนตัวของเธอ ก่อนจะเตรียมตัวหันหลังกลับไป เธอก็โดนผู้หญิงคนนั้นดึงไหล่ของเธอเอาไว้แล้ว : "ยัยเด็กบ้า หยุดเดี๋ยวนี้นะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงกลับถึงบ้าน ก็มีสายโทรเข้าจากซวีอี้เฟยทันที เจี่ยนอี๋นั่วไม่รับสายของซวีอี้เฟยและวางสาย แต่โทรศัพท์ยังคงดังอยู่ เสียงดังจนเจี่ยนซวงรำคาญ เบะปาก ขมวดคิ้วและมองไปที่ เจี่ยนอี๋นั่วและถอนหายใจ: "แม่ แม่เจอคนผู้ชายเลวแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปที่เจี่ยนซวงและถามว่า: "ลูกไปรู้คำนี้มาจากที่ไหน? ลูกรู้ว่าอะไรคือผู้ชายเลวหรอ?"

เจี่ยนซวงยื่นนิ้วก้อยออกเพื่อคลิกทีวีและพูด: "ซวงซวง เรียนรู้จากทีวี ทีวีเรียกเรียกคนแบบนี้ว่าผู้ชายเลว"

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะ: "งั้นแม่จะสอนวิธีจัดการกับคนพวกนี้ ดีไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อรับสาย ซวีอี้เฟยรีบพูดขึ้นในอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์: "ขอโทษนะ อี๋นั่ว ตอนนั้นฉันหุนหันเกินไป ฉันรอเธอมาตลอดหลายปีและฉันไม่เคยมองผู้หญิงคนไหนเลย ฉันเลยพูดไม่คิดออกไปแต่จิตใจของฉันดีมาก ฉันดูแลเธอได้จริงๆ อยากดูแลซวงๆ ฉันแค่กังวลมากไปหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วยกปากขึ้นและหัวเราะเบาๆ : "ฉันไม่มีความคิดที่จะคบกับเธอต่อไป อย่าโทรหาฉันอีก ฉันมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย อย่ามาเสียเวลาของฉัน”

ซวีอี้เฟยขัดคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและพูดอย่างรวดเร็ว: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันว่าเธอยังไม่ได้คิดดีๆ ไม่ควรใช้เกณฑ์ก่อนหน้านี้ในการเลือกผู้ชาย เธอไม่ใช่คนเมื่อก่อนแล้ว เธอไม่ใช่ลูกคุณหนูของตระกูลเจี่ยน เธอไม่ได้เป็นที่ชื่นชมของผู้ชายในโรงเรียนอีกต่อไป เธอเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากคุกและมีลูกติด ฉันกำลังมองหาแฟน มีคนที่บริสุทธิ์มากมาย ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นผู้หญิงพวกนั้นเต็มใจที่จะอยู่กับฉัน แต่ฉันยังคงเลือกเธอเพราะฉันชอบเธอ ถ้าเธอปฏิเสธฉัน เธอจะไม่มีทางเจอกับผู้ชายที่เพียบพร้อมอย่างฉัน ฉันจะให้โอกาสเธออีกครั้ง พรุ่งนี้ พรุ่งนี้เราไปกินข้าวอีกครั้ง ดีไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ: "ฉันบอกแล้วว่าฉันปฏิเสธเธอ"

ซวีอี้เฟยรีบพูดขึ้นว่า: "นั่นเป็นเพราะเธอยังไม่ได้คิดดีๆ อี๋นั่วอย่าหยิ่งผยองเกินไป เธอคิดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเธอสิ เอาอย่างงี้ พรุ่งนี้ฉันจะไปรับเธอ เธอเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เราไปกันสองคนตามลำพัง อย่าพาลูกเธอไปด้วย หาคนดูแลไว้เลยก็ดี บางทีเธออาจจะไม่กลับไป”

"ซวีอี้เฟย เธอพูดแบบนี้ เธอกำลังบังคับฉันนะ”เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างเย็นชา:"ฉันรู้หน่วยงานของเธอ ถ้าเธอโทรหาฉันอีกครั้ง ฉันจะโทรหาตำรวจว่าเธอกำลังรังควานฉันและฉันจะไปหาหัวหน้าหน่วยของเธอ ฉันว่าเธอคงไม่อยากเป็นตัวตลกในที่ทำงานหรอกมั้ง?”

ซวีอี้เฟยขมวดคิ้วทันทีและพูดอย่างเย็นชา: "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล้าหรอ? เธอไม่กลัวคนอื่นจะหัวเราะเยาะเธอหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: "ฉันมาถึงขนาดนี้ ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวแล้ว ถ้าเธอไม่อาย ก็ลองโทรมาอีกนะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบและวางสายโทรศัพท์ หลังจากนั้นซวีอี้เฟยก็ไม่กล้าโทรหาเจี่ยนอี๋นั่วอีก เจี่ยนซวงปรบมือ ยิ้มทันทีและพูดว่า: “ว้าว…..ผู้ชายเลวๆถูกไล่ออกไปแล้ว……”

เจี่ยนซวงพูดจบ โทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้นอีกครั้ง เจี่ยนซวงทรุดลงทันที: "แม่ คนเลวอีกแล้วหรือเปล่า……"

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปที่หมายเลขผู้โทรและพูดด้วยรอยยิ้มทันที: "ไม่ต้องกังวล เป็นสายของแม่เล่อเล่อ"

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รับสายเหอหลวนเล่อ เหอหลวนเล่อรีบถามว่า: "อี๋นั่ว เธอกำลังทำอะไรอยู่? ทำไมเพิ่งรับสาย?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: "ไม่มีอะไร เธอมีอะไรหรือเปล่า?"

เหอหลวนเล่อยิ้มอย่างรวดเร็วและพูดว่า: "อืม ฉันจะบอกว่าฉันเปลี่ยนที่ตั้งร้านให้เธอ ฉันไม่เชื่อว่าคนพวกนั้นจะเลิกตามก่อกวนเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่ต้องลำบากขนาดนั้นหรอก ฉันว่าจะเปิดร้านขนมที่ร้านเดิม ฉันไม่อยากหนี ต่อให้จะมีคนพยายามก่อกวนฉัน แต่ฉันก็ไม่อยากหนีอีกแล้ว”

"แต่คนที่สนามสกุลเยี่ยคนนั้นไปแล้วไม่ใช่หรอ?" เหอหลวนเล่อหยุดชะงัก จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม: "แต่ไปแล้วก็ดี อี๋นั่วเธอลองดูสิ ตอนนี้ฉันดีกับเธอที่สุดแล้ว ฉันอยู่เคียงข้างเธอมาตลอด หมิงจูอะไรคนนั้นก็ทำไม่ได้ ฉันหนะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้าเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ: ใช่ ในบรรดาผู้คนที่เจอ เหอหลวนเล่อเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่คบฉันโดยไม่หวังผลประโยชน์ ตอนนี้เวลาผ่านไปนานแล้วฉันไม่ได้เป็นเยนอี๋นั่วคนเดิมอีกต่อไป แต่เหอหลวนเล่อยังปฏิบัติกับฉันเหมือนเดิม หายากมากจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นทันที: "ใช่ หลายปีมานี้เธออยู่เคียงข้างฉันมาตลอด ไม่อย่างนั้นฉันไม่รู้จะทำยังไงจริงๆ ฉันเป็นคนโชคดีที่มีเธอ ขอบคุณนะ"

เหอหลวนเล่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ "ฮิฮิ" หัวเราะและพูดเบาๆว่า: "จริงๆเลยนะ พูดแบบนี้ตลอด พูดแบบนั้นราวกับว่าฉันกำลังไล่เธอเพื่อให้เธอสรรเสริญ ฉันรู้สึกอายนะเนี่ย ถ้าเธอยังอยากเปิดร้านที่เดิม งั้นก็ช่างเถอะ แต่ฉันติดต่อโรงเรียนแห่งใหม่ไว้ให้ซวงซวง โรงเรียนอนุบาลนี้เพื่อนของฉันเป็นคนเปิดเอง คงไม่เกิดอะไรขึ้นอีกแน่นอน วันนี้พาซวงซวงไปดูกันไหม? รวดพาเธอไปดูสภาพแวดล้อมก่อน ถึงฉันจะไม่ชอบเยี่ยหมิงจูผู้หญิงคนนั้น แต่มีผู้หญิงคนนั้นอยู่ก็ช่วยดูแลเธอได้บ้าง ตอนนี้เธอไปแล้ว เธอต้องหาคนใหม่มาอีกคน ยังมีเรื่องที่ร้านต้องจัดการอีกเยอะเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะและพูดว่า: “โอเค เอาตามที่เธอบอกเลย”

เหอหลวนเล่อยิ้มและพูดว่า: "งั้นถ้าถึงเวลาฉันจะไปรับนะ"

หลังจากที่เหอหลวนเล่อพูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์ เจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปพูดกับ เจี่ยนซวงทันที: "ซวงซวง แม่พาซวงซวงไปโรงเรียนอนุบาลได้แล้ว ซวงซวงจะได้ไปเล้นกับเพื่อนๆที่โรงเรียน"

เจี่ยนซวงยกมือเล็กๆของเธอทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม เยี่ยมเลย ซวงซวงจะได้ไปเล่นกับเพื่อนแล้ว!"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ทำอะไรไม่ถูกและพูดว่า: "ซวงซวง ไปเล่นกับเพื่อนๆ แต่ห้ามไปแย่งของเล่นเพื่อนนะ ลูกไปที่โรงเรียนห้ามรังแกเพื่อนเข้าใจไหม”

เจี่ยนซวงกระพริบตาและตอบเบาๆ: "อืม…… "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและแตะศีรษะของเจี่ยนซวง พร้อมพูดว่า:"แต่ถ้าคนอื่นกลั่นแกล้งลูก ลูกต้องรู้วิธีที่จะต่อสู้กลับและเมื่อลูกต่อสู้เธอต้องมีความรอบคอบและอย่าทำให้ตัวเองเดือดร้อน เมื่อลูกพบปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ลูกต้องรู้วิธีที่จะต่อสู้กลับ ต้องรู้วิธีขอความช่วยเหลือ รู้ไหม? อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ทำอะไรไม่ได้ ซวงซวงต้องมีเหตุผล"

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันที: "อืม ซวงซวงจะไม่ปล่อยคนที่กลั่นแกล้งได้อย่างแน่นอน หึ กล้ารังแกซวงซวงหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง ยกมือขึ้นแตะหัวของเจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยต้องการทำให้เจี่ยนซวงเป็นเด็กที่ได้รับการปกป้องมาตลอด เธอไม่ต้องการให้เจี่ยนซวงคิดว่าโลกทั้งใบเป็นคนดีและไม่อยากให้เจี่ยนซวงคิดว่าทุกคนจะเต็มไปด้วยความเมตตา ในการเป็นมนุษย์เธอควรเลือกที่จะปกป้องตัวเองก่อน เจี่ยนอี๋นั่วเธอต้องจากเจี่ยนซวงไปในวันหนึ่ง เธออยากให้เจี่ยนซวงดูแลตัวเองได้

เจี่ยนซวงต้องมีความสามารถและความกล้าหาญที่จะปกป้องตัวเองซึ่งต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก

เหอหลวนเล่อมาถึง และพาเจี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนซวงไปที่โรงเรียนอนุบาลแห่งใหม่ สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงเรียนอนุบาลใหม่ดีกว่าเดิม เมื่อเห็นเครื่องเล่นต่างๆเจี่ยนซวง ก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากของเธอและตะโกนว่า: "ว้าว……สวยจัง……ซวงซวงชอบสไลด์"

เหอหลวนเล่อเอียงศีรษะและพูดกับเจี่ยนซวง: "โรงเรียนอนุบาลแห่งนี้เป็นโรงเรียนอนุบาลสองภาษา ซวงซวงสามารถปูพื้นฐานภาษาอังกฤษได้ดีที่นี่ แม้ว่าเธอจะเคยสอนเธอมาบ้าง แต่ก็ยังไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ซวงซวงของเรา ห้ามแพ้คนอื่น! ฉันจะสมัครเรียนเปียโนและเต้นรำให้ซวงซวงด้วย ฉันจะทำให้ซวงซวงเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย "

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยปากที่เรียบ: "แม่ แม่เล่อเล่อน่ากลัวจัง"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดกับเหอหลวนเล่อ: "ไม่ต้องรีบหรอก ค่อยๆดูว่าลูกชอบอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนว่าเจี่ยนซวงได้เรียนรู้อะไรหรือว่าเจี่ยนซวงจะกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่มีพรสวรรค์ในการเล่นเปียโน หมากรุก การประดิษฐ์ตัวอักษรและการวาดภาพ เจี่ยนอี๋นั่วให้ความสำคัญกับการปลูกฝังบุคลิกภาพของเจี่ยนซวงมากกว่า อย่างอื่นค่อยๆฝึกได้

เหอหลวนเล่อผู้ซึ่งต้องการให้เจี้ยนซวงเป็นสุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงถอนหายใจด้วยความผิดหวังและถามเจี่ยนซวง: "เป็นยังไงบ้าง? ซวงซวงชอบโรงเรียนอนุบาลนี้ไหม?"

เจี่ยนซวงพยักหน้า เพื่อแสดงว่าเธอชอบโรงเรียนอนุบาลนี้มาก แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเหอหลวนเล่อจะจากไป เจี่ยนซวงก็โบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วอย่างแรงและพูดว่า "แม่ แม่เล่อเล่อ มารับซวงซวงช้าๆก็ได้นะ ซวงซวงอยากเล่นที่โรงเรียนก่อน!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและโบกมือให้เจี่ยนซวงก่อนจะหันไปจากไป เจี่ยนซวงเฝ้าดูเจี่ยนอี๋นั่วจากไป เจี่ยนซวงก็ประกบปากและพูดเบาๆ: "อันที่จริง ซวงซวงอยากให้แม่มารับเร็วๆ!"

เจี่ยนซวงพูดพลางก้มศีรษะลงและขยี้ตาแดง ในเวลานี้คนแก่คนหนึ่งเดินเข้ามาและถามว่า: "เธอคือซวงซวงหรือเปล่า?"

เจี่ยนซวงขยี้ตา ทำหน้ามุ่ยและมองไปที่คนแก่อย่างระมัดระวัง: "คุณเป็นใคร แม่ไม่ให้หนูคุยกับคนแปลกหน้า"

คุณนายเหลิ่งเหล่ไปที่เจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันเป็นทวดของเธอ"

เจี่ยนซวงกระพริบตาและถามอย่างสงสัย: "ทวดคืออะไร?"

คุณนายเหลิ่งยิ้มและพูดว่า: "เป็นย่าของพ่อเธอ"

"ย่าของพ่อซวงซวง?" เจี่ยนซวงเบิกตากว้างและมองไปที่คุณนายเหลิ่ง พูดอย่างรีบร้อน: "ถ้าอย่างนั้นคุณรู้จักพ่อของซวงซวงหรอ? คุณเรียกพ่อมาหาซวงซวงสิ เรียกเขามาหาแม่”

เมื่อเจี่ยนซวงเห็นซวีอี้เฟย เธอจ้องมองไปที่ซวีอี้เฟย จากนั้นก็ประกบปากและพูดเบาๆ: "ตัวไม่ค่อยสูงเลย ดวงตาก็ไม่สวยด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปหาเจี่ยนซวงทันทีและพูดอย่างนุ่มนวล: "ซวงซวง ห้ามพูดไม่สุภาพแบบนี้"

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เธอก็หยุดพูด จับมือและทำหน้ามุ่ยใส่ซวีอี้เฟย ซวีอี้เฟยไม่อายและพูดด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนซวง: "ลุงดูธรรมดามากและไม่ค่อยสูง ซวงซวงพูดถูก"

เจี่ยนซวงได้ยินซวีอี้เฟยพูดเช่นนี้ เธอรีบก้มศีรษะลงและพูดว่า: "ขอโทษนะคะ"

ซูอี้เฟยยิ้มและตอบ: "ไม่เป็นไรจ้า"

จากนั้นซวีอี้เฟยก็ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "ซวงซวง เป็นเด็กดีจริงๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "เธอค่อนข้างเชื่อฟัง"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็แตะที่หัวของเจี่ยนซวงเบาๆ ทันใดนั้นก็เงียบลง ซวีอี้เฟยผลักอาหารตรงหน้าเขาด้วยความลำบากใจเล็กน้อย ผลักอาหารไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวง พูดเกรงๆว่า: "พวกเธอลองชิมดู อาหารจานนี้เป็นยังไงบ้าง?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า หยิบผักวางไว้บนถ้วยและป้อนให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงอ้าปากทันที เจี่ยนซวงกินไปสักพักก็ตะโกนว่าจะไปห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วดูแลเจี่ยนซวงมาโดยตลอดจนแทบไม่ได้คุยกับซวีอี้เฟย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัว เธอก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ซวีอี้เฟย เธอก็เห็นว่าซวีอี้เฟยกำลังมองเธออย่างแน่วแน่ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างขอโทษและพูดว่า: "ขอโทษด้วยนะ ออกมากินข้าวกับเธอแต่ฉันเอาแต่ดูแลลูก”

ซวีอี้เฟยรีบยิ้มและส่ายหัว: "ไม่เป็นไร อย่าลืมสิ ฉันเป็นกุมารแพทย์และฉันเข้าใจสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี ฉันเข้าใจ กลับกันฉันยังรู้สึกว่าเธอ สวยมาก……”

"สวย?" เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงเล็กน้อยเมื่อเธอได้ยินคำชมนี้ เธอไม่ได้ยินคำชมแบบนี้จากเพศตรงข้ามมานานแล้ว เธอรู้สึกแปลกเล็กน้อย

ซวีอี้เฟยพยักหน้าอย่างรวดเร็วและพูดเบาๆ: "ก่อนหน้านี้เธอก็สวยมากเช่นกัน ไม่ใช่แค่รูปร่างหน้าตาของเธอเท่านั้น แต่อารมณ์ของเธอก็น่าดึงดูดมาก แต่แค่……ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ว่ามันเหมาะสมหรือเปล่า แต่บางทีก็เกินไป ทำให้เข้าถึงยาก แต่ตอนนี้เธออ่อนลงมากทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนตัวเล็กๆ ฉันสามารถเข้าใกล้เธอได้ มันรู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนมาก ฉันมักจะกลัวว่าจะทำอะไรผิดและพูดอะไรผิดจะให้เธอหัวเราะได้ไหม แต่……แต่เธอคงจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นฉันเป็นยังไง "

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆและพูดว่า: "เพราะฉันไม่ใช่เจี่ยนอี๋นั่วคนเมื่อก่อนแล้ว"

ซวีอี้เฟยรีบพูดว่า: "ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปยังไง เธอก็เป็นเจี่ยนอี๋นั่วในใจฉันเสมอ อี๋นั่ว ฉันชอบเธอ ฉันชอบเธอมาก ฉันอยากอยู่กับเธอมาตลอด ตอนฉันเจอเธออีกครั้ง ฉันคิดว่าฉันกำลังฝันไม่…..ไม่ตอนนี้ฉันก็กำลังฝัน การได้อยู่กับเธอคือความฝันตลอดชีวิตของฉัน ฉันจะดูแลซวงซวงกับเธอให้ดี ฉันไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก่อน ฉันจะทำทุกอย่างให้เธอมีความสุข”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินดังนั้นก็ลดสายตาลงมองไปที่ซวีอี้เฟยและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันในตอนนี้เธอก็เห็นแล้ว เธอไม่สนจริงๆงั้นหรอ เธอไม่สน แต่ครอบครัวเธอจะรับได้หรอ? ตอนนี้เรายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องอนาคต”

ซวีอี้เฟยรีบตอบว่า: "อี๋นั่ว ถึงแม้ว่าคนในครอบครัวของฉันจะไม่เห็นด้วยบ้าง แต่ฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่ปัญหา ความเป็นจริงสถานการณ์ของเธอในตอนนี้เป็นเรื่องยากที่จะหาผู้ชายที่เหมาะสม ฉันมีการมีงานที่มั่นคง ฉันสามารถดูแลเธอกับลูกได้ มันเป็นโอกาสของเธอที่ควรรีบคว้าไว้ไม่ใช่หรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของซวีอี้เฟย ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดกับซวีอี้เฟยว่า:“ จริงๆแล้วฉันไม่ได้รู้สึกแย่กับเธอ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ ถ้าเธออยู่กับ ฉันเธอจะรู้สึกเสียใจทีหลัง บางทีมันเหมาะกับเราที่จะเป็นเพื่อนกันมากกว่า "

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เธอก็ลุกขึ้นยืนหันหลังกลับและยิ้มให้เจี่ยนซวงแล้วพูดว่า: "ไปเถอะ ซวงซวง แม่จะพากลับบ้าน"

ซวีอี้เฟยยืนขึ้นและขมวดคิ้ว มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและรีบถาม: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า? ถ้าพูดอะไรผิดไป อย่าถือสาฉันเลยนะ ที่ฉันพูดเพราะเป็นห่วงเธอจริงๆ ขอให้เธออย่าพลาดโอกาสดีๆนี้ไปเลย เราก็อายุมากแล้ว ไม่ควรมาเพ้อฝันเหมือนในนิยาย ทำตามหัวใจตัวเองมันดีที่สุดแล้วไม่ใช่หรอ? เธอบอกว่าเธอไม่ใช่อี๋นั่วคนเมื่อก่อน เธอ…….”

"ฉันไม่ใช่เจี่ยนอี๋นั่วคนเดิมอีกต่อไปแล้ว" เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะไปและยิ้มให้ซวีอี้เฟยพร้อมพูดว่า: "แต่นั่นหมายถึงสภาพภายนอกของฉัน แต่ภายในฉันไม่เคยเปลี่ยนแปลง ฉันแค่ได้เรียนรู้และมีประสบการณ์การใช้ชีวิตใหม่ ขอโทษด้วยนะ คุณซวี ฉันขอปฏิเสธการจีบของเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็อุ้มเจี่ยนซวงและยืนขึ้น ซวีอี้เฟยขมวดคิ้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเสียงดัง: "เจี่ยนอี๋นั่ว ทำไมเธอยังเป็นแบบนี้? เธอรู้ไหม ฉันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่ซวีอี้เฟยและพูดว่า: "ไม่ เธอเป็นแค่คู่เดทของฉัน เธอไม่ได้ดี……"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ทันใดนั้นก็มีแก้วไวน์เทใส่เธอ เจี่ยนอี๋นั่วรีบบังเจี่ยนซวงทันทีและน้ำก็เทลงบนตัวเจี่ยนอี๋นั่ว ซวีอี้เฟยขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดเบาๆว่า: "เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่เคยติดคุก ฉันอยากอยู่กับเธอก็ดีแค่ไหนแล้ว แต่เธอยังมาปฏิเสธ? เธอคิดว่าเธอยังเป็นเจี่ยนอี๋นั่วคนเมื่อก่อนหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลงและมองไปที่เจี่ยนซวง ถามเบาๆ : "ซวงซวง เป็นไงบ้าง เปียกหรือเปล่า?"

เจี่ยนซวงตาแดง เธอส่ายหัว: "ไม่เปียก แม่ เขาไม่ใช่คนดี…… "

ซวีอี้เฟยขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนซวงและตะโกนเสียงดัง: "ยัยเด็กบ้า เธอพูดว่าอะไรนะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ หยิบแก้วน้ำที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา สาดใส่หน้าของซวีอี้เฟยอย่างไม่ใยดี และพูดว่า: "ฉันไม่เคยจำเธอได้ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนั้นถึงไม่ชอบเธอ เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนั้นไม่มีวันชอบเธอ แล้วเจี่ยนอี๋นั่วตอนนี้ก็ไม่มีทางชอบผู้ชายแบบเธอ! ทางที่ดีเธอรีบเปลี่ยนนิสัยแบบนี้ซะนะ ไม่งั้น เธอไม่มีวันได้อยู่กับคนที่เธอชอบหรอก ผู้หญิงที่ฉลาดเขาจะปฏิเสธเธอ” "

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด ก็ก้มศีรษะลงและเหลือบมองไปที่อาหารบนโต๊ะ พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น: "ตอนแรกฉันก็ว่าจะหารค่าอาหารกับเธอ แต่จะว่าไปแล้วเธอเป็นคนชวน เธอก็จ่ายละกัน ถือว่าเป็นการขอโทษฉันเรื่องเมื่อกี้ด้วย”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หันไปและปล่อยเจี่ยนลง เดินออกจากร้านอาหาร เจี่ยนซวงยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยมือเล็กๆ ในขณะที่เธอตาและจมูกแดงพูดออกมาว่า: "แม่ เขาเป็นคนไม่ดี"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แม่รู้แล้ว ดูเหมือนว่าแม่จะให้โอกาสผิดคน ต่อไปแม่จะระวังกว่านี้นะ"

เจี่ยนซวงสูดหายใจเข้าลึกๆและพูดด้วยเสียงร้องไห้: "แม่ หนูไม่อยากได้พ่อแล้ว หนูอยากอยู่กับแม่"

"ซวงซวง……" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม: "แม้ว่าคนนี้จะไม่ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นไม่ดี ลูกยังคิดถึงลุงคนที่เจอในสวนสาธารณะไม่ใช่หรอ? แสดงว่าโลกนี้ยังมีลุงดีๆให้ลูกเลือกอีกมากมาย ตอนนี้คนที่ทำผิดคือลุงคนเมื่อกี้ แต่เราห้ามตัดสินลุงคนอื่นว่าไม่ดี อาจจะทำให้เราเสียคนดีๆไป มันคุ้มไหม?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าเบาๆ: "เราจะมาเสียโอกาสเพราะเรื่องนี้ไม่ได้"

หลังจากเจี่ยนซวงพูดจบ เธอก็พูดทันที: "ถ้าอย่างนั้นเราก็ให้โอกาสลุงคนอื่นต่อไปหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "มาเถอะ แม่จะพาซวงซวงกลับบ้าน"

เจี่ยนซวงพยักหน้าและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "ซวงซวงจะเดินเอง ไม่อยากให้แม่อุ้ม ซวงซวงจะเดิน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและวางเจี่ยนซวงลง พูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าซวงซวงเหนื่อยแล้วก็บอกแม่นะ เดี๋ยวแม่จะอุ้มซวงซวง"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หยุดชั่วขณะและมองไปที่เจี่ยนซวงและพูดเบาๆ: "ซวงซวง ต่อไปลูกอย่ามองคนที่ภายนอก อย่าเชื่อใครง่ายๆ คนอื่นจะทำให้ชีวิตเรายุ่งลำบาก”

จริงๆแล้วเจี่ยนซวงไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดในตอนนี้ เธอแค่พยักหน้าอย่างว่างเปล่า มือเล็กๆของเธอจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นและพูดอย่างจริงจัง: "แม่ ซวงซวงจะโตเร็วๆ จะได้ดูแลแม่ได้ ไม่ต้องการพ่อมาดูแลแม่อีก”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและแตะศีรษะของเจี่ยนซวงเบาๆ:“ ซวงซวงไม่ต้องรีบโตหรอก ซวงซวงยังเป็นเด็กก็ควรทำตัวเป็นเด็ก ไม่ต้องรีบโต แม่ดูแลตัวเองได้ ซวงซวงไม่ต้องเป็นห่วง แม่อยากขอโทษซวงซวงเพราะวันนี้ทำให้ซวงซวงตกใจ พาซวงซวงมาเจอกับคนแบบนี้ แม่ให้พร1ข้อ ซวงซวงอยากขออะไรเอ่ย "

“ ซวงซวงอยากกินเค้ก…… ” เจี่ยนซวงพูด

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้าและพูดเบาๆ "โอเค แม่จะพาซวงซวงไปกินเค้ก"

เจี่ยนซวงกระโดดขึ้นทันที ปรบมือ พูดด้วยความดีใจ: "เยี่ยมไปเลย กินเค้กกัน…… "

คุณนายเหลิ่งนั่งอยู่ในรถฝั่งตรงข้าม แอบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความเบื่อหน่าย จากนั้นเหล่ไปที่เจี่ยนซวงและพูดกับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆว่า: "แกคิดว่าสาวน้อยคนนั้นหน้าตาเหมือนใคร?”

สาวใช้ขมวดคิ้ว: "ดูไม่ออกว่าเหมือนใคร"

"เหมือนฉัน" คุณนายเหลิ่งพูดด้วยรอยยิ้ม: " ตอนแรกดูในรูปว่าเหมือนแล้ว มาเห็นตัวจริงยิ่งเหมือน ตอนฉันยังเด็กก็หน้าตาแบบนั้นเลย เมื่อวานฉันเอารูปฉันตอนเด็กมาเทียบดู มันเหมือนกันอย่างกับแฝด”

ครั้งหนึ่งเหลิ่งหมิงอันเคยถูกเจี่ยนอี๋นั่วใช้มีดจ่อคอ แต่เหลิ่งหมิงอันไม่กลัวเพราะเขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางฆ่าเขา แต่ตอนนี้แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ขยับมีด เหลิ่งหมิงอันก็อดไม่ได้ที่จะประหม่า เมื่อมองไปที่ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิง เขารู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฆ่าเขาจริงๆ

เหลิ่งหมิงอันพูดตัวสั่นว่า: "พี่ใหญ่ อย่ามาเล่นตลกกับฉันแบบนี้สิ ฉันตกใจนะ"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะ มองเหลิ่งหมิงอันและพูดว่า: "แกรู้จักกลัวด้วยหรอ ฉันก็คิดว่าคนอย่างเหลิ่งหมิงอันไม่กลัวอะไรซะอีก กล้าส่งคนมาสอดแนมใกล้ๆฉัน?"

เหลิ่งหมิงอันหายใจเข้าลึกๆ กัดริมฝีปากแน่นและพูดอย่างเย็นชา: "พี่ใหญ่ ตอนนี้…..ผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของพี่คือกู้เค่อหยิงหรอ?"

"เหอะ…… " เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะ: "ต่อให้จะเป็นกู้เค่อหยิงหรือเจี่ยนอี๋นั่ว พวกเธอเป็นแค่คนให้กำเนิดลูกเท่านั้น กู้เค่อหยิงแค่โชคดีที่ได้ลูกชาย ไม่อย่างนั้นแกคิดว่าฉันยังจะเก็บไว้หรอ? ฉันไม่รังเกียจหรอก ถ้าแกจะนอนกับเธอ แต่ระวังอย่าให้ท้อง ไม่อย่างนั้นเด็กคนนั้นไม่รอดแน่ ฉันไม่ได้ต้องการผู้หญิงที่ซื่อสัตย์ การมีอยู่ของกู้เค่อหยิง เพียงแค่ทำให้ฉันเป็นเหมือนคนธรรมดาที่มีภรรยา”

"เซ่าถิง กลับมาแล้วหรอ” จู่ๆเสียงของกู้เค่อหยิงก็ดังออกมาจากห้อง

เมื่อกู้เค่อหยิงเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังยืนคุยกับเหลิ่งเซ่าถิง กู้เค่อหยิงก็ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้เหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า: "เซ่าถิง กลับมาแล้วก็กลับห้องก่อนเถอะ"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆหันศีรษะและพยักหน้าให้กู้เค่อหยิง พูดด้วยรอยยิ้ม: "วันนี้เฉิงเยี่ยเป็นยังไงบ้าง?"

กู้เค่อหยิงตอบด้วยรอยยิ้ม: "วันนี้เฉิงเยี่ยเป็นเด็กดีมาก แถมพูดได้อีกหลายคำ”

ในขณะที่กู้เค่อหยิงพูดก็จ้องมองที่เหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชา จากนั้นก็เดินเข้าไปที่ประตูห้อง เหลิ่งหมิงอันเม้มริมฝีปากแน่นและหายใจออกมา เมื่อมองเหลิ่งเซ่าถิงเขาคล้ายกับเหลิ่วอวิ๋นเซียวมาก รู้สึกเหมือนกำลังมองศพที่ตายไปแล้ว

“ ไม่แปลกที่พวกเขาเป็นฝาแฝด พวกเขาเหมือนกันมาก” เหลิ่งหมิงอันพูดวอย่างงุนงง

แม้ว่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวจะถูกคุณนายเหลิ่งฆ่าไปแล้ว แต่อดีตของเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ยังคงทำให้เหลิ่งหมิวอันกลัวเล็กน้อย แม้ว่าเหลิ่งหมิงอันจะฆ่าเหลิ่งเฉิงอวี่และเหลิ่งอวิ๋นเซียวราวกับฆ่าพ่อ สิ่งที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวทำนั้นทำ เป็นแค่เด็กมันเป็นฆาตกรโดยกำเนิดและเขาไม่สามารถคิดตามจิตสำนึกของคนทั่วไปได้เลย

มีเพียงเหลิ่งอวิ๋นเซียวเท่านั้นที่ขาดการศึกษาของตระกูลเหลิ่ง ก็เลยทำให้เหลิ่งหมิงอันมีความรู้สึกที่อยู่สูงกว่าเหลิ่งอวิ๋นเซียว แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่เพียงได้รับการศึกษาที่ดี แต่ยังมีความเฉยเมยและความโหดร้ายคล้ายกับเหลิ่งอวิ๋นเซียว ซึ่งทำให้เหลิ่งหมิงอันเริ่มรู้สึกหวาดกลัวในใจ

เหลิ่งหมิงอันแตะคอของเขาและหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง ก่อนที่เขาจะตั้งสติกลับมา ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ถ้าเป็นเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อก่อน เหลิ่งหมิงอันก็จัดการเจี่ยนอี๋นั่วต่อได้ แต่ตอนนี้จะจัดการกับเซ่าถิงทีมีอำนาจมากขนาดนี้ได้ยังไง?

เขาเป็นเหมือนพลังที่แท้จริงของตระกูลเหลิ่ง ในตอนนี้เย็นชามีพลังโหดร้าย ไม่มีความรู้สึกใดๆ และจัดการใครก็ได้ราวกับว่าไม่มีจุดอ่อน

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปาก จ้องไปที่ประตูของเหลิ่งเซ่าถิงและค่อยๆหันเดินกลับไป

เมื่อกู้เค่อหยิงหันกลับมาและปิดประตู เธอก็ตะลึงเล็กน้อย ที่ร้านอาหารของหลิวจ่อซิง กู้เค่อหยิงได้เห็นแล้วว่าเหลิ่งเซ่าถิงใส่ใจเธอ เพราะเจี่ยนอี๋นั่วเคยเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง และเซ่าถิงก็ไม่ได้สนใจเธอ ตอนนี้กู้เค่อชิงรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่สำคัญที่สุดของเหลิ่งเซ่าถิง

แต่เหลิ่งหมิงอันแปลกๆ หลังจากกลับมา เขาก็เย็นชาต่อเธอราวกับว่าเขาไม่สนใจเธอเลย กู้เค่อหยิงคิดถึงเหลิ่งหมิงอัน และอดไม่ได้ที่จะมองไปที่เหลิ่งเฉิงเยี่ย เธอมองดูใบหน้าของเฉิงเยี่ย เธอรู้สึกว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยไม่เหมือนเหลิ่งหมิงอันเลย

เหลิ่งหมิงอันมีดวงตาสีพีชและรูปลักษณ์ที่หล่อเหลา แม้ว่าเธอจะไม่ได้สวยเลิศเลอ แต่เธอก็ยังโดดเด่น ทำไมเหลิ่งเฉิงเยี่ยถึงมีเปลือกตาชั้นเดียวและจมูกที่แบน ไม่เหมือนเหลิ่งหมิงอัน อาจเป็นสาเหตุที่เด็กยังไม่โตหรือเปล่า?

"เธอกำลังคิดอะไรอยู่?" เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่กู้เค่อหยิงที่จ้องมองความว่างเปล่าและถามอย่างเย็นชา

กู้เค่อหยิงผงะไปครู่หนึ่งแล้วตอบว่า: "เซ่าถิง ฉันกำลังคิดเรื่องครอบครัวอยู่ คืออย่างงี้ เมื่อวานป้าสามซื้อของมาให้ฉันเยอะมากและขอร้องฉัน เธอบอกว่าตอนนั้นลูกชายของเธอสับสนและขายหุ้นออกไป ตอนนี้เขาต้องการที่จะเอาคืน เซ่าถิง ที่จริงพวกเราร่ำรวยมากแล้ว ทำไมต้องผลักพวกเขาไปอยู่ทางตัน? ครั้งนี้ปล่อยพวกเขาไปเถอะ ยังไงเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน"

"ครอบครัวเดียวกัน?" เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะ หันไปมองกู้เค่อหยิงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันก็อยากเป็นครอบครัวเดียวกันกับพวกเขาเหมือนกัน แต่น่าเสียดายที่พวกเขาเสียโอกาสสุดท้ายไป เธออย่าคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหลิ่งเฉิงอวี่ตายไปแล้ว เพราะงั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำตามที่พวกเขาขออีก”

"อะไรนะ?" ดวงตาของกู้เค่อหยิงเบิกกว้าง: "ตายแล้วงั้นหรอ? เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น?"

"ถูกฆ่าตาย เธอจำเลขาที่อยู่ข้างๆฉันได้ไหม? เขาเป็นคนทำ" เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่กู้เค่อหยิงและพูดด้วยรอยยิ้ม : "ไม่ใช่แค่เขาตายคนเดียว ลูกชายเขาก็ตายแล้วเหมือนกัน"

กู้เค่อหยิงขมวดคิ้วและพูดว่า: "พระเจ้า ป้าสามน่าสงสารที่สุด ทำไมถึงมาเจออะไรแบบนี้?"

เหลิ่งเซ่าถิงเหล่ไปที่กู้เค่อหยิงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่ใช่เธอเจอ แต่ทั้งหมดเป็นเพราะฉันเอง"

กู้เค่อหยิงเบิกตากว้างทันที มองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดอย่างรีบร้อน: "อะไรนะ? นี่มัน……นี่มันฆ่าคน……"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่กู้เค่อหยิงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า: "เธอรู้ไหมว่าทรัพย์สินของลุงสามมีเท่าไหร่? อย่างน้อยสองพันล้านเหรียญสหรัฐและมีสมบัติซ่อนอยู่มากมาย หลังจากที่กำจัดเขาแล้ว เฉิงเยี่ยของเราได้รับทรัพย์สินเพิ่มขึ้น และเธอก็ได้รับเครื่องประดับสวยๆ แล้วมันยังไง?”

กู้เค่อหยิงหายใจเข้าลึกๆ: "เธอ……เธอรู้หรอว่าฉันได้รับอะไรบ้าง?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แน่นอน ฉันรู้ เธอเป็นภรรยาของฉัน ฉันจะไม่สนใจทุกการเคลื่อนไหวของเธอได้ยังไง"

กู้เค่อหยิงกัดริมฝีปากของเธอแน่นและแทบจะโพล่งออกมาเหลิ่งเซ่าถิงรู้เรื่องที่เธออยู่กับผู้ชายคนอื่นงั้นหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนจะมองผ่านความคิดของกู้เค่อหยิง เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันรู้ ฉันเข้าใจความเหงาของเธอ เป็นผู้หญิงของฉัน ฉันต้องให้ชีวิตที่ดีและชีวิตที่มีความสุขกับเธอ แต่ระวัง อย่าให้ท้องโตขึ้นมา เดี๋ยวจะลำบาก”

กู้เค่อหยิงตัวสั่นและพูดว่า "เธอรู้งั้นหรอ? รู้ได้ยังไง?"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะและพูดว่า: "เพราะฉันต้องการภรรยา และเธอเหมาะสม ไม่ต้องห่วง ตราบใดที่เธอยังเป็นภรรยาของฉัน ฉันก็จะเก็บเธอไว้"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ถอดเสื้อสูท เดินเข้าไปในห้องทำงานและพูดว่า: "วันนี้ฉันยังมีงานต้องทำอีกเยอะ เธอไปพักเถอะ"

กู้เค่อหยิงขมวดคิ้วและพูดว่า: "ถ้า……ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วยังเป็นภรรยาของเธอ เธอก็ยังจะเก็บฉันไว้ใช่ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากและพูดด้วยรอยยิ้ม: "จะเป็นไปได้ยังไง? เธอมีแค่ลูกสาวคนเดียว"

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เขาเหลือบมองเหลิ่งเฉิงเยี่ยที่กำลังนอนหลับอยู่ข้างๆ เขาและก้มศีรษะลงด้วยรอยยิ้ม กู้เค่อหยิงไม่กล้าถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าเคยไปตรวจดีเอ็นเอของเขากับเฉิงเยี่ยไหม เธอรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก กู้เค่อหยิงอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงมาเป็นเวลาสามสี่ปี แต่เธอกลับไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เลย

สำหรับเหลิ่งเซ่าถิง กู้เค่อหยิงเป็นแค่คู่นอนเท่านั้น แค่เพียงตอบสนองความต้องการของเขา กู้เค่อหยิงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลยจริงๆ แม้แต่ความรู้สึกของเขาที่กำลังมีความสุขหรือโกรธ กู้เค่อหยิงก็ไม่สามารถบอกได้

กู้เค่อหยิงนอนบนเตียงอย่างกระวนกระวาย ใส่เสื้อผ้าของเธอเข้าด้วยกันและหลับไป ได้ยินเสียงเซ่าถิงลุกออกจากห้องเธอถึงกล้าลุกขึ้นมา เธออุ้มเฉิงเยี่ยขึ้นมาและมองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย รู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งที่น่ากลัวจ้องมองมาที่เธอ

ในขณะนี้เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งได้รับโทรศัพท์จากซวีอี้เฟย ซวีอี้เฟยชวนเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงมาทานอาหารเย็นด้วยดัน เจี่ยนอี๋นั่วตกลง เธอเปลี่ยนชุดให้เจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนซวง: "ซวงซวง แม่กำลังจะไปเดทกับลุงคนหนึ่ง ลูกลองไปเจอเขาดู ดูว่าลูกชอบเขาไหม"

ดวงตาของเจี่ยนซวงสว่างขึ้น พูดด้วยความดีใจว่า: "แม่ แม่เจอลุงคนนั้นแล้วหรอ? ซวงซวงว่าแล้ว ต้องเจอลุงคนนั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: "ไม่ใช่ลุงคนนั้น คราวนี้เป็นลุงหมอ"

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากทันทีและพูดว่า: “หืม? ลุงหมอ? ซวงซวง ไม่ชอบลุงหมอ ลุงหมอจะฉีดยาและให้ยาซวงซวงกินยา เปลี่ยนลุงได้ไหม? ซวงซวงชอบลุงที่ทำขนม ลุงที่ชอบทำกับข้าวและลุงที่ขายนม "

เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มและพูดว่า: "ซวงซวง อย่าเลือกปฏิบัติกับอาชีพของคนอื่น ลุงหมอก็สำคัญมากเช่นกัน ถ้าไม่มีลุงหมอ เวลาซวงซวงไม่สบายจะทำยังไง? ซวงซวงจะไม่หายนะ ลุงหมอสำคัญใช่ไหมล่ะ…… "

เจี่ยนซวงโค้งริมฝีปากของเธอและพูดว่า: “ดูเหมือนจะสำคัญนิดหน่อย……แต่ซวงซวงก็ยังชอบลุงที่เจอในสวนสาธารณะ…… ลุงคนนั้นไม่ใช่หมอแน่ๆ เพราะเขาสวมชุดดำ ไม่ใช่ชุดสีขาว…… "

เจี่ยนอี๋นั่วย่อตัวลง มองไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าซวงซวงไม่ชอบลุงคนนี้จริงๆ งั้นแม่ก็ไม่ไปเจอเขาแล้ว โอเคไหม?”

เจี่ยนซวงส่ายหัว: "ไม่เอา แม่สัญญากับเขาแล้ว แม่ห้ามผิดคำพูด"

เจี่ยนอี๋นั่วบีบจมูกของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ตัวแสบ งั้นไปด้วยกัน ดูว่าซวงซวงชอบเขาไหม?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าและพูดว่า: "ให้โอกาสเขาได้รู้จักซวงซวง"

เหลิ่งเซ่าถิงเปิดลิ้นชักหยิบรูปถ่ายจำนวนหนึ่งออกมาแล้วส่งให้เลขา: "เพราะงั้น การตายของพวกเขาไม่น่าเสียดาย"

เลขาเห็นรูปถ่าย จ้องไปที่ใบหน้าเปื้อนเลือดในรูปถ่ายแล้วร้องโหยหวน

เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปที่เลขาตัวน้อยและพูดเบาๆ: "แกเป็นแค่คนธรรมดา ทำไมถึงอยากมีส่วนร่วมในการสู้กับตระกูลเหลิ่ง แกมีญาติอีกคน ฉันยังปล่อยลูกสาวของแกไว้ แกอยากให้ลูกแกตายงั้นหรอ?”

ดวงตาของเลขาเต็มไปด้วยสีแดง เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงและตะโกนว่า: "แก แกมันไม่ใช่มนุษย์! พวกเขาเป็นคนไร้เดียงสา พวกเขาแค่เป็นคนในครอบครัวฉัน! ทำไมแกถึงต้องทำกับพวกเขาแบบนี้?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เลขา หัวเราะเยาะ: "เพราะพวกเขาเป็นครอบครัวของแกไง ถือว่าลูกสาวแกยังโชคดี อย่างน้อยเธอก็ยังรู้ว่าแกเป็นพ่อของเธอ!"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็มองลงไปที่เลขาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "แกเป็นคนที่ทรยศฉัน ถ้าฉันไม่จัดการกับแก ฉันจะมีหน้าได้ยังไง แล้วตอนนี้แกจะทำยังไงต่อไป?”

"ฉัน……ฉันเป็นคนฆ่าคน…… " เลขาพูดอย่างโง่เขลา หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดเบาๆ : "ฉันคิดว่าเหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่โหดเหี้ยมที่สุด แต่ดูแล้วแกโหดเหี้ยมยิ่งกว่า ถ้าฉันรู้แต่แรก ฉันคง……"

เหลิ่งเซ่าถิงเหล่มองเลขาและพูดอย่างเย็นชา: "ใครเป็นคนเอาภาพจำนั้นให้แก…… ฉันเป็นคนในตระกูลเหลิ่งแกก็น่าจะรู้ดี ตอนนี้แกยังเลือกได้ ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อน คนอย่างแก ฉันฆ่าทิ้งตอนนี้เลยก็ยังได้”

เลขาตัวสั่น หายใจเข้าลึกๆ ถือปืนแล้วค่อยๆหันหลังเดินออกจากห้องไป เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ด้านหลังของเลขา จากนั้นลดศีรษะลงเพื่อมองไปที่ร่างของเหลิ่งเฉิงอวี่ที่พื้นและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:: "ฉันเป็นคนในตระกูลเหลิ่ง"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็หรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง กลิ่นเลือดค่อยๆกระจายไปในอากาศ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงนิยายศิลปะการต่อสู้ที่เขาเคยอ่านเมื่อเขายังเด็กในนวนิยายเหล่าฮีโร่สามารถรักษาความยุติธรรมและลงโทษคนชั่วร้ายได้ แต่สิ่งนี้มีอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้เท่านั้นที่ความยุติธรรมมีชัยเหนือความชั่วร้ายและนั่นคือกฎที่อยู่ในเขตอำนาจศาลของกฎหมาย แต่สำหรับคนที่อยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจกฎหมายเป็นเพียงเครื่องมือในมือของพวกเขาและไม่มีกฎแห่งความยุติธรรมเหนือความชั่วร้ายหากเธอต้องการจัดการกับคู่ต่อสู้ที่ดุร้ายเธอต้องดุร้ายกว่าอีกฝ่ายเท่านั้น

ไม่มีอัศวินผู้ชอบธรรมที่เอาชนะวายร้ายได้มีเพียงวายร้ายที่แข็งแกร่งกว่าจะเอาชนะวายร้ายได้

เช่นเดียวกับวิธีการของยูนนาน กลุ่มคนถูกขังอยู่ในการต่อสู้ที่ดุเดือดและกลุ่มที่มีพิษร้ายแรงที่สุดจะเป็นผู้ชนะ เขากลืนกินความชั่วร้ายของผู้อื่นเพื่อเอาชีวิตรอด

เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจเบาๆ ลุกขึ้นยืนมองเหลิ่งเฉิงยวีที่กำลังนอนจมกองเลือดอย่างเย็นชา จากนั้นก็เดินเหยียบเลือด เลือดสีแดงเข้มเปื้อนพื้นรองเท้าของเหลิ่งเซ่าถิงและซึมเข้าไปในพรมหรูหรา เหลิ่งเซ่าถิงเดินลงไปชั้นล่างและมีผู้คนจำนวนมากที่ถนนฝั่งตรงข้าม เขาได้ยินเสียงชายคนหนึ่งที่อยู่ข้างในตะโกนอย่างแปลกประหลาด: "ฉันฆ่าคน……ฉันยิงเขา……มาจับฉันไปเลย! มาเลย "

น้ำเสียงดุดันเช่นเดียวกับเลขาที่อยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อครู่นี้

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งในรถและโบกมือเบาๆ รถก็สตาร์ททันที เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองท้องฟ้าข้างนอกมันยังคงเป็นสีฟ้า ฟ้าน้ำเงินและโปร่งใสสะอาด ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเจ็บปวด

เหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่บ้านเหลิ่งโดยตรงเนื่องจากการตายของเหลิ่งเฉิงอวี่ ตระกูลเหลิ่งยังคงเต็มไปด้วยสีขาว เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปในห้องโถงและพูดด้วยเสียงเยาะเย้ยทันที: "ไม่เลยนิ บ้านดูเหมือนสะอาดขึ้นเยอะเลย"

คุณนายเหลิ่งเช็ดน้ำตาจากมุมตาของเธอและร้องไห้ พูดกับเหลิ่งเซ่าถิง: "แกยังจะพูดแบบนี้อีก แค่ลุงแกโลภในเงินทองแค่นี้ แกถึงกับต้องฆ่าเลยงั้นหรอ? เขาเป็นลุงแท้ๆของแกนะ เห็นแกมาตั้งแต่เล็ก"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองไปที่คุณนายเหลิ่งและถามด้วยความสับสน: "ทำไมคุณย่าพูดแบบนี้ล่ะครับ? ผมไม่ได้ทำอะไรคุณลุงเลย ผมแค่รู้หลักฐานบางอย่างเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์สินสาธารณะของลุง ผมรวบรวมมันและวางแผนที่จะทำลายมัน แล้วผมจะใช้มันเพื่อขู่ลุงได้ยังไง? ผมเตือนลุงแล้วว่าให้ดื่มน้อยหน่อย ทำไมเขาถึงไม่ฟังผมล่ะ?”

เมื่อพูดอย่างนี้ เหลิ่งเซ่าถิงก็ถอนหายใจ: "ลุงคนนี้ทำให้ผมลำบากใจมามากแล้ว"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ถามอย่างเคร่งเครียด: "อุบัติเหตุของตระกูลเหลิ่งเกิดขึ้นทีละครั้งและแกคือคนได้ผลประโยชน์ เซ่าถิง แกคิดจะทำอะไรกันแน่? แกอยากทำลายตระกูลเหลิ่งให้ย่อยยับ แกถึงจะพอใจใช่ไหม? แกอย่าทำตัวเหิมเกริมจนเกินไป แกคิดว่าตอนนี้แกเก่งมากงั้นหรอ? ถึงทำกับคนอื่นแบบนี้! ทำแบบนี้ มีแต่จะทำให้เกิดเรื่อง”

ในความคิดของคุณนายเหลิ่ง เธอหวังว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเชื่อฟังเธอและเชื่อฟังคำสั่ง เป็นหุ่นเชิดของเธอ แต่ในตระกูลเหลิ่งทั้งหมดเธอเป็นคนเดียวที่ได้ประโยชน์จากเหลิ่งเซ่าถิง หากถอดเหลิ่งเซ่าถิงออกเธอก็จะไม่มีสิทธิ์ใดๆอีก เหลือแต่กู้เค่อหยิงและลูกชายของเธอ และพวกเขาจะค่อยๆผลาญทรัพย์สินทั้งหมดไปหมด

คำชักชวนของคุณนายเหลิ่งในครั้งนี้นำมาซึ่งความจริงใจเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงแสดงท่าทีกระตือรือร้นเกินไปราวกับว่า……ราวกับว่าเขากำลังจะตายไปพร้อมกับตระกูลเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งเป็นคนใจแข็งและไม่เคยกลัว แต่ในเวลานี้เธอก็รู้สึกหวั่นไหวในใจด้วย ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนจะไม่ยึดอำนาจ แต่ขอร้องให้ตาย

ดูเหมือนว่าเขากำลังต่อสู้ทั้งเลือดและเนื้อ ต่อสู้แย่งชิงกันสุดท้ายแล้วจะเหลือไว้ให้ใคร?

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้ม มองไปที่คุณนายเหลิ่ง: "คุณย่าไม่ต้องห่วง มันไม่เกิดอะไรหรอก ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นก็มีคุณย่าคอยช่วยจัดการไม่ใช่หรอ?"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้มและพูดเบาๆ : "คุณย่า ผมขอตัวกลับไปพักผ่อนก่อน"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เดินผ่านสุยเฉิงจิ้งที่กำลังร้องไห้อยู่และพูดอย่างเย็นชาว่า“ ป้าสอง อย่าร้องไห้เลย ลุงจากไปแล้ว ป้าเองก็ได้ส่วนแบ่งมากมาย เอาไปซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับสวยๆดีกว่า จะมาร้องไห้ทำไม?”

สุยเฉิงจิ้งหยุดทันที เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยใส่ใจที่จะโต้เถียงกับผู้หญิงคนนั้น แต่ตอนนี้ทำไมเขาถึงเสียดสีเธอ สุยเฉิงจิ้งตกตะลึงหลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกไปไกลๆ เธอก็ตอบกลับเบาๆ: "ฉันเศร้าจริงๆ ไม่ได้เพียงแสดง คนเป็นสามีภรรยากันมาหลายปี จะไม่ให้เสียใจได้ยังไง?"

สุยเฉิงจิ้งพูดพร้อมกับจ้องมองไปที่คุณนายเหลิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้างและพูดอย่างรีบร้อน: "คุณนายเหลิ่ง คุณต้องเชื่อฉัน ฉันเสียใจจริงๆ……. "

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองอย่างเย็นชา สุยเฉิงจิ้งผู้ซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะทำตัวเศร้ายังไงไม่รำคาญที่จะร้องไห้อีกต่อไปและลุกขึ้นทันทีด้วยความเย็นชา คุณนายเหลิ่งเดินไปที่ประตูหันกลับมามองบ้านสีขาวขมวดคิ้วแล้วพูดว่า: “ผ่านมานานเท่าไหร่แล้ว? ถึงเวลาเปลี่ยนสีแล้ว จะให้บ้านเป็นงานศพตลอดไปหรือไง? ฉันยังมีชีวิตอยู่ บ้านดีๆมันดูแล้วหงุดหงิด! เปลี่ยนเดี๋ยวนี้! เปลี่ยนเป็นสีที่สดใส!”

เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดจบ เธอก็หันหลังเดินเข้าไปในห้องทันที สุยเฉิงจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เมื่อเธอได้ยินคุณนายเหลิ่งพูดแบบนี้พลางคิดในใจ: ตอนนี้เรื่องทั้งหมดผ่านไปแล้ว สร้อยคอที่ฉันเพิ่งซื้อมาก็เอาออกมาได้ในที่สุด

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินขึ้นไปชั้นบน เขาก็เห็นคนรับใช้รีบวิ่งไปมา บอกว่าต้องเปลี่ยนสีที่นี่ทั้งหมด เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่ประตูห้อง เหลิ่งหมิงอันก็เดินมาจากอีกด้านหนึ่ง

การแสดงออกบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันยังคงเหมือนเดิม เมื่อหลายปีก่อนยังคงเป็นเหมือนพี่ชาย ดูเหมือนว่าหลังจากหลายปีที่ผ่านมา รูปลักษณ์ของเหลิ่งหมิงอันไม่เคยเปลี่ยนไป

"อัยยะ พี่ใหญ่เองหรอ" เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ได้ยินมาว่าช่วงนี้พี่ก่อเรื่องเยอะจริงๆ ช่างเป็นที่น่าชื่นชม"

เมื่อเห็นเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งเซ่าถิงยกมุมปากของเขาและพูดด้วยความเยาะเย้ย: "เทียบไม่ได้กับเรื่องที่แกทำหรอก ฆ่าพ่อของตัวเอง"

เหลิ่งหมิงอันถอนหายใจอย่างโล่งอก ยิ้มและพูดว่า: "พี่ใหญ่อย่าพูดแบบนั้น การใส่ร้ายคนเป็นเรื่องผิดกฎหมาย พี่ใหญ่เป็นครมีหน้ามีตาถ้าติดคุกขึ้นมามันจะดูไม่ดีนะ "

หลังจากที่เหลิ่งหมิงอันพูดจบ เขาก็หยุดและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แต่ถ้าพี่เข้าคุก ก็จะติดต่อกับเจี่ยนอี๋นั่วง่ายกว่าไม่ใช่หรอ?"

เหลิ่งหมิงอันพูดลดเสียงลงและกระซิบ: "แกโกหกคนอื่นได้ แต่แกโกหกฉันไม่ได้ เพราะฉันชอบเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่เปิดเผยแก เพราะฉันไม่อยากให้อี๋นั่วตกอยู่ในอันตราย”

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอันและพูดเบาๆว่า: “ ฉันไม่คิดว่าแกจะยังคงติดอยู่กับความรู้สึกไร้ประโยชน์แบบนี้ ถ้าแกอยากจับตัวเธอ หลอกใช้เธอ หรือฆ่าเธอ ไม่จำเป็นต้องมาบอกฉัน”

"จริงหรอ?" เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าอย่างนั้นฉันก็คงต้องไปมันจริงๆแล้วล่ะ"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า: "ถ้าไม่มีอะไรอีกแล้ว หลีกทางไป"

ท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้เหลิ่งหมิงอันสับสนจริงๆ เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วและมองไปที เหลิ่งเซ่าถิง:“ นี่แก……แกไม่สนใจเรื่องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วจริงๆหรอ? แกชอบกู้เค่อหยิงไปแล้วอย่างงั้นหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงมองเหล่งหมิงอันและพูดว่า: "แกเคยรู้สึกเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดในตระกูลไหม?"

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้ว เม้มริมฝีปากและถามว่า: "แกหมายความว่ายังไง?"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะและพูดว่า: "ถ้าแกมีสิทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ แกจะไม่ถามคำไร้เดียงสาแบบนี้ ชอบใคร? ผู้หญิง? อำนาจเป็นสิ่งเดียวที่ผู้ชายควรมี ความพยายามของแกต่อเจี่ยนอี๋นั่วมันยังคงต้องพ่ายแพ้ แกต้องการได้อี๋นั่วเพื่อชนะฉัน จากนั้นก็อยากได้ใจอี๋นั่วชนะฉัน เพราะแกไม่มีตัวตนในตระกูลเหลิ่ง แกไม่มีทางชนะฉันได้ เพราะงั้นแกก็เลยเอาเรื่องทั้งหมดไปไว้ในตัวผู้หญิง แกไม่มีทางมาอยู่ในจุดนี้ได้ ฆ่าคนก็ฆ่าคน ใครจะทำอะไรฉันได้? ต่อให้ฉันจะเป็นคนฆ่าพ่อแก แล้วแกมาแก้แค้นฉันได้ไหมล่ะ? ฉันฆ่าแกวันนี้ตอนนี้ แล้วใครจะทำอะไรฉันได้?”

เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเธอได้ยินคำพูดของซวีอี้เฟย จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออกตามหมายเลขที่ซวีอี้เฟยให้เธอ ในขณะที่เชื่อมต่อสาย ซวีอี้เฟยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที หลังจากรับสายเขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร

เจี่ยนอี๋นั่วรับโทรศัพท์ ยิ้มและพูดว่า: "ฮัลโหล สวัสดี คุณซวี ฉันชื่อ เจี่ยนอี๋นั่ว ดูแลตัวเองดีๆนะ ลาก่อน…… "

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสายโทรศัพท์และโบกมือให้ซวีอี้เฟยจากหน้าต่างรถ ซวีอี้เฟยฟังเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วทางโทรศัพท์ราวกับว่าเขายังอยู่ในความฝันในขณะนี้ เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วโบกมือลาเขา ซวีอี้เฟยก็โบกมือกลับทันที

จนกระทั่งรถของเจี่ยนอี๋นั่วออกจากหน้าซวีอี้เฟย ซวีอี้เฟยยังคงโบกมือให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ด้านหลัง

"หมอซวี ยืนซื่อทำไม?" พยาบาลที่ผ่านมาพูดกับซวีอี้เฟย ปิดปากด้วยรอยยิ้ม

ซวีอี้เฟยหายใจเข้าลึกๆและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เพราะฉันเจอสิ่งที่ควรค่าแก่การมีความสุข ไปกันเถอะ ไปที่โรงอาหาร ฉันจะเลี้ยงอาหารเย็นเธอเอง ฮ่าฮ่า … "

การเผชิญหน้ากับซวีอี้เฟยเป็นเรื่องราวในชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอโทรหาซูอี้เฟยเพียงเพื่อให้โอกาสเธอได้เริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วต้องการใช้ชีวิตแบบธรรมดา อยากอยู่กับคนธรรมดาไม่ต้องกังวลกับความกลัวทุกวัน ไม่ต้องคำนวณและระวังอะไรเพื่อปกป้องคนรอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากมีเจี่ยนซวง ความปรารถนาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จะมีชีวิตที่ธรรมดาและเรียบง่ายก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

กลับบ้านเจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงและอยู่กับเจี่ยนซวงทั้งคืน หลังจากงีบหลับไปในตอนเช้า เจี่ยนซวงเดินเข้ามายิ้มและเปิดมือให้เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนว่า: "แม่……"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกอดเจี่ยนซวงไว้ในอ้อมแขนและถามด้วยรอยยิ้ม: "รู้สึกยังไงบ้าง? ยังไม่สบายตัวยู่ไหม?

เจี่ยนซวงส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: "สบายตัวแล้ว แต่ซวงซวงหิวมาก ซวงซวงอยากกินโจ๊ก อยากกินข้าวผัดไข่ ถ้าแม่ทำข้าวผัดไข่ไม่ได้ งั้นทำแกงจืดให้ซวงซวงก็ได้ แม่ไก่ไข่ออกมาอย่างลำบาก เราไม่ไปทำลายมันดีกว่า”

เจี่ยนอี๋นั่วจงใจทำท่าทางโกรธ: "ซวงซวง ลูกรู้สึกแม่ทำอาหารไม่อร่อยหรือเปล่า?"

เจี่ยนซวงดูสีหน้าเจี่ยนอี๋นั่วออกและรีบส่ายหัว ยิ้มและพูดว่า: "ไม่ใช่ ไม่ใช่…… ซวงซวงแค่สงสารแม่ไก่…… "

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า บีบจมูกของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "โอเค ถ้าอย่างนั้นอย่าทำลายไข่ของแม่ไก่ ต้มไข่ให้ซวงซวงสักสองฟอง"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอหันไปที่ห้องครัวและเริ่มทำโจ๊กให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงตื่นแล้วก็ปีนลงจากเตียงตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วและพูดพึมพำ: "แม่ อีกซักสองวันเราไปอีกครั้งดีไหม เผื่อลุงคนนั้นจะมา"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยิ้มและพูดว่า: "โอเค แต่ซวงซวงรอนานไม่ได้แล้วนะ เดี๋ยวเป็นหวัดอีก เข้าใจไหม?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าทันที: "ซวงซวงรู้แล้ว ซวงซวงจะไม่รอนานเกินไป"

เหลิ่งเซ่าถิงหันศีรษะและมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกเป็นสีฟ้าราวกับว่ามันเป็นสีเดียวกับดอกไม้ในมือที่เจี่ยนซวงมอบให้เขาก่อนหน้านี้ เหลิ่งเซ่าถิงเคยเห็นภาพของเจี่ยนซวงมาก่อนและความรู้ของเขากับเจี่ยนซวง เธอคล้ายเจี่ยนอี๋นั่ว ในชีวิตของเขาเจี่ยนอี๋นั่วได้รับการจดจำไว้ในชีวิตของเขาแต่เจี่ยนซวงเป็นเพียงแค่ชื่อและเงา

วันนั้นที่เหลิ่งเซ่าถิงเจอกับเจี่ยนซวง เจี่ยนซวงเป็นลูกเขามาตลอดแต่เขาเพิ่งรู้ แม้ว่าใบหน้าและนิสัยใจคอจะแตกต่างกันมาก เหลิ่งเซ่าถิงยังสามารถมองเห็นร่องรอยของเขาจากร่างกายของเธอ มุมตาที่ยกขึ้นเล็กน้อย รูปร่างของเล็บ รูปร่างของหูและแม้แต่นิสัยเล็กๆน้อยๆของเจี่ยนซวงก็ยังคล้ายกับเขา

ทั้งๆที่ไมได้อยู่ด้วยกัน แต่ทำไมถึงมีความรู้สึกที่ผูกพันธ์แบบนี้? การเชื่อมต่อทางสายเลือดนั้นแข็งแกร่งมากจนทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกไม่น่าเชื่อ ตอนนั้นเองที่เหลิ่งเซ่าถิงตระหนักเป็นครั้งแรกว่าเขามีลูกสาว อ่อ ไม่ มีลูกสองคน ยังมีลูกชายอีกคน ที่ถูกซ่อนตัวอยู่

"เหลิ่งเซ่าถิง แกฟังฉันอยู่หรือเปล่า?" ชายวัยกลางคนหนึ่งตบโต๊ะและตะโกนเรียกเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและยิ้มให้ชายวัยกลาง แล้วพูดว่า: "ลุงสาม ผมกำลังฟังอยู่ คุณลุงไม่พอใจให้ผมถือหุ้นนี้หรอครับ? แต่ลูกชายของคุณลุงเป็นขายมันให้ผมเอง ทำไมถึงต้อวโกรธขนาดนี้?”

ชายวัยกลางคนเป็นญาติของเหลิ่งเซ่าถิง ชื่อเหลิ่งเฉิงยวี้ เขามีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์คนจีนและเขายังมีท่าทางหยิ่งผยอง ทำตัวเป็นบุคคลที่มีอำนาจ เหลิ่งเฉิงยวี้จ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ทำหน้าบึ้งและพูดว่า: "แกก็รู้ว่าลูกฉันเป็นยังไง แกยังจะซื้อหุ้นไปจากเขาอีก นี่แกกำลังรังแกลูกฉันหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างเย็นชา“ ลุงซาม ลุงพูดแบบนี้ได้ยังไง? เขาเล่นยาเองถูกถ่ายวิดีโอเพื่อขู่เขา เขาขอร้องผมและขายหุ้นให้ผม แบบนี้ผมจะไม่ช่วยได้หรอครับ?”

เหลิ่งเฉิงยวี้จ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: "ฉันว่ายังไงแกก็ตั้งใจ เหลิ่งเซ่าถิง ลุงแท้ๆของแกเพิ่งตาย ตอนนี้ไม่เห็นหัวลุงอย่างพวกเราแล้วสินะ? ตอนนี้แกเป็นคนที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเหลิ่ง แกจะทำอะไรอีก? ลูกพี่ลูกน้องของแกมีปัญหา แกก็ควรช่วยสิ แต่ยังใช้ข้อตกลงในการแลกเปลี่ยน แกยังนามสกุลเหลิ่งอยู่ไหม? ฉันว่าคนที่ถ่ายวิดีโอ ก็คือแก!"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะ:“ ลุงซามพูดแบบนี้มันไม่ดีนะครับ ถ้าผมเป็นครทำเรื่องนี้ ผมไม่ต้องทำให้ยุ่งยากหรอก ไล่ลูกคุณลุงออกโดยตรงเลยยังได้ ผมจะแถมให้ข้อตกลงอีก ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาทำพวกวิดีโอหรอก วิดีโอนั้นคนในตระกูลฮั่วเป็นคนทำ ลุงสาม ตระกูลฮั่วไม่ถูกกับเรามานานแล้ว ในงานเลี้ยงของลูกคุณลุง ทำไมถึงมีคนของตระกูลฮั่ว?”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็พูดด้วยเสียงเยาะเย้ย: "ยิ่งกว่านั้น ลุงสาม ลุงก็รู้ว่าลูกชายคุณลุงเป็นยังไง มันไม่ควรใส่ชื่อเขาในหุ้นทั้งหมดอยู่แล้ว”

เหลิ่งเฉิงยวี้หายใจเข้าลึกๆและเหล่ไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ทันใดนั้นก็มีคนโทรหาเหลิ่งเฉิงยวี้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันที หลังจากรับสายสีหน้าของเหลิ่งเฉิงยวี้ก็ค่อยๆเปลี่ยนไป: "อะไร…..อะไรนะ? ตายแล้ว?"

หลังจากที่เหลิ่งเฉิงหยู่วางสาย เขาก็ทรุดตัวลงทันทีและพูดเบาๆว่า: "ลูกชายของฉันตาย ตายแล้ว…… "

ทันใดนั้น เหลิ่งเฉิงหยู่ก็เงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: "ทั้งหมดนี้เป็นเพราะแก ถ้าแกไม่เอาหุ้นของเราไปทั้งหมด เขาก็คงไม่ท้อแล้วกินยาฆ่าตัวตายแบบนี้!"

หลังจากที่เหลิ่งเฉิงหยู่พูดจบ ดวงตาสีแดงจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เขาก็พูดขึ้นว่า: "ทั้งหมดนี้แกตั้งใจใช่ไหม? แกจงใจอยากให้พวกเราทั้งหมดตาย แกอยากได้สมบัติทั้งหมดของตระกูล แกคิดจะกำจัดคนในตระกูลได้ยังไง? ย่าของแกโหดร้ายแต่อย่างน้อยเธอก็ทิ้งหนทางเอาตัวรอดให้เรา แต่แกมีทางเดียวคือไม่อยากให้พวกเรารอดสินะ? เหลิ่งเซ่าถิง แกอย่าคิดว่าวิธีการของแกถูกปกปิดแล้วฉันจะไม่รู้ว่าแกยักยอกหุ้นจำนวนมาก แกคิดว่าฉันไม่รู้หรอว่าแกสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลฮั่ว ทำไมในงานเลี้ยงถึงมีคนของตระกูลฮั่วงั้นหรอ? เพราะเราต้องการทดสอบแก! เราอยากรู้ว่าระหว่างแกกับตระกูลฮั่วมีอะไรเกี่ยวข้องกัน แกพยายามร่วมมือกับตระกูลฮั่ว เพื่อทำลายตระกูลเหลิ่งใช่ไหม?”

"ทำไมลุงสามพูดแบบนี้ จะใส่ร้ายผมงั้นหรอ?" เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นยืนและจ้องไปที่เหลิ่งเฉิงยวี่ด้วยสายตาเย็นชา: "คุณลุงรู้ไหม ว่าสิ่งที่ลุงพูดจะทำให้ลุงเจอกันอะไรบ้าง?"

เหลิ่งเฉิงยวี้ถูกสายตาที่เย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงจ้อง ขมวดคิ้วและพูดว่า:“ แก แกไม่ต้องมาขู่ฉัน ฉันจะบอกให้ ทุกคนเขาระวังตัวกันหมดแล้ว แกยังคิดว่าจะทำลายพวกเราได้งั้นหรอ ฝันไปเถอะ!”

ทันทีที่พูดจบ เขาก็หยิบมีดออกมาและชี้ไปที่เหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงคว้าข้อมือของเขาอย่างรวดเร็วและเหวี่ยงเขาออกไป

“ ปั๊ง……” เสียงดังขึ้น

เหลิ่งเฉิวยวี้นอนอยู่บนพื้น เขาเงยหน้าขึ้นด้วยความยากลำบากมองไปที่รูเลือดที่หน้าอกของเขาและจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปที่ศพของเหลิ่งเฉิงยวี้และพูดเบาๆ: “รนหาที่ตายเอง”

"ประธานเหลิ่ง เกิดอะไรขึ้น? เป็นอะไรหรือเปล่า?" เลขาที่เดินตามเหลิ่งเซ่าถิงเปิดประตูเข้ามาด้วยความตื่นตระหนก มองไปที่ร่างของเหลิ่งเฉิงยวี้แล้วปิดปากทันที

เหลิ่งเซ่าถิงหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือและพูดกับเลขาอย่างเย็นชาว่า: "มานี่"

เลขาเดินไปด้านข้างของเหลิ่งเซ่าถิง ตัวสั่นและถามว่า: "ประ……ประธานเหลิ่ง……นี่มัน……."

เหลิ่งเซ่าถิงเหล่ตามองเลขาและถาม:“แกรู้ไหมทำไมฉันถึงให้แกเป็นเลขาส่วนตัวของฉัน?”

เลขาเช็ดเหงื่อออกจากศีรษะและพูดด้วยตัวสั่นว่า: "เพราะ…..เพราะฉันจบจากโรงเรียนที่มีชื่อเสียง ฉันมีความสามารถในการทำงานที่โดดเด่น เพราะ…… "

"เพราะแกเป็นคนของเหลิ่งหมิงอัน" เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างเย็นชา

เลขามองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ตัวสั่นและพูดเสียงสั่น: "ฉัน….. ฉันไม่……"

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ ไม่ได้เป็นตัวสอดแนมของเหลิ่งหมิงอัน หรือว่าไม่ได้ถูกเหลิ่งหมิงอันจ้างมาล่ะ ตอนนี้เหลิ่งหมิงอันน่าจะรู้แล้วว่าฉันไม่มีหลักฐานว่าพ่อของเขาก่ออาชญากรรมจริงๆ คนที่เอาข่าวไปบอกเหลิ่งหมิงอัน ถ้าไม่ใช่ตัวสอดแนม แล้วเป็นอะไร?”

เลขาขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง พูดด้วยตัวสั่น: "ถึงฉันจะบอกว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากความผิดพลาด แต่คนในตระกูลเหลิ่งที่เหลือก็ไม่เชื่อ"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย: "ตอนนี้ฉันยังสนงั้นหรอว่าพวกเขาเชื่อหรือไม่เชื่อ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดเบาๆว่า: "แต่ว่าการกระทำของแกตอนนี้ ทำให้ฉันไม่พอใจ"

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงเข้าไปในโรงพยาบาลและลงทะเบียน จากนั้นนั่งรอที่เก้าอี้ของโรงพยาบาล แม้ว่าจะเป็นเวลาเที่ยงคืน แต่ก็ยังมีผู้ป่วยจำนวนมากในแผนกฉุกเฉิน เจี่ยนอี๋นั่วจับเจี่ยนซวงที่ยังร้อนอยู่และไม่สามารถช่วยได้ ทำได้แค่ขมวดคิ้วและนั่งรอ

"เธอคือ……เธอคือเจี่ยนอี๋นั่ว?" ทันใดนั้นชายในเสื้อคลุมสีขาวก็เดินมาหาเจี่ยนอี๋นั่วและถามด้วยความประหลาดใจ

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: "เธอคือ?"

ชายคนนั้นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่สะอาดและอ่อนโยน เขายิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "ฉันชื่อ ซวีอี้เฟย ฉันรู้จักเธอ เราเคยเจอกันในชมรมของมหาวิทยาลัย เป็นอะไรหรอ? แล้วนี่…… "

เจี่ยนอี๋นั่วจับเจี่ยนซวงและพูด: "นี่คือลูกสาวของฉัน เจี่ยนซวง"

ซวีอี้เฟยเหลือบมองไปรอบๆและพูดด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "งั้นเธอตามฉันมา"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ซวีอี้เฟยและขมวดคิ้ว: "แต่ยังไม่ถึงคิวฉัน"

ซวีอี้เฟยยิ้มและพูดว่า: "ฉันเป็นกุมารแพทย์ ฉันอยู่ที่นี่เพื่อรอผ่าตัดเหตุฉุกเฉิน เดี๋ยวฉันจะช่วยดูบูกเธอให้ ฉันทำงานนอกเวลา ไม่ส่งผลกระทบต่อคนอื่นหรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วยืนขึ้นอุ้มเจี่ยนซวงและพูดขอบคุณซวีอี้เฟย: "ขอบคุณนะ"

ซวีอี้เฟยยิ้มและโบกมือ: "ไม่เป็นไร แค่ฉันช่วยเธอได้ก็มีความสุขแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วเดินตามไปสองสามก้าว แล้วถามอย่างระแวดระวัง: "แต่เธอเป็นหมอ เธอน่าจะเรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์สิ? ฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยปกติ ทำไมเราถึงเจอกัน?"

หลังจากหลายสิ่งหลายอย่าง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วระวังผู้คนจำนวนมากโดยเฉพาะผู้ที่คิดริเริ่มที่จะช่วยเหลือเธอ

ซวีอี้เฟยหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันไม่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเธอ ตอนนั้นฉันได้รับเชิญให้ไปเรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับชมรมของเธอ เธออยู่ชมรมปีนเขา และฉันยังจำหมายเลขนักเรียนของเธอได้ อยากให้ฉันพูดไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: "โทษที เมื่อกี้ฉันกังวลมากไป"

ซวีอี้เฟยยิ้มและพูดว่า:“ ไม่เป็นไร ใครที่เห็นคนที่เธอไม่รู้จักก็ต้องระวังอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอเป็นคนที่อุ้มลูกอยู่ ใช่สิ ทำไมถึงอุ้มลูกมาคนเดียวล่ะ? พ่อของเด็กติดธุระหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก แล้วยิ้มให้ซวีอี้เฟยและส่ายหัว: "ไม่ ฉันเลิกกับเขาแล้ว"

ซวีอี้เฟยหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ทันทีดวงตาของเขาสว่างขึ้นชั่วขณะและเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า: "เลิกกันแล้ว ดีเลย……."

"หืม?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่ซวีอี้เฟย

ซวีอี้เฟยหน้าแดงด้วยความลำบากใจและพูดด้วยรอยยิ้มเขินๆ : "ฉันหมายถึงเลิกกันแล้วก็ดี คนหนุ่มสาวสมัยใหม่ไม่ควรยึดติดกับความคิดเก่าๆของพวกเขาและรู้สึกว่าการหย่าร้างไม่ดีเหมือนคนเมื่อก่อน ถ้าผู้ชายคนนั้นทำให้เธอไม่พอใจ ชีวิตก็ไม่สบายใจ เธอก็เลิกกันได้ตอนนี้มีการปรับโครงสร้างใหม่ของครอบครัว แต่ก็อยู่กันอย่างมีความสุข พ่อเลี้ยงหลายคนปฏิบัติต่อลูกๆดีกว่าพ่อที่ให้กำเนิดทางสายเลือดอีก แต่ก็ขึ้นอยู่กับนิสัยคนด้วย จิงไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและหัวเราะเบาๆ ขณะเดียวกันซวีอี้เฟยเปิดประตูห้อง ให้คำปรึกษา จับอุณหภูมิร่างกายของเจี่ยนซวง หยิบเครื่องตรวจฟังเสียงขึ้นมาและฟังหัวใจและปอดของเจี่ยนซวงอย่างระมัดระวัง จากนั้นซวีอี้เฟยก็เขียนใบรับรองแพทย์และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "ไม่เป็นไร แค่เป็นหวัด ฉันจะเอาสติกเกอร์ลดไข้ให้เธอ กลับไปเอาข้าวเอาน้ำให้เธอกิน……"

หลังจากที่ซวีอี้เฟยพูดจบ เขาก็ออกไปทันที พอได้สติกลับมาก็รีบหยิบสติกเกอร์ลดไข้และวิ่งกลับไปส่งสติกเกอร์ลดไข้ให้เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยรอยยิ้ม: "เธอเอาอันนี้กลับไปด้วย ถ้ายังไม่ดีขึ้นก็โทรหาฉันนะ เธอยังไม่มีเบอร์ฉันใช่ไหม มาสิเดี๋ยวฉันจดให้”

ซวีอี้เฟยหยิบปากกาขึ้นมาทันทีและจดตัวเลขส่งให้เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "เธอต้องโทรหาฉัน เราเป็นคนรู้จักที่คุ้นเคย ไม่ต้องเกรงใจนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วรับเบอร์ของซวีอี้เฟยและสติกเกอร์ระบายความร้อนให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงกรนอย่างคลุมเครือแล้วหลับตาลง

ซวีอี้เฟยอดไม่ได้ที่จะพูดชมว่า:“ เด็กคนนี้เก่งมาก เธอเหมือนลูกของเธอจริงๆ ฉันจำได้ว่าตอนนั้นเธอฉลาดและเก่งมาก สอนอะไรเธอก็ทำได้ และเธอก็เชื่อฟังคำสั่ง ไม่มีอะไรเหมือนคนอื่น เช่นเดียวกับเด็กผู้หญิง พวกเขาเห็นการปฐมพยาบาลเป็นเรื่องตลกและไม่จริงจังเลย "

เจี่ยนอี๋นั่วลดตาลงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในวิทยาลัย ฉันไม่คิดว่าจะได้เจอกับคนรู้จักในวิทยาลัย ค่ารักษาเท่าไหร่? เธอไปเอายาให้คงจ่ายตัวแล้วสินะ เดี๋ยวฉันจะคืนให้”

"โอ้ย เงินแค่นี้ไม่ต้องพูดถึงหรอก" ซวีอี้เฟยพูดด้วยรอยยิ้ม: "เป็นเพื่อนเก่าของฉัน ถือว่าให้เป็นของขวัญกับเธอ……"

เมื่อซวีอี้เฟยพูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดและพูดอย่างเขินอาย: "ดูเหมือนจะไม่มีใครกินยาเป็นของขวัญ ฉันนี่พูดเป็นเล่น……. "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า "ใช่โสมและสมุนไพรทั้งหมดไม่ใช่ยา บางคนก็ให้เป็นของขวัญ"

ซวีอี้เฟยมองไปที่รอยยิ้มของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็รีบพูดว่า: "ฉันมีโสมและสมุนไพร เอาไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลดตาลง แตะที่หน้าผากของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม "ดูเหมือนว่าตัวจะไม่ร้อนแล้ว งั้นฉันพาลูกกลับไปได้หรือยัง?”

ซวีอี้เฟยพยักหน้าอย่างรวดเร็ว: "อืม กลับได้แล้ว"

ทันทีที่เขาพูดจบ ซวีอี้เฟยก็จ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและรีบพูดว่า: "จริงๆนอนดูอากาศที่โรงพยาบาลสักสองวันก็ดีนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ซวีอี้เฟยแล้วพูดว่า: "คุณหมอซวี ต้องนอนพักที่โรงพยาบาลจริงหรอ? เธอช่วยตอบในฐานะหมอได้ไหม? ค่ารักษาในโรงพยาบาลค่อนข้างสูง ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันก็ไม่อยากอยู่โรงพยาบาลนาน”

ซวีอี้เฟยได้ยินว่าเจี่ยนอี๋นั่วพูดผิด เขาจึงรีบพูดว่า: "อ่อ ใช่ฉันขอโทษที่ จริงเธอไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ฉันผิดเอง"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลุกขึ้นกอดเจี่ยนซวง พูดว่า: "ขอบคุณมากนะที่ช่วย งั้นฉันขอตัวก่อน"

ซวีอี้เฟยลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว ยื่นมือออกไปพยายามหยุดเจี่ยนอี๋นั่ว แล้ววางมันกลับอย่างประหม่า เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วออกไป ซวีอี้เฟยก็รีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วไล่ตามเจี่ยนอี๋นั่วและถาม: "คือว่า……เจี่ยนอี๋นั่ว เธอช่วยให้เบอร์ติดต่อกับฉันหน่อยได้ไหม? ฉันกลัวว่าเธอจะทำหมายเลขโทรศัพท์ของฉันหายจะทำยังไง? เผื่อตอนนั้นลูกของเธอเป็นไข้อีก จริงไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วตบเจี่ยนซวงเบาๆ ยิ้มและมองไปที่ซวีอี้เฟย: "เธอจะจีบฉันหรอ?"

ซวีอี้เฟยตกตะลึงทันที ใบหน้าของเขาแดง จากนั้นไม่นานเขาก็พยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง: "ฉันชอบเธอ ตั้งแต่เจอเธอครั้งแรก แต่เธอดีเกินไป ฉันเทียบกับผู้ชายหลายคนที่เธอชอบไม่ได้ แต่พวกเขาไม่กล้าจีบเธอ เด็กผู้ชายหลายคนที่เก่งกว่าฉันไม่กล้าจีบเธอ ฉันเลยไม่กล้าสารภาพ หลังจากเรียนจบฉันก็รู้สึกเสียใจตลอด ถ้าฉันสารภาพกับเธอตอนนั้น จะเกิดอะไรขึ้น? เธอสัญญากับฉันฉันไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบเธออีก แม้ว่าเธอจะมาที่โรงพยาบาลเพราะลูกสาวของเธอไม่สบาย มันอาจทำให้เธอไม่มีความสุขที่จะพูดแบบนั้น แต่ฉันมีความสุขมาก…….ที่ฉันได้เจอเธออีกครั้ง ฉันจำเธอได้จากผู้คนมากมาย……และความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอก็ยังไม่เปลี่ยนไป ฉันรู้สึกเหมือนกลับมาเรียนในวิทยาลัยและฉันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เรียนปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเธอนั่นคืออารมณ์ที่ตึงเครียด "

เมื่อซวีอี้เฟยพูดแบบนี้ เขาก็หายใจเข้ายาวๆและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เฮ้อ……รู้สึกดีจริงๆที่ได้พูดออกไป……"

"จากนั้นล่ะ?" ซวีอี้เฟยมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหม่า: "ฉันไม่รังเกียจที่จะเป็นพ่อเลี้ยงของลูกสาวเธอ ฉันก็ชอบเด็กมากเช่นกัน เธอก็เบิกกับพ่อของเด็กแล้วไม่ใบ่หรอ? ช่วยคิดดูอีกทีได้ไหม? "

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงและแตะเบาๆที่หน้าผากของเจี่ยนซวง เธอไม่ได้ใส่ใจกับสิ่งที่ชายคนนี้กำลังพูดเพราะเธอยังคงกังวลเรื่องสุขภาพของเจี่ยนซวง ตอนนี้เจี่ยนซวงไม่ตัวร้อนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ซวีอี้เฟยอย่างจริงจังและพูดด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ : "เธออาจไม่เข้าใจสถานการณ์ของฉันตอนนี้ ฉันไม่เพียงแต่มีลูกสาว แต่ฉันยังมีลูกนอกสมรสด้วย"

ซูอี้เฟยผงะไปชั่วขณะและส่ายหัวอย่างรวดเร็วและพูดว่า: "ฉันไม่สน"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "และฉันติดคุกเพราะคดีฆาตกรรม ตอนนี้ถึงแม้ว่าฉันจะได้รับการปล่อยตัวจากคดี แต่ชื่อของฉันก็จะเกี่ยวข้องกับคำสามคำว่า ฆาตกรเสมอ ตอนนี้ฉันไม่มี ร้านขนมที่ฉันทำอยู่ก่อนหน้านี้ปิดชั่วคราวเพราะมีคนตีใส่ร้ายฉันว่าเป็นเมียน้อยไปทำลายครอบครัวของคนอื่น บางทีเธออาจจะเป็นซวีอี้เฟยคนเดิมที่กวนประสาทและใจเต้นแรงสำหรับฉัน แต่ฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เธอยังอยากติดต่อกับฉันงั้นหรอ?”

ซวีอี้เฟยขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "ฆ่าคน? เข้าคุก? เจี่ยนอี๋นั่ว เธอ……เธอ……ทำไม?"

เมื่อซวีอี้เฟยพูดแบบนี้ เขาก็พูดไม่ออก เขามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและขมวดคิ้ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ฉันขอโทษที่ทำลายความทรงจำที่สวยงามของเธอในสภาพที่ได้อยู่ต่อหน้าเธอ แม้ว่าฉันจะจำเธอไม่ได้ แต่ฉันก็ขอบคุณมากนะ ฉันขอตัวก่อน"

ซวีอี้เฟยมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงและเดินออกจากโรงพยาบาล เมื่อเธอขึ้นรถแท็กซี่ เจี่ยนซวงค่อยๆลืมตา หน้ามุ่ยและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "แม่…… ไม่สบาย…… "

"ก็เพราะซวงซวงป่วยเลยรู้สึกไม่สบายตัว เดี๋ยวหายแล้วก็จะสบายขึ้นนะ" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม

ข้างนอกรถแท็กซี่ที่ยังไม่ได้สตาร์ท มีคนมาเคาะประตูอย่างแรง เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะและเห็นซวีอี้เฟยยืนอยู่นอกประตูรถ เจี่ยนอี๋นั่วเปิดกระจกรถมองไปที่ซวีอี้เฟย ขมวดคิ้วและถามว่า "ฉันลืมอะไรไว้งั้นหรอ?"

ซวีอี้เฟยพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เธอลืมให้เบอร์ของเธอ"

หลังจากที่เยี่ยหมิงจูส่งเจี่ยนซวงกลับบ้าน ทันทีที่ถึงบ้าน เธอก็วิ่งเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยื่นดอกไม้เล็กๆในมือให้แม่ พูดด้วยรอยยิ้ม: "แม่……แม่……นี่คือของดอกไม้ที่ซวงซวงเอามาให้แม่……. เมื่อกี้ซวง ซวงก็ให้กับลุงคนหนึ่ง นึกขึ้นได้ว่าแม่ก็ไม่มี ก็เลยเอามาให้ด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบดอกไม้เล็กๆที่เจี่ยนซวงมอบให้ เธอพยักหน้า พูดรอยยิ้มและหัวเราะเบาๆ : "ขอบคุณซวงซวง มันเป็นดอกไม้ที่สวยงาม แต่ต่อไปอย่าเด็ดมันอีกนะลูก แม่เคยบอกแล้วไม่ใช่หรอ? ดอกไม้ก็เจ็บเป็นนะ”

เจี่ยนซวงยื่นเหยียดนิ้วออกอย่างเร่งรีบและพูด: "แค่ครั้งนี้ครั้งเดียว หนูจะทำให้เจ้าดอกไม้เจ็บอีก โอ้……ไม่ใช่…….มันเจ็บสองครั้งแล้ว ซวงซวง จะไม่ทำให้ดอกไม้เจ็บอีก…….”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเงยหน้าขึ้นมองไปที่เยี่ยหมิงจู เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้า เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงถอนหายใจเบาๆและออกจากบ้านไป เจี่ยนซวงโบกมือให้เยี่ยหมิงจูและตะโกนเสียงดัง: "แม่หมิงจู ลาก่อน พรุ่งนี้มาหาซวงซวงอีกนะ "

เมื่อเยี่ยหมิงจูได้ยินคำพูดของเจี่ยนซวง เธอก็หยุดและพูดเบาๆ: "อืม……ลาก่อนนะทั้งสอง……. "

หลังจากประตูถูกปิด เยี่ยหมิงจูก็ถอนหายใจและหลับตาลง ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกจากบ้าน

เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลงมองไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยรอยยิ้ม: "วันนี้ซวงซวงมีความสุขไหม?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อน ยิ้มและพูดว่า :"มีความสุข"

จากนั้นเจี่ยนซวงก็ส่ายหัวอีกครั้ง ทำหน้ามุ่ยแล้วพูดว่า: "จริงๆก็ไม่มีความสุขเลย ถ้าแม่อยู่กับหนูด้วยก็จะดีกว่านี้"

"ใช่สิ……. " ดวงตาของเจี่ยนซวงสว่างขึ้น ทันใดเธอก็ยิ้มและพูดว่า: "แม่ วันนี้หนูได้เจอกับลุงที่หล่อมาก แม่อยากเดทกับเขาไหม เขาน่าสงสาร เขาไม่สบายไม่มีใครดูแล ถ้าแม่อยู่กับเขาน่าจะมีความสุขมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ: "ซวงซวงอยากมีพ่อหรอ?"

เจี่ยนซวงโบกมืออย่างรวดเร็วและพูดอย่างจริงจัง: "ซวงซวงไม่ได้อยากมีพ่อ แต่คุณลุงคนนั้นน่าสงสารมาก ซวงซวงคิดว่าแม่น่าจะช่วยได้ เขาก็ดูแลแม่ได้ แถมยัง……”

"แถมยัง……. " เจี่ยนซวงพูดเบาๆ: "แถมยังเป็นพ่อให้ซวงซวงได้ด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและแตะหัวของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม ได้สิ ถ้าคนๆนั้นทำให้ซวงซวงรู้สึกว่าเขาสามารถเป็นพ่อของซวงซวงได้ แม่ก็ยินดีที่จะพบเขา ถ้าแม่ก็ชอบเขาเหมือนกัน เราน่าจะอยู่ด้วยกันได้ ให้เขาลองเป็นพ่อของซวงซวง”

"จริงหรอ?" เจี่ยนซวงปิดปากของเธอ เบิกตากว้างและพูดด้วยความประหลาดใจ: "แม่ แม่คนอื่นไม่ฟังเด็ก ทำไมแม่ถึงฟังซวงซวงล่ะ?"

"เพราะหาพ่อให้ซวงซวง ซวงซวงสำคัญที่สุด ถ้าคนที่ซวงซวงชอบก็คงอยู่ในขอบเขตของแม่ด้วยแหละ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วย

เจี่ยนซวงพูดอย่างตื่นเต้นทันที: "แม่ แม่ ลุงคนนี้ดีจริงๆ เขาสูงมาก…… "

เจี่ยนซวงงอเท้าของเธอ ยกมือขึ้นพยายามที่จะเทียบความสูงของชายคนนั้น แต่พบว่าเธอยังเตี้ยเกินไป เจี่ยนซวงถอดรองเท้าทันทีปีนขึ้นไปบนเก้าอี้ กระโดดขึ้นไปบนโต๊ะยกมือขึ้นสูงและพูดว่า: "สูงกว่ามือซวงซวงอีก"

เจี่ยนอี๋นั่วปกป้องความปลอดภัยของเจี่ยนซวงด้วยมือทั้งสองข้างและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนตัวสูงจริงๆ…… "

เจี่ยนซวงพยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง: "เขาสูงกว่าพ่อทุกคนที่ซวงซวงเคยเห็นและเขาพูดอย่างไพเราะและมีเสียงที่ดีกว่าพ่อทุกคนที่ ซวงซวงเคยเห็นแม้ว่าเขาจะมีลูก แต่ซวงซวงก็บอกว่าซวงซวงจะไม่แย่งของกับลูกเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงพูดว่าผู้ชายคนนี้ก็มีลูกด้วยและเดาว่าอีกฝ่ายต้องแต่งงานแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้าพูดว่า: "ดูเหมือนว่าซวงซวงจะชอบเขาจริงๆ งั้นถ้าซวงซวงเจอคนแบบนี้อีกแล้วซวงซวงชอบเขา ก็ต้องเรียกแม่แล้วไปคุยด้วย ถ้าแม่ไม่อยู่ด้วยให้เรียกคุณลุงตำรวจ ถ้าเขาเป็นคนไม่ดีล่ะ? ถ้าอุ้มซวงซวงไปจะทำยังไง?

"ดี ซวงซวงเข้าใจแล้ว" หลังจากเจี่ยนซวงตกลง เธอก็ยิ้มและพูดว่า: "แต่ลุงคนนั้นดีจริงๆ……. "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า "แม่รู้แล้ว"

หลังจากเจี่ยนซวงใช้เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์สำคัญ เธอดึงมือของเจี่ยนอี๋นั่วในวันรุ่งขึ้นและมาถึงที่มุมสวนที่เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อวานนี้ เจี่ยนซวงชี้มาที่นี่และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ตรงนี้แหละ ตรงนี้ที่หนูเจอกับลุงคนนั้น……”

เจี่ยนซวงพูดพร้อมกับหันหลังกลับและเฉือนออกจากพุ่มไม้และกระซิบ: "คุณลุง……หนูพาแม่มาแล้ว……. "

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อเธอเห็นเจี่ยนซวงทำแบบนี้ แม้ว่าบางครั้งเจี่ยนซวงจะดูแก่แดดเหมือนเด็กโต แต่บางครั้งก็ยากที่จะซ่อนความเป็นเด็กของเด็กไว้ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "วันนี้ลุงอาจไม่อยู่ที่นี่……ซวงซวงไม่ได้นัดหมายกับลุงไว้ไม่ใช่หรอ…… "

เมื่อเห็นเจี่ยนซวงปากแบนพยักหน้า เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยิ้มและถามว่า: "ซวงซวงก็ยังไม่มีเบอร์โทรและที่อยู่บ้านเขาใช่ไหม?"

เจี่ยนซวงก้มศีรษะลงมองไปที่พื้น เธอร้องไห้และพูดว่า:"เขา…..เขาเป็นพ่อของซวงซวงไม่ได้ใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งยองๆข้างๆเจี่ยนซวง เช็ดน้ำตาของเธอและพูดเบาๆว่า: "ซวงซวง ถ้าต่อไปหนูเจอคนที่ชอบต้องขอเบอร์โทรศัพท์ของเขาไว้ ไม่งั้นเราจะหาเขาไม่เจอ”

"บางที……อาจจะยังไม่ถึงเวลา แม่……รออีกหน่อยได้ไหม โอเคไหม? เมื่อวานเขามาเจอกับหนูตอนเย็นๆ" เจี่ยนซวงพูดและขอร้อง

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "โอเค แม่รออยู่กับซวงซวง ซวงซวงก็ทำเพื่อแม่นี่หนะ ซวงซวงอยากให้มีคนดูแลแม่ได้ ก็เลยหาคุณลุงคนนี้เจอ”

เจี่ยนซวงกัดมุมปากของเธอ ก้มศีรษะลงนั่งบนเก้าอี้และรออย่างเงียบๆ หลังจากรอมานาน เจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่วไม่เห็นแม้แต่เงาของคน ในที่สุดเจี่ยนซวงก็ร้องเสียงดัง: "เขาจะไม่มา……เขาจะไม่มาอีกแล้ว……"

ในขณะที่ร้องไห้เจี่ยนซวงหันศีรษะและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "แม่ เขาไม่มาแล้ว หนูให้แม่รอเสียเวลาเปล่าๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเช็ดน้ำตาของเจี่ยนซวง พูดด้วยรอยยิ้ม: "จะเสียเวลาเปล่าๆได้ยังไง? เงยหน้าดูสิ ท้องฟ้าสีครามสวยแค่ไหน? เมฆลอยไปมาสวยมากใช่ไหมล่ะ?”

ขณะที่ร้องไห้ เจี่ยนซวงมองขึ้นไปที่เมฆสีขาวที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าสีฟ้าและพูดว่า :"สวย…… "

“เราไม่เจอคนที่ซวงซวงอยากเจอแต่เราโชคดีที่ได้เห็นท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวที่สวยงามแบบนี้" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าคนนั้นมา บางทีแม่อาจจะไม่มีเวลาสังเกตท้องฟ้า สวยจังมีท้องฟ้าสีครามและเมฆสีขาว แม่เลยดีใจมากที่คนฟนั้นไม่มา แม่จะได้มองท้องฟ้าสีฟ้าและเมฆสีขาวกับซวงซวง เอ้ะ……อากาศมีกลิ่น หอมมาก”

เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆ ทันใดนั้นก็ชี้ไปที่ก้อนเมฆและหัวเราะ: แม่ดูเมฆก้อนนั้นเหมือนหมูเลย"

มีน้ำตาในดวงตาของเจี่ยนซวง แต่เธอก็ยิ้มอย่างมีความสุข เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดอย่างจริงจัง: "อืม มันเป็นหมูขาวตัวเล็กๆที่ทำจากขนมสายไหม"

"อืม น่ารักมาก" เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า "ซวงซวงชอบลูกหมูที่สุด ชอบพวกเขาที่ทำจากหมูตุ๋น ซี่โครง หูหมูและตีนหมู……"

เมื่อพูดแบบนี้ เจี่ยนซวงก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย หันศีรษะและกระซิบกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "แม่ ซวงซวง อยากกินขาหมู"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า: "โอเค แม่ซื้อจะซื้อขาหมูไปตุ๋นให้"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็นั่งยองๆต่อหน้าเจี่ยนซวง เมื่อเจี่ยนซวงนอนบนหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อุ้มเจี่ยนซวงไว้บนหลัง เจี่ยนซวงนอนบนหลังเจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "แม่ เมื่อกี้ซวงซวงโกหก จริงๆซวงซวงอยากให้ลุงคนนั้นเป็นพ่อ ไม่ใช่…….”

"อืม…… " เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความขมขื่น พูดเบาๆว่า: "แม่รู้"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงกลับบ้าน เจี่ยนซวงก็หลับไป เจี่ยนอี๋นั่วก็เหนื่อยเล็กน้อย ดังนั้นเธอจึงกอดเจี่ยนซวงและนอนหลับในกลางดึก เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเจี่ยนซวงมีไข้และตื่นขึ้นมาทันทีและลูบหน้าผากของเจี่ยนซวง เธอตัวร้อนมาก

แก้มของเจี่ยนซวงแดงและเธอพูดพึมพำ: "พ่อ…… "

เจี่ยนอี๋นั่วตรวจวัดอุณหภูมิร่างกายของเจี่ยนซวง พบว่าอุณหภูมิสูงมาก เจี่ยนอี๋นั่วรีบอุ้มเจี่ยนซวงและใส่เสื้อผ้าให้เธอ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หยิบบัตรประจำตัวและกระเป๋าสตางค์ของเธอ ใส่เสื้อผ้าและผ้แล้ววิ่งลงไปชั้นล่างโดยอุ้มเจี่ยนซวงไว้ หลังจากขึ้นรถแท็กซี่ เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดอย่างใจเย็น: "ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็กอดเจี่ยนซวงไว้ในอ้อมแขนและคลุมเจี่ยนซวงด้วยผ้านวมบางๆใในขณะที่ขับรถคนขับเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วจากกระจกมองหลังขมวดคิ้วและถามว่า: "ลูกของคุณไม่สบายหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: "วันนี้น่าจะนั่งอยู่ในสวนสาธารณะนานจนเป็นหวัด"

คนขับอดไม่ได้ที่จะพูดว่า: "ถ้าอย่างนั้นคุณก็ชะล่าใจเกินไป คนที่ฉันเพิ่งไปส่ง ลูกก็เป็นไข้สูงและทุกคนกังวลมาก เด็กคนนี้เป็นลูกคนอื่นหรอ? "

"ลูกของสาวแท้ๆของฉันเอง" เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ

คนขับรีบพูดว่า: "อ่อ ขอโทษ ขอโทษ……คุณดูใจเย็นมาก"

"ไม่เป็นไร" เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอไม่ร้อนรนเหมือนแม่คนอื่นที่ลูกเป็นไข้ เพราะเจี่ยนอี๋นั่วอาจมีประสบการณ์หลายอย่างมากเกินไป จนไม่สามารถตกใจได้เมื่อเจอเด็กเป็นไข้

บางทีความสงบแบบนี้อาจเป็นการไม่แยแสผู้อื่น แต่มีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้นที่รู้ว่าเธอเจออะไรมาบ้าง จนทำให้เธอใจเย็นได้ขนาดนี้

เยี่ยหมิงจูมองไปที่ท่าทางของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างรวดเร็ว: “ประธานเหลิ่ง เขาชอบเธอจริงๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เยี่ยหมิงจูและหัวเราะ: "ฉันก็รักเขามากเช่นกัน แต่วันหนึ่งความรักจะถูกขัดจังหวะ เขาแต่งงานและมีลูกแล้ว ยังจะมาพูดว่าชอบบ้าอะไรกับฉันอีก? ลูกของฉันซวงซวงยังไม่รู้เลยว่าพ่อของเขาเป็นใคร? ลูกของฉันอีกตน ฉันยัง……. "

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ น้ำตาก็ร่วงลงทันที เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้ สำลักและพูดว่า: "แม้แต่กระดูกของเขาฉันยังหาไม่เจอ พ่อของฉันก็ตายเพราะอำนาจของตระกูลเหลิ่ง น้องสาวของฉัน แม้ว่าเธอจะหาเรื่องใส่ตัวเอง แต่ถ้าฉันไม่ชอบเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้เธอก็แค่นิสัยเสียและเอาแต่ใจ ก่อนที่ฉันจะแยกจากเขา เขามักจะบอกว่าฉันอยากจะเข้มแข็ง ฉันเข้มแข็งพอ ตอนนี้ฉันยังมีชีวิตอยู่ฉันไม่ได้ฆ่าตัวตายนั่นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ฉันอดทนได้ แต่ฉันไม่สามารถเก็บความรู้สึกของตัวเองไว้ได้บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันเลิกกับเขาแล้ว”

เยี่ยหมิงจูลุกขึ้นยืนทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง: "อี๋นั่ว เธอ…… "

เยี่ยหมิงจูต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เธอเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วรอดชีวิตมาได้อย่างไรและเธอไม่สามารถพูดอะไรเพื่อชักชวนเธอได้ เยี่ยหมิงจูยืนอยู่ในสถานการณ์ของเจี่ยนอี๋นั่วและคิดว่าบางทีถ้าเธอเป็นเจี่ยนอี๋นั่ว เธออาจจะยอมแพ้ไปนานแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ หลับตาลงอย่างยากลำบากและพูดด้วยรอยยิ้ม: "บอกเขา ฉันขอบคุณเขามาก ขอบคุณที่เขาทำให้ฉันมีซวงซวง บอกเขา ไม่ว่าแผนของเขาจะเป็นอย่างไร ฉันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น เขาต้องการปกป้องฉันและซวงซวง ก็ปล่อยฉันและซวงซวงไปชีวิตต่อไป ขอโอกาสให้ฉันตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น เพื่อให้ซวงซวงมีพ่อที่สามารถอยู่เคียงข้างเธอได้อย่างแท้จริง แทนที่จะเอาแต่รอคนที่คอยแทงเราด้วยหอก แต่อ้างว่าปกป้องเรา"

"มีอะไรอยากพูดอีกไหม?" เจี่ยนอี๋นั่วเปิดตา ถอนหายใจและพูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม ยังมี ถ้าเขาเลือกที่จะไม่ปกป้องด้วยวิธีนี้ ให้ฉันอยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้ว่าฉันจะตายฉันก็ยังคงมองเขาเป็นครั้งสุดท้ายและฉันก็ยังรักเขา ฉันอาจบาดเจ็บและตาย แต่ความรักของฉันที่มีต่อเขาจะไม่หายไป ฉันขออยู่กับเขาด้วยความตาย ฉันไม่อยากทรมานทั้งชีวิต มันน่าเสียดาย ที่ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ถ้า "

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วกวาดมุมริมฝีปากและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอคิดดีแล้วใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่เคยคิดดีขนาดนี้มาก่อน เยี่ยหมิงจู ลาก่อน"

เยี่ยหมิงจูรู้สึกเศร้าและหมดหนทาง หลังจากได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอหยิบเสื้อผ้า หันศีรษะและยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว: "ฉันหวังว่าจะได้เจอเธออีก"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า "ดูแลตัวเองด้วยนะ"

เมื่อได้ยินเยี่ยหมิงจูปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็นั่งลงบนโซฟา ค่อยๆคลี่ยิ้มและพูด: "ฉันขอโทษ ฉันไม่เข้มแข็งพอ"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดสิ่งนี้ หลับตาลงน้ำตาก็ร่วงหล่นจากมุมตาของเจี่ยนอี๋นั่วทันที

เยี่ยหมิงจูได้พบกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นครั้งแรก ประธานเหลิ่งในตำนานที่เรียกเธอเพียงคนเดียวหรือบางครั้งเธอก็เห็นว่าประธานเหลิ่งหน้าตาเป็นอย่างไรจากทีวี

เมื่อเห็นแวบแรกของเหลิ่งเซ่าถิง เย่หมิงจูก็รู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจ กลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ มีกลิ่นสังหารในชายคนนี้ซึ่งทำให้เธอรู้สึกกลัว

“คำพูดพวกนั้น เธอเป็นคนพูดเองหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงถาม

เสียงของเขานิ่งมาก ไม่ได้ยินอารมณ์ใดๆ เยี่ยหมิงจูพยักหน้าทันที: "ใช่ เธอพูดเอง"

เหลิ่งเซ่าถิงกดมุมปากของเขาแรงๆ จากนั้นตัวสั่น ถอนหายใจและพูดว่า: "ฉันเข้าใจแล้ว ฉันทำพาสปอตใหม่ให้แล้ว เธอออกไปจากประเทศนี้ซะ”

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ถามว่า: "ประธานเหลิ่ง คุณไม่อยากให้ฉันดูแลอี๋นั่ว….อ่อ คุณนายเจี่ยนแล้วหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัว: "ไม่ต้องแล้ว เธอไม่มีภัยคุกคามอะไรละ ไม่มีใครจะทำร้ายเธออีกต่อไป……เธอซื่อบื่อจริงๆ……. "

ในตอนนี้ เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นปิดหน้าอกของตัวเอง โดยใช้เสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินและพูดว่า: "จนถึงตอนนี้เพิ่งรู้ว่าภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดของเธอคือฉัน ฉันหรอ? เพราะฉันรักเธอ เธอรักฉัน เหมือนกันที่ทำให้เราเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของกันและกัน! "

เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆและเงยหน้าขึ้นมองเยี่ยหมิงจู: "ก่อนที่เธอจะจากไป ให้ฉันดูเด็กคนนั้นหน่อย…… เด็กที่ชื่อเจี่ยนซวง เธอพูดถึงชื่อเด็กคนนั้น ลูกของ……”

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงกระตุกมุมปากและปิดปากแน่น เขารู้ว่าตัวเองไม่มีสิทธิ์เรียกเจี่ยนซวงว่า "ลูกสาว"

เยี่ยหมิงจูพยักหน้า: "โอเค ฉันไปคุยเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าฉันจะพาเจี่ยนซวงไปที่สวนสาธารณะอีกสักครั้ง เธอไม่ปฏิเสธหรอก"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ลดตาลงและพูดอย่างเย็นชา: "ระวังด้วย อย่าให้คนอื่นรู้ และอย่าให้คนอื่นเห็นว่าฉันไปหาเด็กคนนั้น"

เยี่ยหมิงจูพยักหน้าและถอยกลับทันที เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ วันนั้นอากาศร้อนขึ้นและแสงแดดอุ่นๆ กำลังตกลงมาจากหน้าต่าง แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกได้ว่าเขาเริ่มเย็นลงอย่างช้าๆราวกับว่าเขาจะตาย

เนื่องจากเยี่ยหมิงจูขอให้เจี่ยนซวงเล่นเป็นครั้งสุดท้าย เจี่ยนอี๋นั่วจึงพยักหน้าและอนุญาต เธอยังคงไว้วางใจเยี่ยหมิงจู นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะหมิงจูเธอกับซวงซวงคงตายไปนานแล้ว

เยี่ยหมิงจูพาเจี่ยนซวงไปที่ม้านั่งตรงมุมสวนสาธารณะ ยิ้มและพูดว่า: "ซวงซวง นั่งลงเถอะ แม่หมิงจูจะไปซื้อมาร์ชเมลโลว์มาให้"

เจี่ยนซวงอยากไปด้วย แต่เมื่อเห็นเยี่ยหมิงจูจากไป เจี่ยนซวงก็กลับมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง ในเวลานี้ชายคนหนึ่งในเสื้อโค้ทสีดำและหมวกสีดำเดินตรงมาที่เจี่ยนซวง หมวกของชายคนนั้นต่ำมากจนเจี่ยนซวงมองไม่เห็นใบหน้าของชายคนนั้น

เจี่ยนซวงตัวน้อยยังจำสิ่งที่แม่ของเธอสอนได้ เธอรีบลุกขึ้นยืนอย่างระแวดระวัง ต้องการไปที่ที่มีคนพลุกพล่าน แต่ชายคนนั้นนั่งอยู่ข้างๆเธอแล้วขวางทางธอ ดวงตาของเจี่ยนซวงแดงขึ้นทันทีด้วยความตกใจ เม้มปากของเธอหันกลับมาและหันหลังให้ชายในชุดดำ

"เธออยู่คนเดียวหรอ?" ชายคนนั้นถามเจี่ยนซวง

เจี่ยนซวงเหลือบมองชายคนนั้น เธออยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ว่าจะตอบคำถามของชายคนนั้นดีหรือไม่ ถ้าเธอตอบเธอก็กลัว ถ้าเธอไม่ตอบแสดงว่าเธอไม่มีมารยาท

เจี่ยนซวงกระพริบตาและในที่สุดก็ตัดสินใจพูด: "หนู……หนูมากับแม่หมิงจู เธอกำลังจะกลับมา เธอยอดเยี่ยมมาก เธอสามารถเอาชนะคุณได้ด้วยหมัดข้างเดียว"

"หึ……" ชายในชุดดำอดไม่ได้ที่จะหัวเราะก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาดังๆ เขาก็ไอ

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและมองไปที่ชายในชุดดำและถามว่า: "เป็นอะไรหรอ? คุณไม่สบายหรือเปล่า?"

ชายในชุดดำหันศีรษะและมองไปที่เจี่ยนซวง แล้วพยักหน้า: "ฉันไม่สบาย ปวดใจ"

เจี่ยนซวงเห็นดวงตาของชายชุดดำแล้วก็อดไม่ได้ที่จะอุทาน: “ ว้าว……สวยจัง……”

เจี่ยนซวงไม่เคยเห็นดวงตาที่สวยงามเช่นนี้ แต่ดูคุ้นเคยเจี่ยนซวงเอียงศีรษะครุ่นคิดสักครู่แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "ดวงตาของคุณเหมือนของซวงซวงเลย ตาของซวงซวงสวยที่สุด!"

ด้วยความที่ดวงตาที่คล้ายคลึงกันทันใดนั้นเจี่ยนซวงก็รู้สึกคุ้นเคยกับชายแปลกหน้า เธอรีบหันกลับมาหยิบดอกไม้ดอกเล็กๆ ยื่นให้ชายตรงหน้าเธอ ยิ้มและพูดว่า: "หนูให้ของขวัญคุณ!"

ชายคนนั้นจ้องมองดอกไม้เล็กๆเป็นเวลานาน แขนของเจี่ยนซวงเมื่อยเล็กน้อยและชายคนนั้นก็จับดอกไม้แล้วพูดเบาๆว่า: "ขอบใจนะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า: "ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณไม่สบาย ก็ให้แม่ของคุณดูแลสิ ตอนหนูไม่สบาย แม่ดูแลหนูดีมาก แปปเดียวก็หายแล้ว"

“ ฉันไม่มีพ่อแม่แล้ว” ชายคนนั้นวางดอกไม้ไว้ในฝ่ามือของเขาอย่างระมัดระวังและพูดด้วยน้ำเสียงเศร้า

เจี่ยนซวงขมวดคิ้วและมองไปที่ผู้ชายตรงหน้า เธอรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้น่าสงสารกว่ามาก เจี่ยนซวงจึงพูดว่า: "ซวงซวงไม่มีพ่อ แต่คุณไม่มีแม่ด้วย น่าสงสารจัง แล้วคุณมีลูกไหม? คุณโตขนาดนี้แล้วน่าจะมีลูกแล้วนะ มี……มี…….”

เจี่ยนซวงพูดถึงตรงนี้ก็หยุดครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ: "อ้อ มีภรรยาแล้ว"

"อืม…….” เขาเงียบและมองไปที่เจี่ยนซวงแล้วพูดว่า: "ใช่ แต่ฉันไม่สมควรมีพวกเขาเพราะฉันยังอ่อนแอเกินไปที่จะปกป้องพวกเขา และฉันกลับทำร้ายพวกเขา……. "

เจี่ยนซวงไม่เข้าใจสิ่งที่ชายตรงหน้าเธอพูด แต่เธอก็ยังเข้าใจได้ว่า "อ่อนแอ" หมายถึงอะไร เจี่ยนซวงรีบพูดว่า: “ ถ้าอย่างนั้น คุณต้องสู้ๆนะ เพราะหนูกลัวว่าแม่จะเสียใจ ซวงซวงก็เลยไม่เคยพูด แต่ซวงซวงคิดถึงพ่อมาก ลูกของคุณก็คงคิดถึงพ่อมากแน่ๆ พยายามปกป้องพวกเขาให้ได้นะ อยู่กับพวกเขา แบบนี้ก็เป็นพ่อที่ดีแล้ว ถ้าแม่หยิบของบนตู้ไม่ถึง พ่อก็จะช่วยเธอหยิบได้ ถ้าแม่ถูกรังแก ก็จะมีพ่อคอยปกป้องจากคนไม่ดี”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนซวง จากนั้นไม่นานเขาก็ลูบหัวเจี่ยนซวงเบา ๆ : "ช่างเป็นเด็กดีจริงๆ"

เจี่ยนซวงหัวเราะทันที ดึงจมูกของตัวเองและพูดอย่างภาคภูมิใจ: "แน่นอน…… เพราะ ซวงซวงเป็นลูกของแม่ แม่ของหนูเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลกและแน่นอนว่าซวงซวงก็ต้องเป็นเด็กดี"

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจี่ยนซวงมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยความเขินอายเล็กน้อยและพูด: "ที่จริง…….คุณอยากไปหาแม่ของซวงซวงไหม แม่ของซวงซวงสวยมาก ซวงซวงก็เป็นเด็กดี หนูจะไม่แย่งพ่อของลูกคุณ ขอแค่นิดเดียว…….

เจี่ยนซวงยื่นนิ้วก้อยของเธอออก: "แค่ให้ซวงซวงนิดเดียวก็พอแล้ว…… "

"แค่นี้จริงๆ…… " เจี่ยนซวงยื่นนิ้วก้อยออกและพูด: "ถ้าคุณไม่ชอบ ซวงซวงจะขอน้อยลงอีกนิดก็ได้"

เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปที่เจี้ยนซวง ขมวดคิ้วไม่สามารถพูดอะไรได้ เขาไม่ลุกขึ้นยืน จนกว่าโทรศัพท์ของเขาจะดังขึ้นและพูดเบาๆกับเจี่ยนซวง: "เป็นเด็กดีของแม่นะ"

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยืนอยู่ในสถานที่ราวกับว่าเธอกำลังทำร้ายตัวเอง เนื่องจากเธอเดาว่ากู้เค่อหยิงทำให้เธออับอาย กู้เค่อหยิงจะไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆอย่างแน่นอน การมาที่ร้านอาหารตะวันตกแห่งนี้ในวันนี้มันต้องเป็นความตั้งใจของเธอ แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยืนนิ่ง เธอกำลังรอ เธออยากเห็นว่าสุดท้ายแล้วเธอจะทนได้แค่ไหน และยังอดทนได้นานเท่าไหร่!

เหลิ่งเซ่าถิงจะยังคงเฝ้าดูทุกอย่างอย่างเย็นชาอีกไหม? เพียงเพื่อปกป้องเธอจริงหรอ?

"เจี่ยนอี๋นั่ว เธอควรรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่ของเธอ" ทันทีที่หลิวจื่อซิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็พูดด้วยความโกรธ

สิ่งที่กู้เค่อหยิงเล่าให้เธอฟังว่าเธอเจออะไรมาบ้าง ทำให้หลิวจื่อซิงเกลียดเจี่ยนอี๋นั่ว สำหรับหลิวจื่อซิง เจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนขัดขวางทำให้เธอไม่ได้แต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าไม่ใช่เพราะเจี่ยนอี๋นั่ว หลิวจื่อซิงรู้สึกว่าตอนนี้เธอคงได้เป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง คงไม่ปล่อยให้กู้เค่อหยิงที่เย่อหยิ่งได้ไปครอบครองหรอก

หลิวจื่อซิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว อดไม่ได้ที่จะกัดฟันและหัวเราะ: "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคงไม่ได้ติดคุกจนเป็นบ้านะ? ดูเสื้อผ้าที่เธอใส่อยู่ตอนนี้ เธอลองดูรอบๆร้านของฉัน เธอก็น่าจะรู้ว่าไม่ควรมาที่นี่ไม่ใช่หรอ? ถ้าฉันรู้ว่าคนที่คุณนายเหลิ่งแนะนำคือเธอ ฉันคงไม่ให้เข้ามาหรอก โชคดีที่วันนี้คุณนายเขามากินข้าวที่ร้าน ก็เลยเหมาร้าน ไม่มีลูกค้า ไม่งั้นถ้าคนอื่นเห็นว่าคนอย่างเธอเข้ามาในร้าน ร้านอาหารของเราจะมีหน้ามีตาต่อได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองหลิวจื่อซิง ดวงตาที่เปล่งประกายของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้หลิวจื่อซิงสะดุ้งถอยหลัง จากนั้นหลิวจื่อซิงก็หันหน้าไปมองพนักงานแบะถามว่า: "ฉันขอถามแกหน่อย ถ้าพนักงานร้านอาหารเป็นนักโทษมาก่อน แกอยากมากอนที่ร้านไหม?”

พนักงานรีบตอบและพูดว่า "ไม่มาแน่นอน คนที่เคยติดคุกเป็นอาชญากร อาชญากรทำได้ทุกอย่าง ฉันจะกล้ากินขนมที่เขาขายได้ยังไง เจ้านาย ฉันยังอยากทำงานในร้านอาหารนี้ต่อไป โปรดอย่าให้นักโทษเข้ามาในร้านเลย”

หลิวจื่อซิงยิ้มทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอได้ยินหรือยัง นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของเธอ คนอย่างเธอควรซ่อนตัวให้ดีและทำงานหนัก อย่าคิดเรื่องการฉวยโอกาส ทำขนมหรอ? ยังจะขายให้พวกเรา ขายให้กับร้านอาหารตะวันตกที่หรูหราของเรา? ให้ลูกค้าระดับสูงมากินขนมเธอเนี่ยนะ ทำไมเธอไม่คิดดีๆ เจี่ยนอี๋นั่ว เธอช่วยเจียมตัวหน่อยสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของหลิวจื่อซิง แต่ใบหน้าของเธอยังคงสงบ ถึงแม้จิตใจของเธอจะชาไปแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เธอมองไปที่หลิวจื่อซิง และมองไปที่บันได จ้องไปยังทิศทางที่กู้เค่อหยิง และเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเดินขึ้นไปชั้นบน เธอกำลังรอ รอให้ชายคนนั้นให้โอกาสเธอครั้งสุดท้าย

หลิวจื่อซิงชี้ไปที่ประตูและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "ไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้……. "

เจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งเหมือนคนทำด้วยไม้และยังคงมองไปทางนั้น เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ขยับ หลิวจื่อซิงจึงพูดกับพนักงานทันที: "ยืนมองอยู่ทำไม มาไล่มันออกไปสิ"

พนักงานก้าวไปข้างหน้าทันทีและดึงเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วผลักพนักงานออกไปอย่างแรงและพูดอย่างเย็นชาว่า: "อย่าแตะต้องตัวฉัน!"

ผู้ช่วยของร้านเป็นชายหนุ่มและแข็งแรง เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วผลักพวกเขาออก เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไปและจับแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว ระหว่างการดึงเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วขาดออกจากกันและขอบที่หน้าอกถูกฉีกออก เผยให้เห็นดอกกุหลาบสองดอกที่มีลวดลายของเจี่ยนอี๋นั่ว

หลิวจื่อซิงมองไปที่รอยสักบนหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว และปิดปากของเธอทันที โดยแสร้งทำเป็นแปลกใจ: "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมีรอยสักด้วยหรอ?

แน่นอนว่าท่ามกลางการเยาะเย้ยเจี่ยนอี๋นั่วของหลิวจื่อซิง กู้เค่อหยิงที่กำลังเดินมา ขมวดคิ้วและถามว่า: "มีอะไรหรอ? เกิดอะไรขึ้น?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองขึ้นไปที่กู้เค่อหยิงที่กำลังเดินไปจับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง จากนั้นจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังตามกู้เค่อหยิงมา เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างหนักหน่วง พยายามที่จะเห็นร่องรอยของความห่วงใยจากใบหน้าของเขา แต่ก็ไม่มีอะไรเลย เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เธอ ก็มีสายตาดูถูก เจี่ยนอี๋นั่วพยายามที่จะเชื่อเสมอว่าเหลิ่งเซ่าถิงพยายามที่จะปกป้องเธอ แต่ไม่ว่าความไว้วางใจจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่สามารถทนต่อความทรมานครั้งแล้วครั้งเล่าได้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นการจ้องมองที่ดูถูกเหยียดหยามของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็ก้าวถอยหลัง เธอต้องการหนีจากที่นี่ทันที แต่เธออดไม่ได้ที่จะยืนอยู่ในสถานที่รอ เหมือนทำร้ายตัวเองเพื่อดำเนินการต่อไป พูดถากถางและดูถูกเธอ

"เกิดอะไรขึ้น? ทำไมผู้หญิงคนนี้เสื้อผ้าฉีดขาดแบบนี้? สมองมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า?" กู้เค่อหยิงพูดและหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง

หลิวจื่อซิงไม่รู้ว่ากู้เค่อหยิงรู้จักตัวตนของเจี่ยนอี๋นั่วหรือเปล่า แต่กู้เค่อหยิงแกล้งไม่รู้จัก ตราบใดที่เธอพูดถึงเจี่ยนอี๋นั่วและกู้เค่อหยิง ก็มีแต่เธอที่เจ็บปวด

หลิวจื่อซิงรีบฝืนยิ้มและพูดว่า: “คุณนาย คนนี้คือ เจี่ยนอี๋นั่วคุณนายรอง คุณน่าจะเคยได้ยินมาบ้าง……. "

กู้เค่อหยิงปิดปากของเธอทันทีและรีบมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง: "เซ่าถิง เธอคือ เจี่ยนอี๋นั่ว ผู้หญิงคนนั้นที่ทรยศคุณหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างเย็นชาว่า: "อืม เธอเอง"

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอมาที่นี่ทำไม? เธอคิดว่าเธอจะมาก่อกวนฉันต่อได้งั้นหรอ? เธอคนที่ทรยศฉัน ฉันจะเอาเธอออกจากคุก ไม่ใช่เพราะเรื่องของหัวใจ แต่เป็นเรื่องของเพื่อนมุษย์ ฉันให้โอกาสเธอไปครั้งหนึ่ง อย่าคิดว่าครั้งนี้ฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆ”

"เซ่าถิง ใจเย็นๆอย่าว่าเธอเลย ฉันว่าเธอน่าสงสาร……ดูแล้วสภาพจิตใจไม่น่าจะดีแล้วนะ" กู้เค่อหยิงพูดเบาๆขณะดึงแขนของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เราเปลี่ยนร้านกันเถอะ เห็นเธอแล้วฉันไม่มีอารมณ์จะกิน”

กู้เค่อหยิงพยักหน้าทันที: "โอเค ฉันรู้จักร้านอาหารที่ทำอาหารไทยแท้ๆ"

กู้เค่อหยิงพูดพร้อมกับอุ้มเด็กไว้ในมือข้างหนึ่งและจับมือเซ่าถิงอีกข้าง พูดด้วยรอยยิ้ม: "เซ่าถิง ไปกันเถอะ"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและเดินผ่านเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับกู้เค่อหยิง เมื่อเดินผ่านเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วและเปิดดอกกุหลาบสีแดงสองดอกบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว พวกมันเป็นสีแดงจนชุ่มไปด้วยเลือดจากร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว

"เจี่ยนซวง……เธอชื่อเจี่ยนซวง……ยังไม่เคยเจอสินะ เหลิ่งเซ่าถิง" เจี่ยนอี๋นั่วพูดและน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัว

แม้ว่าจะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงต้องรู้จักชื่อของเจี่ยนซวง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าเธอควรจะบอกเหลิ่งเซ่าถิงสักครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยและเดินออกจากร้านอาหาร

เมื่อมองดูเหลิ่งเซ่าถิงและกู้เค่อหยิงจากไป หลิวจื่อซิงก็หันไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่คิดว่าเธอจะมีวันนี้ เป็นไงบ้าง? รสชาติของความทรยศมันเป็นยังไง? ตอนนี้ภรรยาของเหเหลิ่งเซ่าถิงคือกู้เค่อหยิง ส่วนเธอ ไม่ได้เป็นอะไรเลย "

เมื่อหลิวจื่อซิงพูดถึงตรงนี้ เธอก็เดินเข้าหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดเบาๆว่า: "ถ้าเธอยอมทำข้อตกลงของเรา พวกก็มีโอกาสที่จะทำให้กู้เค่อหยิง……เป็นไง?”

"มันดีมาก…… " เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้น หันหน้าไปมองหลิวจื่อซิงและค่อยๆหัวเราะ

หลิวจื่อซิงขมวดคิ้วจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วและพูดว่า: "เธอกำลังพูดถึงอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ฉันบอกว่ามันดีมาก……. "

เจี่ยนอี๋นั่วปิดหน้าอกของเธอซึ่งเจ็บปวดมาก แต่มันทำให้เธอมีสติและทำให้เธอรู้สึกมีความสุขมาก! เธอน่าจะเจ็บปวดมานานแล้วมีดทื่อที่ใช้กัดหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดจนไม่อาจปล่อยไปได้ ความเจ็บปวดในครั้งนี้ทำให้สดชื่นและเจ็บปวดมากจนเธอรู้ว่าจะต้องทำอะไรสักอย่าง

"เธอเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ!" หลิวจื่อซิงขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้ม หันหลังและเดินออกจากร้านอาหารแห่งนี้ ขณะที่เธอเดินออกจากร้านอาหาร เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ หลังจากหัวเราะได้สองสามครั้งก็เริ่มร้องไห้ หลังจากเดินร้องไห้และยิ้มได้ไม่กี่ก้าวคนอื่นก็มองว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนบ้าและมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาแปลกๆ

แต่มีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้นที่รู้สึกสดชื่นในตอนนี้และในที่สุดเธอก็ได้รับการปล่อยตัวจากคุก เดิมทีเธอเป็นเพียงอิสรภาพที่กลับคืนมา แต่วิญญาณของเธอยังคงติดอยู่ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างตระกูลเหลิ่งและความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้เธอได้รับการปล่อยตัวจากคุกในที่สุดเธอก็วางทุกอย่างลง

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปตลอดทาง ร้องไห้ยิ้มและหัวเราะ เมื่อเธอเดินลงไปชั้นล่างของบ้าน เจี่ยนอี๋นั่วพยายามเช็ดน้ำตาออกจากมุมตา พยายามแสดงรอยยิ้มอีกครั้งแล้วเดินขึ้นไปชั้นบน

เมื่อเปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเยี่ยหมิงจูที่กำลังโทรหาใครสักคน หลังจากที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วกลับมา เยี่ยหมิงจูก็หันกลับไปมองเจี่ยนอี๋นั่วทันทีและวางสายโทรศัพท์ทันที: "อี๋นั่ว เป็นอะไรไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยิ้มและพูดกับเยี่ยหมิงจู: "ซวงซวง โอเคไหม?"

เยี่ยหมิงจูเหลือบมองไปที่การแสดงออกของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว: "เธอโอเค เธอหลับอยู่ แต่เธอ…… "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "งั้นดีเลย เรามาคุยกันเถอะ"

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "คุยอะไรหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นและปิดประตูห้องของเจี่ยนซวง เทน้ำร้อนให้เยี่ยหมิงจูและพูดกับเยี่ยหมิงจู: "เยี่ยหมิงจู เธอไปเถอะ ฉันไม่ต้องการเธอแล้ว"

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอหมายความว่ายังไง?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "เธอปกป้องฉัน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงให้ความสำคัญกับฉัน บอกเขาว่าไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับฉันและฉันตัดสินใจที่จะออกจากเขา ในตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงแต่งงาน ฉันก็คิดว่าเขายังรักฉันอยู่หรือเปล่า? ระหว่างเรายังเป็นไปได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงกลับจากสวนเด็กเล่น แล้วโทรหาเยี่ยหมิงจู พูดเบาๆว่า: "สถานการณ์ตอนนี้เป็นไงบ้าง?"

เยี่ยหมิงจูถอนหายใจ: "ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ตอนนี้ข่าวลือบอกว่าเธอเป็นเมียน้อยแพร่ไปทั่ว มันเป็นกระแสที่คนไม่ชอบเราแล้วพ่นสีลงบนกระจกของเรา คนพวกนี้ไร้ยางอาย เธอบอกว่าคนพวกนี้น่ารำคาญใช่ไหม? อย่าไปสนใจเลย เราไม่ได้เป็นเมียนงเมียน้อย ต่อให้แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเขา? ใช้คนพวกนี้มาก่อกวนเรา ทำลายข้าวของร้าน มันทำเกินไปหรือเปล่า”

เยี่ยหมิงจูเบาเสียงลงและพูดว่า: "แต่ไม่ต้องกังวล ฉันจะหาคนมาตรวจสอบดูว่าใครจงใจปล่อยข่าวลือนี้ออกไปข้างนอก!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและตอบว่า: "มีคนตั้งใจเจาะจงฉัน เมื่อกี้ที่โรงเรียนของซวงซวงก็เพิ่งแจ้งมา ขอให้ซวงซวงออกจากโรงเรียน”

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้ว: "อะไรนะ? คนพวกนี้บ้าหรือเปล่า? เธอก็เป็นแบบนี้แล้ว ทำไมพวกมันยังไม่ปล่อยเธอไปอีก ฉันจะไปบอก……."

"ไม่จำเป็น" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา "ไม่มีใครสนใจฉันหรอก ไว้เจอกันค่อยคุยนะ คุยผ่านโทรศัพท์ไม่สะดวกเท่าไหร่……"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่ววางสายแล้ว เยี่ยหมิงจูก็รีบวิ่งไป ขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและถามว่า: "อี๋นั่ว เธอหมายความว่าอะไร? อะไรคือไม่มีใครสนใจเธอ? เขาแคร์เธอมาก ไม่งั้นก็คงไม่ให้ฉันมาอยู่ข้างๆเธอหรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ฉันรู้ ฉันรู้ว่าเขาก็ลำบากมากเช่นกัน ฉันเชื่อว่าเขาทำทุกอย่างเพราะหวังดีกับฉัน ฉันก็ไม่บ่นไม่ว่าอะไรเลย ถ้าฉันเจ็บคนเดียวฉันยังทนได้ แต่ซวงซวงอยู่กับฉันเธอต้องเจ็บไปด้วย เด็กคนนั้นหายไป ฉันอยู่คนเดียวมากี่ปี ฉันผ่านมาได้ยังไง เธอเองก็รู้ดี ฉันจะทนได้ยังไง? ทุกครั้งที่ฉันเจ็บปวด เขาก็แค่มองดูฉันอยู่ข้างๆ เขามองดูฉันดิ้นรนอยู่ที่สูงส่ง เวลาผ่านไปนาน ฉันก็เริ่มชินแล้วล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอลดสายตาลงและพูดเบาๆ: "ฉันลืมหมดแล้วความรู้สึกรักมันเป็นยังไงและไม่รู้ว่าถูกรักมันเป็นยังไง แต่ฉันกับซวงซวงต้องลำบากเพราะเขา เขาตอบแทนด้วยแบบนี้หรอ มองดูพวกเราอยู่ห่างๆ บางทีการเริ่มต้นของฉันกับเขาอาจจะเป็นอะไรที่ผิดพลาด ถ้าเกิดไม่รู้จักเขาแต่แรกเรื่องทุกอย่างก็คงไม่แย่ขนาดนี้”

หลังจากพูดถึงเรื่องนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็เงยหน้าขึ้นและยิ้มอย่างขมขื่น: "พูดไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก มันผ่านมาแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมกับหันศีรษะไปมองที่เยี่ยหมิงจู: "เธอมีวิธีอื่นไหม? นอกจากไปขอความช่วยเหลือจากคนแบบนั้น"

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้ว: "งั้นโทรหาตำรวจ ดูว่าตำรวจจะจัดการเรื่องนี้ยังไง"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยืนขึ้นด้วยรอยยิ้ม หยิบเสื้อแจ็คเก็ตขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้มกับเยี่ยหมิงจู: "รบกวนเธอดูแลซวงซวงสักแปปนะ ฉันจะคุยเรื่องธุรกิจนั้น ตอนนี้มีเรื่องวุ่นวายในร้านและฉันไม่รู้ว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ยังไงก็ต้องหากิจการอื่นดู”

เยี่ยหมิงจูพยักหน้าทันที: "โอเค ฉันจะดูแลซวงซวงเอง เรื่องแค่นี้ฉันทำได้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและขอบคุณ เธอใส่เสื้อคลุมแล้วเดินออกไป เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้อง ปิดประตูและก็ล้มลงบนขั้นบันไดอย่างอ่อนแรงสิ่งที่เธอเพิ่งพูดกับเยี่ยหมิงจูไม่ได้โกรธ เธอคิดอย่างนั้นจริงๆเธอไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ความรักของเธอไม่ลดละและตอนนี้มันกำลังจะหมดไปจริงๆ

อย่างไรก็ตาม ถ้าเกิดกลับมาอีกครั้ง เหลิ่งเซ่าถิงจะยังคงคิดว่าการป้องกันแบบนี้ที่ทำให้อารมณ์ของเธอหมดไป เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเลือกงั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วกดริมฝีปากล่างของเธอ ยืนขึ้นและเดินออกจากอาคารอย่างช้าๆไปตามที่อยู่ที่ชายคนนั้นให้เธอก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วมาที่ถนนการค้า นี่ไม่ใช่ถนนการค้าธรรมดานี่คือสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในเมือง มีชายและหญิงทันสมัยมากมายที่เดินไปมา

เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเหมือนกระต่ายดินที่จู่ๆก็หลุดเข้าไปในโลกแห่งเทพนิยาย เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มมองลงไปที่นามบัตรในมือและในที่สุดก็พบร้านอาหารตะวันตก เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไปตามถนน ไม่กี่ก้าวเธอก็ถึงร้านอาหารตะวันตก เธอเห็นรถคันหนึ่งก็ได้ยินเสียงทางเข้าของร้านอาหาร

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดกะทันหันและเธอเฝ้าดูประตูรถที่เปิดอยู่ ผู้หญิงคนหนึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมและแต่งตัวอย่างมีสไตล์แล้วเดินออกจากรถ มีเด็กชายอยู่ในอ้อมแขนจากนั้นก็เดินลงมาจากอีกด้านของรถปรากฎว่าเป็นเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและรีบหันกลับไปซ่อนหลังถังขยะข้างๆ เธอรีบปิดปากและควบคุมตัวเองไม่ให้ส่งเสียง

เจี่ยนอี๋นั่วตำได้ว่าผู้หญิงที่ลงจากรถดูเหมือนจะเป็น กู้เค่อหยิบ ผู้หญิงที่แต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง

"เซ่าถิง วันนี้ลมแรงจริงๆ ฉันรู้สึกหนาวนิดหน่อย" กู้เค่อหยิงพูดกับเหลิ่งเซ่นถิงด้วยรอยยิ้ม

ทันทีที่เหลิ่งเซ่าถิงปรากฏตัว เขาดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมาย พวกเขาประหลาดใจกับรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากที่พวกเขารู้จักตัวตนของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพวกเขาก็ประหลาดใจกับตัวตนและสถานะของเหลิ่งเซ่าถิง พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่กู้เค่อหยิงด้วยความอิจฉาและยังคงพูดถึงผู้หญิงที่ดีว่ากู้เค่อหยิง ควรเป็นผู้หญิงแบบไหนเพื่อให้ผู้ชายที่ดีที่สุดในเมืองแต่งงานกับเขาในฐานะภรรยาของเขา พวกเขามักจะอ่อนโยนและเกรงใจเธอ

กู้เค่อหยิบชอบความชื่นชมของคนเหล่านั้น เธองอมุมปากของเธอ ไม่สามารถหุบรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอได้ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงถอดเสื้อคลุมของเขาและสวมให้กู้เค่อหยิง รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้เค่อหยิงดูงดงามมากขึ้นพร้อมเสียงอุทานของคนอื่นๆ

"เซ่าถิง คุณตามใจฉันมาก คุณจะทำให้ฉันได้ใจนะ” กู้เค่อหยิบพูดด้วยความโกรธ

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆและพูดว่า "คุณเป็นภรรยาของฉัน ฉันจะไม่ดีกับคุณได้ยังไง?"

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ไม่ไกลและได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างชัดเจน ความอ่อนโยนและคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ดูเหมือนจะเป็นความจริง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงคงเป็นสามีที่ดีมากของภรรยา

กู้เค่อหยิงยิ้มและส่งเด็กในอ้อมแขนของเธอให้เหลิ่งเซ่าถิง พูดด้วยรอยยิ้ม: "อะ คุณอุ้มลูกไว้เยอะๆดีกว่า คุณไม่ได้อุ้มลูกมานานแล้ว ลูกคงคิดถึงพ่อแล้ว”

ในเวลานี้เหลิ่งเฉิงเยียถูกกู้เค่อหยิงหยิกเบาๆและเขาก็เปิดปากของเขาและตะโกนเรียกเหลิ่งเซ่าถิง: "พ่อ…… "

กู้เค่อหยิงปิดปากของเธอทันทีและหัวเราะ พูดออกมาว่า: "เซ่าถิง เฉิงเยี่ยเรียก ‘พ่อ’ ได้แล้ว เก่งมาก! เฉิงเยี่ยของเราฉลาดจริงๆ!"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยคิ้วทันทีและพูดด้วยรอยยิ้มให้กู้เค่อหยิง: "งั้นคงต้องฉลองสักหน่อยแล้ว"

"อืม วันนี้ครอบครัว กว่าจะออกมาพร้อมหน้าพร้อมตาสามคนเป็นเรื่องที่ยาก ไปเถอะ เข้าไปข้างในกัน อย่าให้เฉิงเยี่ยตากลม " กู้เค่อหยิงพูดด้วยรอยยิ้มและเดินเข้าไปพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงและกู้เค่อหยิงเดินเข้าไปในร้านอาหารตะวันตก เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นยืน ร่างกายของเธอสั่นเล็กน้อย เธอรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงแต่งงานและมีลูกแล้ว ในใจได้ตัดสินใจแยกทางกับเขาหลายครั้ง ในใจของเธอมันเป็นไปไม่ได้ที่เธอและเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เมื่อเห็นเช่นนี้ เธอก็รู้แล้วว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นสามีของคนอื่นไปแล้ว และพ่อของคนอื่น

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอแข็งแกร่งพอ บาดแผลบนร่างกายของเธอได้สร้างรอยแผลเป็น กลายเป็นเกราะแข็ง บาดแผลธรรมดาไม่ทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวด แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงอุ้มเด็กคนอื่น เธอก็คิดถึงลูกๆของเธอ พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของพวกเขาคือใคร เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเจ็บขึ้นมาทันที

นี่ไม่ใช่ความเจ็บปวดของเธอในฐานะเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เป็นความเจ็บปวดในฐานะแม่

เมื่อไหร่เรื่องนี้จะจบสักที? หรือเหลิ่งเซ่าถิงเขาต้องการที่จะจบตั้งแต่แรกแล้ว? เขาพอใจกับชีวิตของเขาตอนนี้ มีภรรยาอย่างเค่อหยิง จะเก็บเธอไว้เป็น "นางบำเรอ"งั้นหรอ?

ทันใดนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็จำได้ว่าตอนที่เธอท้องกับเหลิ่งเซ่าถิงโดยไม่ตั้งใจ หมอและพยาบาลหัวเราะเยาะเธอ ขายตัวเพียงเพราเงิน ต่อมาเธอตกหลุมรักเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความรู้สึกต่อเธอเช่นกันซึ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมไปว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขานั้นเป็นยังไง บางทีเธออาจจะยังคงเป็นคนที่ต่ำต้อยในสายตาของคนอื่น เป็น "นางบำเรอ" ของเหลิ่งเซ่าถิงเพื่อเงินสินะ?

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ทางเข้าของร้านอาหารตะวันตก มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ทางเข้าของร้านอาหารมองเธอด้วยความงุนงงและยกมือขึ้น หยุดเธอทันที: "คุณผู้หญิง ที่นี่ไม่ใช่ที่ของคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธอ เงยหน้าขึ้นมองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและพูดว่า: "ฉันมาหาเจ้าของร้าน เจ้าของร้านเป็นคนเรียกฉันมา เขาต้องการจะซื้อร้านขนมของเรา"

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพยักหน้า หยิบเครื่องส่งรับวิทยุขึ้นมาและพูดสองสามคำ จากนั้นหันไปหาเจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า: "โอเค คุณเข้าไปได้"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและเดินเข้าไปในร้านอาหารตะวันตก ฉก็เห็นหลิวจื่อซิงเดินมาพร้อมกับยิ้ม: "ฉันได้ยินคุณนายเหลิ่งแนะนำว่าขนมของคุณอร่อยมาก…… "

หลิวจื่อซิงหยุดกะทันหัน เธอขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดเบาๆ: "ทำไมถึงเป็นเธอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หลิวจื่อซิง จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น: "ที่แท้ก็เป็นเธอ"

เมื่อได้ยินสิ่งที่หลิวจื่อซิงพูดเมื่อกี้ คุณนายเหลิ่งเป็นคนแนะนำเธอให้รู้จักกับร้านอาหารตะวันตกแห่งนี้ คนที่เป็นคุณนายเหลิ่งคือใคร? ต้องเป็นกู้เค่อหยิบภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงแน่ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าใครเป็นคนที่ทำมห้เธออับอาย คงเป็นกู้เค่อหยิงสินะ

ถ้าเป็นกู้เค่อหยิง เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงกล่าวหาว่าเป็น "เมียน้อย” เพราะกู้เค่อหยิงเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่ได้จกทะเบียนก็เป็น ‘เมียน้อย’ งั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดมาตลอดว่าคนอื่นใส่ร้ายเธอ แต่ความจริงพวกเขาพูดไม่ผิด เธอเป็นจริงๆ ไร้ค่าสิ้นดี!

วันรุ่งขึ้นทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วนำเจี่ยนซวงออกจากบ้าน เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เหมือนคนอื่นๆกำลังเฝ้าดูเธอและเจี่ยนซวงอยู่ พวกเขากระซิบนินทา เจี่ยนซวงกระพริบตาหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา: "คุณแม่คะ ทำไมพวกเขามองเราตลอดเวลาแบบนั้นล่ะคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่สายตาจ้องมองที่ไร้ความปรานีของผู้คนรอบ ๆ ตัว เธอขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: "อย่าสนใจพวกเขาเลยจ๊ะ พวกเราเดินตรงไปข้างหน้า ไม่เป็นไรลูก”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้า: "ค่ะ วันนี้ซวงซวงจะไปฟังคุณน้าเล่านิทานให้ฟัง และเธอยังเล่นเปียโนได้อีกด้วย คุณน้าเก่งมากจริงๆค่ะ คนที่แบ่งปันอาหารและผักกับเธอล้วนเป็นคุณน้า ในอนาคตซวงซวงก็ต้องเป็นเหมือนคุณน้านะคะดูแลเด็กๆ และแบ่งเค้กส่วนที่ใหญ่ที่สุดให้ซวงซวงกิน! จากนั้นก็แบ่งให้กับเด็ก ๆ ที่ดีกับหนูนะคะ "

“ถ้าหากซวงซวงและเพื่อนของซวงซวงกินเค้กก้อนโตทั้งหมดนั้นจนหมด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเพื่อนคนไหนเชื่อฟังซวงซวงแล้ว ถ้าหากต้องการควบคุมเพื่อนๆ ต้องให้เพื่อนคนที่เชื่อฟังที่สุดกิน และให้เค้กชิ้นที่ใหญ่ที่สุด พวกเขาต้องการกินเค้กชิ้นใหญ่ที่สุด ก็จะเชื่อฟังอย่างดี ”เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าเด็ก ๆ บางคนไม่ชอบกินเค้ก หนูก็มอบของเล่นที่สนุกที่สุดให้กับเขาแล้วเขาก็จะเชื่อฟังหนูด้วย!"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าจูงมือเจี่ยนซวงจนถึงหน้าโรงเรียนอนุบาล เจี่ยนซวงกำลังจะเดินเข้าไปในโรงเรียน ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนก็รีบวิ่งออกมาขวางเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว เธอเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ เธอขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า :“"ฉันขอโทษด้วยนะคะ คุณไม่สามารถส่งลูกสาวของคุณมาเรียนที่โรงเรียนอนุบาลแห่งนี้อีกแล้วนะคะ .”

หลังจากหยุดชะงักไปเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ :“เกิดอะไรขึ้นคะ?เกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ?"

หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วและพูดว่า:“เกิดอะไรขึ้นหรือคะ คุณควรจะรู้ดีที่สุดนะคะ เรื่องในอดีตของคุณเขารู้กันไปทั่วแล้วค่ะ ผู้ปกครองหลายคนไม่ยอมให้ลูกสาวของคุณเรียนที่นี่อีกต่อไป ถ้าหากลูกสาวของคุณยังเรียนอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะลาออก ฉันไม่สามารถเลือกคุณคนเดียวแล้วทำให้คนอื่นลาออกไปหมดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะคะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าคิ้วขมวดพร้อมถามว่า:“มันเกิดอะไรขึ้นกับฉันกันแน่?”

หญิงวัยกลางคนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างดูถูกเหยียดหยาม และพูดอย่างเย็นชา: "คุณไม่รู้จริงๆเหรอ คุณยังแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องอีกนะ ? คุณ คุณเป็นเมียน้อยและทำลายครอบครัวของคนอื่น คุณยังเคยติดคุกมาแล้ว เด็กที่ถูกสั่งสอนจากผู้หญิงอย่างคุณ จะทำให้เด็กคนอื่น ๆ เสียไปด้วย แล้วฉันจะปล่อยให้ลูกสาวของคุณเรียอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร?”

"คุณแม่คะ…… เกิดอะไรขึ้นคะ?อะไรคือเมียน้อยคะ? พวกเขาจะไม่เอาซวงซวงแล้วใช่ไหมคะ ?ไม่ให้ซวงซวงเรียนโรงเรียนอนุบาลนี้แล้วใช่ไหมคะ?ซวงซวง ทำอะไรผิดหรือเปล่าคะ?" เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา

เจี่ยนอี๋นั่วลูบแก้มของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่มีอะไรจ๊ะ พวกเขาอาจจะเข้าใจอะไรผิดพลาด รอให้คุณแม่อธิบายกับพวกเขาสักครู่ เรื่องทั้งหมดจะผ่านไปด้วยดีนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เหล่ตามองไปที่หญิงวัยกลางคน ขมวดคิ้วและพูดว่า :“คุณได้ยินข่าวลืออะไรมาเหรอคะ? ฉันพูดกับคุณไว้ตอนนี้เลยนะคะ ว่าฉันไม่เคยทำลายชีวิตแต่งงานของใครทั้งนั้น และฉันไม่เคยเป็นเมียน้อยของใครอีกด้วย!ซวงซวงเป็นลูกสาวของฉัน ในสิ่งที่คุณพูดมา คุณต้องกล่าวคำขอโทษ คุณต้องกล่าวคำขอโทษให้ฉันและลูกของฉัน !”

หญิงวัยกลางคนมองเจี่ยนอี๋นั่วตาขวาง หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ฝันไปเถอะ ?ฉันต้องกล่าวคำขอโทษให้คุณและลูกของคุณเนี่ยนะ? เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว และเด็กก็ใช้นามสกุลของคุณอีกด้วย มันต้องเป็นลูกนอกสมรสอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะ? ตอนนี้ยังกล้าหยิ่งยโส โอหังต่อหน้าฉันเหรอ! ฉันจะไม่กล่าวคำขอโทษ แล้วคุณจะทำอะไรได้? "

เจี่ยนอี๋นั่วยกโทรศัพท์ขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ฉันเพิ่งบันทึกสิ่งที่คุณพูดไปเมื่อกี้นี้ ถ้าหากคุณไม่กล่าวคำโทษ ฉันจะฟ้องคุณในข้อหาดูหมิ่นและใส่ร้ายฉัน ฉันมีหลักฐานว่าสิ่งที่คุณเพิ่งพูดไปไม่เป็นความจริงเลยแม้แต่นิดเดียว คุณเปิดโรงเรียนอนุบาลใช่ไหม ฉันคิดว่าคุณคงไม่อยากให้คนอื่นเห็นนิสัยแย่ๆแบบนี้หรอกใช่ไหมคะ? และฉันได้เซ็นสัญญากับคุณก่อนหน้านี้ ฉันตกลงให้ลูกสาวของฉันเรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งปี แต่คุณกลับผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นสองเท่า คุณโปรดเตรียมค่าเสียหายไว้ให้พร้อมและโดยเร็วที่สุดมิฉะนั้นฉันจะฟ้องคุณพร้อมกับการละเมิดสัญญาแน่นอน "

หญิงวัยกลางคนจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยดวงตาของเธอเบิกกว้างและพูดตะกุกตะกัก: "คุณ คุณผู้หญิง……ต้องการ …… ต้องการอะไร? คุณต้องการอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ฉันอยากให้คุณขอโทษลูกสาวของฉัน เป็นการแสดงความรับผิดชอบที่คุณให้ลูกสาวของฉันออกจากโรงเรียน ไม่ใช่ความผิดของเรา"

หญิงวัยกลางคนสูดหายใจเข้าลึก ๆ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วตาขวาง กระตุกมุมปากครวญครางเหมือนยุง และพูดอย่างคลุมเครือ: "ฉันขอโทษ"

เจี่ยนอี๋นั่วก้มมองลงไปที่เจี่ยนซวงและถามด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ :“ซวงซวง หนูได้ยินคำขอโทษจากเธอแล้วหรือไม่จ๊ะ?"

เจี่ยนซวงหน้ามุ่ยแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง: "ไม่ได้ยินค่ะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่หญิงวัยกลางคนและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ได้โปรดพูดเสียงดังกว่านี้หน่อยค่ะ ลูกสาวของฉันฉันไม่ได้ยินคำขอโทษจากคุณค่ะ"

หญิงวัยกลางคนหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความโกรธ แล้วตะโกนออกมาเสียงดังว่า: "ฉันขอโทษ!"

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองที่เจี่ยนซวง ยิ้มและถามว่า :“ครั้งนี้หนูได้ยินแล้วหรือยังจ๊ะ?”

เจี่ยนซวงแตะที่จมูก ค่อยๆพยักหน้าๆ:“ได้ยิน……ได้ยินแล้วค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วถามเจี่ยนซวง:“แล้วหนูจะให้อภัยเธอไหมคะ?”

เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา:“ไม่ให้อภัยค่ะ”

“ ถ้าอย่างนั้นหนูยังต้องการที่จะเสียเวลากับเธออีกต่อไปคะ และรอฟังคำขอโทษจากเธอต่อไปอีกไหมคะ?” เจี่ยอี๋นั่วถามเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงส่ายหัวไปมา:“หนูอยากไปหาคุณแม่หมิงจูค่ะ หนูไม่อยากอยู่ที่นี่แล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบที่หัวของเจี่ยนซวงพร้อมพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าอย่างนั้นดีเลย เมื่อแม่ได้รับค่าเสียหายแล้วแม่จะพาหนูไปจากที่นี่นะคะ"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นยิ้มและมองไปที่หญิงวัยกลางคน: "โปรดคืนค่าเสียหายให้แก่เราด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ!"

หญิงวัยกลางคนขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว กัดฟันของเธอและพูดว่า:“ถ้าฉันไม่คืนล่ะ?"

"ถ้าอย่างนั้นก็เรียนโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้ต่อไปสิคะ……”เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "ฉันได้ยินมาว่าบางคนจะลาออกจากโรงเรียนอนุบาล สาเหตุเป็นเพราะเราสองคนแม่ลูก ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องดีเลย ต่อไปนี้ซวงซวงก็จะสามารถเล่นของเล่นได้มากขึ้น”

"ว้าว ……”เจี่ยนซวงปรบมือและหัวเราะทันที: "เยี่ยมมากเลยค่ะ ซวงซวงชอบเล่นของเล่นมากที่สุดเลยค่ะ และ ซวงซวงยังสามารถกินเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดอีกด้วย!"

"โอเค!" หญิงวัยกลางคนกัดฟันและมองไปที่เจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่ว พูดอย่างรำคาญ: "ถือว่าคุณร้ายกาจ! ฉันจะเอาเงินคืนให้พวกคุณเดี๋ยวนี้!"

เมื่อหญิงวัยกลางคนพูดจบ เธอก็หันหลังไปทันที รอยยิ้มบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเจี่ยนซวงค่อยๆปิดลงทันที ทำหน้ามุ่ยตาแดงและน้ำเสียงสะอื้นถามเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณแม่คะ……แท้จริงแล้วพวกเขาไม่ชอบซวงซวงใช่ไหมคะ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากให้ซวงซวงไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ไม่ใช่ค่ะ เป็นความผิดของพวกเขา พวกเขาคิดว่าคุณแม่เป็นคนเลว และคุณว่าซวงซวงเป็นลูกของคุณแม่ ก็ต้องเป็นลูกที่เลวอย่างแน่นอน แต่ว่าคุณแม่ไม่ใช่คนเลวหรอกนะคะ?”

เจี่ยนซวงร้องไห้และส่ายหัวทันที: "ไม่ค่ะ…… ซวงซวงไม่ใช่เด็กเลวนะคะ……”

"ดังนั้นเป็นความผิดของพวกเขา" เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาของซวงซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: "เพราะพวกเขาทำผิด พวกเขาจึงจ่ายค่าชดเชยให้กับเรา เพราะพวกเขาทำผิด พวกเขาจึงต้องกล่าวขอโทษให้กับเรา พวกเขาอาจไม่ชอบเรา แต่มันไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดของพวกเรา แม่เลี้ยงของสโนว์ไวท์ไม่ชอบสโนว์ไวท์ พี่สาวของซินเดอเรลล่าก็ไม่ชอบซินเดอเรลล่าเช่นกัน นั่นเป็นความผิดของสโนว์ไวท์และซินเดอเรลล่าหรือเปล่าคะ?”

เจี่ยนซวงใช้แรงเช็ดน้ำตาและพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ใช่ค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของซินเดอเรลล่าและสโนว์ไวท์เพราะแม่เลี้ยงและพี่สาวของพวกเธอเป็นคนเลว เพราะพวกเขาเป็นคนไม่ดี จึงไม่ชอบคนดี ซวงซวงเป็นเด็กดี และคุณแม่ก็เป็นคนดี ดังนั้นลูกที่ไม่ดีและคุณแม่ของเด็กที่ไม่ดี จะไม่ชอบซวงซวงและคุณแม่ของซวงซวง”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มสักครู่ ยกมือขึ้นเพื่อเช็ดน้ำตาของเจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ในเวลานี้หนูสามารถเข้าใจได้แบบนี้ และเมื่อหนูเติบโตขึ้นแล้ว จะมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ มีข่าวดีจะบอกซวงซวงด้วยนะ เพราะโรงเรียนอนุบาลนี้จะจ่ายค่าชดเชยให้พวกเรา ดังนั้นคืนนี้แม่จึงสามารถซื้ออาหารที่อร่อยๆให้กับซวงซวงกินแล้ว คุณแม่ทำกับข้าวไม่เป็น เดี๋ยวให้คุณแม่หมิงจูทำเมนูซุปซี่โครงฟักเขียว?ดีไหมคะ?”

เจี่ยนซวงปรบมือทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: "โอเคค่ะ!"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้รับค่าตอบแทนแล้ว ในขณะที่กำลังหันกลับไป อารมณ์ของเจี่ยนซวงก็กลับมาเป็นปกติแล้ว เธอถึงกับยืนพิงอยู่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่ว กระพริบตาและกระซิบว่า: "คุณแม่คะ ในอนาคตหนูจะไปเรียนโรงเรียนอนุบาล และพยายามไม่ให้พวกเขาขับไล่ซวงซวงอีกแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้พวกเราก็จะมีเงินมากมายอีก”

"มีคนมากมายที่ไหนกัน จะไม่ชอบซวงซวงและคุณแม่ละคะ " เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวของเจี่ยนซวงและพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพาเจี่ยนซวงเดินไปที่ร้านขนมด้วยกัน แต่ยังเดินไปไม่ถึงร้านขนม โทรศัพท์มือถือของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้นและเธอก็รับสายทันที และยิ้มให้กับเยี่ยหมิงจูที่โทรมา :“ฮาโหล พี่หมิงจูเหรอคะ? มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?"

เยี่ยหมิงจูพูดด้วยน้ำเสียงเบา: "หน้าร้านเกิดเรื่องแล้ว มีคนใช้สีเขียนนอกร้าน"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองลงไปที่เจี่ยนซวง จากนั้นยิ้มแล้วถามว่า:“เหรอ เขียนคำว่าอะไร?"

"เมียน้อย หน้าด้าน!" เยี่ยหมิงจูถอนหายใจเฮือก :“มีคนเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "อาจจะ แต่มีแนวโน้มว่าจะมีคนอื่นจงใจทำเรื่องนี้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นฉันก็ไม่เข้าร้านแล้ว รอสักพัก ฉันค่อยโทรศัพท์ให้เธอนะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ ก้มลงยิ้มให้เจี่ยนซวงแล้วพูดว่า:“ แจ้งข่าวดีให้ซวงซวงทราบนะคะ ขนมในร้านของเราขายหมดแล้ว วันนี้เราสามารถพักผ่อนได้หนึ่งวัน คุณแม่พาซวงซวงไปสวนสนุกดีไหมคะ ? ให้รางวัลเนื่องจากเมื่อกี้ซวงซวงเข้มแข็งมากๆ ซวงซวงไม่ได้ร้องไห้ต่อหน้าครูใหญ่เลย เก่งจริงๆเลย!”

เจี่ยนอี๋นั่วปรบมือของเธอทันทีและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ว้าว……ไปสวนสนุกกันเถอะ! หนูอยากเล่นม้าหมุนคะ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวง เหล่ตามองด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นแล้วลูบหัวเจี่ยนซวงเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "โอเค วันนี้ซวงซวงสามารถเล่นได้ทุกอย่างให้สะใจไปเลย! อยากเล่นอะไรก็เล่นอย่างนั้น อีกทั้งจะอนุญาตให้กินสายไหมสองอัน แต่ว่าพรุ่งนี้หนูต้องเป็นเด็กดีและเชื่อฟังนะคะ และต้องไม่กินลูกอมอีก”

แววตาเจี่ยนซวงใสปิ้งจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับอย่างดีใจสุดๆ

จางหมินมองไปที่แก้วไวน์ที่บีบจนแตกละเอียดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดทันที :“คุณประธานเหลิ่งครับ นี่คุณ ……คุณต้องการจะห้ามกู้เค่อหยิงหรือไม่ครับ?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว หายใจเข้าลึก ๆ และในที่สุดก็ส่ายหัวช้าๆและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องไปห้าม ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา บางทีการที่เธอไปหาอี๋นั่ว อาจจะทำให้อี๋นั่วปลอดภัยกว่า ”

จางหมิมพยักหน้า:“ครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มมองลงไปที่มือของเขาที่ถูกแก้วบาดมือ เขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างช้าๆ ตอนนี้เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด เพราะเขารู้ดีว่า เจี่ยนอี๋นั่วจะต้องเจ็บปวดและเสียใจมากกว่าเขา

กู้เค่อหยิงนั่งอยู่ในรถ หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังยุ่งอยู่กับการทักทายลูกค้าในร้านขนม กู้เค่อหยิงขมวดคิ้วทันที เดิมกู้เค่อหยิงคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วติดคุกแล้วหลายปี คงจะแก่ไปมากแล้ว แต่สุดท้ายกลับดูมีชีวิตชีวาและยังคงสวยมาก

ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไว้ผมสั้น ใส่เสื้อยืดสีขาว และเสื้อคลุมสีดำไหมพรม และใส่กางเกงสแล็คสีดำ ดูเหมือนการแต่งกายที่เรียบง่าย แต่ก็ยังดูโดดเด่น ทำให้กู้เค่อหยิงอึดอัดจนทนไม่ไหวหน้าคิ้วขมวดขึ้นมาทันทีและเมื่อเธอหันไปมองเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ วิ่งไปรอบ ๆข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว คิ้วของกู้เค่อหยิงก็ยิ่งขมวดแน่นมากขึ้น

เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ดูแล้วอายุน่าจะเกินสามขวบกว่า และเธอดูธรรมดา แต่เธอดูมีชีวิตชีวามาก และดวงตาของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ นั้นคล้ายกับของเหลิ่งเซ่าถิงมาก แม้ว่าใบหน้าของทั้งสองจะแตกต่างกัน แต่แค่มองปุ๊บก็ดูออกแล้วว่าเด็กหญิงคนนี้เป็นลูกสาวของเหลิ่งเซ่าถิง

กู้เค่อหยิงกำมือของเธอแน่น แล้วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า :“สาวน้อยคนนั้น มีชื่อเรียกว่าอะไร?”

"เจี่ยนซวง ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ชั้นอนุบาลในโรงเรียนอนุบาลใกล้ ๆแถวนี้ " นักสืบเอกชนที่นั่งอยู่ข้างๆตอบด้วยน้ำเสียงเข้ม

กู้เค่อหยิงกระพริบตาของเธอหันหน้าและยิ้มให้นักสืบเอกชนแล้วพูดว่า:“เหรอ ในโรงเรียนอนุบาลแห่งนั้นคงยังไม่รู้สินะว่าคุณแม่ของเจี่ยนซวงนั้นเป็นอาชญากร? หรือคนที่ไปซื้อเค้กร้านนี้คงไม่รู้ว่าเจ้าของร้านเคยติดคุกมาก่อน ? เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป และพูดถึงผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่วยิ่งต่ำยิ่งดี เรื่องเกี่ยวกับการที่เธอเคยติดคุก ก็ไม่ต้องพูดอะไรให้มากนัก ให้พูดว่าเธอเป็นเมียน้อยของคนอื่น ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานจดทะเบียนสมรสซ้อน สำหรับเด็กผู้หญิงคนนั้น เป็นลูกนอกสมรสของเธอที่เกิดกับคนอื่น”

นักสืบเอกชนขมวดคิ้ว: "แต่ความจริงแล้วเธอไม่ได้ถูกตัดสินในเรื่องนี้ เป็น ……”

กู้เค่อหยิงจ้องมองไปที่นักสืบส่วนตัวอย่างเย็นชา และพูดด้วยน้ำเสียงอย่างเย็นชาว่า: "ฉันรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าบอกว่าเธอฆ่าคนตายอย่างงั้นหรือ?ใครจะไปเชื่อว่าเธอเคยฆ่าคนตาย แล้วยังถูกปล่อยตัวออกมาเร็วขนาดนี้?เธอเป็นเมีย เป็นเมียน้อยที่หน้าด้านที่สุด เพราะว่าการมีตัวตนของเธอ ก็คือทำลายชีวิตแต่งงานที่มีความสุขของคนอื่น!”

นักสืบเอกชนพยักหน้าทันที ยิ้มและพูดว่า:“โอเค ได้ครับ ผมจะจัดการเดี๋ยวนี้"

"แต่แค่นั้นยังไม่พอ!" กู้เค่อหยิงเอนตัวไปที่เบาะหลังของรถ และกดเบอร์โทรออก หลังจากโทรศัพท์เสร็จแล้ว เธอยิ้มและรีบพูดว่า:“ฮาโหล หลิวจื่อซิงใช่ไหมคะ?”

เมื่อหลิวจื่อซิงได้ยินเสียงเรียกของกู้เค่อหยิงเขาก็ทำตาขวางทันที แต่เธอก็ต้องอดทนและยิ้มพูดกู้เค่อหยิงว่า:“ อ้าว เป็นคุณหญิงเหรอคะเนี่ย?ระยะนี้ยุ่งมากใช่ไหมคะ ? ไม่เห็นมาเที่ยวมานั่งดื่มกาแฟสักแก้วที่ร้านฉันบ้างเลยนะคะ ”

ไม่ใช่ว่าหลิวจื่อซิงจะไม่เกลียดกู้เค่อหยิงหรอกนะ ถ้าหากไม่ใช่เพราะกู้เค่อหยิง หลิวจื่อซิงรู้สึกว่าตอนนี้เธออาจจะเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งแล้วก็เป็นได้ แต่ตอนนี้กู้เค่อหยิงกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งไปแล้ว และยังให้กำเนิดลูกชายอีกหนึ่งคน แล้วเธอจะทำอย่างไรได้ล่ะ? ทำได้เพียงเก็บทุกความคับแค้นใจเอาไว้ ตอนนี้ทั้งเหลิ่งหมิงอันและเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สนใจเธอแล้ว หลิวจื่อซิงต้องการที่จะสร้างความสัมพันธ์กับตระกูลเหลิ่งต่อไป อีกทั้งยังต้องพึ่งพากู้เค่อหยิงอีกด้วย

กู้เค่อหยิงยิ้มและพูดว่า :“อืม ฉันยุ่งเกินไป และไม่ค่อยมีเวลาว่างเลย แต่ฉันเพิ่งกินของหวานข้างนอกและมันก็ไม่เลว คุณอาจไปที่ร้านนี้และซื้อของหวานเพิ่มเติมไปไว้บ้างนะ ร้านอาหารของคุณดีทุกอย่าง ยกเว้นขนมที่ทำได้แย่มาก แต่มันก็โทษคุณไม่ได้หรอก เพราะคุณเกิดในชนชั้นต่ำเกินไป คุณไม่รู้หรอกว่าขนมที่อร่อยนั้นมีความสำคัญกับลูกค้ามากแค่ไหน แต่ร้านขนมร้านนี้แตกต่างจากร้านอื่น ถึงแม้จะเป็นร้านขนมที่ธรรมดามากไปหน่อย แต่ว่าเจ้าของร้านเป็นคนมีรสนิยมดีกว่าคุณมาก”

หลิวจื่อซิงกัดฟันของเธอ และในที่สุดก็ปกปิดความขุ่นเคืองทั้งหมดไว้ในใจของเธอ พยายามฝืนยิ้มแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เยี่ยมมากเลย เป็นเรื่องยากที่คุณนายจะเป็นห่วงเป็นใยร้านเล็กๆของฉัน ”

"ร้านของคุณเล็กไปหน่อย แต่ใครให้ฉันเป็นคนมีจิตใจดีล่ะ ฉันทนเห็นผู้หญิงด้วยกันต้องทนทุกข์ทรมานไม่ได้ ……”กู้เค่อหยิงฟังออกว่าหลิวจื่อซิงกำลังกลั้นความเกลียดชังไว้อยู่ แต่เขายังคอยประจบเธอ สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ของกู้เค่อหยิงดีขึ้น และมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอขึ้น

เมื่อมาถึงจุดนี้กู้เค่อหยิงยิ้มมากขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม: "อันที่จริงคุณก็ไม่เด็กแล้วนะ คุณควรจะแต่งงานได้แล้ว คุณดูสิอายุของคุณมากขนาดนี้แล้ว ยังคงไม่มีอะไรเลย ถ้าหากยังไม่ได้แต่งงาน ต่อไปจะทำอย่างไรล่ะ ?เมื่อเร็ว ๆ นี้ญาติห่าง ๆ ในครอบครัวของฉันสูญเสียภรรยาไป เขาอายุสี่สิบกว่าๆแล้ว เขาเหมาะกับคุณมากเลยล่ะ ถึงแม้ว่าครอบครัวของเขาจะไม่ร่ำรวย แต่เขาก็เหมาะสมกับคุณมากนะ คุณเปิดร้านอาหาร และครอบครัวของเขาเป็นเจ้าของโรงฆ่าสัตว์ ถือเป็นอุตสาหกรรมการผลิตอาหารที่เชี่ยวชาญที่เหมาะสมกับเธอมาก?”

หลิวจื่อซิงกระตุกมุมปากและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม: "มันยากที่คุณหญิงยังคงนึกถึงฉัน แต่ว่าฉันคาดไม่ถึงว่าคุณหญิงก็มีญาติแบบนี้ด้วยเหรอ”

กู้เค่อหยิงหัวเราะและพูดว่า :“ไม่ใช่เหรอ แม้แต่จักรพรรดิยังมีญาติที่ยากจนเลย แล้วนับประสาอะไรกับคนอย่างฉัน? ตระกูลที่ยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเหลิ่งแล้วยังไง? ก็ยังมีคนอย่างเธอที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งไม่จบไม่สิ้นไม่ใช่หรือ?”

หลิวจื่อซิงกำโทรศัพท์ไว้แน่น อยากวางสายทันที อย่างไรก็ตามเมื่อหลิวจื่อซิงนึกถึงฐานะของกู้เค่อหยิงแล้ว เธอจึงอดทนกับมันทันที พยายามฝืนยิ้มและพูดด้วยรอยยิ้มสั่น ๆ : "รบกวนคุณหญิงจริงๆนะคะ โปรดให้หมายเลขโทรศัพท์ของอีกฝ่ายกับฉันด้วย ฉันจะสั่งขนมหวานเข้าร้าน ถึงเวลานั้นยังต้องเชิญคุณหญิงมาชิมนะคะ ”

กู้เค่อหยิงยิ้มและพูดว่า :“ไม่ต้องแล้ว ฉันทิ้งเบอร์โทรร้านอาหารของคุณไว้ให้เธอแล้ว ถึงเวลาเธอจะไปหาคุณเอง คุณต้องต้อนรับดูแลเธออย่างดีหน่อยนะจ๊ะ”

กู้เค่อหยิงวางสายโทรศัพท์หลังจากพูดจบ หลิวจื่อซิงขมวดคิ้วเมื่อเธอได้ยินกู้เค่อหยิงวางสาย และพูดอย่างดุเดือด :“โอเค โอเค! ฉันจะต้อนรับดูแลอย่างดีเลย และฉันจะแสดงให้คุณหญิงตระกูลเหลิ่งดู ว่าเป็นต้อนรับและดูแลลูกค้าได้ดีขนาดไหน”

กู้เค่อหยิงยิ้มและมองไปที่โทรศัพท์เธอรู้ว่าหลิวจื่อซิงต้องการแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าจะมีผู้หญิงหลายคนที่ต้องการแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่หลิวจื่อซิงนั้นแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่น ๆ เธอเคยอยู่ใกล้กับตำแหน่งนั้นมากใกล้จนถึงจุดที่ทำให้เธอเสียใจมากในภายหลัง

กู้เค่อหยิงคิดว่าผู้หญิงอย่างหลิวจื่อซิงก็ไร้สาระเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเธอมีโอกาสที่ดีเช่นนี้ แต่เธอมีความฝันพาตัวเองเข้าสู่อนิเมะและจินตนาการว่าตัวเองเป็นคนมีอำนาจทุกอย่าง เธอคิดว่าเธอสามารถทำให้พี่น้องทั้งสองคนในตระกูลเหลิ่งหลงรักเธออย่างหัวปักหัวปำเหรอ? ผลสุดท้ายคือเธอไม่ได้อะไรเลย และในตอนนี้เธอก็จับไม่ได้สักคน และเธอกลายเป็นตัวตลกที่น่าหัวเราะของคนชั้นสูง

หลิวจื่อซิงจะมาเปรียบเทียบกับเธอได้อย่างไร? เธอเป็นผู้หญิงที่ทำให้สองพี่น้องตระกูลเหลิ่งหลงรักอย่างหัวปักหัวปำต่างหากล่ะ

กู้เค่อหยิงนึกถึงนี่ และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ย เธอรู้สึกว่าเธอหน้ามืดตามัวมากจริงๆ ทำไมถึงเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอย่างหลิวจื่อซิงด้วย ? เธอเป็นถึงคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งแล้ว หลิวจื่อซิงยังนับประสาอะไร? ตอนนี้เป็นได้เพียงแค่สุนัขพันธุ์ปั๊กที่ประจบข้างกายเธอตัวหนึ่งเท่านั้น

ตอนนี้กู้เค่อหยิงหวังเพียงว่าสุนัขพันธุ์ปั๊กตัวนี้จะมีบทบาทเล็ก ๆ น้อย ๆ และสามารถกัดเจี่ยนอี๋นั่วได้บ้าง

กู้เค่อหยิงคิดถึงนี่ จดหมายเลขโทรศัพท์ร้านอาหารของหลิวจื่อซิงไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่ง แล้วส่งให้นักสืบส่วนตัวที่นั่งข้างๆเธอ ยิ้มและพูดว่า: "เอาเบอร์โทรศัพท์นี้ไปให้เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ต้องพูดอะไรเยอะ พูดแค่ว่าเจ้าของร้านอาหารได้ชิมขนมหวานของร้านเธอแล้ว และคิดว่ามันไม่เลวเลย เธอจึงขอให้เธอส่งขนมไปที่ร้านอาหารของเธอด้วย”

นักสืบเอกชนยิ้มและพยักหน้าตอบรับทันที แล้วรีบลุกขึ้นและเดินไปที่ร้านขนมของเจี่ยนอี๋นั่ว กู้เค่อหยิงเหล่ไปที่ร้านขนมของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยความเยาะเย้ย: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เธอไม่สามารถอยู่ในเมืองนี้ได้อีกต่อไป!”

เจี่ยนอี๋นั่วรับนามบัตรจากเจ้าของร้านอาหาร และส่งคนที่ส่งนามบัตรไปที่ประตูด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะหันไปยิ้มให้ เจี่ยนซวงที่เดินตามหลังเธอมา ยิ้มแล้วพูดว่า:“ซวงซวง พวกเรามีออร์เดอร์เพิ่มขึ้นอีกแล้วนะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและปรบมือทันที: "เยี่ยมมากค่ะ เยี่ยมมากจริงๆค่ะ! คุณแม่เยี่ยมมากค่ะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและลูบหัวของเจี่ยนซวงเบาๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: "นี่เป็นเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเจี่ยนซวงนะเนี่ย คุณแม่ต้องขอบคุณซวงซวง แต่ซวงซวงก็อย่าหักโหมมากเกินไปนะคะ ไม่ต้องมาช่วยคุณแม่บริการลูกค้าแล้วนะคะ ไปนั่งเล่นตรงนั้นเถอะลูก รอคุณแม่ทำงานเสร็จแล้ว คุณแม่จะพาชวงซวงกลับบ้านนะคะ และเล่านิทานให้ซวงซวงฟังนะคะ”

เจี่ยนซวงยิ้มและพยักหน้าแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม อืม วันนี้คุณครูเล่าเรื่องเจ้าหญิงนิทราให้ฟังค่ะ คุณแม่เล่านิทานเรื่องบ้านขนมให้หนูฟังอีกครั้งนะคะ หนูชอบฟังนิทานเรื่องบ้านขนมมากที่สุดเลยค่ะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้า เจี่ยนซวงก็ปีนขึ้นไปบนที่นั่งที่ว่างอยู่ข้างๆอย่างเชื่อฟัง และเล่นเกมต่อจิ๊กซอว์คนเดียว ในเวลานี้ลูกค้าในร้านอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า :“เถ้าแก่เนี้ย ลูกสาวของคุณน่ารักน่าเอ็นดูและเชื่อฟังจริงๆนะคะ”

เจี่ยนซวงได้ยินสิ่งที่คนอื่นยกย่องเธอ เธอเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยถ่อมตนเมื่อคนอื่นชมเจี่ยนซวงต่อหน้า เธอต้องการให้เจี่ยนซวงรู้ว่าเธอเก่งแค่ไหน ในช่วงเวลาที่ถูกคุมขังเจี่ยนอี๋นั่วเคยกังวลว่ามันจะทิ้งสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาไว้ที่เจี่ยนซวง และทำให้เจี่ยนซวงรู้สึกมีปมด้อย ดังนั้นตอนนี้ให้ความสนใจเจี่ยนซวงและให้กำลังใจเธอเป็นพิเศษ เพื่อปลูกฝังให้เธอมีความมั่นใจในตนเอง

ในขณะนี้เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำชื่นชมจากคนอื่น ๆ และพยักหน้าด้วยรอยยิ้มทันทีและกล่าวด้วยรอยยิ้มให้กับบุคคลนั้น: "ใช่ค่ะ เธอเป็นเด็กดี และฉลาดมากค่ะ ขอบคุณสำหรับคำชมนะคะ"

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วชมเธอต่อหน้าคนอื่น ๆ ใบหน้าเล็ก ๆ แดงขึ้นเล็กน้อย และเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจและกระพริบตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและกระพริบตาให้กับเจี่ยนซวง สองแม่ลูกมองหน้ากันแล้วหัวเราะออกมาอีกครั้ง เยี่ยหมิงจูที่กำลังทำขนมอยู่มองไปที่ฉากของสองแม่ลูกยิ้มให้กันและอดไม่ได้ที่จะหยุดดูพวกเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

กู้เค่อหยิงจ้องมองไปที่เหลิ่งเฉิงเยี่ย และนั่งลงบนเตียงด้วยความโกรธ เธอหายใจออกเฮือกและพูดว่า:“ ทำไมฉันถึงให้กำเนิดเด็กคนนี้ออกมาแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?ทำไมฉันถึง……”

กู้เค่อหยิงพูดถึงนี่ทันใดนั้นก็หยุดชะงัก เธอเงยหน้าขึ้นและมองไปที่สาวใช้ที่กำลังเกลี้ยกล่อมเด็กน้อยอยู่ และพูดน้ำเสียงอย่างเย็นชา: "เธอยังยืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะ?ยังไม่รีบออกไปอีก?หรือคิดจะแอบฟังคำพูดของฉันอีกอย่างนั้นเหรอ?”

สาวใช้ส่ายหัวอย่างรวดเร็วและพูดอย่างตื่นตระหนก: "คุณหญิงคะ ดิฉันไม่กล้าหรอกค่ะ ?ดิฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

เมื่อสาวใช้พูดจบ เธอก็วางเด็กกลับที่เดิม แล้วก็รีบออกจากห้องไป

กู้เค่อหยิงมองตามด้านหลังของสาวใช้ไป แล้วเหลือบมองไปที่สาวใช้และพูดอย่างเย็นชาว่า :ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรกับเธอดี!”

จากนั้นกู้เค่อหยิงก็อุ้มเหลิ่งเฉิงเยี่ยขึ้นมา ค่อยๆโอ๋ลูกและพูดเกลี้ยกล่อมเหลิ่งเฉิงเยี่ยที่กำลังร้องไห้ไม่หยุด และพูดอย่างวิตกกังวลและหงุดหงิด: "พอแล้วลูก พอแล้วลูก ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ร้องไห้ทั้งวันแบบนี้มันน่ารำคาญมากรู้ไหม ?มิน่าล่ะคนอื่นถึงได้รังเกียจลูก! ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไปอีก รวมถึงแม่ก็จะรังเกียจลูกเพิ่มอีกคนแล้วนะ แม่ไม่ต้องการลูกอีกแล้วนะ !”

กู้เค่อหยิงพูดอยู่ก็วางเหลิ่งเฉิงเยี่ยที่ยังคงร้องไห้ไม่หยุดอยู่บนเตียง ทำหน้าบึ้งและมองออกไปนอกหน้าต่าง: "ได้เลย ฉันจะรอดูว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั่นเป็นคนอย่างไร !ดูสิว่าลูกที่เธอให้กำเนิดออกมาพิเศษกว่าคนอื่นตรงไหน! กล้าดียังไงมาแย่งชิงกับฉัน!”

กู้เค่อหยิงหรี่ตาจ้องมองไปทางนอกหน้าต่าง แล้วหรี่ตาแน่น:“ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน ใครกันแน่ที่เป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ”

หลังจากที่กู้เค่อหยิงพูดจบ เธอก็หันกลับมาพร้อมถือกระเป๋าเดินออกจากห้องไป เธอลงไปชั้นล่างอย่างโมโห ทันทีที่กู้เค่อหยิงเดินออกจากคฤหาสน์ ก็มีสาวใช้เดินไปข้างๆคุณนายเหลิ่ง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า: "คุณนายคะ คุณหญิงออกไปแล้วค่ะ ดูเหมือนอาการจะโมโหมากเลยค่ะ อาการเหมือนกำลังจะไปล้างแค้นใครยังไงยังงั้นเลยค่ะ”

คุณนายเหลิ่งเลิกคิ้วและพยักหน้าตอบรับด้วยรอยยิ้ม: "ฉันรู้แล้ว”

สาวใช้คนนี้เป็นคนรับใช้ส่วนตัวของคุณนายเหลิ่ง เธอรู้หลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับคุณนายเหลิ่ง ระยะนี้กู้เค่อหยิงทำให้เธอเสียอารมณ์หลายเรื่องมาก เธอจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า:“คุณนายคะ ผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่วฉลาดกว่ากู้เค่อหยิงมาก คนอย่างกู้เค่อหยิงหยิ่งและเอาแต่ใจ เด็กก็คลอดออกมาแล้ว เอาแบบนี้ดีไหมคะ……”

"หึ……เธอเข้าใจดี เหตุผลที่เจี่ยนอี๋นั่วจำเป็นต้องจากไป ก็เป็นเพราะว่าเธอฉลาดกว่ากู้เค่อหยิง”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดไปด้วย: "ตอนนี้กู้เค่อหยิงกำลังต่อสู้แย่งชิงแค่สิ่งของภายนอกเท่านั้น เธอไม่สามารถมีส่วนร่วมในด้านธุรกิจของเหลิ่งเซ่าถิงเลยสักนิด แต่สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วถ้าหากอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงนานกว่านี้แล้วล่ะก็ เธอสามารถจัดการกับเรื่องงานบางอย่างของเหลิ่งเซ่าถิงได้แน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็คงเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่ อีกทั้ง……”

คุณนายเหลิ่งพูดที่นี่และหยุดชะงักเล็กน้อย เธอคิดในใจ และในเวลานั้นเธอไม่เพียงต้องการให้เจี่ยนอี๋นั่วออกจากชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น แต่ยังต้องการให้เหลิ่งหมิงอันก็คิดอยากให้เจี่ยนอี๋นั่วออกจากชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงเช่นกัน ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอำนาจมากขนาดนี้ ดังนั้นจึงสามารถขับไล่เจี่ยนอี๋นั่วออกไปได้อย่างง่ายดาย สถานการณ์ปัจจุบันจะไปเปรียบเทียบกับสถานการณ์เดิมได้อย่างไรกันล่ะ?

คุณนายเหลิ่งหรี่ตา แล้วถอนหายใจออกมา และพูดด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา: "ช่างมันเถอะ อย่าไปนึกถึงเรื่องเหล่านั้นอีกเลย ฉันจะรอดูว่ากู้เค่อหยิงจะนำเรื่องสนุกๆมาให้พวกเราชมกัน ใช่สิ ทางด้านเหลิ่งหมิงอันไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลยเหรอ?”

สาวใช้ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงเบา :“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขา คุณชายใหญ่เจอหลักฐานเกี่ยวกับการยักยอกเงินในบริษัทของเหลิ่งเฉิงอวี่ และพวกเขากำลังคิดหาทางในการจัดการแก้ไขอยู่?”

คุณนายเหลิ่งเลิกคิ้วขึ้นเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“มีวิธีจัดการแก้ไขได้อยู่อีกเหรอ ?บางทีมันอาจมีแค่ทางเลือกเดียว คือเหลิ่งเฉิงอวี่ต้องตายอย่างเดียวแล้วล่ะ หากเหลิ่งเฉิงอวี่เห็นสถานการณ์ชัดเจนกว่านี้ ก็ควรตายเร็วกว่านี้ ไม่ต้องทำให้คนอื่นเดือดรอดไปด้วยอีก ถ้าไม่เช่นนั้น เหลิ่งหมิงอันก็จะถูกทำลายไปด้วย เหลิ่งหมิงอันยังมีประโยชน์กับฉันอยู่ ถึงแม้ว่าบางครั้งเขาจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนสำคัญกว่า แต่เมื่อเขาเทียบกับคุณพ่อของเขาแล้ว ยังถือว่าเขาก็ฉลาดไม่น้อย”

สาวใช้ลดตาลงเมื่อเธอได้ยินคุณนายเหลิ่งพูดเช่นนั้น และไม่ได้พูดอะไรต่อ

เหลิ่งเฉิงอวี่มาถึงทางตันแล้ว เขาสั่นเล็กน้อยแล้วจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน และถามด้วยน้ำเสียงเบา: "มัน มันไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วใช่ไหม ? เอาแบบนี้ดีไหม ไปขอความเมตตาจากคุณนายเหลิ่ง บางทีเธออาจช่วยพวกเราได้ เธอมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะควบคุมทุกอย่าง เธอจะไม่ปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงมีอำนาจอยู่คนเดียวหรอก เธอขาดพวกเราไม่ไดหรอก……”

“คุณนายเหลิ่งอาจจะขาดพวกเราไม่ได้ แต่ว่าพวกเรา ……”เหลิ่งหมิงพูดถึงนี่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เงยหน้าเหลือบมองที่เหลิ่งเฉิงอวี่

เหลิ่งเฉิงอวี่แตะที่จมูกของตัวเอง หน้าคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก :“ นี่ นี่ลูกหมายความว่าอย่างไร?”

เหลิ่งหมิงอันยกเปลือกตาขึ้นเหลือบมองไปที่เหลิ่งเฉิงอวี่อย่างเย็นชาพร้อมพูดด้วยน้ำเสียเย็นชา : "ความหมายของผมคือ ก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ คุณนายเหลิ่งจะเก็บผมไว้คนเดียวเท่านั้น และจะไม่เก็บพ่อไว้แล้ว คุณพ่อครับ คุณพ่ออายุก็มากแล้ว สำหรับในสายตาของคุณนายเหลิ่ง มันไม่เหลือประโยชน์อะไรแล้วครับ!”

เหลิ่งเฉิงอวี่หน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงที่สั่น:“อะไรนะ?นี่ลูกกำลังพูดอะไรอยู่?”

เหลิ่งหมิงอันลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มและเปิดหน้าต่าง ด้านนอกไม่มีรั้วกั้น มีเพียงผู้คนที่ชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อย ก็มีความรู้สึกว่าอาจจะตกจากตึกสูงได้ เหลิ่งหมิงอันก้มหน้าลงมองทุกอย่างที่อยู่นอกหน้าต่าง ค่อยๆหรี่ตาลงอย่างช้าๆ และถามด้วยรอยยิ้ม: "คุณพ่อครับ คุณพ่อยังจำเหตุการณ์ที่ผมโดนลักพาตัวครั้งนั้นได้ไหมครับ ?”

เหลิ่งเฉิงอวี่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่ข้างๆของเหลิ่งหมิงอัน และพูดอย่างกังวลว่า:“ตอนนี้ลูกมาพูดถึงเรื่องในอดีตอีกทำไม? เหตุการณ์นั้นมันก็ผ่านมานานมากแล้วไม่ใช่เหรอ ?นี่ลูกก็ยืนอยู่ที่นี่แล้วอีกทั้งลูกก็ยังสุขสบายดีไม่ใช่เหรอ ? สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือควรคิดหาทางว่าจะจัดการแก้ไขเรื่องของพ่ออย่างไรดี ถ้าหากปัญหาของพ่อไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ลูกอย่าคิดว่าลูกจะได้มีชีวิตอยู่อย่างสบาย!”

"ผมรู้ครับ" เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม: "ดังนั้นมันเหมาะที่ผมจะพูดถึงเรื่องในอดีตมากครับ ก่อนหน้านี้ผมยังจำได้ว่า ผู้ร้ายลักพาตัวผม ต้องการให้คุณพ่อเอาเงินให้กับพวกมัน แต่จนแล้วจนเล่าคุณพ่อก็ไม่ได้นำเงินไปให้พวกมัน พวกมันกำลังจะยิ่งผม แต่มือปืนสังหารชิงลงมือยิ่งผู้ร้ายก่อน หลังจากนั้นคุณพ่อก็ยักยอกเงินจำนวนนั้นเอาไว้ บอกว่าผู้ร้ายที่ลักพาตัวได้โอนเงินไปแล้ว ผมอยากถามคุณพ่อว่า คุณพ่อของผม ถ้าหากในตอนนั้นผู้ร้ายลักพาตัวคนนั้นเหนี่ยวไกอย่างรวดเร็ว ผมคงตายแล้วใช่หรือไม่ครับ พวกเขาต้องการแค่เงินจริงๆ ตอนที่พวกเขาลักพาตัวผม พวกเขาไม่ได้ทุบตีหรือด่าว่าผมเลยแม้แต่น้อย และไม่กล้าทำร้ายผมเลยสักนิด แต่เป็นเพราะคุณพ่อบีบบังคับให้พวกเขาเหนี่ยวไกใส่ผม และถ้าหากตอนนั้นผมตายแล้ว คุณพ่อคงไม่รู้สึกเสียดายเลยใช่ไหมครับ คุณพ่อคิดว่าลูกชายคุณพ่อสามารถมีใหม่ได้ แต่สำหรับเงินจำนวนนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา”

เหลิ่งเฉิงอวี่ได้ยินน้ำเสียงของเหลิ่งหมิงอันแล้วรู้สึกมันแปลกๆ เขารีบขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชาว่า:“ตอนนี้ลูกมาพูดเรื่องเก่าๆเหล่านั้นทำไมกัน?พ่อลืมเรื่องก่อนหน้านี้ไปจนหมดแล้ว พวกเรามาดูสถานการณ์ในปัจจุบันดีกว่าว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก”

“ เพื่อเงินแล้ว คุณพ่อสามารถทำให้ผมตกอยู่ในอันตรายได้ คุณพ่อดูไม่ออกเลยเหรอครับว่าควรทำอย่างไร?”เหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ ก็หรี่ตาขึ้นหันหน้าจ้องมองเหลิ่งเฉิงอวี่ หัวเราะแล้วพูดว่า:“ เวลานี้ขอเพียงคุณพ่อตายแล้ว ทุกอย่างก็จบลงเช่นเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ก็เหมือนกันกับคนๆนั้น เมื่อเขากระโดดลงมาจากตึก เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ไปสืบหาเบาะแสอะไรต่ออีก หรือเขาต้องการสืบหาหลักฐานให้คณะกรรมการเพื่อเอาผิดลุงที่ตายไปแล้วของเขาอย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นเรื่องราวทั้งหมด มันขึ้นอยู่กับคุณพ่อคนเดียวแล้ว ”

เหลิ่งเฉิงอวี่เบิกตากว้างจ้องมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน ขมวดคิ้วและพูดว่า :“นี่ลูก ลูกหมายความว่าอะไร ?พ่อเป็นพ่อของลูกนะ !ลูกจะปล่อยให้พ่อตายได้อย่างไรกัน? นี่ลูกยังเป็นลูกชายของพ่ออยู่หรือไม่”

"โอ้?" เหลิ่งหมิงอันยิ้มและหันหน้าไปมองที่เหลิ่งเฉิงอวี่ หัวเราะแล้วพูดว่า: "คุณเป็นคุณพ่อจริงๆ นี่ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็รบกวนคุณพ่อช่วยเสียสละชีวิตของตัวเองหน่อยสิครับ ถ้าหากคุณพ่อตายแล้ว ก็จะมีคนพูดว่าเหลิ่งเซ่าถิงบีบบังคับคุณพ่ออย่างโหดร้ายเกินไป ต่อไปนี้เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่กล้ามาวุ่นวายกับผมอีกแล้ว แม้แต่คุณนายเหลิ่งก็คงถอนหายใจด้วยความโล่งอก การตายของคุณพ่อ ก็ยังมีประโยชน์มากนะครับ”

"นี่ลูก ลูกเป็นคนแบบนี้เองเหรอ !" เหลิ่งเฉิงอวี่ค่อยๆหรี่ตาและก้าวถอยหลัง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ทำไมลูกถึงโหดเหี้ยมอํามหิตได้ขนาดนี้? นี่ลูกจะไม่สนใจความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกเลยหรือ?เงินที่พ่อเก็บสะสมไว้และหาเส้นสายไว้นั้น หรือลูกจะไม่เคยเอาไปใช้ประโยชน์เลยหรือ ?ระยะนี้เพื่อผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้คนในเรือนจำทั้งหมดขุ่นเคืองแล้ว ตอนแรกสั่งให้พวกเราทำงาน จากนั้นก็ทำให้พวกเขาเดือดร้อนไปด้วย พ่อยังไม่ว่าอะไรลูกสักคำ นี่ลูกยังกล้า……”

จู่ๆ เหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือออกไปเพื่อจับข้อมือของเหลิ่งเฉิงอวี่และพูดอย่างเย็นชา: "คุณพ่อครับ ถ้าคุณพ่อไม่เต็มใจ ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยคุณพ่อเองนะครับ !”

“พ่อเป็นพ่อของแกนะ!”เหลิ่งเฉิงอวี่ร้องตระโกนออกมาเสียงดัง

ทันใดนั้นเหลิ่งหมิงอันก็คว้าแขนของเหลิ่งเฉิงอวี่ และผลักเหลิ่งเฉิงอวี่ออกไปนอกหน้าต่างอย่างแรง เหลิ่งหมิงอันยืนมองอยู่ที่หน้าต่าง มองดูเหลิ่งเฉิงอวี่ล้มลงกับพื้นเสียงดัง เหลิ่งหมิงอันค่อยๆหัวเราะออกมา:“ผมรู้แน่นอนว่าคุณพ่อเป็นคุณพ่อของผม แต่ว่าแล้วมันยังไงล่ะ?อยู่ในตระกูลเหลิ่ง ผมไม่ใช่คนแรกที่ลงมือฆ่าพ่อของตัวเองนี่ หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ผมก็มีเวลาไปดูอี๋นั่วแล้วล่ะ”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี้ ก็หลับตาลงบีบน้ำตาออกมา จากนั้นก็ตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ:“ช่วยด้วยครับ ใครก็ได้ช่วยด้วยครับ!คุณพ่อของผมกระโดดตึกฆ่าตัวตายครับ !ใครก็ได้มาช่วยหน่อยครับ!”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงทราบข่าวการตายของเหลิ่งเฉิงอวี่ เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากเกินไป เขาเดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหลิ่งหมิงอันต้องทำแบบนี้ เหตุผลที่เขาเผยแพร่ข่าวออกไป ก็เพราะต้องการให้เหลิ่งหมิงอันทำแบบนี้ เนื่องจากหลักฐานของเขา เขาเจตนาให้เลขาฯ รู้เรื่อง และส่วนหนึ่งเป็นหลักฐานปลอมที่เขาว่าจ้างให้ทำขึ้นมา และไม่สามารถพิสูจน์หรือเอาผิดเหลิ่งเฉิงอวี่ได้เลย

มีเพียงการปล่อยข่าวออกไป ทำให้เหลิ่งหมิงอันต้องการปกป้องตัวเองจึงลงมือฆ่าเหลิ่งเฉิงอวี่ และนั้นจึงเป็นประโยชน์สูงสุดต่อเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นรินไวน์แดงให้ตัวเองหนึ่งแก้ว และถอนหายใจด้วยความโล่งอก

จางหมินยืนอยู่ด้านข้างเตือนทันที: "คุณประธานเหลิ่งครับร่างกายของคุณยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นอย่าดื่มมากจนเกินไปนะครับ"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ ไม่เป็นไร วันนี้มันคุ้มค่าที่จะเฉลิมฉลองหน่อย เพราะว่าศัตรูของฉันน้อยลงอีกหนึ่งคน ผมเข้าใกล้คนในครอบครัวของผม มากขึ้นอีกก้าวหนึ่งแล้ว”

ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่นั้น เขาก้มหน้าลงและมองไปที่ไวน์ที่กำลังสั่นไหว และสิ่งนี้ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงนึกถึง ในปีนั้นเขาเกือบจะจมน้ำตาย ก็เหมือนใต้ผิวน้ำที่แกว่งไปมาแบบนี้ เขาเห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเหลิ่งเฉิงอวี่ และเงาที่รีบร้อนเดินจากไป และเหลิ่งเซ่าถิงมีชีวิตอยู่ได้ทุกวันนี้ เขากลับต้องจัดงานศพให้กับเหลิ่งเฉิงอวี่คนที่เกือบจะทำให้เขาจมน้ำตายในตอนนั้น ในโลกนี้เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้จริงๆ

ในขณะนั้นจางหมินรับสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา จากนั้นก็รีบวางสายอย่างรีบร้อน พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“คุณประธานเหลิ่งครับ กู้เค่อหยิงไปหาคุณหนูเจี่ยนแล้วครับ ”

ทันใดนั้นมือของเหลิ่งเซ่าถิงก็กำแก้วไวน์แน่น เขาบีบแก้วไวน์ในมือของเขาจนแตกละเอียด และพูดอย่างเย็นชาว่า:“ อืม ผมรู้แล้ว”

กู้เค่อหยิงหายใจเข้าลึก ๆ หน้าคิ้วขมวดและจ้องมองไปที่สาวใช้ที่กำลังขวางเธออยู่ เธอพูดอย่างเย็นชา: "เธอรู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?ฉันเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง เธอกล้าดียังไงมาขวางทางฉันแบบนี้?”

สาวใช้ลดตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“ขอโทษด้วยนะคะ คุณหญิงคะ คุณนายเหลิ่งกำลังเตรียมของขวัญอยู่ค่ะ และบอกว่าเป็นของสำหรับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ เวลานี้คุณนายเหลิ่งต้องการใช้สมาธิในการคิดว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆนั้นชอบอะไร ทางที่ดีคุณหญิงอย่าไปรบกวนคุณนายเลยนะคะ ……”

“ผัวะ!”

กู้เค่อหยิงง้างมือตบสาวใช้คนนั้นแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ คนอย่างเธอ ก็กล้ามาขวางฉันอย่างนั้นเหรอ?”

หลังจากที่กู้เค่อหยิงพูดจบ เธอก็ผลักประตูออกอย่างแรง แต่พยายามที่จะเปิดประตูของคุณนายเหลิ่ง และตอนนี้กู้เค่อหยิงกำลังตื่นตระหนก ชีวิตที่ดีของเธอที่ได้มาทั้งหมดนี้ เป็นเพราะเธอคือคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาพร้อมกับลูกสาวของเธอในตอนนี้ ถ้าอย่างนั้นทุกอย่างที่เธอมีจะต้องพังพินาศ ถึงแม้ว่า เจี่ยนอี๋นั่วจะให้กำเนิดลูกสาวเพียงคนเดียว แต่ก็เป็นลูกแท้ๆของเหลิ่งเซ่าถิง และความเป็นจริงนั้นลูกของเธอไม่ใช่ลูกของเหลิ่งเซ่าถิง!

สิ่งนี้ทำให้กู้เค่อหยิงรู้สึกตื่นตระหนกอย่างอธิบายไม่ถูก เธอรู้สึกว่าการกลับมาของเจี่ยนอี๋นั่วเพื่อกลับมาเพื่อแย่งชิงทุกอย่างไปจากเธอ กู้เค่อหยิงใช้แรงตบที่หน้าประตูของคุณนายเหลิ่งอย่างแรงและตะโกนเสียงดัง:“คุณท่านคะ คุณช่วยเปิดประตูหน่อยค่ะ หนูคือเค่อหยิง หนูมีเรื่องอยากพบคุณท่านค่ะ”

ในที่สุดประตูห้องของคุณนายก็ถูกเปิดออก คุณนายเหลิ่งคิ้วขมวดและมองไปที่กู้เค่อหยิง พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เธอเป็นอะไรไป ? ทำไมเธอเอาแต่เอะอะโวยวายไม่หยุด?ที่บ้านไม่เคยมีใครอบรมสั่งสอนมาเลยเหรอ?แม้ว่าครอบครัวของเธอจะเทียบตระกูลเหลิ่งของพวกเราไม่ได้ แต่ก็เคยได้ศึกษาเล่าเรียนมาบ้างไม่ใช่เหรอ ? แต่ทำไมมาอยู่ตระกูลเหลิ่งแล้วตะโกนโหวกเหวกโวยวายแบบนี้ล่ะ? คุณพ่อและคุณแม่ของเธออบรมสั่งสอนเธอมาแบบนี้เหรอ?”

ขณะที่คุณนายเหลิ่งพูดอยู่นั้น เธอก็ลดเสียงลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“เธอนี่ทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ เมื่อเทียบกับอี๋นั่วแล้ว มันเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ”

กู้เค่อหยิงเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่คุณนายเหลิ่ง และพูดด้วยเสียงสั่น :“คุณนายพูดแบบนั้นได้อย่างไรคะ ?เจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่ทรยศต่อเซ่าถิง และยังเป็นผู้หญิงเลวที่เคยติดคุก? คุณนายจะเอาเธอมาเปรียบเทียบกับฉันได้อย่างไร? สำหรับฉันเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่ง และฉันยังให้กำเนิดลูกชายให้กับตระกูลเหลิ่งอีกด้วย? เจี่ยนอี๋นั่วให้กำเนิดลูกสาวที่มาจากการใช้หนี้! เป็นลูกสาวแล้วมีประโยชน์อะไรคะ ?มีเพียงลูกชายเท่านั้นที่จะสืบทอดตระกูลได้ และลูกชายเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่ง ถึงเวลานั้นลูกสาวก็เป็นเพียงแค่คนนอก!”

หญิงนายเหลิ่งส่ายหัวไปมาเมื่อเธอได้ยินสิ่งที่กู้เค่อหยิงพูด:“ ฟังที่เธอพูด เธอเป็นลูกสาวของครอบครัวคนอื่นและฉันก็เป็นลูกสาวของคนอื่นด้วย เธอพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไร เดิมฉันคิดว่าเด็กผู้ชายมันสำคัญกว่าเด็กผู้หญิงมากกว่าหน่อย หลังจากนั้นลองคิดทบทวนดูอีกทีเด็กผู้ชายอาจจะสำคัญแล้วยังไงล่ะ? นี่จะสองขวบแล้วยังไม่สามารถพูดคำที่เป็นประโยคได้เลย เทียบไม่ได้กับเด็กผู้หญิงที่ฉลาดเลย อี๋นั่วให้กำเนิดลูกสาว และฉลาดมากๆ จริงๆ เธออายุแค่สามขวบเอง และรู้เรื่องทุกอย่าง เธอดูน่ารักน่าเอ็นดูมาก เธอมีดวงตาคู่หนึ่งที่ดูคล้ายเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่ไม่รู้ว่าเธอเกิดมาได้ยังไง เธอกลับไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิงที่สายตาที่เฉียบคม แต่ยังเป็นสาวน้อยผู้น่ารักคนหนึ่ง ถ้าหากได้อุ้มสาวน้อยอย่างเธอไว้ในอ้อมกอด ตัวอ้วนๆแนบข้างกาย ……”

เดิมคุณนายเหลิ่งพูดคำเหล่านี้เพื่อทำให้กู้เค่อหยิงโกรธ แต่เมื่อคุณนายเหลิ่งจำได้ว่าเธอเพิ่งดูวิดีโอของเจี่ยนซวง คุ ณนายเหลิ่งก็มีความคิดและอยากพบสาวน้อยเจี่ยนซวงจริงๆสักแล้ว อยากจะอุ้มเธอ ทันใดนั้นคุณนายเหลิ่งก็อยากได้ยินคำพูดแบบเด็ก ๆที่ไร้เดียงสาของเจี่ยนซวง มันจะน่าสนใจพอ ๆ กับวิดีโอสั้น ๆ ที่เธอถ่ายทำเป็นครั้งคราวนั้นหรือไม่

หลายปีมานี้คุณนายเหลิ่งมีนิสัยเย็นชามากจนมีลูกชายเพียงคนเดียว ลูกชายคนนี้ต่อสู้แย่งชิงกับเธอมาหลายปีแล้ว และมีหลานสองคน แล้วก็จากไป จากนั้นหลานชายมาแย่งชิงกับเธอ เธอไม่มีลูกสาวและไม่มีหลานสาว บางทีถ้าเวลานั้นเธอมีลูกสาว จะมีคนใส่ใจและดูแลเธอ? ผู้ชายให้ความสำคัญกับอำนาจมากจนเกินไป แม้แต่ลูก ๆ หลาน ๆ ของตัวเองแท้ๆ ก็จะถูกคนอื่นควบคุม

นี่เป็นเรื่องจริงสำหรับญาติ และผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทางสายเลือดก็ยิ่งไม่น่าเชื่อถือ คุณนายเหลิ่งคิดว่าถ้าก่อนหน้านี้เธอมีลูกสาว ตอนนี้สถานการณ์อาจจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยก็มีคนที่สามารถพึ่งพาได้ ล้วนพูดว่า ลูกสาวเป็นคนละเอียดอ่อนอารมณ์อ่อนโยนและมีน้ำใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับพ่อแม่ของเธอ?

ตระกูลใหญ่อย่างตระกูลเหลิ่งนั้นมั่นคงและมีอำนาจ และให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายเท่านั้น แม้ว่าคุณจะให้กำเนิดเด็กผู้หญิง พวกเขาทั้งหมดได้รับการปลูกฝังให้แต่งงาน และแต่ละคนมีความประพฤติดีและเชื่อฟังราวกับว่าพวกเขาถูกแกะสลักจากแม่พิมพ์ บางครั้งคุณนายเหลิ่งก็เข้าร่วมการสังสรรค์ในตระกูล และเธอไม่สามารถบอกความแตกต่างระหว่างเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงได้ ถ้าหากคุณนายเหลิ่งต้องการเลี้ยงดูบุตร บางทีอาจจะถูกเลี้ยงดูมาตามแบบที่กำหนดไว้ตามกรอบ

แต่เมื่อคุณนายเหลิ่งเห็นเจี่ยนซวง จิตใจของเธอก็หวั่นไหวเล็กน้อย บางทีเด็กคนนี้อาจจะได้รับการเลี้ยงดูที่ทะนงตัวน่าจะดีกว่า การปฏิบัติต่อเด็กในฐานะมนุษย์ และปล่อยให้เธอเติบโตขึ้นมาอย่างสบาย ๆ สามารถสร้างความประหลาดใจได้มากกว่าการเป็นสิ่งของที่ประดิษฐ์ขึ้นมาอย่างดี

และสำหรับคนเฒ่าคนแก่ชอบ “ความรักระหว่างบรรพบุรุษและลูกหลาน” แต่คุณนายเหลิ่งชินกับความดื้อรั้นแล้วจนกระทั่งรุ่นเหลนของเธอ พึ่งจะมีความรู้สึกว่าเป็นญาติผู้ใหญ่ที่ควรจะมีผู้ความเมตตากับรุ่นหลานรุ่นเหลนบ้าง และบังเอิญเป็นเจี่ยนซวงที่ถูกเธอสั่ง ไม่ให้ยอมรับเจี่ยนซวงเป็นลูกหลานตระกูลเจี่ยนตลอดไป

คุณนายเหลิ่งอดไม่ไหวคิ้วขมวดทันที เธอก็เริ่มคิดว่าเธออาจจะแก่แล้วจริงๆ มันกลายเป็นเหมือนหญิงชราธรรมดาที่กำลังคิดมีความสุขอยู่กับลูก ๆ หลาน ๆ ของเธอ

คุณนายเหลิ่งคิดถึงนี้ จ้องมองอย่างเย็นชาคิดในใจ: เป็นแบบนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน ฉันไม่ได้เป็นเหมือนคนอื่น ไม่ควรถูกลดตัวเป็นคนธรรมดาอย่างนั้น สิ่งที่ฉันต้องการคืออำนาจสูงสุดของตระกูลเหลิ่งไม่ใช่เด็กน้อยที่เล่นสนุกไปวันๆ

"คุณย่าคะ!" กู้เค่อหยิงจ้องมองไปที่คุณนายเหลิ่งด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก และกำลังตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นตระหนกราวกับว่าเธอไม่รู้จักคุณนายเหลิ่งมาก่อน

คุณนายเหลิ่งเงยหน้าขึ้นทันทีมองไปที่กู้เค่อหยิงอย่างเบื่อหน่าย และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“เธอจะตะโกนเสียงดังทำไม?ฉันก็อยู่ที่นี่แล้วไง และฉันได้ยินแล้วในสิ่งที่เธอกำลังพูด เธอต้องการพูดอะไร อยากพูดอะไรก็พูดมา! พูดมาสิ จะลดค่าใช้จ่ายอะไรอีก? หรือเป็นเพราะว่ามองในห้องของฉันแล้วมันไม่เจริญหูเจริญตาเหรอเธออยากเปลี่ยนแปลงห้องให้เป็นห้องฝากกระเป๋าเสื้อผ้าของเธอเหรอ”

"ห้องของเค่อหยิงเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดในคฤหาสน์เหลิ่งแล้วนะ ชั้นบนทั้งชั้นเป็นของพวกเธอทั้งหมดแล้ว ถ้าหากอยากเปลี่ยนแปลงอะไรอีก ตั้งใจจะขับไล่ทุกคนให้ออกจากคฤหาสน์นี้แล้วใช่ไหม ?”สุยเฉิงจิ้งยิ้มแล้วเดินมาที่นี่โดยถือโอกาสบ่น

กู้เค่อหยิงจ้องมองสุยเฉิงจิ้งตาขวาง แล้วรีบหันหน้ามองไปทางคุณนายเหลิ่งรีบพูดขึ้นว่า:“คุณนายเหลิ่งคะ พวกเราไม่สามารถพาเด็กที่เกิดจากผู้หญิงแบบนั้นกลับมาที่คฤหาสน์เหลิ่งนะคะ ถ้าหากให้คนนอกรู้แล้ว คุณแม่ของคุณหนูใหญ่ของตระกูลเหลิ่งของพวกเรานั้นเป็นอาชญากร แล้วตระกูลเหลิ่งของพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนคะ?”

"มันจะไปยากอะไร?”สุยเฉิงจิ้งพูดพร้อมกับหัวเราะปิดปาก :“เด็กที่เธอให้กำเนิด?มันก็ ……”

“ไอแค่ก……”คุณนายไอแค่กออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

สุยเฉิงจิ้งหยุดพูดต่อทันที ถอยไปยืนข้างๆด้วยความตื่นตระหนก พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ:“คุณแม่คะ …… ไม่สิ คุณนายเหลิ่งคะ ดิฉันพูดผิดไปแล้วค่ะ”

คุณนายเหลิ่งโบกมือไปมาและพูดอย่างเย็นชาว่า:“ช่างมันเถอะ ฉันรู้ว่าเธอไม่ได้เจตนา แต่ต่อไปนี้เวลาจะพูดอะไรต้องระวังให้มากกว่านี้ สำหรับฉันมันไม่สำคัญอะไร แต่อย่าทำร้ายตัวเอง”

สุยเฉิงจิ้งรีบก้มหัวลง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ค่ะ……”

ในที่สุดสุยเฉิงจิ้งก็มีโอกาสได้เล่นงานกู้เค่อหยิงแล้ว เธอกำลังสะใจอยู่ กลับลืมไปแล้วว่าเหลิ่งหมิงอันก็เป็นเด็กที่คุณนายเหลิ่งเก็บมาเลี้ยงเช่นกัน

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองไปที่สุยเฉิงจิ้ง จากนั้นหันหน้าจ้องมองไปทางกู้เค่อหยิง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ถ้าเธอมีเวลามาซุบซิบนินทาที่นี่ เอาเวลาไปสั่งสอนลูกชายของเธอจะดีกว่าไหม อายุก็ไม่น้อยแล้ว ทำไมถึงยังโง่ขนาดนี้ ?แม้แต่คำว่าทวดยังเรียกไม่เป็น คิดว่าอยากให้ฉันรักและเอ็นดูลูกของเธอเหรอ ?เธอมีเวลามานั่งวางแผนเรื่องใบชาเหล่านั้น เอาเวลาไปคิดว่าจะจับคู่เครื่องประดับและเสื้อผ้าอย่างไร เธอควรเอาเวลาไปสอนลูกของเธอเถอะ คนอย่างเหลิ่งเฉิงเยี่ยแบบนั้น อย่าว่าแต่มอบทั้งตระกูลให้เขาดูแลเลย แม้แต่อิฐทองยังไม่มีปัญญาดูแลได้เลย?ส่วนฉันจะชอบเด็กคนไหน และฉันอยากจะทนเด็กคนไหน มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอจริงๆ!”

คุณนายเหลิ่งปิดประตูทันทีหลังจากที่เธอพูดจบ สุยเฉิงจิ้งรีบเก็บอาการจากความตื่นตระหนกก่อนหน้านี้ของเธอ และหัวเราะพูดกับกู้เค่อหยิงอย่างมีชัย: "เธอได้ยินแล้วหรือยัง ถ้าเธอมีเวลาก็เอาเวลานั้นไปสอนเด็ก ๆ ด้วย ก็ใช่สินะ ที่ไหนมีเด็กโง่แบบนี้บ้าง จนถึงตอนนี้แม้แต่ประโยคเดียวยังพูดไม่ได้เลย ก็ไม่รู้เหมือนใครนะเนี๊ย ……”

กู้เค่อหยิงจ้องมองไปที่สุยเฉิงจิ้งด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม :“อาจจะเหมือนยายของเขาก็ได้ค่ะ”

กู้เค่อหยิงพิจารณาแล้วว่าเด็กที่เธอให้กำเนิดไม่ใช่ลูกของเหลิ่งเซ่าถิง มันจึงต้องเป็นลูกของเหลิ่งหมิงอันแน่น่อนดังนั้นการที่เธอพูดว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยก็เหมือนกับย่าของเขา หมายความก็คือเหลิ่งเฉิงเยี่ยเหมือนสุยเฉิงจิ้งนั่นเอง สุยเฉิงจิ้งหัวเราะเยาะว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยโง่เขลาและมันก็เท่ากับว่ากำลังหัวเราะตัวเองที่โง่เขลาเช่นกัน

หลังจากกู้เค่อหยิงพูดประโยคนี้จบ เธอก็รีบหันหลังกลับไปทันที เหลือเพียงสุยเฉิงจิ้งถูกทิ้งให้อยู่คนเดียวอย่างหน้ามุ่ย และหลังจากคิดอยู่นานเธอก็พูดด้วยความสับสน :“จริงๆเลย ผู้หญิงคนนี้พูดอะไรฉันทำไมมันถึงฟังดูทะแม่งทะแม่งล่ะ ? ทำไมถึงไปพูดถึงพี่สะใภ้ของฉันได้ยังไง?มันน่าแปลกจริงๆ! เด็กคนนี้มันโง่เขล่าล้วนมีเหตุผล เมื่อคุณแม่เป็นโรคประสาท เลี้ยงลูกออกมา จะเลี้ยงได้ดีได้อย่างไรกัน?”

กู้เค่อหยิงโกรธมากจนวิ่งกลับไปที่ห้อง พึ่งจะวิ่งกลับถึงห้อง สาวใช้อุ้มเหลิ่งเฉิงเยี่ยยิ้มแล้วเดินตรงมาหากู้เค่อหยิงทันที และพูดด้วยรอยยิ้ม: "คุณหญิงคะ คุณดูสิคะ วันนี้เขาไม่ร้องไห้งอแงเลยค่ะ ……”

"ไม่ร้องไห้งอแงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรกัน?แม้แต่พูดประโยคเดียวยังพูดไม่ได้ " กู้เค่อหยิงรับหันหน้าไปมองทางเหลิ่งเฉิงเยี่ย ยกมือขึ้นจับแขนของเหลิ่งเฉิงเยี่ยแล้วพูดอย่างโมโหๆว่า : "พูดสิ เรียกว่าทวด พูดสิ!"

เหลิ่งเฉิงเยี่ยถูกหยิกจนเจ็บ แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดัง แต่เพียงแค่กรีดร้องอย่างคลุมเครือว่า: “แม่……แม่……แม่……”

“อย่าเรียกแม่ เรียกว่าทวดสิ!”กู้เค่อหยิงใช้แรงหยิกแขนของเหลิ่งเฉิงเยี่ยอีกครั้ง

เมื่อสาวใช้มองไปที่แขนของเหลิ่งเฉิงเยี่ยถูกหยิกจนแดงแล้ว สาวใช้ตื่นตระหนกรีบพูดว่า :“คุณหญิงคะ หยุดทำร้ายได้แล้วค่ะ หยุดทำร้ายได้แล้วค่ะ!”

กู้เค่อหยิงผลักสาวใช้ออกไปอย่างแรง แล้วตะโกนเสียงดังว่า: "ฉันกำลังสั่งสอนลูกของฉันอยู่ เธอมีสิทธิ์อะไรมายุ่ง?ลูกของฉัน ถ้าหากเขาไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน เธอจะรับผิดชอบไหวเหรอ?เขาต้องเป็นทายาทคนต่อไปของตระกูลเหลิ่ง จะไม่สามารถผิดพลาดแม้แต่น้อย คนอย่างเธอรับผิดชอบไม่ไหวหรอก!”

หลังจากที่กู้เค่อหยิงพูดจบเธอก็รีบจ้องมองไปที่เหลิ่งเฉิงเยี่ยทันที แล้วตะโกนออกมาเสียงดัง: "มา พูดกับแม่ พูดสิ!”

เหลิ่งเฉิงเยี่ยกลัวมากจนร้องไห้ไม่หยุด แรกเริ่มที่เรียกคำว่า "แม่……”ก็ไม่เรียกแล้ว

วันนี้เป็นวันเกิดของกู้เค่อหยิง และเหลิ่งเซ่าถิงได้จัดห้องในโรงแรมเป็นพิเศษ เพื่อจัดงานวันเกิดของกู้เค่อหยิงเมื่อ กู้เค่อหยิงดื่มไวน์แดงที่ผสมกับยาและหมดสติไป เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินออกจากห้องพักในโรงแรม และเดินออกเข้าอีกห้องในโรงแรมเพียงลำพัง เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดให้ชายอีกคนค้างคืนกับกู้เค่อหยิงแทนเขา

ผู้ชายคนนั้นเขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสที่ฮอตมากๆ หลังจากที่กู้เค่อหยิงได้ทำความรู้จักกับอาเหวิน ทั้งสองก็เริ่มออกเดทกัน เหลิ่งเซ่าถิงก็เลยให้อาเหวินเป็นตัวแทนของเขา และทำแบบนี้เป็นเวลามานานสามปีกว่าแล้ว

เมื่อเวลาใกล้จะหมด อาเหวินก็ออกจากห้องของกู้เค่อหยิง และเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินออกจากโรงแรม หลังจากที่เดินออกจากโรงแรมก็ขึ้นรถเลย เลขาฯ รีบส่งข้อมูลในกระเป๋าและกล่าวด้วยความเคารพว่า: "คุณประธานเหลิ่งคะ นี่เป็นหลักฐานที่เหลิ่งเฉิงอวี่ยักยอกทรัพย์สินของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมา"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าแล้วพูดอย่างเย็นชา“ อยู่นี่ทั้งหมดแล้วใช่ไหมครับ?”

เลขาฯ รีบใส่เอาเอกสารทั้งหมดวางไว้ทันที จากนั้นยิ้มและมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง: "คุณประธานเหลิ่งคะ คุณไม่อยู่กับภรรยาของคุณต่อหรือคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เลขาฯ ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ผมก็อยากอยู่กับเธอ แต่ผมไม่มีทางเลือก เพราะผมมีงานเยอะมากและผมไม่มีเวลา ดีที่คุณเตือนผมนะ คุณโทรไปสั่งดอกกุหลาบช่อหนึ่ง ส่งไปให้เธอที่ห้องด้วยนะครับ เพื่อแสดงความขอโทษจากผม”

เลขาฯ หรี่ตาและพูดด้วยรอยยิ้ม: "คุณประธานเหลิ่งเป็นคนอ่อนโยนและเอาใจใส่จริงๆค่ะ ฉันจะทำสิ่งนี้ได้ดีแน่นอนค่ะ"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เลขาฯ และพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรวบรวมอำนาจของตัวเองไว้แล้ว แต่ถ้าหากตีกรอบมากเกินไป มันจะทำให้คนบางคนประหม่าเกินไป เหลิ่งเซ่าถิงจะเว้นช่องว่างไว้เล็กๆน้อยๆ และปล่อยข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อเขา ดั่งเช่นเลขาฯ คนนี้ เหลิ่งเซ่าถิงรู้ว่าเขาคือของเหลิ่งหมิงอัน แต่เขายังจำเป็นต้องใช้เลขาฯ คนนี้ต่อไป เพราะเลขาฯ คนนี้จะส่งข่าวที่เขาต้องการส่งให้กับเหลิ่งหมิงอัน ดั่งเช่น:เขาและกู้เค่อหยิงมีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ……

"ไปบริษัทกันเถอะ " เหลิ่งเซ่าถิงสั่งอย่างเย็นชา

เลขาฯ รีบพูดว่า :“ ไม่ต้องกลับคฤหาสน์เหลิ่งเหรอคะ?จะเอาหลักฐานทั้งหมดมอบให้กับคุณนายเหลิ่งใช่ไหมคะ แล้วให้คุณนายเหลิ่งจัดการใช่ไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและส่ายหัว: "ไม่ต้องแล้วล่ะ ตอนนี้ผมเป็นคนดูแลตระกูลเหลิ่ง ผมจะมอบหลักฐานทั้งหมดให้กับคณะกรรมการบริษัทเองโดยตรง เพื่อดูว่าคนอื่นจะทนรับได้กับพฤติกรรมแบบนี้ต่อไปแล้วอีกหรือไม่ ผมคิดว่าคนอื่นคงไม่ได้ใจกว้างเช่นนี้ ทำให้ลุงรองยักยอกทรัพย์สินดังกล่าวมากมายขนาดนี้ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผมปล่อยให้เขาดำรงตำแหน่งสำคัญในบริษัท เพียงเพื่อให้เขามีโอกาสยักยอกเงิน ผมคาดไม่ถึงว่าเขาจะติดกับจริงๆ”

เลขาฯ กระตุกยิ้มมุมปากและรีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "คุณประธานเหลิ่งเป็นคนที่มองการณ์ไกลจริงๆนะคะ และคุณวางแผนไว้อย่างครอบคลุมด้วย วิธีนี้เหลิ่งเฉิงอวี่จะไม่สามารถต่อสู้กับคุณได้อย่างแน่นอน ถ้าหากไม่มีเหลิ่งเฉิงอวี่แล้ว และคุณนายเหลิ่งก็ไม่สามารถควบคุมคุณได้อีกต่อไปแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพูดว่า :“พูดอะไรแบบนั้นล่ะ?คนที่คุณกำลังพูดถึงอยู่นั่นคือคุณย่าของผมนะครับ คุณย่าจะทำให้ผมลำบากใจได้อย่างไรกัน? ผมไม่สนใจหรอกว่าเหลิ่งเฉิงอวี่จะเป็นอย่างไร ผมแค่ต้องการใช้เหลิ่งเฉิงอวี่ลากเหลิ่งหมิงอันลงน้ำ เมื่อเหลิ่งหมิงอันล้มลง อยู่ในตระกูลเหลิ่งผมก็จะไม่มีศัตรูอีกแล้ว ”

เลขายิ้มแล้วพูดว่า:“ใช่ค่ะ ใช่ค่ะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเลขาฯ ที่ยังคงเห็นด้วยกับเขา เขาค่อยๆหันหน้าและมองออกไปนอกหน้าต่างรถ ริมถนนนอกหน้าต่างมีร้านค้ามากมาย เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่ร้านขนมร้านหนึ่ง หลังจากมองดูอยู่นาน เขาก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เขาจำได้ว่าร้านขนมที่เปิดโดยเจี่ยนอี๋นั่วนั้นอยู่สุดถนนสายนี้ ถ้าเขาสามารถไปดูได้คงจะดีไม่น้อย

เหลิ่งเซ่าถิงนึกถึงตอนนี้ก็หลับตาลง เอนนอนอยู่บนเบาะหลัง เขาเคยเห็นรูปถ่ายของเจี่ยนซวงลูกสาวของพวกเขา ตัวเตี้ยๆ ตัวเล็กๆ แถมขี้อายเล็กน้อยและมีพุงอ้วน ๆ เกือบทุกรูปเธอพยายามยัดอาหารหลากหลายชนิดเข้าปาก

เขาอยากกอดเธอ และลูกชายของเขาด้วย ……

"คุณประธานเหลิ่งคะ คุณตื่นได้แล้วค่ะ ถึงบริษัทแล้วค่ะ " เลขาฯ ลงจากรถก่อน รีบเปิดประตูและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบา ๆ และค่อยๆลืมตาขึ้นดวงตาของเขาเย็นชา หลังจากลงจากรถ เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และมองไปที่อาคารตรงหน้าด้วยสายตาที่เย็นชา นี่คือสำนักงานใหญ่ของกลุ่มบริษัทตระกูลเหลิ่ง สูงและเย็นชา ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถทำลายได้ แต่ในที่สุดมันก็จะพังทลายลง

เมื่อกู้เค่อหยิงลุกขึ้น ฟ้าก็สว่างแล้ว เธอเอามือแตะไปด้านข้างของเธอ แต่เธอก็แตะไม่โดนเหลิ่งเซ่าถิ่งเช่นเคย แต่กู้เค่อหยิงคุ้นชินกับมันแล้ว ทุกครั้งที่เธอตื่นขึ้นมาเธอไม่เห็นเหลิ่งเซ่าถิง เธอสวมชุดนอนผ้าไหมแล้วเธอลุกขึ้นลุกจากเตียง และทานอาหารเช้าได้สองคำ ก่อนที่จะได้ยินเสียงเคาะประตู บอกว่ามาส่งดอกกุหลาบ กู้เค่อหยิงเดาว่าต้องเป็นดอกไม้ที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้เธอ เธอรีบลุกขึ้นไปเปิดประตูห้อง และเธอเห็นการ์ดบนดอกกุหลาบนั้นมีชื่อของเหลิ่งเซ่าถิงเขียนอยู่

กู้เค่อหยิงยิ้มและวางดอกกุหลาบไว้ข้างๆ เยียดตัวอย่างขี้เกียจ หาวแล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินออกจากโรงแรม หลังจากออกจากโรงแรมมีคนขับรถรอเธออยู่แล้ว กู้เค่อหยิงเข้าไปในรถและโทรออก เธอถามแบรนด์เสื้อผ้าหลาย ๆ แบรนด์ที่เธอเคยใส่เพื่อส่งเสื้อผ้าในฤดูกาลนี้ให้เธอเลือกหน่อย ต้องเลือกชุดที่ใส่แล้วเข้ากับสร้อยคอของเธอ

กู้เค่อหยิงนึกถึงสิ่งนี้และสัมผัสสร้อยคอที่คอของเธอด้วยความพึงพอใจ มันเป็นสร้อยคอที่สมบูรณ์แบบจริงๆ เพชรทุกเม็ดบนนั้นถูกเจียระไนอย่างสมบูรณ์แบบ สร้อยเส้นนี้สำหรับเธอแล้วสามารถซื้อคฤหาสน์ได้หลายหลัง ในมุมมองของกู้เค่อหยิง เหลิ่งเซ่าถิงเป็นสามีที่เกือบสมบูรณ์แบบจริงๆ ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงสามารถเร่าร้อนในเรื่องบนเตียงได้อีกสักหน่อยก็จะดีกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ยังโชคดีที่เธอยังสามารถหาผู้ชายอีกคนเพื่อคลายความเหงาของเธอได้

เมื่อกู้เค่อหยิงกลับไปถึงคฤหาสน์เหลิ่ง ก็มีคนรับใช้รีบเข้ามาช่วยเธอถือเสื้อผ้า กู้เค่อหยิงยิ้มและพูดว่า "เมื่อวานเด็กร้องไห้งอแงหรือเปล่า?"

แม้ว่ากู้เค่อหยิงจะไม่เต็มใจที่จะส่งมอบเด็กให้คนอื่น ๆ ดูแล แต่เมื่อเวลาที่เธอจะต้องออกไปค้างคืนกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่มีทางที่จะพาเด็กคนนี้ไปได้ และเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะปล่อยให้เด็กอยู่ในความดูแลของคนรับใช้

สาวใช้กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า:“ไม่งอแงค่ะ”

กู้เค่อหยิงยิ้มและหรี่ตา: "เป็นแบบนั้นก็ดีแล้ว ฉันจะไปพบคุณย่า คุณย่าคงไม่โกรธฉันแค่เรื่องใบชาหรอกนะ ถ้าหากคุณย่ายังโกรธฉันอีก ฉันคงต้องเอาสร้อยคอที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้ฉัน เอาให้กับคุณย่าแล้วล่ะ มันเป็นสร้อยคอที่เหลิ่งเซ่าถิงมอบให้แก่ฉัน สามารถซื้อชาได้เต็มบ้านเลยล่ะ”

"โอ้……นี่คือการอวดสร้อยที่เซ่าถิงซื้อให้หรอกเหรอ เป็นเวลานานแล้วที่ฉันไม่ได้ยินวิธีการโอ้อวดแบบนี้ ……”สุยเฉิงจิ้งยิ้มและพูดขึ้นขณะที่เธอเดินลงจากบันได:“ทำไมเหรอคะ? มีปัญญาซื้อสร้อยคอได้ แต่ไม่มีปัญญาซื้อใบชา เธอต้องการบอกคุณนายเหลิ่งว่า ครอบครัวตระกูลเหลิ่งของเรายากจนมากแล้วอย่างนั้นหรือ หรือเธอต้องการอวดให้เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงดีกับเธอมากกว่าคุณนายเหลิ่งใช่ไหม ?”

กู้เค่อหยิงถูกเหลิ่งเซ่าถิงตามใจและเอาใจมากเกินไป ดังนั้นเธอจึงไม่เห็นคนในตระกูลเหลิ่งอยู่ในสายตาของเธอแล้ว เธอเหลือบมองไปที่สุยเฉิงจิ้ง และหัวเราะเยาะออกมาพูดว่า :“ฉันคิดว่าใครเสียอีก?คุณอาสะใภ้รองเหรอเนี่ย สิ่งที่คุณพูดมันผิด ทำไมต้องไม่ลงรอยกันด้วย คุณเป็นเพียงแค่คนนอกที่เรียกว่า‘คุณท่าน’ แต่สำหรับคนในครอบครัวอย่างฉันเรียก‘คุณย่า’ คุณสามารถเปลี่ยนจาก 'คุณท่าน' เป็น 'คุณแม่' ได้เมื่อไหร่ค่อยมาสอนฉันเถอะ คุณในสมัยโบราณ เป็นแค่ลูกของนางสนมที่สืบทอดมา……”

เดิมทีกู้เค่อหยิงต้องการที่จะพูดว่า "แม้แต่คุณสมบัติที่จะสืบทอดธุรกิจของครอบครัวยังไม่มีเลย" แต่เมื่อเธอพูดถึงนี่ ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยเป็นลูกของเหลิ่งหมิงอัน นั่นก็หมายความว่าลูกชายของเธอก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับมรดกของตระกูลเช่นกัน?

สุยเฉิงจิ้งโกรธจนตัวสั่นได้ ชี้ไปที่กู้เค่อหยิงและตะโกนออกมาเสียงดัง:“ เธอกำลังพูดถึงอะไร?เธอพูดให้ชัดเจนนะ อะไรคือลูกของนางสนม?”

กู้เค่อหยิงมองสุยเฉิงจิ้งตาขวาง และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ คุณพูดอะไร คุณก็รู้อยู่แก่ใจ”

สุยเฉิงจิ้งพูดอย่างเย็นชา: "กู้เค่อหยิง ฉันจะเตือนเธอเอาไว้นะ อย่าหยิ่งยโส โอหังมากเกินไป เดิมเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้หยิ่งยโสแบบเธอ แต่ตอนนี้มันยังมาถึงจุดนี้ได้ แล้วเธอคิดว่าตัวเองจะหยิ่งยโส โอหังได้ถึงเมื่อไหร่? เป็นไปไม่ได้ที่เหลิ่งเซ่าถิงจะปกป้องเธอตลอดไปหรอก! "

"เซ่าถิงเขารักฉันมาก ทำไมเหรอ?คุณอิจฉาเหรอคะ ?คุณอาสะใภ้รอง ถ้าหากคุณหมดประจำเดือนแล้ว และไม่มีผู้ชายอยู่เคียงข้างคุณ คุณรู้สึกอึดอัดมากใช่ไหมคะ ?อารองเขาแอบเลี้ยงดูดาราเด็กอีกแล้วใช่ไหมคะ?”กู้เค่อหยิงพูดพร้อมหัวเราะ

"เธอหุบปากเดี๋ยวนี้!" สุยเฉิงจิ้งหน้าแดงด้วยความโกรธ แม้ว่าครอบครัวของตระกูลเหลิ่งเคยทะเลาะกันมาก่อน แต่พวกเขาก็เป็นมิตรต่อกัน และน้อยมากที่จะเหมือนกู้เค่อหยิงแบบนี้ ทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติด

สุยเฉิงจิ้งสูดลมหายใจเข้าด้วยความโกรธ จากนั้นก็หัวเราะออกมา: "กู้เค่อหยิง เธออย่าหยิ่งผยองให้มันมากนัก?เจี่ยนอี๋นั่วได้รับการปล่อยตัวจากคุกเมื่อไหร่ อีกทั้งเธอยังมีลูกสาวให้กับเหลิ่งเซ่าถิงอีกด้วย"

กู้เค่อหยิงหน้าคิ้วขมวด:“อะไรนะ?เธอออกจากคุกแล้วเหรอ?”

กู้เค่อหยิงยังคงรู้เรื่องราวในอดีตระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงบ้าง แต่เป็นคำบอกเล่าทั้งหมด รู้เพียงว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนที่ทรยศต่อเหลิ่งเซ่าถิง และถูกตัดสินให้จำคุกแล้ว

สุยเฉิงจิ้งพยักหน้า ยกมือขึ้นปิดปากแสร้งทำเป็นแปลกใจ และพูดด้วยรอยยิ้ม: "เป็นอะไรเหรอ? นี่เธอไม่รู้เหรอ?เค่อหยิงจ๊ะ ในสมองของเธอนอกจากเครื่องประดับและกระเป๋าแล้วยังมีเรื่องอื่นหน่อยได้ไหมจ๊ะ? นี่ไม่มีใครเล่าอะไรให้เธอฟังเลยเหรอ?”

สุยเฉิงจิ้งเดินก้าวไปข้างหน้า และกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวที่เธอให้กำเนิดมานั้นน่ารักมาก และยังคล้ายกับเซ่าถิงมากๆ อย่างน้อยที่สุดเธอก็เหมือนเซ่าถิงมากกว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยที่เธอให้กำเนิดเสียอีก หรือเป็นเพราะลูกสาวจะมีหน้าตาเหมือนคุณพ่อ และลูกชายเหมือนแม่หรือเปล่านะ ? ฉันหวังว่า IQ ของเหลิ่งเฉิงเยี่ยจะไม่เหมือนของเธอ นั่นแหละเป็นสิ่งที่ดีที่สุด”

สุยเฉิงจิ้งเพิ่งพูดอะไรบางอย่างโดยไม่ได้ตั้งใจ สุยเฉิงจิ้งไม่เคยสงสัยในตัวของเหลิ่งเฉิงเยี่ยเลย เพราะเธอรู้สึกว่า เหลิ่งเซ่าถิงต้องแอบตรวจ DNA แล้ว ดังนั้นเขาจึงทำดีต่อกู้เค่อหยิงและเหลิ่งเฉิงเยี่ย ถ้าหากไม่ใช่ลูกของเหลิ่งหมิงอัน นี่เป็นประเด็นเกี่ยวกับสิทธิในการรับมรดกของตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงจะยอมรับอย่างมั่วๆได้อย่างไร?

แต่กู้เค่อหยิงตกใจกับเหตุการณ์นี้มาก เรื่องนี้ส่งผลโดยตรงต่อความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่สุดของกู้เค่อหยิง เธอกระพริบตาและปกปิดด้วยความตื่นตระหนกเอาไว้: "คุณ……คุณพูดอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ?เฉิงเยี่ยและเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกันทุกอย่าง! ฉันไม่คุยกับคนปากร้ายและไม่มีเหตุผลอย่างคุณแล้ว ฉันจะไปพบคุณย่าของฉัน "

กู้เค่อหยิงพูดจบ เธอรีบเดินไปสองสามก้าว และเดินออกจากสุยเฉิงจิ้งไป แล้วเดินไปที่ประตูห้องของคุณนายเหลิ่ง กู้เค่อหยิงยังไม่ทันที่จะเคาะประตู เธอก็ถูกคนรับใช้ยกมือขึ้นขวางเอาไว้: "คุณหญิงคะ ทางที่ดีคุณอย่ารบกวนคุณนายเหลิ่งจะดีกว่านะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอและพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“เธอต้องรู้แน่นอนว่าลูกของฉันอยู่ที่ไหน? เขากล้าที่ส่งเธอมา เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าจริงๆแล้วฉันมีลูกสองคน?”

เยี่ยหมิงจูหน้าคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“อี๋นั่ว ฉันแนะนำให้เธอลืมเด็กคนนั้นไปซะเถอะ เด็กคนนั้นได้ตายไปนานแล้ว……”

“อะไรนะ?”เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเยี่ยหมิงจู พูดด้วยน้ำเสียงสูง

เยี่ยหมิงจูถอนหายใจออกเบา ๆ มองไปดูรอบๆและพูดด้วยเสียงเบาว่า: "ตอนนี้เธออยู่ข้างนอก แม้ว่าจะไม่มีเครื่องดักฟังติดตั้งอยู่ และที่นี่ไม่มีใครติดตามคุณอยู่ใกล้ ๆ แต่เธอต้องสงบสติอารมณ์เพื่อที่ฉันจะได้ช่วยเหลือเธอได้ ถ้าเกิดมีคนอื่นเห็นอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ของเธอ และค้นพบตัวตนที่แท้จริงของฉันแล้ว ไม่ใช่แค่ว่าเธอเท่านั้นที่ตกอยู่ในอันตราย แต่ซวงซวงก็ต้องตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน เธอไม่ใช่แค่แม่ของเด็กคนนั้น แต่เธอยังเป็นแม่ของซวงซวงนะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองให้ใจเย็นที่สุด เธอจ้องมองเยี่ยหมิงจูแล้วถามว่า:“เด็กหายไปได้อย่างไร?”

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและพูดว่า:“สถานการณ์ที่ชัดเจนฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ ฉันรู้เพียงว่าเด็กชายคนนั้นของคุณนายเหลิ่ง……”

"เป็นเด็กชายเหรอ" เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันและกลั้นน้ำตา พลางขมวดคิ้วใส่เยี่ยหมิงจู

เยี่ยหมิงจูพยักหน้า: "เป็นเด็กผู้ชายเหรอ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณนายเหลิ่งจะเก็บเด็กคนนั้นไว้ทำไมกันล่ะ การที่เขาเก็บซวงซวงไว้เพราะต้องการที่จะมอบเขาให้กับคุณนายเหลิ่งระหว่างทาง แต่มาเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และรถทั้งคันพลิกคว่ำลงไปในทะเล แต่ก็ไม่สามารถหาอะไรเจอ เขายังเด็กและอายุแค่นั้น คงไม่มีชีวิตอยู่รอดแล้วล่ะ ดังนั้น ไม่ต้องสืบหาอีกต่อไปแล้ว ถ้าหากคุณนายเหลิ่งรู้ว่าคุณกำลังสืบหาเด็กคนนั้นอยู่อีก คุณอาจทำให้คุณนายเหลิ่งโมโห ถ้าถึงเวลานั้นซวงซวงจะทำยังไง?แล้วคุณจะทำยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วบีบมือของเธอและถามด้วยเสียงสั่นเครือ: "แล้วเขาล่ะ? เขาไม่คิดจะทำอะไรเลยเหรอ?เขาจะยืนดูเฉยๆ ดูคุณนายเหลิ่งแย่งลูกของเขาไปง่ายๆแบบนี้เหรอ?”

เยี่ยหมิงจูรีบยกมือขึ้นเพื่อจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอรีบพูดว่า: "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอสงบสติอารมณ์ของตัวเองลงหน่อยได้ไหม เขาก็มีเหตุผลของตัวเองเช่นกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ ยิ้มและก้มหัวลง: "ใช่สิ เขามีเหตุผลของเขา ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ?เขามีเหตุผลของเขา ฉันรู้!และฉันก็เข้าใจ และพยายามเห็นอกเห็นใจ แต่นั้นมันก่อนที่เขาจะแต่งงาน และในตอนนี้ฉันไม่สามารถเห็นอกเห็นใจเขาได้ สำหรับฉันแล้วเขาก็เป็นคนของตระกูลเหลิ่ง”

หลังจากพูดถึงเรื่องนี้เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึก ๆ เหล่ตาจ้องมองไปที่เยี่ยหมิงจู และถามด้วยน้ำเสียงเข้มว่า: "เธอจำเป็นต้องอยู่ข้างกายฉันหรือไม่?ถ้าหากฉันปล่อยให้เธอไป จะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”

เยี่ยหมิงจูหน้าคิ้วขมวดขึ้นมาทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเบา: "ถ้าหากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเขา ฉันและน้องสาวของฉันอาจจะตายจากโลกนี้ไปนานแล้ว และฉันจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้นฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ไม่มีค่าอะไร”

"สำหรับเธอ เขามีค่ามากขนาดนั้นเลยเหรอ มากจนทำให้เธอยอมมาติดคุกอยู่เป็นเพื่อนกับฉันนานมากขนาดนี้ ”เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเยี่ยหมิงจูด้วยสายตาที่แดงก่ำ ถามด้วยน้ำเสียงเบา

เยี่ยหมิงจูพยักหน้า: "ชีวิตของฉันเป็นของเขา แต่เดิมทุกอย่างที่ฉันมีล้วนเป็นของเขา ไม่ใช่ว่าฉันต้องยอมทุกอย่างเพื่อเขา แต่เพราะทุกอย่างของฉันเป็นของเขา”

"ใช่สิ ฉันเกือบลืมมันไปหมดแล้ว" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้มที่ฝืน: "ครั้งหนึ่งฉันเคยรู้สึกว่าทุกอย่างของฉันเป็นของเขา และฉันสามารถทำทุกอย่างเพื่อเขาได้ เดิมทีฉันคิดว่าฉันยิ่งใหญ่มาก ทำเพื่อคนที่ฉันรัก ฉันสามารถทำได้ทุกอย่าง ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ฉันเพียงแค่คนเดียว มีหลายคนที่ยอมทุกอย่างเพื่อเขา และพวกเขาเหล่านั้นเต็มใจทำไปโดยไม่จำเป็นต้องชอบเขาด้วยซ้ำ ……”

"ไม่คะ" เยี่ยหมิงจูหน้าคิ้วขมวดจ้องไปเจี่ยนอี๋นั่ว : "มันตรงกันข้าม เพราะเธอเป็นคนเดียวเท่านั้น"

เมื่อเยี่ยหมิงจูพูดแบบนี้เธอก็ชะงักทันที เมื่อเธอรู้ว่าเธอพูดอะไรผิดไป เธอก็รีบจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความกังวลใจเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะออกมาเบา ๆ หลับตาลงและเอนกายลงบนโซฟา

ในตอนนี้เหอหลวนเล่อกลับมาพร้อมกับซวงซวง ซวงซวงกำลังเล่นของเล่นที่หรูหราอยู่ และรีบวิ่งตรงไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว ตรงเข้าไปในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่ว ยกของเล่นขึ้นอย่างตื่นเต้นและพูดด้วยรอยยิ้มว่า: "คุณแม่คะ คุณแม่ดูนี่สิคะ นี่เป็นของเล่นที่คุณแม่เล่อเล่อซื้อให้ค่ะ มันสวยมากค่ะ! "

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงพูดของเจี่ยนซวง เธอยิ้มแล้วรีบลืมตาขึ้นทันที เธอยกมือขึ้นลูบหัวของเจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: "มันเป็นของเล่นที่สวยงามมากจริงๆ พูดขอบคุณคุณแม่เล่อเล่อแล้วหรือยังคะลูก?”

เจี่ยนซวงพยักหน้าตอบรับอย่างเชื่อฟัง ยิ้มแล้วพูดว่า:“ค่ะ หนูได้กล่าวคำขอบคุณกับคุณแม่เล่อเล่อแล้วค่ะ คุณแม่เล่อเล่อบอกว่าหนูมีมารยาทมากค่ะ หนูพูดกับคุณแม่เล่อเล่อว่าไม่ต้องชมหนูแล้วค่ะ ทั้งหมดนี้คุณแม่เป็นคนสอนหนูค่ะ ถ้าจะชมก็ต้องชมคุณแม่ของหนูที่สอนหนูมาดีค่ะ”

เหอหลวนเล่อยิ้มและกล่าวว่า "ไม่ใช่เหรอ ลูกซวงซวงเป็นเด็กที่มีเหตุผลและมีมารยาทมากจริงๆ”

"และยังมีอีกนะ" จู่ๆ เจี่ยนซวงก็ปิดปากของเธออย่างลับๆล่อๆ แอบหัวเราะออกมา: "ซวงซวงรู้ว่าเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงมีความแตกต่างกันอย่างไร ซวงซวงเคยกล้าถอดกางเกงของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ในที่สุดก็รู้!ซวงซวงฉลาดมากเลยนะ ซวงซวงเคยเห็นเด็กผู้ชายคนนั้นมี ……”

"ชู่ว์!" เหอหลวนเล่อรีบยื่นมือออกปิดที่ริมฝีปากของเธอทันที และทำท่าทางชู่ว์ ให้เงียบ จากนั้นเหอหลวนเล่อก็หน้าแดง และกระซิบกับเจี่ยนซวง: "ซวงซวงพูดไปเรื่อยไม่ได้นะคะ ได้โดยเฉพาะในที่สาธารณะแบบนี้”

เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วทันที และพูดอย่างไร้เดียงสา: "คุณแม่คะ เป็นแบบนี้จริงๆเหรอคะ?เรื่องแบบนี้พูดไม่ได้ใช่ไหมคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าช้าๆและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ใช่จ๊ะ เรื่องแบบนี้พูดไปเรื่อยไม่ได้จ๊ะ กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ค่อยเล่าให้คุณแม่ฟังนะคะ ต่อไปนี้อย่าไปถอดกางเกงของเด็กผู้ชายไปเรื่อยอีกนะคะ หนูจะทำเรื่องแบบนี้ได้เมื่อหนูโตเป็นผู้ใหญ่นะคะ”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้เหอหลวนเล่อต้องเอามือก่ายหน้าผาก พูดด้วยน้ำเสียงพึมพำ: "อี๋นั่ว ฉันขอเอาประโยคที่เธอสอนเด็กกลับคืนมานะ!”

หลังจากที่เหอหลวนเล่อพูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมาเบา ๆ หันหน้าจ้องมองไปทางเยี่ยหมิงจูหน้าคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ทำไมเธอถึงยังอยู่ที่นี่อีกล่ะ?”

เยี่ยหมิงจูไม่ได้มองไปที่เหอหลวนเล่อ เธอจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถามด้วยน้ำเสียงเข้ม: "อี๋นั่ว เธอจะให้ฉันอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่?”

คำพูดของเยี่ยหมิงจูเป็นการเล่นสำนวน ไม่เพียงแต่ตั้งคำถามถามเจี่ยนอี๋นั่วว่าจะให้เธออยู่ที่นี่ต่อไปไหม และเป็นคำถามถามเจี่ยนอี๋นั่วว่าต้องการให้เธออยู่เคียงข้างเจี่ยนอี๋นั่วต่อไปไหม? เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เยี่ยหมิงจูเป็นเวลานานแล้วพูดพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ ว่า :“แล้วเธอจะสามารถไปที่ไหนได้อีกล่ะ ถ้าหากต้องการอยู่ ถ้าอย่างนั้นก็อยู่เถอะ ถ้าหากไม่ใช่เธอ คนอื่นก็ต้องมาอยู่ดี เธอตัดสินใจอยู่ต่อ ฉันก็วางใจมากขึ้น”

เยี่ยหมิงจูหัวเราะออกมาทันที หัวเราะจนตาแดงตา เธอแตะจมูกและพูดเบา ๆ ว่า:“ ฉันขอโทษนะ แล้วก็ขอบคุณเธอด้วย"

เหอหลวนเล่อเหลือบมองไปที่เยี่ยหมิงจูและเจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดและพูดด้วยน้ำเสียงเบา: "พวกคุณเป็นอะไรไป?"

จากนั้นเหอหลวนเล่อก็กระพริบตา พยักหน้าอย่างเข้าใจ และมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วหัวเราะออกมา: "อี๋นั่ว เธอนี่เป็นเพื่อนที่แสนดีของฉันจริงๆเลยนะ เธอรู้ว่าฉันไม่ชอบผู้หญิงคนนี้ เธอก็ให้ผู้หญิงคนนี้ไปใช่ไหม?อี๋นั่ว ความเป็นจริงเธอไม่จำเป็นต้องทำอย่างนี้ ฉันโตแล้ว ฉันรู้จักแยกแยะ อีกอย่างเธอดูน่าสงสารมาก พึ่งจะออกจากคุก ทำอะไรก็ไม่ได้ หน้าตาก็งั้น ๆ เธอจะเทียบกับฉันได้อย่างไร ?จริงปะ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและมองไปที่เหอหลวนเล่อ จากนั้นมองไปที่เยี่ยหมิงจู และถามด้วยรอยยิ้ม "ฉันควรจะตอบอย่างไรดี?”

เยี่ยหมิงจูยิ้มและพูดว่า "เธอสามารถตอบได้ว่าใช่ เพื่อตอบสนองความไร้สาระและความปรารถนาที่ชอบเอาชนะของเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วก็พยักหน้า และยกนิ้วโป้งให้เห่อหลวนเล่อ: "หลวนเล่อเป็นเพื่อนที่แสนดีที่สุดในโลกจริงๆนะ"

เจี่ยนซวงเฝ้าดูเจี่ยนอี๋นั่วยกนิ้วโป้งขึ้น เธอเรียนรู้ที่จะยกนิ้วโป้งของเธอและพูดด้วยรอยยิ้ม: "คุณแม่เล่อเล่อ ยอดเยี่ยมมากๆค่ะ"

เหอหลวนเล่อพยักหน้าเบา ๆ ยอมรับคำชมของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนเล็กน้อยและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "อืม ไม่เลว ในที่สุดพวกเธอก็ยอมรับความจริงที่โลกยอมรับได้แล้ว”

เหอหลวนเล่อเป็นคนเปิดเผยและเป็นคนยิ้มแย้มพูดคุยหัวเราะอยู่เสมอ แต่มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วมีความสุขมาก เพียงแต่เมื่อเหอหลวนเล่อจากไป และแยกจากกับเยี่ยหมิงจูแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าเศร้า และรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็ค่อยๆจางลง ความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกค่อยๆเจ็บจี๊ดตรงหัวใจของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนซวงที่วิ่งไปรอบ ๆ ในโรงแรม มองดูเจี่ยนซวงเปลี่ยนเป็นสองเงาขึ้นมา คนหนึ่งคือเจี่ยนซวง อีกคนหนึ่งคือเด็กผู้ชายตัวเล็ก ๆ ขนาดโตพอ ๆ กับเจี่ยนซวง แต่แค่ไม่มีผมเปียสองข้าง เขาและเจี่ยนซวง วิ่งกระโดดเล่นไปด้วยกัน หันหลังกลับพร้อมกันและตะโกนเรียกเจี่ยนอี๋นั่ว: "คุณแม่……"

จากนั้นร่างของเด็กผู้ชายตัวน้อยๆก็หายไป เหลือเพียงแต่เจี่ยนซวงคนเดียว และกระโดดไปกระโดดมาจนมาใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วกอดต้นขาของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนซวงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงเบา: "คุณแม่คะ คุณแม่เป็นอะไรไปคะ ?คุณแม่ร้องไห้ทำไมคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำน้ำตาอย่างแรง ยิ้มแล้วพูดว่า:“ ใช่เหรอคะ คุณแม่ร้องไห้จริงเหรอคะ?"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดอยู่ เธอยกมือขึ้นเช็ดที่มุมตา แล้วเธอก็สัมผัสโดนน้ำตาที่มุมขอบตา

เจี่ยนซวงย่นจมูกและพูดด้วยเสียงสะอื้น: "เป็นเพราะเจี่ยนซวงไม่เชื่อฟังแล้วทำให้คุณแม่โกรธใช่ไหมคะ ? เจี่ยนซวงจะไม่ดึงกางเกงของเด็กผู้ชายอีกแล้วค่ะ เจี่ยนซวงจะเป็นเด็กดีแน่นอนค่ะ จะไม่ทำให้คุณแม่เสียใจอีกแล้วค่ะ

จะไม่ทำให้คุณแม่ร้องไห้อีกแล้วนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วมองไปที่เจี่ยนซวง ยิ้มและพูดว่า: "ซวงซวง คุณแม่ไม่ได้เป็นอะไรนะคะ และที่คุณแม่ร้องไห้ มันก็ไม่ใช่เพราะลูกหรอกนะคะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ก็ยกมือขึ้นแล้วลูบหัวของเจี่ยนซวงเบา ๆ ยิ้มและพูดว่า "เป็นเพราะรู้สึกทุกข์กับดอกไม้อีกดอกหนึ่งต่างหาก"

เจี่ยนซวงย่นจมูก และถามด้วยน้ำเสียงเบา "ทำไมถึงรู้สึกเป็นทุกข์ละคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงและพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“เพราะดอกไม้อีกดอก คุณแม่ยังไม่ทันเห็นหน้าเขา เขาก็หายสาบสูญไปแล้ว ”

เจี่ยนซวงโบกมืออย่างรวดเร็ว และรีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า: "คุณแม่ คุณแม่อย่าทำแบบนี้นะคะ ถ้าหากคุณแม่ชอบดอกไม้ เดี๋ยวหนูจะหาดอกไม้ทั้งหมดมามอบให้คุณแม่นะคะ จากนี้ไปถ้าหากหนูเห็นดอกไม้สวยๆ หนูจะเด็ดให้คุณแม่ทั้งหมดเลยนะคะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกอดเจี่ยนซวงไว้แน่น พูดด้วยรอยยิ้ม: "หนูจะทำแบบนี้ไม่ได้นะคะ เพราะคุณแม่ของดอกไม้เหล่านั้นจะรู้สึกเจ็บปวดใจ ตอนนี้คุณแม่มีเพียงซวงซวงดอกเดียว ก็เพียงพอแล้ว จริงๆนะคะ……”

ดังนั้น พระเจ้าคะ ฉันขอร้องคุณนะคะ อย่าปล่อยให้เจี่ยนซวงทิ้งฉันไปอีกคนนะคะ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกอดเจี่ยนซวง อธิษฐานอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ เจี่ยนซวงยิ้มทันทีและเข้าไปในอ้อมแขนของเจี่ยนอี๋นั่วและพูดว่า :“อืม ซวงซวงจะเชื่อฟังและเป็นเด็กดีอย่างแน่นอนค่ะ และจะอยู่กับคุณแม่ตลอดไปนะคะ!"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วและเหอหลวนเล่อไปเปลี่ยนชื่อบริษัท เหอหลวนเล่อยังคงจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: "เธอยกบริษัทให้กับฉันแล้ว เธอเตรียมจะทำยังไงต่อไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่สักพักหนึ่งในที่สุดก็ส่ายหัวยิ้มและพูดว่า: "ฉันไม่รู้ว่าฉันจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้เทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วมาก จนฉันรู้สึกว่าฉันตามไม่ทันยุคสมัยนี้แล้วล่ะ ก่อนหน้านี้ฉันยังรู้สึกอยากผลิตเครื่องสำอางและขายของออนไลน์น่าจะเป็นโครงการที่ดี แต่ตอนนี้ก็มีวางขายอยู่ทั่วไป บางที บางทีฉันอาจจะซื้อที่ดินสักผืน และเป็นผู้หญิงชาวนาแบบพอเพียง”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างนี้เธอก็หัวเราะออกมาทันที: "อันที่จริงการทำแบบนั้น มันก็ไม่เลวนะ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถรับประกันได้ว่าซวงซวงจะได้รับสารอาหารที่ปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่สุด”

เหอหวนเล่อเหลือบมองไปที่เจียนอี๋นั่ว และพูดด้วยความโกรธ: "อะไรนะ มันไม่ได้แย่อย่างนั้นเหรอ? เธอรู้ไหมว่าการทำนามันเหนื่อยขนาดไหน ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเธอก็จะไม่เหมือนเดิม ฉันห้ามไม่ให้เธอคิดแบบนี้เด็ดขาด บางครั้งแผนกวิจัยและพัฒนาต้องไปที่สวนดอกไม้ และฉันก็ต้องตามไปด้วย เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงที่ปลูกดอกไม้เหล่านั้นเป็นอย่างไร? แม้ว่าอาชีพจะไม่ได้แยกระดับชนชั้น แต่ผู้หญิงก็ควรพยายามเลือกทำงานที่ไม่ต้องเผชิญกับแสงแดด เธอรู้ไหมว่าแสงอัลตราไวโอเลตทำลายผิวมากแค่ไหน? นี่เธอไม่ใช่สาวๆแล้วนะที่ไปเที่ยวธรรมชาติเพียงไม่กี่วัน และอีกไม่กี่ปีเธอจะกลายเป็นสาวแก่ เธออย่าเลี้ยงดูซวงซวงของเราให้เป็นเด็กบ้านนอกเหรอ”

เจี่ยนซวงที่กำลังกินขนมอยู่ได้ยินเหอหลวนเล่อพูดถึงชื่อของเธอ เธอเม้มริมฝีปากของเธอเบา ๆ เหลือบไปมองที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็เหลือบมองเหอหลวนเล่อ ทำหน้ามุ่ยพูดขึ้นว่า :“ซวงซวงอยากเป็นเด็กบ้านนอก เพราะว่าซวงซวงต้องการอยู่ด้วยกันกับคุณแม่”

เหอหลวนเลิ่อยิ้มและแตะที่จมูกของเจี่ยนซวงเบาๆ :“เข้าใจแล้วจ๊ะ เธอนี่ ก็เป็นเหมือนหางเล็กๆของคุณแม่ของเธอ”

เจี่ยนซวงยิ้มพยักหน้าและพูดอย่างภาคภูมิใจ: "อืม ซวงซวงจะเป็นหางเล็ก ๆ ของคุณแม่ค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง ในขณะนั้น จู่ ๆเธอก็เห็นร้านขนมหวานอยู่ด้านนอก เจี่ยนซวงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ร้านขนมด้านนอก และรีบมองตามเจี่ยนอี๋นั่วด้วย เจี่ยนซวงรีบเลียริมฝีปากของเธอทันที ราวกับว่าเธอกำลังได้กินเค้กหวาน ๆอยู่

เจี่ยนอี๋นั๋วมองไปที่ร้านขนมและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ธุรกิจที่ฉันต้องการทำ ต้องมีเวลาดูแลซวงซวง และไม่ควรยุ่งมากเกินไป และทำให้ซวงซวงชอบ ซวงซวงคะ คุณแม่ทำบ้านขนมให้หนู ดีไหมคะ?”

เจี่ยนซวงรีบปรบมือหัวเราะเสียงดังออกมาแล้วพูดว่า:“ดีค่ะ ดีค่ะ หนูอยากได้บ้านขนมค่ะแม่”

เหอหลวนเล่อก็พยักหน้า: "เปิดร้านขนมอาจจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลว ฉันบังเอิญมีร้านว่างอยู่ และอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยในเมือง ดังนั้นฉันสามารถปล่อยให้เธอเปิดร้านได้โดยไม่ต้องเสียค่าเช่า……”

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เหอหลวนเล่อก็เอื้อมมือออกไปทันที และหยุดคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังจะพูดว่าออกมา: "เธออย่าพูดอะไรที่จะปฏิเสธอีกแล้วนะ ค่าเช่านี้จะถูกหักออกจากเงินปันผลประจำปีของเธอในบริษัท แต่อี๋นั่วเธอเคยทำขนมเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นยิ้มและส่ายหัวช้าๆ เธอไม่รู้วิธีทำขนมว่าง และแม้แต่กับข้าวเธอยังทำเป็นแค่ไข่ต้มเท่านั้น เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง และเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ลงมือทำอาหาร ……

เมื่อนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงรอยยิ้มของเจี่ยนอี๋นั่วก็จางหายไปเล็กน้อย เจี่ยนซวงซึ่งนั่งอยู่ข้างๆเธอได้พิสูจน์ให้ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นในเวลานี้ว่า: "แม่ของหนูก็จะทำเช่นกัน เธอชงอาหารเช้าซีเรียลได้ดีมากนะ”

"หนูจะคอยปกป้องแม่ของตัวเองอยู่เสมอ" เหอหลวนเล่อย่นจมูกแสดงความหมั่นไส้เล็กน้อยที่เจี่ยนซวงปกป้องเจี่ยนอี๋นั่ว

จากนั้นเหอหลวนเล่อก็ขยับนิ้วของเธอและนับทีละนิ้ว: "เธอดูสิ เราจำเป็นต้องรับสมัครคนมาตกแต่งร้าน และจ้างพ่อครัวทำขนม เราจำเป็นต้องซื้อบ้านใกล้กับร้านขนม ที่นั่นมีโรงเรียนประถมที่ดีอยู่ที่นั่น และซวงซวงต้องเข้าโรงเรียนอนุบาลแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหอหลวนเล่อที่ไม่หยุดนับ ยกมือขึ้นกุมมือของเหอหลวนเล่อ: "เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านี้แล้ว เรื่องเหล่านี้ฉันจะจัดการเอง”

“เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก ……”เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวด

ก่อนที่เหอหลวนเล่อจะพูดจบ จู่ ๆก็มีคนเดินคนหนึ่งผ่านหน้าต่างกระจก คนนั้นค่อยๆหันหน้าเล็กน้อย แล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเธอก็เคาะกระจกหน้าต่างและพูดด้วยรอยยิ้ม: "อี๋นั่ว ทำไมเธอถึงได้ออกมาเร็วขนาดนี้ล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คาดคิดว่าจะได้พบกับเยี่ยหมิงจู เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและโบกมือให้เยี่ยหมิงจู เยี่ยหมิงจูก็รีบวิ่งเข้ามายิ้มและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "ทำไมเธอถึงออกมาเร็วขนาดนี้? ทำไมเธอไม่มาหาฉันล่ะ?”

เจี่ยนซวงเห็นเยี่ยหมิงจู และรีบอ้าแขนออกไปหาเยี่ยหมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า:“คุณแม่จูคะ อุ้มหนูหน่อยค่ะ……”

เยี่ยหมิงจูรีบอุ้มเจี่ยนซวง ยิ้มแล้วหยิกหน้าของเจี่ยนซวงเบาๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“หนูน้อยซวงซวงยังน่ารักเหมือนเดิมนะจ๊ะ”

เหอหลวนเล่อลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้มมองไปที่เยี่ยหมิงจู และถามด้วยรอยยิ้ม: "อี๋นั่ว คนนี้คือใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบแนะนำเยี่ยหมิงจูให้เหอหลวนเล่อรู้จัก เหอหลวนเล่อได้ยินการแนะนำจากเจี่ยนอี๋นั่ว ก็หัวเราะออกมาทันที :“ โอ้ นี่คุณคือเยี่ยหมิงจูเหรอ ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆที่ดูแลอี๋นั่วเมื่อตอนอยู่ในคุก”

เยี่ยหมิงจูยิ้มแล้วรีบโบกมือไปมา:“ไม่เป็นไร พวกเราเป็นเพื่อนกันนี่”

เหอหลวนเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย: "โอ้?เพื่อน แต่มันก็ดีไม่เท่าความสัมพันธ์ระหว่างฉันและอี๋นั่วหรอก ฉันและอี๋นั่วเป็นเพื่อนรักกัน อี๋นั่วพูดกับฉัน เธอโชคดีที่สุดในชีวิตที่ได้มารู้จักเพื่อนอย่างฉัน”

เยี่ยหมิงจูฟังคำพูดของเหอหลวนเล่อแล้ว ก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้ เธอรีบจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วทันที เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แล้วก้มหน้าดื่มกาแฟต่อไป

เยี่ยหมิงจูหน้าคิ้วขมวดคิดอยู่นาน แล้วหันไปมองเหอหลวนเล่อหัวเราะแล้วพูดว่า:“ ใช่จ๊ะ ฉันและอี๋นั่วเราเป็นแค่เพื่อนธรรมดาในคุกจ๊ะ เธอรู้ไหมในระหว่างที่พวกเราอยู่ในคุก มีข่าวลืออะไรบ้าง ? ความสัมพันธ์ของผู้หญิงสองคนที่ดีมากๆในคุกนั้น ? เคยจับคนข่มขืนเหมือนกัน เคยติดคุกเหมือนกัน เคยอาบน้ำด้วยกัน”

หลังจากที่เยี่ยหมิงจูพูดจบ หันหน้ามองไปทางเหอหลวนเล่อ เธอยิ้มและพูดว่า: "ฉันกับอี่นั่ว ยกเว้นเรื่องการจับการข่มขืน นอกนั้นก็ทำด้วยกันหมดแล้ว ”

สีหน้าของเหอหลวนเล่อเปลี่ยนไปทันที เธอรู้ดีว่าในด้านนี้เธอสู้เยี่ยหมิงจูไม่ได้เลย เธอจึงหันหน้าไปมองเจี่ยนซวง และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ซวงซวง มานี่มา คุณแม่เล่อเล่อจะทำเค้กก้อนเล็กๆให้หนูกิน”

เมื่อเจี่ยนซวงได้ยินกินเค้ก ก็รีบวิ่งออกจากข้างกายเยี่ยหมิงจูทันที และวิ่งไปที่ข้างกายเหอหลวนเล่ออย่างไว และพูดด้วยรอยยิ้ม: "คุณแม่เล่อเล่อคะ คุณแม่ทำเค้กอร่อยๆให้หนูกินนะคะ และหนูยังอยากดื่มนมอีกด้วยค่ะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็อยู่ติดข้างกายเหอหลวนเล่อ เหอหลวนเล่อค่อยๆเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยทันที และมองไปที่เยี่ยหมิงจูอย่างมีชัยชนะ และดูเหมือนเยี่ยหมิงจูจะไม่เคยเห็นคนไร้เดียงสาแบบนี้มาก่อน และอดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวดเล็กน้อย และในที่สุดก็หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเยี่ยหมิงจู ยิ้มเบาๆแล้วถาม:“เธอคุ้นเคยก็ดีแล้ว มากินของว่างกันเถอะ”

เยี่ยหมิงจูยิ้มและพยักหน้า หยิบช้อนขึ้นมาเพื่อตักขนมหนึ่งช้อนและยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามว่า: "ใช่สิ ในเมื่อได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว เธอคิดวางแผนจะทำอะไรต่อไปล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "เร็ว ๆ นี้ฉันต้องการเปิดร้านขนม และฉันกำลังมองหาหน้าร้าน"

ดวงตาของเยี่ยหมิงจูเบิกกว้างขึ้นทันที: "ร้านขนมเหรอ? ฉันบังเอิญเคยเรียนเกี่ยวกับการทำขนมหวาน เธออยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ? ฉันจะบอกอะไรให้นะ ฉันสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านขนมได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและหัวเราะเบา ๆ จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อย: "ถ้าหากเธอเต็มใจช่วยฉันก็จะดีมาก ฉันต้องการคนมาช่วยฉันจริงๆ ฉันทำขนมไม่เก่งและฉันต้องดูแลซวงซวงอีก และฉันต้องการคนที่เชื่อถือได้เพื่อช่วยฉันจริงๆ”

เยี่ยหมิงจูหัวเราะออกมา: "เธออยากให้ฉันช่วยเธอจริงๆเหรอ ฉันมีความสุขมากที่จะได้ทำงานร่วมกับเธอต่อไป”

เหอหลวนเล่อนั่งอยู่ข้างๆและได้ยินคำพูดของเยี่ยหมิงจู เธอรีบเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฟังแล้วมันดูปลอมมากเลยนะ”

เยี่ยหมิงจูยิ้มเล็กน้อยและขมวดคิ้วจ้องมองไปที่เหอหลวนเล่อ: "เธอหมายความว่าอย่างไร?"

เหอหลวนเล่อยักคิ้วขึ้นเบา ๆ : "มันก็ไม่ได้หมายความว่าอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกว่าเธอเอาใจเจี่ยนอี๋นั่วแบบนี้ มันดูปลอมมากจริงๆ ฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอี๋นั่ว คนอย่างเธอไม่สามารถเทียบได้ และเธออย่าคิดมาเปรียบเทียบกับฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเจี่ยนอี๋นั่วนะ และฉันจะบอกอะไรให้เธอนะ ฉันเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของอี๋นั่วเท่านั้น และเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอย่างเธอไม่สามารถมาเปรียบเทียบกับฉันและอี๋นั่วได้หรอก ใช่ไหม อี๋นั่ว ?”

"หลวนเล่ออย่าทำนิสัยเหมือนเป็นเด็ก ๆ " เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หันหน้าจ้องมองไปทางเยี่ยหมิงจูยิ้มแล้วพูดว่า "เธอเหมือนเด็กน้อยจริงๆ แต่ว่าเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว เธอก็จะรู้ว่าหลวนเล่อเป็นคนดีมากคนหนึ่งจริงๆ ได้โปรดเธออย่าใส่ใจนะ ฉันหวังว่าเธอจะช่วยเหลือฉันได้จริงๆ "

เมื่อได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เยี่ยหมิงจูก็พยักหน้า: "เมื่อเธอพูดขนาดนี้แล้ว ฉันก็จะมาช่วยเธออย่างแน่นอน ฉันกลัวว่าเธอจะรังเกียจฉัน คิดว่าฝีมือของฉันไม่ดีเท่าไหร่”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพูดขึ้นว่า:“เป็นไปได้อย่างไร?”

เหอหลวนเล่อคิ้วขมวดและจ้องไปที่เยี่ยหมิงจู ตอนนี้เหอหลวนเล่อยังคงทำท่าทางคุ้มกันอยู่เหมือนเดิม ในที่สุดซวงซวงก็ร้องลั่นเพื่อไปที่สนามเด็กเล่นข้างๆ เหอหลวนเล่อสูดหายใจเข้าลึก ๆ และพูดอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก:“ฉันจะพาซวงซวงออกไปเล่นแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นรบกวนเธอหน่อยนะ”

เมื่อได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เหอหลวนเล่อก็เม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะออกมา: "นั่นเป็น เป็นเพราะฉันเป็นเพื่อนรักเพียงคนเดียวของเธอเท่านั้นนะ"

เมื่อเห็นเจี่ยนซวงและเหอหลวนเล่อเดินไปที่สนามเด็กเล่นด้วยกัน เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองไปเยี่ยหมิงจู หัวเราะพูดขึ้นว่า :“ คาดไม่ถึงเลยว่าเราจะได้พบหน้ากันเร็วขนาดนี้ ”

เยี่ยหมิงจูยิ้มทันทีและกล่าวว่า: "ก็นั่นนะสิ อี๋นั่ว เธอรู้อะไรไหมช่วงนี้ฉันคิดถึงเธอมากขนาดไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบา ๆ แล้วพูดว่า "ใช่สิ ฉันก็คิดถึงเธอเช่นกัน และที่สำคัญ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า เธอเป็นใครกันแน่? ก่อนหน้านี้ฉันรักษาตัวอยู่ในคุก รอฉันพักฟื้นจนหายดีแล้ว เธอก็ถูกปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว และฉันไม่เคยมีโอกาสถาม แต่ฉันสรุปได้ว่า เธอไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และเธอไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน เธอถูกใครส่งมาให้อยู่ข้างกายฉัน? ฉันหวังว่าเธอจะไม่ปิดบังฉัน หลายปีที่ผ่านมานี้เราเจออะไรด้วยกันมาเยอะ แต่เราก็ไม่เคยได้พูดความจริงต่อกัน หรือแม้แต่ตอนนี้เธอยังไม่อยากให้ฉันรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเธออีกเหรอ?คือ……”

"คุณหนูเจี่ยนอี๋นั่วคะ " เยี่ยหมิงจูเงยหน้าขึ้นจ้องมองเจี่ยนอี่นั่วทันที ขมวดคิ้วและกล่าวว่า: "แม้ว่าคุณจะมีการคาดเดาใด ๆ ในใจของคุณก็ตาม แต่อย่าพูดมันออกมา เอาความคาดเดาความสงสัยทั้งหมดซ่อนมันไว้ในใจ ซึ่งนี้เป็นวิธีของคนที่ฉลาดเขาทำกันนะคะ ”

อาเหวินรีบอุ้มกู้เค่อหยิงขึ้น และทับลงไปบนโซฟา

อาเหวินหยุดเล็กน้อยแล้วกดลงบนตัวของกู้เค่อหยิงทันที พร้อมกับยิ้มและพูดว่า:“เมื่อเวลาอยู่ด้วยกันกับผม ห้ามคิดถึงชายอื่น คุณทำได้แค่ต้องมองมาที่ผมคนเดียวเท่านั้น!"

ในขณะที่เขาพูด อาเหวินก็กัดริมฝีปากของกู้เค่อหยิงอย่างแรง กู้เค่อหยิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และขยับร่างของเธอเข้าไปใกล้ทันที ในความเป็นจริงเธอยังไม่ทันจะพูดอะไร อาเหวินไม่เพียงมีรูปร่างที่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่บางครั้งวิธีที่เขาทำก็คล้ายกับเหลิ่งเซ่าถิงมากเช่นกัน เพียงแค่ว่าอาเหวินจะรุนแรง และไม่มีความกังวลหรือความกลัว แต่เหลิ่งเซ่าถิงจะดูอ่อนโยนมากกว่า อาจดูเหมือนกันเล็กน้อย แต่ก็ไม่คล้ายกันโดยสิ้นเชิง

แต่หลังจากนั้น กู้เค่อหยิงยังไม่ทันจะคิดอะไรต่อ เธอก็ถูกอาเหวินเข้าจู่โจมอย่างเร้าร้อน

เมื่อทุกอย่างจบลง กู้เค่อหยิงก็เปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอ และจูบริมฝีปากของอาเหวินเบา ๆ แล้วกู้เค่อหยิงก็จากไป กู้เค่อหยิงไม่สามารถปล่อยให้คนอื่นรับรู้ว่าเธอมีผู้ชายอย่างอาเหวิน ไม่อย่างงั้นชีวิตของเธอต้องพังพินาศแน่

อาเหวินเดินมองตามหลังกู้เค่อหยิงจากไป ก็เริ่มขมวดคิ้ว ในเวลานี้โทรศัพท์ดังขึ้น อาเหวินดูไปที่หมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา เสียงในโทรศัพท์เย็นชามาก เขาก็รีบบอกหมายเลขห้องของเขา เพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัว แต่เนิ่นๆ เพราะอีกไม่กี่วันอาเหวินต้องเข้ามาเป็นสามีของกู้เค่อหยิงแทน และมีเซ็กส์กับเธอ

อาเหวินตอบทันทีด้วยความ“เข้าใจ ”จากนั้นหายใจออกเฮือกยาวๆ แล้วหลับตาลง

เขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสมาก่อน แต่เดิมเพราะเขาเป็นคนเกียจคร้านและไม่ชอบทำงาน อีกทั้งหลงใหลในชื่อเสียงและความรุ่งโรจน์เลยต้องเลือกเดินเส้นทางนี้ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาแม่ของเขาป่วยหนัก และอีกทั้งน้องสาวของเขาต้องเรียนหนังสือ แล้วชะตาชีวิตบังคับให้เขาต้องเลือกเดินทางเส้นทางนี้ แต่คนอย่างเขานั้นผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขาก็คือผู้หญิงที่แต่งงานมีครอบครัวแล้ว และเขามักจะมีปัญหาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เขาจึงถูกผู้มีอำนาจขุ่นเคืองและเกือบถูกทำร้ายจนตาย โชคดีที่มีคนมาช่วยเขาไว้

จนถึงตอนนี้ อาเหวินไม่รู้ว่าคนที่ช่วยเหลือเขานั้นเป็นใคร รู้เพียงแค่ว่าอีกฝ่ายขอให้เขาไปดูแลเทคแคร์ผู้หญิงคนหนึ่ง และต้องสร้างอีกตัวตนหนึ่งขึ้นมา ตัวตนที่หนึ่งคือเป็นคนรักของผู้หญิงคนนี้ และอีกตัวตนหนึ่งคือเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้ เขาเป็นหนุ่มบาร์โฮสมาหลายปีแล้ว อาเหวินรู้วิธีที่จะเล่นบทผู้ชายบุคลิกที่แตกต่างต่อหน้าผู้หญิงคนนี้ได้ยังไง ผู้ชายอย่างเขาไม่สามารถอยู่กับผู้หญิงเพียงคนเดียวได้ และเป็นเพียงผู้หญิงประเภทเดียว

ไม่ว่าผู้หญิงจะชอบอะไร เขาก็จะเล่นบทเป็นเช่นนั้น อาเหวินจุดบุหรี่ เขาไม่ได้สงสัยอะไรเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้และเรื่องราวเบื้องหลังของเธอในตอนนี้เลยสักนิด และเขาก็ไม่รู้สึกกลัว แค่สามารถช่วยชีวิตแม่ของเขา และสามารถส่งเสียน้องสาวของเขาเข้าเรียนมหาลัย และยังเก็บเงินไว้ให้พวกเขาใช้มากมาย ถึงแม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา เขาก็ไม่แคร์?

เหลิ่งเซ่าถิงเลือกอาเหวิน ก็เพราะด้วยเหตุผลนี้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ชอบความสิ้นหวังที่โดดเดี่ยว พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะปกป้องใครจริงๆ และพวกเขาไม่รู้ว่าการเสียสละที่แท้จริงคืออะไร และมันไม่สามารถที่จะควบคุมได้ง่าย สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับคน ๆ หนึ่งคือชีวิตของเขาเอง มีเพียงคนประเภทเดียวเท่านั้นที่จะสามารถสละชีวิตเพื่อสิ่งอื่นได้ และคนประเภทนี้มีคนที่สำคัญกว่าที่เขาต้องการความคุ้มครองและดูแล

เมื่อเหอหลวนเล่อติดต่อกับเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง ก็เป็นช่วงบ่ายของวันอีกวันแล้ว เมื่อเหอหลวนเล่อพูดออกมา แววตายังสะลึมสะลือเหมือนคนยังเมาไม่ส่าง เธอพยายามยิ้มและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“รอฉันนะ ฉันจะไปรับเธอตอนนี้ จากนั้นเปลี่ยนชุดรอ ฉันจะพาเธอไปดูบริษัทของเรา เธอฟังนะ หลังจากที่เธอมา ฉันจะประกาศให้พวกเขาทราบ คุณประธานเจี่ยนกลับมาแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเดิมทีเธอเก่งกาจขนาดนั้น เมื่อเธอเข้ามาบริหารใน บริษัท เธอจะต้องทำได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มสักครู่และมองไปที่เจี่ยนซวงที่กำลังลุกจากเตียง และกำลังรู้สึกตื่นเต้นแล้วเดินไปรอบ ๆ ในห้องของโรงแรม เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "ไปช้อปปิ้งก็พอแล้ว แต่ฉันจะไม่ไปที่บริษัทแล้ว ฉันต้องขอบคุณมากสำหรับการที่เธอสนับสนุนบริษัทจนถึงทุกวันนี้ แต่ฉันได้ทิ้งบริษัทไปในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เป็นเพราะเธอช่วยบริษัทไว้ ฉันไม่ควรจะเป็นประธานเจี่ยนอีกแล้ว ฉันคิดว่าฉันอยากซื้อเสื้อผ้าที่สุภาพหน่อย แล้วอยากจะไปที่สำนักงานทนายความเพื่อเปลี่ยนชื่อของบริษัทอย่างเป็นทางการและมอบให้กับเธอ”

“ทำอย่างนี้ไม่ได้นะ?บริษัทเป็นของเธอนะ?”เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวด

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า "ถ้าไม่มีเธอ ก็จะไม่มีบริษัท เธอไม่ต้องเถียงฉันเรื่องนี้อีกแล้ว บริษัทจะมอบให้เธออย่างแน่นอน ถ้าเธอไม่ยอมรับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ใช่เพื่อนรักกันอีกแล้ว และไม่สามารถเป็นได้อีกต่อไปแล้ว”

เหอหลวนเล่อขมวดคิ้วและพูดเสียงดัง“ ฉัน……ฉันจะเอาบริษัทของเธอได้อย่างไร ตอนนี้เธอต้องการใช้เงินอย่างมาก และเธอยังต้องเลี้ยงดูซวงซวงนะ……ในความเป็นจริงเมื่อตอนที่เธอส่งมอบบริษัทให้ฉัน สถานการณ์ของบริษัทมันก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าหากเธอเป็นคนบริหารบริษัทตั้งแต่แรก บริษัทจะทำได้ดีกว่านี้แน่นอน ฉันยังคิดว่าตอนนี้ฉันบริหารบริษัทได้เพียงแค่นี้เท่านั้น และมันทำให้ฉันรู้สึกผิดต่อเธอมากเลย "

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหัว: "ไม่รับไม่ได้ ฉันพร้อมที่จะทำสิ่งนี้ตอนที่ฉันอยู่ในคุก หลวนเล่อเธอให้ความช่วยเหลือที่มีต่อฉันนั้นมากมายเหลือเกิน ไม่เพียงแค่ความช่วยเหลือทางการเงินเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความช่วยเหลือทางจิตใจด้วย ฉันคิดว่าเธอจะกลายเป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุด เอาแบบนี้ละกัน คิดซะว่าฉันร่วมหุ้น ฉันถือหุ้นสำรองไว้ 10% ส่วนที่เหลือเป็นหุ้นของเธอทั้งหมด จากนี้ไปจะได้รับปันผลทุกปี แบบนี้ดีไหม ?”

เหอหลวนเล่อหน้าขมวดคิ้ว: "ถ้าหากคุณซื้อตั้งแต่แรกแล้ว ก็คงจะไม่แบ่งเงินแค่นี้หรอก เธอทำให้ฉันเอาเปรียบเธออยู่นะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“ถ้าหากเธอรู้สึกว่าเอาเปรียบฉันอยู่ อีกสักพัก เธอต้องซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ ให้ฉันและซวงซวงสักสองสามชุดแล้วล่ะ”

เหอหลวนเล่อยิ้มอย่างช่วยไม่ได้และพูดว่า: "แม่ของฉันมักจะพูดเสมอว่าฉันดื้อ แต่ตอนนี้ฉันเห็นแล้วว่าคนที่ดื้อรั้นมากจริงๆ นั่นก็คือเธอ โอเค! ฉันจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอหลายๆชุด และยังมีโน๊ตบุ๊ค เธอรู้ไหมว่าเทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วแค่ไหนแล้ว!พวกเรามีแค่โทรศัพท์เพียงเครื่องเดียว ก็สามารถไปได้ทุก โดยไม่ต้องพกกระเป๋าสตางค์แล้วอีกด้วย "

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันรู้แล้ว ฉันได้ดูข่าว ฉันไม่ใช่คนดึกดำบรรพ์นะ รีบมารับฉันเถอะ ฉันรอเธอนะ ฉันแทบรอไม่ไหวแล้ว ที่จะใช้เเงินในกระเป๋าเธอเกลี้ยงเลย"

เหอหลวนเล่อมาถึงในไม่ช้า และพาเจี่ยนซวงและเจี่ยนอี๋นั่วไปที่ห้างสรรพสินค้าทันที การได้เห็นในข่าวกับการเห็นด้วยตานั้นมันช่างแตกต่างกันจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหอหลวนเล่อวางโทรศัพท์ เมื่อกำลังชำระเงินอยู่ เธอก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองด้วยความประหลาดใจ

เจี่ยนซวงก็เขย่งเท้าดูอย่างอยากรู้อยากเห็นและถามว่า: "คุณแม่เล่อเล่อคะ ชำระเงินแบบนี้เองเหรอคะ ทำไมถึงไม่จ่ายเงินให้ล่ะคะ

เหอหลวนเล่อพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนซวงทันทีว่า:“ชำระเงินแบบนี้แหละจ๊ะ โอ้ ใช่แล้ว มา ลูกซวงซวง ยิ้มให้คุณแม่เล่อเล่อหน่อยสิลูก เดี๋ยวคุณแม่เล่อเล่อถ่ายรูปให้นะคะ”

เจี่ยนซวงไม่เคยถ่ายภาพมาก่อนรีบซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหม่า: "ไม่เอาคะ ซวงซวงกลัวค่ะ……ซวงซวงกลัวค่ะ……”

เหอหลวนเล่อได้ถ่ายภาพแล้ว และเอาให้เจี่ยนอี๋นั่วดู: "ถ่ายเสร็จแล้ว ซวงซวงมาดูนี่สิ นี่ใช่ลูกไหม”

เจี่ยนซวงมองไปที่รูปถ่ายในโทรศัพท์นั้น รีบปิดปากของเธอทันที และพูดด้วยรอยยิ้ม: "มันคือ ซวงซวง…… แม้แต่ผมเปียก็เหมือนกันมาก"

เหอหลวนเล่อยิ้มแล้วพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นซวงซวง มาถ่ายอีกรูปมา”

ในขณะนั้นเจี่ยนซวงได้ยื่นมือเล็กๆของเธอออกมาด้วยท่าทางระมัดระวัง เอียงศีรษะและหัวเราะออกมา ภาพที่ถ่ายในครั้งนี้ถ่ายได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ในขณะที่ถือโทรศัพท์เจี่ยนซวงยิ้มและพูดว่า "มันน่ารักมากจริงๆค่ะ……”

เหอหลวนเล่อหัวเราะออกมา:“ซวงซวงคนนี้น่ารัก หรือซวงซวงที่อยู่โทรศัพท์น่ารักมากกว่าจ๊ะ?”

เจี่ยนซวงยกมือขึ้นแตะที่จมูกของตัวเอง:“ซวงซวงคนนี้น่ารักค่ะ”

"เอาล่ะ ซวงซวงลูกรีบไปเลือกชุดให้คุณแม่เร็วๆเข้า " เหอหลวนเล่อยิ้มและเดินไปที่ร้านเสื้อผ้าอีกแห่ง หันกลับมาและหยิบชุดเดรสและส่งให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มและพูดว่า: "ฉันคิดว่าชุดเดรสชุดนี้เหมาะกับเธอมากเลย ไม่งั้น เธอไปลองใส่ดูก่อนดีไหม?”

เจี่ยนซวงชูนิ้วโป้งขึ้นรีบพูดว่า:“คุณแม่คะ ลองใส่ดูค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มจับชุดเดรสและเดินเข้าไปในห้องลองเสื้อ พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าลอง ชุดเดรสสีดำนี้เหมาะกับ เจี่ยนอี๋นั่วมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องลองเสื้อ เจี่ยนซวงรีบปรบมือทันที: "คุณแม่สวยมากคะ!"

พนักงานขายยังยิ้มและพูดว่า :“คุณผู้หญิงคะ ชุดนี้เหมาะกับคุณมากๆค่ะ คุณดูเส้นด้านหลังนี้สิคะ……”

เมื่อพูดถึงนี่ พนักงานขายก็หยุดทันที เมื่อเห็นรอยแผลเป็นบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็ขมวดคิ้วทันทีและตะโกนว่า: "โอ้ เป็นแผลใหญ่มากค่ะ"

ชุดเดรสชุดนี้แสดงให้เห็นรอยแผลเป็นของเจี่ยนอี๋นั่วได้อย่างชัดเจน และพนักงานขายก็พูดทันทีว่า: "ฉันขอโทษค่ะ ไม่ ถ้าไม่อย่างนั้นเปลี่ยนอีกชุดดีไหมคะ?”

เหอหลวนเล่อรีบขมวดคิ้วและเดินไป พร้อมพูดกับพนักงานขาย: "คุณพูดแบบนี้ได้อย่างไรกัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วจับเหอหลวนเล่อยิ้มแล้วพูดว่า"ไม่เป็นไร ไม่ใช่ความผิดของเธอ ถึงแม้ชุดเดรสชุดนี้จะแสดงรอยแผลเป็นให้เห็นก็ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้สึกรอยแผลเป็นนี้สวยมาก ใช่ไหมคะ ลูกซวงซวง?”

เจี่ยนซวงซวงเม้มริมฝีปากของเธอ มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยดวงตาแดงก่ำ พูดด้วยน้ำเสียงเบา: "ไม่สวยค่ะ แผลเป็นไม่สวยค่ะ……เป็นเพราะซวงซวงทำให้คุณแม่กลายเป็นคนไม่สวยค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังไปมองเหอหลวนเล่อ ยิ้มแล้วถามว่า:“มีร้านสักตัวไหม?”

เหอหลวนเล่อผงะ จากนั้นพยักหน้าและพูดว่า :“มีสิ ฉันจะพาเธอไปเดี๋ยวนี้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า :“นอกจากนี้ฉันต้องการชุดนี้อีกด้วย เธอช่วยชำระเงินให้ฉันด้วยนะ"

เมื่อถึงร้านสัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ขอให้ช่างสักสักกิ่งดอกไม้ที่หลังของเธอ โดยมีดอกกุหลาบสองดอกงอกอยู่ และมันปิดกั้นรอยแผลเป็นพอดี เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วสักเสร็จแล้ว รีบเปลี่ยนชุดเดรส จ้องมองเจี่ยนซวง ยิ้มแล้วถามว่า:“รอบนี้สวยหรือยังลูก?”

เจี่ยนซวงค่อยพยักหน้า:“สวยมากค่ะ แต่ทำไมมีดอกสองดอกล่ะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า:“ดอกนึงคือซวงซวงและอีกดอกนึงคือเด็กที่น่ารักเหมือนกันกับซวงซวงไงจ๊ะ”

ลูกคนนั้นที่เจี่ยนอี๋นั่วเสียไป ในที่สุดเธอก็ออกมาแล้ว เธอก็ต้องพยายามเพื่อหาเขาให้เจอ ไม่ว่าตอนนี้เขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

เหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ห้องของตัวเอง และตอนนี้ห้องของเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เดิมมีห้องเดียว แต่ตอนนี้เชื่อมต่อทั้งสี่ห้องเข้าด้วยกัน ห้องหนึ่งเป็นห้องของเด็กทารก และอีกห้องหนึ่งเปลี่ยนเป็นห้องแต่งตัวของกู้เค่อหยิง ห้องหนังสือของเหลิ่งเซ่าถิงได้รับการขยายให้ใหญ่มากขึ้น หลังจากเพิ่มฉากกั้นแล้ว ก็มีห้องนั่งเล่นเพิ่มอีกห้อง ทำแบบนี้เพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องนอนห้องเดียวกันกับกู้เค่อหยิง และแน่นอนเหตุผลที่เขาใช้อ้างก็คือกู้เค่อหยิงต้องดูแลลูก

กู้เค่อหยิงได้ยินเสียงเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเปิดประตู รีบอุ้มเหลิ่งเฉิงเยี่ยเดินออกไปทันที กู้เค่อหยิงหัวเราะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง:“คุณกลับมาแล้วเหรอคะ?เฉิงเยี่ยเริ่มเรียกชื่อพ่อออกมาแล้วนะ มาลูกรัก เรียกคุณพ่อเร็ว”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วหันหน้ามองไปทางเหลิ่งเฉิงเยี่ยและหัวเราะออกมาเบา ๆ

เหลิ่งเฉิงเยี่ยจ้องมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับรู้สึกเหมือนเห็นปีศาจที่น่ากลัวมากๆ อ้าปากและรีบร้องไห้เสียงดังออกมาทันที กู้เค่อหยิงรีบตบหลังของเหลิ่งเฉิงเยี่ยเบาๆ และพูดอย่างรีบร้อน:“ เขาเรียกว่าพ่อออกมาแล้วนะ พูดสิลูก……เฉิงเยี่ยพูดสิจ๊ะ……เรียกพ่อสิลูก……รีบเรียกพ่อสิลูก ……”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูดว่า: "ไม่เป็นไร เด็กบางคนพูดช้า บางทีภายในไม่กี่วัน เขาจะเรียนรู้ที่จะพูดออกมาในไม่ช้าก็ได้”

กู้เค่อหยิงยิ้มทันทีและพูดว่า: "มันควรจะเป็นแบบนี้ มีคนเคยเล่าขานกับมาเป็นผู้ดีจะพูดช้า?ตอนนี้ในโลกนี้จะมีเด็กสักกี่คนที่เหมือนกับเฉิงเยี่ยลูกของเรา ที่สูงส่งขนาดนี้?ถึงจะพูดออกมาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ ช่วงนี้ผมงานยุ่งนิดหน่อย และไม่มีเวลาอยู่กับคุณ ใกล้ถึงวันเกิดของคุณแล้ว ผมได้สั่งชุดเครื่องประดับให้คุณเป็นพิเศษ ซึ่งจะจัดส่งให้คูรภายใน 2 วันนี้ คุณลองดูว่าชอบหรือไม่ชอบตรงไหน?ถ้าหากรู้สึกว่าไม่ชอบหรือจะแก้ไขตรงไหนค่อยบอกผม แล้วผมจะสั่งให้พวกเขาแก้ไขให้”

กู้เค่อหยิงยิ้มและพูดอย่างเสียงอ้อน:“ จริงเหรอคะ?ขอบคุณสามีนะคะ สามี แต่ของขวัญที่ฉันอยากได้มากที่สุดไม่ใช่เครื่องประดับ แต่เป็นคุณ คุณไม่รู้หรอกว่าฉันต้องผ่านแต่ละวันไปได้นั้นมันยากมากขนาดไหน คืนนี้คุณสามารถอยู่เป็นเพื่อนกับฉันได้ไหมคะ ?”

เมื่อกู้เค่อหยิงพูดถึงนี่ เธอก็หน้าแดงด้วยความเขินอายและพูดด้วยเสียงเบา: "นอกจากนี้ นานมากแล้วที่เราไม่ได้มีอะไรกัน พวกเราสามารถ……”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองกู้เค่อหยิงหัวเราะและพูดว่า:“ ไม่ได้ ผมเกลียดคฤหาสน์เหลิ่ง เมื่อไหร่ที่เราออกไปข้างนอกค่อยว่าคุยกันใหม่เถอะ”

กู้เค่อหยิงไม่ได้สร้างปัญหารบกวนเหลิ่งเซ่าถิงอีก ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ เธอก็ยิ้มอย่างเชื่อฟัง: "โอเค แต่มีเรื่องที่ฉันอยากจะบอกคุณ คุณย่าของคุณดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบฉันสักเท่าไหร่ ฉันแค่มาควบคุมดูแลบ้านได้ไม่นาน และฉันยังต้องดูแลลูกอีกด้วย และแน่นอนว่าเธอสู้อาสะใภ้รองไม่ได้หรอก อาสะใภ้รองชักสีหน้าให้ฉัน ฉันยังพอทนได้ แต่ทำไมคุณย่าท่านก็ปฏิบัติต่อฉัน ……”

ขณะที่กู้เค่อหยิงพูดอยู่ ก็กระตุกจมูกของเธอเบา ๆ แสดงออกมาด้วยความน้อยใจ: "ไม่สนับสนุนฉันแล้วยังไม่มีความเกรงใจฉันอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองกู้เค่อหยิง หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ไม่เป็นไร ก็พยายามทำในสิ่งที่คุณต้องทำ และในตอนนี้คุณเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งแล้ว ไม่ต้องไปสนใจความคิดเห็นของผู้อื่น คุณย่าท่านอายุก็มากแล้ว ต่อไปคุณจะเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่ง คุณสามารถทำอะไรก็ได้ที่คุณอยากทำ ผมจะคอยช่วยเหลือคุณเสมอ อีกทั้งคุณยังมีลูกชายคนเดียวให้กับผม คุณยังต้องกลัวอะไรอีก?”

กู้เค่อหยิงรีบเม้มริมฝีปากของเธอทันทีแล้วหัวเราะออกมา: "ฉันโล่งใจที่ได้ยินคุณพูดแบบนั้น และฉันก็วางใจแล้ว ฉันยังกลัวว่าคุณจะคิดว่าฉันยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่รู้จักยอมคุณย่า อันที่จริงคุณย่าท่านก็อายุมากแล้วจริงๆ บางครั้งก็ดื้อรั้นเกินไป เช่นชาประเภทนั้น ดื่มแต่ชาอู่หลงเท่านั้น และต้องเป็นใบชาที่เก่าแก่และมีราคาหลักล้าน แค่กากใบชานิดเดียวราคาก็หลักหลายแสนแล้วนะ มันแพงจนน่ากลัวเกินไป และแม้ว่าธุรกิจของตระกูลเหลิ่งจะยิ่งใหญ่ขนาดไหน แต่นั้นมันต้องเก็บไว้ให้สำหรับลูกๆของพวกเรา ความจริงแล้วผู้สูงวัยอย่างเธอไม่จำเป็นต้องดื่มแพงขนาดนั้น แต่ถ้าพูดอย่างนี้ออกมา ก็กลัวจะมีคนหาว่าฉันเป็นลูกที่อกตัญญู”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "ไม่ต้องห่วง ตอนนี้คุณเป็นคนดูแลของตระกูลนี้แล้ว และคุณควรจะเอาความกล้าหาญของผู้ดูแลออกมา ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็ตาม คุณสามารถจัดการได้ทุกอย่าง วันนี้งานของผมมีเยอะมาก ผมจะไปทำงานต่อละ คุณรีบเข้านอนเถอะ ”

กู้เค่อหยิงหัวเราะแล้วพยักหน้า เหมือนคู่รักสามีภรรยาธรรมดาทั่วไป หลังจากที่สามีของเธอเลิกงานกลับมา พวกเขาก็คุยกันอย่างเรียบง่าย และคนหนึ่งก็ยุ่งอยู่กับงาน ส่วนอีกคนหนึ่งก็ไปดูแลลูก แต่มีความแตกต่างก็คือ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงหันหลังให้กับกู้เค่อหยิง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นเย็นชาทันที แต่ทางด้านของ กู้เค่อหยิงเธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันทีและส่งข้อความถึงเหลิ่งหมิงอัน:“ วันนี้แม่ของคุณมารบกวนฉันอีกแล้ว ดังนั้นคุณควรจะดูแลท่านบ้างนะคะ เธอไม่รู้เลยจริงๆเหรอคะ ว่าฉันก็เป็นลูกสะใภ้ของเธอเช่นกัน?”

ทางด้านเหลิ่งหมิงอันไม่ได้ตอบกลับข้อความเป็นเวลานาน ทำให้กู้เค่อหยิงเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฮึม :“สองพี่น้องคู่นี้ เป็นคนเย็นชาเหมือนกันทั้งคู่ แต่……”

อย่างไรก็ตามเหลิ่งเซ่าถิงก็อยู่เหนือความคาดหมายของกู้เค่อหยิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สนใจเรื่องบนเตียง แต่เขาก็ยังตามใจเธอในแง่มุมอื่นๆทุกเรื่องเลย

กู้เค่อหยิงเงยหน้าเหลือบมองห้องของเหลิ่งเซ่าถิง และหรี่ตาด้วยรอยยิ้ม ก่อนแต่งงานกู้เค่อหยิงคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เย็นชาคนหนึ่ง คิดว่าเขาไม่กระตือรือร้นในการแต่งงานของพวกเขา แต่เธอไม่คาดคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะจัดงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่ให้กับเธอ ซึ่งในฐานะผู้หญิงทำให้เธอพอใจกับความฝันของเธออย่างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นเหลิ่งเซ่าถิงยังอ่อนโยนต่อเธอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอให้กำเนิดลูกชายให้กับเขา และตามใจเธอมากยิ่งขึ้น

บางครั้งกู้เค่อหยิงรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่ผู้ชายที่น่ากลัวอย่างที่คนอื่นเขามอง เขาก็เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง เมื่อผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งตกหลุมรักผู้หญิงคนหนึ่ง เขาก็จะตกเป็นทาสของผู้หญิงคนนี้ กู้เค่อหยิงรู้สึกว่าประโยคนี้พูดได้ถูกต้องจริงๆ นั่นก็คือผู้ชายพิชิตโลกและผู้หญิงก็พิชิตผู้ชาย

กู้เค่อหยิงรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายแบบที่ยึดครองโลก และเธอเป็นผู้หญิงที่เอาชนะเหลิ่งเซ่าถิงได้

กู้เค่อหยิงไม่รอเหลิ่งหมิงอันตอบกลับ และเธอก็ไม่ได้รอต่อ ตั้งแต่กู้เค่อหยิงมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิง กู้เค่อหยิงรู้สึกว่าถ้าหากเธอสามารถใช้ชีวิตกับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้ไปเรื่อยๆ และเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่ง ก็เป็นสิ่งที่ไม่เลว และสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงสามารถให้เธอได้ในตอนนี้ แต่เหลิ่งหมิงอันกลับไม่สามารถให้กับเธอได้ เพียงแค่ว่าทั้งสองพี่น้องมีหน้าตาที่เย็นชาและไม่แยแสทั้งคู่ ซึ่งกู้เค่อหยิงรับไม่ได้จริงๆ

กู้เค่อหยิงยิ้มและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วส่งข้อความไปยังหมายเลขโทรศัพท์หมายเลขหนึ่ง เมื่อกู้เค่อหยิงส่งข้อความออกไป อีกฝ่ายก็ตอบกลับข้อความทันที: ที่รัก มีอะไรหรือเปล่า? คิดถึงฉันใช่ไหม?

กู้เค่อหยิงทนไม่ไหวที่จะง้างปากแล้วยิ้มและตอบว่า: ตายแล้ว พรุ่งนี้ฉันมีเวลาว่างออกไป ฉันคิดถึงคุณแล้วสิ

อีกฝ่ายตอบกลับด้วยข้อความว่า: คิดถึงผมตรงไหนครับ? ด้านบนหรือด้านล่างครับ?

กู้เค่อหยิงอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา ช่วงนี้เธอไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันกับชายคนนี้ ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ของชายคนนี้จะเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งหมิงอันไม่ได้ แต่เขากลับอ่อนโยนมากกว่า และสำหรับเหลิ่งหมิงอันไม่ต้องพูดถึงเลย ถึงว่าจะอ่อนโยนกับเธอเช่นกัน แต่เธอก็ต้องคาดเดาความคิดของเขาตลอดเวลา

ผู้ชายคนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง เขาเชื่อฟังเธอและตามใจเธอทุกอย่าง เชื่อฟังเธอแล้วยังตอบสนองทุกความคิดของเธออีกด้วย

หลังจากที่กู้เค่อหยิงส่งข้อความเสร็จ ได้ยินเสียงร้องไห้ของเหลิ่งเฉิงเยี่ย เธอก็รีบเดินไปที่ห้องนอนของเหลิ่งเฉิงเยี่ย และอุ้มเหลิ่งเฉิงเยี่ยขึ้น กู้เค่อหยิงไม่เคยปล่อยให้สาวใช้คนไหนมาช่วยเธอดูแลเหลิ่งเฉิงเยี่ยเลย เป็นเพราะกู้เค่อหยิงกลัวคนอื่นรู้ความผิดของตัวเอง และไม่กล้าให้คนอื่นเข้าใกล้เด็กคนนี้มากเกินไป ในวันแต่งงานของเธอเธอมีความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงเสร็จ จากนั้นก็มีความสัมพันธ์กับเหลิ่งหมิงอันทันที

ยิ่งไปกว่านั้นกู้เค่อหยิงรู้สึกว่าดูยังไง เหลิ่งเฉิงเยี่ยหน้าตาคล้ายกับเหลิ่งเฉิงอวี่มาก หรือเป็นเพราะว่าหลานหน้าตาจะคล้ายกับคุณปู่ของเขา ดังนั้นเหลิ่งเฉิงเยี่ยจึงเป็นลูกของเหลิ่งหมิงอัน ?

กู้เค่อหยิงไม่กล้าไปหาเหลิ่งหมิงอันเพื่อตรวจDNA และถ้าหากเหลิ่งหมิงอันรู้ความจริงว่าเด็กคนนี้อาจเป็นลูกของเขา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ดังนั้นเธอจึงแอบตรวจ DNA ระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเหลิ่งเฉิงเยี่ยอย่างลับๆ ผลปรากฏว่าไม่ใช่ลูกของเหลิ่งเซ่าถิง

ถ้าอย่างนั้นลูกคนนี้ต้องเป็นของเหลิ่งหมิงอัน เมื่อนึกถึงเหลิ่งหมิงอัน กู้เค่อหยิงก็ก้มลงมองไปที่โทรศัพท์อีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีข้อความตอบกลับจากเหลิ่งหมิงอัน กู้เค่อหยิงก็อดไม่ไหวที่จะทำหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงบ่น: “ เป็นคนที่ไม่มีมโนธรรมจริงๆ”

ชายคนนั้นเป็นเพียงคนที่ระบายอารมณ์ของกู้เค่อหยิงเท่านั้น กู้เค่อหยิงกล้ายืนยันได้เลยว่าเหลิ่งเฉิงเยี่ยเป็นลูกของเหลิ่งเซ่าถิง และเขายังคงให้ความสำคัญกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นอันดับหนึ่ง ตอนนี้กู้เค่อหยิงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีสามีที่สมบูรณ์แบบอย่างเหลิ่งเซ่าถิง และมีคนรักที่ยอดเยี่ยมอย่างเหลิ่งหมิงอัน แล้วยังมีชายหนุ่มเพื่อคลายความเบื่อหน่ายอีกด้วย เป็นผู้หญิงที่มีความสุขมากจริงๆเลย พอใจมากจริงๆ!

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเข้าไปในห้องของกู้เค่อหยิง หน้าคิ้วขมวด ก้มลงและมองไปที่ข้อความที่ส่งเข้ามา ข้อความนั้นเป็นข้อความที่สนทนาระหว่างกู้เค่อหยิงและผู้ชายคนนั้น เหลิ่งเซ่าถิงรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งหมิงอันและกู้เค่อหยิง แล้วก็รู้อีกด้วยว่าผู้ชายคนนั้นที่อยู่เคียงข้างเธอตลอดเวลา เพราะว่าชายคนนั้นเป็นของขวัญที่เขามอบให้กู้เค่อหยิงเพื่อเป็นสามีของเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงอ่านข้อความเสร็จก็ลบข้อมูลนั้น จากนั้นนั่งลงบนโซฟา และหันหน้ามองไปที่หน้าต่าง กระจกหน้าต่างในตอนกลางคืนดูเหมือนจะกลายเป็นกระจกสะท้อนใบหน้าที่บิดเบี้ยวของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึก ๆ เขาเกลียดการเล่นเกมแบบนี้แล้ว และเกลียดที่ต้องแสดงละครเล่นเกมกับคนรอบข้างตัวเขาเหล่านั้น แต่เกมนี้ต้องดำเนินต่อไป

รุ่งเช้าเหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นและออกไปก่อน เมื่อเห็นเหลิ่งเซ่าถิงออกไป กู้เค่อหยิงก็รีบลุกขึ้นแต่งตัว จากนั้นเดินออกจากตระกูลเหลิ่ง ออกไปเดทกับชายหนุ่มคนนั้น กู้เค่อหยิงก็รู้ฐานะของตัวเองว่าไม่ธรรมดา เธอขับรถวนไปวนมาเป็นเวลานานมาก แล้วก็เปลี่ยนรถอีกคันและแต่งตัวใหม่ จากนั้นก็ไปจอดรถหน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง

หลังจากหยุดรถที่หน้าคฤหาสน์นั้นแล้ว กู้เค่อหยิงก็รีบเดินเข้าประตูไป เมื่อเปิดประตู กู้เค่อหยิงเห็นตรงหน้าเธอนั้นมีแต่ความมืด เธอทำหน้าคิ้วขมวด เดินเข้าไปสองสามก้าว เธอถูกอุดปากเอาไว้ทันที

ด้วยความตื่นตระหนกของกู้เค่อหยิงเธอกรีดร้องดังลั่น แต่ชายที่ปิดปากของกู้เค่อหยิงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา :“คุณเป็นผู้หญิงเล็กๆ จริงๆ ทำไมถึงปอดแหกขนาดนี้”

กู้เค่อหยิงทุบตีชายคนนั้นท่าทางที่แสดงออกมาด้วยความไม่พอใจและตำหนิ: "อาเหวิน ฉันเคยบอกคุณแล้วใช่ไหมอย่าแกล้งให้ฉันตกใจแบบนี้ ”

อาเหวินเป็นเพียงชื่อ ไม่มีแซ่ กู้เค่อหยิงไม่ได้สนใจว่าอาเหวินจะแซ่อะไร

ท้ายที่สุดเหอหลวนเล่อก็เมามากจนสภาพดูไม่ได้เลย และเจี่ยนอี๋นั่วจำเป็นต้องเก็บโทรศัพท์ของ เหอหลวนเล่อเอาไว้ แล้วโทรหาเลขาของเหอหลวนเล่อ

หลังจากเลขาได้รับสายก็รีบออกมารับพวกเขา และโชคดีที่เหอหลวนเล่อได้จองโรงแรมให้เจี่ยนอี๋นั่วไว้แล้ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงกลับโรงแรมแล้ว เธอปิดประตูแล้วก็วางเจี่ยนซวงลงบนเตียง และห่มผ้านวมให้ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เดินไปที่ห้องน้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วถอดเสื้อผ้าแล้วยืนอยู่ในห้องน้ำ เปิดฝักบัวและเมื่อน้ำอุ่นพ่นลงบนตัวเจี่ยนอี๋นั่วก็หลับตาลง เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย และปล่อยให้ตัวเปียก เป็นเวลานานแล้วที่เธอไม่ได้อาบน้ำร้อนสบายตัวขนาดนี้ การอาบน้ำในเรือนจำมีการจำกัดเวลาในการอาบน้ำ และอุณหภูมิของน้ำจะเย็นบ้างร้อนบ้าง

เจี่ยนอี๋นั่วอาบน้ำจนมือเหี่ยวเปื่อย เธอใส่เสื้อคลุมอาบน้ำแล้วเดินออกจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วกลับไปข้างๆเตียง เอนตัวลงนอนบนเตียงและนอนลงข้าง ๆเจี่ยนซวง มันสามารถมองเห็นแสงไฟที่สว่างไสวด้านนอกหน้าต่าง และ ทุกคืนในคุกนั้นมันเงียบสงบเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วลืมไปแล้วว่าเธอไม่ได้เห็นคืนที่สว่างไสวเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็มีความรู้สึกเหมือนกลับมาอยู่ในโลกมนุษย์อีกครั้ง

ในขณะนั้นเจี่ยนซวงส่งเสียงเจื้อยแจ้ว และพึมพำในความฝัน เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนซวงพูดคำว่า "กิน" อย่างคลุมเครือ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบตบเจี่ยนซวงเบา ๆ เจี่ยนซวงก็รีบพิงไปที่หน้าอกของเจี่ยนอี๋นั่วทันที และยังคงหลับต่อไป เจี่ยนอี๋นั่วจูบที่หน้าผากของเจี่ยนซวงเบา ๆ แล้วกอดเจี่ยนซวงไว้ในอ้อมแขนของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะหัวเราะออกมา ในที่สุดเธอก็กลับมา และในที่สุดก็สามารถทำให้เจี่ยนซวงมีชีวิตที่ดีขึ้นได้

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่ในคฤหาสน์คนเดียว เป็นเวลานานจนกระทั่งฟ้ามืด เขาก็ค่อยๆลุกขึ้นและพูดกับจางหมินว่า "ไปกันเถอะ เตรียมรถให้พร้อม ฉันจะกลับไปคฤหาสน์เหลิ่งแล้ว "

จางหมินรีบนำชาโสมมาให้เหลิ่งเซ่าถิงหนึ่งแก้วทันที และพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า: "ประธานเหลิ่งครับ คุณดื่มชาโสมนี้ค่อยไปเถอะครับ ตอนนี้สีหน้าของคุณมันดูแย่มากครับ"

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงมีอาการบาดเจ็บที่ร่างกาย และใบหน้าของเขาซีดเซียว ถ้าหากคุณกลับไปถึงคฤหาสน์เหลิ่ง คนอื่นจะสังเกตเห็นได้ง่ายครับ เหลิ่งเซ่าถิงดื่มชาโสมนิดนึง สีหน้าของเขาไม่ได้ดูซีดเซียวจนน่ากลัวมากนัก

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกขึ้นเดินออกจากคฤหาสน์ และขึ้นรถนั่งกลับไปที่คฤหาสน์เหลิ่ง เมื่อเข้าไปในคฤหาสน์ตามหลักเหตุผลเหลิ่งเซ่าถิงควรไปห้องของคุณนายเหลิ่งก่อนเป็นอันดับแรก แล้วพูดคุยกับคุณนายเหลิ่ง

ทันทีที่คุณนายเหลิ่งเห็นเหลิ่งเซ่าถิง คุณนายเหลิ่งก็พูดอย่างเย็นชาว่า: " เซ่าถิง ลูกรู้อะไรไหม?เจี่ยนอี๋นั่วได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกแล้ว!"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม: "ผมรู้แล้วครับ แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับผมด้วยล่ะครับ?"

คุณนายเหลิ่งตะคอกอย่างเย็นชา: "แต่ตอนนี้อัยการตีกลับคดีของเธอแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนั้นเธออาจจะไม่ได้ฆ่าคน แล้วลูกไม่อยากกลับไปคืนดีกับเธอหรือ?”

"ถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีก่อนอัยการตีกลับคดีของเธอ ผมอาจจะเลือกที่จะกลับไปคืนดีกับเธอครับ"

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดแล้วพูดว่า:“ แต่ตอนนี้ผมมีครอบครัวของตัวเองแล้ว ผมเกือบลืมไปแล้วว่าเจี่ยนอี๋นั่วคือใครแล้ว เมื่อคิดถึงอดีต ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผมถึงหลงรักผู้หญิงคนนั้นด้วย ตอนนี้สำหรับผมแล้วสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการบริหารจัดการตระกูลเหลิ่งให้ดีที่สุด ปลูกฝังเหลิ่งเฉิงเยี่ยให้ดี และทำให้ตระกูลเหลิ่งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่และสำหรับเรื่องอื่น ๆ ผมไม่มีเวลาดูแลแล้วจริง ๆ และเมื่อพูดถึงการเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งแล้ว ผมคิดว่าเค่อหยิงเหมาะสมมากกว่าครับ”

“เค่อหยิง?” คุณนายเหลิ่งตะคอกออกมา จากนั้นปิดปากของเธอแล้วไอออกมาอย่างแรง

คุณนายเหลิ่งอายุมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเธอได้ต่อสู้กับเหลิ่งหมิงอันเป็นเวลาสองสามปี และเมื่อเธอสังเกตเห็นเหลิ่งเซ่าถิงอีก อำนาจของเหลิ่งเซ่าถิงพัฒนาขึ้นมาก และเขาได้รวมอำนาจกับคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งมากมาย และเมื่อเร็ว ๆ นี้ผู้ช่วยคนสำคัญของคุณนายเหลิ่งถูกบีบบังคับให้ตาย นั่นมันคือผู้ช่วยคนสำคัญที่มีประสิทธิภาพของคุณนายเหลิ่ง และนั่นคือคนที่สนับสนุนเธอมากที่สุดในตระกูลเหลิ่งอีกด้วย

คุณนายเหลิ่งพึ่งจะสังเกตเห็นเหลิ่งเซ่าถิงโดยไม่รู้ตัวว่าอิทธิพลของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น อำนาจในตระกูลเหลิ่งมีมากกว่าเธอแล้ว! มีหลายสิ่งหลายอย่าง คนอื่นจะไม่ถามความคิดเห็นเธออีก แต่กลับไปถามเหลิ่งเซ่าถิง สิ่งนี้ทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจอย่างมาก!

คุณนายเหลิ่งรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ถ้าหากลูกลืมผู้หญิงคนนั้นไปแล้วจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็ดี เพราะตอนนี้ลูกทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองและไม่พอใจ ถ้าหากใครระบายความโกรธแค้นใส่พวกเขา พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์แต่กลับต้องมารับโทษแทน”

“ ผมยังหวังว่าจะมีใครสักคนระบายความโกรธแค้นกับพวกเขา” เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม:“ ผมอยากรู้เหมือนกันว่าใครเป็นศัตรูของผมบ้าง และใครเป็นพันธมิตรกับผม”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็ยืนขึ้น ยิ้มและพูดกับคุณนายเหลิ่ง: "ถ้าหากคุณย่าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ ผมยังต้องไปดูเฉิงเยี่ยครับ"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วรีบหันกลับและเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งทันที คุณนายเหลิ่งคิ้วขมวดและมองตามด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิง เธออดไม่ได้ที่จะตะคอกเสียงดัง:“ ฮึ่ม ยิ่งอยู่ยิ่งบังอาจมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นแบบนี้เหมือนกันหมด ต้องให้เป็นห่วงและกังวลตลอดไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ!”

สาวใช้รินน้ำชาให้คุณนายเหลิ่ง สาวใช้คนนั้นเป็นสาวใช้คนสนิทของคุณนายเหลิ่งมานานหลายปีแล้ว สาวใช้เห็นคุณนายเหลิ่งกำลังโกรธมาก จึงกระซิบบอกคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณท่านค่ะ คุณท่านรู้สึกว่าคุณชายใหญ่ ลืมผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆหรือคะ? "

คุณนายเหลิ่งยักคิ้วเบา ๆ และพูดอย่างเย็นชา: "ฉันจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ? ตอนนี้ฉันเป็นคนหูหนวก!แล้วก็เป็นคนที่ตาบอด! ตอนนี้ฉันตาบอด ! ฉันจะไปรู้ความคิดในใจของประธานเหลิ่งได้อย่างไร?”

คุณนายเหลิ่งพูดออกมาด้วยความโกรธ เธอสูญเสียอำนาจไปเยอะมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่รู้เลยว่าระยะนี้เหลิ่งเซ่าถิงกำลังทำอะไรอยู่ คนรอบข้างของเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงอะไรได้เลย อันที่จริงคุณนายเหลิ่งรู้สึกงงงวยมาก เพราะเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอำนาจที่แข็งแกร่งเช่นนี้มาก่อน เธอคิดไม่ออกเลย แค่เวลาไม่นานเหลิ่งเซ่าถิงทำไมถึงมีอำนาจมากขนาดนี้ได้อย่างไร? หรือมีใครช่วยเหลือเหลิ่งเซ่าถิงอยู่?

สาวใช้มองไปที่ท่าทางของคุณนายเหลิ่งแล้วพูดกระซิบ: "อันที่จริงดิฉันคิดว่าคุณชายใหญ่ ยังคงห่วงใยผู้หญิงที่แซ่เจี่ยนคนนั้นอยู่ เอาอย่างนี้ดีไหมพวกเราจัดการผู้หญิงคนนั้น……”

"จะทำอย่างนั้นไม่ได้" คุณนายเหลิ่งคิ้วขมวดพูดว่า: "ตอนนี้เราไม่รู้ว่าในใจของเหลิ่งเซ่าถิงกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าหากเธอลักพาตัวเจี่ยนอี๋นั่วสองแม่ลูกอย่างไม่ไตร่ตรองดีๆ แล้วถ้าหากไม่สามารถใช้ข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิงได้ล่ะ?เขาอาจจะไม่สนใจสองแม่ลูกนั้นจะได้รับบาดเจ็บหรือไม่ แต่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะไม่สนใจคำขู่ของเธอที่มีต่อเขา! ลูกสาวของเจี่ยนอี๋นั่วคนนั้น ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ยอมรับ แต่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเหลิ่งเซ่าถิง เธอคิดว่าคนอื่น ๆ ไม่อยากจัดการพวกเธอเหรอ? แต่คนที่กล้าจะลงมือจัดการพวกเธอจริงๆจะมีสักกี่คน?ตอนนี้ความเคลื่อนไหวของพวกเธอนั้นสืบหายากมาก ไม่มีใครกล้ายืนยันได้ว่าจะสามารถใช้มันเพื่อขุมขู่เหลิ่งเซ่าถิงได้จริงๆ และเพราะพวกเขากลัวว่าจะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่พอใจ และไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม และกลับปล่อยให้พวกเขาออกจากคุกอย่างปลอดภัย แต่ยังมีอีกคนที่กล้าลงมือกับพวกเธอ นั่นก็คือคนบ้าคนนั้น ……”

เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดถึงนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกออกมาอย่างเย็นชา: "เป็นคนบ้าจริงๆ เพื่อผู้หญิงคนนึง ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าคนหรือวางเพลิงก็กล้าทำทุกอย่าง !”

"คุณชายรอง ?" สาวใช้ขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเบา: "เมื่อเร็ว ๆ นี้อำนาจของคุณชายรองลดลงอย่างมากและก่อนหน้านี้ก็ทะเลาะกับคุณนายเหลิ่งอย่างรุนแรงไม่ใช่เหรอคะ? เอาแบบนี้ดีไหมคะ ฉวยโอกาสนี้ทำลายเขาซะเลย”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วและพูดว่า: "สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราในตอนนี้คือการรวมตัวกับคนอื่น ๆ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป อำนาจของเหลิ่งเซ่าถิงจะยิ่งใหญ่มากขึ้นจริงๆ ! เขาจะยังเห็นคุณย่าคนนี้อยู่ในสายตาของเขาอยู่อีกไหม?ต่อให้เป็นหลานแท้ๆ แต่ฉันไม่มีอำนาจในมือเลย เขาไม่คิดว่าฉันเป็นคุณย่าของเขาจริงๆ "

คุณนายเหลิ่งพูดไปด้วย พลางจิบชา จากนั้นคิ้วขมวดและถามอย่างเย็นชา: "ชานี้ทำไมรสชาติถึงเป็นแบบนี้? ชาที่ฉันชอบดื่มเป็นประจำล่ะ ?”

สาวใช้แสดงสีหน้าลำบากใจ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบา: "เป็นเพราะคุณหญิง เธอขอให้คนรับใช้เปลี่ยนชาค่ะ บอกว่าชาที่คุณนายดื่มเป็นประจำนั้นมันแพงเกินไป ค่าใช้จ่ายสูงเกินไป และให้ลดค่าใช้จ่ายลงค่ะ บอกว่าชาประเภทนี้ราคาถูกกว่าหน่อย อยากให้คุณดื่มเมื่อยังมีชีวิตอยู่”

คุณนายเหลิ่งรีบโยนถ้วยน้ำชาลงกับพื้นทันที เธอตัวสั่นด้วยความโกรธแล้วตะโกนเสียงดังว่า: "เธอยิ่งอยู่ยิ่งบังอาจและทำตามอำเภอใจแล้วนะ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาเธอยังเด็กที่น่ารักและเชื่อฟัง ตั้งแต่ให้กำเนิดลูกชาย พฤติกรรมยิ่งแย่ลงไปอีก! สู้เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เลยสักนิด นี่ยังกล้ามาเปลี่ยนชาของฉัน! เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหลิ่งของเรา? มันจะพังทลายลงแล้วหรือ? แม้แต่ชาของฉันยังต้องประหยัดเหรอ? และไม่เห็นว่าเธอจะช่วยกันประหยัดเงินเลย เลิกซื้อเสื้อผ้าสักสองสามตัว! เป็นเพราะถูกเซ่าถิงตามใจมากเกินไป อะไรๆก็ทำใจเธอ ปกป้องเธอ แม้แต่ตั้งชื่อให้ลูกชายเธอยังเป็นคนตั้งเอง ทำให้เธอหยิ่งยโส โอหังและเอาแต่ใจมากขึ้นทุกวัน”

ในขณะที่คุณนายเหลิ่งพูดอยู่ เธอค่อยๆหรี่ตาลง เธอและพูดอย่างดุเดือด: "กู้เค่อหยิง เธอนี่มาได้จังหวะจริง ๆ มาในช่วงจังหวะที่อำนาจของเหลิ่งเซ่าถิงแข็งแกร่งอย่างมาก เธอโชคดีกว่าผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วมากๆ! แต่ฉันจะบอกให้เธอรู้เอาไว้ การที่เป็นหลานสะใภ้ของฉันต้องรู้จักความเหมาะสม มีอีกหลายเรื่อง เธอทำเกินไป!”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงนี่ ก็หันหน้าไปมองทางสาวใช้ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม: "เธอหาคนไปบอกกับกู้เค่อหยิง บอกว่าผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้รับการปล่อยตัวออกมาแล้ว จากนั้นหาโอกาสทำให้พวกเขาได้เจอหน้ากัน นอกจากนี้ยังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อดูว่า เซ่าถิงให้ความสำคัญกับกู้เค่อหยิงสองแม่ลูกนั้นจริงๆหรือไม่ หรือให้ความสำคัญกับเจี่ยนอี๋นั่วสองแม่ลูกมากกว่า? อีกทั้งยังเล่นงานกู้เค่อหยิงได้ กู้เค่อหยิงมีลูกให้กับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วยังไง?เจี่ยนอี๋นั่วก็มีลูกสาวให้กับเหลิ่งเซ่าถิงเช่นกัน!”

เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดถึงนี่ ทันใดนั้นก็ถอนหายใจเฮือกออกมา และยิ้มอย่างช่วยไม่ได้: "ฮิฮิ……ฉันก็อายุมากแล้ว ไม่มีประโยชน์แล้ว นี่ยังคิดหาวิธีเหล่านี้ออกมาเพิ่มความวุ่นวายให้กับคนอื่นได้ด้วย ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันไม่ชอบกลยุทธ์เล็ก ๆ น้อย ๆแบบนี้”

สาวใช้คลุมผ้านวมให้คุณนายเหลิ่งแล้วกระซิบว่า:“คุณนายอย่าคิดมากนะคะ พักผ่อนเถอะค่ะ สามารถจัดการพวกเธอได้ เรื่องที่สามารถทำให้คุณนายสบายใจมันถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดค่ะ กลยุทธ์เล็ก ๆ น้อย ๆในการใช้จัดการกับพวกเขามีที่ไหนกัน? ถ้าเป็นกลยุทธ์ที่ดี ก็สามารถลองดูก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ”

คุณนายเหลิ่งฟังแล้วรู้สึกสบายใจขึ้น เลิกขมวดคิ้วหายใจออกยาว ๆ และพูดด้วยรอยยิ้ม: "พูดถูกต้อง และยังสมเหตุสมผล ใช่สินะ เป็นวิธีการที่ดีก็ได้แล้ว วิธีการใหญ่หรือวิธีการเล็กๆมีที่ไหนกัน?”

เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดถึงนี่ เธอก็หรี่ตาและหลับไป สาวใช้ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ จ้องมองคุณนายกำลังนอนหลับไปแล้ว เธอคิ้วขมวด เธอพบว่าคุณนายเหลิ่งอายุมากขึ้นแล้ว อายุมากจนไม่รู้ว่าจะตายเมื่อไหร่

การเดินทางตลอดทางของเหอหลวนเล่อนั้นนับได้ว่าเป็นการกวนจากเจี่ยนซวงโดยสิ้นเชิง เหอหลวนเล่อได้อธิบายให้กับเจี่ยนซวงแล้วว่าอะไรคือประเทศผู้หญิง ก่อนจะเหอหลวนเล่อนั้นต้องเล่าเรื่องไซอิ๋วต่อ เจี่ยนซวงเคยฟังเรื่องไซอิ๋วจากเจี่ยนอี๋นั่วมาบ้างแล้ว เธอฟังไปด้วยแล้วยังพูดคุยกับเหอหลวนเล่อไปด้วย

"คุณแม่เล่อเล่อคะ ละมุดอร่อยมากใช่มั้ยคะ มันอร่อยกว่าลูกพีชมั้ยคะ? รสชาติมันเหมือนยาอายุวัฒนะของคนแก่มั้ยคะ? แล้วหมูเปรี้ยวหวานหอมเหมือนที่เขาว่ากันรึเปล่าคะ?" เจี่ยนซวงลงรถ เธอจับมือของเหอหลวนเล่อเอาไว้ละยังถามรื่อยๆ

เหอหลวนเล่อถูกถามจนเธอปวดหัวไปหมดแล้ว เธออดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆก่อนจะพูดด้วยสีหน้าข่มขื่นว่า : "ซวงซวง ปล่อยคุณแม่เล่อเล่อไปเถอะนะคะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนจะพูดกับเจี่ยนซวงว่า : "ชวงชวง หยุดกวนคุณแม่เล่อเล่อได้แล้วค่ะ"

เจี่ยนซวงเม้มปากก่อนที่จะหันไปถามเหอหลวนเล่อด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิดเสียงเบาๆ : "คุณน้าเล่อเล่อคะ หนูน่ารำคาญหรอคะ?"

เหอหลวนเล่อพยแพ้ให้กับดวงตาที่ไร้เดียงสาของเจี่ยนซวงทันที เพียงเหอหลวนเล่อเห็นสายตาแบบนี้ เธอก็รีบส่ายมือของเธอทันที ก่อนจะพูดอย่างเลิ่กลั่กไปว่า : "ไม่ได้รำคาญนะคะ อี๋นั่ว เธอห้ามสอนซวงซวงทำแบบนี้อีกนะ ซวงซวงนี่จะฉลาดไปแล้ว มาค่ะ ซวงซวงอยากรู้อะไรอีก? ถ้าคุณแม่เล่อเล่อรู้คุณแม่จะเล่าให้ชวงชวงฟัง"

เจี่ยนซวงรีบยกยิ้มขึ้นมาทันทีก่อนที่จะถามเหอหลวนเล่อเกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระอีกครั้ง จนเจี่ยนซวงถูกมาที่ร้านอาหารระดับไฮคลาสแห่งหนึ่ง เมื่อเจี่ยนซวงเห็นบนโต๊ะมีอาหารและขนมหวานมากมายอยู่ เจี่ยนซวงก็ปิดปาก ไม่ถามอะไรอีกเลย ก่อนที่จะตะโกนเสียงดังว่า : "ว้าว……"

เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่ได้คิว่าเหอหลวนเล่อนั้นจะจัดเตรียมอาหารมากมายขนาดนี้ให้กับพวกเธอ เธอหันหน้าไปมองเหอหลวนเล่อก่อนจะพูดว่า : "เธอจัดเตรียมไว้มากเกินไปนะ มีแค่เราไม่กี่คนเองนะ?"

เหอหลวนเล่อยิ้ม : "ไม่หรอก ไมเห็นเยอะเลย หลายปีมานี้พวกเธอลำบากกันมากมากพอแล้ว ฉันคิดตลอดว่าควรจะเตรียมอาหารให้พวกเธอเยอะๆ ก็เลยยิ่งสั่งยิ่งเยอะเข้าไปอีกน่ะ คิดซะว่ากินเพื่อฉันแล้วกันนะ เธออย่าลืมสิ เธอยังติดค้างเรื่องชากับฉันอยู่นะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจก่อนจะขอบคุณเหอหลวนเล่อด้วยความจริงใจ : "ขอบคุณนะ ฉันโชคดีมากๆที่ได้รู้จักเธอ แล้วก็ได้เป็นเพื่อนกับเธอ"

เหอหลวนเล่อได้รับการยอมรับจากเจี่ยนอี๋นั่วเช่นนี้แล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะหน้าแดงขึ้นมา เธอก้มหน้าลงเล็กน้อยพร้อมกับใบหน้าที่แดงแจ๋ของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นว่า : "เธอชมฉันอย่างนี้ฉันอายนะเนี่ย วันนี้ฉันอุตส่าห์เลี้ยงต้อนรับเธอขนาดนี้แล้ว ไม่เมาไม่กลับนะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ ก่อนเธอจะมองเจี่ยนซวงที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุขจนหน้าของลูกน้อยแดงไปหมดนั้นปีนขึ้นไปบนเก้าอี้แล้งมองอาหารตรงหน้า เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนจะพูด : "ซวงซวงนั่งลงเลยค่ะ อย่าไปยืนบนเก้าอี้แบบนั้น"

เจี่ยนซวงรีบปีนลงมาจากบนเก้าอี้ช้าๆ จากนั้นก็เช็ดรอยเท้าของตัวเองบนเก้าอี้อย่างตั้งใจ จากนั้นจึงค่อยวิ่งไปข้างๆคนเป็นแม่ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "หม่าม้าคะ ของน่าอร่อยเยอะมากเลยค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : "ค่ะ แบบนี้ซวงซวงต้องขอบคุณแม่เล่อเล่อแล้วมั้ยน้า?"

เจี่ยนซวงรีบพูดขอบคุณขึ้นมาทันที : "ขอบคุณมากๆค่ะคุณแม่เล่อเล่อ"

เหอหลวนเล่อพูดด้วยรอยยิ้ม : "รีบกินกันเถอะ เราสามคนกินอาหารมื้อนี้ให้อร่อยกันเลยนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วลืมไปแล้วว่าเธอนั้นได้กินอาหารอย่างนี้นานแค่ไหนแล้ว ถึงแม้ว่าเจี่ยนซวงนั้นจะกินเก่งมากๆ แต่ตอนที่นั่งอยู่บนรถนั้นเธอใช้เอเนอจี้ของเธอมากเกินไป เจี่ยนซวงจึงกินแค่ขนมหวานไปไม่กี่อย่าง และดื่มน้ำซุปไปนิดหน่อยเท่านั้นก็หลับไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่ววางเจี่ยนซวงบนเก้าอี้ข้างๆเธอ มือข้างนึงของเธอตบลูกเบาๆเพื่อเป็นการกล่อม มืออีกข้างของเธอถือแก้วเหล้ามาดื่ม

"เจี่ยนอี๋นั่ว เธอเพิ่งหายจากอาการบาดเจ็บนะ อย่าเพิ่งดื่มเยอะเลย อย่าไปฟังที่ฉันพูดเมื่อกี้เลย เมื่อกี้ฉันคึกน่ะ เลยลืมว่าร่างกายของเธอบาดเจ็บมา ฉันน่ะไม่เมาไม่กลับ ส่วนเธอก็แล้วแต่เธอแล้วกันนะ" เหอหลวนเล่อคาวแอลกอฮอล์ออมาพร้อมกับพูดยืดยาด

เจี่ยนอี๋นั่ส่ายหัวไปมา : "ฉันรู้ลิมิตของฉันหน่า เธอไม่ต้องห่วงหรอก ฉันอยาดื่มเหล้าสักหน่อย นานแล้วที่ฉันไม่ได้ดื่มมัน"

"ใช่ไง พลาดไปแล้วถึงได้รู้ค่าของมัน ตอนนี้เธอจะรู้สึกว่ามันอร่อย เพราะว่าเธอไม่ดื่มมันมานาน ถ้าอย่างฉันนะ พาแขกไปดื่มทุกวัน ในงานเลี้ยงก็ต้องดื่ม ดื่มในงานเสร็จ กลับบ้านไปก็ดื่มอีกสองสามแก้ว เธอก็จะไม่คิดว่าเหล้ามันอร่อยแบบนี้หรอก" เหอหลวนเล่อพูดพร้อมกับรอยยิ้มของเธอ

เหอหลวนเล่อยิ้มไปยิ้มมา ก่อนที่จะร้องไห้ออกมาอย่างอดไม่ได้ : "อี๋นั่ว หลายปีที่ผ่านมานี่มันวันอะไรกันหรอ? เธอต้องลำบากมากมายขนาดนี้ แล้วเหลิ่งเซ่าถิงล่ะ? ไปแต่งงานแล้วยังมีลูกชายด้วยกันอีก! เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนี้เขารวยแค่ไหน! เขารวยยิ่งกว่าเมื่อก่อนอีกนะ! คนในเมืองนี้ต่างก็รู้กันหมด ว่าสามารถระรานตระกูลเหลิ่งได้ แต่ไม่สามารถทำกับเหลิ่งเซ่าถิงได้! แต่เขาก็ปล่อยให้เธอต้องติดคุกตั้งนาน ถึงแม้ว่าไม่มีความรู้สึกแบบนั้นกับเธอแล้วก็เถอะ แต่เขาทนปล่อยให้ซวงซวงอยู่ในนั้นด้วยได้ยังไงกัน? เขามีความสามารถมากกว่าฉัน ถ้าเขาอยากจะรวจสอบเรื่องนี้ เธอก็ได้รับการพิจารณาคดีใหม่แน่นอน เพียงแค่เขาเชื่อเธอ!"

เหอหลวนเล่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ตะคอกออกมาอย่างเยือกเย็น : "ประธานเหลิ่ง…..เขาคือตัวอะไรกันแน่? หรือจะเป็นพวกได้ใหม่แล้วลืมของเก่า! แม้แต่ผู้หญิงของตัวเองกับลูกสาวก็ไม่ต้องการแบบนี้! ฉันต้องตาบอดแน่ๆเลยที่ชอบผู้ชายอย่างนั้นได้!"

ณ คฤหาสน์แห่งหนึ่งที่อยู่อีกเมืองหนึ่ง จางหมินที่ได้ยินคำด่าของเหิหลวนเล่อผ่านทางเครื่องเล่นเสียง จางหมินหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ข้างๆเขา ก่อนจะพูด : "ท่านประธานเหลิ่งครับ ยังจะเปิดต่อมั้ยครับ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าก้อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มของเขา : "เปิดต่อไป ที่เธอพูดไม่ได้ผิดนี่"

จางหมินหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะเปิดเครื่องเล่นเสียงจากร้านอาหารระดับไฮคลาสนั้น ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงรู้วิธีการเข้าถึงคน และเขาก็สามารถเข้าใจเจี่ยนอี๋นั่วได้อย่างวางใจ

เหลิ่งเซ่าถิงฟังเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วจากเครื่องเล่นเสียงนั้น เสียงของเธอนั้นใจเย็นมากกว่าเดิม อาจจะเป็นเพราะว่าไม่ได้เจอกันนานแล้ว…….

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลงก่อนจะลูบภาพของเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่ในมือของเขาเบาเบา รูปนั้นเป็นเพียงรูปขนาดหนึ่งนิ้วเท่านั้น เขาเก็บมันไว้ในกระเป๋าและรูปในนี้ก็ถูกรูปภาพครอบครัวของเขากับกู้เค่อหลันทับเอาไว้ด้วย ในตอนที่เขารู้สึกทนต่อไปไม่ไหวหรือไม่สามารถทำอะไรหรืออยู่ต่อไปได้ เขาก็จะหยิบรูปของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมาดู และเหลิ่งเซ่าถิงถึงจะอยู่ต่อไปได้

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งบนเก้าอี้พร้อมกับมองเจี่ยนอี๋นั่วที่ถอนหายใจอยู่แล้วเธอก็พูดขึ้นมาว่า ; "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันรักคนอย่างเขาได้ยังไง……"

มือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นสั่นไปหมด รวมถึงปากของเขาด้วย เขารีบลุกขึ้นก่อนจะพูด : "ปิดเครื่องเล่นเสียงนั้นซะ"

เหลิ่งเซ่าถิงกลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดว่าเธอเกลียดเขา เขารู้ดีว่าหลายปีมานี้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นลำบากมากแค่ไหน เขาเข้าใจว่าเจี่ยนอี๋นั่วต้องทนทุกข์ขนาดไหน นั่นคือคำพูดของเขา : "ฉันเจอกับปัญหาอยู่ ฉันอยากปกป้องเธอ ฉันเลยต้องทำแบบนี้" แค่นี้ก็คงจะเข้าใจ

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเยี่ยหมิงจูรายงานเขา ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอท้องนั้น เธอถึงได้บอกเขา หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก้ไม่บอกอะไรกับเขาอีกเลย แม้แต่เจี่ยนชวงถามเจี่ยนอี๋นั่วว่าพ่อของตนคือใคร เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เคยพูดแม้แต่ชื่อของเขาให้ลูกฟังเลย

พอมาคิดๆดูแล้ว นี่มันก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้เลยจริงๆว่าความรู้สึกของเจี่ยนอี๋นั่วที่มีต่อเธอนั้นมันเหลือมากน้อยแค่ไหน บางทีเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะตัดใจจากเขาไปแล้วก็ได้ ในตอนที่พวกเขาอยู่ด้วยกันนั้น ไม่เคยจะได้อยู่ด้วยกันอย่างมีคีวามสุขเลยสักครั้ง บางทีเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะลืมเขาไปตั้งนานแล้วก็ได้

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก้ถอนหายใจออกมาทันที พร้อมกับใบหน้าของเขาที่ซีดลงเรื่อยๆ

จางหมินขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงดทนต่ำว่า : "ท่านประธานครับ แผลของคุณเปิดอีกแล้วหรอครับ?"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า : "ไม่นี่ ฉันไม่ได้เป็นอะไร ฉันโอเคดี ไม่เคยโอเคเท่านี้มาก่อนด้วย….."

เพราะเธอกลับมาแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสได้พบกันก็ตาม ถึงแม้ว่าเธอจะเกลียดเขามากแค่ไหน แต่เขาก็ได้ฟังเสียงของเธอ ได้เห็นรูปลักษณ์ของเธอในตอนนี้ก็พอแล้ว เขาดิ้นรนมาตลอดสี่ปี ตอนนี้เขาทำสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ใช่เพราะเจี่ยนอี๋นั่วพบเจอเรื่องที่เสี่ยงชีวิตในเรือนจำแบบนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็คงไม่สามารถทำให้เจี่นอี๋นั่วพ้นโทษออกมาได้

บางทีอาจจะต้องรออีกสองปี รอให้ถึงวันที่เหลิ่งเซ่าถิงสามารถควบคุมทุกอย่างได้ แต่เขาทนรอไม่ไหวแล้ว เพียงได้ยินการรายงานเกี่ยวกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็อดทนที่จะให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในเรือนจำนั้นอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่ในร้านอาหารระดับไฮคลาสในตอนนี้ ฟังเหอหลวนเล่อบ่นพึมพำเกี่ยวกับเรื่องของเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย เธอก็อดที่จะไม่ยิ้มไม่ได้ เธอยื่นมือออกมาก่อนที่จะรินเหล้าให้ตัวเอง

เธอเกลียดเหลิ่งเซ่าถิงมั้ยเหรอ? เธอไม่เกลียดหรอก เธอก็แค่ผิดหวังในตัวเขา เธอไม่ได้ผิดหวังที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถปกป้องเธอให้ดีกว่านี้ เธอได้เห็นวิธีต่างๆของตระกูลเหลิ่งมาแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงอยากจะทำสงครามกับคนพวกนั้น เขาเลยต้องตัดความสัมพันธ์ของเขากับเธอทิ้ง แล้วตอนนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่สามารถหาที่ซ่อนที่ปลอดภัยให้กับเธอได้

แม้แต่เพื่อนของเหลิ่งเซ่าถิงที่เขาอยากปกป้องยังถูกฆ่าเลย ในตอนนั้นเหลิ่งเซ่าถิงคงสับสนในความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจึงตัดความสัมพันธ์ของตัวเองกับเจี่ยนอี๋นั่ว มันเป็นวิธีการปกป้องเจี่ยนอี๋นั่วที่ดีที่สุดในตอนนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจเหลิ่งเซ่าถิงอย่างดี เธอเองก็มีคนที่เธออยากปกป้องเหมือนกัน เธอเข้าใจความรู้สึกที่ไม่ว่าจะพาคนที่เธออยากปกป้องไปไว้ที่ไหนก็ไม่วางใจ เพราะกลัวว่าตัวเองจะทำให้เขาลำบากใจ ตั้งแต่ที่เธอมีลูกแล้ว ความรู้สึกแบบนี้มันก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วผิดหวังในตัวของเหลิ่งเซ่าถิงคือการที่เหลิ่เซ่าถิงแต่งงานแล้วไปมีลูกกับหญิงอื่น ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นยัยหน้าโง่คนนึง เหมือนเมื่อก่อนที่เธอเคยเปิดประตูโรงแรมแห่งนึงแล้วเจอเหลิ่งเซ่าถิงกับกู้เค่อหยิงนอนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง

เธอทำได้ แต่เธอแค่ยอมแพ้ เธออยากเอาเหลิ่งเซ่าถิงจากเบื้องลึกในใจของเธอทิ้งซะ แล้วก็นำเอาหัวใจที่มีบาดแผลของเธอนั้นมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข เหลิ่งเซ่าถิงไม่เข้าใจเธอเลย แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธอเป็นคนที่แข็งแกร่งมากๆ ในตอนที่เธอเสียพ่อแม่ของตัวเองไปเธอก็สามารถผ่านมันไปได้

ตอนที่เธอต้องอยู่ในเรือนจำเธอก็สามารถผ่านมันไปได้ เสียลูกชายไปคนหนึ่งเธอก็ยังผ่านมันมาได้อีก

ตอนนี้ก็เหลือแค่พยายามที่จะไม่รักคนอย่างเหลิงเซ่าถิงก็เท่านั้น ทำไมเธอจะทำมันไม่ได้ล่ะ?

ทุกอย่างมันควรจะเริ่มใหม่ทั้งหมด

เจี่ยนอี๋นั่วยังพักรักษาตัวไม่ทันหาย ก็ได้รับข่าวดีแล้ว เพราะเหตุสุดวิสัยที่เกิดขึ้นในครั้งนี้นั้นเป็นความรับผิดชอบของเหล่าผู้คุมในเรือนจำ เพื่อเป็นการปกปิดเรื่องนี้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้รับการลดโทษ

จากโทษจำคุกตลอดชีวิตก็ถูกลดเหลือเพียงสิบปีเท่านั้น อีกทั้งเยี่ยหมิงจูที่ช่วยชีวติคนเอาไว้ก็ได้รับการปล่อยตัวก่อน เธอจึงพ้นโทษไปแล้ว

เหลือโทษแค่สิบปีแค่นี้ก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นพอใจเป็นอย่างมากแล้ว เพียงแค่ผ่านสิบปีนี้ไปได้ เธอก็สามารถพ้นโทษออกไปได้แล้ว ไม่มีสิ่งใดที่ทำให้เธอดีใจได้มากเท่านั้นแล้วล่ะ

แต่เหมือนโชคชะตะนั้นกำลังจะชดเชยให้กับเจี่ยนอี๋นั่วทีละเล็กทีละน้อยเรื่อยๆ ตอนที่เธอเริ่มหายจากอาการบาดเจ็บของเธอแล้วนั้น เหอหลวนเลอก็นำข่าวดีอีกเรื่องมาบอกเธอ ว่าคดีของเธอนั้นสามารถย้อนคดีได้ เนื่องจากลายนิ้วมือของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นถูกปนเปื้อน แต่ไม่ได้หมายความว่าดีเอ็นเอที่อยู่ในที่เกิดเหตุนั้นจะเป็นของเจี่ยนอี๋นั่ว อีกอย่างพยานที่ให้ปากคำก็ไม่ได้ยืนยันอย่างชัดเจนว่าเห็นเจี่ยนอี๋นั่วในเหตุการณ์

"อี๋นั่ว เธอจะได้ออกมาแล้วนะ เธอมีอิสระแล้ว!!" เหอหลวนเล่อพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมตาแดงๆของเธอ แล้วพูดขึ้นพร้อมกับร้องไห้ออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่เหอหลวนเล่อ เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังฝันอยู่ ผ่านไปสักพักเธอถึงได้พยักหน้าก่อนจะพูดกับเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอว่า : "ซวงซวง เราจะได้ออกไปแล้วนะคะ"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ พร้อมกับกอดเจี่ยนอี๋นั่ว : "หม่าม้าคะ ออกไปอะไรหรอคะ? ออกไปทำไม? แล้วออกไปทำอะไรหรอคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปชัวครู่ หลังจากที่เธอได้ออกไปแล้วเธอไม่รู้เลยว่าเธอจะออกไปทำอะไร แต่เธอก็ครุ่นคิดไปสักครู่ ก่อนที่จะพูดกับลูกสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้ม : "ถ้าได้ออกไปแล้วซวงซวงก็จะได้ไปโรงเรียนไงคะ แล้วก็จะได้ออกไปซื้อของอร่อยๆเยอะๆด้วย พาซวงซวงไปสวนสนุก ซวงซวงโตขนาดนี้แล้วยังไม่เคยได้ไปสวนสนุก ไม่เคยนั่งชิงช้าสวรรค์ ไม่เคยได้ดูการ์ตูนจนจบสักครั้ง หลังจากที่ออกไปจากที่แล้ว หม่าม้าจะพาหนูไปทำสิ่งเหล่านี้นะ……."

ดวงตาของเจี่ยนซวงเป็นประกายขึ้นมาทันที ก่อนที่จะลดเสียงต่ำลงแล้วพูดว่า : "ข้างนอกจะมีคนมาตีหม่าม้าแล้วก็คนที่จับซวงซวงกับหม่าม้าแยกกันแล้วใช่มั้ยคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าก่อนจะพูดด้วยดวงตาที่แดงก่ำของตน : "ไม่มีแล้วค่ะ ถ้าเขามาตีหม่าม้า หม่าม้าจะจับเขาแบบที่ผู้คุมที่นี่ทำ เพราะว่าถ้าเราออกไปข้างนอกแล้ว หม่าม้าจะไม่ใช่คนผิดอีกต่อไปแล้วค่ะ พวกเขาต้องปกป้องหม่าม้าแล้ว"

เจี่ยนซวงปรบมือเล็กๆของตนก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "หนูจะออกไปข้างนอกค่ะ จะออกไปกับหม่าม้า"

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวเจี่ยนซวงผู้เป็นลูกสาวด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ร้องไห้ออกมา แต่คนที่อยู่ข้างนอกอย่างเหอหลวนเล่อนั้นกลับร้องไห้จนดูไม่ได้แล้ว เหอหลวนเล่อทั้งร้องไห้ทั้งพูดไปด้วยว่า : "ถ้าฉันพยายามสอบสวนมากกว่านี้ พวกเธอสองแม่ลูกอาจจะจะได้ออกมาข้างนอกไวกว่านี้"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหอหลวนเล่อ : "มันไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เพราะมันถูกกำหนดมาแล้วว่าฉันต้องอยู่ในเรือนจำนี้กี่ปี"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตนเองจะได้ออกจากเรือนจำแห่งนี้ก็เพราะปัญหาภายในที่เกิดขึ้นในตระกูลเหลิ่ง ดูเหมือนหลายปีมานี้เหลิ่งเซ่าถิงจะมีความสุขดีมากๆ ดีจนไม่ต้องให้เหล่าตระกูลเหลิ่งนั้นจับตามองเขา เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่จะโดนผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงมาขู่ทำร้ายได้อีกแล้ว

เรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมากกว่าที่เจี่ยนอี๋นั่วจินตนาการเอาไว้ซะอีก เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งได้ยินข่าวดีว่าเธอจะได้อยู่ในเรือนจำนี้อีกไม่นานแล้ว เธอก็ได้ยินผลการพิจารณาคดีแล้ว

พ้นโทษแล้ว……

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินข่าวดีนี้แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมาทันที ตั้งแต่ที่เจี่ยนอี๋นั่วได้รับบาดเจ็บ เจี่ยนซวงก็ตัวติดเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่วผู้เป็นแม่ของเธอนั้นจะได้รับบาดเจ็บอีก เมื่อเธอเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ เธอก็เขย่งเท้าแล้วก็ยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะร้องไห้แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงประหม่า : "หม่าม้าไม่ร้องนะคะ ซวงซวงอยู่ตรงนี้แล้ว ซวงซวงจะปกป้องหม่าม้าเอง……"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเช็ดน้ำตาของตนเองก่อนจะพูดกับลูกสาวตัวน้อยด้วยรอยยิ้มว่า : "หม่าม้าไม่ได้ร้องไห้ค่ะ หม่าม้าดีใจ หม่าม้าดีใจที่สุดเลยค่ะ!"

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเก็บกระเป๋าของตนเองทันที เป็นเพราะของของเธอนั้นมีไม่มากจึงใช้เวลาไม่ถึงสิบนาทีเธอก็เก็บกระเป๋าของเธอเรียบร้อยแล้ว เหล่านักโทษหญิงในเรือนจำต่างก็มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเงียบๆ พวกเธอรู้กันหมดแล้วว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นได้พ้นโทษแล้ว จากโทษจำคุกตลอดชีวิต เป็นลดโทษลงมา จนตอนนี้เธอก็ได้พ้นโทษแล้ว สำหรับพวกเธอแล้วมันเหมือนกับความฝันที่ไร้สาระมากๆ

"เจี่ยนอี๋นั่วยินดีกับเธอด้วยนะ ที่เธอพ้นโทษแล้ว" ผู้คุมพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วที่หน้าประตูเรือนจำ เป็นครั้งแรกที่เธอเรียกชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้เรียกเลขประจำตัวนักโทษ

เจี่ยนอี๋นั่วโค้งคำนับแก่ผู้คุมนักโทษ : "ขอบคุณมากนะคะที่คอยดูแลฉันมาโดยตลอด แล้วก็ขอโทษนะคะที่ฉันทำให้คุณเดือดร้อนไปด้วย"

เหตุการณ์ครั้งก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วโดนเฉิงซานซานำร้ายนั้น หากเธอไม่ได้ผู้คุมคนนี้มาช่วยพิสูจน์ว่าเธอนั้นประพฤติดีมาโดยตลอด ซ้ำยังเป็นเพราะหัวหน้าแผนกย้ายเจี่ยนอี๋นั่ว และสั่งให้เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนชวงต้องแยกกัน ถึงได้ทำให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงได้ลดโทษลงอย่างรวดเร็ว แต่คำรับรองของผู้คุมยังทำให้หันหน้าแผนกไม่พอใจเป็นอย่างมากด้วย จนทำให้หัวหน้าแผนกต้องถูกคัดกรองเรื่องการทุบตีนักโทษและใช้อำนาจในทางมิชอบอีก แม้ว่าผู้คุมเองก็จะถูกลงโทษสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นก็ตาม

ผู้คุมส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม : "ไม่หรอก ฉันก็แค่ทำในสิ่งที่ฉันควรจะทำน่ะ การที่ได้อยู่เป็นผู้คุมนักโทษอยู่ที่นี่ตลอดชีวิตก็คงเป็นเรื่องที่ดีอยู่เหมือนกัน การจัดการกับคนผิดพวกนี้มันต้องใช่ความอดทนสูง เธอไปเถอะ ต่อไปก็ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีกนะ ไม่ต้องติดต่อพวกเราแล้วด้วย ไม่ต้องหันหลังกลับ"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของตนเองก่อนจะหันหลังแล้วจูงมือเจี่ยนซวงแล้วเดินออกไปจากประตูเรือนจำ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งใจ เธอรู้สึกราวกับว่าแสงอาทิตย์นั้นอบอุ่นมากกว่าเดิม เจี่ยนซวงนั้นดูเขินอายเล็กน้อยเลยหลบอยู่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว มองโลกภายนอกที่เป็นโลกที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเจี่ยนซวง

"ไม่ต้องกลัวนะคะ ไปกับหม่าม้านะ ไม่ต้องหันหลังกลับไปด้วย" เจี่ยนอี๋นั่วดึงลือลูกน้อยก่อนจะเดินไปข้างหน้าด้วยรอยยิ้ม

เพราะเจี่ยนซวงนั้นก้าวเท้าไปเพียงทีละนิดทีละน้อย ให้เจี่ยนซวงได้ดูบรรกาศทัศนียภาพรอบๆไปอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเดินเร็วขึ้น เมื่อเจี่ยนซวงเห็นเหอหลวนเล่อที่มารับเธอกับแม่ เจี่ยนซวงรีบอ้าข้าแล้วเดินไปทางเหอหลวนเล่อด้วยรอยยิ้ม : "คุณแม่เล่อเล่อ….."

เหอหลวนเล่อรีบอุ้มเจี่ยนซวงทันที เธออยากจะอุ้มเจี่ยนซวงนานๆไม่อยากปล่อยแต่เธอก็ต้องปล่อยเด็กน้อยลง : "ซวงซวงตัวหนักจังเลยค่ะ แม่เล่อเล่ออุ้มไม่ขึ้นแล้วเนี่ย"

เจี่ยนซวงกอดขาของเหอหลวนเล่อเอาไว้ ก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้าก : "ซวงซวงอ้วนขึ้นนิดหน่อยน่ะค่ะ……"

เจี่ยนอี๋นั่วถือกระเป๋ามาพร้อมกับยิ้มแล้วพูดกับเหอหวนเล่อว่า : "ขอบคุณนะที่มากรับพวกเรา"

เหอหลวนเล่อยกยิ้มขึ้นมาทันที : "โถ่ ไม่ต้องของคุณหรอกนะ ก็เราเป็นเพื่อนสนิทกันนี่นา ถ้าฉันไม่รู้จักเธอล่ะก็ หลายปีมานี้ฉันคงไม่เติบโตมาได้มากขนาดนี้หรอก มา ขึ้นรถเถอะ อย่ายืนโง่ๆอยู่เลย ฉันจองโต๊ะอาหารรับลมให้พวกเธอเอาไว้แล้ว"

เหอหลวนเล่อนั้นต่างไปจากเมื่อหลายปีก่อนมากจริงๆ เธอไม่ได้ขายบริษัทอี๋เหม่ยทิ้ง แต่เธอนั้นรับช่วงทำมันต่อ จ่ายเงินปันผลให้กับเหอเยี่ยนหงอีกทั้งเธอยังช่วยให้เจี่ยนอี๋นั่วได้รับการพิจารณาคดีใหม่อีกด้วย เธอไม่ใช่คนโง่ที่จะถูกคนอื่นหลอกใช้อีกต่อไปแล้ว เมื่อก่อนแม่ของเหอหลวนเล่อจะเคยกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของลูกสาวกับเจี่ยนอี๋นั่วที่เป็นนักโทษ กลัวว่ามันจะมีผลกระทบต่อตัวเหอหลวนเล่อ แต่หลังจากที่ได้เห็นการเติบโตของเหอหลวนเล่อแล้ว แม่ของเธอก็ไม่ได้ขัดขวางการติดต่อระหว่างเธอกับเจี่ยนอี๋นั่วอีกเลย

เจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงขึ้นไปนั่งบนรถ เจี่ยนซวงนั้นลูบๆคลำๆรถอย่างสงสัย ก่อนจะถามว่า : "หม่าม้าคะ นี่คือรถยนต์หรอคะ? ซวงซวงเคยเห็นแค่ในหนัง แล้วมันเคลื่อนที่ได้ยังไงหรอคะ? หม่าม้าคะ ที่กลมๆที่คุณแม่เล่อเล่อจับอยู่มันคืออะไรหรอคะ?"

หลังจากนั้นเจี่ยนซวงก็จับไปที่เบาะนั่งคนขับของเหอหลวนเล่อก่อนจะพูดออกมาอย่างโอเวอร์ : "คุณแม่เล่อเล่อคะ คุณแม่เล่อเล่อเล่นมายากลเป็นใช่มั้ยคะ ใช้มายากลทำให้รถเคลื่อนที่ คุณแม่เล่อเล่อสวยมากๆเลยค่ะ ต่อไปให้ซวงซวงนั่งรถยนต์แบบนี้บ่อยๆนะคะ"

เจี่ยนซวงกล่าว พร้อมกับเขย่งเท้าแล้วกระพริบตาปริบๆ ใช้สายตาที่ประจบประแจงไปที่เหอหลวนเล่อ

เหอหลวนเล่อพูดด้วยรอยยิ้ม : "ซวงซวงอย่ามองคุณแม่ด้วยสายตาเคลีบคลอแบบนั้นสิคะ คุณแม่จะทนสายตาของหนูไม่ไหวแล้วนะ ไปขอหม่าม้าของหนูนู่นค่ะ หม่าม้าของหนูก็ขับรถเป็นเหมือนกัน"

"หม่าม้าของหนูเก่งจังเลยค่ะ นอกจากจะตัดเสื้อผ้าให้ชวงชวงแล้วก็ยังทำทำข้าวโอ๊ต แล้วก็ยังขับรถเป็นอีกด้วย" เจี่ยนซวงชมเจี่ยนอี๋นั่วผู้เป็นแม่

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวลูกสาวเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : "อีกหน่อยหนูก็ขับเป็นค่ะ"

เจี่ยนซวงรีบพยักหน้าด้วยรอยยิ้มทันที : "ค่ะ หม่าม้าทำได้ ซวงซวงก็ต้องทำได้ ซวงซวงจะเป็นเหมือนหม่าม้าค่ะ!"

เจี่ยนซวงพูดจบก็เรียนรู้เรื่องรถยนต์ต่อ เพียงผ่านไปได้ไม่นานก็ขับเข้าไปถึงในเมือง เจี่ยนซวงหันไปสนใจข้างนอกหน้าต่างรถ มองไปที่รถยนต์ที่ขับไปมาและไฟจราจร และอาคารสูงใหญ่ทั้งสองข้างทาง เจี่ยนซวงไม่สามารถละสายตาจากสิ่งเหล่านั้นได้เลย เจี่ยนชวงเอาแต่มองไม่หยุดพร้อมกับปากน้อยๆที่เอาแต่ถาม : "อันนี้คืออะไรหรอคะหม่าม้า? หม่าม้าคะ อันนั้น อันนั้นคืออะไรหรอคะ?"

และแล้วเจี่ยนซวงก็ชี้ออกไปที่ผู้ชายคนหนึ่ง ก่อนจะตะโกนออกมาด้วยความตกใจ : "หม่าม้าดูนั่นสิคะ ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายที่อยู่ในโทรทัศน์รึเปล่าคะ! ใช่มั้ยคะ?"

เพียงผ่านไปแค่ไม่กี่ปี เมืองนี้ก็กลายเป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วไปแล้ว เธอมองเมืองที่ทั้งคุ้นเคยและทั้งไม่คุ้นเคยแห่งนี้ ในระหว่างที่ทำการคุ้นเคยกับเมืองนี้เธอก็ได้ยินเสียงของเจี่ยนซวงขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะหันหน้าไปมองข้างนอกหน้าต่างนั้น แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม : "ใช่ค่ะ เขาคือผู้ชายคนนั้น"

เจี่ยนซวงเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ : "ผู้ชายที่หม่าม้าเคยพูด หม่าม้าบอกว่าผู้ชายไม่เหมือนกับพวกเรา ไม่เหมือนจริงด้วยค่ะ ดูสูงกว่าผู้หญิงต้งเยอะเลย สูงกว่าในโทรทัศน์อีกค่ะ……พวกเขาเติบโตจากเด็กผู้ชายใช่มั้ยคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าแล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : "ใช่ค่ะ แต่ก่อนพวกเขาเคยเป็นเด็กผุ้ชายมาก่อน"

เจี่ยนซวงกระพริบตาอย่างสงสัยแล้วถาม : "ถ้าอย่างนั้นเราจะแยกเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายยังไงหรอคะ? ผมหม่าม้าสั้นเหมือนผู้ชายเลย แต่หม่าม้าเป็นผู้หญิง"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : "เรื่องแบบนี้ดูจากภายนอกไม่ได้ค่ะ หน้าอกของผู้หญิงและผู้ชายไม่เหมือนกัน……แล้วก็ยังมี…….."

"แค่กๆ……" เหอหลวนเล่อรีบไอออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำของเธอ : "จะสอนเรื่องเพศศึกษาให้ลูก ก็เลี่ยงการสอนต่อหน้าคนที่กำลังจะแต่งงานอย่างฉันหน่อยไม่ได้หรอ"

หลังจากที่เหอหลวนเล่อพูดจบเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเสียงดัง : "แล้วก็ ซวงซวงก็อย่างกับว่าออกมาจากประเทศผู้หญิงอย่างนั้นแหละ ทำไมถึงสงสัยแม้กระทั่งเรื่องผู้ชายล่ะคะ?"

เหอหลวนเล่อเพิ่งพูดจบเธอก็พูดออกมาทันที เธอค่อยๆคลายยิ้มของเธอก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วมองไปที่เจี่นอี๋นั่ว : "อี๋นั่ว ฉันขอโทษนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมา ซวงซวงมองไปที่เหอหลวนเล่ออย่างสงสัยก่อนที่จะถาม : "คุณแม่เล่อเล่อคะ ประเทศผู้หญิงคืออะไรหรอคะ?"

เมื่อผู้คุมได้ยินที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเธอก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่สักครู่ ก่อนจะรีบส่ายหน้าแล้วพูดว่า : "ไม่ได้ เธอยังไม่ต้องไปหรอก ให้ฉันปรึกษากันกับหัวหน้าก่อนแล้วกัน"

"ขอโทษด้วยค่ะ ฉันคงรอนานขนาดนั้นไม่ได้" เจี่ยนอี๋นั่วคลายคิ้วที่ขมวดของเธอก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป เยี่ยหมิจูที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วออกไปแล้วนั้น เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะวิ่งตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไปทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น นักโทษหญิงคนอื่นๆจึงถามผู้คุมขึ้นว่า : "ผู้คุมคะ จะปล่อยให้พวกเธอไปแบบนี้หรอคะ?"

ผู้คุมมองตามหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเยี่ยหมิงจู ก่อนจะเม้มริมฝีปากของตัวเองแรงๆแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : "ฉันรู้หน่า"

เมื่อผ่านไปได้สักพัก ผู้คุมก็ยกเครื่องส่งรับวิทยุขึ้นมาก่อนจะพูดเสียงเข้มว่า : "แจ้งให้ทราบ นักโทษหมายเลข983และ786ได้ออกจากทีมไป ฉันไม่สามารถห้มพวกเธอได้ หากใครพบนักโทษหมายเลข 983และ786 ให้รีบพวกเธอไปที่สนามกีฬาให้เร็วที่สุด"

หลังจากที่ผู้คุมพูดจบ ก็ปิดเครื่องงรับส่งวิทยุทันที พร้อมกับถอนหายใจออกมา

"ซวงซวงยังเด็กอยู่ จะวิ่งไปที่ไหนกันนะ?" เยี่ยหมิงจูพูดด้วยความตื่นตระหนก น้ำเสียงของเธอนั้นสั่นอย่างไม่สามารถคุมได้

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่นอจะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : "ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่น่าจะวิ่งไปได้ไม่ไกลหรอก หารอบๆแถวๆนี้คงหาเจอแน่นอน"

น้ำเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นนิ่งราวกับสถานการณ์ปกติ ราวกับว่าเด็กน้อยคนที่หายไปนั้นไม่ใช่ลูกของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เป็นลูกสาวของเยี่ยหมิงจูยังไงอย่างนั้น เยี่ยหมิงจูมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างอย่างประหลาดใจ เธอมองใบหน้าที่มีท่าทีที่ปกติขงเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเธอก็ก้มหน้าไปมองมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่สั่นไม่หยุด

ควันโขมงนั้นนานเข้าก็ยิ่งมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วตามหาเจี่ยนซวงไปทุกทีพร้อมกับตะโกนเรียกลูกสาวเสียงดัง : "เจี่ยนซวง…….ชวงชวง……..หม่าม้าอยู่นี่ค่ะ มาหาหม่าม้าเร็ว"

เจี่ยนซวงเดินเข้าไปในห้องขังที่ว่างเปล่าอย่างช้าๆ เธอหลงทางเข้าแล้ว จึงทำได้เพียงพยายามหาทางกลับไปที่ห้องขังของเจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้น ถึงแม้ว่าเจี่ยนชวงนั้นจะโตเร็ว แต่เธอก็เป็นแค่เด็กสามขวบเท่านั้น จึงไม่สามารถหาทางกลับท่ามกลางควันโขมงเหล่านั้นได้

ควันไฟเหล่านั้นทำให้เจี่ยนซวงไอและร้องไห้ออกมาพร้อมกับตะโกนสุดเสียงว่า : "แค่กๆ…..หม่าม้าคะ……..หม่าม้า……แค่กๆ……."

เจี่ยนซวงทั้งเดินไปด้วย ร้องไห้ไปด้วย พร้อมกับตะโกนไปด้วย เพียงผ่านไปได้ไม่นานเธอก็สำลักควันไฟจนไม่สามารถพูดได้ เธอเอามือมาปิดปากก่อนที่จไอออกมาอีกสองสามที และในทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วเรียกชื่อของเธอขึ้นมา

เจี่ยนซวงยิ้มออกมาทันทีก่อนจะวิ่งตามเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วไป พร้อมกับตะโกนสุดเสียงของเธอ : "หม่าม้าคะ……"

แต่เมื่อเจี่ยนซวงเปล่งเสียงออกมา ในทันใดนั้นก็มีมือของใครบางคนมาปิดปากแล้วก็อุ้มเธอขึ้นมา เจี่ยนซวงกันหน้ากลับไปมองคนนั้น เจี่ยนชวงเห็นเฉิงซานซานที่เอามือปิดปากเธอ พร้อมกับแสยะยิ้มมาหาเธอ เฉิงซานซานพูดกับเจี่ยนซวงว่า : "ซวงซวง ฉันจะพาเธอไปในที่ที่สนุกๆนะ"

เจี่ยนซวงเบิกตาโตทันทีก่อนจะดิ้นอย่างสุดแรง แต่เจี่ยนซวงก็ดิ้นไม่หลุด เพราะเธอถูกเฉิงซานซานอุ้มเธอไว้จนสุดแรงและปิดปากเอาไว้แน่น ก่อนที่พาเจี่ยนซวงเดินเข้าไปในกลุ่มควันนั้น

เฉิงซานซานอุ้มเจี่ยนชวงไปอย่างสุดกำลังของเธอ ก่อนจะพูดกับเด็กน้อยว่า : "ชวงชวง ได้อุ้มหนูแล้วรู้สึกเนื้อของหนูมันนุ่มนิ่มจังนะ อย่างกับลูกชิ้นเนื้อแหนะ ถ้าเกิดลูกชายฉันเกิดมาก็คงจะเหมือนกันกับหนู หนูน่าจะต้องเรียกเขาว่าพี่ชายนะ ไม่สิ เขาต้องดีกว่าหนูแน่ๆ เพราะว่าเขาคือลูกชายของหมิงเซวียน เอามาเทียบกับคนอย่างหนูไม่ได้หรอก ซวงซวง ฉันกำลังจะทำบางอย่างที่มันทำให้แม่ของหนู ต้องทุกข์ไปตลอดชีวิต หนูช่วยฉันหน่อยได้มั้ย? ต้องเป็นเด็กดีเชื่อฟังที่ฉันพูดนะรู้มั้ย? หนูไปตายในควันโมงนั่นซะ ถึงแม้ว่ามันจะเจ็บปวดมาก แต่นี่เป็นการลงโทษของเธอ ใครให้เธอ…….เกิดมาเป็นลูกสาวของเจี่ยนอี๋นั่วล่ะ?"

เจี่ยนซวงดิ้นอย่างสุดแรงของตน เมื่อเธอรู้ว่าเธอดิ้นยังไงก็คงดิ้นไม่หลุด เจี่ยนซวงตัวน้อยในภาวะที่ตื่นตระหนกนี้ เธอคิดว่าจะทิ้งร่องรอยให้แม่ของเธอตามหาเธอ เธอจึงพยายามทิ้งรองเท้าแตะของตนเองลงไป

"ซวงซวง……." เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังเรียกชื่อเจี่ยนซวงอยู่นั้นตามหาเจี่ยนซวงไปจนทั่ว แล้วจู่ๆเธอก็ยื่นนิ่งก่อนจะหันไปดูรอบๆ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะหันมาพูดกับเยี่ยนหมิงจูที่อยู่ข้างๆเธอ : "เมื่อกี้เธอได้ยินเสียงของซวงซวงมั้ย?"

เยี่ยหมิงจูส่ายหัวก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ของเธอ : "ไม่ได้ยินนะ เธอหลอนหูฝาดไปเองรึเปล่า?"

"ไม่…..ไม่ใช่…….เมื่อกี้ฉันได้ยินจริงๆ ได้ยินมาจากทางนั้น" เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปทางกลุ่มควันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า : "เราไปดูทางนั้นกันเถอะ"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เยี่ยหมิงจูก็วิ่งตามเธอไปทันที วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นรองเท้าของเจี่ยนซวงที่ตกอยู่บนพื้น เธอรีบเก็บมันขึ้นมาก่อนจะหายใจเข้าลึกๆแล้วพูดด้วยวามตื่นตระหนกว่า : "นี่คือร้องเท้าของซวงซวง ซวงซวงผ่านมาตรงนี้! ซวงซวงชอบรองเท้าคู่นี้มาก ไม่ยอมให้มันตกง่ายๆแบบนี้แน่ ซวงซวงไม่ได้เก็บมันแบบนี้ต้องมีคนจับเธอไปแน่ๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนั้นก็เบิกตาโตขึ้นมาทันที : "เฉิงซานซาน…."

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม : "ต้องเป็นเฉิงซานซานแน่ๆที่กลับมาในช่วงวุ่นวายแบบนี้ เฉิงซานซานเป็นคนที่หาตัวชวงชวงเจอ แล้วก็เอาตัวซวงซวงไป"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเยี่ยหมิงจูก่อนจะพูดเสียงสั่น : "เราแยกกันหาเถอะ ซวงซวงน่าจะอยู่แถวนี้แหละ แต่ต้องระวังด้วยนะ ไม่ต้องเรียกชื่อซวงซวง ไม่อย่างนั้นเฉิงซานซานจะรู้ตัวซะก่อน"

เยี่ยหมิงจูพยักหน้า ก่อนจะรีบหันหลังไปหาเจี่ยนซวงอีกทางหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วตามหาเจี่ยนซวงลูกของเธอท่ามกลางกลุ่มควันไฟ ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของซวงซวงขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบวิ่ไตามต้นเสียงร้องไห้นั้นทันที ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วไปถึง เธอก็เจอเจี่ยนซวงที่ถูกมัดติดกับเก้าอี้แล้วก็ร้องไห้เสียงดัง บนร่างของเจี่ยนซวงนั้นมันเยิ้มไปหมดราวกับถูกราดด้วยน้ำมัน

มือขวาของเฉิงซานซานไคว้หลังไว้ ส่วนมือซ้ายของเธอนั้นก็ถือไฟแช็กอยู่ เมื่อเธอเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่ววิ่งเข้ามาแล้ว เฉิงซานซานก็พูดขึ้นมาพร้อมกับแสยะยิ้มว่า : "อี๋นั่ว เธอมาไวขนาดนี้เลยหรอ เป็นแม่ลูกที่ดีจังเลยน้า ฉันน่ะซาบซึ้งจริงๆเลย เธอมาถึงไวขนาดนี้มาได้ทันเวลาพอดีเลยนะ มาทันเห็นลูกสาวของเธอถูกไฟเผาไง"

"โดนไฟเผาเนี่ย คงจะเป็นการตายที่ทรมานที่สุแล้วมั้ยนะ? ฉันน่ะชอบจริงๆ" เฉิงซานซานพูดถึงตรงนี้ เธอก็ยิ้มแปลกๆให้กับเจี่ยนอี๋นั่วทันที : "ฉันชอบมากๆเลยล่ะ…..เธออยากได้ยินเสียงลูกสาวของเธอร้องด้วยความเจ็บปวดมั้ย? ฉันทำให้เธอได้นะ"

เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเสียงดัง : "เธออย่าทำแบบนั้นนะ! คนที่เธอควรจะแค้นคือฉัน ไม่ใช่ลูกของฉัน เธอควรจะเผาฉันที่ฉันทำให้เธอต้องเสียลูกไป"

"ใช่ ที่เธอพูดก็มีเหตุผลเหมือนกัน" เฉิงซานซานแสะยิ้มแล้วพูด : "ดี ทางนั้นมน้ำมันเบนซิลอยู่ เอามาราดตัวเธอสิ"

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นถังน้ำมันและกล่องไม้ขีดไฟอยู่บนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หยิบถังนั้นมันนั้นขึ้นมาราดร่างกายของตัวเองโดยไม่ลังเลใดๆ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเปียกโชกไปด้วยน้ำมันแล้ว เธอก็เห็นเยี่ยหมิงจูแอบย่องเข้ามาเงียบๆ เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาใส่เยี่ยหมิงจู ให้เยี่ยหมิงจูโจมตีเฉิงซานซานจากด้านหลัง

เมื่อเยี่ยหมิงจูเข้าใจในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วส่งมาแล้วนั้น เธอก็แอบย่องเข้าไปทางหลังของเฉิงซานซานอย่างเงียบๆ ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วต้องเบี่ยงเบนความสนใจของเฉิงซวานซานมาที่เธอ เพื่อให้เยี่ยหมิงจูนั้นเข้าใกล้เฉิงซานซาานมากยิ่งขึ้น

เฉิงซานซานยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : "จุดไฟสิ เผาตัวเองซะ ไม่อย่างนั้น ฉันก็จะสงเคราะห์ให้เด็กคนนี้ตายแทนเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดเสียงทุ้ม : "ได้ ตกลง ฉันกำลังจะทำ……"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดและหยิบกล่องไม้ขีดไฟขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆหยิบไม้ขีดจากในกล่องอันนึง การกระทำของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นไปอย่างเชื่องช้า เธอพยายามอย่างมากเพื่อจะถ่วงเวลาเอาไว้ เฉิงซานซานมองทุกการกระทำของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา : "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมีวันนี้ด้วยหรอ? เธอจะอืดอาดอยู่อีกหรอ รีบจุดไฟสิ จุดไฟเผาตัวเธอเองซะ"

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเยี่ยหมิงจูนั้นอยู่ข้างหลังของเฉิงซานซานแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : "เฉิงซานซาน เธอจะทำร้ายซวงซวงไม่ได้นะ เพราะซวงซวงเป็นลูกของหมิงเซวียน…."

"อะไรนะ?" เฉิงซานซานตกใจจนเบิกตาโต

และในตอนนั้น เยี่ยหมิงจูก็สะบัดมือในมือของเธอแล้วก็แทงเข้าไปที่มือของเฉินซานซานข้างที่จับไฟแช็กอยู่ เฉิงซานซานร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อเห็นว่าไฟแช็กในมือของเฉินซานซานตกลงมาที่พื้นแล้ว เจี่ยนอี่นั่วก็รีบวิ่งไปหาเจี่ยนซวงงันที

เฉิงซานซานมองไปที่มือซ้ายของตนที่มีเลือดไหลออกมา มืออีกข้างของเธอที่ไคว้หลังไว้ตลอดนั้นก็ยกมีดขึ้นมาทันที ก่อนจะตะโกนออกมาว่า : "ซวงซวงไม่มีทางเป็นลูกของหมิงเซวียนแน่นอน แกหลอกฉัน!"

เฉิงซานซานตะโกนไปด้วยพร้อมกับยกมีดมีขึ้นมาและตรงไปที่เจี่ยนซวง เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอาตัวมาบังให้เจี่ยนซวงอย่างรวดเร็ว และแล้วมีดคมนั้นก็ทีมแทงเข้าไปที่ไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงอย่างเจ็บปวด

"เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันจะฆ่าแก!" เฉิงซานซานดึงมีดออกสุดแรงของเธอ ก่อนที่เธอจะยกมีดขึ้นเตรียมที่จะแทงเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง

ทันใดนั้น ผู้คุมสองคนก็วิ่งเข้ามาทันที ก่อนจะตะโกนขึ้นเสียงดังว่า : "เฉิงซานซาน! เธอหยุดเดี๋ยวนี้นะ! ถ้าเธอยังทำร้ายคนอื่นอีก เธอก็อยู่ในเรือนจำนี้ไปตลอดชีวิตได้เลย!"

เฉิงซานซานหยุดชะงักทันทีก่อนที่จะส่ายหน้าอย่างตื่นตระหนก แล้วเธอก็ถอยหลังไปทีละก้าวๆเรื่อยๆ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยความตื่นตระหนก : "ฉัน……ฉันไม่อยู่ในเรือนจำนี้ต่อแล้ว ไม่…..ฉันไม่อยากอยู่……ฉันจะออกไปหาลูกชายของฉันกับหมิงเซวียนของฉัน ฉันไม่อยากอยู่ในนี้ต่อแล้ว……"

เมื่อเฉินซานซานพูดถึงตรงนี้ เธอก็อามีดนั้นแทงเข้าทีคอของตัวเองจนเลือดก็พุ่งออกมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือไปปิดตาของเจี่ยนซวง ก่อนจะพูด : "ชวงชวงไม่ต้องกลัวนะคะ หม่าม้าอยู่ตรงนี้ หม่าม้าอยู่ตรงนี้แล้ว……."

เจี่ยนซวงยกมือของตัวเองขึ้น ในตอนนั้นก็มีของเหลวอุ่นๆไหลออกมาจากมือเล็กของเจี่ยนซวงด้วย เจี่ยนซวงรีบเก็บมือของตนเองทันทีเมื่อรู้ว่าของเหลวนั้นคืออะไร มันคือเลือดที่ไหลมาจากไหล่ที่บาดเจ็บของคนเป็นแม่ของเธอนั่นเอง

เจี่ยนซวงสูดจมูกก่อนจะร้องไห้ออกมาเบาๆ เธอไม่กล้าร้องไห้เสียงดังจึงทำได้เพียงร้องไห้แล้วพูดออกมาเบาๆเท่านั้น : "หม่าม้า…..หม่าม้าคะ"

เจี่ยนอี๋นั่วเอามือมาปิดตาของเจี่ยนซวงเอาไว้ข้างหนึ่ง มืออีกข้างของเธอก็จับไหล่ของเธอที่บาดเจ็บอยู่ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "ไม่ต้องร้องไห้นะคะ หม่าม้าอยู่ตรงนี้แล้ว หม่าม้าจะปกป้องหนูเอง……"

ถึงแม้ว่าเมื่อกี้เจี่ยนอี๋นั่วจะรักษาความตื่นตระหนกของเธอได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันก็ได้จบลงแล้ว เธอถูกภาพที่เธอต้องเจอเมื่อก็นี้ทำให้เธอตกใจกลัว เธอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เธอยังมีลมชายใจอยู่นี้ก็เพื่อปิดตาของเจี่ยนซวงเอาไว้

เรื่องทั้งหมดนี้ เจี่ยนชวงไม่ควรพบเจอ

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปเฉิงซานซานที่แทงคอตัวเองที่มุมห้อง จากนั้นเธอก็หันหน้าไปมองผู้คุมที่เดินเข้ามาหาเธอ และเยี่ยหมิงจูที่ตามหลังผู้คุมอย่างติดๆ

เยี่ยหมิงจู เธอคือคนของเขาหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดพร้อมกับหรี่ตา

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนที่จะอุ้มเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอกลับไปที่ห้องขัง เมื่อเธอเห็นเฉิงซานซาน รอยยิ้มของเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆหายไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงทำเป็นมองไม่เห็นเฉิงซานซาน เธออุ้มเจี่ยนชซงเอาไว้ก่อนจะแช่ซีเรียลให้ลูกน้อยแล้วค่อยเอาช้อนมาป้อนเจี่ยนซวง

เจี่ยนซวงหัวเราะเอิ้กอ้าก เธอเพิ่งกินซีเรียลไปได้เพียงสองคำ ก็มีเสียงไซเรนดังขึ้น เจี่ยนซวงรีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะหันไปมองรอบๆ : "หม่าม้าคะ นั่นเสียงอะไรหรอกคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ยินเสียงไซเรนแบบนี้นี้มาก่อน เธอส่ายหัวไปมา : "หม่าม้าก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ……."

ในขณะนั้นผู้คุมนักโทษก็เดินผ่านมา ก่อนจะตะโกนเสียงดัง : "ทุกคนไม่ต้องแตกตื่นนะ วงจรไฟฟ้าของเมืองมีปัญหานิดหน่อยน่ะ ขอให้ทุกคนออกมาให้หมด มายืนตามเลขห้องขังที่ฉันจัดไว้ด้วย"

จากนั้นนักโทษแต่ละคนก็พากันออกมาจากห้องขังของตัวเอง หลังจากที่ออกมาแล้ว ก็มีกลุ่มควันโขมงลอยมาเต็มไปหมด นี่มันเรื่องเล็กที่ไหนกันล่ะ กลัวว่าจะเป็นไฟไหม้รุนแรงน่ะสิ

"อะแฮ่กๆ……ผู้คุมคะ นี่ไฟไหม้แล้วรึเปล่าคะ?" นักโทษหญิงคนนึงไอไปด้วยพูดไปด้วย

"ห้ะ? ไฟไหม้หรอ? จริงหรอ? มันจะไหม้มาถึงตรงนี้มั้ยเนี่ย?" มีคนกลัวจนพูดขึ้นมาอย่างแตกตื่น

ผู้คุมนักโทษพูดขึ้นอย่างสงบ : "ไม่เป็นไรนะ พวกเธอไม่ต้องกลัวหรอก ตอนนี้รถดับเพลิงกำลังมา พวกเราก็กำลังช่วยดับเพลิงอยู่ ตอนนี้ให้ทุกคนเข้าแถวกันก่อน ฉันจะพาพวกเธอไปที่สนามออกกำลังกาย"

"ทำไมจะไม่กลัวล่ะคะ? นานๆผู้กำกับจะมาตรวจทีนึง แต่ก็ยังเพลิงไหม้อย่างงั้นหรอ? พวกคุณยังมีเวลามามาปลอบพวกเราอยู่อีกหรอคะ ทำงานกันยังไงกันเนี่ย?" นักโทษที่ค่อยข้างดุคนนึงเดินออกมา

เมื่อผู้คุมนักโทษเห็นผู้หญิงคนนี้เธอก็รีบทำความเคาารพทันที : "หัวหน้าแผนกฉู เราประมาทเองค่ะ ตอนนี้เรากำลังจัดการดับเหลิงอยู่"

ผู้ผญิงที่ถูกเรียกว่า 'หัวหน้าแผนกฉู' เม้มปากก่อนจะมองไปที่หัวหน้าผู้คุม ก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงจังไป : "ถึงแม้ว่าเราไม่ได้เห็นด้วยกับการทุบตีหรือมีปากเสียงกันในเรือนจำ แต่ฉันคงใจดีกับนักโทษมากเกินไปสินะ ดูสิตอนนี้เพลิงไหม้ ผู้คุมไปดับเพลิงกัน แต่นักโทษกลับเดินออกมาอย่างนี้ พวกเธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ ไม่ใช่ว่าทุกคนควรพยายามร่วมมือกันแล้วเผชิญหน้ากับความเสี่ยงนี่หรอ? ไม่ควรจะไปช่วยกันดับไฟหรอ? เกิดอุบัติเหตุขึ้นแบบนี้แล้ว มันทำให้หัวหน้าไม่พอใจแล้วแน่ๆ ถ้ายังไม่ช่วยกันดับไฟอีกล่ะก็ ฉันว่าต้องอยู่กับคนหนักแผ่นดินพวกนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ"

"แต่ว่า……" หัวหน้าผู้คุมกำลังจะพูด

หัวหน้าแผนกยกมือขึ้นก่อนที่เธอจะขมวดคิ้ว : "พอ ฟังที่ฉันสั่งก็พอ คัดคนสักกลุ่มจากห้องขังนี้ไปดับไฟซะ พวกเธอมาอยู่ที่นี่เพื่อปรับพฤติกรรมนะ ไม่ได้มาเป็นคุณหญิงคุณนาย"

หัวหน้าแผนกฉูมองไปที่เฉิงซานซานก่อนจะพูดออกมาว่า : "คนผอมๆแบบนี้ไม่ต้องเอาไปล่ะ ตายตรงนี้ยังต้องเขียนรายงานอีก มันยุ่งยากพอละ……"

หัวหน้าแผนกฉูมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วที่อุ้มเจี่ยนซวงอยู่ตอนนี้ ก่อนจะพูดขั้นว่า : "นี่มันอะไรกัน? ทำไมถึงได้อุ้มลูกอยู่อย่างนี้ล่ะ? ที่นี่มันเรือนจำหรือโรงเรียนอนุบาลหรอ?"

ผู้คุมรีบก้าวออกไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นว่า : "หัวหน้าแผนกคะ นี่คือเจี่ยนอี๋นั่วค่ะ เธอเป็นนักโทษในกรณีพิเศษ"

"อ๋อ……." หัวหน้าแผนกฉูมองหน้าเธอพร้อมกับคลายคิ้วที่ขมวดของเธอ ก่อนจะพูดขึ้น : "นี่เจี่ยนอี๋นั่วเองหรอ ที่ฆ่าอ่ะนะ แล้วยังจะมาคลอดลูกในเรือนจำนี่อีกหรอ? ตอนนั้นฉันลงความเห็นกับผู้กำกับแล้วว่าคนอย่างเธอไม่ควรจะมีลูก เปลืองภาษีแย่เลยว่ามั้ย? คนหนักแผ่นดินแบบนี้ลูกก็คงจะ……"

หัวหน้าแผนกถึงตรงนี้ก่อนจะเบะปากแล้วมองไปที่เจี่ยนซวง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดูถูกว่า : "ลูกที่เกิดมาก็คงหนักแผ่นดินเหมือนกัน"

หัวหน้าแผนกจ้องหน้าเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะยกมือขึ้นมาตบเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับตะโกนเสียงดัง : "ที่แกกล้ามองหน้าฉันหรอ? ที่ฉันพูดมันไม่ถูกรึไง? ฉันเห็นแกได้รับการดูแลมาเยอะนี่ ถึงเวลาแล้วที่แกต้องชดเชยให้แก่รัฐบาล คนที่จะไปดับไฟครั้งนี้ก็รวมแกไปด้วยนึงแล้วกัน……."

ใบหน้าที่โดนตบของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นแดงขึ้น เด็กน้อยเจี่ยซวงที่อยู่ในอ้อมอกของแม่ร้องไห้ขึ้นมาทันที ก่อนจะพูดขึ้นเสียงดัง : "หม่าม้า………อย่าทำหม่าม้าหนู……."

"ขอโทษนะคะหัวหน้าแผนก เธอต้องดูแลลูกของเธอ ให้ฉันไปแทนนะคะ" เยี่ยหมิงจูรีบพูด

หัวหน้าแผนกฉูพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "ดี งั้นเธอก็ไปสิ ไปกันทั้งสองคนเลยนะ รู้ตัวมั้ยว่าตัวเองพูดอะไรออกมา? ยังจะมาทำตัวเป็นฮีโร่ในเรือนจำนี้อีก ไปดับไฟซะเธอสองคน ห้ามขาดแม้แต่คนเดียวนะ"

"คุณจะมากเกิน…….." เยี่ยหมิงจูพูดถึงตรงนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็เอื้อมมือมาห้ามเธอทันที ก่อนจะส่ายหัว

ดูแล้วหัวหน้าแผนกคนนี้จะไม่สนใจความเห็นของนักโทษเลยที่โต้เถียงกับเธอ อีกทั้งยังทำให้หัวหน้าแผนกเกลียดชังพวกเธอเขาไปอีก หากถึงตอนนั้นแล้วมันจะทำให้พวกเธอนั้นไม่ราบรื่น และแบบนี้จะทำให้ผู้คุมลำบากใจไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นทันที : "รับทราบค่ะ พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ"

"แล้วเจี่ยนซวงล่ะจะทำยังไง?" เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วก่อนที่จะมองไปที่ใบหน้าเล็กที่เต็มไปด้วยน้ำตาจากการร้องไห้ของเจี่ยนชวง

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า หัวหน้าแผนกผู้อาวุโสที่เอาแต่ตอนนักโทษแบบนี้ มันเป็นเรื่องที่เธอไม่สามารถมาอธิบายเหตุผลได้ เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงส่งลูกน้อยเจี่ยนซวงที่เธออุ้มอยู่นั้นให้กับนักโทษที่เธอสนิคุ้นเคยด้วย ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงขอร้อง : "รบกสนช่วยดูซวงซวงให้ฉันหน่อยนะ……อย่าให้ซวงซวงไปกับคนอื่นนะ…….ขอล่ะ รบกวนเธอด้วยนะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะหันไปมองหน้าเฉิงซานซานที่ยืนอยู่ตรงหัวมุม นักโทษหญิงคนนั้นตอบตกลง : "วางใจได้เลย ฉันจะดูแลลูกเธอเอง"

แต่เจี่ยนซวงนั้นเกาะอยู่บนร่างของเจี่ยนอี๋นั่วราวกับปลาหมึก เธอร้องไห้ : "ซวงซวงจะอยู่กับหม่าม้าค่ะ หม่าม้าเจ็บ ซวงซวงจะอยู่กับหม่าม้า……"

เจี่ยนอี๋นั่วผลักตัวลูกของเธอเจี่ยนซวงออก ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น : "ซวงซวงค่ะ ฟังไว้นะคะ อย่าไปเล่นที่ไหนคนเดียวนะ ต้องอยู่กับคุณแม่คนสวยคนนี้นะคะ ถ้าเกิดหนูหาคุณแม่คนสวยคนนี้ไม่เจอ ต้องวิ่งไปหาคุณแม่ผู้คุม เข้าใจมั้ยคะ? เมื่อกี้…….."

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก่อนที่เธอจะพยายามที่จะยิ้มออกมา แล้วพูดกับลูก : "เมื่อกี้คุณป้าคนนั้นเขาแค่เล่นกับหม่าม้าค่ะ ไม่ต้องกลัวนะคะ หม่าม้าไม่เจ็บ………"

เจี่ยนซวงทั้งร้องไห้ทั้งส่ายหัว : "ไม่เอาค่ะ……หนูจะอยู่กับหม่าม้า……."

"พอสักที แสดงให้ใครดูอยู่หรอ? รีบไปได้แล้ว ไม่อย่างงั้นถ้าไฟมันลามล่ะก็ เธอต้องรับผิดชอบ! ฉันจะบอกอะไรให้นะ เธอถูกดูแลและปฏิบัติอย่างดีมาแล้ว คำพูดของฉันแค่คำเดียว ก็สามารถทำให้คนอื่นไม่ทำแบบนั้นกับเธออีกได้ เธอรู้ใช่มั้ย? เด็กคนนี้ไม่สมควรมาเลี้ยงให้เติบโตในเรือนจำนี้ด้วยซ้ำ น่าจะถูกส่งให้ไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าโน่น!" หัวหนเาแผนกตะโกนพูด

เจี่ยนอี๋นั่วตกใจจนตัวสั่น ก่อนเธอจะรีบผลักลูกออกอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดว่า : "ซวงซวง รอหม่าม้ากลับมานะคะ"

เพียงหัวหน้าแผนกคนนั้นพูดจบ เธอก็หันหลังเพื่อหาคนมารวมเป็นกลุ่ม เจี่ยนซวงยังคงร้องไห้ เธอยื่นมือเล็กๆของเธอออกมาเพื่อคว้าเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะร้องไห้เสียง : "หม่าม้าคะ…….หม่าม้ามากอดชวงชวงหน่อย……."

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันตัวเองพร้อมขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะเดินจากไป เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเดินตามเจี่ยนอี๋นั่วไป พร้อมพูดขึ้นอย่างเป็นห่วงว่า : "เธอให้คนนั้นดูแลซวงซวง จะไหวมั้ยน่ะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ : "ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน"

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วก่อนจะพูดอย่างเสียดายว่า : "ถ้าเมื่อกี้ฉันไม่พูดแบบนั้น ฉันคงได้อยู่ดูแลซวงซวงแล้ว!"

แต่เธอพูดไปแล้วมันก็จบแล้วล่ะ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจอย่างโล่งใจ : "เธอหวังดีนี่ ไม่ต้องกังวลหรอก เดี๋ยวพวกเราก็ได้กลับไปแล้วล่ะ!"

เจี่ยนอี๋นั่วเมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เธอเองไม่เชื่อคำพูดของตัวเองเหมือนกัน ในใจเธอนั้นกระวนกระวายมาก แต่ว่าตั้งแต่ที่เธอเข้ามาอยู่ในเรือนจำแห่งนี้ เธอก็ไม่มีอิสระภาพเลย แม้แต่ให้เธออยู่กับลูกอย่างสงบๆก็ไม่มี ตอนที่เธอไม่ได้อยู่ในเรือนจำแห่งนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าการได้มาเป็นนักโทษที่นี่เป็นการปิดกั้นเธอ เพียงแค่เธอทำตามคำสั่งอย่างสัตย์ซื่อ เธอก็คงไม่แย่ขนาดนี้

แต่หลายปีที่เจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาอยู่ในเรือนจำแห่งนี้นั้น เจี่ยนอี๋นั่วถึงได้ค้นพบว่าการมาอยู่ที่นี่เป็นเหมือนการที่เธอถูกริดรอนสิทธิ์โดยสิ้นเชิง เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดคำว่า 'ไม่' เลยด้วยซ้ำ และไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ การกระทำทั้งหมดของเธออยู่ภายใต้การเฝ้าระมัดระวัง ต้องคุ้นชินกับการอาบน้ำต่อหน้าคนอื่น และเปิดเผยทุกอย่างของตัวเอง

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าไฟที่กำลังลุกไหม้อู่นี้ดับให้เร็วที่สุด เพื่อที่เธอจะได้กลับไปอยู่กับเจี่ยนซวงลูกของเธอ ตอนนี้มีเฉิงซานซานอยู่ในนี้ด้วย เจี่ยนอี๋นั่วจึงไม่วางใจ

ตั้งแต่ที่เจี่ยนอี๋นั่วออกไป เจี่ยนซวงเอาแต่ร้องไห้ไม่หยุดและดิ้นไม่หยุดเช่นกัน เธอเอาแต่ตะโกนว่าจะหาแม่อย่างเดียว นักโทษที่อุ้มเจี่ยนซวงอยู่นั้นเดินตามนักโทษคนอื่นๆไปที่สนามกีฬา พอเดินไปถึงแล้วเธอก็ทนแรงดิ้นของเจี่ยนซวงไม่ไหว จึงวางเจี่ยนซวงลง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : "ซวงชซวง หนูอย่าดิ้นไปมาอย่างนี้ได้มั้ย? หนูไม่รู้หรอว่าตัวเองหนักขนาดไหนอ่ะ? ไม่รู้เลยว่ปกติแม่หนูอุ้มหนูยังไง หนักจนเอวแทบหักแล้วเนี่ย"

"หนูจะไปหาหม่าม้า……..หนูจะเอาหม่าม้า……." เจี่ยนซวงพูด ก่อนจะออกจากอ้อมแขนของนักโทษคนนั้น พร้อมกับหันหลังแล้ววิ่งออกไป

"เห้……..หนูอย่าวิ่งนะ!" เธอตะโกนเรียกเจี่ยนซวง

แต่เธอวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ค่อยๆหยุดลง ก่อนจะยืนนิ่งแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นมา : "ซวงซวง ซวงชซวงกลับมานะ"

แต่เจี่ยนซวงนั้นไม่หยุด ซ้ำยังวิ่งไปเร็วกว่าเดิมอีกด้วย เธอกระทืบเท้าก่อนจะขมวดคิ้วอย่างโมโห : "ทำไมวิ่งไปแบบี้ล่ะเนี่ย? ทำยังไงดีล่ะทีนี้?"

หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็หันหลังกลับไปที่กลุ่มนักโทษทันที ก่อนจะบอกผู้คุมนักโทษว่า : "คุณผู้คุมคะ ซวงซวงวิ่งหายไปแล้วค่ะ"

ผู้คุมขมวดคิ้ว : "นี่เธอไปทำท่าไหน? แค่เด็กคนเดียวก็เอาไว้ไม่อยู่หรอ?"

นักโทษหญิงคนนั้นร้องไห้ออกมาอย่างวิตกกังวล : "ซวงซวงหนักเกินไปค่ะ ฉันอุ้มเธอจนแรงแทบจะไม่เหลือแล้ว เธอดิ้นแรงด้วย ปกติเธอว่าง่ายมากนะคะ ฉันคิดว่าจะไม่มีปัญหาอะไร ใครจะไปรู้ล่ะคะว่าวันนี้เธอจะไม่เชื่อฟัง ถ้าฉันรู้ฉันก็ไม่รับปากดูเธอหรอกค่ะ"

"แล้วเธอมาพูดเอาตอนนี้มันมีประโยชน์มั้ย?"ผู้คุมรีบหยิบเครื่องส่งรับวิทยุขึ้นมา : "ทุกคนตั้งใจฟัง ซวงซวงหายไป ถ้ามีคนเจอเธอ รีบพาซวงซวงมาที่สนามกีฬาด้วย ทราบแล้วเปลี่ยน ทราบแล้วเปลี่ยน!"

"ทราบ!" ผู้คุมที่พาเหล่าคนดับไฟในทีมของเจี่ยนอี๋นั่วมองใบหน้าที่ซีดเซียวของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะตอบกลับไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนที่จะมองไปที่ผู้คุมคนนั้นพร้อมกับพูดกับผู้คุม : "ผู้คุมคะ ฉันขอออกจากทีมดับไฟไปหาซวงซวงได้มั้ยคะ?"

"เฮ้ คนที่มาใหม่อ่ะ ทำเกินไปป่ะ" เยี่ยหมิงจูกระโดดลงมาเตียงชั้นบนก่อนจะขมวดคิ้วแล้วพูด : "ไปทำให้เด็กหวาดกลัวแบบนั้นได้ยังไง?"

เฉิงซานซานถอยหลังมาหนึ่งก้าวก่อนจะยกมือของเธอขึ้นอย่างประหม่า พร้อมกับนัยตาสีแดงของเธอแล้วพูดขึ้นว่า : "ฉัน…….ฉันผิดไปแล้ว……ฉันเองก็ได้รับความเจ็ปวดที่แสนสาหัดมาเหมือนกัน ฉันถึงได้กลายเป็นคนแบบนี้ เธออย่าด่าฉันเลยนะ ฉันกลัว ฉันกลัวเธอจริงๆนะ…….เธออย่าทำฉันเลยนะ……."

เฉิงซานซานพูดไปด้วยพร้อมกับหลบเข้ามุมห้องขังไปด้วยก่อนจะทำท่าทางที่น่าสงสารออกมา

"อืม ดูเธอจะเป็นผู้หญิงที่พบเจอความยากลำบากมาเหมือนกันนะ ถึงแม้เธอจะขี้บ่นมาก แต่เธอก็ไม่จำเป็นต้องดุขนาดนั้น เรื่องนี้ช่างมันเถอะ พวกเราก็ช่วยกันดูหน่อย อย่าให้หล่อนทำอะไรเด็กก็พอแล้วไม่ใช่หรอ?"

ผู้หญิงที่อยู่ในห้องขังแห่งนี้ต่างก็ทนไม่ได้ที่เห็นสภาพของเฉิงซานซานที่เป็นแบบนี้ เมื่อเห็นท่าทางที่แสดงอกอย่างอ่อนแอของเฉิงซานซานทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะสงสารเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเจี่ยนซวงแน่นก่อนที่เธอจะเดินออกมาจากห้องขัง เยี่ยหมิงจูก็ตามเธอออกมาเช่นกันก่อนจะถามเธอ : "เธอเป็นยังไงบ้าง? ผู้หญิงคนนี้ต้องผิดปกติแน่ๆ ให้หล่อนมาอยู่ห้องเดียวขังเดียวกันกับเธอแบบนี้ต้องมีจุดประสงค์อะไรแฝงอยู่แน่เลย ถ้าเกิดทางนั้นไม่เกิดเรื่องขึ้นล่ะก็ ฉัน….."

"เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอ?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับถามเธอ

เยี่ยหมิงจูถึงได้เอะใจว่าเธอเกือบจะพูดอะไรผิดแล้ว เธอรีบหายใจเข้าลึกๆก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : "ไม่มีอะไรหรอก ฉันพูดไปเรื่อยน่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากของเธอแล้วมองไปที่เยี่ยหมิงจู เธอไม่ได้ถามอะไรต่อเพียงแค่อุ้มลูกน้อยเดินไปข้างหน้าต่อ เหมือนว่าเจี่ยนซวงนั้นจะตกใจมากๆจึงทำตัวเป็นเด็กดีทั้งวันแล้ว แม้แต่ข้าวก็ไม่ถามหาแล้ว เพียงตัวติดอยู่บนร่างของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ยอมลงมา จนเจี่ยนอี๋นั่วนั้นทำอะไรไม่ได้เลย ทำได้เพียงอุ้มลูกสาวอยู่อย่างนั้น

"หม่าม้าคะ……คนนั้นเป็นคนไม่ดีหรอคะ?" เจี่ยนซวงสูดจมูกตัวเองก่อนจะถามคนเป็นแม่

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่พักนึงก่อนที่จะพยักหน้า : "ใช่ค่ะ ดังนั้นหนูต้องอยู่ห่างๆเธอไว้นะคะ อย่าไปใกล้เธอ เข้าใจมั้ยคะ?"

เจี่ยนซวงรีบพยักหน้าก่อนจะตอบด้วยเสียงเล็กของเธอ : "ซวงซวงเข้าใจค่ะ ซวงซวงไม่เข้าใกล้เธอแน่นอน ซวงซวงกลัวค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวของเจี่ยนซวงก่อนจะพยักหน้า : "เด็กดี"

ในตาของเจี่ยนซวงเป็นสีแดง เธอขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดอย่างน้อยใจ : "หม่าม้าคะ ทำไมเราไล่คนไม่ดีออกจากบ้านเราไม่ได้หรอคะ? คุณแม่คนผู้คุมมีกระบองนะคะ แต่ทำไมถึงปกป้องซวงซวงไม่ได้ล่ะคะ? ชวงชวงกลัวากเลยค่ะ………..กลัวจนไม่อยากกินอะไรแล้ว………"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้จะอธิบายให้เจี่ยนซวงคนเป็นลูกสาวฟังอย่างไร จึงทำได้เพียงกอดลูกน้อยเอาไว้ แล้วพูดขึ้นว่า : "หม่าม้าขอโทษค่ะ"

เป็นเพราะเธอที่ไม่สามารถหาบ้านที่ปลอดภัยให้กับเจี่ยนซวง เป็นเพราะเธอที่ทำให้เจี่ยนซวงต้องมีชีวิตที่ต้องมาเจอกับความน่ากลัวแบบนี้

เจี่ยนซวงยกมือน้อยๆของตัวเองมาลูบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วผู้เป็นแม่ : "หม่าม้าไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ มันไม่ใช่ความผิดของหม่าม้าเลยนะคะ เป็นเพราะคนไม่ดีคนนั้นต่างหากที่ทำให้หนูผวา"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เธอทำได้เพียงกอดเจี่ยนซวงแน่นๆ ไม่กี่วันมานี้ เจี่ยนซวงเอาแต่ตัวติดเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไปที่ไหน เจี่ยนซวงก็จะตามติดไปราวกับว่าเป็นหางของเจี่ยนอี๋นั่วยังไงอย่างงั้นเลย เธอดึงกางเกงของเจี่ยนอี๋นั่วบ้าง เกาะหลังเจี่ยนอี๋นั่วบ้าง ตอนนี้เจี่ยนซวงนั้นราวกับกระต่ายตัวน้อยที่ตื่นตระหนกที่ไม่รู้ส่าตัวเองจะต้องไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหน

มีนักโทษบางคนที่ทนดูไม่ได้มาถามแลกห้องขังกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เธอก็ปฏิเสธ ทางผู้คุมนักโทษก็จนปัญญา ยามที่เธอไปถามผู้คุมนักโทษว่าเมื่อไหร่จะได้ย้ายห้องขัง ผู้คุมนักโทษก็หลบหน้าเธอทุกที

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางเลือกจึงทำได้เพียงติดต่อกับเหอหลินเล่อ เพื่อให้เหอหลวนเล่อนั้นช่วยติดต่อเรื่องให้หน่อย ว่าจะมีทางไหนที่เธอสามารถย้ายห้องขังได้มั้ย ถึงแม้ว่าทางเหอหลวนเล่อนั้นจะรับปากเธอแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เดาว่าต้องมีคนตั้งใจให้เธอกับเฉิงซานซานมาอยู่ห้องขังเดียวกันแน่ เพื่อมาจัดระเบียบ ไม่ใครเธอนั้นย้ายห้องขังได้ง่ายๆแน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้เพียงเฝ้าระวังทั้งวันทั้งคืนเพื่อปกป้องไม่ให้เฉิงซานซานทำอะไรลูกของเธอ ถึงแม้ว่าเฉิงซานซานนั้นจะไม่ได้ทำอะไรรุนแรงอีก แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธออีกเลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เฝ้าระวังเฉิงซานซานเอาไว้ก่อน เพราะเธอรู้สึกว่าเฉิงซานซานนั้นจับจ้องมาที่เจี่ยนซวงอยู่ มีบางครั้งที่เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง เธอก็จะโดนเฉิงซานซานจ้องมาที่เธอ เธอตื่นขึ้นมาจากความฝัน ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาเธอก็พบเฉิงซานซานอยู่ในมุมมืดพร้อมกับจับจ้องมาที่เธอและเจี่ยนซวงลูกของเธอ

"อี๋นั่ว เรื่องนี้ฉันคงทำให้เธอไม่ได้นะ ฉันติดต่อคนออกไปแล้ว แต่พวกเขาบอกมาว่าเธอไม่สามารถแย่งห้องขังได้"

ตอนที่เหอหลวนเล่อมาเยี่ยมเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็พูดอย่างรู้สึกผิด : "ฉันคิดว่าตอนนี้มีการตรวจสอบอะไรอยู่ใช่มั้ย? คนพวกนั้นเลยไม่กล้าช่วยฉัน จริงๆแล้วเรื่องนี้มันง่ายมากเลยนะ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมพวกนั้นถึงไม่กล้า"

เจี่ยนอี๋นั่วยกยิ้มก่อนจะพูด : "ลำบากเธอแย่เลย ฉันเองก็คิดอยู่เหมือนกันว่ามันคงไม่ง่ายขนาดนั้น ขอบคุณเธอมากเลยนะ หลายปีมานี้ก็เป็นเธอคนเดียวเลยที่คอยดูแลฉันกับชวงชวง"

เจี่ยนชวงรีบพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มอย่างเร่งรีบ : "ขอบคุณค่ะคุณแม่เล่อเล่อ"

เหอหลวนเล่อมองเจี่ยนซวงก่อนจะรีบยกยิ้มขึ้นมา : "ซวงซวงจ๋า น่าสงสารจริงๆเลย ผอมไปเยอะเลยนะคะ ท้องอ้วนกลมของหนูผอมไปเท่าไหร่กันแล้วนะ คุณแม่เล่อเล่อซื้อของมาให้หนูเยอะเลยนะคะ ของอร่อยๆทั้งนั้นเลย หนูต้องกินให้ท้องอิ่มอยู่ตลอดเวลานะคะ เป็นเพราะคุณแม่เล่อเล่อแท้ๆเลยที่ไม่เอาไหน ช่วยให้หนูเปลี่ยนที่อยู่ไม่ได้……"

เหอหลวนเล่อพูดถึงตรงนี้เธอก็สูดจมูกอีกครั้ง ก่อนที่ตาแดงๆของเธอจะมีน้ำตาไหลออกมา เจี่ยนซวงเม้มปากของตัวเอง ก่อนจะร้องไห้ตามแล้วพูดว่า : "คุณแม่เล่อเล่ออย่าร้องไห้เลยนะคะซวงซวงปวดใจมากๆ"

เจี่ยนชวงพูดก่อนจะแกล้งร้องไห้ขึ้นมา เจี่ยนชวงแกล้งร้องไห้ แต่หลวนเล่อนั้นร้องไห้หออกมาเพราะว่าความเสียใจจริงๆ เหอหลวนเล่อร้องไห้พร้อมกับมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามเธอว่า : "เมื่อไหร่เธอจะได้ออกมา ชวงชวงก็โตแล้วนะ ควรจะเข้าโรงเรียนได้แล้ว ถ้ายังต้องอยู่ในนี้ต่อไปจะทำยังไง? แม้แต่โลกภายนอกซวงซวงก็ไม่เคยได้เห็น น่าสงสารจริงๆ……."

เจี่ยนซวงได้ยินที่เหอหลวนเล่อพูด เธอก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วทันทีพร้อมกับในตาแดงๆของตัวเอง : "หม่าม้าอย่าเสียใจนะคะ ซวงซวงไม่ได้น่าสงสารเลย ซวงซวงมีความสุขมากๆค่ะ ใช่มั้ยคะ?"

"อือ ซวงซวงไม่ได้น่าสงสาร ซวงซวงยังมีหม่าม้า มีคุณแม่เล่อเล่อ คุณแม่หมิงจู แล้วก็คุณแม่ผู้คุม แล้วก็ยังมีความรักอีกมากมาย ไม่น่าสมเพชเลยสักนิด มีความสุขมาๆต่างหาก!" เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นลูบหัวของลูกสาวเจี่ยนซวง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดกับคนเป็นลูก

เหอหลวนเล่อรู้ตัวว่าตัวเองพูดผิดไป เธอจึงรีบเช็ดสูดจมูกแล้วเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วพูดว่า : "จริงด้วยค่ะ คุณแม่เล่อเล่อพูดผิดเองค่ะ ซวงซวงเป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดในโลกแล้วเนาะ ต่อไปซวงซวงจะมีความสุขมากกว่านี้อีกค่ะ"

เจี่ยนซวงเม้มปากของตัวเอง ตาแดงของเธอมองไปที่เหอหลวนเล่อ ก่อนที่จะหันหลังแล้วเข้าสู้อ้อมอกของคนเป็นแม่ เจี่ยนซวงนั้นเพิ่งจะสามขวบ แต่เธอนั้นไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายเหมือนกับเด็กทั่วไป เธอจะแอบร้องไห้อู้อี้เท่านั้น

เหอหลวนเล่อเห็นท่าทีของเจี่ยนซวง เธอก็รีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างตื่นตระหนกไป : "ฉันขอโทษนะ เป็นความผิดของฉันเองที่ทำให้เด็กต้องร้องไห้แบบนี้"

เจี่ยนอี๋นั่วลูบหลังเจี่ยนซวงเบาๆ เธอยอมรับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ว่าเธอพยายามมากแค่ไหน เธอก็ยังต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ทำให้มีผลกระทบต่อแล้วก็ทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่เจี่ยนซวง มันเป็นเพราะเธอไม่มีความสามารถที่จะชดเชยได้ เจี่ยนชซวงถึงต้องมีความทรงจำวัยเด็กแบบนี้ ไม่สามารถเติบโตมาอย่างเรียบๆง่ายๆแบบเด็กๆคนอื่นทั่วไป

"ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เป็นความผิดของฉันเอง……." เจี่ยนอี๋นั่วลูบหลังเจี่ยนซวงอีกครั้ง

เป็นเพราะเธอเห็แก่ตัวเกินไป ที่ให้กำเนิดเจี่ยนซวงมาโดยที่สภาพแวดล้อมมันไม่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตอย่างมีสุขภาพดี

เมื่อเหอหลวนเล่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นน้ัน เธอก็รีบแสดงออกถึงความรู้สึกผิดของเธอทันที จากนั้นเธอก็พูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า : "อี๋นั่ว จริงๆแล้วเรายังมีโอกาสนะ ตอนกำลังหาคนมาช่วยพลิกแพลงคำตัดสินอยู่ ตอนนี้ก็เริ่มคืบหน้ามาบ้างแล้ว ฉันจะช่วยให้เธอออกมาเร็วๆนะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : "งั้นฝากเธอด้วยนะ"

ถึงแม้เธอจะพูดอย่างนี้ก็ตาม เรื่องการพ้นโทษนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้คาดหวังอะไร เธอได้เข้ามาอยู่ที่เรือนจำแห่งนี้เพราะว่าคดีก่ออาชญากรรม เธอคงไม่มีวันพ้นโทษหรอก มันเกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อแย้งอำนาจของตระกูลเหลิ่งโดยตรงด้วย แต่ว่าเมื่อไหร่ที่ตระกูลเหลิ่งจะได้รับผลนั้นล่ะ? หรือว่าเมื่อไหร่ที่เหลิ่งเซ่าถิงจะยินยอมให้เธอพ้นโทษเมื่อไหร่?

เพราะเธอไม่ได้ข่าวของเหลิ่งเซ่าถิงมานาน เจี่ยนอี๋นั่วก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้ชายคนที่แต่งงานไปแล้วคนนั้นจะจำผู้หญิงคนนี้กับลูกสาวของเขาที่ยังติดอยู่ในเรือนจำนี้ได้มั้ยนะ

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วมาเจอเหอหลวนเล่อ เจี่ยนซวงก็มีปฏิกิริยาที่ดีมากขึ้นเธออมอมยิ้มก่อนจะกระโดดดึ๋งดั๋งอยู่ข้าๆเจี่ยนอี๋นั่ว ทั้งหัวเราะไปด้วยทั้งพูดไม่ด้วนในเวลาเดียวกัน : "หม่าม้าคะ ซวงซวงเป็นเด็กดีมากๆค่ะ วันนี้เลยได้กินลูกอม หม่าม้าต้องเอาลูกอมไปซ่อนไว้นะคะ ไม่ต้องให้ซวงซวงเห็น ซวงซวงไม่อยากกินลูกอมจนหมดแล้วค่ะ ซวงซวงจะค่อยๆกินไปทุกๆวัน"

"ชอบคุณแม่เล่อเล่อมั้ยคะ?" เจี่ยนอี๋นั่วถามเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้ม : "ทุกคร้ังที่คุณแม่เล่อเล่อมาๆหาหนู ก็ซื้อของกินอร่อยๆกับเสื้อผ้าสวยๆมาให้หนูตลอดเลย "

เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะพูดด้วรอยยิ้ม : "ชอบค่ะ หนูชอบคุณแม่เล่อๆมากๆ แต่หนูชอบหม่าม้าคนนี้ที่สุดค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม : "แต่ว่าห่าม้าไม่ได้มีเสื้อผ้าสวยๆกับของกินให้หนูนะคะ"

เจี่ยนซวงหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "แค่หม่าม้ากอดชวงชวง ซวงซวงก็มีความสุขมากๆแล้วค่ะ ช่วงนี้ที่หม่าม้ากอดซวงซวง กอดจนเหนื่อยเลยใช่มั้ยคะ? มาค่ะซวงซวงจะให้ลูกอมหม่ามี้"

เจี่ยนซวงพูด พร้อมกับค่อยๆเอาอมยิ้มในปากของตัวเองออกมายื่นไว้ที่ปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดอย่างประหม่าว่า : "หม่าม้าแค่เลียก็พอนะคะ ไม่ต้องกัดนะ อมยิ้มมันกัดไม่ได้ค่ะ ถ้ากัดแล้วมันจะเปรี๊ยวจี๊ด"

เจี่ยนอี๋นั่สวย่อตัวของตัวเองลงมาก่อนจะชิมรสชาติของอมยิ้มนั้น แล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม : "ขอบคุณค่ะซวงซวงของหม่าม้า แต่ซวงซวงชอบอมยิ้มนี่นา หม่าม้ากินแบบนี้แล้วซวงซวงไม่ปวดใจหรอคะ?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าหงึกๆ ก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากแล้วพูดขึ้นมาว่า : "ปวดใจค่ะ แต่ว่าหม่าม้าเป็นคนกิน หนูก็มีความสุขไปด้วย"

"มาค่ะ ให้หม่าม้าอุ้มหนูหน่อย" เจี่ยนอี๋นั่วอ้าแขนจะอุ้มเจี่ยนซวงคนเป็นลูกด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงยู่ปากของตัวเอง : "ชวงชวงอ้วนขนาดนี้ หม่าม้าไม่ต้องอุ้มแล้วค่ะ เดี๋ยวแขนหม่าม้าจะเจ็บ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "ค่ะ แขนหม่าม้าจะเจ็บ แต่ว่าคนที่หม่าม้ากอดเป็นซวงซวง ถึงแม้หม่าม้าจะเจ็บมากๆ แต่หม่าม้ามีความสุขมากกว่าค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มเจี่ยนซวงลูกน้อยเธอเข้าไปที่ห้องขังตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่ววางตัวลูกน้อยลงบนเตียง เจี่ยนซวงลืมตาขึ้นก่อนจะหันหน้าเข้าไปทางกำแพงแล้วก็หลับต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วตบเจี่ยนซวงเบาๆก่อนจะที่เธอแกะผมที่ถักเปียของออกอย่างระมัดระวัง และเปลี่ยนเสื้อผ้าลูกน้อย เจี่ยนซวงมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มก่อนจะนอนหลับต่อ เจี่ยนอี๋นั่วพับของเจี่ยนชวนเสร็จเธอก็เอาดอกไม้สองดอกที่ลูกน้อยติดไว้ที่ผมทั้งวันออก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเธอก็บิดขี้เกียจครั้งหนึ่งก่อนจะหาวออกมา

ตั้งแต่ที่เธอลูก เจี่ยนอี๋นั่วก็ค้นพบว่าเวลาทั้งหมดนั้นไม่ใช่ของเธออีกต่อไป พลังเอเนอจี้ของเจี่ยนซวงนั้นล้นเหลือจนทำให้เธอแทบไม่มีเวลาว่างเลยทีเดียว เจี่ยนอี๋นั่วลูบไหล่ของตัวเองที่รู้สึกเมื่อยเบาๆ เธอถึงรู้ว่าวันนี้เยี่ยหมิงจูนั้นค่อนข้างเงียบเลยทีเดียว

เยี่ยหมิงจูไม่ใช่คนเก็บตัวหรือคนเงียบๆ แล้ววันนี้ก็เป็นเกิดของเจี่ยนซวงด้วย เมื่อก่อนหากเป็นวันเกิดของเจี่ยนซวง เยี่ยหมิงจูจะกระดี๊กระด๊าเป็นพิเศษ แต่ทำไมวันนี้เธอถึงได้แปลกไปนะ?

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วคิดได้เช่นนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วถามเยี่ยหมิงจูที่นอนอยู่ชั้นบนว่า : "หมิงจู เธอเป็นอะไรรึเปล่า? วันนี้ไม่ค่อยพูดเลย เธอไม่สบายรึเปล่า?"

เยี่ยหมิงจูลืมตาของตนขึ้นก่อนจะหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับส่ายหน้าแล้วพูดว่า "ไม่หรอก ฉันไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ตอนฉันตื่นมาวันนี้รู้สึกเหนื่อยๆน่ะ อาจจะเป็นเพราะอายุเยอะ……"

"เธอเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เองนะ จะแก่ได้ยังไงกันล่ะ?" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : "เดี๋ยวฉันรินน้ำให้นะ ดื่มน้ำร้อนหน่อยน่าจะดีขึ้น"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดก่อนจะรินน้ำร้อน เพราะน้ำมันร้อนเลยไม่สามารถยื่นให้เยี่ยหมิงจูดื่มเลยทีเดียว เจี่ยนอี๋นั่วเลยหยิบแก้วออกมาสองใบเทเข้าออกซ้ำๆ เพื่อไล่ความร้อนให้อุณหภูมิของน้ำลดลงแล้วจึงยื่นมันให้เยี่ยหมิงจู : "ดื่มน้ำหน่อยนะ"

เยี่ยหมิงจูเงยหน้ามองตาของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยกมือขึ้นมารับน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วจัดผ้าห่มให้ให้กับเยี่ยหมิงจู ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : "เธอนอนพักผ่อนเถอะ"

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วถึงได้ไปนอนบนเตียงของตัวเอง เยี่ยหมิงจูจับแก้วน้ำเอาไว้ เธอรู้สึกได้ถึงความอุ่นของน้ำ แะแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา เยี่ยหมิงจูเพิ่งมารู้ข่าววันนี้ ไม่กี่วันก่อนคนๆนั้นเกือบตายไปแล้ว เยี่ยหมิงจูไม่กล้าจะจินตนาการออกมาเลยว่าถ้าเกิดคนนั้นตายไป เจี่ยนอี๋นั่วกับเจี่ยนชวนจะเป็นยังไง? พวกเธอทั้งสองคนแม่ลูกก็จะไม่มีใครปกป้องอีกแล้ว เพียงเยี่ยหมิงจูคิดถึงตอนนี้เธอก็หลับตาลงอย่างข่มขื่น ไม่กี่มานี้ไม่ว่ามันจะเป็นความจริงหรือเท็จ เยี่ยหมิงจูก็ชินกับการมีอยู่ของเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงไปแล้ว เธอไม่ต้องการให้ชีวิตของทั้งสองแม่ลูกนั้นโดดเดี่ยวไปมากว่านี้อีกแล้ว และเธอก็ไม่ต้องการให้คนพวกนั้นคิดจะรังแกทั้งสองแม่ลูกอีก

เยี่ยหมิงจูหวังว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนซวงนั้นใช้ชีวิตที่ดีมากกว่านี้ เพราะพวกเธอทั้งสองแม่ลูกคู่ควรที่จะมีอนาคตที่ดีกว่านี้

เจี่ยนอี๋นั่วกอดลูกน้อยของเธอเจี่ยนซวง เธอมองขึ้นไปที่เตียงของเยี่ยหมิงจูก่อนจะหลับตาลงช้าๆ เจี่ยนซวงก็เหมือนกับเหนียนโต้วเปาเลยที่ตัวติดคนเป็นแม่อย่างนี้

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอเพิ่งนอนได้ไม่เท่าไหร่ เจี่ยนชวงก็หาวก่อนจะตื่นขึ้นแล้วเขย่าตัวเจี่ยนอี๋นั่วแล้วเรียกคนเป็นแม่เบาๆ : "หม่าม้าคะ ตื่นเร็วค่ะ ชวงชวงปวดฉี่!"

เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นก่อนจะอุ้มเจี่ยนซวงแล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ หลังจากเข้าห้องน้ำเสร็จเจี่ยนซวงก็บ่นว่าหิวทันที เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มก่อนที่เธอจะดึงเสื้อของเจี่ยนซวงเพื่อปกปิดท้องน้อยๆที่โผล่ออกมา ก่อนจะพูดกับลูกว่า : "ยังจะกินอีกหรอคะ เสื้อผ้าปิดพุงหนูไม่มิดแล้วนะ"

"นั่นเป็นเพราะว่าชวงชวงโตขึ้นไงคะ" เจี่ยนซวงทำปากงุ้ยๆ

"ชู่ เบาๆหน่อยค่ะ อย่าไปรบกวนเวลาพักผ่อนคนอื่นเขา" เจี่ยนอี๋นั่วมองดูนักโทษหญิงที่นอนอยู่รอบๆ พร้อมกับยกนิ้วขึ้นมาทำท่าห้ามเสียงดังให้ลูกดู

เจี่ยนซวงรีบปิดปากของตนเองทันที ก่อนจะกระซิบพูดกับแม่เบาๆ : "เจี่ยนซวงจะไม่พูดเสียงดังค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเจี่ยนซวงที่สวมเสื้อกันหนาวก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดเสียงเบาว่า : "จริงด้วย เสื้อตัวนี้คงต้องแก้หน่อยแล้ว ต้องเย็บหน่อยแล้วไม่อย่างนั้นล่ะก็พุงต้องโผล่แน่เลย เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็หยิบเสื้อตัวใหญ่อีกตัวขึ้นมาแล้วเปลี่ยนให้เจี่ยนซวง เพราะว่าพวกเธออยู่ในเรือนจำ การซักผ้าจึงไม่สะดวก แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็พยายามที่จะซักเสื้อผ้าของเจี่ยนซวงนั้นสะอาดสะอ้านอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ผ้าเช็ดหน้าของเจี่ยนชวง เจี่ยนอี๋นั่วก็พับให้จนเรียบก่อนจะสวมให้เจี่ยนชวง แต่เพราะในเรือนจำไม่ได้มีน้ำร้อน ฤดูร้อนก็จะดีหน่อย พอถึงฤดูหนาวทีไร การทำความสะอาดแบบนี้ทำเอานิ้วของเจี่ยนอี๋นั่วน้ันมีอาการบวมอย่างรุนแรง ราวกับแครอทเลยทีเดียว

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวงเรียบร้อยแล้ว เธอก็เตรียมซีเรียลสำหรับลูกน้อย ก่อนจะหยิบเสื้อผ้าตัวอื่นขึ้นมาแล้วก็คิดว่าจะแก้มันยังให้ใส่แล้วมันดูเหมาะกับเจี่ยนซวง

เจี่ยนอี๋นั่วทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยก่อนที่นักโทษคนอื่นจะตื่น จากนั้นเธอก็ไปทำงาน จริงๆแล้วทุกคนก็ดูแลเธออย่างดี แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้คนอื่นเป็นฝ่ายจัดการให้เธอตลอด

"เธออยู่ในห้องขังนี้แล้วกัน" ผู้คุมนักโทษเดินมาที่ห้องขังอย่างกระทันหันพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นทันทีเมื่อเธอเห็นว่าห้องขังถูกเปิดประตูออกแล้วมีผู้หญิงที่สวมใส่ชุดนักโทษเดินเข้ามา ณ ตอนที่เธอเห็นผู้หญิงคนนั้น เธอก็ลุกขึ้นยืนทันทีทันใด ก่อนจะดึงเจี่ยนชวงเข้ามาหาตนตามสัญชาตญาณ

เฉิงซานซาน? เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?

เฉิงซานซานผอมมาก ผมของเธอก็ขึ้นสีขาวแล้วด้วย ใบหน้าของเธอผอมซูบ ขอบตาของเธอก็ดำ เธอมองไปรอบๆด้วยตาที่หมองคล้ำของเธอก่อนจะหยุดสายตาของเธอที่ร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะเปิดปากหัวเราะออกมา : "ฮ่าๆ เจี่ยยนอี๋นั่วเองหรอ? ฉันยังได้มาเจอเธออีกหรอเนี่ย! ฮ่าๆๆ!"

เสียงหัวเราะของเธอนั้นน่ากลัวมากๆ จนทำให้เจี่ยนซวงตกใจจนไปหลบอยู่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนที่จะพูดขึ้นว่า : "หม่าม้าคะ หนูกลัว……."

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปหาผู้คุมนักโทษ : "ขอโทษนะคะคุณผู้คุม ฉันขอเปลี่ยนห้องขังค่ะ ฉันกับผู้หญิงคนนี้เคยมีเรื่องข้องใจต่อกัน ฉันไม่สามารถอยู่ห้องขังเดียวกันกับเขาได้ค่ะ"

ผู้คุมนักโทษขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดเสียงต่ำไปว่า : "ฉันเคยดูประวัติของหล่อนมาแล้ว ฉันรู้เรื่องระหว่างเธอสองคนด้วย แต่ว่าห้องขังของหล่อนกำลังปรับปรุง ตอนนี้ก็มีแค่ห้องของเธอที่เตียงว่างอยู่ นี่เป็นคำสั่งจากหัวหน้า ฉันขัดคำสั่งไม่ได้หรอกนะ ปล่อยให้หล่อนอยู่กับเธอไปสักสองสามวันเถอะ อีกสองวันก็จะมีเตียงว่าง ฉันจะมาย้ายหล่อนไปเอง ฉันก็กลัวว่าถ้าเธอกับหล่อนอยู่ห้องขังเดียวกันแล้วจะเกิดปัญหาขึ้นเหมือนกัน แล้วในห้องนี้ก็ยังมีซวงซวงอยู่ด้วยอีก………"

เมื่อผู้คุมพูดมากขนาดนี้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้วเช่นกัน ผู้คุมนักโทษคอยดูแลเธอมาโดยตลอด อย่างตอนนี้ที่ผู้คุมไม่สามารถขัดคำสั่งได้ ดูแล้วเรื่องนี้ผู้คุมไม่ได้มีอำนาจในการจัดการด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงขมวดคิ้วแล้วก็พยักหน้าเพียงเท่านั้น ก่อนที่เธอจะตอบกลับไปว่า : "ฉันเชื่อคุณก็ได้ค่ะ"

เฉิงซานซานมองไปที่เด็กน้อยที่พุงยื่นออกมาอย่างเจี่ยนซวงก่อนที่เธอจะยิ้มออกมาพร้อมกับฟันเหลืองๆของเธอแล้วพูดว่า : "มานี่หน่อยสิ มาให้น้ากอดหน่อยเร็ว หนูเป็นลูกสาวของเจี่ยนอี๋นั่วใช่มั้ย น้าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของแม่หนูเลยนะ"

"หม่าม้าคะ หนูกลัว……." เจี่ยนซวงคว้าร่างของเจี่ยนอี๋นั่วทันทีเพื่อให้คนเป็นแม่อุ้มเธอ

"612 ทำตัวดีๆหน่อย อีกสิบปีเธอก็ได้ออกจากที่นี่แล้ว อย่าทำตัวให้เป็นปัญหาอีกล่ะ" ผู้คุมนักโทษสั่งด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

เฉินซานซานยิ้มออกมาอย่างแปลกๆก่อนที่จะหันหน้าไปมองผู้คุมนักโทษแล้วค่อยๆยกมือของตัวเองขึ้นก่อนจะทำความเคารพ : "รับทราบค่ะ คุณผู้คุม"

ผู้คุมนักโทษถอนหายใจก่อนจะหันไปมองนักโทษคนอื่นๆที่ตื่นนอนแล้ว : "พวกเธอช่วยกันดูแลเด็กด้วยนะ"

นักโทษคนอื่นๆพยักหน้า เยี่ยหมิงจูก็พยักหน้าด้วยเช่นกันก่อนที่เธอจะขมวดติ้วใส่เฉิงซานซาน ผู้คุมมองเข้าไปในห้องผู้ต้องขังอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจเบาๆ : "งั้นก็ไม่ต้องงงงวยอะไรกันแล้วนะ ไปเตรียมตัวได้แล้ว รีบๆลุกจากที่นอน"

หลังจากที่เธอพูดจบเธอถึงได้เดินจากไปก่อนที่จะเรียกให้นักโทษคนอื่นๆตื่นอน เฉิงซานซานลุกขึ้นก่อนจะมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับยกยิ้มแล้วพูดว่า : "อี๋นั่ว ไม่คิดเลยนะว่าเธอจะมีลูกเร็วขนาดนี้แล้ว ลูกสาวเธอนี่น่ารักจังเลยนะ แต่เสียดายที่ลูกฉันกับหมิงเซวียนไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นล่ะก็ลูกของเราคงจะแต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกันได้ แต่ถึงฉันจะไม่มีลูกชายแล้ว แต่คิดถึงตอนที่ฉันออกจากที่นี่ แล้วมีลูกชายอีกคนกับหมิงเซวียนได้ แต่เธอก็ทำให้หมิงเซวียนต้องตาย ทุกอย่างของฉันมันถูกเธอ….."

เฉิงซานซานพูดพร้อมกับเก็บใบหน้าที่มีรอยยิ้มของเธอเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่ราวกับว่าจะร้องไห้ : "เธอพรากมันไปจากฉันทั้งหมด ฉันเกลียดเธอ จนอยากจะฆ่าเธอให้ตาย เธอทำให้หมิงเซวียนเอาลูกไปจากฉัน ทำไมเธอถึงเลวได้ขนาดนี้ ? ฉันแค่ผลักเธอตกบันไดเพื่อทำลายเด็กในท้องนั่นเพื่อช่วยเธอนะ เธอทำให้ฉันต้องมาอยู่ในเรือนจำแบบนี้ ถ้าฉันไม่ได้เข้ามาอยู่ที่นี่ ลูกชายของฉันก็คงไม่ตาย ถ้าฉันได้อยู่กับหมิงเซวียน หมิงเซวียนก็คงไม่ทำอะไรโง่ๆ ไม่แอบกิ๊กกันกับเธอต่อหรอกนะ เจี่ยนอี๋นั่ว…..เธอนี่มันเลวจริงๆ เลว มีใครที่เลวได้มากกว่าเธออีกมั้ย?"

"แต่พอฉันเจอลูกสาวของเธอ จู่ๆฉันก็ไม่เกลียดเธอแล้วสิ ไม่อยากฆ่าเธอแล้วด้วย" ใบหน้าของเฉิงซานซานปรากฏรอยยิ้มแปลกๆขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เธอจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้งพร้อมกับพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : "เอาเด็กคนนี้มาให้ฉันสิ เอาเด็กคนนี้มาชดใช้แทนเธอ….."

เฉิงซานซานมองไปที่แขนอ้วนกลมของเด็กน้อย ก่อนจะเลียริมฝีปากของตนเอง : "ดูแล้วเด็กคนนี้ช่างมีเนื้อมีหนังดีจริงๆเลยนะ ถ้าเกิดได้กัดสักคำ คงจะอร่อยมาก……"

เจี่ยนซวงรีบย่อตัวลงหลบอยู่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่วมทันที เจี่ยนอี๋นั่วดอกลูกไว้แน่นพร้อมกับปิดหูของเจี่ยนชวง ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น : "ถ้าเธอยังพูดอะไรไร้สาระอยู่อย่างนี้อีก ฉันจะตัดลิ้นของเธอทิ้งซะ"

เฉิงซานซานแลบลิ้นของตนเองออกมา ลิ้นสีแดงของเธอนั้นแลบออกมายาวมาก ราวกับผีที่ถูกแขวนคอตาย เฉิงซานซานแลบลิ้นออกมาด้วย แล้วพูดอย่างคลุมเคลือไปด้วยว่า : "เธอลองสิ ทำต่อหน้าลูกสาวของเธอเลย มาตัดลิ้นฉันเลยสิมา แล้วก็เอาไปต้มให้ลูกสาวเธอกินซะสิ มันคงจะอร่อยมากๆเลยล่ะ……"

เจี่ยนอี๋นั่วถอยหลังมาหนึ่งก้าวพร้อมกับกอดเจี่ยนซวงไว้แน่น และมองไปที่เฉิงซานซานอย่างระมัดระวัง เฉินซานซานค่อยๆเก็บลิ้นของเธอเข้าไปและปิกปากของเธอ ก่อนจะหัวเราะขึ้นอย่างเสียงดัง : "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอกลัวงั้นหรอ? เธอกลัวฉันแล้วหรอ? เธอเป็นถึงคุณนายชั้นสูงขนาดนั้น ตอนนี้เธอกับฉันก็เป็นนักโทษเหมือนกัน เธอมีสิทธิ์ตัดสินอะไรตั้งมากมาย ตอนนี้เธอกลัวแม้แต่อย่างฉันแล้วหรอ"

เฉิงซานซานหรี่ตามองเจี่ยนซวง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มแปลกๆของเธอว่า : "ยัยเด็กอ้วนคนนี้ทำให้เธอเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถ้าเกิดยัยเด็กนี่ตายขึ้นมา เธอคงจะเสียใจมากเลยสินะ!"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงดังขึ้นมา : "แต่ว่าหนูรักหม่าม้านะคะ"

เจี่ยนซวงน่ะเป็นเด็กแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วล่ะ ในเวลาที่เธอรู้สึกผิดหรืออยากได้อะไร ก็มักจะพูดเน้นๆมาว่า "หนูรักหม่าม้านะคะ" ตลอด ทั้งๆที่รู้ว่าเจี่ยนซวงนั้นไม่ได้เข้าใจความหมายของคำว่า"รัก" เลยก็ตาม แต่ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋ชั่วได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด เธอก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาทุกที ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : "มานี่หน่อยค่ะ หม่าม้าจะมัดผมให้"

เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง และจบการขอขนมลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเข้าไปในห้องขังของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วสูดอากาศเข้าปอดครั้งนึงแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า : "หม่าม้าคะ ถักเปียสองข้างแล้วก็ติดดอกไม้ที่คุณน้าเล่อเล่อให้หนูมาด้วยได้มั้ยคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เจี่ยนซวงหรี่ตาและยกยิ้มขึ้นมาทันที ก่อนจะยิ้มแล้วพูดข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วว่า : "หม่า้มาดีจังเลยค่ะ"

"แล้วหนูยังจะไปให้คนอื่นเป็นแม่ของหนูอีกทำไมล่ะคะ?" เจี่ยนอี๋นั่วหวีผมให้เจี่ยนซวงพร้อมกับพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆก่อนจะหัวเราะเอิ้กอ้ากก็ขึ้นมา : "หม่าม้าไม่ต้องหึงนะคะ นั่นมันเป็นแค่การเล่นสนุกเป็นครั้งคราวเองค่ะ คนเราหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมไม่ได้นี่นา"

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวจึงหัวเราะออกมา : "เล่นสนุกเป็นครั้งเป็นคราวหรอคะ? การเข้าสังคม? หนูไปเรียนรู้คำพวกนี้มาจากไหนเนี่ย?"

เจี่ยนซวงเลิกคิ้วขึ้นราวกับว่าตนเองคิดไม่ออกว่าไปเรียนมาจากไหน เจี่ยนซวงอยู่ในเรือนจำเลยได้พบกับผู้คนมากมาย เธอเป็นคนเรียนรู้เก่ง เลยเรียนรู้คำที่ยุ่งเหยิงมาเยอะพอสมควร สิ่งเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นยังโชคดีก็คือเหล่านักโทษหญิงนั้นล้วนแล้วแต่ดูแลเธอ ไม่ได้พูดสบถอะไรต่อหน้าเจี่ยนซวง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ตอนนั้นเจี่ยนซวงคงกลายเป็นเด็กผู้หญิงที่พูดจาไม่ดีไปแล้ว

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วหวีผมให้ลูกสาวเจี่ยนซวง เธอก็มองหน้าลูกสาวไปด้วย ใบหน้าที่กลมๆ ดวงตากลมโตของเจี่ยนซวง ดวงตาที่มักจะกระสับกระสายล่อกแล่กอยู่เสมอ ปากเล็กๆที่ยู่ๆ สีผิวขาวนวล แต่จมูกของเธอนั้นยุบหน่อยๆเพราะว่าเนื้อจมูกของเธอน้อย แต่เพราะเจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่ามันจมูกเล็กนั้นเหมือนกันกับพ่อแม่ของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วจึงรู้สึกว่าจมูกนั้นเป็นที่ตำแหน่งที่สวยที่สุดสำหรับเธอ

ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋นั่วมองลูกสสาวของเธอเจี่ยนซวง ก็อดที่จะคิดไม่ได้ว่าลูกชายของเธอที่ถูกลักพาตัวไปนั้นจะหน้าตาเป็นยังไง บุคลิกจะเป็นอย่างไร จะเติบโตมาแบบเจี่ยนซวงที่ไม่คิดอะไรและเข้าใจโลกของผู้ใหญ่ได้เร็วแบบนี้หรือเขาจะเป็นเด็กที่ช่างคิดกันนะ?

"หม่าม้าคะ งืมงืม ดอกไม้………." สองนิ้วของเจี่ยนซวงยกขึ้นพร้อมกับบีบดอกไม้เล็กๆนั้น เพื่อเป็นกาเตือนคนเป็นแม่ว่าอย่าลืมติดดอกไม้ให้เธอด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะก่อนที่จะหยิบดอกไม้จากมือของลูกน้อยเจี่ยนซวงขึ้นมา หลังจากที่เธอติดดอกไม้ให้เจี่ยนซวงแล้วเธอก็พูดขึ้นว่า : "ลองส่องกระจกสิคะ เป็นยังไงบ้าง?"

เจี่ยนซวงพยักหน้าก่อนที่จะพูดขึ้นด้วยรอยยยิ้มว่า : "หนูสวยจังเลยค่ะ"

จากนั้นเจี่ยนซวงก็จับผมเปียทั้งสองข้างของเธอพร้อมกับมองดูดอกไม้ที่ติดอยู่บนนั้น ก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า : "หม่าม้าคะ ดอกไม้สองดอกนี้เอาไปแลกของกินได้มั้ยคะ? หนูได้ยินเขาพูดกันว่า ดอกไม้อันนี้มีค่ากว่าสองพันหยวนเลยนะคะ สองพันกว่าหยวนซื้อเค้กกับนมได้เยอะแน่เลยค่ะ"

"ดอกไม้นี้คุณน้าเล่อเล่อเป็นคนให้หนูมานะคะ หนูชอบมันมั้ย?" เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนซวงพยักหน้าขึ้นลง : "ชอบค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : "งั้นก็พอแล้วค่ะ สิ่งของต่างๆมันสร้างขึ้นมาเพื่อมาสร้างความสุขให้กับคนเรา ถ้าหนูชอบมัน มันก็คุ้มแล้วค่ะ"

เจี่ยนซวงหันหน้ากลับมาก่อนที่จะเข้าไปอยู่ในอ้อมอกของคนเป็นแม่ ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ : "หม่าม้าคะ หม่าม้าเป็นคนทำให้หนูเกิดมามา หม่าม้ามีความสุขมั้ยคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าพร้อมกับพูกับลูกด้วยรอยยิ้ม : "มีความสุขมากๆค่ะ ซวงซวงเป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ห่าม้าได้รับในชีวิตนี้เลยค่ะ"

ถ้าหากเธอไม่มีซวงซวงล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วจินตนาการไม่ออกเลยว่าเธอจะผ่านสามปีที่ยาวนั้นมาได้อย่างไร แต่ตั้งแต่ที่เธอมีเจี่ยนซวงแล้ว ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะต้องอยู่ไปอีกนานแค่ไหนเธอก็จะยืนหยัดต่อไปได้

เจี่ยนซวงยู่ปากก่อนจะพูดด้วยเล็กๆขอเธอว่า : "หนูทำให้หม่าม้ามีความสุขมากขนาดนี้ หนูขออะไรหม่าม้าอย่างนึงได้มั้ยคะ?"

"ขออะไรคะ?" เจี่ยนอี๋นั่วถาม

"หม่าม้าเปลี่ยนชื่อให้หนูหน่อยได้มั้ยคะ?" เจี่ยนซวงหัวเราะเอิ้กอ้ากก่อนที่จะพูดขึ้นมาว่า : "หนูอยากชื่อว่า……….เจี่ยนมี่เซวี๋ยเอ๋อร์ค่ะ……….ชื่อนี้สิถึงจะเหมือนชื่อเจ้าหญิง พอหนูเป็นเจ้าหญิงแล้วหนูก็จะได้กินของอร่อยๆเยอะๆ"

"ไม่ได้ค่ะ" เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าเคร่งพร้อมกับพูดเสียงเข้ม

เจี่ยนซวงที่ได้ยินคนเป็นแม่อย่างเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้นก็สูดจมูกก่อนที่จะหดตัวตัวเองลงไป และไม่กล้าพูดเรื่องเปลี่ยนชื่ออีกเลย ถึงแม้จะมีบางครั้งที่เจี่ยนชวงนั้นจะซนเอามากๆ แต่ว่าเธอเองก็กลัวคนเป็นแม่อย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแค่เจี่ยนอี๋นั่วทำหน้าดุเท่านั้น เจี่ยนชวงก็ไม่กล้าดื้อหรือซนอีก

เจี่ยนซวงเงียบจนถึงเวลาของกิจกรรมตอนกลางคืน เธอถึงกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะว่าการได้อยู่ในเรือนจำนั้น มีเพียงกิจกรรมตอนกลางคืนเท่านั้นถึงจะสามารถดูหนังได้ และวันนี้เป็นวันที่มีรายการแอนนิเมชั่นที่ยาวถึงชั่วโมงครึ่งอีก เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนซวง เจี่ยนซวงก็หยิบเก้าอี้ของตนแล้ววิ่งไปประจำที่อย่างกระดี้กระด้า

เจี่ยนซวงหมกมุ่นอยู่กับการดูโทรทัศน์ เพื่อที่ตนจะได้ดูโทรทัศน์เจี่ยนซวงนั้นสามารถที่จะไม่กินขนมก็ได้ การที่เจี่ยนซวงนั้นเติบโตมากับการอยู่ในเรือนจำ เธอจึงสามารถเห็นโลกภายนอกอันกว้างขวางผ่านทางโทรทัศน์เท่านั้น ถึงแม้ว่ายังไม่มีการเปิดโทรทัศน์ ในตอนนี้ เจี่ยนซวงก็นั่งอยู่ยนเก้าอี้ตัวเล็กพร้อมกับวางมือทั้งสองข้างของตนบนเข่าเล็กนั้น พร้อมกับเงยหน้าและจับจ้องไปที่จอโทรทัศน์สีดำตรงหน้าเรียบร้อยแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วย่อตัวลงนั่งข้างลูกน้อย เธอมองไปที่เจี่ยนซวงก่อนจะยกยิ้มขึ้นมา จากนั้นก็เงยหน้าดูโทรทัศน์ เพียงผ่านไปได้ไม่นานโทรทัศน์ก็เปิด เจี่ยนซวงลืมตาโตและดูโทรทัศน์อย่างไม่กระพริบตาของตน ถึงแม้ตอนแรกโทรทัศน์นั้นจะเป็นข่าว แต่เจี่ยนซวงก็ดูอย่างตั้งอกตั้งใจ เธอดูไปด้วยพร้อมกับขยับปากน้อยๆของตนตามข่าว : "สถานการณ์ของประเทศกำลังอยู่ในช่วงที่ตึงเครียด ประเทศของเราก็กำลังเผชิญกับ…….."

เมื่อข่าวภายในประเทศได้จบลงก็เปลี่ยนเป็นข่าวในพื้นที่ทันที ผู้ประกาศข่าวนั้นรายงานข่าวประจำวันอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังยิ้มกับข่าวที่รายงานอยู่ พอได้ยินข่าวอีกอีกข่าวรอยยิ้มของเธอก็ค่อยๆหายไปทันที นั่นคือข่าวการฆ่าตัวตาย แต่คนที่ฆ่าตัวตายนั้นเป็นไปได้น้อยมากที่จะทำแบบนั้น เขาคือคนในตระกูลเหลิ่ง ภาพคนตายที่ถูกฉายผ่านทางโทรทัศน์นั้นทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงบางอย่าง ตอนที่เธอเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ตอนที่เธอเข้าร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเหลิ่งนั้นเธอเคยเห็นคนๆนี้มาก่อน คนๆนี้ถือว่าเป็นคนที่มีตำแหน่งในตระกูลเหลิ่งคนนึงเลยก็ว่าได้

แต่คนๆนี้กลับฆ่าตัวตายเนี่ยนะ และคนในตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้ผิดข่าวแต่กลับประกาศข่าวแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหลิ่งกันนะ?

"หม่าม้าคะ กระโดดตึกก็ตายแล้วหรอคะ?" เจี่ยนชวงเกาตาก่อนจะหันหน้ามาถามเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพยักหน้าช้าๆ : "ค่ะ เขาตายแล้ว"

เจี่ยนซวงเม้มปากก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำว่า : "ตายไปแล้วก็ไม่ได้กินอาหารอร่อยแล้วสิคะ คุณปู่คนนี้นี่โง่จริงๆเลย"

"อย่าไปว่าคนที่ตายไปแล้วแบบนั้นสิคะ" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนซวงยู่ปากและไม่กล้าพูดอีก หลังจากข่าวนั้นก็มีแต่ข่าวของตระกูลเหลิ่ง การปรับแผนของบริษัทเหลิ่งบ้าง ข่าวของคนในบ้านบ้าง ต่างก็ออกข่าวทั้งหมด ในตอนท้ายปรากฏให้เห็นใบหน้าซีดของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังเผชิญหน้ากับกลุ่มนักข่าว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเหลนักข่าวและรีบเดินเดินผ่านหน้านักข่าวเหล่านั้นไปด้วยใบหน้าที่เย็นชาของเขา

เหลิ่งเซ่าถิงดูซีดและผอมลงมาก ด้วยความเย็นชาของเขานั้นทำให้เขาดูเหมือนกันดาบที่คมกริบ

"หม่าม้าคะคนนั้นดูน่ากลัวจังเลยค่ะ เหมือนเขาจะดุเก่งมากๆ คนอื่นถามเขา เขาก็ไม่ตอบสักคำเลย ไม่มีมารยาท!" เจี่ยนซวงชี้ไปที่บุคคลในโทรทัศน์เหลิ่งเซ่าถิงก่อนจะพูดออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆหนึ่งทีก่อนจะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง แล้วหันหน้ามาพูดกับเจี่ยนซวงด้วยรอยยิ้มว่า "เขาน่าจะมีงานที่เขาต้องจัดการไงคะ ถึงไม่มีเวลามาตอบคำถาม"

เจี่ยนซวงเม้มริมฝีปากของตนเองก่อนจะบ่นออกมาว่า : "งั้นซวงซวงก็ยุ่งทั้งวันเหมือนกันนี่คะ เพราะซวงซวงต้องกินของอร่อยๆในทุกๆวัน แต่ซวงซวงก็ยังตอบคำถามที่หม่าม้าถามได้ ซวงซวงก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ…….."

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังสิ่งที่เจี่ยนซวงลูกสาวบ่นออกมา ในใจของเธอก็นึกถึงข่าวที่เพิ่งออกเมื่อกี้นี้ทันที เมื่อเทียบตระกูลเหลิ่งกับเศรษฐีตระกูลอื่นๆแล้วนั้นเทียบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ นอกจากงานแต่งงานของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อสองปีที่แล้วที่จัดอย่างยิ่งใหญ่อลังการ ก็น้อยมากที่ข่าวๆอื่นๆของตระกูลนี้จะถูกเปิดเผย ยิ่งเป็นข่าวเรื่องคนในตระกูลเหลิ่งฆ่าตัวตายอีก เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเหลิ่งกันนะ? มันดีกระตระกูลเหลิ่งหรือไม่ดีกับตระกูลเหลิ่งกันแน่?

แล้วก็ลูกอีกคนของเธออีกคนด้วย มันจะกระทบกับลูกของเธอมั้ยนะ?

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งอย่างเหม่อลอย เจี่ยนซวงที่ดูแอนนิเมชั่นจบแล้วนั้นพิงเข้าหาเจี่ยนอี๋นนั่วคนเป็นแม่ทันที ก่อนจะพูดเบาๆว่า : "หม่าม้าคะ หนูง่วงแล้วค่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วได้สติกลับมาก่อนจะหันไปอุ้มลูกน้อยแล้วเก็บเก้าอี้ พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มของเธอ : "โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้าพาซวงซวงไปนอนนะคะ"

เจี่ยนอี๋นั่วอุ้มลูกไว้อยู่ในอ้อมอก เจี่ยนซวงพิงไหล่ของคนเป็นแม่อย่างนุ่มนวล เจี่ยนอี๋นั่วถึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ปัญหาที่เธอคิดเมื่อกี้นั้นก็หายไป เธอไม่ควรคิดอะไรที่เกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็แต่งงานแล้ว แล้วก็เพิ่งมีลูกไป เธอจะเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกล่ะ? เหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธออยู่แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำงานแต่งที่ยิ่งใหญ่อลังการของเหลิ่งเซ่าถิงได้ดี ถึงแม้ว่าในข่าวได้เปิดเผยรูปเพียงส่วนหนึ่งของงานเท่านั้น แต่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความยิ่งใหญ่ของงานได้ เหลิ่งเซ่าถิงและภรรยาของเขาเหมือนกันเจ้าชายและเจ้าหญิงที่เดินไปท่ามกลางผู้คนที่อวยพแก่พวกเขา พร้อมกับดอกไม้ที่โปรยลงมาไม่หยุด

เหลิ่งเซ่าถิงและกู้เค่อหยิงนั้นเหมาะสมกันมากๆ ส่วนงานแต่งงานที่สวยงามของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นดูไร้ค่าเหลือเกิน

ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและภรรยาของเขากู้เค่อหยิงอย่างไม่ละสายตา สมองของเธอขาวโพลนไปหมด ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนตัวเองจะตายเลย แต่เธอก็ไม่เคยร้องไห้ฟูมฟายกับเจี่ยนซวงเลย การร้องไห้ในครั้งนั้นทำให้เธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

"หม่าม้าคะหนูรักหม่าม้านะคะ……." เจี่ยนซวงเอนตัวพิงบนร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับพูดออกมาพึมๆพำๆด้วยเสียงเล็กของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วที่ได้ยินที่เจี่ยนซวงพูด เสียงหัวเราะ "ฮิฮิ" ของลูกน้อยที่หลับอยู่บนไหล่ของเธอ ที่หลับไปด้วยพึมพำไปด้วยว่า : "อร่อยจัง…….อร่อยจริงๆเลย……..ซวงซวงจะกินให้หมดเลย!"

กู้เค่อหยิงมองการแสดงออกที่เย็นชาของเหลิ่งหมิงอันก่อนจะดึงจมูกของเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียที่โศกเศร้า : "แต่ฉันคิดถึงคุณนี่คะ เหลิ่งเซ่าถิงเย็นชามาก ฉันไม่รู้จะเข้าหาเขายังไงเลย เดทกับเขาก็ไม่ได้น่าสนใจอะไรเลยด้วย เขาเอาแต่อ่านหนังสือเช็คเอกสาร ฉันไม่อยากคบกันเขาเลยจริงๆนะคะ!"

แรกๆที่เธอพบเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงก็ดึงดูดเธอเหมือนกัน แต่เมื่อนานๆเข้าความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงก็ทำเอาเธอนั้นท้อทันที ถึงแม้ว่ากู้เค่อหยิงไม่ใช่คนขี้เล่นอะไรแต่เธอก็ทนไม่ได้ที่จะคบกับคนน่าเบื่ออย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้หรอก ถ้าเทียบกันแล้ว เหลิ่งหมิงอันที่คบกับเธอตอนที่เธอเรียนอยู่ต่างประเทศนั้นเข้ากันกับเธอและเข้าใจเธอมากกว่าอีก

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองกู้เค่อหยิงก่อนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน : "แต่ผมไม่ใช่ว่าที่ทายาทตระกูลเหลิ่งนะครับ"

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วมองไปที่กู้เค่อหยิง ก่อนจะถอนหายใจอย่างจนปัญญา : "นอกซะจากว่าคุณจะทำให้ผมกลาายเป็นทาญาติของตระกูลเหลิ่ง"

กู้เค่อหยิงมองหน้าเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนหวาน "ถ้าฉันช่วยคุณ คุณจะแต่งงานกับฉันมั้ยคะ?"

เหลิ่งหมิงอันขยับเข้าใกล้กู้เค่อหยิง กอนจะพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ : "คุณเคยได้ยินที่โบราณเขาว่ามั้ย ที่ว่าน้องแต่งเมียมั้ย? หลังจากที่พี่ชายตาย น้องชายก็สามารถคบกับพี่สะใภ้ต่อได้ ถ้าตอนแรกๆผมยังไม่แต่งกับคุณ มันก็ไม่ผิดศิลธรรมนะในบางที่"

ในขณะที่เหลิ่งหมิงอันกำลังพูดอยู่นั้นเขาส่งสายตาพร้อมกับยกยิ้มให้เธอที่ทำเอาคนมองนั้นหลงไหล เขาใช้น้ำเสียงที่ทุ้มต่ำของเขาพูดต่อ : "ผมอยากคบกับคุณจริงๆนะ แต่ผมต้งการความช่วยเหลือจากคุณ ดังนั้นคุณจะต้องอดทนนะครับ วันที่เราจะได้อยู่ด้วยกันอย่ามีความสุขมันอีกไม่นานแล้ว"

กู้เค่อหยิงถูกคำพูดของเหลิ่งหมิงอันนั้นทำเอาเธอรู้สึกวูบวาบไปหมด สายตาของเธอพร่ามัวไปหมด จนเหลิ่งหมิงถังนั้นเดินจากไป เธอถึงได้สติกลับมา เธอนึกถึงตอนที่เธอกับเหลิ่งหมิงอันแอบเดทด้วยกัน ทั้งๆที่รู้ว่าเธอจะต้องแต่งงานกับคนในตระกูลเหลิ่ง แต่ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก็ไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ แต่ทักษะการจูบของเหลิ่งหมิงอันนั้นดีมากๆ เพียงแค่จูบเดียวของเขาก็สามารถทำให้ร่างกายทั้งร่างของเธอนั้นอ่อนระทวยลงได้ กู้เค่อหยิงไม่อจจะคิดถึงมันเลยว่าถ้าเธอได้คบกันกับเหลิ่งหมิงอันอย่างเป็นทางการแล้วล่ะก็ เธอจะนั้นจะมีความสุขมากขนาดไหน

เหลิ่งหมิงอันก้าวออกไปไม่กี่ก้าว เขาก็ขมวดคิ้วด้วยความเบื่อหน่าย เขาเป็นคนเล้าโลมเก่ง แต่เขาก็เบื่อหน่ายพวกผู้หญิงที่ถูกเขาเล้าโลมเช่นกัน มีเพียงผู้หญิงคนเดียวเท่านั้นที่เวลาที่เธอต้องเผชิญหน้ากับเขาเธอจะไม่หลงเล่ห์เหลี่ยมของเขา แต่เธอนั้นจะยิ่งเกลียดเขามากกว่าเดิม

"เจี่ยนอี๋นั่ว……." เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นภายในของเขา

ตอนแรกเหลิ่งหมิงอันมีแผนที่จะพาเจี่ยนอี๋นั่วออกจากคุกในช่วงนี้ แต่เกิปัญปัญหาขึ้นกับเขาก่อน คุณนายเหลิ่งเอาแต่กลั่นแกล้งเขาอยู่อย่างนี้ จนทำให้เขารู้สึกหนักใจ จนไม่มีกำลังที่จะไปสนใจเรื่องของเจี่ยนอี๋นั่วเลย เหลิ่งหมิงอันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไหร่เขาจะมีโอกาสได้เจอกันกับเจี่ยนอี๋นั่ว

และเจี่ยนอี๋นั่วที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆที่เกี่ยวข้องกันกับตระกูลเหลิ่งแล้วนั้นจะมีอิสระภาพที่จำกัด แต่มันก็ทำให้ชีวิตของเธอในแต่ละวันนั้นมากกว่าเมื่อก่อน เมื่อกลับมาอยู่ในเรือนจำอีกครั้ง ชีวิตในเรือนจำของเธอนั้นก็น่าเบื่อมากกว่าเดิม ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกน้อย แต่เจี่ยนซวงลูกสาวของเธอนั้นไม่ได้อยู่อย่างสุข ดังนั้นเจี่ยนซวงนั้นจะเป็นเหมือนของเล่นที่เหล่านักโทษหญิงคอยเล่นและหยอกล้อด้วย

เจี่ยนซวงนั้นไม่ได้แปลกไปจากเด็กทั่วไป นอกจากเธอจะร้องไห้ตอนที่หิวนั้น เวลาอื่นๆเด็กน้อยก็ไม่นอน เพราะนักโทษหญิงต่างก็มาหยอกล้อจนหัวเราะไม่หยุด อีกทั้งเจี่ยนซวงก็งอแงติดใครเป็นพิเศษ เพียงแค่ให้นมเธอ เธอก็ให้กอดทันที

เยี่ยหมิงจูกอดเด็กน้อยเจี่ยนซวง ก่อนที่จะหัวเราะขึ้นมาอย่างอดใจไม่ไหว : "ยัยหนูคนนี้นี่ตะกละเสียจริง ไม่โตแล้วมั้งเนี่ย เอาขนมมาล่อสักสอสามชิ้นก็น่าจะโดนหลอกอุ้มไปแล้วนะเนี่ย"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นมองไปที่เจ้าเด็กอ้วนที่เป็นลูกสาวของเธอก่อนจะถอนหายใจ : "ฉันก็ว่าอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ต้องถึงกับเอาขนมมาล่อหรอก แค่ลูกอมก็น่าจะโดนหลอกอุ้มไปได้แล้วล่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดถึงหน้าตาของลูกเธอที่เกิดขึ้นจากตัวเธอและเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นจะมีลูกด้วยกัน เพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นทั้งเย็นชาและมีนิสัยที่ไม่เหมือนคนอื่น ตัวเธอเองก็ไม่นับว่าเป็นคนที่ไม่แยแสใคร แต่บุคลิกของเธอก็ไม่ถือว่าดีมากมายอะไร เด็กที่เกิดมากจากพวกเขาทั้งสองคนน่าจะคนเก็บตัวนะ

แต่ดูแล้วเจี่ยนซวงนั้นจะเป็นเด็กโง่ที่ไม่คิดอะไรมากอย่างนั้นเลย ไม่เหมือนลูกสาวของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเลยแม้แต่ครึ่งเดียว ถ้าไม่ใช่เพราะดวงตาของเจี่ยนชวนที่นับวันยิ่งเหมือนเหลิ่งเซ่าถิง คางกับปากไม่เหมือนเธอล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วคงคิดว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นเด็กที่ถูกสลับตัวกับลูกเธอแน่

ราวกับว่าเจี่ยนซวงนั้นจะเข้าใจในสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วผู้เป็นแม่พูด ก่อนที่จะหันหน้ามาทางเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดคำว่า "พี" ขึ้นมา พร้อมกับฟองน้ำลายน้อยๆที่ออกมาด้วย เพื่อแสดงออกว่าเด็กน้อยไม่เห็นด้วย

เยี่ยหมิงจูกอกเด็กน้อยเจี่ยนซวงแน่นมากขึ้น ก่อนจะพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม : "ดูสิ ลูกเธอไม่ยินดีที่จะฟังเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วมองดวงตาของเด็กน้อยที่เหมือนเหลิ่งเซ่าถังเกือบทั้งหมด ก่อนจะยกยิ้มอยากอดใจไม่ได้ ถึงแม้ว่าดวงตาของเจี่ยนซวงนั้นจะกลมมากกว่าเหลิ่งเซ่าถิงมาเล็กน้อย แต่หางตาของกลับยกขึ้นเหมือนกัน พร้อมกับขนตาที่ยาวดกดำเป็นแพ และคิ้วที่ดกยาวนั้น

หลังจากที่เธอมีลูกแล้วนั้น ดูเหมือนว่าเวลามันผ่านไปไวเอามากๆ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นลูกน้อยเจี่ยนซวงตั้งแต่พลิกตัวได้ เดินเองได้ ฟันน้ำนมขึ้น จนพูดได้และเรียกคนอื่นๆว่าแม่เพื่อขอของกิน เหมือนเวลามันผ่านไปเพียงไม่นานแต่จริงๆแล้วมันกลับผ่านมาเป็นระยะเวลากว่าสามปีแล้ว

ถึงแม้เด็กน้อยเจี่ยนซวงในวัยสามขวบที่ได้รับการถ่ายทอดพันธุกรรมมาจากพ่อแม่นั้น แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไว้เลยว่าลูกน้อยจะสวยน่ารัก เจี่ยนชวงนั้นเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมที่ได้รับมาจากพ่อกับแม่อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้งสำหรับนักโทษนั้นจะมองเจี่ยนชวงเป็นเด็กที่น่ารักน่าชัง และเติบโตมาเป็นเด็กตัวอ้วนกลมอย่าที่พวกเขาคิดไว้ไม่มีผิด

"คุณแม่ผู้คุมคะ หนูขออะไรกินหน่อยได้มั้ยคะ วันนี้เป็นวันเกิดของซวงซวง ซวงซวงไม่มีแม้แต่เค้กสักก้อนเลยค่ะ ซวงซวงน่าสงสารมากๆ" เจี่ยนซวงพูดขึ้น ก่อนจะยู่ปากแล้วทำหน้าเหมือนจะร้องไห้

ผู้คุมนักโทษมองดูเด็กน้อยเจี่ยนซวง ก่อนจะหันหลังหยิบเค้กมาวางไว้บนมือของเจี่ยนซวง แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า : "เอาไปกินนะ อย่าให้แม่ของหนูเห็นล่ะ ไม่อย่างนั้นแม่ต้องโดนดุอีกแน่"

เจี่ยนซวงรับเค้กมาด้วยความเศร้าใจก่อนจะพยักหน้าลง ก่อนจะแทะที่มุมเค้กไปคำนึง พร้อมกับทำหน้ามุ่ย : "คุณแม่ผู้คุมมีนมมั้ยคะ? ซวงซวงอยากดื่มค่ะ"

"โอ้ เกือบลืมไปเลย กินแค่เค้กได้ยังไงกัน เดี๋ยวคุณแม่คนคุมจะหยิบนมให้นะ!" เธอรีบหยิบเอานมก่อนจะยื่นให้เจี่ยนซวง

เจี่ยนซวงรับเค้กกับนมมาไว้ในอ้อมกอดตัวเอง เธอกระพริบตาก่อนจะเข้าไปในอ้อมอกของผู้ควบคุมนักโ​ทษ : "คุณแม่ผู้คุมคือแม่ของซวงซวง ชีวินี้ซวงซวงจะไม่ลืมความเมตตาของคุณแม่นะคะ! ชาติหน้าซวงซวงจะเกิดมาเป็นลูกของคุณแม่ผู้คุมนะ"

ผู้คุมนักโทษยิ้มก่อนจะกอดเจี่ยนซวง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้น "ไม่รู้มาก่อนเลยนะเนี่ยว่าซวงซวงจะมีมโนธรรมขนาดนี้"

"เจี่ยนซวง! หนูทานเค้กไปกี่ก้อนแล้วคะ? กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!" เจี่ยนอี๋นั่วที่เคยสัญญากับลูกว่จะเป็นแม่ที่ใจดีนั้นเมื่อเห็นว่าลูกน้อยขอของกินจากคนอื่นแบบนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเสียงดังขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นประเมินความรับผิดชอบในการเป็นแม่ของเธอน้อยไป จะให้ยิ้มให้ลูกอย่างเดียวได้ยังไงกันล่ะ เด็กอย่างเจี่ยนซวงน่ะ ถ้าเอาแต่หยอกล้อยิ้มด้วยอย่างนั้นล่ะก็ เด็กน้อยจะได้ใจเกินไป

"ไอ้หย่า ไปว่าลูกแบบนั้นได้ยังไงกัน ซวงซวงเป็นเด็กดีจะตายไป ต้องตามใจสิ"

"ก็ใช่ไงคะ ซวงซวงมานี่เลยค่ะ หม่าม้าจะตามใจหนู ตรงนี้มีของกินอร่อยเยอะเลย กินเยอะๆนะคะ"

………….

ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋นั่วสอนลูกนั้นเหล่าแม่ๆทั้งหลายก็จะออกตัวปกป้องเจี่ยนซวงตลอด

เจี่ยนซวงมองไปที่คนเป็นแม่ที่ช่วยปกป้องเธอ ก่อนจะหันไปมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วผู้เป็นแม่แท้ๆที่เพิ่งดุเธอไป ถึงแม่ว่าเธอยังเด็ก แต่เจี่ยนซวงนั้นพบเจออะไรมากมายภายในเรือนจำก็แยกแยะสถานการณ์อย่างรวดเร็ว เธอรีบโค้งคำนับผู้คุมนักโทษ ก่อนจะพูดขึ้นว่า "คุณแม่ผู้คุมคะ ดูเหมือนซวงซวงจะให้คุณแม่มาเป็นแม่แท้ๆของซวงซวงไม่ได้แล้ว แม่แท้ๆของหนูดุเกินไปค่ะ หนูต้องกลับไปแล้ว"

เพียงเจี่ยนซวงพูดจบก็เดินออกไปหาเจี่ยนอี๋นั่วทันที ก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นว่า : "หนูผิดไปแล้วค่ะหม่าม้า หม่าม้าอย่าโกรธนะคะ ถ้าหม่าม้าโกรธ หนูจะปวดใจมากๆ"

เป็นเพราะเจี่ยนซวงนั้นโตในเรือนจำ ได้พบเจอกับคนจำนวนมากจึงทำให้เธอพูดอย่างคล่องแคล่ว และพูดได้เร็ว ตอนนี้ปากเล็กของเธอนอกจากจะกินแล้วก็กินแล้ว ก็ยังพูดไม่หยุดอีกด้วย ตอนแรกที่เจี่ยนซวงออดอ้อนเจี่ยนอี๋นั่วนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ใจอ่อนกับคำพูดของลูกสาว ไม่เพียงเท่านั้นใบหน้าของเธอก็แดงไปหมด เธอรู้สึกว่าถึงแม้ว่าลูกสาวจะกินเยอะแล้วก็ไม่สนใจเรื่องอะไรเท่าไหร่ แต่เด็กน้อยเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอนั้นรู้เรื่องมากๆ แต่คำพูดเหล่านี้ที่ทำให้เธอใจอ่อนนั้น ฟังมาแล้วกี่สิบรอบเธอก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นคำพูดที่ลูกสาวเอาไว้เล้าโลมเธออยู่ดี!

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วมองไปที่เจี่ยนซวง ก่อนที่จะถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม : "หม่าม้าถามหน่อยค่ะ วันนี้หนูกินเค้กไปกี่ชิ้นแล้ว?"

เจี่ยนซวงดึงเสื้อของตัวเองเพื่อปกปิดท้องน้อยที่นูนขึ้นของเธอ ก่อนจะยกนิ้วชี้ขึ้น เมื่อเจี่ยนซวงเห็นการแสดงออกที่เคร่งขรึมของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนซวงก็ยกนิ้วอ้วนๆของตัวเองขึ้นมาอีกหนึ่งนิ้ว สุดท้ายแล้วเจี่ยนชวงก็ถอนหายใจออกมา ก่อนที่จะยกนิวขึ้นมาสี่นิ้วอย่างจำใจ จมูกของเธอแดงก่อนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แล้วพูดว่า : "สี่ค่ะ หนูกินเค้กไปสี่ชิ้นแล้ว"

"จริงหรอคะซวงซวง?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเจี่ยนซวง พร้อมกับถามเธอด้วยเสียงเข้ม

เจี่ยนซวงเม้มปากก่อนจะก้มหัวลง แล้วสูดจมูกพร้อมกับพูดขึ้นว่า : "หกชิ้นค่ะ แต่ว่าเป็นเค้กก้อนเล็กๆนะคะหม่าม้า เท่าฝ่ามือของหนูเองนะ"

เจี่ยนซวงพูดก่อนจะยกนิ้วอ้วนของเธอขึ้นมาก่อนจะทำท่าว่าเค้กที่เธอกินเข้าไปนั้นมันเล็กขนาดไหน แม้แต่ตัวเธอก็หดจนเหลือตัเท่าลูกชิ้นด้วย

จากนั้นเจี่ยนซวงก็เงยหน้าขึ้นมามองท่าทีของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะรีบพูดขึ้นมาว่า : "หม่าม้าคะ หนูรักหม่าม้านะคะ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเจี่ยนชวงคนเป็นลูก ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงเข้ม : "รู้ว่าตัวเองกินเยอะแบบนี้แล้วจะเป็นยังไง?"

"หนูจะมีความสุขค่ะ!" เจี่ยนซวงพูดขึ้นพร้อมกับหัวเราะเอิ้กอ้าก

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจพร้อมกับระงับความโกรธของตัวเอง แล้วถามด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : "แล้วยังไงต่อคะ……"

"แล้วหนูจะปวดท้องค่ะ…….." เจี่ยนซวงก้มหน้าลงพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ; "แต่หนูก็ยังกินอีก"

เจี่ยนซวงกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงเบาของเธอ : "วันนี้เป็นวันเกิดของซวงซวงนี่คะ เลยกินไปหลายชิ้น หนูยอมทนปวดท้องก็ได้ค่ะ ซวงซวงเป็นเด็กที่แข็งแกร่งมากๆ ไม่กลัวว่าจะปวดท้องหรอกค่ะ"

"เรื่องความแข็งแกร่งเขาไม่ได้วัดกันตรงนี้นะคะ!" เจี่ยนอี๋นั่วจนปัญญาจึงได้แต่ถอนหายใจ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วสามารถเดินได้แล้วนั้น ผู้คุมถึงได้พาเจี่ยนอี๋นั่วไปหาลูกสาวของเธอเจี่ยนซวง ถึงแม้ว่าเจี่ยนชวงคลอดก่อนกำหนด แต่เธอก็กินนอนได้อย่างปกติ ตื่นนอนก็กินนมแล้วก็หลับตานอนหลับต่อ แม้แต่แพทย์และพยาบาลต่างก็พูดกันว่าไม่ค่อยพบเห็นเด็กในลักษณะนี้เลย ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วไปดูเจี่ยนซวงลูกสาวของเธอ ลูกสาวตัวน้อยนั้นยังคงนอนอยู่ มีลืมตาขึ้นมาบ้างในบางที ลูกน้อยเอียงหัวมาทางเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็หาวขึ้นมาทีหนึ่ง ก่อนที่จะหลับตาลงไปอีกครั้งอย่างเกียจคร้านแล้วก็หลับไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะหัวมามองพยาบาลพร้อมกับถามขึ้นเบาๆ : "นี่มันปกติมั้ยคะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยมีลูกมาก่อนจึงหลีเลี่ยงไม่ได้ที่จะสงสัย เธอมองลูกน้อยเจี่ยนซวงที่ดูเงียบจนแปลกไป จึงถามพยาบาลขึ้นด้วยความที่อดสงสัยไม่ได้

พยาบาลส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้เธอก่อนจะพูดว่า : "นอนกลับดื่มนมแบบนี้เป็นเรื่องปกติของเด็กค่ะ จะกินเยอะค่ะ ตอนนี้ยังไม่เป็นอะไร แต่โตแล้วต้องควบคุมหน่อยนะคะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ต้องกลายเป็นเด็กสาวตัวอ้วนแน่ค่ะ"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินพยาบาลพูดเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา : "ถึงว่าล่ะตอนท้องฉันถึงได้กินเก่ง ที่แท้ก็เพราะลูกนี่เอง"

ตั้งแต่ที่เธอคลอดลูก เธอก็อยากอาหารน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด จนร่างกายของเธอนั้นผอมลงอย่างรวดเร็ว ตอนที่เธอท้งเธอกินเก่งมากๆ ก็เพราะว่าเจ้าเด็กน้อยเจี่ยนซวงนี่เอง

เจี่ยนอี๋นั่วมองลูกสาวตัวน้อยเจี่ยนซวงที่อยู่ในตู้อบอย่างไม่มีทางเลือก เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือของเธอของเธอขึ้นมาสัมผัสตู้อบนั้น นี่เธอไม่ได้เจอลูกแค่ไม่กี่วัน เจี่ยนซวงลูกสาวของเธอสวยขึ้นกว่าตอนที่เพิ่งคลอดตั้งเยอะเลย ขนตาก็ยาว เมื่อดูปากเล็กของลูกแล้วต้องยิ้มสวยมากแน่ๆ ดูแล้วจะเป็นสาวแซ่บไม่น้อย ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาของลูกนั้นจะยังไม่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนก็ตาม นอกจากขนตายาวๆของลูกแล้ว ที่อื่นก็ไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเลย แต่เห็นได้ชัดว่าริมฝีปากกับคางเล็กนั้นเหมือนคนเป็นแม่มากๆ

"เจี่ยนซวง……..ซวงซวง…….." เจี่ยนอี๋นั่วเรียกชื่อลูกสาวของเธอ

เด็กน้อยที่นอนอยู่ในตู้อบหาวขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะเหยียดแขนของเธอแล้วก็หลับตาลง ตอนนี้แหละที่เจี่ยนชวงแสดงออกว่าไม่ได้สนใจเธอเลย เพียงแค่ได้กินอิ่มนอนหลับ ถึงแม่มีคนเป็นแม่มาอยู่ตรงหน้า ก็มาหยุดความอยากนอนของเธอไม่ได้หรอกนะ

เจี่ยนอี๋นั่วดูลูกได้อีกสักพัก พยาบาลก็พาเธอกลับไปที่ห้องพักผู้ป่วยทันที หลังจากที่เธอกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วยแล้ว เธอก็เห็นผู้ชายสวมชุดสูทยืนรออยู่ในห้องนั้นแล้ว เมื่อผู้ชายคนนั้นเห้นเจี่ยนอี๋นั่วเขาก็ถามเธอด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาทันทีว่า "สวัสดีครับ คุณใช่คุณเจี่ยนอี๋นั่วมั้ยครับ?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ "ฉันคือเจี่ยนอี๋นั่วค่ะ คุณมีอะไรรึเปล่าคะ?"

ผู้ชายคนนั้นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชาก่อนจะพูดขึ้นมาว่า : "ผมเป็นทนายของตระกูลเหลิ่งครับ นามสกุลกัว ผมมีเอกสารมาให้คุณเซ็นต์น่ะครับ?"

"คะ?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "ตระกูลเหลิ่งมีอะไรรึเปล่าคะ ถึงต้องให้ฉันเซ็นต์เอกสารด้วย?"

ทนายกัวมองไปที่กุญแจมือที่ยังคงอยู่ที่ข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า : "คุณเจี่ยนครับ มีบางเรื่องที่เราสมควรที่จะจบมันลงซะ จากสถานะที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้ ตระกูลเหลิ่งสามารถที่จะไม่ตามรูปแบบนี้ได้นะครับ แต่คุณนายเหลิ่งก็ยังส่งผมมมาเพื่อให้คุณเซ็นต์เอกสารนี้ คนในตระกูลเหลิ่งไม่ได้ใจกว้างกับคุณอีกต่อไปแล้วนะครับ คุณเองก็น่าจะรู้ในส่วนนี้ดี"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วใส่ทนายกัว ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าขึ้นลง "ค่ะ คนในตระกูลเหลิ่งน่ะใจกว้างมากๆ ฉันรู้ค่ะ แล้วเอกสารที่จะให้ฉันเซ็นต์คือเอกสารอะไรคะ?"

"ฉบับนึงคือใบหย่า อีกใบคือเอกสารเกี่ยวกับลูกสาวของคุณเจี่ยนซวงจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งครับ" ทนายกัวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องทนายกัวกอ่นที่เธอจะขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับถามไปว่า "การหย่าร้างของฉันกับเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่เสร็จสิ้นอีกหรอคะ? ตอนที่ฉันหย่ากับเขา มีแค่ฉันนะคะที่เซ็นต์ ถ้าพูดตามกฏหมายแล้วยังไม่ถือว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกันแล้ว ตอนนี้เราก็หย่ากันเรียบร้อยไปแล้ว ทำไมยังต้องผ่านขั้นตอนที่คลอบคลุมพวกนี้อยู่อีกหรอคะ?"

นี่เป็นการบอกเจี่ยนอี๋นั่วว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่เกี่ยวข้องกับอีกต่อไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วมองดูเอกสารสัญญา เรื่องการเซ็นต์บหย่านั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากอะไร แต่เอกสารที่บอกว่าลูกของเธอไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งนั้นมันซับซ้อนมากๆ นี่เป็นเหมือนการขอที่ไม่ให้เจี่ยนอี๋นั่วบอกลูกสาวของตนเจี่ยนซวงว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพ่อของเธอน่ะสิ ตระกูลเหลิ่งนั้นรอบคอบจริงๆ กลัวว่าเธอจะใช้ลูกสาวเป็นเครื่องมือขอผลประโยชน์จากตระกูลเหลิ่งอย่างนั้นหรอ?

ทนายกัวหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า "คุณนายเหลิ่งพูดเอาไว้ว่า ถ้าคุณไม่ยินยอมเซ็นต์เอกสารนี้ ทางเราจะพิจารณาต่อสู้เพื่อสิทธิในการดูแลเลี้ยงดูลูกสาวของคุณเจี่ยนซวง เพื่อที่คุณจะไม่ได้เจอหน้าลูกสาวของคุณอีก ถ้าเกิดตระกูลเหลิ่งจะแข่งกับคุณเพื่อได้สิทธิ์ในการดูแลเลี้ยงดูเด็กคนนี้ คิดดูสิครับ ครอบครัวเศรษฐีที่ร่ำรวยเป็นร้อยล้านกับผู้หญิงอย่างคุณ คุณไม่มีทางชนะแน่นอนครับ แล้วถ้าเจี่ยนซวงลูกสาวของคุณได้กลับไปอยู่กับตระกูลเฉิน ลูกสาวของคุณจะถูกปฏิบัติเลี้ยงงดูยังไงผมไม่รู้หรอกนะครับ แต่ผมรับประกันได้แน่นอนว่าคงจะไม่ดีแน่ๆ ส่วนตัวผมแล้วผมขอแนะนำคุณว่าอย่าหวังว่าจะอาศัยลูกของคุณเพื่อเข้ามาอยู่ในตระกูลเหลิ่งเลยครับ เพราะตระกูลเหลิ่งไม่ได้สนใจเด็กผู้หญิงหรอก! ถ้าหากคุณยังดื้อด้านและคุณยังไม่ฉลาดกับเรื่องของลูกสาวคุณ ผมทำงานให้กับตระกูลเหลิ่งมาก็พักนึงแล้ว คุรก็น่าจะรู้ว่างบางทีการเป็นลูกสาวของหญิงสาวของนักโทษยังดีกว่าไปเป็นคุณหนูที่ถูกทารุณในตระกูลเหลิ่งอีกนะครับ

"ที่ฉันตั้งชื่อลูกของฉันว่าเจี่ยนซวงก็เพราะว่าไม่อยากให้ลูกองฉันเกี่ยวข้องกับตระกูงเหลิ่งอีก" เธอพูดด้วยน้ำเสียงเข้มจนจบ ก่อนที่จะหยิบปากกาขึ้นมาเซ็นต์เอกสารนั้น

เพียงเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเอกสารการหย่าร้างเท่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดชะงักไปชั่วขณะก่อนที่เธอจะเซ็นต์ชื่อของตนเองลงไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเซ็นต์เรียบร้อยแล้ว เธอก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจทันที ตั้งแต่วินาทีนั้นมา ความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีกต่อไป

แล้วเจอกันนะ เหลิ่งเซ่าถิง

ไม่สิ อาจจะไม่เจอกันอีกเลยต่างหาก

เมื่อทนายกัวออกไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ที่หน้าต่างอยู่นาน เธอมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง มองดูผู้คนที่ผ่านไปมาอย่างไม่ขาดสายข้างนอกหน้าต่าง ไม่มีวี่แววของเหลิ่งเซ่าถิงเลยแม้แต่นิดเดียว

ทนายกัวเอาเอกสารที่ให้เจี่ยนอี๋นั่วเซ็นต์มาให้คุณนายเหลิ่ง ก่อนจะพูดกับเธอด้วยความเคารพ "คุณนายเหลิ่ง เอกสารฉบับนี้ได้เซ็นต์เรียบร้อยแล้วครับ"

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองเอกสารนั้น ก่อนที่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "ให้เซ่าถิงดูรึยัง?"

ทนายกัวพยักหน้า : "ให้ดูหมดแล้วครับ"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วใส่ทนายกัวก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ "แล้วเซ่าถิงว่ายังไงบ้าง?"

ทนายกัวตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ "ท่านประธานเหลิ่งไม่ได้ว่ายังไงครับ แค่รีบดูรายละเอียด พยักหน้าแล้วก็เอาเอกสารนี้วางทิ้งข้างๆทันทีครับ"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วก่อนจะเม้มปากแล้วถอนหายใจ "ดูเหมือนว่าเซ่าถิงจะไม่สนใจยัยผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วแล้วนะ"

ใบหน้าของคุณนายเหลิ่งสับสนเล็กน้อย ถือว่าเป็นการได้รับความพอใจสำหรับเธอ และเพียงผ่านไปไม่นานเธอก็ได้รับชัยชนะ เธอก็เหมือนกับแม่ทัพที่ผ่านศึกมามากมาย ไม่มีใครที่สามารถหยุดเธอได้ ตอนที่เธอจัดการพวกศัตรูนั้น อาจจะมีความรู้สึกโดดเดี่ยวเล็กน้อย พบเจอกับความยากลำบากบ้าง แต่มันเป็นสิ่งที่น่าสนุกสำหรับเธอ และเธอก็ชนะมันได้อย่างง่ายดาย แต่ที่น่าเสียดายก็คือเด็กชายที่เกิดจากเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเหลิ่งหมิงอันลักพาตัวไปหรือว่าถูกฆ่าไปแล้วกันแน่ หรือเหลิ่งหมิงอันจะพาเขาไปหลบอยู่ที่ไหน

สถานการณ์แบบนี้ ทำให้คุณนายเหลิ่งนั้นรู้สึกเบื่อเล็กน้อย คุณนายเหลิ่งไม่ชอบให้คนอื่นมาขัดใจเธอ แต่เธอมีวามสุขเวลาที่มีคนมายั่วยุเธอแล้วก็ถูกเธอจัดการทิ้งซะ นี่เป็นเหมือนสิ่งสิทธิที่เธอมี

เมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู คุณนายเหลิ่งก็รีบลุกขึ้นยืนทันทีก่อนจะยิ้มแล้วตอบไป : "เข้ามาสิ"

กู้เค่อหยิงที่มาพร้อมใบหน้าสวยและชุดเดรสสีขาวของเธเดินเข้ามาพร้มกับรอยยิ้ม ก่อนจะพูดกับคุณนายเหลิ่งพร้อมกับยิ้มขึ้นมา "คุณนายเหลิ่งคะ หนูมาหาแล้วค่ะ"

เมื่อเทียบกับเจี่ยนอี๋นั่วก่อนหน้านี้ หลังจากที่กู้เค่อหยิงเรียนจบแล้วเธอก็เรียนรู้การทำอาหาร การถักไหมพรม การจัดดอกไม้ต่างๆ โดยที่เธอไม่เคยได้ทำงานเลย เพื่อเป็นการเตรียมตัวก่อนที่จะเข้ามาเป็นสะใภ้ตระกูลเหลิ่ง ราวกับว่าเธอเป็นดอกไม้ที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในกระถาง ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะมีพฤติกรรมที่มีกาลเทศะ แต่ในการวางตัวนั้น เธอเป็นคนขี้อายและไม่ค่อยกล้าแสดงออกเท่าไหร่ จึงทำให้เธอนั้นดูบอบบางและน่ารักมาก

คุณนายเหลิ่งมงกู้เค่อหยิงด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า : "ลำบากหนูแย่เลย มา มาหาย่ามา"

กู้เค่อหยิงลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วเดินไปหาคุณนายเหลิ่งทันที คุณนายเหลิ่งรีบจับมาของเธอทันทีก่อนที่จะถามเธอ : "เป็นยังไงบ้าง? ความสัมพันธ์ของหนูกับเซ่าถิงช่วงนี้ดีมั้ย? ในอนาคตหนูก็ต้องดูแลเซ่าถิงแล้ว หนูกับเซ่าถิงต้องเข้ากันดีๆนะ จริงๆแล้วย่าน่ะวางใจหนูมากๆนะ จากบุคลิกของหนูแล้ว ต้องเข้ากันได้ดีกับเซ่าถิงมากแน่ ไอหย่า ย่าแก่แล้วน่ะ เลยพูดจาจู้จี้หน่อย"

ในเวลาแบบนี้คุณนายเหลิ่งเป็นเหมือนผู้อาวุโสที่ใจดีและอ่อนโยน เหมือนกันตอนที่เธอเจอกับเจี่ยนอี๋นั่วครั้งแรก กู้เค่อหยิงก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : "หนูรู้ค่ะว่าที่คุณนายเหลิ่งพูดแบบนี้เพราะว่าหวังดี หนูจะพยายามเข้ากันกับเขา………ให้ดีที่สุดค่ะ………"

"เขาที่ว่าน่ะใคร? ต้อบอกชื่อด้วยสิ" คุณนายเหลิ่งหรี่ตมองก่อนจะยิ้มขึ้นด้วยความเอ็นดู "แล้วก็ไม่ต้องเรียกย่าว่าคุณนายเหลิ่งแล้วนะ ให้เรียกว่าคุณย่าเข้าใจมั้ย เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไม่ใช่หรอ?"

กู้เค่อหยิงพยักหน้าอย่างเขินอายก่อนจะก้มหน้าลง คุณนายเหลิ่งยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วพูดขึ้นว่า : "นานๆทีหนูจะมาที่นี่ทีนึง ไปเดินดูรอบๆคฤหาสน์หน่อยมั้ย อีกหน่อยหนูก็ต้องเข้ามาอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเกรงใจนะ เดินดูรอบๆได้เลย จะได้คุ้นเคย"

กู้เค่อหยิงพยักหน้าขึ้นลง ก่อนจะยิ้มแล้วเดินออกไป เธอออกจากตัวคฤหาสน์ ในขณะที่เธอเตรียมตัวเดินเข้าไปที่สวนดอกไม้ เหลิ่งหมิงอันก็เดินมาข้างหน้าของเธอ กู้เค่อหยิงเบิกตาโต ก่อนจะพูดกับเหลิ่งหมิงอัน ; "คุณกลับมาแล้วหรอคะ? บังเอิญจังเลยนะคะ ฉันก็มาหาคุณนาย……เอ่อ คุณย่าเหมือนกันค่ะ……"

"อ๋อ พี่สะใภ้นี่เอง" เหลิ่งหมิงอนมองกู้เค่อหยิง ก่อนจะพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม

ใบหน้าของกู้เค่อหยิงแสดงออกถึงความเศร้าเล็กน้อย ก่อนจะพูดเสียงต่ำ : "ฉันยังไม่ได้แต่งงานเข้ามาในบ้านนี้เลยนะคะ"

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้าขึ้นลงก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : "ครับ ผมครเรียกว่าว่าที่พี่สะใภ้สินะ"

กู้เค่อหยิงเห็นว่ารอบๆไม่มีคนจึงมองไปที่เหลิ่งหมิงอันแล้วกระซิบไปว่า : "ขี้แกล้งคนอื่นจริงๆเลย เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด"

เหลิ่งหมิงอันลดใบหน้าของเขาต่ำลงก่อนจะพูดด้วยความเย็นชา : "ต่อไปอย่าพูดอะไรแบบนี้กับผมอีกนะครับ ที่นี่เป็นที่ของตระกูลเหลิ่ง ลองคิดดูนะครับการที่คุณเป็นว่าที่ภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมันยากขนาดไหน อย่าทำลายทั้งหมดนี้อย่างง่ายดายเลยครับ"

คุณนายเหลิ่งเอาแต่นั่งอยู่ในห้องไม่ขยับเขยื้อนไปไหนราวกับศพ คนรับใช้ของเธอเคาะประตูแต่คุณนายเหลิ่งเพียงตะโกนตอบออกไปด้วยระดับเสียงที่ดังๆ : "ไม่ต้องเข้ามา ไม่ต้องเข้ามาสักคน"

คุณนายเหลิ่งไม่สามารถให้คนอื่นเห็นเธอในสภาพที่แก่เช่นนี้ได้ เธอเป็นเป็นเหมือนผู้นำของตระกูลเหลิ่งมาโดยตลอด เธอจะแก่ลงไปแบบนี้ได้ยังไงล่ะ? จะให้คนที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเธอตกใจกับเธอในสภาพแบบนี้ได้ยังไง?

เมื่อคนใช้ไม่สามารถเปิดประตูเข้าไปได้ จึงทำได้เพียงไปหาเหลิ่งเซ่าถิง ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็รีบขึ้นไปหาคุณนายเหลิ่งหน้าประตูห้องของเธอทันที ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงทุ้มของเขาไปว่า : "คุณย่าครับ ผมเซ่าถิงเองนะครับ คุณย่าเป็นอะไรรึเปล่าครับ? ผมขอเข้าไปหาคุณย่าหน่อยได้มั้ย?"

คุณนายเหลิ่งตะโกนเสียงดังกลับมา "เธอก็ห้ามเข้ามา ห้ามพวกเธอทุกคนเข้ามา!"

เหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู เมื่อรับรู้ถึงความผิดปกติภายในห้องของผู้เป็นย่าเข้าก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที เขาพอจะเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้นภายในห้อง เขาขมวดคิ้วอีกครั้งก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ พร้อมกับถามไปว่า : "คุณย่าครับ เสื้อผ้าที่คุณย่าสั่งมาถึงแล้วนะครับ ให้ผมเอาเข้าไปให้คุณย่าลองนะครับ"

เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนั้นเธอก็พยักหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยเสียงทุ้มว่า : "เอาเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วก็วางไว้หน้าประตูเลย แล้วก็ออกไปซะ ย่า…….ย่าอารมณ์ไม่ค่อยดี อยากอยู่เงียบๆคนเดียว"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดเบาๆ : "งั้นผมไปก่อนนะครับคุณย่า ถ้าคุณย่ามีอะไรก็ค่อยเรียกผมนะครับ"

คุณนายเหลิ่งไม่ได้ตอบอะไรกลับไป เธอยังคงนั่งเหม่ออยู่เช่นเดิมก่อนจะสูดจมูกแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำอย่างสั่นๆว่า : "ฉัน ฉันไม่ต้องการพวกเธอ เพราะฉันทำคนเดียวได้ ฉัน……ทำเองได้……"

เมื่อผ่านไปได้สักพัก คุณนายเหลิ่งถึงได้ลุกขึ้นมาแล้วตรงไปเปิดประตู เธอเห็นเสื้อผ้าวางอยู่หน้าห้องอย่างเป็นระเบียบชุดหนึ่ง ข้างๆยังมีชาร้อนๆอีกแก้ว คุณนายเหลิ่งรีบหยิบเสื้อผ้าและแก้วชาแก้วนั้นแล้วกลับเข้าห้องทันที ก่อนที่จะปิดประตูอีกครั้ง แล้วค่อยเปลี่ยนเสื้อผ้าของเธอ จากนั้นเธอก็นำเสื้อผ้าที่สวมใส่ไปแล้วของเธอห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ แล้วจึงดื่มชาก่อนที่เธอจะสงบลง

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาเธอก็หยิบโทรศัพท์ทันทีก่อนที่จะโทรไปที่ห้องคนรับใช้ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น "ขึ้นมาหาฉันคนนึง ขึ้นมาทำความสะอาดห้องให้ฉัน เมื่อกี้ฉันไม่ทันระวังเลยทำน้ำชาหก"

ทันใดนั้นสาวรับใช้สองคนก็รีบขึ้นไปตามคำสั่งทันที หลังจากที่พวกเธอทำความสะอาดห้องใหุ้ณนายเหลิ่งเสร็ยเรียบร้อยแล้ว ก็นำเสื้อผ้าที่คุณนายเหลิ่งใส่แล้วนั้นก่อนจะเตรียมตัวออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งไป จู่ๆคุณนายเหลิ่งก็พูดกับพวกเธอด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นไปว่า "แค่น้ำชาหกเข้าใจมั้ย? ถ้าฉันได้ยินอะไรที่นอกเหนือจากนี้ ระวังชะตากรรมของพวกเธอไว้ให้ดี!"

สาวรับใช้ทั้งสองคนรีบพยักหน้าทันที ก่อนจะรีบตอบกลับไป : "ค่ะคุณนาย แค่น้ำชาหกค่ะ"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าก่อนที่จะตอบกลับไปว่า : "ไปเรียกคุณชายขึ้นมาไป"

เมื่อสาวใช้ทั้งสองคนออกไป คุณนายเหลิ่งก็หายใจเข้าลึกๆไปครั้งหนึ่งก่อนจะเอนกายของเธอไปกับเก้าอี้ แล้วหลับตาลงรอเหลิ่งเซ่าถิงเข้ามาหาเธอ เมื่อเข้ามาเธอถึงได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงแล้วยิ้มขึ้นมา "เซ่าถิง ปิดประตูแล้วก็มานั่งตรงนี้มา"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูห้องคุณนายเหลิ่งเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามาหาเธอทันที ก่อนที่จะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งมองมาที่เหลิ่งเซ่าถิงก่อนยิ้มด้วยด้วยความเอ็นดู : "ความสัมพันธ์ของหลานกับเค่อหยิงเป็นยังไงบ้าง? ย่าได้ยินมาว่าไปเดทกันบ่อยๆ ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จจะดีเลยใช่มั้ย"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าพร้อมกับยกยิ้ม : "เค่อหยิงเป็นผู้หญิงที่เรียบง่ายแล้วก็ใจดีมากๆครับ"

"ใช่ เค่อหยิงเป็นคนดีจริงๆนั่นแหละ ถึงแม้ว่าเธอจะเรียนอยู่ต่างประเทศมาโดยตลอด แต่ว่าเธอไม่ได้ทำตัวตามคนต่างชาติ วางตัวเก่งเหมือนผู้หญิงสมัยก่อนเลยด้วยซ้ำไป แล้วระกูลกู้ก็ดีใช่ย่อย อย่างน้อยก็ดีกส่าเจี่ยน……." คุณนายยิ้มขึ้นเมื่อพูดถึงตรงนี้พร้อมกับมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง ก่อนที่เธอจะขมวดคิ้วขึ้นแล้วก็พูดด้วยความโมโห "นี่ฉันพูดถึงผู้หญิงคนนั้นอีกแล้วหรอเนี่ย! ตอนนี้หลานคงไม่ได้คิดถึงผู้หญิงคนนั้นอยู่ใช่มั้ย?"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเกียจชัง "ผมไม่มีทางคิดถึงผู้หญิงที่หักหลังผมหรอกครับคุณย่า"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าก่อนจะพูดขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มของเธอ "หลานพูดอย่างนี้ย่าก็สบายใจ จริงด้วย หลานรู้เรื่องที่เจี่ยนอี๋นั่วคลอดลูกมั้ย?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วขึ้น : "ตอนที่เธอรู้ว่าเธอท้องเธอเคยบอกผมครับ แต่ผมไม่ได้สนใจอะไร ถ้านับๆดูเวลาแล้วตอนนี้เธอก็น่าจะคลอดแล้ว ทำไมหรอครับ? คุณย่าเป็นห่วงผู้หญิงคนนั้นหรอครับ? แต่ถึงแม้ว่าคุณย่าจะตัดสินใจยังไง ผมก็ไม่มีทางยอมรับเด็กคนนั้นหรอกครับ ขอโทษด้วยนะครับคุณย่า"

คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมกับปรบมือของตัวเอง "จู่ๆทำไมหลานถึงจริงจังขนาดนี้ล่ะ? ถึงหลานไม่อยากยอมรับเด็กคนนั้น ย่าเองก็ไม่ยอมรับเหมือนกัน ถ้าหลานกับเค่อหยิงแต่งงานกันเร็วว่านี้ ไม่ช้าก็เร็วย่าจะต้องได้หลานแน่นอน จะไปคิดถึงเด็กคนนั้นทำไมกันล่ะ? แต่พอพูดถึงเด็กคนนั้นแล้ว หลานก็เอาใจใส่เรื่องนี้หน่อยนะ ตอนนี้หลานยังหนุ่มอยู่ มันเป็นเวลาที่ดีสำหรับการมีลูกแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะกับคำพูดของคุณนายเหลิ่ง : "ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดครับคุณย่า"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าพร้อมกับยิ้มก่อนจะพูดตอบกลับ : "ถ้าหลานคิดอย่างนี้แล้ว ย่าก็วางใจ หลานไปทำงานของตัวเองเถอะ ไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนย่าตรงนี้แล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงจับผ้าห่มาคุมตัวให้คุณนายเหลิ่งก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกจากห้องไป คุณนายเหลิ่งมองตามแผ่นหลังของคนเป็นหลาน เพียงเหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไปเท่านั้นเธอก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงโทนต่ำออกมาว่า : "เหลิ่งหมิงอัน เป็นเธอจริงๆหรอ? แต่ถึงจะไม่ใช่เธอ ฝีมือเธอนี่เก่งใช่ได้เลยนะ ไม่รู้ว่าตัวเอง ไม่รู้ว่าตัวเองเสียไปเท่าไหร่?"

คุณนายเหลิ่งหรี่ตาลงพร้อมกับจ้องไปข้างหน้าด้วยสาายตาที่ดุเดือด ตอนนี้ความประหม่าของคุณนายเหลิ่งนั้นถูกผลักออกไปให้เหลิ่งหมิงอันหมดแล้ว ถ้าเหลิ่งหมิงอันไม่ได้ทความอับอายให้กับคนรอบข้างของเธอ เธอจะโกรธถึงขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะ?

เหลิ่งหมิงอันเป็นคนไร้ความคิด ต้องจัดการกับเขาดีๆ

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงออกมาจากห้องของคุณนายเหลิ่งแล้ว เขาก็หันกลับไปมองห้องของคุณนายเหลิ่งอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะขึ้นรถไป เหลิ่งเซ่าถิงขับรถออกไปได้สักพักแล้วจึงที่จะจอดรถข้างถนน ก่อนที่จะหยิบเครื่องตรวจจับออกมา เขาหยิบเครื่องดักจับออกมาจากรถ ก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงจะหยิบโทรศัพท์ที่ยุ่งเหยิงของเขาขึ้นมาจากกระเป๋า ถึงแม้โทรศัพท์เครื่องนี้จะดูเงอะๆงะๆหน่อยแต่มันก็สามารถดักฟังได้ยากที่สุด เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นก่อนจะขับรถต่อไป ถ้ามีใครที่ติดตามเขาอยู่ เขาก็จะได้หยุดรถเพื่อดึงดูดสายตาผู้คน

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถไปอย่างช้าๆพร้อมกับกดเบอร์โทร หลังจากสายที่เขาโทรนั้นรับโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว เขาก็ถามขึ้นมาทันที : "ได้ตัวเด็กมารึยัง?"

คนในสายรีบตอบกลับมาทันทีว่า : "เรียบร้อยแล้วครับ เปลี่ยนสถานะของเขามาเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาเป็นเด็กที่เพิ่งเกิด ตอนนี้เขาถูกส่งขึ้นเรือไปต่างประเทศเรียบร้อยแล้วครับ รอให้เขาโตกว่านี้อีกหน่อย เราจะเปลี่ยนครอบครัวให้เขาแล้ววก็เปลี่ยนให้เขาไปอยู่อีกประเทศครับ แล้วจะส่งใครสักคนปกับเขามั้ยครับ?"

"ไม่ต้อง คนเยอะแล้ว มันจะทำให้เขาถูกเปิดเผยมากยิ่งขึ้น แบบนี้ก็ดีแล้ว ถ้าเกิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ก็ให้เขาใช้ชีวิตแบบธรรมดาๆต่อไปนะ ไม่ต้องบอกเรื่องของฉันหรือแม้แต่แม่ของเขาให้เขาฟังล่ะ" เหลิ่งเซ่าถังพูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วของตัวเองขึ้นมา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

เหลิ่งเซ่าถังหัวเราะขึ้นอย่างขมขื่น : "ถึงแม้ว่าฉันจะไม่สนใจเพศของเด็ก แต่ว่าคุณนายเหลิ่งและคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งให้ความสำคัญกับเด็กผู้ชายมาก เขาเป็นลูกชายคนแรกของฉัน และเขาอาจจะเป็นเด็กชายคนเดียวด้วย มีหลายคนที่จะใช้เขาให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วปกป้องลูกชายของตัวเองไม่ได้แน่นอน แล้วมันก็จะทำให้เธอลู่เหวที่ลึกมากกว่านี้ ให้ตัวเด็กคนนี้สูญหายไปเลยน่ะดีแล้วล่ะ…….."

คนในสายเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาด้วยเสียงโทนต่ำว่า : "แล้วจะจัดการกับเขายังไงดีครับ เขาคิดว่าเหลิ่งหมองอันเป็นคนให้เงินเขา แต่ตอนนี้ทรัพย์สินของเขาถูกคุณนายเหลิ่งยึดไปหมดแล้ว ผมกลัวว่าเขาจะไปประชันหน้ากับเหลิ่งหมิงอันครับ"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า : "งั้นก็ฆ่าเขาซะสิ ทให้เรื่องนี้เป็นเหมือนเหลิ่งหมิงอันเป็นคนลงมือ ทุกยอ่างที่คุณย่าชอบจัดวางไว้ สิ่งที่ท่านอยากจัดการคนอื่นยื่นมือเข้ามาช่วยไม่ได้ คนที่ท่านอยากปล่อยไป คนอื่นก็เข้ามาฆ่าไม่ได้เช่นกัน จัดการให้เหลิ่งหมิงอันสัมผัสกับเส้นตายของคุณย่าซะ ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคุณยจะจัดการกับเขายังไง"

คนในสายรีบตอบกลบทันที : "ครับ ผมรู้แล้วว่าต้องจัดการยังไง"

เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา : "แล้วหาศพพี่ชายของฉันเจอรึยัง?"

คนในสายเงียบไปสักพักก่อนจะตอบคำถามของเขา : "ยังครับ เพราะว่าเราไม่กล้าออกไปค้นหาอย่างเปิดกว้าง เลยยังหาไม่เจอครับ"

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลงก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ เขาไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพี่ชายคนนั้นของเขามากมายขนาดนั้น ใครจะอยากไปคิดเรื่องคนอื่นเพิ่มอีกคนล่ะ แล้วความรักล่ะ? พี่ชายของเขาเขาฆ่าพ่อแม่ของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่อย่างไรก็ตาม เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่อยากเห็นร่างของพี่ชายสูญหายไปอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเคยคิดจะลากศพของเหลิ่งอวิ๋นเซียวกับพ่อแม่บุญธรรมของเขามาไว้ด้วยกันหรือเพราะเขาและพี่ชายคล้ายกันมากเกินไป เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าการที่การหาศพของพี่ชายเขาไม่เจอนั้น สำหรับเขาแล้วมันเหมือนกับโศกนาฏกรรมอย่างนึง

"งั้นก็ค่อยๆหาต่อไป ไม่ต้องให้คนอื่นรู้ล่ะ" เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วก่อนจะางโทรศัพท์

หลังจากที่เขาวางโทรศัพท์แล้ว เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาปัดหน้าอกของตัวเองเบาๆ ภายในร่างกายของเขามีหัวใจที่เต้นระรัวอยู่ หัวใจที่พี่ชายของเขาอยากได้ทิ้งมันไว้ให้เขา ทรัพย์สินที่เขาไม่คาดคิดมาก่อน ไม่เพียงแค่เงินทอง พ่อแม่ของเขายังทิ้งมรดกต่างๆ ความสามารถที่พ่อแม่ของเขาสามารถเก็บรวบรวมมันมาที่แทรกอยู่กับคนในตระกูล

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีความมุ่งมั่นที่จะเผชิญหน้ากับคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งหมิงอัน สิ่งที่เขาจะทำนั้นไม่เพียงแค่จะเอาชนะคนอื่นๆ หรือชิงอำนาจมาจากตระกูลเหลิ่งเท่านั้น แต่เขาจะล้มตระกูลเหลิ่งทั้งหมดแล้วสร้างมันขึ้นมาใหม่ เขาต้องการเป็นศัตรูของตระกูลเหลิ่งทุกคนเพื่อที่เขานั้นจะตัดขาดผลกำไรของทุกฝ่ายทั้งหมด

เรื่องนี้มันเสี่ยงมาก เพื่อทรัพย์สินพวกนั้นแม้แต่ชีวิตของก็แลกได้ สิ่งที่เขากำลังจะทำ เป็นการตัดทางของคนในตระกูลเหลิ่งทั้งหมด และเป็นการนำตัวเองไปสู่ความเสี่ยง แต่ถ้าเกิดเขาไม่ทำเช่นนี้ เมื่อคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งหมิงอันตาายขึ้นมาล่ะก็ คนอื่นๆในตระกูลลจะต้องแต่งตั้งคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งหมิงอันคนใหม่ขึ้นมาแน่ๆ

เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากให้เจี่ยนอี๋นั่วและลูกของพวกเขาต้องมาเจอเหตุโศกนาฏกรรมที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วอีก

เด็กที่เกิดจากอี๋นั่วนั้นได้เสียชีวิตระหว่างทาง รถทั้งคันพลิกคว่ำลงไปในทะเล เด็กเพิ่งออกจากตู้อบได้ไม่กี่วันและจมอยู่ในน้ำทะเลช่วงฤดูหนาวและไม่มีทางที่จะมีชีวิตรอดได้เลย

"รถจมลงไปในทะเล พวกเขาบอกว่าไม่สามารถกู้ได้ ส่วนคน? ศพของเด็กนั้นหาไม่เจอ แล้วคนขับรถล่ะ?" คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเธอเช็ดเหงื่อเย็นออกจากหน้าผากของเขาและตอบอย่างประหม่า "คุณนายเหลิ่ง ร่างคนขับกำลังตอนนี้กำลังงมหากันอยู่ น่าจะลอยไปทางทิศใต้ ผมไปให้คนไปค้นหาในทิศทางฝั่งใต้แล้ว แต่การค้นเจอนั้นเป็นไปได้น้อยมาก แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด แต่เราพบร่างของพยาบาล เป็นพยาบาลที่คอยดูแลเด็ก"

"ทำไมจึงขับไปใส่เส้นทางใกล้ทะเล?" คุณนายเหลิ่งถามอย่างเย็นชาขณะที่เธอมองไปที่ชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วและทำท่าทีเหมือนกับไม่รู้เรื่อง "ผมไม่รู้เรื่องนี้ แต่ผมเดาว่าตอนนั้นทางแยกรอบๆดูเหมือนรถจะค่อนข้างแออัด ดังนั้นนั่นอาจเป็นเหตุผลที่คนขับจึงเลือกที่จะเปลี่ยนเลนและต้องการไปถึงจุดหมายโดยเร็ว เด็กเล็กไม่สามารถนั่งรถได้นานขนาดนั้น แต่ก็อาจเป็นไป…"

"เป็นอะไร?" คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วมองชายวัยกลางคนแล้วถามอย่างเย็นชา

ชายวัยกลางคนหยุดเล็กน้อยมองไปที่คุณนายเหลิ่งบอกกับกล่าวเสียงเบาว่า "อาจเป็นไปได้ว่าคุณชายเป็นคนทำ แม้ว่าเขาจะดูไม่สนใจผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นก็เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณชายอยู่ไม่น้อย เขาจะไม่ให้ความสนใจได้อย่างไร? เนื่องจากเขาเบื่อหน่ายกับผู้หญิงคนนั้นมากเขาจึงไม่ต้องการลูกของเธอ เป็นไปได้มากว่าเขาใช้เงินจ่ายให้กับคนขับและขอให้คนขับจงใจขับรถลงทะเล"

"ไร้สาระ! ถ้าเขาต้องการฆ่าเด็ก เหลิ่งเซ่าถิงเขาก็จ่ายเงินให้กับพยาบาลไปแล้ว ให้พยาบาลฆ่าเด็กไม่ง่ายกว่าหรือยังไง? ถ้าเขาตั้งใจฆ่าเด็ก ฉันจะโทษเขาไม่ได้ เขาเป็นพ่อของเด็กคนนั้นและแม้ว่าเด็กคนนั้นจะถูกจัดการ ฉันก็ไม่สามารถพูดหรือทำอะไรได้" คุณนายเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชา

"เป็นไปได้ไหม … " ชายวัยกลางคนกระซิบ "แต่อาจไม่ใช่คุณชายเหลิ่งหมิงอัน เขาไม่จำเป็นต้องทำสิ่งนี้เลย"

"ไม่จำเป็นไม่มีเหตุผล"

คุณนายเหลิ่งกล่าวและชำเลืองมองชายวัยกลางคน "ไม่ใช่ว่าไม่นานมานี้หมิงอันไปพบกับเจี่ยนอี๋นั่วหรือ? แม้ว่าคุณจะปกปิดเรื่องนี้และไม่ได้รายงานเรื่องนี้กับฉัน ฉันก็ไม่ได้หูหนวกหรือตาบอด ฉันไม่ได้พึ่งพาคุณคนเดียวในการกระจายข่าวต่างๆให้กับฉัน ฉันรู้ด้วยซ้ำว่าหมิงอันพูดอะไรกับอี๋นั่ว เขาบอกไม่ให้อี๋นั่วคลอดเด็ก เขายังคงคิดถึงอี๋นั่วอยู่เสมอ เขาจะทนได้อย่างไรให้เจี่ยนอี๋นั่วคลอดลูกของเหลิ่งเซ่าถิง ลูกสาวก็ช่างเถอะ เขาก็คงไม่ไหวกับเด็กชาย เหลิ่งหมิงอันและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีสถานะแตกต่างกัน เรื่องที่เหลิ่งเซ่าถิงสามารถทำได้ เขานั้นทำไม่ได้ หากเขาซื้อพยาบาลและฆ่าเด็กจนตาย ศพที่ทิ้งไว้จะกลายเป็นหลักฐานของความผิดเขา วิธีนี้เท่านั้นที่เด็กจะหายตัวไปอย่างสมบูรณ์เพื่อที่จะไม่ให้หลักฐานหลงเหลือและสืบเรื่องราวถึงเขา"

ชายวัยกลางคนยิ้มแห้งๆและกล่าว "คุณชายเหลิ่งหมิงอัน ดูเหมือนเขาจะไม่เป็นคนที่ไม่รู้วิธีการทำคะแนน เขาดูไม่สามารถทำเพื่อหญิงสาวที่ชื่ออี๋นั่วได้มากเช่นนั้น ในความคิดของผม ถ้าเหตุการณ์นี้ไม่ใช่อุบัติเหตุก็เป็นไปได้มากที่คุณชายเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นคนลงมือทำ…"

คุณนายเหลิ่งหรี่สายตามองไปยังชายวัยกลางคน "ใช่ เขาดูเหมือนจะไม่ใช่คนที่ไม่รู้วิธีการอะไรนั่น ดังนั้น เขาจึงทำเรื่องราวเหล่านี้ เขาใช้เงินซื้อแก ทำให้แกมาโยนเรื่องราวและเพ่งเล็งเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าฉัน? แกคิดว่าฉันไม่รู้อะไรเลยงั้นสิ? เงินจำนวนมากในบัญชีของแก แกคิดว่าฉันหูหนวกตาบอดหรือไง? หรือคิดว่าฉันแก่แล้ว? ฉันอาจหลงๆลืมๆจนไม่รู้เรื่องราวอะไรงั้นสิ?"

ชายวัยกลางคนตกใจมากจนเข่าของเขาอ่อนแรงด้วยคำพูดของคุณนายเหลิ่ง เขาล้มลงกับพื้นและพูดอย่างเร่งรีบ "คุณนาย คุณนาย ปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ"

คุณนายเหลิ่งมองไปที่ชายวัยกลางคนและหัวเราะอย่างเย็นชา "แกไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเงินในบัญชีของแกมีอยู่เท่าไหร่งั้นสิ? แกคงจะหลงๆลืมๆไปจนต้องอยากให้ฉันเตือนความจำแกสินะ? แกเพิ่งรู้หรือว่าแกมีเงินก้อนโตขนาดนั้น ใครเป็นคนให้แกล่ะ? เหลิ่งหมิงอันใช่ไหม?"

ชายวัยกลางคนรีบส่ายหน้า "ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่คุณชายเหลิ่งหมิงอัน!"

"แกยังกล้าเรียกมันว่าคุณชายอีกเหรอ!" คุณนายเหลิ่งลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้ชายวัยกลางคนทีละก้าวทีละก้าวและพูดอย่างเย็นชา "แกกล้าดียังไง! ตระกูลเหลิ่งของเรามีคุณชายเหลิ่งหมิงอันตั้งแต่เมื่อไหร? แต่ไหนแต่ไรมาเรามีเพียงคุณชายเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น!"

คุณนายเหลิ่งจ้องมองไปยังชายวัยกลางคนและพูดอย่างเย็นชา "แกคงคิดว่าเมื่อไม่นานมานี้ฉันจะจัดการเจี่ยนอี๋นั่วเลยคิดว่าฉันกับเหลิ่งหมิงอันจะรวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแบบนั้นเหรอ? ฉันจะบอกแกให้ พวกแกคิดแบบนั้น พวกแกคิดผิด จะมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้อย่างไร เหลิ่งหมิงอันไม่เคยเป็นหลานชายของฉัน ตอนนี้หลานชายของฉันมีเพียงคนเดียวคือเหลิ่งเซ่าถิง!"

ชายวัยกลางคนรีบพยักหน้าและกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือ "ผมผิดไปแล้ว ผมผิดไปแล้วจริงๆ ได้โปรดคุณนายปล่อยผมไปเถอะ ผมไม่ได้ทำอะไรจริงๆ คุณชายหมิงอัน…เอ่อ เหลิ่งหมิงอันเอาแต่ให้เงินผม ในตอนแรกผมก็ไม่ได้โอนเอนเลยจริงๆ แต่เขากลับให้ผมมากขึ้นเรื่อยๆและผมก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้…"

คุณนายเหลิ่งมองไปที่ชายวัยกลางคนและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "พวกแกติดต่อกันอย่างไร?"

ชายวัยกลางคนสูดจมูกและร้องไห้จากนั้นก็กล่าวว่า "เนื่องจากกลัวเป็นเป้าสายตาผู้คน โดยปกติแล้วผมจะไม่พูดคุยกับเขา ผมกับเขากับส่งข้อความหากัน เขาขอให้ผมเวลาพบเจอเรื่องราวอะไรแล้วมาอยู่ต่อหน้าคุณก็พูดถึงเรื่องดีๆของเขาเยอะๆ โดยเฉพาะเรื่องนี้เขาอยากให้คุณคิดว่าเป็นคุณชายเป็นคนก่อเรื่อง สิ่งนี้จะเพิ่มความแตกแยกระหว่างพวกคุณ"

ชายวัยกลางคนพูดถึงตรงนี้ เขาเงยหน้าขึ้นและกล่าว "ผมทำแบบนี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น ผมแค่คอยพูดถึงเหลิ่งหมิงอันในเรื่องดีๆผมไม่ได้ทรยศคุณนายเลย"

คุณนายเหลิ่งยิ้มเยาะ "ถ้าหากว่าแกทำเรื่องอื่น แกคิดว่าตัวแกยังจะมีชีวิตแล้วมายืนอยู่ตรงนี้หรือ?"

ชายวัยกลางคนคุกเข่าและพูดด้วยเสียงสั่นเครือว่า "ได้โปรด ขอร้องคุณนายเห็นแก่พ่อแม่ผมเถอะ ปล่อยผมไปสักครั้ง พ่อแม่ของผมเสียสละชีวิตเพื่อคุณนาย ผมคิดว่าถ้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่และเห็นว่าผมทำอะไรผิดพลาดไป เขาจะต้องสอนผมอย่างดีและจะไม่ปล่อยให้ผมทำผิดพลาดอีก"

ชายวัยกลางคนพูดยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วจากนั้นเขาไอพร้อมกับกล่าว "คุณนาย ผมรู้แล้วว่าผมทำผิดไป"

คุณนายเหลิ่งสูดลมหายใจเข้าและขมวดคิ้ว "เดิมที แกทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ฉันไม่สามารถปล่อยแกไปได้ แต่เมื่อนึกถึงพ่อแม่ของแก ฉันก็จะไว้ชีวิตแก"

ชายวัยกลางคนกล่าวขอบคุณอย่างรวดเร็ว "ขอบคุณ คุณนายขอบคุณ หลังจากนี้ผมจะทำเรื่องต่างๆให้กับคุณนายและจะไม่ทำเรื่องโง่ๆแบบนี้อีกแล้ว"

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองชายวัยกลางคนและกล่าวอย่างเย็นชา "ไม่ต้องมาขอบคุณฉัน ที่ฉันไว้ชีวิตแกไม่ได้หมายความว่าจะยกโทษให้แก ถ้าฉันยกโทษให้แก คนอื่นก็จะมองว่าฉันนั้นแสนดี พวกแกก็จะทรยศฉันและกล่าวคำขอโทษให้ฉันยกโทษให้ ถ้าแบบนั้นฉันจะทำอย่างไรล่ะ? ฉันปล่อยแกไปแต่ฉันก็ต้องฆ่าใครอีกหลายคน"

ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นและจ้องมองคุณนายเหลิ่งด้วยดวงตาสีแดงก่ำและถาม "คุณนายเหลิ่ง คุณต้องการจะ…จะทำอย่างไรกับผม?"

คุณนายเหลิ่งมองไปที่ชายวัยกลางคนแล้วพูด "ของทุกอย่างที่ตระกูลเหลิ่งมอบให้แก ฉันจะเอากลับมาทั้งหมด ยกเว้นเสื้อผ้าบนร่างกายของแก อย่างอื่นแกไม่มีสิทธินำออกไปจากตระกูลเหลิ่ง"

ชายวัยกลางคนจ้องมองไปที่คุณนายเหลิ่งด้วยดวงตาเบิกกว้าง "นั่นไม่ใช่….ไม่ใช่ว่าไม่มีอะไรเหลือ…"

คุณนายเหลิ่งยิ้มเยือกเย็นและกล่าว "รวมถึงเงินที่เหลิ่งหมิงอันให้แกด้วย นั่นไม่ใช่ของของแก มันคือของของตระกูลเหลิ่ง"

ชายวัยกลางคนร้องไห้ทันทีและพูดว่า "คุณนาย คุณทำกับผมแบบนี้ไม่ได้ นี่ไม่ต่างกับการตายเลย ผมยังมีเมียและลูกที่ต้องดูแล ผมไม่เหลืออะไรเลยไม่ได้ ผมอายุชนาดนี้แล้ว ถ้าหากว่าไม่มีอะไรเลยนั่นเท่ากับว่าบ้านผมกำลังพังทั้งหลัง!"

คุณนายเหลิ่งสบถในลำคออย่างเย็นชา "แกทำร้ายตัวเอง ฉันได้ยินมาว่าลูกชายของแกจะเข้าเรียนโรงเรียนหรูชื่อดังแล้วยังแอบอ้างว่าเป็นคุณชายของตระกูลเหลิ่งและเมียแกก็แต่งตั้งตัวเองเป็นคุณหญิงผู้สูงศักดิ์ แม้แต่คุณนายตระกูลอื่นก็ต้องประจบเขา แกไม่เคยคิดเลยว่าทั้งหมดนี้ที่แกมีอยู่เป็นเพราะตระกูลเหลิ่งทั้งนั้น พวกเราเองก็มีสิทธิ์ทวงคืน ครอบครัวแกเสพสุขกันมานานมากแล้ว ฉันจะรอดูว่าพวกแกจะอยู่กันอย่างไร!"

"คุณทำแบบนี้ไม่ได้!" ชายวัยกลางคนสะอื้นและเงยหน้าขึ้นมองคุณนายเหลิ่ง เขาร้องไห้และกล่าว "คุณนายอย่าทำแบบนี้ ผมจงรักภักดีมาตลอด ผมทำพลาดไปในเรื่องเล็กน้อย คุณอย่าทำแบบนี้กับผมเลยคุณนาย!"

คุณนายเหลิ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น "ฉันให้ได้ ฉันก็เอากลับคืนได้!"

"คุณอย่าทำแบบนี้ ได้โปรด! คุณอย่าทำตัวเป็นคนไร้ความรู้สึกเช่นนี้!" ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นพร้อมกับตะโกนและมองไปที่คุณนายเหลิ่ง ดวงตาของเขานั้นแดงก่ำและมุ่งร้าย

ในเวลานี้มีเพียงคุณนายเหลิ่งและชายวัยกลางคนเท่านั้นที่อยู่ในบ้าน หากชายวัยกลางคนต้องการสังหารคุณนายเหลิ่ง คุณนายก็ไม่มีโอกาสต่อสู้กลับเลย คุณนายแอบผงะไปชั่วครู่กับท่าทางของเขา เธอจึงก้าวไปข้างหน้าทันทีแล้วเข้าไปหาชายวัยกลางคนพร้อมกับกล่าววาจาที่รุนแรง "ทำไม? แกกล้าที่จะต่อกรกับฉันงั้นหรือ?"

คุณนายเหลิ่งนั้นมีบุญคุณและอำนาจมานานแล้ว เดิมทีชายวัยกลางคนนั้นคิดจะฆ่า เมื่อมองเห็นการแสดงออกที่เด็ดเดี่ยวบนใบหน้าของคุณนายแล้วเขาก็รู้สึกหวาดกลัวจนความเกลียดชังที่มีก็ได้หายไป ชายวัยกลางคนทำได้เพียงคุกเข่าบนพื้นร้องไห้และตะโกนว่า "คุณนาย ยกโทษให้ผมด้วย!"

คุณนายเหลิ่งชี้ไปที่ประตูและตะโกนว่า "ไสหัวออกไป! ไม่งั้นเมียและลูกๆของแก ฉันจะส่งไปลงนรกให้หมด!"

ชายวัยกลางคนหดตัว เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่คุณนายเหลิ่ง และรีบคลานออกจากห้องของคุณนายในทันที คุณนายเหลิ่งเฝ้ามองชายวัยกลางคนจากไปแล้วค่อยๆนั่งลงบนเก้าอี้และถอนหายใจด้วยความโล่งอก "พวกแก..พวกแกกล้ารวมหัวเพื่อที่จะต่อต้านฉัน? มันจะโต้ตอบแกกลับ โต้ตอบพวกแก!"

เมื่อครู่เธอกลัวที่จะถูกฆ่า คุณนายเหลิ่งนั้นไม่สามารถควบคุมอาการสั่นเทาของร่างกายเธอได้ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกถึงของเหลวอุ่นๆที่ไหลออกมาจากขาของเธอ คุณนายเหลิ่งเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ดวงตาของเธอเป็นสีแดงก่ำ "ไม่ ไม่ นี่ไม่ใช่ฉัน.. ฉันไม่…ไม่กลัวไอ้เด็กนั่น..จนฉันฉี่ใส่กางเกงหรอก ฉันคือ..คุณนายเหลิ่ง หัวห้นาตระกูลเหลิ่ง ฉันแตกต่างจากคนอื่น…"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและค่อยๆหรี่ตาขณะที่เธอดูดอกไม้ไฟที่สวยงามบนท้องฟ้า ในเวลานี้เสียงหัวเราะของผู้คนดังมาจากโทรศัพท์มือถือ เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงอย่างคลุมเครือ เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำและเย็นชา "ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่งานแต่งของผมและกู้เค่อหยิง…"

เจี่ยนอี๋นั่ววางโทรศัพท์ทันที เธอไม่กล้าที่จะฟังเสียงจากโทรศัพท์อีก อี๋นั่วไม่เคยคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะหมั้นจริงๆ เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพยายามกำจัดการแต่งงานนี้ เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงได้มาเยี่ยมเธอนั่นก็หมายความว่าเขาต้องการปกป้องเธอ สิ่งที่เหลิ่งหมิงอันบอกเธอนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องโกหก แต่ทำไมเขาถึงยังไปหมั้นกับคนอื่น?

เหลิ่งเซ่าถิงนั่นเข้าใจเธอไม่มากพอหรือ? หรือยังไม่รู้ว่าเงื่อนไขของเธอคืออะไร?

อี๋นั่วสามารถเข้าคุกได้ สามารถซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้ เธอยอมเปลี่ยนตัวเองจากคุณหนูแห่งตระกูลเจี่ยนมาเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรก็ยังได้ แต่เธอไม่ยอมเด็ดขาดที่จะเป็นเมียน้อย เป็นผู้แทรกแซงความสัมพันธ์ในชีวิตสมรสที่น่ารังเกียจ

แม้ว่างานแต่งของเหลิ่งเซ่าถิงในครั้งนี้นั้นเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งเพื่อที่จะปกป้องเธอก็ตามแต่ก็ทำโดยเจตนา แต่จากนี้ไปเหลิ่งเซ่าถิงก็เป็นคู่หมั้นของผู้หญิงคนอื่น ไม่ว่าเธอจะรักผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่มีวันเกี่ยวข้องกับเขา! เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถทำร้ายผู้หญิงอีกคนได้ เพียงเพื่อปกป้องตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการถูกควบคุมและเธอทนไม่ได้ที่จะเห็นผู้หญิงคนอื่นกลายเป็นเครื่องมือเพราะเธอ

ดูเหมือนว่าเวลานี้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะถูกตัดขาดจริงๆ ไม่มีความจำเป็นที่เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วจะต้องติดต่อกันอีกต่อไป

อี๋นั่วขยับริมฝีปากพยายามอย่างหนักที่จะแสดงรอยยิ้ม เธอสัญญากับลูกว่าจะเผชิญหน้ากับมันด้วยรอยยิ้มไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นขมขื่นเกินไป แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ยังรับรู้ถึงความเจ็บปวดในรอยยิ้มและอดไม่ได้ที่จะเจ็บปวดภายในใจ

ทันใดนั้นก็มีอาการปวดกระดูก อี๋นั่วปวดท้องอย่างรวดเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องของเธอและค่อยๆล้มลงกับพื้น โทรศัพท์ยังคงปนไปด้วยเสียงแห่งความยินดี เสียงดนตรีและเสียงหัวเราะแห่งชัยชนะของเหลิ่งหมิงอัน "เจี่ยนอี๋นั่ว คุณเป็นของผมแล้ว…"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ และความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้เธอไม่สามารถพูดได้ แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วก้มมองลงไปยังท้องของเธอ เธอก็กัดริมฝีปากและใช้แรงทั้งหมดที่มีอยู่ตะโกนเสียงดัง "มีใครอยู่ไหม? ช่วยเข้ามา? ฉันอาจ อาจจะ คลอดลูก…"

"ช่วยลูกฉันด้วย…" เช่นเดียวกับครั้งสุดท้ายที่เธอแท้งบุตร เจี่ยนอี๋นั่วก็ร้องเรียกขอความช่วยเหลือ

ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและการโจมตีครั้งใหญ่ทำให้สติสัมปชัญญะของอี๋นั่วนั้นเลือนลาง เธอจ้องมองอย่างพร่ามัวในขณะที่แพทย์และพยาบาลวิ่งเข้ามา เธออยากจะหลับตาและหลับไปอย่างสนิทใจและหลังจากที่นอนหลับไปแล้วเธอก็ไม่ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งใด แต่เจี่ยนอี๋นั่วเธอพยายามอดทนอย่างเต็มที่ เธออยากเห็นลูกน้อยของเธอเกิดด้วยตาของเธอเอง เธออยากดูว่าลูกของเธอเป็นฝาแฝดหรือไม่

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเธอนั้นตกต่ำจนถึงจุดที่เธอไม่สามารถสูญเสียลูกได้อีกแล้ว เธอมักรู้สึกอยู่เสมอว่าเธอนั้นท้องลูกแฝด แต่มีแต่คนบอกกับเธอว่าเธอท้องลูกเพียงคนเดียว เป็นเพราะมีคนวางแผนจะขโมยลูกคนหนึ่งของเธอไป

แต่เมื่ออี๋นั่วถูกเข็นเข้าไปในห้องผ่าตัด แพทย์ก็ได้เตรียมยาสลบไว้ให้กับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ไม่ ฉันไม่ดมยาสลบ ฉันอยากเห็นลูกของฉันคลอดออกมา…"

"คุณต้องผ่าตัดคลอดและต้องดมยาสลบ ช้าไม่ได้แล้ว ไม่งั้นเด็กจะเป็นอันตราย สถานการณ์ปัจจุบันของคุณก็อันตรายมากเช่นกัน คุณอาจจะสลบไปชั่วครู่ คุณก็จะสามารถมองเห็นเด็กได้เหมือนกัน" แพทย์กล่าวอย่างเย็นชา

อี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองแพทย์และพยายามส่ายหน้า "ไม่ ฉันทนได้…. ไม่ดมยาสลบ….ฉันอยากมองดูพวกเขาคลอดออกอย่างมีสติ"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกมึนงงและสติไม่เต็มร้อยนัก ในตอนนี้เธอสามารถทำตามการตัดสินของจิตใต้สำนึกของเธอเท่านั้น เธอไม่อยากดมยาสลบ เธอมักจะรู้สึกเสมอว่าหากดมยาสลบลูกของเธออาจถูกขโมยไป แต่มือของเธอนั้นถูกพยาบาลที่อยู่ด้านข้างจับเขาไว้จากนั้นเธอก็เขียนชื่อในเอกสาร อี๋นั่วไม่มีแรงแม้แต่จะผลักออกไป

อี๋นั่วพลิกตัวและกระดูกสันหลังของเธอด้านหลังของเธอได้รับความเจ็บปวดอย่างรุนแรง จากนั้นเธอก็นอนตะแคงและนอนลง แม้ว่าเธอจะได้รับยาสลบ แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงมีสติที่คลุมเครือ เธอลืมตาได้เพียงครึ่ง เธอสามารถมองเห็นแพทย์และพยาบาลเดินไปรอบๆและสามารถได้ยินเสียงของพวกเขาด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงเด็กร้องไห้ เธอคิดว่าลูกของเธอเกิดมาแล้ว เธอพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะลืมตาขึ้น แต่กลับไม่มีใครมาหาเธอพร้อมกับเด็กคนนั้น เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงร้องไห้ครั้งที่สองของเด็ก พยาบาลจึงโดนเข้ามาหาเธอพร้อมเด็กและกล่าวต่อหน้าเธอว่า "ผู้หญิง 5กิโลกรัม3ขีด คุณมองดูสิ"

เจี่ยนอี๋นั่วยกเปลือกตาขึ้นและมองไปที่ทารกที่เหี่ยวย่นอย่างพร่ามัว เหมือนลิงตัวน้อยที่ลอกหนังออก ทารกตัวแดงไปทั่วและร้องไห้เสียงดังพร้อมกับยิ้มกว้างราวกับว่ากำลังประกาศการเกิดของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในวินาทีที่เธอได้เห็นเด็ก เธอจะต้องตกหลุมรักเด็กน้อยอย่างเด็กแน่นอน นี่คือเด็กน้อยที่เธอสามารถมีได้ ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่ยากลำบากที่สุดก็ตาม แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเด็กแล้วเธอก็มีความคิดว่า "ใช่ผู้หญิงเหรอ? โตแล้วน่าเกลียดจะทำอย่างไรดี?"

เมื่ออี๋นั่วคิดเช่นนี้ เธอก็มีความคิดที่อยากจะขอโทษลูกของเธอ แต่มันยากเกินไปที่เธอจะปลอบตัวเองว่าเธอให้กำเนิดทารกที่น่ารักมาก

เมื่อเด็กน้อยถูกพยาบาลอุ้มออกไป เจี่ยนอี๋นั่วจึงรู้สึกถึงการเข็นของเตียงและเธอถูกเข็นไปยังห้องพักของเธอ พยาบาลกล่าวกับอี๋นั่วว่า "คุณพักผ่อนก่อน หลับเสียหน่อย เมื่อยาสลบของคุณหมดแล้ว เราจะนำเด็กน้อยมาให้คุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าแต่กลับไม่อยากหลับไป ในตอนนั้นเธอจำได้ว่าเธอได้ยินเสียงร้องสองครั้ง อาจมีเสียงร้องที่เป็นของลูกอีกคนของเธอ เธอกลัวว่าเมื่อเธอหลับไปจากนั้นเมื่อตื่นขึ้นมาเธอจะได้ยินว่าเรื่องราวทุกอย่างเป็นเพียงความฝัน

เมื่อฤทธิ์ของยาสลบจากลง เจี่ยนอี๋นั่วยังคงนึกถึงการร้องไห้สองครั้งที่เธอได้ยิน การร้องไห้ของทั้งสองไม่เหมือนกันอย่างเห็นได้ชัด ครั้งแรกนั้นการร้องไห้ค่อนข้างจะอ่อนลงเล็กน้อยและจากนั้นการร้องไห้ของเด็กสาวก็จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น เสียงเหล่านั้นไม่เหมือนกันเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงความแตกต่างเล็กน้อย แต่เจี่ยนอี๋นั่วสามารถรู้สึกได้ จริงๆแล้วเธอมีลูกอีกคน เพียงแต่ในตอนนี้เธอไม่มีความสามารถมากพอที่จะตามหา

คนที่สามารถพาลูกของเธอไปได้ไม่ใช่คนธรรมดา อาจเป็นคนของตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้ไม่ต้องบอกว่าเธอถูกจำคุก ต่อให้เธอเป็นอิสระอยู่ด้านนอก เธอก็ยังเป็นพี่สาวคนโตของตระกูลเจี่ยนแต่กลับไม่มีทางที่จะตามหาลูกของเธอได้ หากว่าในตอนนี้อี๋นั่วได้เข้าทำการสอบสวม ก็ไม่มีใครที่จะสามารถช่วยเธอได้ เป็นเพราะความแค้นเคืองของใครบางคนจึงทำให้เธอและลูกตกอยู่ในอันตราย

สิ่งเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วทำได้คืออดทนและแสร้งทำเป็นไม่รู้ หลังจากที่เธอพยายามออกจากคุกแล้ว เธอก็จะตามหาลูกของเธอ ตอนนี้สิ่งเดียวที่อี๋นั่วสามารถทำได้คือปลอบใจตัวเองที่คนคนนั้นเอาเด็กไป เขาอาจะต้องการใช้เด็กทำเรื่องอะไรบางอย่าง แต่อย่างน้อยเด็กก็จะไม่เป็นอันตรายใดๆ

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากและหลับตาลง ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าสิ่งที่เจ็บปวดที่สุดคือการได้ยินข่าวการหมั้นของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ตอนนี้เธอพบแล้วว่าสิ่งที่เจ็บปวดมากที่สุดก็คือเธอรู้ว่าลูกของเธอหายไป แต่เธอต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในเวลานี้ ผู้คุมเปิดประตูเข้ามา เธอเดินเข้ามาหาอี๋นั่วและนำโจ๊กมาให้ เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดความกังวลทั้งหมดของเธอ เธอมองผู้คุมและฝืนยิ้มให้กับเธอพร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณ"

ผู้คุมยิ้มและกล่าว "ไม่เป็นไร ฉันไปดูเด็กน้อยมาแล้ว หน้าตาเหมือนเธอเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาและขมวดคิ้ว "เธอ.. เธอหน้าตาเป็นอย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำรูปลักษณ์ที่เหี่ยวย่นของเด็กน้อยแรกเกิดได้ ลักษณะที่เหี่ยวย่นทำให้เธอกังวลมากเกี่ยวกับรูปลักษณ์ของเด็ก

ผู้คุมถึงกับผงะและหัวเราะเสียงดัง "เด็กแรกเกิดมีลักษณะเช่นนี้ ลูกสาวของคุณสวยอยู่แล้ว เพิ่งเกิดมาก็มีขนยาวที่ยาวสวย เมื่อโตขึ้นก็จะสวยมากยิ่งขึ้น"

อี๋นั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว จะได้ไม่…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวถึงตรงนี้ เธอก็ลดเสียงลงและกล่าวต่อว่า "จะได้ไม่ต้องถามถึงพ่อของเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำได้ เมื่อเธอนึกถึงใบหน้าอันหล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิงและเธอเคยสงสัยว่าลูกที่เธอและเขาให้กำเนิดจะเป็นอย่างไร ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ได้เห็นแล้ว เธอมองผู้คุมและถามว่า "ฉันสามารถเจอลูกได้หรือยัง?"

ผู้คุมขมวดคิ้วและส่ายหน้า "พยาบาลบอกว่าเธอยังอยู่ในตู้อบ รอให้เธอฟื้นตัวก่อน ลูกของเธอก็น่าจะโอเคขึ้นด้วย อีกเดี๋ยวก็จะได้เจอกันแล้ว เธอรีบกินอาหารเถอะ กินเยอะๆจะได้ผลิตน้ำนมให้กับลูก แต่อย่าเพิ่งร้อนใจ พวกเราได้เตรียมเงินซื้อนมผงให้ลูกเธอแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอกล่าวและยิ้ม "ขอบคุณ"

ผู้คุมสะบัดมือไปมา "ไม่ต้องขอบคุณหรอก เธอคิดหรือยังว่าจะตั้งชื่อให้ลูกว่าอะไร"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า "ซวง…ซวงซวง ชื่อเล่นคือซวงซวง ชื่อของเธอก็คือ เจี่ยนซวง"

"เจี่ยนซวง? พอฟังแล้วรู้สึกว่าการตั้งชื่อจากแม่นั้นง่ายมาก ตอนนี้เขานิยมตั้งชื่อให้เด็กประมาณว่าซวนหยู เหมิ่งฉี เฉิงเหม่ย" ผู้คุมหัวเราะ "ชื่อง่ายๆแบบนี้ไม่ค่อยได้ยินมากนัก แต่ชื่อนั้นก็ไพเราะน่าฟัง แต่…"

ผู้คุมมองอี๋นั่วพร้อมกับขมวดคิ้ว เธอถามว่า "ไม่ใช้นามสกุลพ่อเหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ไม่ เธอเป็นแค่ลูกของฉันเท่านั้น"

อี๋นั่วกล่าวพร้อมกับลดสายตาลง เธอยิ้มอย่างขมขื่น สิ่งที่เธอคิดคือชื่อของเด็กทั้งสองคน ลูกสาวคนเล็กชื่อเจี่ยนซวง สำหรับเด็กที่เกิดก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเป็นเพศอะไรดังนั้นเธอจึงมอบชื่อให้กับเขาว่า เจี่ยนตาน ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งเด็กชายและเด็กหญิง

เจี่ยนอี๋นั่วหวังไว้ว่าเด็กที่ถูกพรากไปจากเธอนั้นจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างเรียบง่ายและไม่ต้องพบเจอเรื่องราวที่ยากลำบากมากนัก

แม่ที่ไร้ซึ่งความรับผิดชอบได้มอบพรที่ดีที่สุดให้แก่เขา

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามอย่างเต็มที่ในการรักษาอารมณ์ของตนเองให้คงที่ เธอใช้เวลาสามเดือนในการอยู่โรงพยาบาล ในเวลานี้แม้ว่าท้องของเจี่ยนอี๋นั่วจะตั้งครรภ์ได้ไม่ถึงเจ็ดเดือน แต่ดูเหมือนกับหญิงสาวที่กำลังจะคลอดลูก จริงๆแล้วมันเป็นปัญหาของตำแหน่งของทารกในครรภ์จริงหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วมีข้อสงสัยเกี่ยวกับท้องของเธอ ไม่ว่าเธอจะรู้สึกอย่างไร เธอก็สงสัยว่าเธอกำลังท้องลูกแฝด ไม่ใช่เพียงแค่เพราะท้องของเธอใหญ่มาก แต่ยังเป็นเพราะสัญชาตญาณของการเป็นแม่ บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถรับรู้ได้จังหวะการเต้นของหัวใจที่ไม่ชัดเจนของทารกทั้งสอง

"ไม่ใช่ท้องแฝดจริงๆเหรอ?" อี๋นั่วถามแพทย์ที่มาตรวจเธอและอดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆให้กับเธอคนนั้น

"ไม่ใช่" แพทย์เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว "ไม่ใช่ว่าคุณได้ดูผลตรวจแล้วหรือไง? ไม่เพียงแค่ตรวจโดยโรงพยาบาลของเราเท่านั้น แต่เจ้าหน้าที่ผู้คุมของคุณยังได้ติดต่อโรงพยาบาลและพบสูตินรีแพทย์จากโรงพยาบาลอื่นๆอีก2แห่งเพื่อตรวจให้คุณ? ทำไมคุณถึงยังตั้งข้อสงสัยอีก? หญิงตั้งครรภ์บางครั้งจะมีลางสังหรณ์ที่ผิดพลาด หน้าท้องของคุณนั้นเป็นเพราะน้ำคร่ำที่เพิ่มมากขึ้น อย่าไปคิดมากเลย"

หลังจากแพทย์กล่าวจบ ก็พูดคุยกับเจี่ยนอี๋นั่วนิดหน่อยและเดินจากไป กุญแจมือตรงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วถูกถอดออกแล้ว ตอนนี้ร่างของเจี่ยนอี๋นั่วบวมและอ้วน เธอไม่สามารถวิ่งหนีไปได้เธอจึงไม่ต้องใส่กุญแจมือ

หลังจากที่แพทย์ออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและหยักหน้าเบาๆให้กับท้องของเธอพร้อมกับกล่าวว่า "อาจเป็นหม่าหม้าเองที่คิดมากจนเกินไป"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบ เธอยิ้มและลุกขึ้นสวมเสื้อคลุมหนาๆ เดินไปข้างเตียงอย่างระมัดระวัง เธอเปิดหน้าต่างและสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เธอแตกต่างจากหญิงตั้งครรภ์คนอื่น เนื่องจากเสรีภาพที่จำกัดของเธอ เธอจึงไม่สามารถออกไปออกกำลังกายด้านนอกได้บ่อยนัก เจี่ยนอี๋นั่วพยายามเดินอยู่ภายในห้องพักของเธออีกสองสามรอบและพยายามสูดลมหายใจเพื่อเอาอากาศบริสุทธิ์อีกหลายครา

เทศกาลปีใหม่ใกล้จะสิ้นสุดลง ในขณะนี้กลิ่นอายของเทศกาลปีใหม่บนท้องถนนก็ยังไม่ลดลงและยังคงมีโคมไฟสีแดงแขวนอยู่ที่ประตูร้านค้าเกือบทุกแห่ง หอผู้ป่วยที่เจี่ยนอี๋นั่วได้อาศัยนั้นอยู่ตรงข้ามกับถนนแห่งการค้า ในทุกๆวันเจี่ยนอี๋นั่วได้เปิดหน้าต่างในเวลาเดิมเสมอ เธอมองผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาจากบานหน้าต่างรั้วเหล็กนั้น เจี่ยนอี๋นั่วชอบมองดูผู้คนเดินผ่านไปและผ่านมา เธอพบว่ามันน่าสนใจกว่าการดูทีวี คนเหล่านี้มีชีวิตมากกว่าตัวละครในทีวี พวกเขากำลังวิ่งใช้ชีวิตเพื่อชีวิตของตัวเอง ทุกคนล้วนแต่มีเรื่องราวของตัวเองกันทั้งนั้น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความหนาวเหน็บ เธอก็เตรียมที่จะปิดหน้าต่าง ทันใดนั้นเธอก็เห็นใครบางคนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เขานั่งอยู่ในรถและเปิดกระจกทำให้เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นเขาได้อย่างชัดเจน ใบหน้านั้นนั่นคือเหลิ่งเซ่าถิง!

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่ภายในรถยนต์ ดูเหมือนว่ารถจะรอสัญญาณไฟจราจร เขาค่อยๆหันศีรษะและมองมาทางอี๋นั่ว เมื่อทั้งสองได้สบสายตา เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นมาและปิดปากตัวเองไว้เพื่อที่จะไม่ให้ตนเองนั้นตะโกนอะไรออกมา แม้ว่าระยะทางจะไกลออกไป แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถรับรู้ได้ว่าการจ้องมองของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นพุ่งตรงมาที่เธออย่างชัดเจน

แต่ระยะทางไกลเกินไป ในขณะนั้นเจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นเพียงโครงร่างของเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างคลุมเครือ ใบหน้าของเขาดูซีดลงกว่าเดิมมากและเขาก็ดูผอมลงทำให้โครงร่างของแก้มของเขาดูคมชัดขึ้นแต่คิ้วของเขาก็ยังคงเข้มชัดเจนเช่นเดิม เมื่อมองใครก็ยังคงเจาะจงอยู่เช่นเคย

คุณหมั้นแล้วจริงหรือ? คุณรู้ไหมว่าลูกน้อยของเรากำลังจะเกิด? รู้ไหมว่าฉันอยากอยู่กับคุณมาก? คุณอยากให้ลูกมีชื่อว่าอะไร?

เจี่ยนอี๋นั่วมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่รถที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่งมานั้นจอดรอสัญญาณในระยะเวลาที่สั้นมาก อี๋นั่วยังคงรู้สึกประหลาดใจเมื่อเธอเห็นเซ่าถิง ก่อนที่เธอจะได้สติ รถที่เหลิ่งเซ่าถิงนั่งมานั้นก็ได้ออกตัวไปแล้ว อี๋นั่วรีบโผล่หัวของเธอออกมา แต่รั้วเหล็กด้านนอกหน้าต่างปิดกั้นเธอ เธอจึงหมดความพยายามและมองเห็นเพียงด้านหลังของรถเท่านั้น

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาอย่างสุดแรง เธอพยายามจะมองให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เธอยังสามารถมองไปที่ด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิงผ่านกระจกรถด้านหลัง แต่ด้วยไฟรถที่กะพริบสองสามครั้ง รถคันดังกล่าวก็ได้หายไปจากสายตาของอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เธอทำได้เพียงมองไปยังทิศทางที่รถหายและหวังว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปรากฏตัวต่อหน้าเธออีกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงดูเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความหนาวเย็นของลมหนาวเลย ในขณะที่รถขับในความเร็ว เขาก็ยังคงเปิดหน้าต่างอยู่

จนคนขับอดไม่ได้ที่จะเตือน “ประธานเหลิ่ง ปิดหน้าต่างเถอะ ระวังเป็นหวัด”

เหลิ่งเซ่าถิงปิดหน้าต่าง เขาหลับตาและออกคำสั่งอย่างเย็นชา "กลับคฤหาสน์เหลิ่ง งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว"

คนขับพยักหน้าแล้วเหยียบคันเร่งอย่างเต็มแรง เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆลืมตาขึ้น เขาหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง มือซ้ายที่วางไว้บนเข่าของเขาเขียนคำว่า นั่ว ในชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงเขาไม่เคยรักใคร และไม่เคยรู้สึกละอายใจแก่ใจเลยจนกระทั่งเขาได้พบกับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงได้รู้ว่าการตกหลุมรักใครสักคนและการได้รับความรักจากใครสักคนนั้นสวยงามและบริสุทธิ์มากเพียงใด แต่ก็ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกได้ถึงความละอายใจต่อใครสักคนนั้นช่างเจ็บปวดมากเพียงใด

เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะมาอธิบายอะไรให้เจี่ยนอี๋นั่วได้รับฟัง ถ้าวันหนึ่งเขาได้พบกับเจี่ยนอี๋นั่วบางทีเขาอาจจะพูดกับเธอว่า "ขอโทษที่ทำให้เธอต้องมาเจอกับคนไร้ความสามารถแบบฉัน"

เมื่อรถขับไปถึงคฤหาสน์เหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกขึ้นและลงจากรถ กางเกงสูทห้อยลงทันทีและดูเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่มีริ้วรอยใดๆ ความคิดที่แสดงออกระหว่างทางก็ไม่มีใครสังเกตเห็น

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม เธอมองดูทิศทางที่รถหายไป จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วจึงจะปิดหน้าต่างลงและรีบหมุนตัวกลับไป

ผู้คุมเดินเข้ามาพร้อมกับกล่องอาหารกลางวันสองกล่อง เธอยิ้มและพูดกับอี๋นั่วว่า "มา กินเกี๊ยวกัน ฉันรู้ว่าเธอเจริญอาหาร ฉันได้เตรียมมาให้เธอเป็นแบบสองกล่องพิเศษ เธอจะต้องอิ่มอย่างแน่นอน"

ผู้คุมกล่าว จ้องมองอี๋นั่วที่ยังยืนอยู่ที่เดิม เธอยิ้มและพูดอีกครา "ยังจะยืนอยู๋ทำไม? รีบมานั่งบนเตียงเร็ว"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพยักหน้าในทันที เธอกลับมานั่งลงบนเตียง เปิดฝากล่องอาหารและสูดดมกลิ่นอาหารจากนั้นเธอยิ้มและกล่าว "หอมมากเลย…"

"รู้สึกว่าหอมก็ต้องกินได้มากขึ้นอีกแน่" ผู้คุมกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ที่นี่มีจิ๊กโช่วด้วย เธอจิ้มกินได้เลย"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างรีบร้อน เธอไม่มีเวลาที่จะรับตะเกียบ เธอตรงไปหยิบเกี๊ยวและพุ่งตรงเข้าปากไปสองสามชิ้น อาหารเต็มปากของเธอและพึมพำว่า "อร่อยจัง"

"อร่อยมากก็จริงแต่อย่าหยิบไปแบบนั้น เอาตะเกียบไป อยู่ในห้องพักตลอดเชื้อโรคเยอะแยะ เธอจะกินเกี๊ยวหรือจะกินเชื้อโรค?" หลังจากผู้คุมคุ้นเคยกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วเธอก็จู้จี้มากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนป้าเพื่อนบ้านที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นมากกว่า ไม่เหมือนกับผู้คุมเลย

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและหลังจากรับตะเกียบแล้วเธอก็กินเกี๊ยวต่อไป อี๋นั่วเอาแต่จับเกี๊ยวยัดเข้าปากแก้มทั้งสองข้างปูดจนผู้คุมที่อยู่ข้างกายก็กล่าวว่า "ช้าๆ กินช้าลงหน่อย…"

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงไม่หยุดกินกระทั่งเธอกินเกี๊ยวทั้งสองกล่องจนหมด เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาที่แดงก่ำของเธอ เธอส่งยิ้มให้ผู้คุมและพูดว่า "เกี๊ยวนี้อร่อยมาก"

ผู้คุมมองเธอและถอนหายใจ "ต่อให้อร่อยก็ต้องค่อยๆกิน มาเถอะดื่มน้ำหน่อย"

เจี่ยนอี๋นั่วรับน้ำที่ผู้คุมส่งมาให้เธอ เธอจิบน้ำอุ่นและส่งยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณ เหลิ่งเซ่าถิง ขอบคุณที่มาหาฉัน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะเธอนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาก อี๋นั่วดูเหมือนจะกินได้มากขึ้น บางครั้งเมื่อมองไปที่ผู้หญิงตัวอ้วนในกระจก อี๋นั่วอดคิดไม่ได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงในวันนั้นมองเธอในรูปร่างแบบนี้ เขาจะมองเธอออกจริงๆหรือ หลังจากเธอท้อง รูปร่างของเธอก็เปลี่ยนไปมากและเธอก็ไม่ได้ใส่ใจกับภาพลักษณ์ของเธอเลย

หากว่ามีโอกาสอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วต้องการใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและดูดีขึ้นเพื่อให้เหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าไม่ใช่ชุดคนป่วยหรือชุดแรงงาน

อย่างไรก็ตามแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะดูอ้วนขึ้นกว่าเดิมมาก แต่เธอก็ยังผอมเมื่อเทียบกับหญิงตั้งครรภ์คนอื่น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าสารอาหารที่เธอกินเข้าไปมากมายนั้นอาจถูกเด็กในท้องดูดซึมไปแล้ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้เธอก็อดไม่ได้ที่จะก้มหัวชี้ไปที่ท้องของเธอและกล่าวเบาๆ "นี่เป็นความอยากอาหารของเด็กน้อยจริงๆ"

หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งเดือน เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าร่างกายของเธอเริ่มไม่สามารถทนได้แล้ว แพทย์ได้เตือนอี๋นั่วว่าสภาพร่างกายของเธอมีแนวโน้มที่จะคลอดก่อนกำหนดและเธอต้องเตรียมพร้อมตลอดเวลา ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว การให้กำเนิดลูกก่อนกำหนดนี้เป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะอดทน เธอรู้สึกว่าถ้าเธอตั้งครรภ์เด็กคนนี้ต่อไปอีกสองสามวันอันตรายที่เด็กจะต้องเผชิญก็จะน้อยลงเมื่อคลอดเด็กออกมา ความอดทนแบบนี้ในฐานะแม่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นหลับยากในทุกคืน ท้องของเธอถูกกดทับจนแทบหายใจไม่ออก

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง หลังจากนอนได้สักพัก จู่ๆก็มีพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมโทรศัพท์มือถือและพูดกับอี๋นั่ว "มีสายเรียกเข้ามาหาคุณ"

อี๋นั่วขมวดคิ้วและรับโทรศัพท์มือถืออย่างสะลึมสะลือ จากนั้นพยาบาลก็ได้เดินออกไปจากห้องพักในทันที เสียงหัวเราะของชายคนหนึ่งดังมาจากไมโครโฟน "อี๋นั่ว คิดถึงผมไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงของชายคนนั้น "เหลิ่งหมิงอัน?"

"ใช่ล้ว" เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ "ขอโทษด้วยที่ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังจะโทรรบกวนคนท้อง แต่ผมมีของขวัญให้คุณ คุณอยากเห็นไหม?"

“คุณจะกำลังเล่นบ้าอะไร?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ "คุณหันหน้ามาสิ มองออกไปนอกหน้าต่าง …"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว หันศีรษะช้าๆและมองออกไปนอกหน้าต่าง แม้ว่าจะมองเห็นไม่ชัดเจน แต่สามารถมองเห็นแสงที่สว่างไสวอยู่ด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วประคองตัวเองกับกำแพงไว้แล้วเดินออกจากเตียงอย่างช้าๆ เธอเดินไปยังหน้าต่าง เธอเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยและทันทีที่เห็น ท้องฟ้าในยามค่ำคืนเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟที่งดงาม ดอกไม้ไฟทำให้เมืองในเวลากลางคืนมีสีสันสดใสราวกับว่ามีการจัดงานเฉลิมฉลองที่สำคัญ

"นี่คือของขวัญที่ผมให้คุณ" เหลิ่งหมิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม "เป็นเพราะว่าดอกไม้ไฟแห่งการเฉลิมฉลองการหมั้นหมายของเหลิ่งเซ่าถิง สามารถทำให้ผู้คนได้เห็นกันทั่วทั้งเมือง!"

ผู้คุ้มรีบเข้ามาคว้าเจี่ยนอี๋นั่วและถาม "เธอเป็นอะไรไป?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพร้อมกับตอบว่า "ฉัน..ฉันปวด…"

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วได้สลบไปด้วยความเจ็บปวด เธอหลับตาลงและจมลงสู่ความมืด เมื่อเธอลืมตาขึ้นอีกครั้งเธอก็เห็นรอบด้านนั้นเป็นสีขาว เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นด้วยความตกใจ เธอคิดว่าเธออาจสูญเสียลูกไปเหมือนครั้งที่แล้ว

อี๋นั่วตัวสั่นและลูบท้องของเธอเบาๆ เมื่อได้สัมผัสแล้วหน้าท้องของเธอยังคงโตอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นอย่างช้าๆ เธอเห็นว่านี่ไม่ใช่คุก แต่เป็นโรงพยาบาลด้านนอก เธอถูกล่ามโซ่ไว้กับราวเหล็กของเตียงโรงพยาบาลและมีเพียงมือข้างเดียวเท่านั้นที่ขยับได้

"เธอไม่ต้องขยับ เพื่อเลี่ยงการทำร้ายทารกในท้องของเธอ" ผู้คุมที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวพลางขมวดคิ้ว

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสท้องของเธอเบาๆจากนั้นก็นอนลงอย่างรวดเร็วและถาม "ลูกของฉันมีอะไรไม่ปกติหรือ?"

ผู้คุมส่ายหน้า "ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร แต่แพทย์จะต้องตรวจเธออย่างละเอียด พวกเขาบอกให้เธอพยายามทำให้อารมณ์ของตัวเองสงบนิ่ง อย่าให้อารมณ์ขึ้นๆลงๆมากนัก เธอคือหญิงตั้งครรภ์"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอและพยักหน้าเบาๆ "เข้าใจแล้ว หลังจากนี้ฉันจะพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีกว่านี้"

"ตื่นแล้วหรือ?" แพทย์หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เหลือบมองไปที่แพทย์หญิงแล้วรีบพูดว่า "ตื่นแล้ว หมอ ตอนนี้อาการฉันเป็นอย่างไรบ้าง?"

"ค่อนข้างคงที่ แต่คุณจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเพื่อคอยสังเกตการณ์ การหน้านี้เคยแท้งลูกใช่ไหม?" แพทย์ถามพลางจดบันทึก

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "และเมื่อครบเดือนถึงจะแท้ง"

แพทย์ขมวดคิ้วและกล่าว "ร่างกายของคุณนั้นยังไม่แข็งแรงมากนัก ความเสี่ยงของเด็กคนนี้นั้นมีสูงมาก คุณตัดสินใจที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้หรือไม่? หากคุณรอให้เด็กอายุครบหนึ่งเดือน คุณก็จะไม่มีโอกาสเสียใจภายหลังแล้ว"

แพทย์หญิงกล่าวพลางมองไปที่กุญแจมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเบาๆว่า "ดูเหมือนว่าสถานการณ์ปัจจุบันของคุณนั้นไม่เหมาะแก่การมีลูกมากนัก"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและกล่าวว่า "ฉันจะให้กำเนิดเด็กคนนี้และฉันจะไม่มีวันที่จะไขว้เขวอย่างแน่นอน"

แพทย์หญิงขมวดคิ้วและพยักหน้าเบาๆ "งั้นช่วงเวลานี้คุณก็พยายามควมคุมอารมณ์ของตัวเองเอาไว้และทางเราจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาลูกของคุณ"

เมื่อแพทย์หญิงพูดจบ เธอก็หันหลังกลับทันทีและเตรียมตัวออกไป เจี่ยนอี๋นั่วรีบตะโกนเรียกเธอไว้ "เดี๋ยวก่อน ฉันขอถามหน่อย ฉันท้องลูกแฝดหรือเปล่า?"

แพทย์หญิงถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันที "ใครบอก?"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบตอบเธอ "ไม่มีใครบอกอะไร แต่ท้องของฉันดูเหมือนจะใหญ่กว่าของหญิงตั้งครรภ์ในช่วงเวลาเดียวกัน ฉันก็เลยสงสัยว่าจะเป็นฝาแฝด"

"ไม่ใช่ฝาแฝด คุณต้องฟังความเห็นของโรงพยาบาลเท่านั้น อย่าไปเดาเมาซั่ว"

หลังจากที่แพทย์หญิงพูดจบเธอก็ขมวดคิ้วและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา "พวกคุณที่กำลังท้องก็จะชอบคิดเรื่องราวต่างๆมากมายอาจจะทำให้กระทบกับเด็กทารกในครรภ์ ตอนนี้คุณท้องโตขึ้นอาจเป็นเพราะตำแหน่งของทารกในครรภ์ สิ่งที่คุณต้องทำตอนนี้คือผ่อนคลายและไม่ต้องไปคิดอะไร ในกรณีนี้คุณต้องการให้กำเนิดเด็กและได้ทำเรื่องที่ผิดพลาดไปแล้ว คุณก็ต้องเลิกคิดเรื่องราวต่างๆที่จะกระทบต่อเด็กได้แล้ว หากว่าเกิดการคลอดก่อนกำหนดหรือคลอดตายก็เป็นความรับผิดชอบของคุณ เมื่อถึงเวลานั้นก็อย่าคร่ำครวญและกล่าวโทษสิ่งนั้นล่ะ"

"หมอ เธอเป็นหญิงมีครรภ์ดังนั้นเธอจะคิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ คุณอย่าก้าวร้าวกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะทำผิดพลาด แต่เธอก็เป็นผู้ป่วยเช่นกัน เธอควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกันไม่ใช่หรือ?" ผู้คุมที่กำลังมองดูแพทย์แสดงท่าทีก้าวร้าวต่ออี๋นั่ว เธอนั้นก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเสียงดัง

แพทย์หญิงมองไปที่ผู้คุมของเธออย่างว่างเปล่าและเดินออกไปด้วยความเย็นชา ผู้คุมมองอี๋นั่ว เธอยิ้มและปลอบโยน "อย่าไปคิดมากเลย ปล่อยวาง"

เจี่ยนอี๋นั่วมองผู้คุม เธอยิ้มเบาๆ จากนั้นเธอก็ใช้มือลูบหน้าท้องของเธออย่างอ่อนโยน เธอควรจะปล่อยวางความกังวลในใจของเธอ ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดถึงปัญหาเหล่านั้น นับจากนี้ไปเธอจะเป็น "แม่ที่โง่เขลา" ที่มีเพียงแต่ลูกอยู่ในสายตาของเธอ เพียงแค่จ้องมองไปที่ท้องที่โตขึ้นของเธอ เธอก็ไม่สนใจและไม่คิดถึงสิ่งใดอีกเลย

"ลูกแม่ แม่รอหนูคลอดออกมาอยู่นะลูก" เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องของเธอ เธอยิ้มและกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าจะมีลูกสาว เมื่อเทียบกับเด็กผู้ชาย เจี่ยนอี๋นั่วชอบผู้หญิงมากกว่า เด็กหญิงตัวเล็กๆ ส่งเสียงร้องเบาๆวิ่งไล่ตามหลังเธอ เกาะติดเธอ มีเสี้ยงเจี๊ยวจ๊าวและคอยเรียกเธอว่า "แม่ แม่…"

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธอจะให้ลูกสาวของเธอ …

เมื่อเธอคิดถึงเรื่องราวตรงนี้ ทันใดนั้นสีหน้าเศร้าหมองก็ได้ปรากฎขึ้น เธอไม่สามารถให้อะไรลูกสาวของเธอได้เลย ไม่มีทางที่จะให้เสื้อผ้าสวยๆใส่ ให้ของเล่นน่ารักๆก็ไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในวันหนึ่งบางทีลูกสาวของเธออาจจะไม่พอใจเธอ เนื่องจากเธอไม่สามารถดูแลเด็กน้อยและมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเธอได้ แล้วทำไมถึงอยากจะมีลูกขึ้นมาล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถคิดคำอธิบายได้ เพราะเธอต้องการให้กำเนิดเด็กคนนี้ด้วยจุดประสงค์ที่เห็นแก่ตัวที่สุด เธอต้องการเด็กคนนี้ เธออยากให้กำเนิดเด็กคนนี้ เพียงเพื่อที่จะประคับประคองเธอให้ผ่านการจำคุกที่ยาวนานนี้

"ขอโทษด้วย" แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมาในใจเธอ แต่เธอก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะยิ้ม บางทีสิ่งเดียวที่เธอสามารถทำให้เด็กคนนี้ได้อย่างดีที่สุดคือรอยยิ้มของเธอ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เธอตั้งครรภ์หรือหลังจากที่เด็กคนนี้เกิดมา

ถึงฤดูหนาวแล้ว ตระกูลเหลิ่งที่หนาวเย็นอยู่แล้วนั้นก็เพิ่มความหนาวเย็นเข้าไปอีก แม้แต่คุณนายเหลิ่งยังต้องเอาผ้าคลุมไหล่มาคลุมผ้านวมไว้ จากนั้นเธอจึงเอนกายพิงหลังได้อย่างสบายใจและรอฟังการรายงานจากชายหนุ่มวัยกลางคน

"เป็นแฝดหรือ?" เมื่อคุณนายเหลิ่งได้ยินการรายงานจากชายหนุ่มวัยกลางคน เธอก็อดขมวดคิ้วไม่ได้

ชายหนุ่มวัยกลางคนนั้นพยักหน้า "และยังเป็นฝาแฝดต่างเพศ ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง"

คุณนายเหลิ่งยิ้ม "เจี่ยนอี๋นั่วนี้เป็นคนที่ไม่ธรรมดาจริงๆ เธอท้องลูกฝาแฝดต่างเพศ"

คุณนายเหลิ่งกล่าวจบ เธอลดสายตาลงและพูดอย่างเย็นชา "ฉันต้องการเด็กชายคนนั้น ปกปิดเรื่องนี้จากอี๋นั่วต่อไป เธอเองก็กำลังสงสัยเรื่องท้องฝาแฝด ให้เธอคิดว่าเธอกำลังตั้งครรภ์เด็กหญิงคนหนึ่งเท่านั้น ทันทีที่เด็กคลอดจะถูกส่งไปยังสถานที่ที่เราจัดไว้ เลี้ยงเอาไว้ก่อน ฉันหวังว่าฉันจะไม่ต้องใช้งานเด็กชายคนนั้น"

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้ว “ตอนนี้คุณชายกำลังเตรียมตัวสำหรับการแต่งงานและดูเหมือนว่าเขาจะลืมเจี่ยนอี๋นั่วไปแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคุณชายดูแลคุณกู้เป็นอย่างดี ดูห่วงใยคุณกู้เป็นอย่างมาก การเลี้ยงดูเด็กคนนี้จะเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตหรือไม่”

“ดูพูดเข้า ทำไมคุณคิดน้อยแบบนั้น?”

เมื่อคุณนายเหลิ่งกล่าวเช่นนี้ เธอก็เอาผ้าคลุมไหล่ของเธอมาพันไว้และพูดอย่างเย็นชา "คุณกู้คนนั้น ถึงแม้ว่าฉันจะเลือก เมื่อมองดูแล้วเธอนั้นเชื่อฟังฉันมาก แต่ก่อนหน้านี้ก็มีเจี่ยนอี๋นั่วอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่คุณกู้จะจะเปลี่ยนความคิดและเปลี่ยนใจอีกครั้ง หากว่าเหลิ่งเซ่าถิงถูกเธอเล่นแง่และเธอแตกแยกความสัมพันธ์กับฉัน ก็จะมีเด็กคนนี้และยังเป็นเด็กชายอีกแถมยังเป็นลูกคนแรกของเหลิ่งเซ่าถิง ในเวลานั้นหากว่าเธอไม่ยอมฟังคำพูดฉัน ฉันก็สามารถทำให้เธอตกอยู่ในสภาวะที่ยากลำบากได้เช่นกัน"

"ผู้หญิงพวกนี้ ไม่ว่าจะดุร้ายหรืออ่อนน้อมก็มาที่นี่เพื่อทรัยพ์สินของตระกูลเหลิ่งกันทั้งนั้น ฉันอยากให้พวกเธอรู้ว่าพวกเธอเป็นเพียงเครื่องประดับสำหรับการให้กำเนิดเด็กของเซ่าถิงเท่านั้น พวกเธอเข้ามาในตระกูลได้เพียงกี่วัน? คิดอยากจะเสพสุขกับเงินของตระกูลที่ฉันหามาได้? จะเชื่อฟังและรับใช้ฉันตลอดไปจนแก่เฒ่าได้อย่างไร?"

คุณนายเหลิ่งสบถและกล่าว "หึ พ่อของเหลิ่งเซ่าถิงเองก็โดนผู้หญิงหลอกและได้จบชีวิตไป หลานของฉันก็ต้องฟังฉันสั่งฉันถึงจะมีชีวิตที่สงบสุข สิ่งนี้…"

เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดเช่นนี้เธอก็ไออย่างรุนแรง หลังจากไอเป็นเวลานาน คุณนายเหลิ่งก็แทบไม่หายใจ เธอผลักชายวัยกลางคนออกไป เพื่อให้เขาไปเอาน้ำมาให้เธอ เธอรีบดื่มน้ำอย่างรวดเร็วจากนั้นเธอก็หายใจและกล่าวต่ออย่างเยือกเย็น "ตระกูลเหลิ่งนี้ ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน ตระกูลจึงจะมั่นคง พวกเขาแต่ละคน อย่าพูดถึงการกระทำที่ขัดต่อความคิดของฉันอย่าแม้แต่จะคิดถึงมัน!"

ขณะที่คุณนายเหลิ่งกล่าวน้ำเสียงก็เบาลง เธอห่อผ้าคลุมไหล่ไว้แน่นขมวดคิ้วและพูดว่า "ทำไมหนาวขนาดนี้? เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ามีอะไรผิดปกติ?"

ชายวัยกลางคนโค้งคำนับและกล่าวว่า "คุณนาย คฤหาสน์นี้เก่าเล็กน้อย อุปกรณณ์การก่อสร้างก็พุพังไปบ้าง แม้ว่าจะได้รับการตกแต่งใหม่ แต่ก็มีปัญหาในบางครั้ง หากว่าคุณนายไม่ค่อยสะดวกสบาย ก็ลองหาที่ใหม่…"

"อะไรที่ใหม่?" คุณนายเหลิ่งเหลือบมองชายวัยกลางคนอย่างเย็นชาและพูดอย่างเยือกเย็น "คุณกำลังพูดถึงคฤหาสน์หลังใหม่งั้นหรือ? ฉันจะบอกให้นะ อย่าได้พูดถึง คฤหาสน์เหลิ่งหลังนี้ ฉันสร้างเองกับมือ คุณบอกว่าเก่า? กำลังจะบอกว่าฉันแก่? ใช่ไหม?"

ชายวัยกลางคนรีบส่ายหน้าและรีบตอบ "คุณนาย ผมไม่กล้าคิดแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย"

คุณนายเหลิ่งกล่าวอย่างเย็นชา "ทางที่ดีก็ต้องเป็นแบบนั้น ฉันจะบอก ฉันไม่แก่อย่างที่คิดและบ้านหลังนี้ไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่คิด ความรุ่งเรืองของตระกูลเหลิ่งเริ่มจากฉัน เริ่มต้นจากคฤหาสน์หลังนี้ เมื่อมันเจิดจรัสรุ่งเรืองมากขึ้นก็ต้องเป็นเพราะฉันและจะต้องเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้!"

ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างรวดเร็ว: "ใช่…ใช่…"

"ช่างเถอะ ไปซะ อยู่ไปฉันก็ปวดหัวและโกรธเปล่าๆ รอให้ฉันดีขึ้นก่อน ฉันจะเปลี่ยนพวกคุณให้หมด ไม่มีประโยชน์สักคน!" คุณนายเหลิ่งกล่าวเอนกายบนเก้าอี้และโบกมือให้ชายวัยกลางคนออกไป

ชายวัยกลางคนเดินถอยหลังออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งจากนั้นมองไปที่ประตูห้องของคุณนายอย่างว่างเปล่าและสาปแช่งอย่างเงียบๆ "แก่แล้วไม่เจียม!"

ชายวัยกลางคนพูด จากนั้นเขาหันหลังและเดินออกไป ในเวลานี้โทรศัพท์ของเขาสั่น เขาก้มศีรษะมองลงบนหน้าจอ เมื่อเห็นว่าบัญชีธนาคารของเขาได้รับเงินห้าสิบล้าน เขาก็เม้มริมฝีปากและค่อยๆหัวเราะ ในเวลานี้ ลมหนาวกระทบเข้ากับชายวัยกลางคน เขาจึงต้องหดคอและกอดอกเอาไว้แน่น

ชายวัยกลางคนมองไปรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงลมหนาว แต่มองไม่เห็นว่าลมมาจากไหน ทำให้ห้องโถงคฤหาสน์เหลิ่งที่ตกแต่งอย่างหรูหรา แต่เดิมที่ดูน่ากลัวแล้วยังน่ากลัวขึ้นอีกเท่าตัว ชายวัยกลางคนหดคอและกล่าว "คฤหาสน์นี้เก่าขนาดนี้แล้วควรจะต้องรีบเปลี่ยนแปลงบ้างแล้ว"

แม้ว่าจะดูหรูหราและงดงาม แต่ด้านในก็ดูเก่าและทรุดโทรมแล้ว

มันก็เหมือนตระกูลเหลิ่ง ถึงเวลาแล้วที่จะมีเจ้าของคนใหม่

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังให้กับเหลิ่งหมิงอัน เมื่อเธอได้ยินประโยคนี้เธอคิดว่าตัวเองนั้นอาจได้ยินผิดไป เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้า ค่อยๆหมุนตัวกลับไปมองหมิงอันจากนั้นเธอถามด้วยเสียงที่สั่นเครือ "คุณพูดว่าอะไร?"

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเอียงศีรษะและยิ้มจากนั้นก็กล่าวว่า "ผมกำลังบอกว่า เหลิ่งเซ่าถิงกำลังจะหมั้น น่าจะแต่งงานกันเร็วนี้ๆ ถ้าหากว่าหลังจากแต่งแล้วก็อาจจะท้องเลยก็ได้จากนั้นก็จะมีทายาทรุ่นต่อไป ผมอาจจะเป็นคุณลุงในเร็ววัน เด็กที่เกิดกับผู้หญิงคนนั้นเป็นลูกของเหลิ่งเซ่าถิง ส่วนเด็กในท้องของคุณก็เป็นเพียงลูกนอกสมรส โอ๊ะ ไม่สิ ไม่ไม่ แม้แต่ลูกนอกสมรสก็ไม่อาจเป็นได้ ลูกนอกสมรสเหมือนพ่อผมยังมีโอกาสได้กลับไปตระกูลเหลิ่ง แต่ลูกในท้องของคุณนั้นไม่มีวันแม้แต่จะได้เหยียบเข้าประตูบ้านของตระกูลเหลิ่ง!"

เจี่ยนอี่นั่วกัดริมฝีปากของเธอ ร่างกายของเธอสั่นเทาและเธอนั้นส่ายศีรษะไปมา "ไม่ ฉันไม่เชื่อคำพูดคุณ"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "คุณไม่ได้ติดต่อกับเหอหลวนเล่อเหรอ? ลองโทรถามเธอดูสิ เธอคนนั้นจะต้องรู้อย่างแน่นอน"

"ใช่..ใช่หลิวจื่อซิงหรือเปล่า?" เจี่ยนอี๋นั่วกำชายเสื้อผ้าและถามด้วยเสียงสั่นเครือ "คนที่แต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิงคือหลิวจื่อซิงหรือเปล่า?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า "หลิวจื่อซิงนั้นเป็นเพียงนางบำเรอเท่านั้น คู่หมั้นของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นพวกเราก็เคยพบเจอกันแล้ว เป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน นุ่มนวลและงดงามมาก เหลิ่งเซ่าถิงเองก็ชอบพอเธอคนนั้นมากเหมือนกัน อย่างน้อยเขาก็ได้วางแผนที่จะหมั้นหมายกับหญิงสาวคนนั้นแล้วและเขาก็ดูคิดจริงจังอยากจะปกป้องเธอคนนั้นด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันและถามด้วยเสียงเย็นชา "คุณมาถึงที่นี่เพื่อที่จะบอกเรื่องนี้กับฉันงั้นสิ?"

เหลิ่งหมิงอันส่ายหน้า เขายกนิ้วขึ้น ชี้ไปยังท้องของเขา "จะมาเตือนคุณหน่อย รีบกำจัดเด็กในท้องออกไปเร็วๆเถอะ ในตอนที่ยังไม่สายไป นี่เป็นเรื่องที่ดีสำหรับลูกและสำหรับคุณ"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็ค่อยๆคลายยิ้มจากนั้นสีหน้าของเขาก็ดูจริงจัง "จากมุมมองของผม ผมหวังเป็นอย่างมากว่าหากว่าคุณคลอดเด็กออกมา แบบนั้นผมเองก็สามารถใช้เด็กมาข่มขู่คุณได้ บังคับให้คุณมาอยู่กับผม แต่…"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวเช่นนี้ เขาก็นิ่งงันไปชั่วขณะและกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า "แต่เจี่ยนอี๋นั่ว ผมไม่อยากให้คุณลำบากไปมากกว่านี้ สถานการณ์ปัจจุบันของคุณไม่เหมาะกับการมีลูก สิ่งที่คุณกำลังตั้งท้องอยู่ในตอนนี้นั้นไม่ใช่ลูก แต่คล้ายกับว่าจะเป็นระเบิดที่ไม่รู้จะระเบิดเมื่อไหร่ สิ่งนี้อาจทำให้คุณลำบากกายใจและบางทีสุดท้ายคุณก็ยังรักษาเขาไว้ไม่ได้"

"ไม่ได้อยากให้ฉันลำบากหรือไง?" เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดัง "ตอนนี้ฉันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ไงกัน คุณนี่ไง? คุณพูดออกมาได้อย่างไรว่าไม่อยากให้ฉันลำบาก?"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเยาะและกล่าวว่า "เจี่ยนอี๋นั่ว สิ่งที่ทำให้คุณเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ผม เป็นตัวคุณเอง คุณไม่ควรก้าวเข้าไปในตระกูลเหลิ่งตั้งแต่แรก ไม่ควรตกหลุมรักชายที่ชื่อเหลิ่งเซ่าถิงและทำให้เหลิ่งเซ่าถิงตกหลุมรักคุณ บางเรื่องต่อให้ผมไม่ได้ลงมือ ก็จะต้องมีบางคนลงมือ ความสัมพันธ์ของคุณและเซ่าถิงนั้นได้ถูกวางแผนเพื่อประโยชน์ไว้แล้ว คุณควรจะขอบคุณ ตอนนี้มีเพียงแค่เราที่คิดจะใช้ประโยชน์จากคุณ ถ้าหากคุณถูกศัตรูจับได้ในห้างสรรพสินค้าของเซ่าถิง คุณตายไปนานแล้ว"

"งั้นฉันก็ต้องขอบคุณคุณที่มอบชีวิตให้ฉันงั้นสิ?" เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน เธอยิ้มและกล่าวเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้า เขายิ้มและกล่าว "ใช่สิ ไม่ต้องเกรงใจ"

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิง เธอถามเบาๆว่า "คุณไม่กลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้เรื่องเหล่านี้หรือ? ไม่กลัวว่าเรื่องเหล่านี้จะลอยไปถึงหูเซ่าถิงหรืออย่างไร?"

“รู้แล้วจะทำไม? เขาก็ยังเลือกที่จะทิ้งคุณ”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองอี๋นั่วและถาม "เจี่ยนอี๋นั่ว คุณยังอยู่ในภาพลวงตาสินะ ตอนนี้คุณติดคุกอยู่แล้วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังปกป้องคุณงั้นสิ? ช่างไร้เดียงสานัก หากว่าเหลิ่งเซ่าถิงอยากจะปกป้องคุณจริงๆ เขาก็สามารถส่งคุณไปยังเกาะที่ปลอดภัยได้ ไม่ใช่ส่งมาที่นี่ คู่หมั้นคนปัจจุบันของเซ่าถิงนั้นถูกซ่อนตัวไว้ พวกเราไม่มีใครที่จะหาเจอได้และไม่มีใครสามารถทำร้ายได้ ใครจะส่งคนที่รักเข้าคุกกัน? คุณไม่ลองคิดบ้างหรือบางทีเขาอาจจะรู้ทุกอย่างอยู่แล้วแต่ก็ยังเลือกทิ้งคุณ เพราะเขาเดาได้แล้วว่าศัตรูของเขาคือใคร หากว่าเขายังเลือกปกป้องคุณ เขาอาจเสียเวลาเสียทุกอย่างมากจนเกินไป คุณน่ะ ยังไม่คุ้มค่าพอที่เขาจะลงทุนทุกอย่างมาเพื่อปกป้องคุณไงล่ะ"

เจี่ยนอี๋นั่วแทบล้มลงไปกองกับพื้น เธอจับเก้าอี้และประคองตัวเองเอาไว้ เธอรู้ว่าไม่ควรเชื่อเหลิ่งหมิงอัน ก่อนหน้านี้เขาก็โกหกเธอมาตลอด หากว่าเธอยังเชื่อเหลิ่งหมิงอันอีกก็เหมือนกับเธอโง่ คำพูดของเหลิ่งหมิงอันนั้น ไม่น่าเชื่อเลยแม้แต่ประโยคเดียว แต่เพราะคำพูดของเหลิ่งหมิงอันนั้นเจาะลงไปในความกังวลที่มีอยู่ภายในหัวใจของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าเสียใจ

"ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ? โกรธเพราะเหลิ่งเซ่าถิงไม่เชื่อคุณ แต่ก็ยังมีความหวังกับเขาอยู่ คิดว่าเขาอาจจะใช้วิธีอื่นเพื่อปกป้องคุณงั้นสิ?"

เหลิ่งหมิงอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ "เจี่ยนอี๋นั่ว คุณนี่โง่จริงๆ ทำไมผู้หญิงที่ฉลาดนักฉลาดหนา ถึงได้พลาดท่าไร้เดียงสาให้กับผู้ชาย? ไม่แปลกใจเลยที่คุณจะตกหลุมรักผู้ชายอย่างฉู่หมิงเซวียน และโดนผมหลอกครั้งแล้วครั้งเล่า แถมยังคิดว่าผู้ชายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีอำนาจมากพอที่จะปกป้องผู้หญิงที่เขารักได้จนต้องส่งเข้ามาในเรือนจำนี้ คุณนี่ช่างน่ารักและโง่เขลา…"

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงและค่อยๆหัวเราะออกมาเบาๆ ในตอนแรกเริ่มนั้นเธอหัวเราะเบาๆจากนั้นก็ค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็เงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดังลั่น เธอทั้งหัวเราะพร้อมกับตะโกนว่า "ใช่ ฉันโง่ โง่เขลา…"

"โง่เขลาจริงๆ.." เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเสียงเบาและยังคงหัวเราะอยู่

เสียงหัวเราะของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งหมิงอันค่อยๆหุบยิ้ม เขาจ้องมองไปยังอี๋นั่วและกล่าวอย่างจริงจัง "มีเพียงผมที่รักคุณมากที่สุด ตอนนี้มีเพียงผมที่ช่วยเหลือคุณ ผมทำทุกย่าง เพื่อที่คุณจะได้เห็นธาตุแท้ของเหลิ่งเซ่าถิง รอให้เขาแต่งงานก่อน จากนั้นผมจะช่วยคุณออกมา เรื่องนี้นั้นไม่ใช่เรื่องยากสำหรับผม ผมได้หาเกาะเล็กๆไว้แล้ว เราสามารถไปอาศัยอยู่ที่นั่นได้ ไปนั่งรับลมทะเลด้วยกัน มองดูน้ำทะเลเพิ่มและลดไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องราวของตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเสียงแหบพร่า "เหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการฉันแล้ว ฉันน่ำ สำหรับคุณแล้วยังมีความน่าสนใจในการไล่ตามหรือเปล่า?"

เหลิ่งหมิงอันลูบหน้าอกของเขาเบาๆและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก "ตอนนี้คุณสำหรับผม ไม่ใช่เหยื่อที่จะต้องไล่ตามแล้ว ผมอยากอยู่กับคุณ อยากให้คุณริเริ่มที่จะจูบผม สัมผัสผมบ้าง"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน เธอยิ้มขมขื่นและกล่าว "สัมผัสคุณ ฆาตกรที่ฆ่าพ่อฉัน?"

เหลิ่งหมิงอันส่ายหน้าและถอนหายใจ "อี๋นั่ว ไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวเหล่านี้ พวกเรารู้ดีว่าใครเป็นคนฆ่าพ่อของคุณ ผมไม่ใช่คนลงมือ จะมานับมาผมเป็นฆาตกรได้อย่างไร? ความสัมพันธ์ระหว่างคนคนนั้นและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นใกล้ชิดมากกว่าคุณและผมอีก ตอนนี้คนคนนั้นก็ได้หายตัวไป อาจได้รับการปกป้องจากเหลิ่งเซ่าถิง ความสัมพันธ์ของคนคนนั้นกับเหลิ่งเซ่าถิงดีต่อกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ต่อให้เขาฆ่าพ่อของคุณ เหลิ่งเซ่าถิงจะจับเขาเข้าคุกได้อย่างไร?"

เหลิ่งหมิงอันกล่าว เขาเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเบาๆว่า "จริงๆแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงเขาก็เลือกได้ระหว่างการเอาคุณเข้าคุกกับเอาฆาตกรที่ฆ่าพ่อของคุณเข้าคุก หากว่าคุณไม่เข้าคุก คนคนนั้นก็จะต้องเข้าคุกแทนคุณและคุณก็จะไม่มีทางปล่อยคนคนนั้นไปแน่…"

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆกระพริบตาอย่างช้าๆ เธอจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน ราวกับลมหายใจของเธอนั้นหยุดนิ่ง เหตุผลที่ทำให้เธอยืนกรานที่จะเชื่อในตัวเหลิ่งเซ่าถิงก็เพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้ถึงการมีชีวิตอยู่ของพี่ชายของเขา แต่กลับจงใจทำเป็นไม่รู้เรื่อง เจี่ยนอี๋นั่วคิดเสมอว่านี่เป็นวิธีหนึ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงทำเพื่อปกป้องเธอ ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและต้องแยกเธอออกห่างเพื่อสร้างสถานการณ์ว่าทั้งสองได้แยกจากกันแล้วจึงจะปกป้องเธอได้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่เหลิ่งเซ่าถิงอาจปกป้องพี่ชายฝาแฝดของเขา หากว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าคุก เธอจะไม่ปล่อยฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอไปอย่างแน่นอน รวมทั้งเหลิ่งหมิงอันและพี่ของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วอาจให้เหลิ่งเซ่าถิงเลือก แต่เหลิ่งเซ่าถิงจะเลือกได้อย่างไร?

ทันใดนั้นอี๋นั่วก็ค้นพบว่าความเป็นไปได้ไม่ได้มีเพียงแค่ทางเดียว บางทีอาจมีความเป็นไปได้อื่นๆอีกมาก อาจเป็นเพราะเธอนั้นยังคงรักเหลิ่งเซ่าถิงและรักมากดังนั้นเธอจึงมองข้ามความเป็นไปได้ทั้งหมดไปจนหมดสิ้น

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกราวกับว่าเธอติดอยู่ในหมอกแห่งความจริงและเท็จ เธออยู่ในคุกและไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะสื่อสารกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอจะผลักดันตัวเองให้เชื่อเหลิ่งเซ่าถิงต่อไปได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นก็คือเหตุผลที่เธอเลือกเชื่อเซ่าถิงในตอนแรก แต่มันก็อาจเกิดความเป็นไปได้อื่นๆเข้ามาอีกด้วย

"ฉัน…" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวออกมาอย่างเชื่องช้า เธอกล่าวออกมาเพียงแค่หนึ่งคำและไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรต่อ

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองอี๋นั่วและกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "เหมือนว่าคุณอยากจะพักผ่อน คุณก็ลองคิดในสิ่งที่ผมพูดไปก็แล้วกัน คิดให้ดีๆ ควรจะเก็บเด็กไว้หรือไม่ ผมให้คุณเอาเด็กออก ผมนั้นเคียงข้างคุณ ให้คำแนะนำแก่คุณ ถ้าหากว่าคุณต้องการจะคลอดเด็กคนนี้จริงๆ ผมก็ไม่รังเกียจที่จะรับเลี้ยง รอผม ผมจะมารับคุณ"

เหลิ่งหมิงอันกล่าว เขายิ้มและลุกขึ้นจากนั้นเขาก็หมุนตัวและเดินจากไป

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปข้างหน้าอย่างว่างเปล่า เธอใช้น้ำเสียงที่ไม่มีใครได้ยินและกล่าวว่า "ฉันยังคงเชื่อในคุณ…"

แม้ว่าตอนนี้อาจจะมีไขว้เขวไปบ้าง แต่ก็ยังเชื่อในเหตุผลของคุณแม้จะมีความเป็นไปได้อื่นๆก็ตาม แต่ฉันก็ยังอยากจะเชื่อคุณเพราะคุณคือคนรักของฉัน เหลิ่งเซ่าถิง ฉันเคยพูดว่าฉันเต็มใจที่จะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อยืนยันความไว้วางใจในตัวคุณและฉันจะไม่มีวันผิดคำพูด แม้ว่าจะผิด แต่มันก็เป็นเพียงชั่วชีวิตเท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่มากมาย

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งนี้ ดวงตาของเธอกลับมาสว่าง รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้าของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง ลูบท้องที่โตนั้นอย่างเบามือ เธอค่อยๆลุกขึ้น ผู้คุมที่ได้ยินการพูดคุยของเหลิ่งหมิงอันและอี๋นั่ว เขาไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้น เธอมองไปที่สถานะท่าทีปัจจุบันของเจี่ยนอี๋นั่วและคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นได้รับแรงกระตุ้นที่มากเกินไป

ผู้คุมอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเพื่อพยายามประคองอี๋นั่ว อี๋นั่วส่ายหน้า เธอยิ้มและพูด "ไม่เป็นไร ฉันโอเคดี ฉัน…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวดังนั้น ทันใดนั้นเธอหยุดกะทันหันและความเจ็บปวดอย่างรุนแรงในช่องท้องของเธอทำให้เธอต้องประคองตัวเองไว้กับผนังเพื่อการทรงตัวของเธอ

วันและคืนผ่านไป ท้องของเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆโตขึ้น เมื่อเทียบกับอาการก่อกวนของด็กคนก่อน เด็กคนนี้นั้นเงียบสงบจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกังวลใจ เธอแพ้ท้องเพียงไม่กี่ครั้ง นอกจากหน้าท้องของเธอที่ขยายใหญ่ขึ้นก็มีเพียงอาการกินเก่งเท่านั้นที่ทำให้เห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังตั้งครรภ์

แต่ไหนแต่ไรอี๋นั่วนั้นไม่เคยกินเยอะมากขนาดนี้ เมื่อเธอเห็นอะไร เธอก็จะอยากกิน ไม่เพียงแต่อาหารชุดที่ทำให้เธอเพียงคนเดียว แม้แต่อาหารธรรมดาในเรือนจำเธอก็ยังสามารถกินได้อีกเป็นเท่าตัว ถึงแม้ว่าเธอจะท้องได้ไม่ถึงสี่เดื่อน แต่เมื่อมองท้องที่ค่อยๆโตขึ้นของเธอแล้วนั้นราวกับกำลังท้องห้าเดือนก็ไม่ปาน

"ท้องของฉันนั้นเริ่มใหญ่แล้วใช่ไหม?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่ท้องที่กำลังโตของเธอ เธอหันหน้าไปมองเยี่ยหมิงจูที่กำลังนำผลไม้มาให้เธอ เธอถามหมิงจูอย่างกังวล

"ก็โตนิดหน่อย แต่นั่นเป็นเพราะว่าเธอกินเยอะ" เยี่ยหมิงจูมองท้องของเจี่ยนอี๋นั่วพลางขมวดคิ้ว "แต่ตอนน้องฉันท้องก็ประมาณนี้นะ…"

"มันก็ไม่น่าจะโตขนาดนี้นะ พอมองแล้วเหมือนกับท้องแฝด" นักโทษหญิงที่เดินผ่านมากล่าวอย่างเรียบๆ

"แฝด?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและลูบท้องของเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงและพี่ชายของเขาเป็นฝาแฝด บางทีเหลิ่งเซ่าถิงอาจมียีนฝาแฝดจริงๆและไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เธออาจจะมีฝาแฝด เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของเหลิ่งเซ่าถิง คิ้วของเธอก็ขมวดแน่น พี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิงเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอด้วยตัวเองเขา ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะที่สามารถจับตัวเขาได้และให้เขาได้รับโทษที่เขาสมควรจะได้รับ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดเรื่องนี้ จู่ๆผู้คุมก็เดินเข้ามาและตะโกนว่า "ไปทำงานได้แล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวไปข้างหน้าทันที เธอเดินออกจากห้องขังพร้อมกับนักโทษหญิงที่กำลังเตรียมตัวไปโรงงาน เยี่ยหมิงจูรีบเดินเข้ามาคว้าเจี่ยนอี๋นั่วไว้ "ทำไมเธอยังไปอีก? เธอต้องพักผ่อน"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า เธอยิ้มและกล่าวว่า ""ฉันอยากไปที่นั่นอีกสักสองสามครั้ง จะได้เก็บด้ายไว้ถักทอผ้าให้กับลูก ฉันไม่สามารถพึ่งพาเธอได้เสมอไปหรอก ฉันเองก็ต้องพยายามดูแลลูกให้ดีที่สุด"

"เธอนี่ จริงๆเลย" เยี่ยหมิงจูมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเธอก็ถอนหายใจและส่ายหน้า

อาจเป็นเพราะว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังตั้งครรภ์ ผู้คุ้มจึงไม่เข้มงวดกับอี๋นั่วมากเท่าเมื่อก่อน มีด้ายบางส่วนที่ไม่ได้ใช้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็แอบเก็บเอาไว้เพื่อที่จะถักเสื้อกันหนาวและถุงเท้าให้กับเด็กน้อยในครรภ์ของเธอ ผู้คุมเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เขี่ยนอี๋นั่วนั้นให้ความสนใจแก่ลูกของเธอ

ด้ายของคนอื่นที่เหลืออยู่ก็สามารถนำมาถักทอเป็นถุงเท้าเด็กได้ บางครานักโทษหญิงในห้องขังอื่นจะเหลือเศษผ้าบางส่วนไว้ให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำชุดชั้นในสำหรับเด็กเล็ก แม้ว่าเหอหลวนเล่อจะมอบของใช้สำหรับเด็กให้กับเธอ เยี่ยหมิงจูและผู้คุมต่างก็มอบของใช้สำหรับหญิงมีครรภ์และสำหรับลูกของเธอ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงเตรียมความพร้อมทุกอย่างอย่างละเอียดรอบคอบไว้สำหรับลูกของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆมองดูสิ่งของที่มากขึ้นเรื่อยๆที่เธอได้เตรียมไว้ให้กับลูกของเธอ แม้ว่าจะยุ่งยากเล็กน้อย แต่ก็มีสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงที่ไม่ค่อยจะได้ใช้งานจากเหอหลวนเล่อ ของใช้สำหรับหญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์จากครอบครัวเยี่ยหมิงจูแล้วก็มีเสื้อผ้าเก่าๆจากผู้คุม สิ่งของเล็กๆน้อยจากนักโทษในเรือนจำนอกจากนั้นก็ยังมีเสื้อผ้าและรองเท้าเล็กๆที่เธอทำเองอีกด้วย

เมื่อสิ่งต่างๆเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆถูกเติมเต็ม หัวใจของเธอก็ค่อยๆอบอุ่นมากยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้เธอเคยกลัวการให้ของผู้อื่นเป็นอย่างมากเพราะเธอกลัวว่าจะไม่สามารถชดใช้คืนให้ได้ เธอไม่ชอบความรู้สึกเป็นหนี้คนอื่น แต่สถานการณ์ปัจจุบันของเธอทำให้เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับการรับสิ่งของจากคนอื่น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพบเจอกับความยากลำบากก็มีคนยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเธอ บางทีอาจเป็นคนที่เธอไม่รู้จักมาก่อนด้วยซ้ำ สิ่งนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วได้มองเห็นถึงการต่อสู้อันหนาวเหน็บของตระกูลเหลิ่ง ในที่สุดเธอก็ได้สัมผัสถึงความอบอุ่นของเพื่อนมนุษย์ ในโลกนี้ไม่ได้มีเพียงแค่คนที่ไว้วางใจซึ่งกันและกันเพื่อผลประโยชน์ดั่งเช่นตระกูลเหลิ่ง แต่บนโลกนี้ยังมีคนอื่นๆที่คอยช่วยเหลือคุณได้โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทน

เพื่อตอบแทนความช่วยเหลือของคนเหล่านี้ เจี่ยนอี๋นั่วจะต้องมีกำลังใจและใช้ชีวิตของเธอต่อไปให้ดี ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นไปตามที่เธอคาดหวังหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ตามเขาก็ตัดขาดความสัมพันธ์กับเธอเพื่อปกป้องเธอ

"953 มีคนต้องการพบเธอ" จู่ๆผู้คุมคนหนึ่งก็เดินเข้าด้านข้างอี๋นั่วและพูดกับเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เหอหลวนเล่อก็เพิ่งมาเยี่ยมเธอ ทำไมถึงมาอีกล่ะ? เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามอย่างประหลาดใจ "ขอโทษด้วยผู้คุม ฉันอยากจะรู้ได้ไหมว่าใครมาหาฉัน?"

ผู้คุมเหลือบมองอี๋นั่วและกล่าวอย่างเย็นชา "ผู้ชาย นามสกุลเหลิ่ง"

จากนั้นผู้คุมก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม "พอมองแล้วดูหล่อเหลามาก ก่อนหน้านี้ที่โทรไปหา ไม่ใช่ว่าโทรไปหานามสกุลเหลิ่งเหรอ? คนนี้ดูเหมือนอาจจะเป็นพ่อของเด็กหรือเปล่า"

เหลิ่งเซ่าถิงเหรอ? เขามาหาเธองั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตะลึงในทันที เธอขมวดคิ้วจ้องมองผู้คุม เธอใช้เวลาอยู่สักพักกว่าจะไปก้าวเท้าออกไป จากนั้นอี๋นั่วก็รีบเดินตามหลังผู้คุมไปและมุ่งตรงไปยังห้องรับรอง เมื่อผู้คุมเปิดประตูห้องรับรอง เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้า เธอลังเลอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็เดินเข้าไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องรับรองทีละก้าวทีละก้าว เธอก็เห็นชายหนุ่มรูปหล่อนามว่าเหลิ่ง ในขณะนั้นเธอหมุนตัวกลับและเตรียมเดินออกจากห้องรับรองทันที

ชายหนุ่มคนนั้นหัวเราะ ดวงตากลมโตนั้นหรี่ลงเล็กน้อย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ "ทำไมกลัวผมขนาดนั้นล่ะ? เห็นว่าเป็นผมแล้วก็จะหนีไปเลยเหรอ? หรือว่าเป็นเพราะว่าท้องแล้วอ้วนขึ้นก็เลยไม่กล้าเจอผม?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจเหลิ่งหมิงอัน เธอขมวดคิ้วและมองผู้คุม "ขอโทษผู้คุม ฉันไม่อยากพบเขา ฉันขอกลับห้องขัง"

สีหน้าลำบากใจปรากฎบนใบหน้าของผู้คุม "953 คุณผู้ชายคนนี้ต้องการที่จะพบเธอ ฉันไม่สามารถปล่อยเธอกลับไปได้"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองผู้คุมและกัดริมฝีปากล่างของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นมีอำนาจที่จะต้องทำให้เธอพบเจอเขาได้อย่างแน่นอน เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ผู้คุมที่ดูแลเธอนั้นลำบาก เธอจึงหันหลังกลับและนั่งลงตรงข้ามเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันสวมเสื้อสเวตเตอร์สีดำแมทช์ด้วยเสื้อกันลมตัวยาวสีดำและกางเกงขายาวสีดำ

เหลิ่งหมิงอันมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยและยิ้มให้อี๋นั่ว "คุณโกรธเหรอ? คุณคิดว่าใครมาเยี่ยมคุณเหรอ? เหลิ่งเซ่าถิงงั้นสิ? ไม่ใช่ว่าคุณก็โกรธเขามากหรือ? ยอมรับผิดแบบง่ายดายขนาดนั้นเป็นเพราะเซ่าถิงไม่ไว้ใจใช่ไหม? ท้ายที่สุดคุณทำงานหนักมากเพื่อกลับไปอยู่ข้างเซ่าถิงและผลลัพธ์ก็คือเขาไม่ไว้ใจคุณ เรื่องนี้ช่างน่าเศร้าจริงๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่สายตาจ้องมองไปยังเหลิ่งหมิงอัน เธอมองไปยังหน้าอกของเขา ตำแหน่งตรงนั้น เธอเคยยิงกระสุนปืนไปหนึ่งนัด แต่น่าเสียดายปืนของเธออาจโดนเหลิ่งหมิงอันทำอะไรไว้ เธอจึงไม่ได้ยิงเขาจนตาย

เหลิ่งหมิงอันก้มศีรษะลงตามการจ้องมองของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาลูบหน้าอกของเขาเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม "กำลังมองตรงนี้เหรอ? กำลังรู้สึกเสียดายที่ไม่ยิงผมจนตายใช่ไหมล่ะ? ถ้าคุณคิดแบบนี้มันทำให้ผมเสียใจมาก แต่เพื่อให้คุณรู้สึกสบายใจขึ้นสักหน่อย ผมก็เลยตั้งใจแต่งตัวให้คล้ายกับเหลิ่งเซ่าถิง เน้นสีดำเป็นพิเศษ ผมกับเหลิ่งเซ่าถิงน่าจะคล้ายกันอยู่พอสมควร คุณเห็นผมแต่งตัวแบบนี้แล้วก็น่าจะคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงใช่ไหม พวกเราเหมือนกันไหม?"

"ไม่เหมือน" เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งหมิงอันและพูด "คุณเหมือนกับต้นต้นดอกท้อที่คลุมด้วยผ้าสีดำ"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเสียงดัง "แม้ว่าคุณจะกลายเป็นคนขี้เหร่มาก แต่คุณก็ยังน่าสนใจอยู่ดี"

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้เสียงหัวเราะก็ค่อยๆหยุดลง เขาจ้องมองอี๋นั่วและกล่าวด้วยน้ำเสียงสุขุม "ในช่วงเวลานี้ ผมคิดถึงคุณมาก คุณน่ะกำลังตั้งใจกินเพื่อเปลี่ยนรูปร่างตัวเองและยังให้อาหารลูกในท้องอีก พอจะมีเวลาคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าและตอบอย่างเย็นชา "ขอโทษด้วย ไม่มี คุณดูรูปร่างของฉันก็น่าจะรู้แล้ว ฉันไม่เคยคิดถึงคุณเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าฉันคิดถึงคุณ ฉันจะต้องกินอะไรไม่ลงเลยสักอย่าง ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะอ้วนขนาดนี้ได้อย่างไร?"

"พูดจาได้เฉียบคม ไม่มีเหลิ่งเซ่าถิงหนุนหลังแล้วยังจะกล้าพูดแบบนี้ ไม่กลัวผมเลยใช่ไหม? ตอนนี้หากผมจะบดขยี้คุณ ก็เหมือนผมกำลังบดขยี้มดที่อยู่ในมือ" เหลิ่งหมิงอันเลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างเย็นชาและกล่าว "ฉันกลัวสิ แล้วอย่างนั้นคุณจะปล่อยฉันไปได้ไหม?"

"โอ้ เหมือนกับว่าจะไม่สามารถปล่อยคุณไปได้" เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "เจี่ยนอี๋นั่วถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะน่าเกลียดมาก แต่ผมก็ยังคิดถึงคุณ มันช่างน่าแปลกใจ เมื่อมองไปที่คางน้อยๆของคุณ ผมก็รู้สึกว่ามันช่างน่ามองจริงๆ รูปร่างอวบอ้วนแบบนี้ จริงๆแล้วก็น่ารักอยู่เหมือนกัน หากว่าอยู่กับผม ผมอยากจะเปลี่ยนให้คุณอ้วนขึ้นอีกหน่อย เมื่ออุ้มแล้วอาจจะนุ่มนิ่มสบายมือ"

เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะไปมองผู้คุม เธอกล่าว "ผู้คุม ฉันสามารถออกไปได้หรือยัง?"

ผู้คุมส่ายหน้า เจี่ยนอี๋นั่วจึงละสายตาและจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน เธอยิ้มพลางกล่าว "เหลิ่งหมิงอัน คุณก็รู้ว่าฉันติดคุกมานานแล้ว มีอะไรที่ดูพัฒนาขึ้นบ้าง?"

เหลิ่งหมิงอันหรี่สายตาเขาและส่ายหน้าอย่างช้าๆ "ดูเหมือนว่าทุกอย่างสมบูรณ์แบบอยู่แล้วเหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่จะต้องพัฒนา"

"หยาบคาย ฉันเข้าคุกมานานฉันเรียนรู้คำหยาบคายมากมาย" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวถึงตรงนี้ เธอก็กดเสียงให้ต่ำลง "ก่อนหน้านี้ฉันไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนในการทักทายคุณดี แต่ตอนนี้ฉันรู้แล้ว เหลิ่งหมิงอัน ฟังให้ดี คุณนี่มันไอ้ลูกหมาติดแม่ ทางที่ดีแม่มึงควรจะอยู่ให้ห่างฉันดีกว่า!"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวและลุกขึ้น เธอหมุนตัว หันหลังให้กับเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันเงียบอยู่ชั่วขณะ ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้น หัวเราะเสียงดังมากจนทั้งห้องรับรองมีเพียงแต่เสียงหัวเราะของเขา

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะจนล้มลงไปกองกับพื้น เวลาผ่านไปสักพัก เสียงหัวเราะของเขาก็ค่อยๆหยุดลง เหลิ่งหมิงอันลุกขึ้นและกับมานั่งบนเก้าอี้ เขาเช็ดน้ำตาจากเสียงหัวเราะและพูดด้วยรอยยิ้ม "ฮ่าฮ่า นานแล้วที่ไม่ได้มีความสุขขนาดนี้ แน่นอนว่าผมควรจะมาหาคุณอีก"

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา "ตอนนี้ฉันไปได้หรือยัง?"

"ก็น่าจะได้แล้ว…" เหลิ่งหมิงอันกล่าวเช่นนี้ เขาตบศีรษะตัวเองเหมือนกับว่าจู่ๆเขาก็คิดอะไรบางอย่างได้ "โอ้ ผมเกือบลืมไป จุดมุ่งหมายที่ทำให้ผมมาเป็นเพราะว่าผมมีเรื่องจะบอกคุณ"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวพร้อมกับจ้องมองแผ่นหลังเขาเจี่ยนอี๋นั่น เขายิ้มเยือกเย็นและกล่าวว่า "ผมอยากจะบอกคุณว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจะหมั้น…"

"หากว่าคุยเสร็จแล้วก็วางสายซะ" ผู้คุมที่อยู่ด้านข้างอี๋นั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี่นั่วสูดหายใจ เธอเม้มริมฝีปากจากนั้นก็ค่อยๆก้มศีรษะลง แต่เธอไม่สามารถวางโทรศัพท์ลงไปได้ เธอเงยหน้าขึ้นและมองผู้คุมด้วยสายตาแดงก่ำ "ฉันสามารถโทรอีกครั้งได้ไหม? เมื่อกี้ เมื่อกี้ฉันอาจโทรผิดเบอร์ ฉันนั้นมึนงงอยู่บ่อน ฉันอาจกดเบอร์ผิด"

"เธอไม่ได้โทรผิด เธอโทรไปยังเบอร์ที่ได้ให้ฉันไปเมื่อกี้นี้ แล้วฉันก็ได้รับการยืนยันแล้ว เธอพูดว่าชายคนนั้นชื่อเหลิ่งเซ่าถิง" ผู้คุมกล่าวด้วยเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ผู้คุม จากนั้นเธอก็หลั่งน้ำตา เธอกระพริบตาและพยายามอย่างหนักที่จะกลั้นน้ำตาไว้ แต่เธอไม่สามารถควบคุมได้ เหมือนกับว่าเธอเตือนตัวเองอยู่ในใจเสมอว่าต้องมีเหตุผลที่เหลิ่งเซ่าถิงทำแบบนี้ แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเจ็บปวด

ผู้คุมเฝ้าดูเจี่ยนอี๋นั่ว เขาถอนหายใจเบาๆและน้ำเสียงของเขาก็เบาลงเล็กน้อย "ตอนนี้เธอตกอยู่ในสถานการณ์นี้แล้ว มันไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดที่คุณทำหรือ? หากเธอสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เธออาจยังมีโอกาสเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง"

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง เธอยกมือขึ้นเช็ดเลือดที่มุมปากของเธอจากนั้นเธอก็เช็ดน้ำตาและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ฉันรู้แล้ว ขอบคุณผู้คุม"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาอีกครา ผู้คุมเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้ง เขาถอนหายใจอีกครั้งและตบหลังเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ "ในสถานการณ์แบบนี้ เรามักจะเห็นการคิดริเริ่มต้น ไม่ว่าจะกำจัดเด็กไปหรือเก็บเด็กเอาไว้ เธอก็ต้องเตรียมพร้อมสภาพจิตใจ เราเองก็จะพยายามทำหน้าที่ให้ดีและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและพยักหน้าร้องไห้ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าเธอนั้นจะอ่อนแอได้ขนาดนี้ เธอไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้เลย เธอไม่สามารถควบคุมมันได้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับเข้ามายังห้องขัง เธอนั้นได้ร้องไห้จนดวงตาของเธอบวมและแดงก่ำ คนอื่นๆที่มองเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและพวกเธอนั้นก็ไม่กล้าที่จะถามอะไรมากนัก เยี่ยหมิงจูที่กำลังเอนกายอยู่บนเตียง เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเธอก็รีบลุกจากเตียงและประคองให้เจี่ยนอี๋นั่วมานอนพักบนเตียงของเธอ

จากนั้นเยี่ยหมิงจูก็ขอน้ำร้อนจากผู้คุมและชุบกับผ้าเช็ดหน้า เตรียมที่จะเช็ดหน้าให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบรับผ้าเช็ดหน้าและกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฉันทำเอง…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพลางหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดหน้าจากนั้นก็เช็ดมือของเธอ เยี่ยหมิงจูก็รีบมอบน้ำร้อนให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ดื่มน้ำอุ่นหน่อย ปรับอารมณ์ของเธอก่อนแล้วทุกอย่างจะค่อยๆผ่านไป ตอนนี้เธอเป็นแม่คนแล้ว อย่าร้องไห้เลย ยิ่งร้องไห้ยิ่งทำลายสุขภาพ"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก เธอพยักหน้าช้าๆจากนั้นหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มน้ำ น้ำอุ่นกระจายความเย็นในหัวใจของอี๋นั่ว น้ำตาของเธอค่อยๆหยุดไหลและอารมณ์ของเธอก็ค่อยๆสงบลง

"เป็นอะไรไปล่ะ? ผู้ชายคนนั้นพูดอะไรไม่ดีเหรอ?" เยี่ยหมิงจูมองอี๋นั่วและถามเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างแล้วพยักหน้า เธออดไม่ได้ที่จะกล่าว "เขา เขาไม่ยอมรับเด็กคนนี้ ไม่ต้องการเด็กคนนี้"

"แม้ว่าจะมีผู้ชายจำนวนมากที่ไม่มีจิตสำนึก แต่เมื่อมองอี๋นั่วแล้วเธอเป็นคนที่เก่ง เป็นผู้หญิงที่มีประสบการณ์ ผู้ชายที่เธอเลือกไม่น่าจะแย่จนเกินไปหรอก มีความเข้าใจผิดอะไรกันหรือเล่า? หรือว่าผู้ชายคนนั้นมีเรื่องอะไรที่ลำบากหรือไม่?"

เยี่ยหมิงจูยิ้มและปลอบโยนเธอ "ฉัน ฉันน่ะสัมผัสได้ ฉันมองเธอแล้วก็รู้สึกว่าเธอน่ะเป็นคนที่โชคดีบางทีเธออาจโชคร้ายมาบ้าง แต่เธอจะมีชีวิตที่ราบรื่นในอนาคตอย่างแน่นอน"

หลังจากที่เยี่ยหมิงจูพูดแบบนี้ นักโทษหญิงคนอื่นๆในห้องขังก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ "เธอน่ะเหรอ? สัมผัสได้ ฉันก็สัมผัสได้ว่าเธอโดนผู้ชายหลอกเอาเงินจำนวนมากไปน่ะสิจากนั้นก็เลยต้องมาเข้าคุก? 953ยังไม่มีกำหนดออก ชีวิตหลังจากนี้ราบรื่น? เอาอะไรมาราบรื่น? จะได้รับการปล่อยตัวอีกกี่ปีเหรอ?"

เยี่ยหมิงจูพราดพรวดขึ้นในทันที เธอตะโกนเสียงดังว่า "พวกแกจะเข้าใจอะไร ฉันมองได้แค่ผู้หญิงเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ชายฉันก็เลยโดนหลอกไง!"

นักโทษหญิงคนอื่นถือโอกาสเล่าให้ฟังว่าหมิงจูนั้นโดนผู้ชายหลอกได้อย่างไร ใช้วิธีอย่างไรในการยักยอกเงินจากนั้นจึงได้มาเข้าคุก เรื่องราวถูกเล่าอีกครั้ง เยี่ยหมิงจูกระทืบเท้า เธอหน้าแดงเกินกว่าจะเถียงได้

จนกระทั่งผู้คุมเดินมาเคาะราวเหล็กและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา "พอได้แล้ว อย่าก่อกวน ในตอนนี้มีแค่พวกเธอที่เสียงดัง"

ภายในห้องขังก็เริ่มเงียบอีกครั้ง เยี่ยหมิงจูนั่งลงด้านข้างเตียงของอี๋นั่ว มองเธอที่อารมณ์เย็นลงมากแล้ว เยี่ยหมิงจูยิ้มและกล่าวว่า "บ้านของฉันส่งอาหารมาให้อีกแล้วล่ะ เธอรับไปสิ"

"ทำไมดีกับฉันถึงขนาดนี้?" เจี่ยนอี๋นั่วที่อารมณ์เย็นลงมากแล้วเงยหน้ามองเยี่ยหมิงจูและถาม

เยี่ยหมิงจูอดไม่ได้ที่ะจยิ้ม "จะเพราะอะไรอีกล่ะ? เป็นเพราะฉันเองก็มีน้องสาว พ่อแม่ของฉันจากไปอย่างรวดเร็ว ฉันเลี้ยงเธอจนเธอเติบโต แม้แต่ตอนที่เธอท้องและคลอดลูก ฉันเองนี่แหละที่เป็นคนเลี้ยงดู ของเหล่านี้นั้นล้วนแต่เป็นเธอนั่นแหละที่เป็นคนส่งให้ แม้ว่าฉันจะทำผิดพลาดแต่เธอก็ไม่ได้ละทิ้งฉันแถมยังบอกอีกว่าเมื่อฉันออกไปให้ไปอยู่กับเธอ ฉันน่ะ พบรักกับแฟนที่ไม่ดีโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำอะไรผิดพลาดด้วยความสับสน แต่โชคดีที่ฉันมีน้องสาวของฉัน ฉันจึงรอดมาได้ ไม่งั้น ฉันเองก็คงคิดอยากตายไปแล้วเหมือนกัน เมื่อฉันพบเธอ ฉันก็นึกถึงน้องสาวของฉัน ฉันอดไม่ได้จริงๆที่จะทำดีกับเธอ เธอกับน้องสาวของฉันนั้นคล้ายกันมาก ทั้งบอบ แลดูบอบบาง แต่ก็เจ้าอารมณ์"

"ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง เธอเองก็มีน้องสาว…" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวถึงตรงนี้ เธอก็ค่อยๆละสายตาและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า เธอเองก็เคยมีน้องสาว ถึงแม้ว่าตอนนี้น้องสาวของเธอได้จากไปแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นัวเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของการเป็นพี่สาว

เยี่ยหมิงจูเหลือบมองอี๋นั่ว เธอเปิดฝากล่องและส่งให้กับอี๋นั่ว "ผ่านอารมณ์ที่อ่อนแอมาแล้ว เหนื่อยจนหิวหรือยัง? เธอกินสักคำสองคำก่อนเถอะ แต่ไม่ต้องกินเยอะ อันนี้มันมีสารกันบูด เมื่อกี้ฉันได้ยินพวกผู้คุมคุยกันว่าหากว่าอยากจะคลอดลูกจริงๆก็ต้องจัดเตรียมอุปกรณ์อาหารต่างๆอย่างดี น่าจะมีการใช้จ่าย ฉันสามารถจ่ายให้เธอก่อนได้"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วทันที "ฉันไม่…"

เยี่ยหมิงจูยิ้มและส่ายหน้า "อย่ามาไม่ ฉันก็ไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น ที่ฉันจ่ายให้ก่อนเนี่ยก็เพราะว่าฉันเองก็สามารถกินกับเธอได้ ฉันรู้ว่าเธอไม่มีญาติแล้ว แม้ว่าจะมีคุณเหอคนนั้นมาเยี่ยม เธอก็ไม่อยากที่จะเรียกร้องอะไร แล้วเธอคนนั้นก็ดูเป็นคนที่ไม่ได้มีความคิดละเอียดอ่อน เราอาศัยอยู่ในห้องขังเดียวกันนี่คือพรหมมิขิตแล้ว เมื่อพวกเราออกไปจากที่นี่ บางทีฉันอาจต้องการความช่วยเหลือจากเธอก็ได้"

"แต่ฉันนั้นไม่สามารถออกไปได้" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเยี่ยหมิงจู

เยี่ยหมิงจูยิ้มและกล่าวว่า "ไอยา อย่าคิดมากขนาดนั้นเลย แค่เพียงเธอเชื่อมั่นทุกอย่างก็จะดีแค่นี้ก็โอเคแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเยี่ยหมิงจู เธอขมวดคิ้วเล็กน้อยและพยักหน้าช้าๆ เธอยังคงเชื่อในเหลิ่งเซ่าถิง เชื่อว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดแล้วก็จะต้องทำ แม้จะไม่ใช่ความตั้งใจเดิมของเขา นอกเหนือจากนี้เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่สามารถหาเหตุผลอื่นๆที่จะทำให้เธอเชื่อต่อไปได้

"ขอบคุณ.." เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะและกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องของเธอเบาๆ แม้ว่าเด็กคนนี้จะทำให้คนในตระกูลเหลิ่งหันมาเพ่งเล็งเธออีกครั้ง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่สามารถที่จะทิ้งเด็กคนนี้ไปได้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอกำลังท้อง การเอาเด็กออกไปไม่เคยอยู่ในตัวเลือกของเจี่ยนอี๋นั่วเลย เจี่ยนอี๋นั่วพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อที่จะเก็บเด็กคนนี้ไว้ ให้เด็กคนนั้นคลอดมาอย่างปลอดภัย เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าการตัดสินใจของเธอนั้นจะต้องรู้สึกผิดกับเด็กคนนี้มากถ้าให้เขาคลอดที่นี่

ขอโทษด้วย ขอให้ลูกอภัยในความเห็นแก่ตัวของแม่ด้วย เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องของเธอและคิดในใจ

"อะไรนะ? ท้อง?" คุณนายเหลิ่งที่กำลังดื่มชากล่าวขึ้นด้วยความประหลาดใจ

"ใช่ ได้รับการยืนยันแล้วว่าท้อง น่าจะประมาณสองเดือนแล้ว" ชายวัยกลางคนกำลังยืนรายงานให้กับคุณนายเหลิ่ง เขาโค้งคำนับเล็กน้อยให้กับคุณนายเหลิ่งและกล่าวด้วยความเคารพ

คุณนายเหลิ่งหรี่สายตาและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "แล้วเหลิ่งเซ่าถิงเป็นไงบ้าง? เขารู้เรื่องเด็กหรือยัง?"

"รู้แล้ว" ชายวัยกลางคนตอบ "แต่เขาไม่ยอมรับเด็กคนนี้แถมยังให้เจี่ยนอี๋นั่วกำจัดเด็กด้วย แล้วก็เขาสงสัยว่าเป็นลูกของเหลิ่งหมิงอันหรือว่าลูกของใคร"

คุณนายเหลิ่งหัวเราะขึ้น "นี่สิถึงจะเป็นหลานชายของฉัน"

ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหาคุณนายเหลิ่งและถามเบาๆ "คุณนาย เด็กคนนี้ต้องการกำจัดหรือเปล่า?"

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วและคิดอยู่นาน เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "หากว่าเป็นลูกของคนอื่นก็ควรกำจัดไป ฉันไม่อยากให้ตระกูลเหลิ่งมีลูกนอกคอก แต่หากเป็นลูกของอี๋นั่ว ฉันก็ไม่อยากกำจัด ใครจะรู้ว่าภายในใจของเซ่าถิงกำลังคิดอะไร? ช่วงนี้แม้ว่าเขาจะทำทุกอย่างตามความตั้งใจของฉัน แต่ฉันก็รู้สึกวู่วามอยู่เสมอฉันควรจะมีการ์ดลับอยู่ในมือ ฉันแก่แล้วฉันจะดูแลพวกเขาได้นานแค่ไหน? ถ้าฉันไม่มีความมั่นใจอยู่ในกำมือ ฉันก็จะไม่สบายใจ ในเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วท้องแล้วก็ปล่อยให้เธอท้องไป รอไปก่อน รอดูว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย หากเป็นเด็กหญิงก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ แต่หากเป็นเด็กชายก็พอมีประโยชน์อยู่บ้าง"

คุณนายเหลิ่งกล่าวและหลับตาลง "ฉันไม่สามารถเฝ้ามองดูลูกๆหลานๆของฉันใช้ชีวิตอยู่ด้านนอกได้"

เมื่อคุณนายเหลิ่งกล่าวเช่นนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา "เจี่ยนอี๋นั่วคนนี้ก็น่าสนใจดี ตกอยู่ในสถานการณ์นี้แล้วยังสามารถติดต่อกับตระกูลเหลิ่งได้อีก แต่น่าเสียดายที่อารมณ์ของเธอนั้นไม่ดีนัก เซ่าถิงเองก็ให้ความสนใจแก่เธอมากยิ่งขึ้น ท้ายที่สุดมันไม่เหมาะกับความคิดของฉัน ไม่อย่างนั้นการรักษาเธอไว้สำหรับฉันก็ไม่มีประโยชน์อะไร"

"ผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วนั้นโชคดีไม่พอที่ไม่เหมาะสมจะเป็นหลานสะใภ้ของคุณ" ชายวัยกลางคนกล่าว

คุณนายเหลิ่งยิ้มจากนั้นเธอก็พยักหน้า "ใช่แล้ว เธอเป็นคนที่ไม่มีโชคจริงๆ บางทีความโชคดีเล็กน้อยของเธอที่มีผลต่อเซ่าถิงก่อนหน้านี้ก็คงหมดไปแล้วและทำให้เขาได้สติขึ้น"

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่สายตา เธอตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ จากนั้นเธอจึงเข้าใจความหมายในคำพูดของเยี่ยหมิงจู

เยี่ยหมิงจูกำลังพูดว่าเธอตั้งท้อง? อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะเคยมีความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ถูกเหลิ่งหมิงอันกักขังตัวเอาไว้ เหลิ่งหมิงอันนั้นได้ก่อกวนความคิดในเรื่องเวลา เขาให้ยาเพิ่มฮอร์โมนแก่เธอ ประจำเดือนของเธอมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้ว่าเลือดออกจะน้อยมาก แต่ก็ถือว่ามีประจำเดือนแล้ว แล้วเธอจะท้องได้อย่างไร?

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "เป็นไปไม่ได้ ฉันจะท้องได้อย่างไร? ฉัน…ฉัน…"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอยกมือขึ้นปิดหน้าท้องและขมวดคิ้ว เธอนั้นเคยตั้งท้องมาก่อน เธอรู้ว่าการตั้งครรภ์เป็นอย่างไร ความรู้สึกในก็ตอนนี้คล้ายกับความรู้สึกที่เธอเคยท้อง ไม่ บางทีอาจเป็นเพราะร่างกายเธอนั้นสมบูรณ์มากขึ้น ครั้งที่แล้วที่เธอท้องก็ไม่ได้กินเยอะขนาดนี้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเธอนั้นกำลังตั้งท้อง เธอไม่อยากให้ลูกของเธอเกิดมาในคุกนี้ ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วกำลังลังเล เยี่ยหมิงจูตะโกนบอกผู้คุมที่เดินผ่านห้องขังทันที "ผู้คุม ผู้คุม! เหมือนว่า953จะไม่ค่อยสบาย เหมือนกับว่าเธอกำลังท้อง!"

เยี่ยหมิงจูกล่าวพร้อมกับหันไปยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว "ถ้าเธอท้องก็ดี การดูแลนั้นดีมาก บางทีเธออาจมีวิธีที่เกี่ยวกับการแพทย์และสามารถออกไปก่อนก็เป็นได้?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วจ้องมองผู้คุมที่เดินเข้ามาดู ตอนนี้ภายในสมองของเธอกำลังตื้อ เธอคาดหวังมากว่าเธอจะต้องไม่ท้อง อย่างน้อยก็ต้องไม่ใช่เวลานี้ เมื่อเธอมาถึงโรงพยาบาล หลังจากที่แพทย์ของเรือนจำตรวจร่างกายเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เธอก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา "คุณท้องมาสักพักแล้ว หลังจากนี้ก็ต้องระวังให้มากขึ้น มีครอบครัวหรือเปล่า ติดต่อพวกเขาหน่อย พ่อของเด็กก็ควรแจ้งด้วย…."

ตอนนี้สมองของอี๋นั่วนั้นว่างเปล่า เวลาผ่านไปชั่วครู่ เธอจึงจะกล่าว "แต่ก่อนหน้านี้ฉันมีประจำเดือนแล้วครั้งหนึ่ง ฉันจะท้องได้อย่างไร?"

"ประจำเดือนจริงหรือ อาจเป็นอาการเลือดออกในช่วงแรกของการตั้งครรภ์" แพทย์เรือนจำกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วอ้าปากค้างและท้ายที่สุดเธอก็เม้มริมฝีปาก เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่าตอนที่เธอตั้งครรภ์ลูกคนแรกเธอก็มีอาการเลือดออก เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองแพทย์จากนั้นเธอกล่าวเบาๆว่า "มีคนให้ยาเพิ่มฮอร์โมนแก่ฉัน อาจทำให้กระทบแก่เด็กในครรภ์แล้วจึงเกิดอาการเลือดออกใช่หรือเปล่า?"

แพทย์ขมวดคิ้วและมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว "มีโอกาสเป็นไปได้สูง แต่ก็ต้องเข้ารับการตรวจอีกครั้ง พวกคุณ…ไอ ที่นี่ฉันเองก็เคยพบคนแบบคุณ ในช่วงนี้ได้เสพพวกยาผิดกฎหมายหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนหน้านี้ร่างกายของเธอไม่เคยพบเจอปัญหาเช่นนี้ ผ่านไปชั่วขณะ เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้สติ ตอนนี้เธออยู่ภายในเรือนจำ ตอนนี้กับตอนที่อยู่โลกภายนอกนั้นไม่เหมือนกันแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าเบาๆ "ฉันเปล่า"

แพทย์ในเรือนจำพยักหน้าจากนั้นก็ทำการจดบันทึกและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ในช่วงท้องนั้นมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นอีกหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า "ฉันก็ไม่มี"

แพทย์เงยหน้าขึ้นและมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว "เคยมีประวัติกามโรคหรือการติดเชื้ออะไรบ้างหรือเปล่า?"

"ไม่มี ฉันไม่มี" เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า

แพทย์ประจำเรือนจำถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ถ้าเป็นแบบนั้นคุณเองก็ดีกว่านักโทษหญิงคนอื่นๆ จะให้เด็กมีชีวิตรอดหรือจะทำแท้ง คุณก็คิดให้ดี หากว่าปรึกษากับที่บ้านแล้ว คุณก็สามารถพูดคุยกับผู้คุ้มขังและสามารถออกไปได้"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า "ก่อนหน้านี้ที่ฉันเคยได้รับยาเพิ่มฮอร์โมนนั้นจะมีผลกระทบกับเด็กมากหรือเปล่า ถ้าหากฉันต้องการเก็บเด็กคนนี้ไว้"

แพทย์ที่กำลังจดบันทึกก็เงยหน้าขึ้นและมองเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับกล่าวว่า "ตอนนี้คุณอยุ่ที่นี่ มีผลกระทบกับเด็กเป็นอย่างมาก ไม่มีออกไปร้ายแรงไปกว่าการคลอดในคุกหรอก"

หลังจากแพทย์กล่าวจบ เธอก้มศีรษะลงและจดบันทึกอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธอและหันหน้าเดินจากไป ตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วถูกคุมขัง ชีวิตของเธอค่อนข้างเรียบง่ายและสงบสุข แต่การปรากฏตัวของเด็กอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทำให้จิตใจและอารมณ์ของเธอนั้นปรวนแปร เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเดินและค้ำกำแพงไว้ เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิง เธออยากโทรหาเหลิ่งเซ่าถิงและบอกเขาเรื่องที่เธอกำลังตั้งท้อง

เธอนั้นไม่รู้เลย ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร เธอไม่อยากให้เด็กเกิดในคุก เธออยากออกไป เธออยากบอกเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่ได้เข้มแข็งมากขนาดนั้น ตอนนี้เธอไม่สามารถรับเรื่องราวนี้ได้เลย

เธอเดินไปยังห้องขังด้วยท่าทีที่อ่อนแรง เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงบนเตียงของเธอ เยี่ยหมิงจูก็รีบเข้ามาหาเธอพร้อมกับถามด้วยความเป็นกังวล "เฮ้ ผลตรวจเป็นไงบ้าง? ท้องหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและค่อยๆพยักหน้าอย่างเชื่องช้า "อืม ท้อง"

เยี่ยหมิงจูยิ้มในทันที "พระเจ้า จริงใช่ไหม? นี่คือเรื่องดีๆ ฉันจะต้องบอก..บอกครอบครัวฉัน ให้พวกเขาเตรียมของสำหรับหญิงสาวที่กำลังท้อง แล้วก็ เธอนอนชั้นบนไม่ได้แล้ว เธอแลกที่นอนกับฉัน ฉันจะนอนชั้นบนเอง เธอนอนชั้นล่างได้เลย เดี๋ยวใกล้หนึ่งเดือนก็จะลุกเข้า ลุกออกลำบาก เธอ เธอไม่ต้องแยกไปนอนเดี่ยวหรอก อยู่กับพวกเรานี่แหละ ดูแลซึ่งกันและกัน มีเรื่องราวดีๆที่ควรค่าแก่การฉลองในเรือนจำนี้…"

"เรื่องราวดีๆที่ควรค่าแก่การฉลอง?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและกล่าวซ้ำ

นักโทษหญิงคนอื่นๆในห้องขังต่างขมวดคิ้ว "ก็ใช่ไง นี่ถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การฉลองไง? ใครที่เข้าคุกแล้วสามารถตั้งท้องได้? แล้วฉันก็จำได้ว่าไม่มีชายคนไหนมาเยี่ยม953เลย เมื่อถึงเวลาประกัน แพทย์ก็ตามหาใครไม่ได้ 953นั้นไม่มีกำหนดออกจากที่นี่ หากว่าเด็กคลอดที่นี่จะทำอย่างไร? หากเด็กได้รับความทุกข์ทรมานมาตลอดชีวิตควรกำจัดออกโดยเร็วที่สุด เธอเจ็บปวดเพียงชั่วคราวดีกว่าเจ็บปวดไปชั่วชีวิต"

เนื่องจากนักโทษหญิงในห้องขังนั้นได้รู้จักคุ้นหน้าคุ้นตาเจี่ยนอี๋นั่วมาสักระยะแล้ว พวกเธอจึงไม่กลัวเธอเหมือนเมื่อก่อน เมื่อได้ยินเรื่องราวของอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมา

เยี่ยหมิงจูขมวดคิ้วและกล่าวว่า "พวกเธอไม่รู้หรือไงการท้องมันยากมากแค่ไหน? พวกเธอก็พูดได้สิว่าให้กำจัดออก!"

เยี่ยหมิงจูพูดจบจากนั้นหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยิ้มและกล่าว "อี๋นั่ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่มีกำหนดออก แต่เธอก็จะได้ออกในไม่ช้าแน่ๆ เธออย่าเพิ่งเอาเด็กออก คิดดีๆแล้วค่อยคุย ใช่แล้ว บ้านฉันส่งอาหารมาให้เธอด้วย เดี๋ยวฉันเอามาให้"

เยี่ยหมิงจูรีบหยิบกล่องอาหารออกมาในทันทีและนำมาวางไว้ตรงหน้าอี๋นั่ว เธอกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม "อี๋นั่ว ตอนนี้เธอต้องดูแลสุขภาพให้ดี เรื่องของเด็ก เธอค่อยๆคิด ทางที่ดีคือเก็บเด็กไป การมีลูกนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย"

"ฉันไม่ทิ้งเด็กคนนี้หรอก" เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจและกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วสูญเสียลูกไปแล้วครั้งหนึ่งและความเจ็บปวดจากการสูญเสียลูกยังคงตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอ เป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งที่เธอจะยอมแพ้ทอดทิ้งเด็กคนนี้ แต่ตอนนี้ในสถานการณ์ของเธอ เธอจะให้กำเนิดเด็กคนนี้ได้อย่างไร? และการเกิดของเด็กคนนี้อาจทำให้เกิดตัวแปรใหญ่ คนในตระกูลเหลิ่งจะยอมให้เธอให้กำเนิดลูกของเหลิ่งเซ่าถิงหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้า เธอตัดสินใจติดต่อเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ว่าสถานการณ์ปัจจุบันของเธอและเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะแตกร้าวกันไปหรือว่ายังรักกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็อยากให้เหลิ่งเซ่าถิงได้รู้ว่าเธอกำลังท้อง มันเป็นเรื่องที่สมควรกระทำ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอลุกขึ้นยืนในทันที เธอเดินไปยังประตูองขังและกระซิบกับผู้คุมที่ยืนอยู่นอกประตู "ผู้คุม ฉันอยากจะขอปรึกษากับคนที่บ้านหน่อยจะได้ไหม?"

"เธอต้องการจะพบใคร?" ผู้คุมถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก เธอลังเลอยู่เป็นเวลานานและกล่าว "เหลิ่ง..เหลิ่งเซ่าถิง.."

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็บอกหมายเลขโทรศัพท์ของเหลิ่งเซ่าถิงและรอการตอบกลับของผู้คุม หลังจากนั้นไม่นานผู้คุมก็เดินกลับมาและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ติดต่อไปแล้ว เขาไม่อยากพบเธอแล้วก็บอกอีกว่าไม่เคยรู้จักเธอเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและถามด้วยเสียงสั่นเครือ "คุณว่าไงนะ? บอกหรือยังว่าฉันกำลังท้อง"

ผู้คุมพยักหน้า "บอกแล้ว เขาบอกว่าก็ให้กำจัดออกไป เขาไม่รับผิดชอบ แล้วก็…"

ผู้คุมกล่าวจากนั้นเขาก็หยุดลง เขามองอี๋นั่วด้วยความสงสาร "และเขาบอกว่า ตอบคบเธอ เขาป้องกันตลอด เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา ให้เธอตามหาคนที่ชื่อเหลิ่งหมิงอันไม่ก็ไปถามผู้ชายคนอื่น"

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วเบิกกว้าง เธอมองไปที่ผู้คุม เธอส่ายหน้าด้วยความตื่นตระหนกและพูดว่า "ไม่เชื่อ ฉันไม่เชื่อว่าเขาจะพูดแบบนี้ ไม่เชื่อ คุณโกหก คุณโทรให้ฉันหน่อย ให้ฉันได้คุยกับเขา!"

ผู้คุมถอนหายใจและพูด "953 สงบสติอารมณ์หน่อย ควบคุมอารมณ์! ฉันไม่ได้โกหก เขาพูดแบบนี้จริงๆ"

"ฉันไม่เชื่อ.."เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าและกล่าว

หากนี่เป็นวิธีการที่เหลิ่งเซ่าถิงทำเพื่อปกป้องเธอ นี่มันโหดร้ายเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากคิดอะไรต่อไป เธอไม่กลัวตาย เธอกลัวที่จะมีชีวิตต่อไปเช่นนี้แล้วเธอจะค่อยๆหมดความไว้วางใจที่มีต่อเหลิ่งเซ่าถิงและหมดรักเขา

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือไปจับผู้คุมแล้วร้องขอ "ผู้คุม ฉันขอร้อง ช่วยโทรหาเขาให้ฉันหน่อยได้ไหม สักครั้ง?"

ผู้คุมขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเขาก็ทำท่าคิดแล้วค่อยพยักหน้าอย่างช้าๆ "อืม"

ผู้คุมกล่าวและเรียกให้เจี่ยนอี๋นั่วออกไป เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปยังด้านข้างของโทรศัพท์ เธอกลับไม่กล้าที่ยื่นมือออกไป เธอลังเลอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นเธอก็เอื้อมมือไปและกดหมายเลขของเหลิ่งเซ่าถิง

ในขณะที่สายเชื่อมต่อ เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอจะพูดอะไร เธอกัดริมฝีปาก อีกฝ่ายนั้นรับสายและเงียบอยู่ชั่วครู่จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยเสียงที่เย็นชา "เอาเด็กออกไป เด็กคนนั้นไม่ใช่ลูกฉัน แม้ว่าจะเป็นลูกของฉัน ฉันก็จะไม่ยอมรับ เจี่ยนอี๋นั่ว เราจบกันไปแล้ว"

เขากล่าวจบก็ตัดสายไปในทันที เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอแน่นจนเกิดแผลแยกระหว่างริมฝีปากของเธอและมีเลือดไหลออกมา หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วถูกคุมขัง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสงสัย หรือว่าเธอนั้นคิดผิด เป็นไปได้ไหมว่าการปกป้องที่เรียกนั้นอาจเป็นเพียงภาพลวงหลอกที่เธอคิดขึ้น? ในความเป็นจริงแล้วเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่เชื่อเธอ เกลียดเธอ และอยากจะทิ้งเธอไป?

เหอหลวนเล่อมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว เธอขมวดคิ้วด้วยความสับสน เธอไม่รู้จริงๆว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นกำลังพูดถึงอะไร แต่เนื่องจากเหอหลวนเล่อไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงหยุดคิดเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเหอหลวนเล่อได้มั่นใจแล้วว่าอี๋นั่วคือเพื่อนรักของเธอและจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เหอหลวนเล่อก็จะยืนหยัดอยู่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วและคอยช่วยเหลือเธอ เหอหลวนเล่อพยักหน้าและกล่าว "ถ้าอย่างนั้น ฉันจะช่วยเธอจัดการเรื่องของบริษัทตามคำบอกของเธอ เพียงแต่ฉันไม่เคยจัดการกับเรื่องแบบนี้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีหรือเปล่า"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว "ฉันเชื่อเธอ เธอจะต้องทำได้ดี เธอมีความสามารถมากกว่าที่เธอคิด"

เหอหลวนเล่ออดหน้าแดงไม่ได้เมื่อได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอยกมือขึ้นเกาศีรษะและกล่าว "ไอยา เธอพูดแบบนี้ ทำให้ฉันเขินมากจริงๆ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครเชื่อในตัวฉันและชื่นชมฉันเลย ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุดและเมื่อไม่นานมานี้ที่บ้านฉันก็ผ่านมาได้ไม่เลว ถึงแม้ว่าพ่อจะยังคงปากไม่ตรงกับใจ แต่ญาติหลายๆคนก็ยืนเคียงข้างฉัน"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าว "เวลาเจอปัญหาไม่ต้องเร่งรีบ ลองมองลองคิดให้ดี คิดไม่ออกก็ลองถามแม่ได้ อย่าทำอะไรโดยประมาท ฉันคิดว่าเธอจะทำทุกอย่างได้ดีขึ้น…"

"ได้ ฉัน ฉันจะพยายาม…" เหอหลวนเล่อยิ้ม เธอก้มศีรษะ ดวงตาแดงเล็กน้อยและกล่าวเบาๆ "แต่ไม่ว่าฉันจะเก่งแค่ไหน แต่เธอก็ไม่สามารถดื่มชายามบ่ายกับฉันได้"

"ได้สิ" เจี่ยนอี๋นั่วหรี่สายตา "ฉันมีโทษจำคุกตลอดชีวิต ไม่ได้ถูกตัดสินประหารชีวิต อยู่ในนี้ฉันจะทำตัวให้ดีบางทีมันอาจกลายเป็นช่วงเวลาหนึ่ง เมื่อถึงเวลา ตราบใดที่เธอยังจำฉันได้ ฉันก็จะไปดื่มชายามบ่ายกับเธอ"

"ได้เลย!" เหอหลวนเล่อยิ้มทั้งน้ำตา

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและค่อยๆลูบกระจกหนาระหว่างเธอกับเหอหลวนเล่อ เธอเช็ดน้ำตาของเหอหลวนเล่อจากในระยะไกล จริงๆแล้วเจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่แน่ใจว่าเธอจะออกไปได้หรือไม่ ตอนนี้เธออยู่ในคุกและเธอไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องราวของโลกภายนอก แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเดาว่าเหลิ่งเซ่าถิงอาจต้องขังเธอไว้ในคุกเพื่อปกป้องเธอ แต่เธอก็ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเรื่องทั้งหมดนี้จะจบลงเมื่อใด

ดูเหมือนเธอจะต้องกลับไปยังห้องเล็กๆที่ปิดตายที่เหลิ่งหมิงอันได้จัดขึ้น ในครั้งนี้เป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะหลบหนีได้ด้วยตัวเอง เธอทำได้เพียงแค่ยึดมั่นในความหวังที่เธอต้องเชื่ออย่างมั่นคงแต่เธอก็ยังไม่รู้ว่าความหวังนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ เธอต้องตั้งตารอคอยอย่างอดทน

หากเหลิ่งเซ่าถิงลืมเธอ เธอก็พร้อมที่จะติดคุกตลอดชีวิต หากว่าเหลิ่งเซ่าถิงเกิดเรื่องอะไรที่เหนือความคาดคิด เธอก็จะพยายามทำผลงานออกมาให้ดีและพยายามรีบออกจากคุกโดยเร็วและช่วยเซ่าถิงวางแผนล้างแค้น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วถูกนำตัวกลับไปยังคุก เธอต้องแวะเข้าโรงงานก่อน ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าคุกเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้เมื่อเข้าคุกเธอก็เข้าใจแล้ว ที่แท้เมื่ออยู่ในคุกก็ต้องทำงาน นักโทษหญิงเหล่านี้เนื่องจากพวกเขาถักและเย็บผ้าค่อนข้างรวดเร็วงานทั้งหมดที่จัดเตรียมไว้สำหรับพวกเขาคือการถักเสื้อกันหนาว เพื่อป้องกันไม่ให้นักโทษซ่อนเข็มเสื้อกันหนาวสำหรับการต่อสู้หรือฆ่าตัวตายเข็มเสื้อกันหนาวเป็นเข็มพลาสติกชนิดพิเศษที่มีความปลอดภัยและหลังจากเสร็จสิ้นการทำงานแต่ละครั้งพวกเขาจะต้องคืนกลับ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมายังที่นั่ง เธอก็หยิบเข็มและเสื้อกันหนาวขึ้นมาและเริ่มถักอย่างเชื่องช้า ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยทำงานเหล่านี้มาก่อน ในขณะนักโทษหญิงคนอื่นนั้นถักกันอย่างรวดเร็วว่องไว เธอค่อยๆแกะผ้าขนสัตว์และค่อยๆถักด้วยท่าทีจริงจัง

"953 เธอถักผิด" นักโทษหญิงที่นั่งข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองลงไปที่ส่วนที่เธอถักไว้ เธอไม่เข้าใจว่าเธอผิดตรงไหนเธอขมวดคิ้วและมองไปที่นักโทษหญิงที่กำลังคุยกับเธอ นักโทษหญิงได้ขมวดคิ้วและพูด "มานี่ ฉันจะถักให้ดูสองครั้ง"

นักโทษหญิงยื่นมือไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นเข็มและด้ายในมือของเธอให้กับนักโทษหญิงคนนั้น นักโทษหญิงถักเย็บสองเข็มอย่างรวดเร็วแล้วยื่นเข็มและด้ายคืนให้กับอี๋นั่ว เธอกล่าวอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก "แบบนี้ ถึงจะถูกต้อง"

เจี่ยนอี๋นั่วมองลงไปที่ส่วนที่ถักโดยนักโทษหญิงคนนั้น เธอถักได้ประณีตกว่าอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆและกล่าวกับนักโทษหญิงคนนั้น "ขอบคุณ"

นักโทษหญิงยิ้มและส่ายหน้าพร้อมกับพูดเบาๆว่า "ไม่เป็นไร ถักบ่อยๆเดี๋ยวก็เข้าใจ"

"พูดเรื่องอะไรกัน! ไม่ต้องกระซิบกระซาบ!" เสียงที่ดุดันของผู้คุมก็ดังขึ้น

นักโทษหญิงหันหน้ากลับไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงและเริ่มถักอย่างตั้งใจ ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วการถักเสื้อสเวตเตอร์ชิ้นเล็กๆในมือของเธอเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าเธอจะถูกคุมขัง แต่ชีวิตของเธอในตอนนี้ก็เรียบง่ายกว่ากว่าเมื่อก่อนมาก เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องไปนึกถึงเรื่องของคนอื่นและไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมาเล่นแง่กับเธอ ในทุกๆวันนอนตรงเวลากินตรงเวลาและไปทำงานให้ตรงเวลา หลังจากเอาชนะความรู้สึกไม่สบายใจในการใช้ห้องร่วมกับคนอื่นในช่วงแรกได้แล้วและเอาชนะในเรื่องของการอาบน้ำรวมได้ด้วยนั้น ชีวิตในคุกของเจี่ยนอี๋นั่วก็เรียบง่ายสบายๆมากยิ่งขึ้น

หลังจากเสร็จสิ้นการทำงานของวันนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้รวมกลุ่มกินข้าวจากนั้นเธอก็กลับไปยังห้องขังของเธอ ก่อนเข้าไปในห้องขัวเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นนักโทษหญิงที่เพิ่งช่วยเธอเดินตามเข้ามาด้วย เจี่ยนอี๋นั่วก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ เธอถามเสียงเบา "เธออยู่ห้องขังเดียวกับฉันเหรอ?"

การแสดงออกที่ไม่คาดคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักโทษหญิง “ทำไม? เธอไม่รู้เหรอ? ฉันอยู่ห้องขังเดียวกับเธอมาตลอด”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าเบาๆ "ฉันไม่รู้"

นักโทษหญิงถอนหายใจ "ก็จริง ตั้งแต่เธอมาไม่มีใครมองและคุยกับเธอเลย แต่นี่ก็ไม่ได้โทษเธอ ไม่มีกำหนด ใครทนได้ภายในใจจะต้องอึดอัดใจเป็นแน่ ฉัน 786 ฉันชื่อเยี่ยหมิงจู ฉันก่อเรื่องผิดพลาดเล็กน้อยก็เลยได้เข้ามา…"

"ไอยา ผิดพลาดเล็กน้อยเรื่องอะไร คุณยักยอกเงินไปสามสิบล้านนั่นเป็นความผิดเล็กน้อยเหรอ ถูกตัดสินจำคุกห้าปีเพราะความผิดพลาดเล็กน้อย! ฉันนี่กินนอนยากลำบากก็เลยโจรกรรม ทำไมกันนะ คนเหล่านั้นถึงกินอยู่อย่างสุขสบาย ฉันต้องทนทุกข์ทรมานจากอาชญากรรมนี้ ฉันออกไปแล้ว ฉันก็ยังคงก่อโจรกรรมอีกแล้วก็กลับเข้ามา ที่นี่ยังมีอาหารให้กินมีน้ำให้ดื่ม ดีกว่าข้างนอกเสียอีก" หญิงสาวผมสั้นหน้าเหลี่ยมที่กำลังเข้าใกล้วัยสี่สิบกล่าวอย่างร้อนรน

หลังจากที่ผู้หญิงหน้าเหลี่ยมพูดจบเธอก็เหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความกลัว "แน่นอนว่าฉันนั้นเรื่องเล็กเปรียบเทียบกับเธอไม่ได้หรอก"

นักโทษในห้องขังยังคงกลัวเจี่ยนอี๋นั่วเล็กน้อย ในเรือนจำแห่งนี้มีนักโทษหญิงไม่กี่คนเท่านั้นที่ก่อคดีฆาตกรรม พวกเธอนั้นก็ยังคงกลัวเจี่ยนอี๋นั่วที่เข้ามาในคดีฆาตกรรม

เยี่ยหมิงจูกระพริบตาและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว "ฉัน ฉันทำผิดพลาดนั้นมีเหตุผล ฉันตกหลุมรักผู้ชายผิด ชายคนนั้นโกหกฉันว่าขาดทุนจากการลงทุนและยืมเงินฉันไปหมุน ตอนนั้นใจของฉันก็อ่อนจึงให้เขายืมเงินไปจากนั้นชายคนนั้นก็หนีหายไปเลย คนอย่างฉันนั้นช่างน่าสงสาร"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและกล่าวตามคำพูดของเธอ "อืม น่าสงสารมาก"

"จริงเหรอ" เยี่ยนหมิงจูรีบหยิบกล่องอาหารออกมาและกล่าวกับอี๋นั่ว "ฉันเดาว่าเธอคงเข้าใจฉัน ฉันเห็นเธออ่านหนังสือ ไม่เหมือนพวกเธอเหล่านั้น พวกเธอมักจะหัวเราะฉัน พวกเราจะต้องคุยกันได้แน่ๆ นี่คือผลไม้ที่ครอบครัวฉันนำมาให้ เธอกินสิ…"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าและกล่าว "ไม่กิน เธอกินเลย"

เมื่ออยู่ในคุกมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้กินอาหารอร่อยๆ ผลไม้และแฮมที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกภายนอกกลายเป็นทรัพยากรที่ล้ำค่าที่สุด เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อได้กลิ่นอาหารเหล่านั้น จากนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะตัวเอง ไม่ว่าเธอจะสุขสบายหรือทุกข์ยากขนาดไหน ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถควบคุมสัญชาตญาณได้เลย เมื่อเห็นอาหารเธอก็อดไม่ได้ที่จะอยากลิ้มรสมัน

"กินเถอะ อร่อยมากนะ" เยี่ยหมิงจูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ส่ายหน้า ภายในคุกนี้มีการแลกเปลี่ยนสินค้าเช่นนี้ แต่การแลกเปลี่ยนนั้นล้วนแต่เป็นพวกบุหรี่และอาหารอย่างอื่น แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่มีอะไรให้แลกเปลี่ยนเลย และเธอไม่รู้ว่าในอนาคตยังจะมีใครมาเยี่ยมเธออีกหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงของเล็กๆน้อยๆแต่หากเธอรับมันมาแล้วเธอก็อาจไม่ได้ตอบแทนคืน

"ไอยา เธอเลิกผลักไสเถอะ ฉันบอกว่าให้ก็คือให้" เยี่ยหมิงจูยื่นแฮมมาตรงปากของเจี่ยนอี๋นั่ว

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ เธอก้มหน้าลงและกัดมัน กลิ่นของเนื้อกระจายไปในปากของเธอ อี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะอ้าปากและหัวเราะ ชีวิตมนุษย์นั้นลึกซึ้ง ตราบเท่าใดที่สามารถกินและนอนหลับได้ ก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มถักทอผ้าตามความเร็วของเพื่อนได้แล้ว ดูเหมือนว่าเหอหลวนเล่อก็เข้าใจว่าเธอต้องนำของมาเยี่ยม ในตอนแรกตามความคิดของเหอหลวนเล่อ เธอได้ส่งอาหารราคาแพงมากมาย แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดเกี่ยวกับสถานการณ์ในคุกว่ามันไม่มีอุปกรณ์การปรุงอาหารอย่างรังนกที่เหอหลวนเล่อส่งมาให้ เหอหลวนเล่อก็เข้าใจในเรื่องของการส่งอาหารมากยิ่งขึ้น

ความอยากอาหารในช่วงนี้ของอี๋นั่วกลายเป็นเรื่องแปลกมาก ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่เยี่ยหมิงจูให้เธอหรืออาหารที่เหอหลวนเล่อส่งมาเธอก็อดไม่ได้ที่จะรับอาหารมาและกินอาหารเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงนี้ใบหน้าของเธอกลมขึ้นมากและรอบเอวของเธอก็กว้างขึ้นด้วย เดิมทีคนอื่นที่ติดคุกมักจะผอมลง ไม่รู้ทำไมเธอถึงเปลี่ยนเป็นอ้วนมากขึ้น

ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้อยู่ในคุก แต่อยู่ในช่วงพักร้อน

"เธอ..หรือว่าเธอมีแล้ว?" เยี่ยหมิงจูที่พิงเตียงของอี๋นั่ว เธอมองอี๋นั่วที่กินไม่หยุด เธอขมวดคิ้วและถาม

"มีแล้ว?" อี๋นั่วหยุดลง เธอขมวดคิ้วและมองเยี่ยหมิงจู "มีอะไรเหรอ?"

"มีเด็ก? ช่วงนี้เธอดูเหมือนคนกำลังท้องเลย ฉันจำได้ว่าเธอเหมือนประจำเดือนไม่มาแล้วก็เจริญอาหารมาก"

เยี่ยหมิงจูลังเลและกล่าวต่อ "ก่อนเธอจะเข้ามา ไปนอนกับใครมาใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เพลินไปกับความสงบสุขได้นานมากนัก เธอถูกนำตัวไปที่ศาลในวันนั้น ในทุกกรณีที่มีการสรุปหลักฐาน เจี่ยนอี๋นั่วก็ให้ความร่วมมือกับการสอบสวน เจี่ยนอี๋นั่วถูกตัดสินให้จำคุกตลอดชีวิต เมื่อได้ยินคำตัดสินสุดท้าย เธอเองก็ไม่ได้มีอารมณ์และอาการใดๆ

ภายในหอตัดสิน เหอหลวนเล่อมีท่าทีที่จะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหอหลวนเล่อ เป็นคนเดียวที่มาฟังคำตัดสินของเธอและสนใจเกี่ยวกับการพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายของเธอ เธอค่อยๆยิ้มและกล่าวเบาๆ "อย่าร้องไห้"

แต่ไหนแต่ไรมาเจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดว่าเหอหลวนเล่อคือเพื่อนที่ดีที่สุด เธอไม่คิดที่จะปฏิบัติต่อเหอหลวนเล่อในฐานะเพื่อนด้วยซ้ำ แต่เธอก็ไม่คาดคิดว่าคนที่คอยอยู่กับเธอในเวลานี้นั้นจะเป็นเหอหลวนเล่อ

ดูเหมือนว่าเหอหลวนเล่อจะไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกลับร้องไห้หนักกว่าเก่า เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วถูกพาตัวไปเหอหลวนเล่อยังคงร้องไห้และตะโกนบอกผู้พิพากษา "เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะฆ่าคน เธอไม่ฆ่าใคร"

ในขณะที่เหอหลวนเล่อพูดจบก็ได้วิ่งไล่ตามด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น "อี๋นั่ว เธอพูดกับพวกเขาสิ บอกว่าเธอไม่ได้ฆ่า เธอจะไปฆ่าคนได้อย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและส่ายหน้า เธอไม่ได้ตอบเหอหลวนเล่อและเธอก็เดินออกไปจากศาล จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็คอยรับฟังคำสั่งจากตำรวจ เธอต้องตัดผมสั้นและสวมเครื่องแบบของเรือนจำ เธอไม่ได้ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วอีกต่อไปแล้ว จากนี้หมายเลข 953 จะเป็นตัวเลขรหัสแทนที่ชื่อของเธอ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ในห้องขังที่หนาวเหน็บ เธอรู้สึกราวกับว่าเธอกำลังฝันร้าย และเหตุผลเดียวที่เธอเต็มใจที่จะฝันร้ายนั้นเป็นเพราะคนคนหนึ่ง คนที่มีชื่อว่า เหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าการกระทำของเธออาจจะดูโง่เขลาในสายตาของใครหลายๆคน เธอไม่ได้ทำสัญญาใดๆกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอแค่ใช้หลักการในการคาดเดาของเธอเองแล้วใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดเป็นเดิมพัน! แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกโชคดีที่เธอสามารถพบเจอผู้ชายที่ทำให้เธอเชื่อในการเดิมพันทุกอย่าง เธอคิดว่านี่คือความโชคดีอีกอย่างหนึ่ง

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกลับมายังคฤหาสน์เหลิ่ง ยังคงมีกลิ่นแอลกอฮอล์เล็กน้อยบนร่างกายเขา เขาเข้าไปพบกับคุณนายเหลิ่งพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "คุณย่า ผมกลับมาแล้ว"

คุณนายเหลิ่งจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวด้วยความกังวล "ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?"

เหลิ่งเซ่าถิงที่ยังมีอาการมึนเมา ตอบอย่างเย็นชาว่า "ขอโทษด้วยคุณย่า พอดีผมไม่ทันระวังเลยดื่มเยอะไปหน่อย"

"ยังอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือ?" คุณนายเหลิ่งถอนหายใจเบาๆ เธอส่ายหน้ามองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าว "จริงๆแล้วอารมณ์ของฉันก็ไม่ดีเท่าไหร่เหมือนกัน ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะทำเรื่องอะไรหลายอย่างลับหลังเรา พอมาคิดๆดูแล้วก็น่าตกใจจริงๆ พวกเราถูกเธอหลอกหรือเพราะฉันเองที่พาเธอเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง"

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้ามองคุณนายเหลิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม "คุณย่า จะเป็นความผิดคุณได้อย่างไร? คุณย่าเตือนผมตั้งแต่แรกแล้ว บอกผมว่าอย่าให้เธอเข้ามามีอิทธิพลในชีวิต และผลลัพธ์ที่ผมไม่ฟังคุณย่าแล้วผมยังให้เจี่ยนอี๋นั่วได้รู้ถึงการเป็นอยู่ของเออีกทำให้เธอพบเจอโอกาส ความผิดของผมเอง ในอนาคตผมจะไม่ทำผิดพลาดแบบนี้อีกแล้ว ไม่มีทาง"

คุณนายเหลิ่งถอนหายใจอย่างโล่งอก เธอส่ายหน้า ยิ้มและกล่าวว่า "แกไม่ต้องไปสนใจมากนัก ฉันได้แจ้งให้ญาติตระกูลรู้ข่าวกันหมดแล้ว พวกเขาจะไม่ทำให้แกลำบากใจ แต่ในอนาคตแกต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เช่นเดียวกับเด็กคนนั้นที่รู้วิธีใช้คอมพิวเตอร์ จริงๆแกไม่ควรให้เขารู้มากเกินไป ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ลงมือกับเขา แต่คนอื่นก็อาจลงมือกับเขา สำหรับคนประเภทนี้มีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแก แกควรจัดให้มีบุคคลที่น่าเชื่อถือ ครั้งนี้แกได้รับความสูญเสียครั้งใหญ่ เอาแบบนี้ ฉันจะหาคนคอยช่วยเหลือแก สักคนสองคน คนของฉัน แม้ว่าแกจะขับไสไล่ส่งออกไป พวกเขาก็เป็นคนที่น่าเชื่อถือและมีความสามารถ ดีกว่าคนที่แกได้มองดูจากภายนอกเสียอีก"

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆพยักหน้า "ก็ได้ คุณย่า หลังจากนี้ผมจะทำตามในสิ่งที่คุณย่าบอก"

คุณนายเหลิ่งหัวเราะ "นี่สิถึงจะถูกต้อง เราสองคนเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดในโลกใบนี้ แกเป็นหลานชายคนเดียวของฉัน แผนทุกอย่างฉันทำเพื่อแก เมื่อมรสุมพายุนี้ผ่านไป ฉันจะเลือกผู้หญิงที่เหมาะสมให้แก ให้เธอคนนั้นเป็นภรรยา แกควรมีลูกด้วย เพราะหากมีลูกมีหลานแล้ว ตำแหน่งฐานะของแกก็จะมั่นคงมากยิ่งขึ้น"

"ผมจะเชื่อฟังคำพูดของคุณย่า" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นจากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก "คุณย่า ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อน"

คุณนายเหลิ่งพยักหน้าเบาๆ "แกก็รีบไปพักผ่อนเถอะ ไม่ต้องมาพูดคุยกับฉันที่เป็นคนเฒ่าชราอยู่เลย เรื่องของเจี่ยนอี๋นั่วแกก็คิดสักนิด ครั้งนี้ก็เก็บไว้เป็นบทเรียน หลังจากนี้ผู้หญิงแบบนี้ก็อย่าไปเชื่อให้มากนัก"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขากระแอมสองสามครั้งและเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งจากนั้นเขาก็เดินกลับไปยังห้องของเขา เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปยังห้องของเขาแล้ว คนรับใช้ที่ดูแลคุณนายเหลิ่ง หยิบถ้วยซุปแล้วเดินไปที่ด้านข้างของคุณนายเหลิ่งและกล่าวว่า "เห็นท่าทางของคุณชายแล้ว ไม่รู้เลยว่าภายในใจเขากำลังคิดคิดอะไร"

คุณนายเหลิ่งยิ้มและหยิบกรรไกรขึ้นมา เธอตัดแต่งดอกไม้พร้อมกับยิ้มและกล่าว "เขาคิดอย่างไรไม่สำคัญ ตอนนี้เขารู้ว่าอะไรควรทำนั่นแหละสำคัญที่สุด เช่นเดียวกับไม้กระถางนี้มันเต็มใจที่จะถูกตัดแต่งจากฉัน เมื่อกิ่งก้านและใบถูกตัดออกไม่รู้จักความเจ็บปวดงั้นหรือ? ต่อให้เจ็บก็ต้องอดทน หากอยากเติบโตก็ต้องยอมรับ เพราะถ้าไม่มีฉันมันก็เป็นแค่วัชพืชที่ทำได้เพียงแค่หลบในซอกหลืบ ไม่สามารถนำมาวางไว้บนโต๊ะนี้ได้ ในไม่ช้ามันจะชอบการตัดแต่งกิ่งของฉัน เพราะมันไม่สามารถเติบโตได้เพราะใบไม้และกิ่งไม้ มันเติบโตได้เพราะความคิดของฉันเท่านั้น จากนั้นจะค่อยๆเชื่อฟังและทำตามใจฉันมากขึ้นเรื่อยๆ"

สาวใช้รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม "ตระกูลเหลิ่งจะต้องอยู่ภายใต้การจัดการของคุณนายเหลิ่งและจะต้องเติบโตแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคตลูกหลานตระกูลเหลิ่งจะต้องขอบคุณคุณนายเหลิ่งอย่างเป็นแน่ ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ตระกูลเหลิ่งต้องทำความสะอาดอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ฉันเห็นว่าห้องโถงตรงกลางนั้นว่างเปล่า สู้ให้จิตรกรมาวาดภาพคุณ แขวนภาพวาดคุณไว้ในห้องโถงให้กับคุณนายเหลิ่งจะดีกว่า ลูกหลานในอนาคตได้รับรู้ถึงการทำงานหนักของคุณนายเพื่อตระกูลเหลิ่ง"

"ต้องนั่งวาดภาพมันใช้เวลานานไม่ใช่หรือ? ฉันเองก็แก่แล้วไม่รู้ว่าจะนั่งไหวหรือเปล่า" คุณนายเหลิ่งยิ้มและกล่าว

สาวใช้ยิ้มและกระซิบ "คุณนายเหลิ่ง นี่เป็นโอกาสสำหรับลูกหลานของคุณที่จะได้รับรู้การกระทำของคุณ ลำบากนิดหน่อยแต่ก็คุ้มค่าไม่ใช่หรือ?"

“ก็ใช่ ฉันทำงานหนักเพื่อตระกูลเหลิ่งมานาน ก็ลำบากอีกนิดจะเป็นอะไรไปล่ะ” คุณนายเหลิ่งถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ "จะทิ้งตระกูลเหลิ่งไปได้อย่างไร?"

สาวใช้ตอบรับในทันทีและกล่าว "ใช่ ถ้าหากว่าไม่มีคุณ คนอื่นก็ไม่รู้ว่าตัวเองนั้นควรทำอะไร ทุกคนล้วยแต่ฟังคำพูดของคุณเพื่อรักษาตระกูลเหลิ่งนี้ไว้"

คุณนายเหลิ่งยิ้ม เธอะหยิบกรรไกรและเล็มใบไม้ของกระถางออก เธอถือกรรไกรดอกไม้ไว้ในมือราวกับราชินีถือคทาที่เธอจัดการชีวิตและความตายของคนอื่นได้โดยพลการ

ชีวิตในคุกของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเรียบง่ายและสม่ำเสมอ ไม่มีใครจงใจทำให้เธออับอายเหมือนที่สถานกักกัน คนอื่นๆกลัวเจี่ยนอี๋นั่วมากขึ้นหลังจากที่พวกเขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วถูกตัดสินให้จำคุกในข้อหาฆาตกรรม และเจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีหรือสีหน้าอะไรออกมาเพราะคนอื่นๆอาจกลัวจนไม่มีใครกล้าเข้าใครเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วถูกจำคุกเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้ว คนแรกที่มาเยี่ยมเธอ ดูแล้วคนนั้นก็คือเหอหลวนเล่อ เหอหลวนเล่อมีท่าทีเหมือนตอนอยู่ในศาลตัดสินเช่นเคย เธอร้องไห้อย่างน่าเวทนาเหมือนกับว่าคนที่กำลังอยู่ในคุกก็คือเหอหลวนล่อ

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ "ทำไมร้องไห้แบบนั้น? เหมือนกับฉันตายไปแล้ว"

"ฉัน..ฮึกฮึก" เหอหลวนเล่อลูบจมูกที่แดงก่ำและร้อง "อย่าเพิ่งพูดไร้สาระ ฉันเพิ่งเจอทนายคนหนึ่งที่สุดยอดมาก ฉันจะพยายามพลิกคดีเธอ"

"ไม่ต้องหรอก" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว "เธอมีจิตใจดีก็ดีแล้ว แต่เธอไม่ต้องพยายามหรอกสุดท้ายมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี"

เหอหลวนเล่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เธอก็ยิ่งร้องไห้หนักขึ้น เธอสะอึกสะอื้นและกล่าว "ทั้งหมด..ทั้งหมดเป็นเพราะเหลิ่งเซ่าถิง เขาไม่เชื่อเธอได้อย่างไร? เธอต้องไม่ฆ่าคนแน่ๆ แม้ว่า.."

เหอหลวนเล่อลดเสียงลงและกล่าวว่า "แม้ว่าคนอื่นเขาจะพูดกัน…และหลักฐานมีเพียงพอก็เถอะ.."

เมื่อเหอหลวนเล่อพูดเช่นนี้ เธอก็ค่อยๆสงบลงทันใดนั้นก็เพิ่มระดับเสียงขึ้นและพูดว่า "แต่ฉันเชื่อเธอ เพราะเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันจะต้องไม่ฆ่าใคร แต่เพราะอะไรทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ไว้ใจเธอ ฉันตัดสินใจแล้วว่าฉันจะไม่ชื่นชอบเขาอีก"

เป็นความไว้วางใจที่ดื้อรั้นและสามารถรู้สึกได้

เจี่ยนอี๋นั่วยังจำเรื่องราวที่เธอเลิกรากับเหลิ่งเซ่าถิงได้ เธอจึงบอกกับเหอหลวนเล่อ "ตอนนี้ฉันไม่อยากได้ยินชื่อเหลิ่งเซ่าถิงอีกแล้ว แทนที่จะพยายามพลิกคดีให้ฉัน เธอควรช่วยฉันแก้ปัญหาบริษัท เพราะการที่ฉันถูกจำคุกกะทันหัน บริษัทอาจล้มละลายได้ เธอช่วยเข้าไปจัดการบริษัทแทนได้ไหม ทางดีที่สุดคือหาวิธีให้บริษัทอื่น เข้าซื้อบริษัทของฉัน เพื่อให้พนักงานสามารถปักหลักได้ เงินที่เหลือก็ให้ไว้กับผู้หญิงที่ชื่อเฮ่อเยี่ยนหง"

"เฮ่อเยี่ยนหง?" เหอหลวนเ่อขมวดคิ้ว ถามด้วยความสงสัย

เจี่ยนอี่นั่วพยักหน้า "เธอเป็นภรรยาของพ่อฉัน ตอนนี้เธอไม่มีลูกสาวแล้ว ชีวิตหลังจากนี้อาจลำบาก ไม่ว่าเงินจะเหลือเท่าไหร่ก็มอบให้เธอ แม้ว่าฉันจะเข้ากับเธอได้ไม่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็คนรู้จัก"

เหอหลวนเล่อขมวดคิ้วและถาม "ลูกสาวเธอชื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหรือเปล่า? น้องสาวเธอใช่ไหม? เธอรู้ได้อย่างไรว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ ฉันกำลังจะบอกเธออยู่เลย"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้น แต่หัวใจของเธอก็ยังรู้สึกเจ็บปวดอย่างอดไม่ได้ น้องสาวที่เธอเคยห่วงใยและโกรธเคืองและสาบานว่าจะไม่มีวันให้อภัยไปตลอดชีวิตก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว ความรู้สึกแตกต่างจากตอนที่เธอยิงและฆ่าเหลิ่งหมิงอัน แม้ว่าเธอจะร้อนรน แต่ก็ยังมีความสุขในการแก้แค้น แต่การตายของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกลับทำให้เธอรู้สึกหนักอึ้งอยู่ภายในใจและเสียใจ แต่ถึงแม้ว่าตอนนี้จะรู้สึกเสียใจ เจี่ยนอี๋นั่วก็ต้องทำเรื่องนี้

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าและกล่าว "ฉันเดาน่ะ ฉันเดาว่าโลกนี้อาจจะไม่ให้เธอมีชีวิตอยู่ได้นานนัก เร็วๆนี้เธออาจจะต้องจากไปอีกโลกหนึ่งและขอโทษพ่อของเธอ"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหน้าแดง ลดเสียงลงและพูดอย่างเขินอาย: "เธอจะพูดอะไรกับฉันล่ะ? เธอก็พูดถึงเธอ บอกว่าเธอน่าจะรู้สึกดีกับฉัน เธอรู้จักฉันตั้งแต่แรกแล้วหรอ? จริงหรอ ฉันไม่รู้เลย”

เมื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดอย่างนี้ เธอก็พูดต่อและเสียงดังขึ้น: "ฉันคิดว่านี่มันก็เป็นยุคสมัยใหม่แล้ว วัยรุ่นแบบเราไม่ควรถูกผูกมัดกับกฎเก่าๆ กฎของความบริสุทธิ์ มีอะไรบ้างเรายังคงปฏิบัติตามกฎ เชยใช่ไหม?”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาลงและหัวเราะ: "ใช่ ฉันเองก็ไม่ชอบกฎฏพวกนั้น ตราบใดที่ฉันชอบผู้หญิงคนนั้น ฉันไม่สนว่าเธอจะอยู่กับใครมาก่อนหรือทำอะไรมาก่อน"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูด: "ถ้าเธอเองก็คิดแบบเดียวกัน ฉันก็โล่งใจ ที่จริงเธอก็รู้จักฉู่หมิงเซวียนดี ฉันถูกเขาหลอก ไม่งั้นฉันก็คงไม่ทำเหมือนในวิดีโอแบบนั้น ที่ฉันช่วยเธอก็เพราะฉันรู้สึกดีกับเธอ ถ้าเราสามารถลืมอดีตและเริ่มต้นใหม่ได้ ฉันคิดว่ามันจะเป็นสิ่งที่โชคดีมากสำหรับฉัน ได้อยู่กับคนที่เรารักมันเป็นอะไรที่ดีที่สุด”

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้าช้าๆ ยิ้มและพูดว่า: "ที่เธอพูดมีเหตุผลมาก ฉันอุตส่าซ่อนความรู้สึกไว้อย่างดีแต่กลับถูกเธอรู้จนได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ได้รับโทษ ฉันต้องรอรู้ผลของเธอก่อนถึงจะอยู่กับเธอได้ เธอทำกับเธอแบบนี้ ถ้าฉันไม่เห็นกับตาว่าเธอได้รับโทษแล้ว ฉันจะอยู่กับเธออย่างสบายใจได้ยังไง?”

เหลิ่งหมิงอันพูดและยกมือขึ้นจับมือของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย พูดด้วยความรักว่า: "ฉันขอโทษ เวลาที่เธอเจอความยากลำบากแล้วฉันไม่ได้อยู่เคียงข้างเธอ ฉันรู้สึกเศร้ามากเวลาคิดถึงเรื่องนี้ แต่โชคดีที่เรามีชีวิตที่เหลือเพื่ออยู่ด้วยกัน "

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่คาดคิดมาก่อนว่าเหลิ่งหมิงอันรู้สึกดีกับเธอ พูดด้วยความตื่นตระหนกทันที: "ไม่ต้องขอโทษหรอก แค่เราได้อยู่ด้วยกัน ฉันก็ดีใจแล้ว"

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ: "เธอก็รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน ถ้าเราอยู่ด้วยกันอย่างบุ่มบ่าม ฉันกลัวว่ามันจะกระตุ้นความสงสัยของเขา เธอก็ไม่อยากปล่อยให้เจี่ยนอี๋นั่วถูกลูกพี่ลูกน้องของฉันช่วยออกมาอีกใช่ไหมล่ะ?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยส่ายหัวอย่างรวดเร็ว: "ฉันจะทำอย่างนั้นได้ยังไง? เธอทำไม่ดีกัยฉันขนาดนั้น ฉันจะให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในคุกไปตลอดชีวิต"

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้า ขมวดคิ้วและพูดว่า: "ถ้าอย่างนั้นเราต้องปกปิดความสัมพันธ์ของเราไว้ก่อน ถ้าเรื่องจบลงแล้ว ฉันจะขอเธอแต่งงาน”

ขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูด เขายกมือขึ้นและลูบแก้มของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และพูดเบาๆ: "ฉันอยากแต่งงานกับเธอจริงๆ ฉันอยากเห็นเธอในชุดแต่งงานสวยๆ"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังเด็กมากและผิวของเธอเรียบเนียน ละเอียดอ่อนในการสัมผัสดีกว่าผิวของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งหมิงอันไม่รู้สึกถึงแรงดึงดูดแม้แต่น้อย บางทีเขาอาจต้องเพิ่มดวงตาที่สดใสไม่ยอมใครอีกคู่เพิ่มความฉลาดและความกระตือรือร้น แม้แต่เสียงก็หวานน้อยลงและเย็นชามากขึ้นและพูดขึ้นว่า: "เหลิ่งหมิงอัน เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ!"

สิ่งนี้จะดึงดูดเขามากขึ้นและทำให้เขาฝันถึงเธอตลอดเวลาโดยจินตนาการถึงรูปลักษณ์ของการโอบกอดเธอไว้ในอ้อมแขน เขาต้องการให้เธอสวมชุดแต่งงานสีขาวและทำบางสิ่งที่เธอและเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีโอกาสได้ทำ

เขาหมดหนทางกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ เมื่อไหร่เขาจะมีโอกาสบ้าง?

เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยซึ่งเต็มไปด้วยสีหน้าเขินอาย จากนั้นเหลิ่งหมิงอันก็ค่อยๆปล่อยมือออกและหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าข้างๆ เขายิ้มและพูดว่า: "ฉันไม่มีบัญชีธนาคารของเธอ ฉันก็เลยจะให้เงินสด เอาเงินนี้ไปใช้ก่อน แล้วฉันจะให้อีก แต่เธอต้องเก็บเป็นความลับรวมทั้งแม่ของเธอด้วย ไม่เช่นนั้นแผนทั้งหมดจะสูญเปล่า ไม่เพียงแต่เจี่ยนอี๋นั่วก็จะถูกปล่อยออกมา และเธอจะไม่ได้ทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยนสักบาท”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบรับเงินจากเหลิ่งหมิงอันและพยักหน้าอย่างรีบร้อน: "โอเค ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะทำตามที่เธอบอก"

"อืม เป็นเด็กดีจริงๆ" เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหน้าแดงอย่างเขินอายในขณะที่กำลังเก็บเงินในกระเป๋าของเธอ เธอมองไปที่เสื้อผ้าของเหลิ่งหมิงอันอย่างระมัดระวังและประเมินราคาเสื้อผ้าของเหลิ่งหมิงอัน จากนั้นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็เงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของเหลิ่งหมิงอันอีกครั้ง เขามีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง เมื่อเขามองไปที่ผู้คน ความเสน่หาที่เปิดเผยในดวงตาของเขาทำให้ผู้คนหลงใหล

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรู้สึกว่าในที่สุดเธอก็จะมีชีวิตที่มีความสุขเหมือนในเทพนิยาย เหลิ่งหมิงอันเป็นเจ้าชายของเธอที่มีเสน่ห์ เธอจะอยู่อย่างมีความสุขในปราสาทกับเหลิ่งหมิงอันและมีชีวิตที่ทำให้คนอื่นอิจฉา เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะแค้นเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เพราะเจี่ยนอี๋นั่วได้พบกับเหลิ่งหมิงอันตั้งแต่เนิ่นๆและแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง ทำไมเธอถึงไม่คลบอกตัวเอง ถ้าบอกเธอไปเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะเลือกเธอ? และเหลิ่งหมิงอันเองก็อาจตกหลุมรักเธอก่อนหน้านี้ เธอก็คงไม่ถูกฉู่หมิงเซวียนหลอก ทำให้เธอกลายเป็นตัวตลกของคนอื่น

ความแค้นที่มีต่อเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้หายไปแม้แต่น้อย จนกระทั่งเหลิ่งหมิงอันส่งคนไปส่งเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยที่บ้าน

หลังจากเหลิ่งหมิงอันส่งเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกลับแล้ว เขาก็ผดทรศัพท์คุยกับอีกคน เขาพูดขึ้น: "ผู้หญิงคนนั้นจงใจส่งเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาอยู่ข้างฉัน ดูเหมือนว่าเธอต้องการจะเอาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาปั่นฉัน เอาล่ะ ทำให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหายไปตลอดกาล ฉันไม่อยากเห็นเธอผู้หญิงโง่ๆ ถึงเธอจะน่ารักแต่เธอก็มีความร้ายกาจ แต่คนโง่และเลวทรามอย่างเธอ ช่างน่ารังเกียจจริงๆ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ควรอยู่ในโลกนี้ต่อไป”

หลังจากที่เหลิ่งหมิงอันพูดจบ เขาก็เยาะเย้ยและพึมพำกับตัวเอง: "เป็นพี่น้องกันแท้ๆ แต่ทำเรื่องเลวๆใส่กันแบบนี้ จะให้…… "

ในขณะที่เหลิ่งหมิงหนานพูดถึงตรงนี้ เขายกมือขึ้นปิดหน้าอกแม้ว่าจะไม่มีบาดแผลใดๆในบริเวณนั้น แต่เขาก็รู้สึกเสียวซ่าเบาๆ เมื่อนึกถึงตอนที่ถูกเจี่ยนอี๋นั่วยิงเข้าที่หน้าอกด้วยปืนพกที่ไม่มีกระสุนเขาก็รู้สึกเจ็บปวด

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วถูกจับ เหลิ่งหมิงอันรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆและเธอจะทำทุกวิถีทางเพื่อหลบหนี ดังนั้นเหลิ่งหมิงอันจึงจัดเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้า ปืนพกเปล่าที่เขาพกได้ตลอดเวลาและรถที่ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว แต่เหลิ่งหมิงอันไม่คาดคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะหนีไปทางนั้น ในขณะนั้นเขาคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะฆ่าตัวตาย เขาเลยวิ่งไปที่ห้องใต้ดิน

เมื่อนึกถึงตอนนี้ สถานการณ์นั้นอันตรายมากจริงๆถ้าไม่ใช่เพราะเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากฆ่าเขา แต่เป็นเพราะเธออยากกลับไปหาเหลิ่งเซ่าถิง เธอเลือกที่จะฆ่าเขาก่อนเลยก็ได้แต่เธอไม่ทำ เมื่อนึกถึงเช่นนี้หน้าอกของเหลิ่งหมิงอันก็เจ็บปวดขึ้นอีกครั้ง

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วยิงเหลิ่งหมิงอันด้วยปืนที่หน้าอก เหลิ่งหมิงอันก็รู้สึกเบื่อหน่ายและเจ็บปวดเช่นกัน แม้ว่ามันจะเป็นเพียงกระสุนเปล่า เขาแกล้งทำเป็นเจ็บปวด เหลิ่งหมิงอันยังคงรู้สึกเจ็บปวดจากการตายเขา เงยหน้าขึ้นและมองไปที่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ที่กำลังหลบหนีอย่างเร่งรีบ และเขาก็จัดเตรียมแผนต่างๆต่อ

จากนั้น เวลาที่เขาคิดถึงเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็จะเจ็บปวดที่หน้าอกขึ้นมาอีก

"เจี่ยนอี๋นั่ว……" เหลิ่งหมิงอันจับหน้าอกของเขาเงยหน้าขึ้นและหัวเราะเสียงดัง

เจี่ยนอี๋นั่วปิดตาของเธอและย่อตัวลงที่มุมห้อง ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นอย่างลึกลับมองไปที่ความมืดตรงหน้าเธอราวกับว่าเธอถูกปลุกให้ตื่นขึ้นด้วยความกลัว เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นและมองดูพ่อของเธอค่อยๆเดินเข้ามาหาเธอ การแสดงออกของเจี่ยนฉางรุ่นดูเคร่งขรึมและจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้นยืนทันที เธอเดินผ่านคนอื่นๆที่กำลังหลับอยู่และเดินไปหาพ่อของเธอ พูดขึ้นว่า: "พ่อ…… พ่อยังไม่ตายหรอ?"

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือไปสัมผัสเจี่ยนฉางรุ่นมือของเธอก็ผ่านร่างของเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว: "นี่มันเกิดอะไรขึ้น?"

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนฉางรุ่น เขาไม่ได้พูดอะไรแต่ยังคงจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยท่าทางที่เคร่งเครียด ดูเหมือนจะตำหนิเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆและถามว่า: "ต่อให้พ่อจะเป็นผี หนูก็ไม่กลัว แต่ทำไมต้องเป็นตอนนี้? เพราะหนูให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปเหลิ่งหมิงอันงั้นหรอ? พ่อคิดว่าหนูผิดหรอ? แล้วเธอไม่ต้องรับโทษงั้นหรอ? เธอใส่ร้ายหนูนะ? แถมยังไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย! ทำไมพ่อถึงต้องมาโกรธหนู? ต่อให้พ่อจะให้อภัยเธอ แต่หนูไม่มีวันให้อภัย! ต่อให้เธอเป็นน้องสาว เธอก็ต้องชดใช้!”

เจี่ยนฉางรุ่นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ถอนหายใจยาวๆจากนั้นก็หายไปอย่างช้าๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกไปเพื่อหยุดเจี่ยนฉางรุ่นไม่ให้หายไป แต่เธอยื่นมือออกมาและลืมตาขึ้นมีแสงสว่างอยู่รอบตัวและทุกอย่างในตอนนี้คือความฝัน ความฝันที่เกิดจากความไม่สบายใจที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเป็นคนที่เชื่อโชคลาง เธอรู้ว่าสาเหตุที่เธอมีความฝันเช่นนี้เป็นเพราะเธอรู้สึกสับสนเรื่องเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยในใจของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงอย่างช้าๆ เธอทำสิ่งง่ายๆแบบนั้นซึ่งทำให้เธอฝันถึงพ่อของเธอโดยไม่สบายใจ ฝันว่าพ่อของเขากำลังตำหนิเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตระกูลเหลิ่งของเหลิ่งหมิงอัน และคุณนายเหลิ่งจะมีความฝันคล้ายๆกันแบบนี้ไหม พวกเขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยเกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกเขาหรือเปล่า?

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้และหลับตาลงพร้อมกับรอยยิ้ม เธอเป็นคนไร้เดียงสาจริงๆ คนอย่างเหลิ่งหมิงอันจะรู้สึกผิดหรือรู้สึกละอายใจได้ยังไง? พวกเขาสูงส่งและดูถูกทุกสิ่ง คงคิดแค่ว่าเธอไม่สมควรอยู่บนโลกนานขนาดนี้ อยู่ไปก็ทำให้พวกเขาอารมณ์ไม่ดี

ก่อนที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะออกจากห้อง เธอดีใจจนไม่สามารถซ่อนความสุขบนใบหน้าของเธอได้ ดูเหมือนว่าเธอจะได้ไปอยู่ข้างๆเหลิ่งหมิงอัน อยู่กับเหลิ่งหมิงอันอย่างมีความสุข

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและพูดด้วยรอยยิ้ม: "แกจะมามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ทำไม ทำไมไม่รีบไปหาเหลิ่งหมิงอันล่ะ? คนที่หล่อและรวยอย่างเหลิ่งหมิงอัน ถ้าพลาดนี่เสียดายแย่เลยนะ "

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่สามารถซ่อนมุมปากที่หงายขึ้นได้ด้วยสีหน้ามีชัย: "หึ แกไม่ต้องมายุ่งเรื่องของฉัน ฉันจัดการเองได้ แกระวังตัวดีๆรอการพิจารณาคดีเถอะ ไม่ต้องห่วง ฉันไม่รันทดเหมือนแกหรอก ความสัมพันธ์พี่น้องอะไร? ฉันแค่มาดูแก ค่อยๆดูแกแก่ลงเรื่อยๆ ดูแกที่ติดคุกเป็นปี ทำไมแกไม่บอกฉันแต่แรกว่ารู้จักคนตระกูลเหลิ่ง ถ้าแนะนำให้ฉันรู้จักกับหลิ่งหมิงอันตั้งแต่แรก ฉันจะไปอยู่กับฉู่หมิงเซวียนได้ยังไง? ก็คงไม่ต้องโดนเขาใส่ร้ายจนเป็นแบบนี้ ที่ฉันเป็นอยู่ตอนนี้ แกไม่รู้สึกว่าแกต้องรับผิดชอบบ้างหรอ?”

ขณะที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูด เธอลดเสียงลงและพูดว่า: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันใช้เงินบังคับให้แกไม่มาหาฉันไม่ได้ ฉันยังสามารถใช้เงินทำให้แกมีช่วงเวลาที่น่าสังเวช เดี๋ยวแกกลับไปที่ห้อง จะมีคนคอยตามแก แม้ว่าตอนนี้ฉันจะไม่มีเงินมาก แต่แค่เห็นแกทรมาน มันก็คุ้มค่ากว่ากระเป๋าของฉัน ยิ่งทำให้ฉันมีความสุข! "

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและหัวเราะ: "ทำให้เธอมีความสุขมากขนาดนี้ ดูเหมือนว่าการตัดสินใจของฉันจะไม่ผิด"

"การตัดสินใจคืออะไร?" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยขมวดคิ้วและถามขึ้น: "ตอนนี้ฉันไม่ได้สนใจอะไรเธอเลย เวลาของฉันตอนนี้มีค่า ฉันไม่เอาเวลามาเสียที่ตัวเธอหรอก"

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยลุกขึ้นและกำลังจะออกไปจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถามเบาๆ: "การตายของพ่อ เธอไม่รู้สึกผิดเลยงั้นหรอ?"

ถ้าคำตอบขอบเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตอบว่าเธอรู้สึกผิดเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วจะยังคงเตือนเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยให้ดูแลตัวเอง อยู่ให้ห่างจากเหลิ่งหมิงอันปีศาจที่มืดมน การเชื่อมต่อทางสายเลือดนั้นลึกลับมากจนเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมที่จะให้โอกาสเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอีกครั้ง

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดอย่างเย็นชา: "ฉันจะต้องรู้สึกผิดอะไร? สภาพเขาเป็นแบบนั้น ไม่ช้าก็เร็วยังไงก็ต้องตายอยู่ดี อีกอย่างฉันไม่ได้เป็นคนฆ่า ทำไมฉันต้องรู้สึกผิดด้วย? ไม่มีพ่อที่เป็นบ้าแบบนั้น แกไม่รู้สึกโล่งกว่าเดิมหรอ? ถ้าตอนนี้เขายังไม่ตาย ก็ต้องตกมาเป็นภาระของฉันที่ต้องดูแลเขา ใครจะอยากไปดูแลพ่อที่เป็นบ้าแบบนั้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะอย่างช้าๆ เมื่อได้ยินสิ่งที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูด เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ถ้าเธอพูดแบบนี้ งั้นฉันก็ขออวยพรให้เธเมีความสุขกับเหลิ่งหมิงอันนะ"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยความโกรธ: "อย่าคิดว่าแกอวยพรฉัน แล้วฉันจะปล่อยแก ฉันจะบอกให้ มรดกของตระกูลเจี่ยนจะอยู่ในมือแกอีกไม่นานหรอก ถึงยังไงแกก็อยู่ในคุกออกมาทำอะไรไม่ได้ ฉันจะหาทนายมาสู้คดีและเอาเงินมาทั้งหมด! ฉันเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดคำไหนคำนั้น!”

หลังจากที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบก็เดินออกจากห้องไป

เจี่ยนอี๋นั่วยกปากขึ้น ยิ้มเยาะและพูดว่า: "ฉันเคยบอกว่าจะไม่มีวันให้อภัยแก สงสัยฉันก็คงต้องคำไหนคำนั้น"

หลังจากพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นและถูกตำรวจนำตัวกลับไปที่ห้องขัง เจี่ยนอี๋นั่วถูกขังไว้ในห้องที่มีคนเจ็ดแปดคน เธอหันศีรษะและมองไปที่ผู้ถูกคุมขังที่อยู่รอบๆเธอ พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงและมีหน้าตาน่าเกลียด เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ถามว่าทำไมเธอถึงถูกกักตัวที่นี่ เนื่องจากเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยบอกว่ามีคนจัดให้ "เข้า" เธอจึงต้องจัดเตรียมตามคำสั่งของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

เมื่อตำรวจจากไปผู้หญิงที่มีรูปร่างหน้าตาก็ล้อมรอบเจี่ยนอี๋นั่ว: "อัยยะ ผิวดีและเนื้อนุ่ม แกไปก่อคดีอะไรมา? ขายบริการหรอ?"

"ดูเหมือนเป็นฝูงหมาป่าที่หิวโหย มาสิ มาทำในสิ่งที่เธอทำ เธออยู่กับเราจะต้องให้บริการคนด้วย มาเลียกู ทำให้กูรู้สึกสบาย"

ขณะที่ผู้หญิงพูด พวกเขายื่นมือออกไปให้เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ผู้หญิงอย่างเย็นชา: "ฉันถูกจับเพราะฆ่าคนมา ถ้าพวกแกกล้าแตะต้องฉัน ฉันจะฆ่าทีละคน"

"ฆ่าคน? อย่ามาทำให้เราตกใจไปหน่อยเลย" ผู้หญิงคนนั้นพูดพร้อมกับเอื้อมมือไปแตะเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวไปข้างหลังและดึงแปรงสีฟันที่วางไว้ข้างอ่างล้างมือ หักด้ามแปรงสีฟันแล้วจับครึ่งหนึ่งที่แหลมคม เมื่อผู้หญิงคนนั้นพุ่งเข้ามาหาเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็จับผมของผู้หญิงคนนั้นด้วยมือข้างหนึ่งและเจาะดวงตาของผู้หญิงคนนั้นด้วยด้ามแปรงสีฟันในมืออีกข้างหนึ่ง แทงเข้าไปครั้งแรกยังไม่ลึก เจี่ยนอี๋นั่วไม่ลังเล แทงเข้าไปลึกกว่าเดิมอีกครั้ง

"ฉันผิดไปแล้ว! อย่าทำฉันเลย!" หญิงสาวขอร้องเสียงดัง พลางปิดตาของเธอ แผลที่มุมตาของเธอมีเลือดไหลออกมา

จากนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดและมองไปที่ผู้หญิงรอบๆ และพูดขึ้นว่า: "ตัวเลือกของพวกแกคือฆ่าฉันให้ตาย ถ้าไม่ฆ่าฉัน ตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ ฉันจะใช้ทุกโอกาสเพื่อตามฆ่าพวกแก ฉันเป็นนักโทษอาชญกรรม อาจได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือไม่ก็ประหาร พ่อแม่ของฉันก็ตายหมดแล้ว ฉันไม่มีอะไรต้องเสียอีก ถ้าฆ่าพวกแกอีกไม่กี่คนโทษของฉันก็คงไม่มีอะไรต่าง!”

แม้ว่าเหลิ่งหมิงอันจะแค่แกล้งตาย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังจำความรู้สึกของการฆ่าเหลิ่งหมิงอันในเวลานั้นได้ สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วเธอเคยฆ่าใครบางคนมาแล้วครั้งหนึ่ง นอกจากนี้เธอยังดูเหมือนคนสิ้นหวังที่เคยฆ่าคน

ผมของเจี่ยนอี๋นั่วกระจัดกระจาย ศีรษะของเธอลดลงเล็กน้อย เธอไม่ใช่แค่การแสดงเท่านั้น แต่เธอพร้อมที่จะต่อสู้กับความตายจริงๆ โลกที่เธอกำลังจะเผชิญนั้นช่างอ่อนแอและทรงพลัง หากมันไม่โหดเหี้ยมเธอก็สามารถเหยียบย่ำและสู้กับมันได้

ที่นี่ไม่มีลูกคุณหนูที่ร่ำรวย ไม่มีผู้หญิงที่แต่งตัวดีงดงาม ไม่มีคนรับใช้คอยล้อมรอบ มีเพียงกลุ่มอาชญากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบต่างๆ การศึกษาและความสำเร็จทั้งหมดของเธอไม่มีประโยชน์ที่นี่ มีเพียงความโหดร้ายที่มาจากใจของเธอเท่านั้นที่สามารถยับยั้งและสู้กับคนพวกนี้ได้

แม้ว่าผู้หญิงเหล่านี้จงใจทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอับอายเพราะพวกเขาได้รับเงินของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย แต่พวกเธอประเมินคนได้ว่าคนประเภทไหนรังแกได้และคนประเภทไหนที่ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ เจี่ยนอี๋นั่ว คนปัจจุบันในมุมมองของพวกเธอเป็นผู้หญิงประเภทที่อย่ายุ่งด้วยจะดีกว่า

"พวกเราผิดไปแล้ว……ผิดไปแล้วจริงๆ……" ผู้หญิงคนหนึ่งยิ้มและพูดว่า: "เราเข้าใจผิดคิดว่าเธเเป็นผู้หญิงแบบนั้น เออ……พวกเราเกลียดผู้หญิงที่ขายบริการ"

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวถอยหลังและปล่อยมือจากผู้หญิงที่มีรอยขีดข่วนจากเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่พูด แต่ก้าวกลับไปที่มุมและหลับตา ทันทีที่หญิงสาวได้รับการปล่อยตัวจากเจี่ยนอี๋นั่ว เธอปิดตาทันทีและวิ่งไปข้างหลัง ผู้หญิงร้องไห้และถามว่า: "ตาของฉันจะบอดไหม? ตอนนี้ฉันมองไม่เห็นอะไรเลย"

“ไม่บอดหรอก มันแค่เปื้อนเลือด รีบไปล้างออกเถอะ” ผู้หญิงอีกคนพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว

"โอ้ยพระเจ้า เธอกำลังจะฆ่าฉันจริงๆเหรอ เมื่อกี้พวกเธอไม่เห็นแววตาของเธอ เหมือน……เหมือนเธอหมาป่า…… "

“เธอน่าจะฆ่าคนจริงๆ”

“ ทำไมพวกเธอถึงรับงานแบบนี้ ฆาตกรแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ พวกมันไม่กลัวอะไรทั้งนั้น ช่างเถอะ ยังไงก็ได้เงินมาแล้ว ยังไงเราก็ขู่ให้เธอกลัวแล้ว แบบนี้ก็น่าจะพอละนะ เราจะออกจากที่นี่อีกสองวัน ไปมีเรื่องกับมันก็ไม่คุ้มหรอก ช่วงนี้ก็หลีกเลี่ยงมันไว้ดีกว่า”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังการพูดคุยกระซิบของผู้หญิงเหล่านั้นโดยไม่มีความภาคภูมิใจหรือความสำเร็จแม้แต่น้อย ดูเหมือนเธอจะเป็นคนที่วิ่งเข้าไปในโลกที่แปลกประหลาดโดยประมาท แต่โลกนี้ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกกลัว ถ้าเธอต้องเผชิญกับตระกูลเหลิ่งที่นี่ถือว่าจิ๊บๆไปเลย

เจี่ยนอี๋นั่วไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเธอถูกคนอื่นทำร้ายหรือเปล่า ไม่คิดว่าเธอติดอยู่ในกับดักของใครบางคนหรือไม่ จะต้องดำเนินต่อไปและเอาตัวรอดให้ได้ แม้ว่าตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วจะอยู่ในคุก แต่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่ต้องมาคิดมาก ทำให้หัวใจของเธอผ่อนคลาย

เพียงแต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตอนนี้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปหาเหลิ่งหมิงอันแล้วหรือยัง? เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเข้าหาเหลิ่งหมิงอันได้หรือเปล่า? ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่คิด ชีวิตของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็น่าจะตกนรกในไม่ช้า

ก่อนที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาเข้าไปยังจุดนัดพบ เธเหยิบแป้งออกมาแต่งหน้าแล้วยิ้ม เดินเข้าไปในร้านกาแฟ เมื่อเธอเห็นเหลิ่งหมิงอันเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ้มและเดินเข้าไปหา: "หมิงอัน เธอมารอฉันนานหรือยัง?"

เมื่อดวงตาสีพีชของเหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เขาจ้องมองด้วยสายตาที่เฉยเมยและพูดอย่างเย็นชา: "คุณเรียกฉันมามีอะไรหรือเปล่า? มีอะไรเกี่ยวกับอี๋นั่วอีกงั้นหรอ?"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย หน้ามุ่ยอย่างไม่พอใจและพูดว่า: “ถ้าไม่เอ่ยถึงเธอ เธอก็จะไม่ออกมางั้นหรอ? วันนี้ฉันไปเยี่ยมเธอมา นิสัยก็แย่เหมือนเดิม ด่าฉัน ทำให้ฉันรู้สึกแย่ เพราะงั้นฉันก็เลยเรียกเธอมา เผื่อเธอจะช่วยปลอบใจฉันได้บ้าง”

"เรียกฉันมาเพื่อปลอบเธอเนี่ยนะ?" เหลิ่งหมิงอันถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางเหล่ไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพยักหน้าอย่างเขินๆ : "อีกอย่าง ฉันอยา…… ฉันทำตามคำสั่งของเธอที่ใส่ร้ายเจี่ยนอี๋นั่วและจับเจี่ยนอี๋นั่วเข้าคุก ฉันควรได้รางวัลนะ เราควรมีความสัมพันธ์ที่ดีและติดต่อหากันได้ไม่ใช่หรอ? ถ้าเธอไม่มาหาฉันบ่อยๆฉันอาจจะเผลอพูดอะไรผิดไป เช่น สิ่งที่เธอกับพี่เขยสอนให้ฉันทำ ถ้าเป็นแบบนั้นจะทำยังไง? "

"เธอกำลังขู่ฉันงั้นหรอ?" เหลิ่งหมิงอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูด: "คุณผู้หญิง พี่เธอพูดอะไรกับเธอล่ะสิ?"

เจี่ยนอี๋นั่วปิดตาของเธอลงและพิงมุมห้อง จ้องมองที่ปลายนิ้วที่สั่นเของเธออย่างว่างเปล่า แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วได้เตรียมการทางด้านจิตใจมาเพียงพอแล้ว แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วถูกส่งไปยังคุก บรรยากาศที่คับแคบและหายใจไม่ออกทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงช่วงเวลาที่ถูกเหลิ่งหมิงอันขัง

แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะถูกเหลิ่งหมิงอันขังมาก่อน แต่ความเงียบที่หายใจไม่ออกยังคงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเงาทางจิตใจ เธอเริ่มกลัวพื้นที่แคบและหายใจไม่ออก กลัวแสงที่ส่องมาหาเธอ เจี่ยนอี๋นั่วสงสัยว่าเธอจะมีอาการกลัวน้ำด้วยหรือเปล่า

แต่อารมณ์ที่กระวนกระวายและวิตกกังวลนี้ทำให้ความคิดของเจี่ยนอี๋นั่วชัดเจน เธอยังสามารถร่างแผนการของเหลิ่งหมิงอันที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้ใน ตอนแรกเหลิ่งหมิงอันต้องการใช้เธอเป็นเบี้ยและดำเนินแผนการเดิมต่อไป แต่เมื่อเหลิ่งหมิงอันกำลังทำตามแผน เขาก็เจอกับเอ เหลิ่งหมิงอันสามารถติดตั้งกล้องถ่ายรูปในห้องที่เธอและฉู่หมิงเซวียนพบกัน เขาก็ต้องรู้เกี่ยวกับวิดีโออนาจารของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และเอที่ติดต่อกับเธออยู่ในช่วงนั้นต้องเป็นแผนของเหลิ่งหมิงอันด้วยแน่นอน

เนื่องจากเหลิ่งหมิงอันรู้จักเอแล้ว เอมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเหลิ่งเซ่าถิงและการควบคุมเอนั้นมีค่ามากกว่าการควบคุมเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งหมิงอันไม่ได้ทำอะไรกับเอต่อ แต่เขายังคงวางแผนที่จะฆ่าพ่อของเธอด้วยความพยายามที่จะใช้ประโยชน์จากความเกลียดชังของเธอ นี่แสดงให้เห็นว่าเหลิ่งหมิงอันไม่มีความสามารถฆ่าเอได้ในเวลานั้น ก็เลยต้องหาวิธีต่อไป

แต่ทำไมหลังจากที่เธอเห็นทุกอย่างแล้ว เหลิ่งหมิงอันมีความสามารถในการสังหารเอ ขโมยข้อมูลจากเอและยังวางแผนใส่ร้ายเธออีกด้วย? เขาต้องมีพันธมิตรที่ทรงพลังมากมากแน่

พวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน พวกเขาต้องการให้เธอเข้าคุก พวกเขาต้องการให้เหลิ่งเซ่าถิงแยกจากเธอ พวกเขาต้องการให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่มีวันให้อภัยเธอ เขาตัดปีกของเหลิ่งเซ่าถิงให้เขาไม่กล้าแข็งข้อ และทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟัง……

หลานชายที่ดี?

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงคุณนายเหลิ่งที่ดูใจดีและเป็นมิตร แต่อยากที่จะควบคุมทุกอย่าง เธออดไม่ได้ที่จะตัวสั่นและหัวใจของเธอก็ปวดร้าว เธอรู้สึกเสียใจที่เหลิ่งเซ่าถิงต้องเผชิญหน้ากับคนเหล่านั้น คนเลือดเย็นที่จะปฏิบัติต่อคนอื่นในฐานะของเล่นเกมหรือตัวหมากรุกเท่านั้น

"เจี่ยนอี๋นั่ว มีคนต้องการพบเธอ" มีเสียงที่เย็นชาดังขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นและถามว่า: "ใคร?"

“ น้องสาวของเธอ” น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงและหัวเราะเยาะ: "ฉันไม่มีน้องสาว ฉันไม่ไป"

"เร็วเข้า อย่าลีลา เธอบอกว่าเธอชื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และเธออยากเจอเธอ" ตำรวจหญิงเดินเข้ามาดึงเจี่ยนอี๋นั่วออกจากเรือนจำ

เจี่ยนอี๋นั่วเกือบจะล้มลงกับพื้น เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ตำรวจหญิง จากนั้นก็พูดว่า: "อย่ามาแตะต้องตัวฉัน ถ้าต้องไปเจอเธอ ฉันไปเองได้"

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเดินไปที่ห้องรับรองของเรือนจำ เธอเห็นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยที่แต่งตัวดีนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทันทีที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเห็นเธอ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็แสดงรอยยิ้มที่สดใสทันที

“ พี่ ทำไมพี่ถึงหน้าซีดแบบนี้?” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยรอยยิ้มแห่งชัยชนะ

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งตรงข้ามเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและหัวเราะ: "อย่ามาเรียกฉันว่าพี่ ฉันรู้สึกขยะแขยง เธอมาหาฉันทำไม ตอนนี้เธอได้รับอิสรภาพแล้ว แต่ฉันถูกขังไว้ เธอมาหัวเราะเยาะฉันสินะ? เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย ฉันอยากได้ยินสิ่งที่เธอพูด อาจจะทำให้ฉันรู้สึกอับอายและละอายใจบ้าง"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ้มออกมาทันทีและพูดอย่างโกรธๆว่า: "เจี่ยนอี๋นั่ว แกยังกล้าปากดีอีกหรอ? ตอนนี้แกเป็นฆาตกรไม่ใช่หรอ? แกรู้หรือเปล่า? ต่อให้แกจะมีทัศนคติที่ดีในการสารภาพผิด แกก็ฆ่าคนตาย แกต้องติดคุก บางทีอาจจะตลอดชีวิต แกยังมีหน้ามายิ้มกับฉันอีกหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ : "ฉันรู้ ฉันรู้ด้วยว่านี่เป็นฝีมือของเธอ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ฉันไม่คิดเธอทำอะไรแบบนี้ได้ด้วย"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดต่อ: "ฉันคิดว่าเธอคงทำได้แค่ฆ่าพ่อตัวเอง อย่างอื่นคงทำอะไรไม่ได้ อุ้ย ขอโทษนะ ฉันพูดผิดไป”

เจี่ยนอี๋นั่วตบโต๊ะแรงๆ และพูดเสียงดังว่า: "ฉันไม่ได้ฆ่าพ่อของฉัน ทนายของฉันช่วยฉันย้อนคดีแล้ว มันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน ฉู่หมิงเซวียนเป็นคนพาพวกเราออกไป พ่อและฉันรู้สึกโล่งใจก่อนที่ฉันจะพาพ่อออกไป สิ่งที่ฉู่หมิงเซวียนทำหลังจากนั้นไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน ฉันถูกหลอกโดยเธอและฉู่หมิงเซวียน! "

“ ทนายคนไหนที่สามารถย้อนภาพขาวดำได้ ใครหรอ? เหลิ่งหมิงอันเป็นฆาตกรตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมพ่อ เธอใช้ทนายของเขาเพื่อคืนอิสรภาพเธอ ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ? อ่อ ฉันลืมไป เธอคงไม่รู้จัก”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดเบาๆ : "พ่อไม่สำคัญกับเธอ เธอทำเรื่องเลือดเย็นได้เพียงเพื่อตัวเอง"

"เจี่ยนอี๋นั่ว แกกล้าพูดกับฉันแบบนี้ได้ยังไง?" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอดไม่ได้และตะโกนออกมา

"เจี่ยนอี๋นั่ว อย่าพูดเรื่องไร้สาระ!" ตำรวจหญิงที่ยืนเฝ้าเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มให้ตำรวจหญิงทันที: "ขอโทษนะ ตอนนี้ฉันอารมณ์ไม่ค่อยดี ต่อไปฉันจะระวัง"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็มองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและพูด: "ตอนนี้ฉันอยู่ในคุก และชื่อเสียงของแกก็พังพินาศ ฉันพยายามที่จะปกปิดวิดีโอที่ไม่เหมาะสมของแกกับฉู่หมิงเซวียน แต่ตอนนี้แกได้พูดไปแล้ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ต่อไปจะมีใครเอาแกอีก? ความหวังของแก คงไม่อยากแต่งกับคนธรรมดาสินะ คนที่มีเงินเดือนเดือนชนเดือน มีค่าใช้จ่ายฟืนข้าวน้ำมันเกลือต่อเดือนเพียงเล็กน้อย กินข้าวกับซอสและชา แกทนไม่ได้หรอก กระเป๋าหนังของแกราคาสามสี่หมื่นหยวน กระเป๋าแต่ละใบต้องเข้ากับเสื้อผ้าที่แตกต่างกัน เธอจะใช้เงินเพียงเล็กน้อยนั้นได้ยังไง? แต่ตอนนี้ฉันตัดความสัมพันธ์กับแกแล้ว แต่ฉันก็ยังเห็นใจแกเหมือนเดิม”

“แกไม่ต้องมายุ่งกับชีวิตฉัน…… ฉันจะมีชีวิตที่ดีในอนาคต……ฉัน……” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดพลางขมวดคิ้วช้าๆ ลังเลที่จะพูดต่อ

แม้ว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่จำเป็นต้องติดคุก เหลิ่งหมิงอันให้การรับประกันการปล่อยตัวเธอ หลังจากที่เธอได้รับการปล่อยตัวจากคุก เธอพบว่าสมบัติของครอบครัวเจี่ยนได้ถูกยืดตามกฎหมายไปหมดแล้ว เงินที่ใช้จ่ายทุกเดือนก็หายไป ตอนนี้อี๋นั่วเองก็ถูกจับทำให้เธอไม่มีรายได้ใช้จ่าย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่รู้ว่าเธอจะใช้ชีวิตยังไงในอนาคต ด้วยความตื่นตระหนกเธอทำได้เพียงแค่มาหาเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเห็นสถานการณ์ที่น่าเศร้าในปัจจุบันของเจี่ยนอี๋นั่ว อย่างน้อยก็ทำให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรู้สึกว่าทุกสิ่งที่เธอทำนั้นคุ้มค่าและในที่สุดเธอก็เอาชนะเจี่ยนอี๋นั่วได้ แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของเธอ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและกุมมือของเธออย่างกังวล

"อืม ฉันรู้ดีว่าเธอจะมีชีวิตที่ดี เธอสวยและยังเด็ก" เจี่ยนอี๋นั่วเอียงศีรษะ มองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและหัวเราะเบาๆ : "ดูเธอตอนนี้สิ เธอสวมเสื้อผ้าชนบทธรรมดาๆ แต่ไม่ดูบ้านนอกเลย น่ารักดีนะ”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยปกปิดแขนเสื้อของเธอทันทีและหดมือลงใต้โต๊ะ เธอจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างดุเดือด: "ตอนนี้ฉันต้องแต่งตัวแบบนี้ ก็เป็นเพราะแกไม่ใช่หรอ? ตอนนี้ฉันเป็นคนเดียวในตระกูลเจี่ยน แกรีบโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้ฉัน ไม่งั้นทรัพย์สินของตระกูลต้องโดนแกทำลายหมดแน่! "

"ตระกูลเจี่ยน?" เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม: "ตั้งแต่พ่อตาย ก็ไม่มีตระกูลเจี่ยนอีกต่อไป"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "อันที่จริงเธอไม่จำเป็นต้องคิดมากกับเสื้อผ้าพวกนี้หรอก เหลิ่งหมิงอันเคยบอกฉันว่าเธอน่ารัก ไม่ว่าเธอจะใส่อะไรก็รัก”

"เหลิ่ง…… เหลิ่งหมิงอันเขาชมฉันงั้นกรอ?" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหน้าแดงและถามออกมาเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: "เขาสนใจเธอมาก เขาน่าจะชอบเธอมาก ฉันคิดว่าเขาชอบฉันแต่สุดท้ายก็รู้ว่าคนที่เขาชอบคือเธอ เพียงเพราะฉันดูเหมือนเธอนั่นแหละ ไม่งั้นเขาจะจับฉันทำไม แต่เธอกลับได้ออกไป?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน: "แต่……แต่ฉันเจอเขาครั้งเดียวและเขาก็ไม่เจอฉันอีกเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดว่า: "เขาคือเหลิ่งหมิงอัน เธอเคยเห็นตัวเขาไม่ใช่หรอ? เขาไม่เคยเห็นเธอมาก่อน เขาไม่สนใจเธอคงเป็นเพราะเรื่องเธอกับฉู่หมิงเซวียน เขาเห็นแล้วคงโกรธ เป็นห่วงเธอมากเท่าไหร่ก็จะโกรธมากขึ้น เธอต้องคิดหาวิธีที่จะอยู่กับเขา เธอต้องเอาชนะใจเขาให้ได้ อนาคตพวกเธอต้องมีชีวิตที่มีความสุขแน่นอน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกระพริบตา หน้าแดงและก้มศีรษะลง เธอจำได้ว่าตอนที่เธอพบกับเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เธอหลายครั้ง ยิ่งไปกว่านั้นเหลิ่งหมิงอันยังหล่อเหลา ร่ำรวยและมีอำนาจมากทนายความที่เขาทำให้เธอออกจากคุก แต่เดิมเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคิดว่าเธอจะต้องอยู่ในคุกเป็นเวลานาน

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคิดกับตัวเอง: ถ้าเธออยู่กับเหลิ่งหมิงอัน เธอจะมีความสุขมากแน่

ถ้าเธออยู่กับเหลิ่งหมิงอันมันคือนรกของเธอ ไม่ เพียงแค่เข้าไปใกล้เหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมันคือประตูสู่นรกของเธอ มันเปิดออกแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ดวงตาของเธอเหมือนน้ำพุ เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเยาะในใจขณะที่คิด เจี่ยนอี๋นั่วจะไม่มีวันให้อภัยเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยสำหรับสิ่งที่เธอทำกับพ่อ ไม่ว่าจะมีแผนการร้ายซ่อนอยู่เบื้องหลัง แต่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็พาตัวพ่อหนีไปกับฉู่หมิงเซวียน ทำให้พ่อต้องตาย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้รับการปล่อยตัวจากคุก เจี่ยนอี๋นั่วต้องการให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมีชีวิตเหมือนอยู่ในนรก คนเลือดเย็นและร้ายกาจอย่างเหลิ่งหมิงอันจะทนต่อการคุกคามของหมากรุกที่ถูกทอดทิ้งแบบนี้ได้ไหมนะ?

"ยัง……ยังมีชีวิตอยู่" เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงสั่น: "เป็นไปได้ยังไง? ฉันยิงที่หน้าอกไม่ใช่หรอ? มันแกล้งตายงั้นหรอ"

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาของเธออย่างแรง มองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง พยายามสงบสติอารมณ์และพูดตัวสั่นว่า: "เซ่าถิง ฉันมีอะไรจะบอก…… แต่ที่นี่ไม่ค่อยสะดวก เธอช่วยประกันตัวฉันออกไปก่อนได้ไหม แล้ว คุยกับเธอเป็นการส่วนตัวได้หรือเปล่า? ฉันมีหลายอย่างที่จะบอกเธอ ฉันถูกใส่ร้าย ฉันไม่ได้จะทรยศเธอจริงๆ "

เหลิ่งเซ่าถิงหยิบโทรศัพท์ของเขาออกมาและเปิดเสียง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินการสนทนาจากโทรศัพท์

“ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนที่จะจัดการได้ง่ายๆ” เสียงของเหลิ่งหมิงอัน

"ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคิดว่า…… ตอนนี้ฉันเป็นคนที่สนิทกับเขามากที่สุด บางทีฉันอาจจะวางยาเขา หรือไม่ก็ฆ่าเขาด้วยมีดเล่มเดียว" เสียงของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่านี่เป็นบทสนทนาที่เธอจงใจเข้าหาเหลิ่งหมิงอัน หลังจากรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนฆ่าพ่อของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาอย่างรวดเร็วปิดปากและส่ายหัว พูดว่า: "มันไม่ใช่อย่างที่เธอคิด ฉันอธิบายได้”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วและพูดว่า: "ฉันไปหาคนมาตรวจสอบเสียงนี้แล้ว มันเป็นเสียงของเธอและเหลิ่งหมิงอัน ไม่ใช่การตัดต่อ เหลิ่งหมิงอันบอกว่าเธอพยายามเข้าหาเขา ร่วมมือกับเขาเพื่อกำจัดฉัน แต่เขาไม่เอาด้วยก็เลยอัดเสียงนี้มา”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วด้วยดวงตาสีแดงและพูด: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันทำอะไรให้เธอเกลียด ทำให้เธออยากฆ่าฉัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ร้องไห้และพูดว่า: "ฉันไม่ได้อธิบายให้เธอเข้าใจตั้งแต่แรกมันเป็นความผิดของฉัน แต่สิ่งต่างๆไม่ได้เป็นอย่างที่เธอเห็นจริงๆ แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นสิ่งที่ฉันพูดเอง ฉันก็เต็มใจที่จะพูดทุกอย่างจริงๆแล้วการตายของพ่อของฉัน เหลิ่งหมิงอันเป็นคนวางแผน เหลิ่งหมิงอันอยู่กับชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนเธอมาก และจงใจถ่ายภาพชายคนนั้นและพ่อของฉันในเวลาเดียวกัน รูปถ่ายของสถานที่ที่เขาถูกฆ่า ทำให้ฉันคิดว่าเธอฆ่าพ่อของฉันเพราะก่อนหน้านี้เหลิ่งหมิงอันเอาแต่บอกใบ้กับฉันว่าเธอจะผูกขาดคนที่เธอชอบและเธอไม่ยอมให้คนสำคัญคนอื่นๆรอบตัวฉันรอด ทำให้เธอมีแรงจูงใจที่จะฆ่าพ่อของฉัน……"

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาของเธอ เธอพยายามอธิบายทุกอย่างให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจ เธอจะไม่ปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจเธอผิด เจี่ยนอี๋นั่วสำลักและพูดว่า: "ตอนนั้นฉันสงสัยเธอ และตอนนี้เธอสงสัยฉัน ฉันเข้าใจแล้วนี่เป็นเรื่องปกติ ฉันคิดว่าเธอฆ่าพ่อของฉัน ฉันไม่รู้จะทำอย่างไร ฉันไม่กล้าที่จะถามเธอ ไม่กล้าบอกเธอ ฉันก็เลยกาความจริงด้วยตัวเอง ทำให้ฉันรู้ว่าผู้ชายในรูปคล้ายเธอ แต่มันไม่ใช่เธอ ทำให้ฉันมีความสุขมาก ฉันก็เลยหาความจริงต่อไป"

“ ตอนนั้นเธออารมณ์ไม่คงที่ ฉันไม่รู้ว่าควรจะอธิบายให้ฟังดีไหม ขอโทษ ตอนนั้นฉันยุ่งเกินไป ฉันไม่ควรซ่อนสิ่งนี้ฉันควรพูดกับเธอและพูดคุยกับเธอ ไม่งั้นคงไม่ทำให้เกิดความเข้าใจผิดกันเหมือนตอนนี้ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นมันเป็นความผิดของฉัน ฉันคิดว่าทุกอย่างง่ายเกินไป ฉันไม่รู้ว่าการสู้กับตระกูลเหลิ่งเป็นเช่นนั้น มันโหดร้าย ฉันไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ ฉันประเมินมันต่ำไป”

เมื่อมาถึงจุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาและมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างประหม่า เธอมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างเย็นชาและเขามองเธอราวกับว่าเขากำลังมองดูตัวตลกที่กำลังพยายามแสดง

หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วเย็นชา ทันใดนั้นเธอก็สูญเสียความกล้าที่จะพูดต่อ เธอกลัวว่าหลังจากที่เธอพูดทุกอย่าง เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังไม่เชื่อเธอ แต่ถ้าเธอไม่พูดให้ชัดเจนก็จะไม่มีโอกาสที่เหลิ่งเซ่าถิงจะเชื่อเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตา ร้องไห้และพยายามสงบสติอารมณ์: "จากนั้นฉันก็เลยยังแกล้งทำเป็นคิดว่าเธอเป็นคนฆ่าพ่อฉัน ฉันต้องเอาตัวฆาตกรออกมาก่อน ฉันไม่บอกเธอเพราะถ้าบอก เธอต้องไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ถ้ามีคนที่คล้ายเธอทำเรื่องแบบนั้น เธอต้องไม่สบายใจ ฉันก็เลยใช้ร่างกายของฉันเป็นเหยื่อและถือรูปถ่ายเพื่อระบุตัวตน ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิด เหลิ่งหมิงอันปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด ฉันรู้ว่าคนที่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าฉันได้อย่างรวดเร็ว ต้องเป็นคนที่วางแผนทั้งหมดนี้ไว้แล้ว ฉันแสร้งทำเป็นว่าเธอเป็นฆาตกร คิดตามแผนของเหลิ่งหมิงอัน และเจอกับคนที่หน้าตาเหมือนกับเธอ น่าจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของเธอ เขายังไม่ตาย……แต่เขามีมือข้างเดียว "

"เหอะ……" เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะตาแดงก่ำ "พี่ชายของฉันตายไปแล้วตอนที่เขายังเด็ก ฉันรอคอยรอให้เธอพูดความจริงแต่เธอกลัวแต่งนิทานแบบนี้ ใช้เวลานานไหมกว่าจะคิดได้? เอาล่ะ ถ้าเธอบอกว่ามีรูปนั้น แล้วไหนล่ะ? มีคนเคยเห็นไหม?”

"ฉันไม่มี เธอไม่ใช่…… " เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง และหยุดพูดกะทันหัน

เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดประโยคที่ว่า: "เธอเคยเห็นไม่ใช่หรอ?" ไม่มีใครรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้เห็นภาพนั้น แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้ และเหลิ่งเซ่าถิงจงใจดึงส่วนนั้นของภาพถ่ายออกมา จะรู้ได้ยังไงว่าพี่ชายฝาแฝดของเขายังมีชีวิตอยู่ เขาน่าจะรู้ดีกว่าเธอ

นั่นคือพี่ชายฝาแฝดของเขา จะมีใครคุ้นเคยมากกว่าเขาอีกงั้นหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอพยายามดูคำใบ้เล็กน้อยจากใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง และมันแสดงออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจทุกอย่าง ตอนนี้ที่ไม่เชื่อเป็นเพียงการแสดง แต่เจี่ยนอี๋นั่วมองไม่เห็นอะไรเลยเธอลดศีรษะลงและกวาดมุมปากของเธอ ตัดสินในใจ เธอตัดสินใจที่จะเชื่อในเหลิ่งเซ่าถิง ฉันเชื่อว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่สงสัยเธอง่ายๆและเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ปล่อยให้เรื่องเป็นแบบนี่

บางทีเหลิ่งเซ่าถิงอาจจำเป็นจะต้องไม่ไว้ใจเธอ ต้องแยกจากเธอ ดังนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจึงต้องเลือกที่จะทำตามแผนที่วางไว้ เนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงต้องการทำราวกับว่าเขาไม่เชื่อเธอและต้องการเลิกรากับเธอเธอจึงร่วมมือกับเหลิ่งเซ่าถิงเพื่อแสดงเรื่องนี้ต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆแล้วร้องไห้ พูดต่อว่า: "เธอเคยบอกว่ารักฉันไม่ใช่หรอ? ตอนนี้ความรักนั้นไม่มีค่าเลยหรอ? ความรักมันเป็นแบบไหน? รักกันต้องเชื่อใจกันไม่ใช่หรอ? "

เหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามันเป็นภาพลวงตาของเธอหรือไม่ เธอรู้สึกว่าดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงไม่เย็นชาอีกต่อไป แต่น้ำเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงเย็นชา: "เธอเคยสงสัยในตัวฉันไม่ใช่หรอ? เธอบอกว่าเธอเชื่อฉันมาก แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นความจริง แต่เธอก็สงสัยฉันเพียงเพราะรูปถ่ายไม่ใช่หรอ? เธอเป็นแบบนี้ มีคุณสมบัติอะไรบ้างที่จะเชื่อได้?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลง เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ตะโกนพูดออกมาว่า: "ทำไมเธอถึงไม่เชื่อฉัน? ทำไมไม่เชื่อฉัน? ฉันไม่ได้ฆ่าเอจริงๆและฉันก็ทำไม่ได้ และฉันก็ไม่ได้ทรยศเธอ เหลิ่งหมิงอันจับฉันหว้ ฉันหนีอย่างยากลำบาก แต่เธอมาสงสัยตัวฉันแบบนี้หรอ? เพียงเพราะหลักฐานพวกนั้นหรอ?”

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เงยหน้าขึ้น มองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอร้องไห้และพูดว่า: "เธอมองตาฉันสิ มองตาฉัน เธอไม่เชื่อฉันจริงๆหรอ?"

"ความเชื่อ? " เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดเบาๆว่า: "มันมีไว้ใช้สำหรับคนที่สมควรเท่านั้น”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่กล้ามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาลุกขึ้นยืนทันทีและพูดด้วยว่า:“ เหลิ่งหมิงอันสนใจในตัวเธอ พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องเธอ เธอเองก็พูดได้น่าเกลียดเกินไป ฉันไม่ยอมให้คนอื่นหักหลังฉัน เจี่ยนอี๋นั่ว เธอควรสารภาพผิดอย่างเชื่อฟังและเข้าคุกด้วยความสบายใจ ยิ่งเธอดิ้นรนมากเท่าไหร่เธอก็จะยิ่งทุกข์มากขึ้นเท่านั้น "

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เขาก็เดินตรงออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงและเธอสรุปได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจงใจแสร้งทำเป็นไม่เชื่อเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอถูกใส่ร้ายนั้นไม่ได้วางแผนโดยเหลิ่งเซ่าถิงอย่างแน่นอน เหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกว่าเขารู้แล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงตัดสินใจทำอะไร? เขาอยากส่งเธอเข้าคุกจริงหรอ? ให้เธอโดนข้อหาฆาตกรรม?

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงคิดไม่ออกว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เจี่ยนอี๋นั่วเต็มใจที่จะเชื่อในเหลิ่งเซ่าถิง เธแเชื่อว่าการตัดสินใจครั้งนี้เป็นเรื่องยากแต่ทำไปก็เพื่อปกป้องเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงเพียงแค่เหลิ่งเซ่าถิง หากสถานการณ์ในปัจจุบันวิกฤตมากจนต้องใช้วิธีที่โหดร้ายนี้เพื่อแยกความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง เพื่อปกป้องความปลอดภัยของเธอ ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงน่าจะอันตรายมากและสิ่งที่เขากำลังจะทำมันอันตรายมาก ถ้าเป็นอดีตเจี่ยนอี๋นั่ว เธอคงบอกให้เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยให้เธออยู่เคียงข้างเขาไปกับเขา แต่หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าเธอไม่สามารถสู้กับคนเหล่านี้ได้ ถ้าเธออยู่ข้างเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะกลายเป็นภาระของเขา

เธอไม่สามารถช่วยเขาได้ งั้นก็ต้อวปกป้องตัวเองอยู่ที่นี่ รอให้เหลิ่งเซ่าถิงกลับมาพร้อมชัยชนะ

เมื่อตำรวจเข้ามาอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วก็ลืมตาขึ้นและมองไปที่ตำรวจโดยไม่คิดอะไร

ตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชากับเจี่ยนอี๋นั่ว: "เป็นยังไงบ้าง? คนก็ได้เจอแล้ว คนอย่างประธานเหลิ่งเจียดเวลามาพบเธอ ก็ถือว่าให้เกียรติเธอมากแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่ยอมรับสารภาพ”

เจี่ยนอี๋นั่วแสดงสีหน้างุนงง เงยหน้าขึ้นมองตำรวจและตะโกนว่า: "โอเค ฉันยอมรับ ฉันฆ่าเอง ฉันทำทุกอย่าง ในเมื่อเขาไม่เชื่อฉัน ฉันก็จะยอมรับทุกอย่างเอง มีข้อหาอะไรอีก เอามาให้หมด! ฆาตกรรมหรือการปล้นใดๆ โยนมาให้ฉัน ฉันจะยอมรับสารภาพทั้งหมด พอใจหรือยัง! "

เหลิ่งเซ่าถิง ฉันเจี่ยนอี๋นั่วจะใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดของชีวิตเพื่อยืนยันความไว้วางใจในตัวเธอ นี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด และการที่ฉันตกหลุมรักเธอเป็นสิ่งที่โชคดีที่สุดในชีวิตของฉัน

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งอยู่ในห้องสอบสวน เธอบีบมือของเธอด้วยความตื่นตระหนกเล็กน้อย หลีกเลี่ยงแสงที่ส่องมาหาเธอ หลังจากที่ถูกเหลิ่งหมิงอันขังไว้ในห้องมืด เจี่ยนอี๋นั่วก็กลัวแสงที่ส่องมาหาเธอ

มีเสียงที่เย็นชาถามขึ้น: "เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันขอถามคุณหน่อยว่าในวันที่15ของเดือนนี้ คุณอยู่ที่ไหน?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ในตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงที่เธอถูกเหลิ่งหมิงอันจับ แต่เธอไม่รู้ว่าควรบอกตำรวจหรือไม่ ก่อนที่จะเจอเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไรสักคำ

เจี่ยนอี๋นั่วตอบเบาๆ: "ฉันจะไม่พูดอะไรจนกว่าทนายความของฉันจะมา"

น้ำเสียงเย็นเยียบนั้นร้อนรนเล็กน้อย: "เราพบลายนิ้วมือของคุณในที่เกิดเหตุฆาตกรรมของซวีเมี่ยน คุณช่วยอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนกับเรื่องที่เกิดขึ้นด้วย มันไม่เป็นอันตรายต่อคุณ!"

ซวีเมี่ยน? ใครกัน? ไม่ใช่เพราะเธอฆ่าเหลิ่งหมิงอันหรอ? ก็เลยมาจับเธอ?

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองตำรวจที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดด้วยความประหลาดใจ ตำรวจเห็นสีหน้างงงวยของเจี่ยนอี๋นั่ว รีบพูดว่า: "คุณไม่รู้จักซวีเมี่ยนหรอ? ชื่อเล่นเขาชื่อ เอ คุณน่าจะจำได้?”

"เอ?" เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะพูดซ้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วจำเอได้ เขาเป็นแฮ็กเกอร์คนเก่าที่ทำงานให้กับเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงบอกว่าเธอฆ่าเอ ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เธอไม่เคยเห็นหน้าเอเลยด้วยซ้ำ

"หลักฐานทั้งหมดชี้มาที่คุณ และคุณมีแรงจูงใจในการฆ่าครั้งนี้ เจี่ยนอี๋นั่ว อย่าปฏิเสธเลย ถ้าไม่สารภาพผิดคุณจะเป็นคนเดียวที่ทนทุกข์ทรมานในที่สุด ฉันหวังว่าคุณจะอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่งั้นคุณอาจต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ถ้าคุณยังคงเป็นแบบนี้ต่อไปมันอาจถึงขั้นประหารชีวิต เจี่ยนอี๋นั่ว คุณยังเด็ก ทำไมคุณไม่ให้โอกาสตัวเองกลับตัวกลับใจ? "ตำรวจคนหนึ่งพูดต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

"อะไร? ฉันไม่เข้าใจ ฉันไม่ได้ฆ่าเขา ช่วงเวลานั้นฉันถูกคนจับไปขังไว้!" เจี่ยนอี๋นั่วสับสนกับคำถามของตำรวจ เธอไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จะให้เธอสารภาพผิดได้ยังไง?

ตำรวจตะคอกอย่างเย็นชาและพูดขึ้นว่า: "ฉันจะทำกระบวนการทางอาญาในช่วงต้นปีนี้ ตามคำแนะนำของหลี่ชิงหมิงรองผู้จัดการ คุณได้ไปที่บ้านเหลิ่ง คุณได้ใช้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นเครื่องมือ เหลิ่งเซ่าถิงตื่นขึ้นมาคุณก็ริเริ่มที่จะเข้าหาเขาและใช้วิดีโอที่ไม่เหมาะสมของคุณที่ฉู่หมิงเซวียนถ่ายเป็นข้ออ้างในการค้นพบเหลิ่งเซ่าถิง บุคคลที่ชื่อเอ นั่นคือแฮกเกอร์ ซวีเมี่ยนผู้ล่วงลับอยู่ในการควบคุม เมื่อคุณทำข้อตกลงกับหลี่ชิงหมิง คุณก็ติดต่อกับเอ เพื่อให้ข้อมูลจากเขา เขาให้รางวัลแก่คุณมากถึง 300 ล้านหยวน และส่งคุณไปต่างประเทศ แต่ก่อนที่คุณจะไป คุณมีเรื่องขัดแย้งกันแล้วคุณก็ฆ่าเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวและพูดว่า: "ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลี่ชิงหมิงเป็นใคร! และฉันไม่ได้ฆ่าซวีเมี่ยน มันเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด"

ตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้นอย่างเย็นชา: "ในที่ซวีเมี่ยนเสียชีวิต บนมีดมีลายนิ้วมือของคุณอยู่และในรถที่คุณเพิ่งขับ เรายังพบแฟลชไดรฟ์ USB ที่มีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่ง น้องสาวของคุณ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่นยังยอมรับวิดีโอของเธอที่อยู่กับฉู่หมิงเซวียน ทำตามการจัดเตรียมของคุณ เพียงเพื่อให้ข้ออ้างในการทราบเบาะแสของเอ คุณรู้มาก่อนว่ามีแฮกเกอร์ที่เก่งอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิง เพราะงั้นคุณเลยใช้เรื่องนี้มาอ้าง คุณหลอกให้เอเข้าสู่คอมพิวเตอร์ของฉู่หมิงเซวียนติดตามที่อยู่ของเขาและพบตัวตนที่แท้จริงของเขา จากนั้นคุณปลอมตัวเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วคุณก็ไปพบกับเอ และฆ่าเอ ซึ่งก็คือซวีเมี่ยน”

ในขณะที่ตำรวจพูด เขาหยุดชั่วขณะ เหลือบมองไปที่การแสดงออกของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดต่อ: “ หลังจากนั้นหลี่ชิงหมิงก็สำนึกผิดเพราะเขากลัวกองกำลังของตระกูลเหลิ่ง พวกคุณไม่สามารถตกลงกันได้ คุณก็เลยแกล้งตายและหลบหนี เพิ่งมาปรากฏตัววันนี้ จนวันนี้พวกเราเองก็ตรวจสอบพบพิกัดที่คุณหลบซ่อนอยู่"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัว: "นี่ไม่เป็นความจริง ฉันไม่ได้ทำฆ่าเอ เขาเป็นผู้ชายฉันจะฆ่าเขาได้ยังไง ฉันไม่มีความแข็งแกร่งเพียงพอและในช่วงเวลานี้ฉัน…… "

เจี่ยนอี๋นั่วชะงัก เมื่อเธอเธอกำลังนะพูดคำว่า:"ฉันถูกเหลิ่งหมิงอันจับขังไว้” ที่เธอกำลังจะพูด

ตำรวจหายใจเข้าลึกๆ : "เจี่ยนอี๋นั่ว คุณกำลังทำความผิดร้ายแรงขั้นสูงและไม่มีหลักฐานอะไรเลย คุณจะบอกว่าคุณไม่รู้ว่าเอเป็นคนพิการงั้นหรอ? ขาของเขาไม่แข็งแรงเขาต้องนั่งรถเข็น คุณก็เลยใช้โอกาสนี้ฆ่าเขา”

"ฉันไม่ได้ทำ…… " เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัว

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนเธอฝันร้าย ทำไมทุกอย่างถึงเป็นแบบนี้? เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีแกใจว่าเธอไม่ได้เป็นคนฆ่าเอ เธอไม่เคยเจอเอด้วยซ้ำ เธอจะเป็นคนฆ่าได้ยังไง? จะมาโยนความผิดนี้ให้เธอได้ยังไง? และที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ้ยพูดคำสารภาพแบบนั้น ก็เพราะเจี่ยนฮุ่ยฮุ้ยเกลียดเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่แปลกใจเลย แต่เธอก็ไม่คสรพูดใส่ร้ายแบบนี้

แล้วอีกอย่างเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรู้เรื่องคลิปนั้นได้ยังไง?

จะต้องมีคนที่ทรงพลังมากที่จงใจใส่ร้ายเธอ เหลิ่งหมิงอันหรือเปล่า? แต่เธอฆ่าเหลิ่งหมิงอันไปแล้วนิ? หรือว่าเหลิ่งหมิงอันวางแผนทุกอย่างไว้แล้วก่อนตาย? หรือ……จะเป็นคุณนายเหลิ่ง แต่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นหลานชายของเธอ? ทำไมเธอถึงทำแบบนี้?

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปากของเธอขึ้นและหายใจเข้าลึกๆ เธอจ้องไปที่ตำรวจที่ซ่อนอยู่ในความมืดและพูด: "ฉันจะพูดอะไรได้อีกแล้ว ฉันจะรอทนายความของฉัน และฉันอยากเจอเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าฉันไม่เจอพวกเขา ฉันก็จะไม่พูดอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งพูดอะไรบางอย่างเพราะเธอตกใจเกินไป แต่ตอนนี้เธอเข้าใจปัญหาทั้งหมดแล้ว แม้ว่าหัวใจของเธอจะลุกเป็นไฟ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ตัดสินใจที่จะไม่พูดอะไร เธอต้องรอจนกว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมา เหลิ่งเซ่าถิงจะเชื่อเธออย่างแน่นอนและเหลิ่งเซ่าถิงจะช่วยเธอสะสางข้อข้องใจของเธอ

"คุณทำแบบนี้ คนที่ลำบากจะเป็นคุณ" นายตำรวจคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะลุกขึ้นยืน

เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้าดูการจากไปของตำรวจ มือของเธอสั่นอย่างประหม่าและตอนนี้จิตใจของเธอยุ่งเหยิงไปหมด เธอเพิ่งรอดพ้นจากการถูกขังของเหลิ่งหมิงอัน จะเป็นคนฆ่าได้ยังไง? ใครเป็นคนใส่ร้ายเธอ?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วคิดถึงเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆ เธอนึกถึงสิ่งที่ตำรวจบอกว่าการฆาตกรรมของเธอค่อนข้างคล้ายกับแผนการที่เหลิ่งหมิงอันบอกกับเธอ เป็นแผนเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดทำให้เหลิ่งเซ่าถิงตกอยู่ในการละทิ้งหน้าที่ คราวนี้เธอไม่ได้เป็นเบี้ยข้างในอีกต่อไปแล้ว เธอก็กลายเป็นหมากตัวหนึ่งที่ถูกล้อมกรอบ

หลังจากเหตุการณ์นี้ ทั้งเธอและเหลิ่งเซ่าถิงประสบความสูญเสียอย่างร้ายแรง หากเหลิ่งหมิงอันยังมีชีวิตอยู่จะต้องได้ผลประโยชน์มากแน่ ทั้งหมดเป็นแผนที่เหลิ่งหมิงอันวางแผนไว้ แต่คราวนี้แผนการไม่ได้เป็นไปตามที่หวัง

แต่ตอนนี้เธอถูกใส่ร้ายด้วยข้อหาฆาตกรรม เหลิ่งเซ่าถิงก็ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขันในตอนนี้ เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็กังวลมากขึ้นและเธอก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเหลิ่งเซ่าถิง

ด้วยความวิตกกังวลและตื่นตระหนก เจี่ยนอี๋นั่วรออย่างกระสับกระส่าย เธอเหมือนนกกระจอกที่มีดวงตาที่มืดบอด เธอหดตัวไปที่มุมหนึ่งอย่างประหม่าในห้องขังกับคนอื่นๆ เธอกลัวเหลิ่งเซ่าถิงจะตกไปอยู่กับดักที่พวกเขาวางไว้

ไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนก่อนที่ประตูห้องจะเปิดออกอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้าดูเหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาจากประตูอย่างช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเธอคงไม่ได้เจอเหลิ่งเซ่าถิงมาหลายวันแล้ว แต่เมื่อเธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เธอรู้สึกราวกับว่าพวกเขาไม่ได้เจอกันมาหลายปี นานมากกว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงยังคงหล่อเหลาเหมือนเดิมมีคิ้วสีดำ จมูกสูง ริมฝีปากบางและดวงตานกฟีนิกซ์ของเขา ดวงตามองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แต่สายตาเขาไม่อ่อนโยนอีกต่อไป กลายเป็นสายตาที่เย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงจ้อง และเธอไม่กล้าแม้แต่จะพูดคำว่า "เชื่อใจฉัน" เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มและพูดว่า: "เธอผอมลงหรือเปล่า"

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชาและถามด้วยเสียงที่เย็นชา: "เธออยากพูดอะไร? ทำไมต้องอยากเจอฉัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเช่นนี้ ดวงตาแดงทันทีและพูดว่า: "ฉัน……ฉันไม่ได้ฆ่าเอ ฉันไม่ได้ทรยศเธอ ฉัน……ฉันถูกจับตัว…… "

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ เธอก็เบาเสียงลงและพูดว่า: "เหลิ่งหมิงอัน ฉัน ฉันถูกมันจับขังไว้ และฉันก็ฆ่ามันก่อนที่จะหนีออกมา"

"เธอฆ่ามัน? เธอฆ่าเหลิ่งหมิงอันหรอ?" เหลิ่งเซ่าถิงเหล่มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า: "แต่ฉันทำไปเพื่อปกป้องตัว มันขังฉันไว้ มันอยากให้ฉันนอนกับมัน แต่ฉันไม่ยอม ตอนที่ฉันกำลังจะหนีออกมา พวกเราก็แย่งปืนกันก่อนที่ฉันจะเผลอยิงใส่ร่างมัน ที่ฉันไม่ยอมบอกกับตำรวจเพราะฉันรอให้เธอมา”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว เขาจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดเบาๆว่า: "ฉันตามหาเธอมาตลอด หลังจากที่เธอเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันตามหาเธอมาตลอด แต่ฉันก็ค่อยๆเจอหลักฐานที่เธอร่วมมือกับหลี่ชิงหมิงและหลักฐานที่แสดงว่าเธอฆ่าเอ ตอนนั้นก็เลยรู้ว่าเธอแกล้งตาย แต่ฉันก็ยังไม่ถอดใจ ฉันยังรอเธออยู่ ฉันรอให้เธอกลับมาเคียงข้างฉัน เธอจะให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับฉันได้แน่นอน แต่ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะใช้คำพูดไร้สาระแบบนี้เพื่อโกหกฉัน เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่"

น้ำตาของเจี่ยนอี๋นั่วไหลร่วงลงมาทันทีและพูดว่า: "เธอหมายความว่ายังไง?"

"เอเป็นเพื่อนที่อยู่กับฉันมานาน ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะฆ่าเขาเพราะเงิน" เหลิ่งเซ่าถิงกัดฟันและยืนขึ้นด้วยดวงตาสีแดง เขาโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขากระซิบ: "ฉันพบหลักฐานทั้งหมดแล้ว ฉันก็ยังเชื่อเธอ แต่เธอยังจะโกหกอีกหรอ? เจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันเขายังไม่ตาย เขายังมีชีวิตอยู่และสบายดี"

“คุณเหลิ่ง…… "คนที่วิ่งเข้าไปในห้องใต้ดินมองดูเจี่ยนอี๋นั่วชี้ปืนไปที่เหลิ่งหมิงอันและตะโกนออกมา

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและส่ายหัว: "ไม่เป็นไร พวกแกทุกคนฟังคำสั่งของเธอ"

เจี่ยนอี๋นั่วเล็งปืนไว้ที่หน้าอกของเหลิ่งหมิงอันและพูดอย่างเย็นชา: "เตรียมรถให้ฉัน ส่วนแกออกจากห้องนี้พร้อมฉัน! หลังจากฉันออกไปได้ ฉันจะปล่อยแกไป"

หน้าอกของเหลิ่งหมิงอันถูกเล็งด้วยปากกระบอกปืนของเจี่ยนอี๋นั่ว และเขาต้องออกจากห้องใต้ดินพร้อมกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งหมิงอันยังคงมีรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาราวกับว่าสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วถือไม่ใช่ปืน แต่เป็นของเล่น นี่ไม่ใช่การแข่งขันที่สนุกสนาน แต่เป็นความเป็นและความตายระหว่างความรักของหนุ่มสาว

เหลิ่งหมิงอันสังเกตเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วมีบาดแผลที่แขน ซึ่งดูเหมือนจะถูกกัดและเห็นแผลได้ชัด

เหลิ่งหมิงหนานขมวดคิ้วทันทีและถามเบาๆ: “เธอรู้เวลาด้วยวิธีนี้หรอ? แกล้งกัดให้ตัวเองบาดเจ็บ จากนั้นกำหนดเวลาโดยประมาณตามระยะเวลาในการรักษาของแผลงั้นหรอ? ก็ถูกนะ ถ้าเป็นเดือนแผลที่เธอกัดก็คงหายแล้ว แต่ตอนนี้เป็นแค่สะเก็ด ฉลาดมาก ฉันพยายามหนักขนาดนี้ยังทำให้เธอสับสนไม่ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากล่างของเธอและไม่พูดอะไร

เหลิ่งหมิงอันออกจากห้องใต้ดินพร้อมกับเจี่ยนอี๋นั่วและกระซิบ: "เธอรู้ตั้งแต่ตอนไหนว่าฉันเปลี่ยนเวลาให้อาหารเธอ? ฉันตั้งใจค่อยๆลดระยะเวลาในการให้อาหารเธอ แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่ความผิดปกติของเวลาจะทำให้เธอรู้สึกเหมือนผ่านมาแล้วเป็นเดือน ต่อมาก็เรื่องประจำเดือนของเธอ ฉันเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนในอาหารของเธอเพื่อรบกวนเธอระบบรังไข่ของเธอ เธอไม่เชื่อเลยงั้นหรอ? ไม่มีความรู้สึกที่ผิดปกติเลยงั้นหรอ?”

มี ในสภาพแวดล้อมที่เงียบจนหายใจไม่ออกจะไม่มีความรู้สึกผิดปกติของเวลาได้ยังไง? เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับรู้สึกว่าเธอกำลังจะบ้าไปชั่วขณะ เธอยังสงสัยว่าระดับของการรักษาบาดแผลเป็นเพียงเพราะการทำงานของร่างกายที่ไม่ดีของเธอหรือเปล่าและเลยไม่สามารถรักษาแผลให้หายดีได้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วอาจสงสัยในตัวเอง เธอไม่เชื่อว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วเหลิ่งเซ่าถิงยังหาเธอไม่เจอ เธอเคยสงสัยว่าเหลิ่งเซ่าถิงฆ่าพ่อของเธอ เธอสัญญาในใจว่าเธอจะไม่สงสัยเหลิ่งเซ่าถิงอีก เธอจะเชื่อในตัวเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ว่าจะเจอกับสถานการณ์ใดก็ตาม

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ตอบ เธอไม่แสดงออกว่าเธอกำลังอ่อนแอ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือจิตใจของเธอ เธอกลัวว่าการแสดงออกเล็กๆของเธออาจเผยให้เห็นความอ่อนแอทางร่างกายและความเปราะบางทางจิตใจของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปข้างนอก เมื่อลมเย็นพัดมาที่เธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าลึกๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกราวกับว่าเธอกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

หัวที่สับสนวุ่นวาย เริ่มมีสติขึ้นเล็กน้อย เธอเหลือบมองรถที่จอดอยู่ข้างทาง ในขณะที่ถือปืนเล็งไปที่เหลิ่งหมิงอัน เธอรีบเดินตรงไปที่รถ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปถึงที่รถ เปิดประตูออก เจี่ยนอี๋นั่วก็นั่งลงและกระซิบกับเหลิ่งหมิงอันว่า: "เหลิ่งหมิงอัน เราจะไม่พบกันอีก"

"เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเธอไปง่ายๆงั้นหรอ?" เหลิ่งหมิงอันจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของเหลิ่งหมิงอัน ก่อนที่เธอจะเห็นเหลิ่งหมิงอันพุ่งเข้ามาหาเธอทันที ราวกับจะคว้าปืนมือของเธอ ข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วถูก เหลิ่งหมิงอันจับไว้ และเธอทำได้เพียงกดไกปืนด้วยความตื่นตระหนก เหลิ่งหมิงอันเพิ่งหยิบปืนในมือเจี่ยนอี๋นั่ว ในเวลานี้กระสุนปืนลั่น เขาเบิกตากว้างมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นทันที

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งหมิงอันที่ล้มลงกับพื้น ดวงตาของเธอเบิกกว้าง เธอไม่อยากจะเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้

เธอฆ่าเหลิ่งหมิงอันจริงหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วอยากฆ่าเหลิ่งหมิงอันมาตลอด เหลิ่งหมิงอันวางแผนฆ่าพ่อของเธอและขังเธอไว้ที่นี่ เขายังต้องการฆ่าเหลิ่งเซ่าถิงและคนอื่นๆ

แต่เหลิ่งหมิงอันที่อยากฆ่า กับเหลิ่งหมิงอันที่ถูกฆ่ามันช่างแตกต่างกันจริงๆแเจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยฆ่าใครมาก่อน เมื่อเธอดูเหลิ่งหมิงอันล้มลงกับพื้น ความคิดแรกที่อยู่ในเธอไม่ได้คิดว่าในที่สุดก็ได้แก้แค้น แต่เธอกำลังคิดว่าเธอฆ่าคน คนที่มีชีวิตเหมือนเธอ

คนที่ตามเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอันที่อยู่ห่างออกไป หลังจากเสียงปืน เขารีบวิ่งไปที่เหลิ่งหมิงอันทันที แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะลุกลี้ลุกลนเพราะฆ่าเหลิ่งหมิงอัน เธอรู้ว่าตอนนี้เธอต้องหนีให้เร็วที่สุด

เจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตูรถทันทีก่อนที่ผู้คนจะมา ขึ้นรถแล้วสตาร์ทรถด้วยมือที่สั่น เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเหมือนคนสิ้นหวัง เธอไม่มีเวลาหันกลับมามองร่างของเหลิ่งหมิงอันด้วยซ้ำ เธอเหยียบคันเร่งอย่างแรงและขับรถออกไปอย่างรวดเร็ว สถานที่ที่เหลิ่งหมิงอันกักขังเธอดูห่างไกลมากและเจี่ยนอี๋นั่วไม่เห็นผู้คนเลย หลังจากขับรถมาเป็นเวลานาน ความเงียบที่เป็นเอกลักษณ์ในถิ่นทุรกันดาร ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินอีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วขับรถอย่างโง่เขลา เธอมองไม่เห็นรถที่กำลังพุ่งเข้ามาจากกระจก รีบหยุดรถ เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นและหดตัวเป็นลูกบอล เธอพูดซ้ำด้วยเสียงร้องไห้: "ฉัน……ฉันฆ่าคน…… "

ยิ่งไปกว่านั้น คนที่เธอฆ่าคือเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันในครอบครัวของตระกูลเหลิ่งนั้นซับซ้อนและเธอไม่ควรฆ่าเหลิ่งหมิงอันอย่างหุนหันพลันแล่น เมื่อเหลิ่งหมิงอันเสียชีวิต เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าเหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นศัตรูกัน เพราะเขาฆ่าพ่อของพวกเธอ แต่ก็ไม่ควรฆ่าเขาในเวลานี้

แต่หลังจากความตื่นตระหนก เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆรู้สึกมีความสุขและในที่สุดเธอก็ฆ่าเหลิ่งหมิงอันได้ คนที่วางแผนฆ่าพ่อของเธอ ในที่สุดเธอก็ฆ่าเขา ล้างแค้นให้พ่อของเธอได้สำเร็จ

เมื่อนึกถึงสภาพการตายของพ่อ คิดถึงเหลิ่งหมิงอันตอนที่เขาล้มลง ความสุขที่ได้ฆ่าศัตรูของเธอด้วยมือของเธอเองค่อยๆโผล่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆขจัดความกลัวและความตื่นตระหนกในใจของเธอ จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกเหมือนได้ทำอะไรบางอย่างด้วยตัวเอง ในสิ่งที่เธอควรทำ

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้งก่อนที่จะสงบลง เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งหมิงอันขังมาหลายวัน ตอนนี้ร่างกายและจิตใจของเธอใกล้จะเป็นบ้า เธอเพิ่งฆ่าเหลิ่งหมิงอัน ภายใต้ความวิตกกังวลความตื่นตระหนกและมีความสุขในการแก้แค้น สมองของเจี่ยนอี๋นั่วยุ่งเหยิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าถ้าเธอยังวิ่งหนีแบบนี้ต่อไป เธอจะทำให้เรื่องแย่ลงแน่นอน เธอต้องติดต่อเหลิ่งเซ่าถิง บางทีตอนนี้เขาเองก็กำลังพยายามติดต่อเธอ

เธอต้องรีบบอกเหลิ่งเซ่าถิงว่าพี่ชายของเขายังมีชีวิตอยู่และเรื่องที่เหลิ่งหมิงอันขังเธอ แถมเธอยังฆ่าเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งเซ่าถิงอาจจะช่วยเธอจัดการปัญหานี้ได้

เจี่ยนอี๋นั่วสตาร์ทรถอีกครั้งด้วยความตื่นตระหนก เธอขับรถไปไม่ถึงสิบนาทีก่อนที่จะเห็นรถตำรวจ ทันทีที่เธอเห็นรถตำรวจ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลีกเลี่ยงจุดตรวจ เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่าเธอยิงเหลิ่งหมิงอันที่หน้าอกและเหลิ่งหมิงอันไม่รอดแน่นอน แต่ต่อหน้าตำรวจมันเป็นเรื่องยากสำหรับเธอที่จะพูดสถานการณ์ตอนนั้น แม้ว่าจะเป็นการป้องกันตัวเอง แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีหลักฐาน ผู้คนรอบข้าง เหลิ่งหมิงอัน จะเป็นพยานให้เธองั้นหรอ? เธอต้องติดต่อเหลิ่งเซ่าถิงให้เร็วที่สุด

ในเวลานี้ รถตำรวจหยุดอยู่ข้างหน้ารถของเธออย่างกะทันหัน บังคับให้เจี่ยนอี๋นั่วจอดรถ เจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนพร้อมอาวุธปืนลงจากรถตำรวจและเดินไปที่รถของเจี่ยนอี๋นั่วทีละก้าว

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาอย่างรวดเร็วและหายใจเข้าลึกๆสองสามครั้ง พยายามทำให้อารมณ์ของเธอคงที่ ตำรวจจะตามหาเธอเพราะการเสียชีวิตของเหลิ่งหมิงอันหรือเปล่า แต่ครอบครัวเหลิ่งไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา หลังจากการตายของเหลิ่งหมิงอัน คนของเขาจะไม่โทรแจ้งตำรวจก่อน แต่พวกเขาจะติดต่อตระกูลเหลิ่งก่อน ฟังคำสั่งของพ่อแม่เหลิ่งหมิงอันก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะโทรแจ้งตำรวจหรือไม่

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องนี้ด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้า เธอเปิดหน้าต่างรถและยิ้มให้กับตำรวจสองคนที่เข้ามาหาเธอ: "สวัสดี ไม่ทราบว่ามีอะไรหรือเปล่า?"

ตำรวจขมวดคิ้วและเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและพูดอย่างเย็นชา: "กรุณาลงจากรถและให้ความร่วมมือในการตรวจสอบ"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เสื้อผ้าของเธอสกปรกและฉีกขาดตอนที่เธอออกจากห้องใต้ดิน ตอนนี้เธอไม่ได้สวมรองเท้า ถ้าเธอลงจากรถ เธอจะต้องถูกตำรวจสงสัย แต่ถ้าเธอไม่ลงจากรถเธออาจจะถูกจับได้ง่ายกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและพูดเบาๆว่า: "ฉันเผลอทำโทรศัพท์หล่นจากเนินเขา ตอนที่ฉันไปเก็บโทรศัพท์ กิ่งไม้เกี่ยวเสื้อผ้าฉันและเสื้อผ้าบางส่วนก็ขาด ฉันอายมากที่จะออกไป ฉันไม่อยากไปโชว์ให้คุณตำรวจเห็น ฉัน……”

“ ตอนนี้ไม่ได้กำลังเจรจา เธอต้องลงมาเดี๋ยวนี้” นายตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและน้ำเสียงที่แข็งกร้าว

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆและในที่สุดก็ทำได้เพียงเปิดประตูรถอย่างช่วยไม่ได้และพูดด้วยรอยยิ้ม: "ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ให้พวกคุณหัวเราะฉันก็ได้"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ลงจากรถด้วยรอยยิ้ม ตำรวจสองคนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว สักพักตำรวจคนหนึ่งถามขึ้นว่า: "ใช่เธอหรือเปล่า?”

เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนตอบว่า: "ใช่ คือเธอ!"

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆเธอก็ถูกกระแทกลงกับพื้นและใส่กุญแจมือ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะตะโกน: "นี่มันอะไรกัน?"

แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้ว่าเธอเป็นคนฆ่าเหลิ่งหมิงอันเธอจึงปิดปากทันที ตระกูลเหลิ่งทำไมติดต่อตำรวจเร็วขนาดนี้ นี่ส่งตำรวจมาจับเธอในฐานะฆาตกรงั้นหรอ?

ดูเหมือนว่าเหลิ่งหมิงอันตายแล้วจริงๆด้วยน้ำมือของเธอ และตอนนี้เธอกลายเป็นฆาตกรไปแล้ว?

เจี่ยนอี๋นั่วถูกยัดเข้าไปในรถตำรวจ ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วสงบและนิ่งมาก เธอตกอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองตำรวจที่นั่งอยู่ข้างๆเธอและถามว่า: "พวกคุณจับฉันทำไม?"

"ทำไมหนะหรอ?" ตำรวจตอบอย่างเย็นชา "เพราะตอนนี้คุณเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม! คุณเจี่ยนอี๋นั่ว!"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วถูกถอดผ้าปิดตาออก เธอก็เหลือบมองไปรอบๆและเห็นว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างๆเธอเลย นอกจากห้องน้ำ เตียงนอนและไฟสลัวบนหัวของเธอ มีเพียงเสียงหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วและเสียงร้อนฉ่าของเส้นใยที่อยู่เหนือศีรษะของเธอเท่านั้นที่สามารถได้ยินได้อย่างเงียบๆ เจี่ยนอี๋นั่วมองไม่เห็นแสงข้างนอก ไม่รู้ว่าเป็นกลางวันและกลางคืน

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกกังวลมาระยะหนึ่ง และเธอสามารถคาดเดาได้ว่าถ้าเธอยังคงอยู่ในความเงียบนี้เป็นเวลานาน เธออาจจะขอความเมตตาจากเหลิ่งหมิงอัน ไม่งั้นจะทำให้ตัวเองคลั่งได้ ปล่อยไว้แบบนี้ไม่ได้ เธอต้องหาวิธีรู้วันและเวลาให้ได้

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ห้องน้ำทันที แต่เห็นว่าไม่มีถังน้ำในห้องน้ำ แม้แต่ท่อน้ำก็ซ่อนอยู่ในผนัง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดหวังและออกจากห้องน้ำ มองไปรอบๆแสงที่ส่องสว่างคงที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกังวลมากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะตะโกน: "เหลิ่งหมิงอัน แกรู้ว่าฉันจะต้องหาวิธีทำอะไรสักอย่างสินะ? แกแอบเฝ้าดูฉันยู่หลังกล้องใช่ไหม? เธอทายถูกแล้ว ฉันอยากได้ถังน้ำ เพื่อเอาหยดน้ำมาคำนวณเวลา แต่ถ้าไม่มีน้ำ ฉันก็ไม่มีทางนำมันไปใช้ได้ตอนนี้ฉันไม่มีทางรู้เวลา…… "

ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลงด้วยความหงุดหงิด เจี่ยนอี๋นั่วได้คำตอบที่เงียบงำ ดูเหมือนจะถูกทอดทิ้งจากโลกนี้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วสามารถนับเวลาได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ ไม่สามารถนอนหลับได้ เจี่ยนอี๋นั่วทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว

ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับอยากจะใช้ผมของเธอเพื่อคำนวณเวลา แต่ความคิดนั้นเพิ่งปรากฏขึ้นและเจี่ยนอี๋นั่วก็ดูจากความยาวของเส้นผมและเล็บมันงอกช้าเกินไป ไม่มีวิธีคำนวณเวลาได้อย่างแม่นยำ

เจี่ยนอี๋นั่วย่อตัวลงบนที่นอนและพึมพำว่า: "เหลิ่งหมิงอัน ฉันหิวแล้ว ช่วยส่งอาหารมาให้ฉันหน่อยสิ"

น้ำเสียงน่าสงสารและอ่อนน้อมถ่อมตนของเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่แน่อาจจะทำให้เหลิ่งหมิงอันใจอ่อน เธอรู้ว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังเฝ้าดูเธออยู่ และเธอก็นอนขดตัวอยู่บนเตียง เหล่ตามองตะเกียงและหลับตาลง

เธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอให้เหลิ่งเซ่าถิงมาช่วยเธอ ดูเหมือนเธอจะได้แค่รอเท่านั้น

เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วที่หดตัวเป็นลูกบอลขนาดเล็กบนหน้าจอขนาดใหญ่และไม่สามารถช่วยได้ แต่ยื่นมือออกไป เขาใช้ปลายนิ้วแตะที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นลูบเบาๆและพูดว่า: "อี๋นั่ว…… "

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเธอทรุดตัวลงบนเตียงและหลับไปตอนไหน เธอตื่นขึ้นมาเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกรำคาญ เธอไม่ควรเข้านอนเร็วนัก เธอควรพยายามหาสถานการณ์ปัจจุบันของเธอในช่วงเวลานี้ แสงเหนือศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว ยังคงเปิดอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย เจี่ยนอี๋นั่วหันศีรษะและมองไปรอบๆ ทันใดนั้นก็เห็นมีขนมปังและนมวางอยู่หน้าประตู

บางทีมันอาจจะเป็นการป้องกันไม่ให้เธอฆ่าตัวตาย แม้แต่หลอดก็ไม่มี

นี่มันผ่านไปหนึ่งวันแล้วหรอ? เวลาที่เหลิ่งหมิงอันจะเอาอาหารมาให้เป็นเวลาที่แน่นอนหรือเปล่า?

เจี่ยนอี๋นั่วกินขนมปัง ดื่มนมจนหมดแล้ววางกล่องนมลงบนพื้น เธอรออย่างเงียบๆ ความเงียบทำให้การรับรู้ถึงเวลาของเธอยาวนานขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอรอมาสองหรือสามวันหลับไปสองสามครั้งในตอนกลางคืน จากนั้นรอจนกระทั่งเหลิ่งหมิงอันเอาอาหารมาให้เธออีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถคำนวณเวลาได้ เธอทำได้แค่ใช้เวลาที่เหลิ่งหมิงอันเอาอาหารมาให้ เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในอารมณ์ที่วิตกกังวลและทรมานอย่างช้าๆ เนื่องจากมีกล่องนมที่ว่างเปล่าอยู่ข้างๆเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ เธอรู้สึกว่าเธอใช้เวลาอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว หรืออาจนานกว่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเวลานั้นช่างยาวนานเหลือเกิน

“ว่าแต่ ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วหรอ? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงยังไม่มาช่วย? เขาหาไม่เจองั้นหรอ? หรือว่าลืมฉันไปแล้ว?” เจี่ยนอี๋นั่วนั่งหดตัวและพึมพำออกมา

ทันใดนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนอย่างประหม่าและในขณะที่เดินไปตามกำแพง เธอกัดเล็บแล้วพูดว่า: "ไม่ เป็นไปไม่ได้ เขารักฉัน เขารักฉันมากและเขาไม่มีวันถอดใจจากฉัน แต่…….”

เสียงของเจี่ยนอี๋นั่วหยุดลง สำลักและพูดออกมา: "แต่ฉันก็รักเขาเหมือนกัน หรือว่าเขาจะมีคนอื่นไปแล้ว? เขาตกหลุมรักฉันได้ ก็ไปตกหลุมรักคนอื่นได้เหมือนกัน เขาต้องลืมฉันไปแล้วแน่ๆ"

หลังจากพูดถึงเรื่องนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็หมอบลงกับพื้นทันทีและร้องเสียงดัง: "เขาคงจะลืมฉันไปแล้ว"

หลังจากร้องไห้ไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นยืนและส่ายหัวด้วยความตื่นตระหนก: "ไม่ นี่เป็นแผนการของเหลิ่งหมิงอัน ทั้งหมดเขาอยากให้ฉันสงสัยในตัวเซ่าถิง”

"มันต้องเป็นแบบนี้แน่" เจี่ยนอี๋นั่วพูดย้ำขณะที่เดินไปมา

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปตามกำแพงและเธอก็พูดในใจ: "หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว……มีเตียง หนึ่งก้าว สองก้าว ประตู…… "

ในห้องเงียบ เจี่ยนอี๋นั่วก้มศีรษะลงและวัดขนาดของห้อง

เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วใกล้จะยอมแพ้ เขารออย่างอดทน รอเจี่ยนอี๋นั่วยอมรับความพ่ายแพ้

ทันใดนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ตะโกนออกมา เธอก็กรีดร้องราวกับว่าวิญญาณที่ถูกบังคับให้อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง กำลังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือเป็นครั้งสุดท้าย

เธอคุกเข่าลงบนพื้นเห็นได้ชัดว่าร่างกายของเธอไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เธอหายใจแรงและในที่สุดก็เริ่มร้องไห้เสียงดัง หลังจากร้องไห้ด้วยความเหนื่อยล้า เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะอย่างประหลาดราวกับผีเข้า ขณะที่ยิ้มเธอมองไปที่กำแพงโดยแล้วกระซิบ: "เหลิ่งหมิงอัน ตาของเธออยู่ที่ไหน? เธอกำลังมองฉันอยู่ที่ไหน? ฉันจะไม่ยอมแพ้…… ฉันจะไม่ยอมแพ้เธอ……"

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด เธอลุกขึ้นยืนมองขึ้นไปที่โคมไฟ ตะเกียงที่ทำให้เธอไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างกลางวันและกลางคืนได้แผดเผาวิญญาณของเธอ

เหลิ่งหมิงอัน โน้มตัวเข้าใกล้หน้าจอมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วบนหน้าจอและขมวดคิ้ว: "เธอคิดจะทำอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองไปที่โคมไฟ ทันใดนั้นเธอก็หันกลับมา รีบเข้าไปในห้องน้ำ เหยียบโถชักโครก หยิบกระเบื้องที่แตกแล้วโยนไปที่โคมไฟ ทันใดนั้นทั้งห้องก็จมอยู่ในความมืด

เหลิ่งหมิงอันลุกขึ้นยืนตรงหน้าจอทันที จ้องไปที่ความมืดบนหน้าจอขนาดใหญ่ อุทานขึ้นว่า:"เจี่ยนอี๋นั่ว เธอคิดจะทำอะไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพูดในความมืด: "ฉัน……ฉันไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไร ฉันเหนื่อย ฉันเหนื่อยมาก…… "

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยเสียงกระซิบเบาๆ : "ฉันคิดถึงแม่และพ่อของฉัน ฉันไม่อยากอยู่ในแผนของพวกเธออีกแล้วอีก ฉันไม่ต้องการเป็นของใคร ฉันแค่อยากอยู่กับแม่และพ่อของฉัน พ่อ……แม่……หนูจะไปอยู่ด้วยเดี๋ยวนี้เลย…… "

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ได้ยินเสียงของเธอหายใจแรงและดูเหมือนจะเจ็บปวด จากนั้นก็มีเสียงของเหลวหยดออกมาจากความมืด ตามด้วยเสียงหัวเราะที่อ่อนแรงของเจี่ยนอี๋นั่ว

"เจี่ยนอี๋นั่ว เธอทำอะไร?" เหลิ่งหมิงอันลุกขึ้นทันทีและรีบไปที่ห้องใต้ดินที่ขังเจี่ยนอี๋นั่วไว้

เนื่องจากความตื่นตระหนกมากเกินไป เหลิ่งหมิงอันจึงไม่มีเวลาเรียกคนอื่น เปิดประตูห้องใต้ดินโดยตรง เหลิ่งหมิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพียงไม่กี่ก้าว จากนั้นประตูห้องใต้ดินก็ปิดลงทันที

เหลิ่งหมิงอันหยุดทันที เขาหัวเราะ: "เธอจงใจหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดในความมืด เธอคุ้นเคยกับโครงสร้างของห้อนี้อย่างละเอียด แม้แต่ในความมืดเจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถรู้ตำแหน่งของเหลิ่งหมิงอันผ่านเสียงของเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันเดินไปข้างหน้าในความมืดและเดินไปสองสามก้าว หัวเราะเบาๆและพูดขึ้นว่า: "เธอคิดว่ายังชอบไม่พอ ก็เลยจะใช้กลอุบายพวกนี้เพื่อเพิ่มความรู้สึกของฉันที่มีต่อเธอให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นหรอ? อี๋นั่ว เธอทำสำเร็จแล้วฉันชอบเธอมาก แต่กลอุบายแบบนี้จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าและคนของฉันกำลังมา แต่เธอ เธอจะสู้ฉันได้หรอ?”

ในขณะที่พูด เหลิ่งหมิงอันก็ถูกกระแทกด้วยของบางอย่างที่หลังของเขา มันเป็นกระเบื้องที่กระแทกด้านหลังศีรษะของเขา เหลิ่งหมิงอันจับหัวของเขา ก้าวถอยหลังและสะดุดล้มลง เจี่ยนอี๋นั่ววางกระเบื้องลง เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งหมิงอันล้มลงกับพื้น เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบวิ่งไปข้างหน้าทันที เธอหยิบชิ้นส่วนที่แตกของหลอดไฟกรีดเข้าไปที่เส้นเลือดของเหลิ่งหมิงอัน

ความรู้สึกเย็นชาทำให้เหลิ่งหมิงอันไม่กล้าขยับ จากนั้นเลือดของเหลิ่งหมิงอันค่อยๆไหลหยดลงมา เต็มไปด้วยกลิ่นเลือด

"เธอถือชิ้นส่วนด้วยมือเปล่าของเธอ มือของเธอก็ถูกบาดด้วยสินะ" เหลิ่งหมิงอันพูดออกมาเบาๆ

ทุกครั้งที่เหลิ่งหมิงอันพูด มือของเจี่ยนอี๋นั่วก็กำแน่นขึ้น ทำให้ชิ้นส่วนบาดมือเธอและเธอก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา: "ถ้าแกยังอยากมีชีวิตอยู่ ก็อย่าขยับ"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมาและพูดว่า:"ทั้งหมดเธอแค่แกล้ง เธอไม่ได้เป็นอะไร เธอแกล้งทำเป็นแบบนั้นเพื่อหลอกฉันลงมาที่นี่สินะ? เธอก็รู้ว่าคนของฉันอยู่ข้างนอก ต่อให้เธอฆ่าฉัน ก็ไม่ปล่อยเธอไปก็เลยขู่ฉัน อยากให้ฉันพาเธอออกไปสินะ? อี๋นั่ว เธอน่ารักมาก ฉันขังเธอมาเป็นเดือนแต่เธอยังมีสติครบถ้วน"

"ไม่ถึงเดือน มันแค่หนึ่งอาทิตย์ แกกำลังทำให้ฉันสับสน" เจี่ยนอี๋นั่วพูดเบาๆ

ในขณะที่เธอพูด เธอพลิกร่างของเหลิ่งหมิงอัน เศษหลอดไฟในมือของเธอไม่สามารถใช้เป็นอาวุธได้ ตอนนี้ระยะทางใกล้มาก เธอสามารถช่วยชีวิตของเหลิ่งหมิงอันได้ แต่เมื่อเธอลุกขึ้นความสูงและรูปร่างที่แตกต่างกันทำให้เธอไม่สามารถแทงเหลิ่งหมิงอันด้วยชิ้นส่วนหลอดไฟขนาดเล็กนี้ได้อย่างแม่นยำ เธอต้องหาของอื่นที่แทงเขาได้

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะและพูดว่า: "เธอสัมผัสฉันแบบนี้ เธอเป็นท่าทางกำลังจะรุกฉันหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหาปืนจากเหลิ่งหมิงอัน เธอไม่เคยใช้ปืนมาก่อน แต่หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบปืนในมือขึ้นมาทันทีและกดที่หน้าอกของเหลิ่งหมิงอันพร้อมพูดว่า: "ลุกขึ้นยืน ไม่งั้นฉันจะยิง "

เหลิ่งหมิงอันยืนขึ้นอย่างเชื่อฟังและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ได้ ใครให้ชีวิตฉันแขวนอยู่ในมือเธอล่ะ?"

ในเวลานี้มีใครบางคนวิ่งเข้าไปในห้องใต้ดินและแสงที่ส่องเข้ามาจากด้านนอกทำให้ดวงตาของเหลิ่งหมิงอันและเจี้ยนอิ๋วแสบเล็กน้อย เหลิ่งหมิงอันมองไปที่มือของเจี่ยนอี๋นั่วและเห็นว่าฝ่ามือของเจี่ยนอี๋นั่วถูกบาดด้วยชิ้นส่วนของหลอดไฟ เลือดไหลหยดลงมาเรื่อยๆ

“ ร้อนมากสินะ”

"ต้องการผู้ชายมากใช่ไหม? ยานี้มีฤทธิ์แรงมากจนเธอต้านไม่ได้ ฉันกำลังรอให้เธอมาขอร้องฉัน"

……

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วหมดสติเธอเหมือนจะได้ยินเสียงของฉู่หมิงเซวียน แต่เธอก็จำได้ว่าฉู่หมิงเซวียนตายแล้ว แม้ว่าเธอจะเกลียดฉู่หมิงเซวียน แต่เธอก็ไม่มีวันลืมภาพของฉู่หมิงเซวียนที่ถูกยิง เสียชีวิตต่อหน้าเธอ

นี่มันเกิดอะไรขึ้น?

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆลืมตาขึ้นและเห็นว่ามีหน้าจอขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าเธอ คนที่ปรากฏตรงหน้าเธอคือฉู่หมิงเซวียน เป็นภาพที่เธออยู่ในบาร์กับฉู่หมิงเซวียน ในคืนนั้นเธอถูกฉู่หมิงเซวียนวางยา ในเวลานั้นเอนกายพิงโซฟาและด่าฉู่หมิงเซวียนด้วยเสียงที่อ่อนแรง: “ไอ่สารเลว……”

"นี่มันคืออะไร?” เจี่ยนอี๋นั่วพยายามที่จะลุกขึ้นนั่ง เมื่อพบว่ามือซ้ายของเธอถูกใส่กุญแจมือไว้กับราวเตียง เจี่ยนอี๋นั่วพยายามคว้ากุญแจมือ แต่ก็ดิ้นหลุดจากมันไม่ได้

“อย่าขัดขืนเลย เดี๋ยวเธอจะบาดเจ็บนะ” เหลิ่งหมิงอันเดินเข้ามา ถือแก้วไวน์แดงสองแก้วพร้อมกับรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขา

เมื่อเขาเดินไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันวางแก้วไวน์ไว้ที่ปากของเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยรอยยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว: "เพิ่งตื่น กระหายน้ำไหม? มาดื่มไวน์ ช่วยบรรเทาอารมณ์ของเธอสิ"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆและพูดอย่างเย็นชา: "ปล่อยฉันนะ แกขังฉันแบบนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย เหลิ่งเซ่าถิงต้องหาฉันเจอแน่นอน ถ้าถึงตอนนั้นแกจะอธิบายยังไง? เรามาทำข้อตกลงกันเถอะ ฉันจะปกปิดทุกอย่างที่ฉันเจอ ปล่อยให้ฉันกลับไป เรายังคงใช้ชีวิตของเราได้เหมือนเดิม ต้องทำการขนาดนี้เลยหรอ? "

เหลิ่งหมิงอันหยิบแก้วไวน์ดันไปข้างหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม:“ งั้นเธอก็จิบไวน์นี้ก่อนสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วหลบ เธอและพูดอย่างเย็นชา: "ตอนนี้ฉันไม่มีอารมณ์"

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ : "ทำไมเธอถึงเชื่อฟังและน่ารักมากตอนอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิง แต่กับฉันทำไมอ่อนโยนแบบนั้นบ้างไม่ได้? ก็เหมือนตอนนั้นที่เธอรู้สึกกับฉัน น่ารักแบบเดิมไม่ได้หรอ? แค่ใจเธอมีคนอื่น เธอก็เปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เลยหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระชับริมฝีปากของเธอ ขมวดคิ้วและมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน เธอไม่ใช่ปล่อยวางจากใครไม่ได้ พ่อของเธอก็ถูกฆ่าด้วยแผนของเหลิ่งหมิงอัน คนที่สำคัญที่สุดของเธอตอนนี้คือเหลิ่งเซ่าถิง เธอจะกลัวอะไรอีก?

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถพูดพวกนี้ต่อหน้าเหลิ่งหมิงอันได้ เธอทำได้เพียงกระซิบ:“ ฉันแค่รู้สึกว่าแกลักพาตัวฉันมา แกไม่มีวันได้ในสิ่งที่เธอต้องการ ต่อให้เป็นฉันหรือคนอื่น มันก็ไม่มีประโยชน์ ฉันแนะนำให้แกหยุดมันซะ ฉันจะทำเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น……"

"เหมือนที่เธอไม่รู้ว่าฉันวางแผนฆ่าพ่อเธอยังไงหรอ?" เหลิ่งหมิงอันถามด้วยรอยยิ้ม: "เธอจะปล่อยคนที่ฆ่าพ่อเธอได้จริงหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วกระตุกริมฝีปากและความเกลียดชังในใจของเธอไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป เธอกัดฟันและถามว่า: "คนนั้นล่ะ? คนที่หน้าตาคล้ายเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ไหน? "

"หืม? ใคร?" เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างเย็นชา: "พี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิง พี่ชายฝาแฝดของเขาคนที่ฆ่าพ่อของฉัน เขาอยู่ไหน?"

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เธอบอกว่าพี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิง? เขาตายไปนานแล้ว เขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกและเสียชีวิตพร้อมกับพ่อแม่ของเขา น่าสงสารจริงๆ เขาเป็นคนที่มีความสามารถที่สุดในตระกูลเรา แต่ต้องมาตายไปแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดว่า: "เรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว แกจะปกปิดไปเพื่ออะไร? ฉันเห็นแล้วคนที่คล้ายเหลิ่งเซ่าถิงแต่เขามีมือข้างเดียว ฉันไม่อยากเล่นเกมกับแกแล้ว ฉันแค่อยากจะรู้จริงๆ ผู้ชายคนนั้นอยู่ไหน?”

"เขาไปเที่ยวแล้ว ไปที่ไกลแสนไกล" เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดแบบนี้ เขาก็พยักหน้าเบาๆและพูดด้วยรอยยิ้ม: "อืม ก็เป็นแบบนี้แหละ ไปท่องโลกแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าเหลิ่งหมิงอันจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีก เธอเม้มริมฝีปาก หลับตาและกระซิบ: "แกอยากเอาฉันไปเป็นข้อแลกเปลี่ยนอะไร?"

"ไม่มีข้อแลกเปลี่ยน ฉันตั้งใจจะให้เธออยู่เคียงข้างฉันตลอดไป"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและพูดว่า: "ฉันจัดให้มีอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่สี่แยก เหลิ่งเซ่าถิงจะได้คิดว่าเธอตายไปแล้ว เขาคงกำลังเสียใจตอนนี้ จากนี้ไปเธอจะเป็นของฉันคนเดียว"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น จ้องไปที่เหลิ่งหมิงอันด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและพูดอย่างเย็นชา: "แกจะขังฉันไว้ที่นี่ตลอดงั้นหรอ?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและส่ายหัว: “จะขังตลอดไปได้ยังไง? เหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าเธอตายแล้วจริงๆหรือยังไม่ตาย แต่ใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ไม่ก็แน่ใจ อาจจะไม่กี่เดือนอาจจะไม่กี่ปี บางทีช่วงเวลาที่เขากำลังตามหาเธอ อาจจะมีคนอื่นไปแล้วก็ได้ ลืมเธอไปแล้วแหละ จากนั้นเธอก็ต้องอยู่กับฉันตลอดไป ยังไงเราก็มีชีวิตที่มีความสุขด้วยกันได้”

เหลิ่งหมิงอันเดินไปที่หน้าจอขนาดใหญ่พร้อมแก้วไวน์ จากนั้นก็วางแก้วไวน์ลง เขายกมือขึ้นและลูบแก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว เขายิ้มและพูดว่า: "ดูเธอสิ เธอน่ารักแค่ไหน ฉู่หมิงเซวียนวางยาเธอแรงขนาดนั้น แต่เธอยังทนมันได้ ไม่ยอมแพ้ แม้ว่าแสงจะสลัวฉันก็ยังมองเห็นดวงตาที่สดใสของเธอ ก่อนหน้านี้ฉันวางยาเธอ เธอก็เป็นแบบนั้น น่ารักซะจริง ทั้งดื้อทั้งน่ารัก”

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "ทำไมถึงมีวิดีโอแบบนี้? หรือว่าตอนนั้นแกร่วมมือกับฉู่หมิงเซวียน?"

เหลิ่งหมิงอันส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม: "ฉันจะร่วมมือกับเขาได้ยังไง? ถ้าไม่พยายามให้เขาเข้าสู่ความสิ้นหวัง เขาก็ไม่ยอมให้ฉันทำเรื่องต่างๆหรอก ฉันแค่ส่งคนไปสอบสวนเขาและตามเขาไป หลังจากรู้ว่าเธอกับเขามีนัดกันที่บาร์ ฉันก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก็เลยติดตั้งกล้องและถ่ายวิดีโอนี้…… "

เหลิ่งหมิงอันพูดพลางเหล่ไปที่เจี่ยนอี๋นั่วในวิดีโอ และพูดว่า: "หลังจากที่ฉันดูวิดีโอนี้ ฉันมีแผนอยู่เบื้องหลัง ฉันเห็นว่าฉู่หมิงเซวียนทำกับเธอก็รู้สึกว่าฉู่หมิงเซวียนจะต้องตาย เขากล้าวางยาเธอ ฉันก็จะไม่ปล่อยมันไว้”

ในเวลานี้ เหลิ่งเซ่าถิงปรากฏในวิดีโอ เหลิ่งเซ่าถิงเข้าไปในร้าน กำหมัดต่อยฉู่หมิงเซวียน แล้วอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วออกจากบาร์

เหลิ่งหมิงอันเม้มริมฝีปากแน่น จ้องมองไปที่ด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังอุ้มเจี่ยนอี๋นั่ว เขาถามเบาๆว่า: "หลังจากที่เขาอุ้มเธอไป พวกคุณก็มีความสัมพันธ์ในเวลานั้นสินะ ตอนนั้นฤทธิ์ยากำลังออกฤทธิ์แล้ว โรงแรมรอบๆไม่มีการลงทะเบียนของเธอ เธอน่าจะทำในรถ ครั้งแรกของเธอในรถน่าตื่นเต้นมากใช่ไหม? เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ปรับตัวเก่ง เธอเป็นผู้หญิงที่รุกเขาก่อน ไม่ต้องพูดถึง เมื่อยาออกฤทธิ์เธอเป็นฝ่ายจู่โจมจูบเขาและฉีกเสื้อผ้าเขาออก……”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าเหลิ่งหมิงอันคาดเดาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง และอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา: "หุบปาก!"

เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูดเบาๆว่า: "ฉันจะหุบปากได้ยังไง? เธอรู้ดีว่าเธอทำอะไรลงไปกับเหลิ่งเซ่าถิงในคืนนั้น ฉันแค่ไปหาพวกเธอไม่ใช่หรอ? ฉันรู้สึกเสียดายมากคืนนั้นที่เธอผลักฉันเข้ารถ ทำไมฉันต้องผลักเธอออกด้วย ฉันน่าจะตอบสนองเธอ แต่ถ้าเขาเป็นสุภาพบุรุษพอ เหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ทำผู้หญิงที่ไม่ใช่ของเขา”

เหลิ่งหมิงอันเหล่ไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและหัวเราะ: "แต่เธอ ถ้าเธอขอให้ฉันนอนกับเธอ ทำอะไรกับเธอ เธอคงไม่มีหน้าไปเจอเหลิ่งเซ่าถิงแล้วมั้ง? ครั้งนั้นเราทำพลาดไป แต่ตอนนี้เรามารื้อฟื้นใหม่ได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วจ้องไปที่เหลิ่งหมิงอันและถามว่า: "แกจะวางยาฉันอีกงั้นหรอ?"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและส่ายหัว: "ไม่ใช่ ยาไม่ทำให้เธอยอมจำนน อีกอย่างถ้าใช้ยา เธอจะไม่รู้สึกผิดต่อเหลิ่งเซ่าถิง ฉันอยากให้เธอมีสติและขอร้องฉัน ให้ฉันนอนกับเธอ ให้เธอถอดเสื้อผ้าของเธอออกทีละชิ้น ริเริ่มที่จะจูบฉัน ชวนฉันมาสนุกจะมีกล้องถ่ายไว้ทุกอย่าง และฉันจะเอาคลิปไปให้เหลิ่งเซ่าถิง เห็นเธอมีสติและริเริ่มที่จะมีความสัมพันธ์กับฉัน เขาจะยังรักเธอไหม? ถ้าเกิดมีฤทธิ์ยาเธอจะเอาไปใช้เองข้ออ้างได้ แต่ถ้าไม่มีล่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่ได้ตระหนกเพราะเหลิ่งหมิงอันบอกจะไม่ใช้ยา แต่เธอรู้สึกกระวนกระวายมากขึ้น หากไม่ได้ใช้ยา เหลิ่งหมิงอันก็จะมีวิธีการที่รุนแรงมากขึ้นในการบังคับให้เธอยอมแพ้

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยเสียงสั่น: "แกคิดจะทำอะไร?"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: "เธอจะต้องอยู่กับยาเสพติดนี้ เธอมีทางเลือกอื่นหรอ? ฉันได้เห็นการทดลองทางจิตวิทยาหลายครั้ง แต่ฉันไม่รู้ว่าวิธีการเหล่านั้นเป็นไปได้จริงไหม แต่เรามีเวลาและสามารถลองทำอย่างช้าๆ วิธีแรกไม่มีหน้าต่าง ไม่มีนาฬิกาแล้ว เดี๋ยวฉันเองก็จะออกไป ฉันจะปล่อยเธอเอง บางทีอาจจะเอาอาหารมาให้บ้าง ดูว่าเธอจะทนได้นานแค่ไหน?”

ในขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูดเขาเปิดไฟและพูดว่า: "อ้อ มีแสงอีกดวงที่จะอยู่กับเธอแต่แสงนี้อาจทำให้เธอวิตกกังวลมากขึ้นและค่อยๆลืมเวลา สับสนทั้งกลางวันและกลางคืน ในความวิตกกังวลและตื่นตระหนก จากนั้นเธอจะขอความเมตตาเพื่อออกจากนรกอันเงียบสงบนี้ ฉันรอเธอ ตราบใดที่เธอร้องขอความเมตตาและเต็มใจที่จะนอนกับฉัน ฉันจะปล่อยเธอไป ให้เธอเห็นดวงอาทิตย์ข้างนอก ฉันรอคอยผลลัพธ์สุดท้ายไม่ว่าเธอจะขอความเมตตาจากฉันหรือไม่ ฉันจะรอ"

เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปหาเหลิ่งอวิ๋นเซียวและพูดว่า: "แกฆ่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่ว แกคิดว่าฉันจะปล่อยแกไปงั้นหรอ?"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวจับของเขา เงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม: "แกไม่ปล่อยฉันไป แล้วทำอะไรได้? ตอนนี้ฉันกำลังจะตายแล้ว ต่อให้แกไม่ฆ่าฉัน ฉันก็ตายอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นฉันจะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับแกด้วย ถ้าแก……”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวชี้ไปที่เงินที่ซ่อนอยู่ในมุมและพูดด้วยเสียงที่อ่อนแอ: "แค่เอาเงินนี่ไปให้พ่อของฉันและดูแลเขา จนกว่าเขาจะจากไป แค่นี้ก็พอ พวกเขามีชีวิตที่ยากลำบากมาตลอด ฉันหวังว่าตอนที่พวกเขาแก่มากแล้ว จะมีชีวิตที่ดีขึ้นบ้าง”

“แกเป็นห่วงพ่อบุญธรรมของแก แล้วทำไมถึงฆ่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างไร้ความปราณี แกรู้ไหมเจี่ยนอี๋นั่วเสียใจแค่ไหน?” เหลิ่งเซ่าถิงกัดฟันพูดและจ้องมองไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว

เหลิ่งอวิ๋นเซียวขมวดคิ้วด้วยความงงงวยบนใบหน้าของเขา: "เธอเสียใจด้วยงั้นหรอ? แต่พ่อของเธอไม่สามารถดูแลตัวเองได้ ฉันปล่อยให้เขาตาย ก็เหมือนฉันช่วยเขาไม่ใช่หรอ? อีกอย่างพ่อของเธอจะมาเทียบกับพ่อของฉันได้ยังไง พ่อฉันลำบากกว่าแถมยังดูแลฉัน ส่วนพ่อของเธอฉันไม่รู้จักด้วยซ้ำ แล้วทำไมฉันถึงจะฆ่าเขาไม่ได้?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว ส่ายหัวเล็กน้อยและพูดเบาๆว่า: "แม้ว่าพ่อแม่บุญธรรมของแกจะดูแลแกมาอย่างดี แต่มันก็ไม่ทำให้แกมีความเป็นคนขึ้นเลย แกยังไม่เข้าความเป็นคนสินะ”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวกระพริบตาและมีน้ำเสียงที่หงุดหงิด: "แกไม่ต้องมาสอนฉัน อย่าคิดว่าฉันเรียกแกมาแล้วก็ต้องการความช่วยเหลือจากแก แกในสายตาฉัน ก็แค่……ก็ยังเป็นแค่เด็กไม่รู้จักโต ฉันแค่เรียกแกมาสั่งเสีย ฉันขอให้แกดูแลพ่อของฉัน แล้วฉันจะบอกให้พ่อแม่ของเราทิ้งมรดกไว้ที่ไหน”

เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวและถามว่า: “มรดกของพ่อแม่เรา? ถูกยืดเข้าตระกูลเหลิ่งหมดแล้วไม่ใช่หรอ?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวส่ายหัวและกระซิบว่า: “ เปล่า หลังจากที่ฉันกลับมา ฉันพบว่าทรัพย์สินของครอบครัวที่เขาบอกให้ฉันซ่อนนั้นเป็นเรื่องจริง ตอนที่ฉันฆ่าเขาด้วยมีดเล่มเดียว เขาแข็งแกร่งมาก ทำให้ฉันลำบากมากและให้โอกาสเขาขอความเมตตา ฉันตัดคอของเขาเปิดออกและเขาก็เอาผ้าปิดแผล ขณะขอร้องฉันด้วยความเมตตาโดยบอกว่าเขาจะไม่ฆ่าฉัน เขายังบอกอีกว่าเขามีเงินจำนวนมากที่ฝากไว้ในธนาคารสวิสและเขาฝากเงินไว้กับคนอื่น ตระกูลเหลิ่งจะไม่มีทางหาเจอ เขาเก็บมาหลายปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต เขาบอกวิธีการถอนเงินและรหัสผ่านของเรา พ่อเป็นซีอีโอของตระกูลเหลิ่ง ในเวลานั้นเงินที่เขาสะสมต้องมีมาก เป็นไง? ฉันจะให้เธอทั้งหมด "

เหลิ่งเซ่าถิงเหล่มองเหลิ่งอวิ๋นเซียว: "ถ้าแกรู้ว่ามีมรดกนั้นจริง ทำไมแกไม่ไปเอาเอง?"

"ฉัน?" เหลิ่งอวิ๋นเซียวหัวเราะ: "ฉันจะกล้าได้ยังไง? ถ้าฉันไปถอนเงิน จะมีคนรู้ว่าฉันยังไม่ตาย ฉันไปสวิตเซอร์แลนด์ไม่ได้ และ……และฉันก็ไม่ได้ต้องการเงิน ตอนแรกฉันไม่รู้ว่ามีเงินอยู่จริงหรือเปล่าฉันไม่อยากเสี่ยงขนาดนั้น ฉันแค่อยากอยู่กับพ่อแม่ ถึงจะลำบากหน่อยแต่มันอบอุ่นมาก แต่พวกเขาจนมาก แต่ยอมเสียเงินเพื่อผ่าตัดฉัน ฉันยิ่งดีใจ ถ้าไม่ใช่เพราะฉันกำลังจะตาย ฉันก็ไม่ไปเอาเงินให้พวกเขาหรอก”

“แกอยากทำแต่ทำไม่ได้ ก็เลยมาและเปลี่ยนกับฉันงั้นหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงถามอย่างเย็นชา

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม: "เป็นแบบนี้แหละ แถมเธอต้องตกลงแน่นอน อ้อ และฉันก็บอกให้ได้ว่าตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ไหน ถ้าแกรีบตามไปต้องหาเจี่ยนอี๋นั่วเจอแน่นอน”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัว: "ไม่ฉันรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงด้วยความประหลาดใจและพูดอย่างงงงวย: "ไม่จำเป็น ฉันรู้ว่าเธออยู่ไหน"

ทันใดนั้นหัวใจของเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็เกิดอาการจุกเสียด เขากดหน้าอกไว้แน่น เงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับรอยยิ้มแปลกๆบนใบหน้าของเขาและถามด้วยเบาๆ: "ทำไมล่ะ? เธอเป็นคนรักของแกไม่ใช่หรอ? ทำไมแกไม่ไปตามหาเธอ? ตอนนี้เธออยู่ในมือของเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันปฏิบัติกับเธอไม่ดี เธออาจจะตายได้”

"เธอไม่ตายหรอก" เหลิ่งเซ่าถิงมองลงไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวและพูดด้วยเบาๆ: "เหลิ่งหมิงอันไม่ได้ต้องการชีวิตของเธอ เขาแค่ต้องการให้เธอไปจากฉัน"

“ แก…..ทำไมแกถึงทำตามความต้องการของเหลิ่งหมิงอัน ปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นไปจากแก?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดแบบนี้และหยุดกะทันหัน พร้อมกับรอยยิ้มที่ตื่นเต้นอย่างประหลาดบนใบหน้าของเขา: "หรือว่าแกเองก็อยากให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปจากแก? แกเตรียมพร้อมที่จะจัดการกับคนอื่นๆ ในตระกูลเหลิ่งแล้วหรอ? ย่าของเรา ลุงของเรา ลูกแกลูกน้องสมาชิกตระกูลอื่นๆของเรา แกพร้อมจะจัดการแล้วงั้นหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า เยี่ยมจริงๆ! "

เหลิ่งอวิ๋นเซียวมองลงไปที่บาดแผลกระสุนปืนบนร่างกายของเขา ยิ้มและพูดว่า: "พวกเขาสมควรตายไปนานแล้ว งั้นฉันก็ยิ่งต้องบอกสิ่งที่ฉันรู้ให้ แกจะช่วยล้างแค้นให้กับฉัน ย่าโหดร้ายเกินไป เธอรู้ว่าฉันกำลังจะตาย แต่ก็ยังไล่ฆ่าฉัน อีกอย่าง เธออยากฆ่าฉันแถมสั่งให้คนฆ่าพ่อฉันด้วย แกต้องช่วยฉัน ช่วยฉันแก้แค้น ช่วยปกป้องพ่อ……”

"ฉันไม่ได้มาช่วยล้างแค้นให้แก" เหลิ่งเซ่าถิงนั่งยองๆต่อหน้าเหลิ่งอวิ๋นเซียวและมองตรงไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว: "ถ้าเรื่องราวระหว่างตระกูลเรายังเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้ายพวกเราจะไม่มีใครพบจุดจบที่ดี”

แสงแห่งความตื่นเต้นแปลกประหลาดปรากฏขึ้นในดวงตาของเหลิ่งอวิ๋นเซียว เขาจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างแรงและพูดด้วยเบาๆ: "ถึงแม่แกจะไม่ล้างแค้นให้ฉัน แต่เป้าหมายของแกก็เหมือนกัน ยังไงแกก็ได้วางแผนไว้แล้ว พ่อของฉันจะได้รับการคุ้มครองจากแกใช่ไหม? เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกได้ว่าคนที่อยู่กับเธอไม่ใช่แก จะไม่สังเกตเห็นอารมณ์ของเธอได้ยังไง? แกรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันกลับมา พ่อของฉัน แกปกป้องไว้แต่แรกแล้วใช่ไหม?

เหลิ่งเซ่าถิงสะบัดมือของเหลิ่งอวิ๋นเซียวออก ขมวดคิ้วและกระซิบด้วยน้ำเสียงที่แสดงความสงสาร: "พ่อบุญธรรมของแก ถูกฆ่าตายก่อนที่คนของฉันจะมาถึงแล้ว”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นยกมือขึ้นปิดหน้าอกที่เจ็บปวดของเขา เขาเงยหน้าขึ้นและหัวเราะ: "ฮ่าฮ่าฮ่า … เป็นไปไม่ได้ ตอนที่ฉันออกมา เขายังบอกว่าเขาจะรอฉันกลับบ้าน เขาต้องรอให้ฉันกลับบ้านอย่างสุขภาพแข็งแรง เขาไม่เคยมีวันที่ดี ไม่เคยกินอาหารดีๆ ทุกวันตรุษจีนทุกอย่างที่เขามี มันน้อยกว่าหนึ่งในสิบของย่า เขาจะตายแบบนี้ได้ยังไง? ไม่จริง มันไม่ยุติธรรม นี่มันตลกเป็นบ้า ฮ่าฮ่าฮ่า……แกโกหกฉัน……เป็นไปไม่ได้!”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างเย็นชา: "ฉันไม่จำเป็นต้องโกหกแก บอกว่าพ่อของแกยังมีชีวิตอยู่ เอามาขู่แกมันมีประโยชน์กว่านี้อีก”

หลังจากหัวเราะไปสองสามครั้ง เหลิ่งอวิ๋นเซียวหลับตาลง ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลงทันที จากนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวด: "เขาไม่ได้ทำอะไรผิด ฆ่าเขาทำไม? ทำไม?"

"เพราะเขาเลี้ยงดูแก" เหลิ่งเซ่าถิงมองไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวที่เจ็บปวดและมองไปที่ใบหน้าที่คล้ายกันมากของเหลิ่งอวิ๋นเซียว ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวราวกับว่าเขากำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด

“เลี้ยงฉันมันผิดขนาดนั้นเลยหรอ?” เหลิ่งอวิ๋นเซียวถามด้วยดวงตาสีแดงและน้ำตาบนใบหน้าของเขา

ทันใดนั้นเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็เงยหน้าขึ้นน้ำตาของเขาก็หยุดลงทันที ใบหน้าของเขาแสดงความสงบอย่างแปลกประหลาดและเขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "งั้นดี งั้นฉันจะบอกเธอทุกอย่างเลยละกัน ทั้งหมดที่ฉันรู้ แกอย่าปล่อยให้รอดสักคน ฆ่าพวกมันให้หมด!”

ในขณะที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูด เขาเข้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อยและบอกเหลิ่งเซ่าถิงเรื่องบัญชีและรหัสผ่าน ทุกสิ่งที่เขารู้ หลังจากที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดจบเขาก็หายใจเข้าลึกๆและกระซิบว่า: "เงินทั้งหมดที่เหลิ่งหมิงอันให้ฉัน ฉันให้แก”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวและพูดด้วยเบาๆว่า: "ถ้าเงินพวกนั้นหายไป พวกเขาจะรู้ว่าแกติดต่อกับคนอื่น แกฆ่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่ว และฉันจะไม่ช่วยแก แต่ฉันจะพยายามตามหาที่ฝังศพใส่ขี้เถ้าของแกและพ่อแม่บุญธรรมของแกอยู่ที่เดียวกัน เพราะ…… "

ในตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงกัดริมฝีปากแน่นและไม่พูดต่อ

เหลิ่งอวิ๋นเซียวมีแสงแปลกๆในดวงตาของเขาและพูดเบาๆ: "เพราะเราเป็นพี่น้องกัน?"

เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านโดยไม่หันกลับมามอง เหลิ่งอวิ๋นเซียวเอนกายพิงมุมและพูดด้วยเบาๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า: "เราเป็นพี่น้องกัน?พี่น้อง…… "

จากนั้นเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ยิ้มอีกครั้ง เดินช้าๆไปยังมุมที่มีเงินดอลลาร์ซ่อนอยู่และพึมพำเบาๆ: "จะตายที่นี่ไม่ได้ ถ้าตายอยู่ที่นี่ จะพบว่าฉันนัดเจอกับใครบางคน ฆ่าตัวตายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะรู้ได้ว่าฉันรู้ข่าวการตายของพ่อแล้ว จะรู้ว่าฉันเจอกับเหลิ่งเซ่าถิง ฉันต้องหนี…..หนีต่อไป…..เหมือนก็…….เหมือน……"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเดินออกมาจากบ้านถือเงินดอลลาร์สหรัฐโดยยังคงพึมพำเสียงเบา: "เหมือนกับคำที่พ่อเคยบอกไว้ รอฉันกลับบ้าน เหมือนเขายังมีชีวิตอยู่…..”

เหลิ่งอวิ๋นเซียววิ่งไปข้างหน้า จนกระทั่งเขาออกจากซอย และเขาก็พบกับชายคนหนึ่งสวมแว่นตาสีทองและแต่งตัวเหมือนพนักงานออฟฟิศทั่วไป ด้วยรอยยิ้มเล็กๆบนใบหน้าของเขา ชายคนนั้นเดินเคียงข้างเหลิ่งอวิ๋นเซียว จากนั้นรีบหยิบมีดออกมาและเชือดคอของเหลิ่งอวิ๋นเซียว ในขณะที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวล้มลง คนสองคนที่ติดตามเหลิ่งอวิ๋นเซียวรีบพยุงเหลิ่งอวิ๋นเซียวขึ้นมาอย่างรวดเร็วปิดแผลที่คอของเหลิ่งอวิ๋นเซียว จับเหลิ่งอวิ๋นเซียวใส่ในพลาสติกสีดำ แล้วยัดลงไปในกระเป๋าเดินทางที่เตรียมเอาไว้

บนถนนที่ไม่มีผู้คนแห่งนี้ในช่วงเช้าตรู่ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว จนไม่มีใครสังเกตเห็น แม้แต่เหลิ่งอวิ๋นเซียวเองก็ไม่คาดคิดว่าทุกอย่างจะจบลงอย่างกะทันหัน แต่เดิมเขาคิดว่าเขายังสามารถวิ่งหนีไปได้

เหลิ่งเซ่าถิงนั่งบนขอบเตียง ลูบที่นอนของเจี่ยนอี๋นั่วและเหล่ออกไปนอกหน้าต่าง ในความมืดดวงตาที่ล่องลอยจางๆของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับดวงตาของหมาป่าที่เปล่งประกายในความมืด

คุณนายเหลิ่งหัวเราะ: "เธอนี่มันเข้าใจฉันจริงๆ ถ้าเธอเป็นหลานชายของฉัน ฉันคงไม่ต้องพยายามอธิบายหลายรอบ"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและพูดว่า: "น่าเสียดาย ที่ผมไม่มีโอกาสนั้น"

คุณนายเหลิ่งหรี่ตาลงครึ่งหนึ่งและพูดอย่างเย็นชา: "เธอมีแผนอะไรไหม? ที่จะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วออกจากชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิง ถึงฉันจะชอบความฉลาดของเธอ แต่เธอก็ฉลาดเกินไปหน่อย หลานชายฉันมีฉันคอยช่วยข้างๆก็พอแล้ว ภรรยาก็แค่เป็นคนให้กำเนิดลูก ไม่จำเป็นต้องเอาคนฉลาดแบบเธอ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: "ฉันรู้สึกโล่งใจที่ได้ยินคุณพูดแบบนี้ มีคุณคอยช่วยเหลือ พวกเราคงจะได้รับแต่สิ่งดีๆ"

คุณนายเหลิ่งหัวเราะ: "เธอได้อะไร? ได้เจี่ยนอี๋นั่วหรอ?"

เหลิ่งหมิงอันไม่ตอบ หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งหมิงอันก็ยิ้มและพูดว่า: "คุณนี่รู้ทันทุกเรื่องจริงๆ"

คุณนายเหลิ่งส่ายหัวช้าๆและหัวเราะ: "ฉันไม่เข้าใจวัยรุ่นแบบพวกเธอจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วคนนั้นมีอะไรดี? ถึงทำให้พวกเธอเป็นแบบนี้ แต่ก็ดีเหมือนกัน เจี่ยนอี๋นั่วอยู่กับเธอ เซ่าถิงจะได้ตัดใจได้บ้าง”

“ ฟังแล้ว เหมือนว่าคุณมีตัวเลือกในใจแล้ว?” เหลิ่งหมิงอันถามขึ้น

คุณนายเหลิ่งหายใจเข้ายาวๆและหัวเราะ: "ฉันคงไม่เลือกคนที่ฆ่าลูกชายของฉันกลับมาหรอก ถ้าจะหายไปก็หายไปให้ได้ตลอดกาล"

คุณนายเหลิ่งวางสายหลังจากพูด เหลิ่งหมิงอันยืนอยู่ตรงนั้นมองดูโทรศัพท์ในมือด้วยท่าทางงุนงง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ค่อยๆหัวเราะ มีคนที่เลือดเย็นแบบนี้ดูแลพวกเขา ไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกับเหลิ่งอวิ๋นเซียวโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่

เด็กอัจฉริยะที่ใครๆก็พูดถึงในตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คงดับหายไปแล้วมั้ง

คุณนายเหลิ่งนั่งอยู่คนเดียวบนเก้าอี้เอนกายหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "เอาล่ะ ตามไปฆ่าเขาซะและชายที่เลี้ยงดูเขามาก่อนก็ฆ่าทิ้งด้วยเลย อย่าให้ใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่”

คุณนายเหลิ่งหลับตาลงเล็กน้อยแล้วเอนกายลงบนโซฟา เธออดไม่ได้ที่จะกระซิบว่า: “ นั่นเป็นเด็กที่ฉลาดและใจเย็นจริงๆ น่าเสียดายที่ฉันปล่อยคนที่ฆ่าพ่อและแม่ให้เป็นทายาทของตระกูลเหลิ่งไม่ได้ จะดีมากถ้าฉันปลูกถ่ายได้ตั้งแต่แรก ฉันจะย้ายหัวใจของเซ่าถิงไปที่อวิ๋นเซียว ทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกันและหลังจากการฝึกฝนของฉัน อาจจะเป็นทายาทที่สมบูรณ์แบบที่สุด ช่างน่าเสียดาย……น่าเสียดายจริงๆ…… "

เมื่อคุณนายเหลิ่งพึมพำแล้วเธอก็หลับตาลง เธอนึกถึงความฉลาดของเหลิ่งอวิ๋นเซียว ตอนเธอยังเป็นเด็กและถอนหายใจอย่างเสียใจ เธอเดามานานแล้วว่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวอาจจะทำอะไรและเธอรู้สึกรำคาญมากในเวลานั้น หลังจากนั้นเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ฆ่าลูกชายคนโตของเธอ แม้ว่าลูกชายคนนั้นจะเป็นคนที่ไร้ความสามารถและไร้ประโยชน์ก็ตาม ส่วนผู้หญิงที่ทำให้ลูกชายเธอสับสน ขึ้นชื่อว่าภรรยา การเป็นหรือตายของเธอไม่สำคัญในใจของคุณนายเหลิ่ง

แต่นอกเหนือจากความโกรธแล้ว คุณนายเหลิ่งยังชื่นชมเหลิ่งอวิ๋นเซียว เด็กเล็กสามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างได้อย่างราบรื่น เขาเป็นเด็กที่ดีมาก ถ้าเขากลายเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่ง อีกไม่นานตระกูลเหลิ่งจะมีชื่อเสียงมากขึ้นและในฐานะหนึ่งในผู้ใหญ่ของตระกูลเหลิ่ง เธอจะได้รับความเคารพจากทุกคนและกลายเป็นตำนาน เหลิ่งอวิ๋นเซียวเป็นเด็กที่ฉลาดและใจเย็น เขาคงไม่ถูกผู้หญิงครอบงำเหมือนพ่อของเขาและเซ่าถิงในตอนนี้

แต่เหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ทำสิ่งนั้นลงไป ฆ่าพ่อแม่แท้ๆของตัวเอง คุณนายเหลิ่งตัดสินใจที่จะถอดใจจากเหลิ่งอวิ๋นเซียว แม้ว่าเธอจะเดาได้ว่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวอาจยังมีชีวิตอยู่

เมื่อเหลิ่งอวิ๋นเซียวปรากฏตัวอีกครั้ง คุณนายเหลิ่งรู้สึกรำคาญที่เจี่ยนอี๋นั่วมามีอิทธิพลต่อเหลิ่งเซ่าถิง คุณนายเหลิ่งฝึกฝนเหลิ่งเซ่าถิงอย่างตั้งใจ แต่หากเหลิ่งเซ่าถิงไม่เชื่อฟังการเตรียมการของเธอการฝึกฝนอย่างตั้งใจทั้งหมดของเธอก็จะไร้ผล สิ่งที่คุณนายเหลิ่งต้องการคือหลานชายที่ฉลาดและมีสติสัมปชัญญะ เชื่อฟังคำสั่งของเธอ แม้ว่าจะต้องไปตาย หลานชายของเธอก็ต้องเชื่อฟังการเตรียมการของเธอ ทำตามหัวใจของเธอทีละขั้นตอนเพื่อตระกูล แทนที่จะตกหลุมรักผู้หญิงที่เพิ่งเจอ

คุณนายเหลิ่งรอให้เหลิ่งอวิ๋นเซียวออกตัว กำลังรอให้เหลิ่งอวิ๋นเซียวทำให้เธอประหลาดใจ แต่สิ่งที่รออยู่คือความผิดหวัง เหลิ่งอวิ๋นเซียวเลือกที่จะร่วมมือกับเหลิ่งหมิงอัน แถมยังให้เหลิ่งหมิงอันเป็นคนฆ่า การทำมีดเขียงให้คนอื่นเป็นสิ่งที่ด้อยที่สุด และทายาทของเธอจะไม่ลงมือฆ่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวแน่นอน

เรื่องที่ตลกยิ่งกว่านั้น แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ค้นพบความจริง เนื่องจากการกลับมาของเหลิ่งอวิ๋นเซียวทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นที่ชื่นชอบในสายตา เหลิ่งเซ่าถิงต้องการเพียงตัดเจี่ยนอี๋นั่วออกไป เขาก็จะสมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามการขาดประสบการณ์และการศึกษาของเหลิ่งอวิ๋นเซียวไม่สามารถชดเชยได้ด้วยความดื้อรั้นที่ไม่ได้รับการแก้ไขของเขา ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากการเลี้ยงดูของคู่สามีภรรยาในชนบทเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ตัดสินใจอย่างไร้ความปราณี

สิ่งเดียวที่คุณนายเหลิ่งไม่คิดคือคนที่ทำงานได้ถูกใจเธอที่สุดคือเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันรู้วิธีที่จะจัดการเหลิ่งอวิ๋นเซียวและเหลิ่งเซ่าถิง แทนที่จะฆ่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวโดยตรง ทั้งๆที่เขาสามารถทำได้ แต่เขารู้ดี เธอจะเลือกเหลิ่งเซ่าถิง และฆ่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวทิ้ง

"น่าเสียดาย……" คุณนายเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจอีกครั้งและพูดอย่างแผ่วเบา

ไม่รู้ว่าเธอกำลังเสียใจกับความตายของเหลิ่งอวิ๋นเซียว หรือสงสารเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังจะสูญเสียคนรัก หรือสงสารเหลิ่งหมิงอันคนที่เข้าใจเธอที่สุด แต่เป็นเพราะเธอไม่ได้มีเลือดของเธอ เธอก็เลยใช้เป็นตัวหมากรุกเท่านั้น……

หัวใจของเหลิ่งอวิ๋นเซียวเจ็บปวด เขารู้ตัวแล้วว่ามีคนสะกดรอยตาม เขารู้ว่าจะต้องมีปัญหากับเงินที่เหลิ่งหมิงอันให้เขา แต่เขาก็ลังเลที่จะทิ้งมันไป และไม่มีเวลาที่จะจัดการกลับกล่องเงินสดนี้ มีเงินหนึ่งล้านเหรียญในกล่อง ในหมู่บ้านบนภูเขาที่เลี้ยงดูเขามานานกว่าสิบปี เงินนี้สามารถสร้างบ้านที่ดีมากให้พ่อบุญธรรมของเขาได้

เหลิ่งอวิ๋นเซียวรู้ว่าเขาสายตาสั้นและน่าสมเพช เขาเหมือนคนสิ้นคิดที่ไม่เคยเห็นเงินมาก่อน ถือกล่องเงินสดและไม่ยอมปล่อย ไม่เหมือนเด็กร่ำรายที่เกิดมาในตระกูลเหลิ่งเลย

เหลิ่งอวิ๋นเซียวร่ำรวย เมื่อตอนที่เขายังเด็กและเงินเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับเขาเป็นแค่ตัวเลข แม้ว่ามันจะเป็นเงินหลายร้อยล้านก็ตาม เขาทำได้เพียงแค่เปิดเปลือกตาขึ้นเท่านั้น เขาไม่ได้มีสิ่งพิเศษที่ต้องการหรือพบว่ามีอะไรน่าสนใจ ตราบใดที่เขาชี้นิ้วมันจะถูกส่งถึงเขาทันที ชอบห้องไหนก็ต้องยกให้เขา สิ่งที่เขาชอบจะเป็นของเขา ถ้ามีผู้หญิงที่เขาสนใจ ผู้หญิงคนนั้นจะกลายเป็นเหมือนเจ้าหญิงในทันที

แต่จนกว่าเขาจะตัดมือตัวเอง กระโดดร่มจากเครื่องบินและร่อนลงที่หมู่บ้านบนภูเขา เหลิ่งอวิ๋นเซียวก็เข้าใจความหมายของเงิน เงินเล็กน้อยสามารถแลกเป็นค่าขนมได้ เพียงไม่กี่ดอลลาร์สามารถใช้ในการนั่งรถเข้าไปในเมืองและเงินไม่กี่ร้อยสามารถใช้รักษาอาการเจ็บป่วย การผ่าตัดหัวใจแต่ละครั้งใช้เงินเป็นแสน

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเฝ้าดูผมของพ่อบุญธรรมของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวในเวลานั้นและตระหนักว่าราคาที่ครั้งเดียวเพียงพอสำหรับเขา เปลี่ยนเสื้อผ้าดีๆให้ชายคนนี้ ทำผมหงอกให้เป็นผมสีดำ เหลิ่งอวิ๋นเซียวอยู่ในอารมณ์แปลกๆ ในเวลานั้นเศร้าเล็กน้อยแต่ก็มีความสุขมากกว่าคู่รักที่น่าสงสารต้องจ่ายราคาสูงเพื่อรักษาเขา เขามีความสุขมากมี ความสุขมากกว่าการได้ของเล่นชิ้นโปรดของเขา

เมื่อดูเหมือนว่าเขาไม่มีอะไรจะขอ เขาค้นพบในเวลานั้นว่าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ เกี่ยวกับโลกภายนอก แต่เขาไม่ได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการจริงๆ

นักฆ่าที่ตามเหลิ่งอวิ๋นเซียวมาถูกพบเข้า ในที่สุดเขาก็มีโอกาสที่จะเปิดดูของในกล่องนี้ เมื่อมองเข้าไปในกล่องมีเพียงเมล็ดข้าว เหลิ่งอวิ๋นเซียวก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นเล็กน้อย ถ้าตอนนี้ไม่ใช่เพราะความลำบากใจ เขาอยากจะเก็บเครื่องระบุตำแหน่งไว้และเอาให้พ่อบุญธรรมของเขาดู มีอะไรบางอย่างที่ละเอียดอ่อนมาก และหายากในโลกนี้

แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถทิ้งร่องรอยตำแหน่งได้ เขารีบวางเครื่องระบุตำแหน่งบนสุนัขป่าที่ผ่านมาและดูสุนัขป่าวิ่งหนีไปก่อนที่เขาจะวิ่งไปทางอื่น แม้ว่าเหลิ่งอวิ๋นเซียวจะขาดการศึกษาชั้นยอดมากว่าสิบปี เหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ยังสามารถใช้ความสามารถและสัญชาตญาณของเขาในการหลบนักฆ่าที่อยู่ข้างหลังเขา ทำให้คุณนายเหลิ่งโกรธมากและส่งคนไปเพิ่ม เหลิ่งอวิ๋นเซียวถูกล้อมรอบ เขาถูกยิงเข้าที่ไหล่ แต่เขายังคงหลบหนีไปได้ เขาซ่อนตัวอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม บาดแผลที่ไหล่ของเขาอักเสบมันเจ็บปวดและแสบร้อน

นักฆ่าบอกเขาว่าเขาอาจจะตายที่นี่ แต่ถึงอย่างนั้นเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็ยังคงซ่อนกองเหรียญไว้ที่มุมอย่างระมัดระวังและปิดทับด้วยของกระจุกกระจิก เพื่อไม่ให้คราบเลือดของเขาตกลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาต้องรอ รอโอกาสที่จะสามารถเอาเงินไปให้กับพ่อบุญธรรมของเขา มันก็น่าจะเพียงพอสำหรับพ่อบุญธรรมของเขาไปตลอดชีวิต

เหลิ่งอวิ๋นเซียวย่อตัวลงที่มุม รอความตายของตัวเอง และหวังว่าจะมีคนมาพบเขาก่อนคุณนายเหลิ่ง

ทันใดนั้นมีคนเดินเข้ามาในบ้านที่ทรุดโทรมหลังนี้และมีแสงสลัว เหลิ่งอวิ๋นเซียวมองใบหน้าที่คล้ายกับเขาอย่างคลุมเครือ เหลิ่งอวิ๋นเซียวเห็นใบหน้าของบุคคลนั้นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ: "ในที่สุดเธอก็มาถึงที่นี่จนได้ น้องชายของฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอย่างเย็นชา: "ฉันเห็นข้อความที่พี่ส่งมา มันเป็นรหัสมอร์สที่พี่สอนฉันเมื่อตอนเรายังเด็ก"

นอกเหนือจากการหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของผู้คนที่คุณนายเหลิ่งส่งมาใน ทุกวันนี้เหลิ่งอวิ๋นเซียวยังพยายามอย่างเต็มที่ที่จะติดต่อเหลิ่งเซ่าถิง พวกเขาเติบโตมาด้วยกันและเป็นฝาแฝดแม้จะมีบุคลิกที่แตกต่างกันมาก แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์ร่วมกันมากที่ทำให้พวกเขาสามารถข่าวเป็นรหัสมอร์สได้

ใบหน้าของเหลิ่งอวิ๋นเซียวซีดจนไร้สีเลือดและรอยยิ้มของเขาดูเยือกเย็นเป็นพิเศษ: "ฉันไม่ต้องการความเป็นห่วงของแก ฉันต้องการให้แกช่วยอะไรหน่อย มีแต่แกที่ช่วยฉันได้

กระสุนเสียดเข้าที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว ทิ้งรอยไหม้ไว้ที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านเตียงที่เธอนอนอยู่แล้วตกลงบนพื้น

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเอียงศีรษะเล็กน้อยถอนหายใจเบา ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเสียใจ :“ผมยิงพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจ"

หลังจากที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดจบ เขาก็หันหน้าจ้องมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน เมื่อเห็นว่ากระสุนไม่โดนเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันก็ก้าวถอยหลังทันที ปล่อยลมหายใจออกมาและนั่งล้มลงกับพื้น

เหลิ่งอวิ๋นเซียวมองลงไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ: "ดูเหมือนว่าแม้ว่าผมจะพลาดการศึกษามากว่าสิบปี แต่ความแตกต่างมันก็ไม่ต่างกันมากเท่าไหร่เลยนะเนี่ย เจี่ยนอี๋นั่วคนนี้ยังมีประโยชน์จริงๆนะเนี่ย…… "

“ คุณยังต้องการใช้เจี่ยนอี๋นั่วเพื่อไปข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิง และแลกหัวใจกับคุณ?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วและจ้องมองไปที่ เหลิ่งอวิ๋นเซียว

เหลิ่งอวิ๋นเซียวส่ายหัวไปมา และจ้องมองเหลิ่งหมิงอันค่อยๆแสดงรอยยิ้มออกมา เหลิ่งอวิ๋นเซียวดูไม่ค่อยดีนักเมื่อเขาหัวเราะออกมา สีหน้าแสดงออกมาอย่างแปลกประหลาดบนใบหน้าของเขา

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหัวเราะและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ: "หัวใจของผม ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ทันแล้ว ผู้หญิงคนนี้สามารถมองเห็นทะลุแผนการของเราก่อนหน้านี้ได้ และเธอจะไม่ทำตามคำสั่งของผม และก่อนที่ผมจะใช้เธอเป็นตัวประกันในการข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิง เธอต้องหาทุกวิถีทางเพื่อฆ่าตัวตาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะพ่อทำเรื่องมากมายเพื่อผมจนท่านลำบาก ผมคงไม่อยากผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจอีกครั้ง และผมไม่อยากผ่าหัวใจของแม่ผมออกไป และไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่งอีก”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดถึงนี่ มือถือปืนไว้ อีกมือกุมที่หัวใจของเขาเอง เขาก้มศีรษะลงและพูดอย่างเย็นชาว่า:“ตอนนี้ผมต้องการแค่เงินเท่านั้น และผมไม่สามารถรอส่งพ่อขึ้นสวรรค์ได้ ผมควรจะเก็บเงินเหลือไว่ให้เขาใช้บ้าง”

ท่าทางของเหลิ่งอวิ๋นเซียวอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่เขาพูดจบ ท่าทางที่แสดงออกมาของเขาก็เย็นชาขึ้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เขาเงยหน้าขึ้นมองที่เหลิ่งหมิงอันและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ:“อย่าคิดกลอุบายอีกต่อไป ถ้ายังไม่หยุดคิดกลอุบาย ผมก็ให้ผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วตายไปพร้อมกันกับผม และจะฆ่าเธอเหมือนกับที่ฆ่าพ่อของเธอ!”

เหลิ่งหมิงอันยืนขึ้นก้าวถอยหลังอย่างๆช้าๆและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณห้ามแตะเนื้อต้องตัวเธอเด็ดขาด ผมจะให้เงินกับคุณแน่นอน จากนั้นจะให้คุณจากไปอย่างปลอดภัย”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวขมวดคิ้ว ราวกับว่าเขาหมดเรี่ยวแรงเล็กน้อย เขานั่งลงข้างๆเตียง ชี้ปืนไปที่หัวเจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่เหลิ่งเซ่าถิงรัก?"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดไปด้วย พร้อมสำรวจเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวอีกครั้งและดูเหมือนคนตาย เขาจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่ากำลังดูของเล่นชิ้นนึงที่น่าสนใจมาก และเสียงของเขาก็สับสนเล็กน้อย:“เหลิ่งหมิงอันคุณก็รักเธอเหมือนกัน? เธอทำได้อย่างไรกัน?"

เหลิ่งหมิงอันลดเสียงลง: "อย่ามองเธอด้วยสายตาแบบนั้น"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหันหน้าจ้องมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน และพูดอย่างเย็นชา: "เมื่อผมกำลังจ้องมองไปที่เธอ ทำให้คุณนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง ? ผมทำให้คุณนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง หรือไม่ มันทำให้คุณนึกถึงฉากที่เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ด้วยกันกับเธอ คุณอิจฉาใช่ไหม?"

“มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ!”เหลิ่งหมิงอันตอบด้วยน้ำเสียงเบา

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ใช่สินะ มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับผม”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวยกมือขึ้น และกดตรงหน้าอกที่เจ็บปวด จ้องมองไปที่ข้อมือเนียนของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งอวิ๋นเซียวไม่เข้าใจผู้หญิงเลยสักนิด แม้ว่าเขาจะเติบโตมาในความชื่นชมของผู้หญิงตั้งแต่สมัยที่เขายังเด็ก เขาไปจากตระกูลเหลิ่งจนถึงหมู่บ้านบนภูเขาที่น่าสงสารแห่งนั้น เขาสามารถได้รับความชื่นชมจากผู้หญิงจำนวนมากเพียงแค่อาศัยใบหน้าของเขา แต่เหลิ่งอวิ๋นเซียวรู้สึกเสมอว่าคนเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด ก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่ง และจากนั้นเขาก็มีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของเขา

แต่หลังจากสานสัมพันธ์กับตระกูลเหลิ่งอีกครั้ง เขากลับพบน้องชายฝาแฝดของเขา กลับมีคนรักแล้ว และยังเป็นผู้หญิงที่เขารักมากอีกด้วย เหลิ่งเซ่าถิงมีความแตกต่างจากเหลิ่งอวิ๋นเซียวมาก พวกเขามีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน สายเลือดเดียวกัน และเป็นคนใกล้ชิดซึ่งกันและกันมากที่สุดในโลก

เป็นเพราะมีความใกล้ชิดและมีความคล้ายคลึงกันมากเกินไป ทำให้เกิดเรื่องโต้แย้งขึ้นมากมาย เหลิ่งอวิ๋นเซียวคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงคงจะเป็นเหมือนกับเขา เหลิ่งอวิ๋นเซียวเคยดูรูปและวิดิโอของเหลิ่งเซ่าถิง ทุกอย่างของเหลิ่งเซ่าถิงที่แสดงออกมา มันยิ่งทำให้เหลิ่งอวิ๋นเซียวดูเป็นคนที่เย็นชาไร้อารมณ์และเป็นคนที่ไม่แยแสมากขึ้นไปอีก มันไม่เหมือนกับคนที่วิ่งผ่านหน้าต่างอย่างรวดเร็ว หัวเราะและตะโกนเรียก:“พี่ชายครับ ทำไมพี่ไม่ออกมาวิ่งเล่นกับผม”อย่างเด็กที่ไร้เดียงสาอีก

เหลิ่งอวิ๋นเซียวไม่สนใจเกี่ยวกับการเตรียมการระหว่างเขาและเหลิ่งเซ่าถิงของคุณย่าและคุณพ่อและคุณแม่ของพวกเขา การกระทำของพวกเขาขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของพวกเขาเอง เมื่อเขาอาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมของเขา บางครั้งเขาก็นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงที่มีดีเอ็นเอที่เหมือนกับเขา และจากนั้นก็มีความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนว่าเหนืออยู่กว่า ในสิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมทำเพื่อเขา เหลิ่งเซ่าถิงทำไม่ได้ เมื่อเขาถูกส่งเข้าห้องผ่าตัดเพื่อรับหัวใจของแม่บุญธรรม สิ่งสุดท้ายที่เขานึกถึงคือความคิดนี้

แต่เมื่อเขาพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีเจี่ยนอี๋นั่วอยู่เคียงข้างเขา ความรู้สึกเหนือกว่าในใจของเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็หายไป และเหลิ่งเซ่าถิงได้รับในสิ่งที่เขาไม่คิดจะสนใจมาโดยตลอด และไม่เคยมีสิ่งนี้ในชีวิตมาก่อน สิ่งที่น่าตลกก็คือ หลังจากที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวรู้เรื่องนี้ เขาไม่เคยคิดที่จะตกหลุมรักผู้หญิงคนไหนเลย และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เขารู้สึกอิจฉาเหลิ่งเซ่าถิง เขาอิจฉาเหลิ่งเซ่าถิงในบางเรื่องที่เขาไม่เคยต้องการมีมันในชีวิต และอิจฉาเหลิ่งเซ่าถิงมาก

การที่ฆ่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ แต่ยังเป็นเพราะความอิจฉาในใจของเหลิ่งอวิ๋นเซียว เหลิ่งอวิ๋นเซียวอยากเห็นเจี่ยนอี๋นั่วสงสัยในตัวของเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นหักหลังเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับคิดไม่ถึงว่า แผนการทั้งหมดจะถูกเจี่ยนอี๋นั่วจับได้ ถึงแม้แผนการจะล้มเหลว แต่ผลลัพธ์ที่ได้มันก็แสดงออกมาอย่างชัดเจน มีสิ่งหนึ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถแย่งชิงมันไปได้ สิ่งที่แย่งชิงมันไปไม่ได้

น่าอิจฉาจริงๆเลย

เหลิ่งอวิ๋นเซียวคิดถึงนี่ก็เอื้อมมือไปจับมืออันขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ไม่ได้จับด้วยความรักแบบชายหญิง แต่จับเหมือนกับคุณหมอที่กำลังพูดปลอบใจกระต่ายก่อนที่จะทำการทดลองต่างหาก

“ผมเคยบอกแล้วใช่ไหม คุณห้ามแตะเนื้อต้องตัวเธอ!”เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดด้วยน้ำเสียงเบา

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเหลือบมองไปที่ เหลิ่งหมิงอันและหรี่ตา ลูกพี่ลูกน้องของเขาคนนี้ โง่จริงๆ! เขาคิดว่าจะสามารถแย่งผู้หญิงคนนี้ไปจากเหลิ่งเซ่าถิงได้จริงหรือ? ในตอนสุดท้ายเขาจะไม่หลงเหลืออะไรอีกเลย และไม่ได้รับอะไรเลย เหลิ่งหมิงอันเทียบกับเขาไม่ได้เลยสักนิด เขายังมีคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของเขา เหลิ่งอวิ๋นเซียวยังสามารถมองเห็นจุดจบที่น่าสังเวชของเหลิ่งหมิงอัน ชายที่ไม่ได้ตื่นตระหนกอะไรเลยเมื่อปืนจ่ออยู่ที่หน้าอกของเขา แต่ผู้หญิงคนนี้กลับทำให้เขาตื่นตระหนกอย่างไม่คาดคิด

ในเวลานี้มีคนคนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามาจากข้างนอก ถือกล่องเงินและยื่นให้เหลิ่งหมิงอัน: "เงินเตรียมพร้อมแล้วครับ"

เหลิ่งหมิงอันรีบหยิบกล่องเงินสดขึ้นมาทันที ยกกล่องขึ้นและตะโกนใส่เหลิ่งอวิ๋นเซียว: "ผมจะให้เงินคุณ คุณสามารถปล่อยอี๋นั่วได้แล้ว"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหยิบกล่องเงินสดขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ เขาถือปืนและค่อยๆเดินถอยห่างออกไปเล็กน้อยจนกระทั่งเขาออกจากห้องใต้ดิน เหลิ่งหมิงอันรีบไปที่ข้าง ๆตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆลูบแผลบนใบหน้าของ เจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ จากนั้นเขาก็หันหลังไปเหลือบมองเหลิ่งอวิ๋นเซียวเดินออกจากห้องไป

ดวงตาของเหลิ่งหมิงอันหรี่ลงเล็กน้อย และเดินออกจากห้องใต้ดินไปสองสามก้าว ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรออก เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ สวัสดีครับ ผมคือเหลิ่งหมิงอันครับ ผมได้ติดตั้งตัวติดตามบนกระเป๋าเดินทางของเขาแล้ว และตอนนี้ทางเลือกก็เป็นของคุณ คุณต้องการเลือกให้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลหรือไม่ หรือจะพาเหลิ่งอวิ๋นเซียวกลับไปที่ตระกูลเหลิ่ง? เป็นของขวัญวันเกิดในปีถัดไป ถือซะว่าเป็นการมอบของขวัญให้คุณล่วงหน้าละกันนะ "

คุณนายเหลิ่งยิ้มเยาะทางโทรศัพท์ หัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา: "พวกคุณเป็นคนก่อเรื่องขึ้นมาเอง ยังจะลากฉันเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย? นี่ยังจะให้ฉันมาจัดการเก็บกวาดให้กับพวกคุณอีก?”

“ ในสิ่งที่ผมลงมือทำ คุณก็ต้องการคิดจะลงมือทำเช่นกันไม่ใช่เหรอครับ ผมก็พึ่งรู้เมื่อวานนี้เองว่าคุณส่งคนมาสะกดรอยตามผม ตั้งแต่วินาทีนั้น ผมก็รู้เลยว่า แผนการครั้งนี้มันได้ล้มเหลวไปแล้ว ฮึ ไม่น่าเลย ช่างเป็นแผนการล้มเหลวที่น่าสมเพชมากจริงๆ ไม่เพียงแต่เจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ทัน แม้แต่คุณก็รู้เรื่องอีกด้วย”

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ ก็ส่ายหัวไปมาพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณรู้เสมอว่าพวกเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่คุณไม่คิดจะหยุดมัน? หรือไม่ในความคิดของฉัน ถ้าคุณไม่หยุด ก็ถือว่าคุณเห็นด้วยแล้ว ตอนนี้ผู้รับผลประโยชน์ที่สูงที่ที่สุดก็คือคุณ ไม่เพียงพบหลานชายคนโปรดของคุณโดยบังเอิญแล้ว แต่ยังกำจัดเจี่ยนอี๋นั่วซึ่งเป็นคนมีผลกระทบมากที่สุดต่อเหลิ่งเซ่าถิง รอทุกอย่างเสร็จ ไม่ว่าคุณจะเลือกคนไหน คุณก็จะมีทายาทอีกคนที่พอใจและเชื่อฟังคุณขึ้น "

คุณนายเหลิ่งหัวเราะ: "ถ้าอย่างนั้นฉันต้องขอบคุณหรือ? ขอบคุณที่เกือบจะวางแผนจัดการเหลิ่งเซ่าถิงได้แล้ว หลานชายของฉัน?"

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ คุณนายเหลิ่งก็ไม่ลังเลเหมือนกันไม่ใช่หรือครับ? ก่อนหน้านี้คุณก็กำลังพิจารณาอยู่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเหมาะที่จะเป็นทายาทคนโปรดของคุณต่อไปหรือไม่ ผมได้ทำการทดลองให้คุณแล้ว แม้ว่าก่อนหน้านี้เหลิ่งอวิ๋นเซียวจะสมบูรณ์แบบมาก่อน แต่เขาออกจากตระกูลเหลิ่งมานานเกินไป แล้วเขาไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับตระกูลเหลิ่งเลยสักนิด นอกจากนี้เขายังมือด้วนไปข้างหนึ่งอีก และมีคดีติดตัวฆ่าคุณพ่อและคุณแม่ของตัวเอง คุณอาจจะไม่สนใจความผิดที่เขาเคยก่อขึ้น จะถูกศัตรูของเขามองเห็น จะกลายเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงของเหลิ่งอวิ๋นเซียว ข้อบกพร่องนี้ร้ายแรงกว่าเจี่ยนอี๋นั่วปรากฏตัวต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงเสียอีก พี่ชายใหญ่เหลิ่งอวิ๋นเซียวของผม และเป็นเพราะสาเหตุนี้ ก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง เขาจะใช่คนที่คุณจะเลือกให้เป็นทายาทคนต่อไปแน่นอน? แต่เหลิ่งเซ่าถิง เขาไม่เคยเป็นทายาทที่สมบูรณ์แบบในหัวใจของคุณ หลังจากที่เขามีเจี่ยนอี๋นั่วอยู่เคียงข้างกายแล้ว เขาก็ยิ่งทำให้คุณไม่พอใจมากขึ้น แต่เหลิ่งเซ่าถิงสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ แต่สำหรับเหลิ่งอวิ๋นเซียวไม่โอกาสนั้นแล้ว ตอนนี้ทางเลือกของคุณควรจะรักษาเหลิ่งเซ่าถิงเอาไว้ใช่ไหม? หรือจะเป็นเหลิ่งอวิ๋นเซียว…… "

เมื่อเหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ เขาก็ลดเสียงลง พร้อมกับรอยยิ้มที่แสดงออกมาอย่างน่าสงสารบนใบหน้าของเขา: "มือสังหารที่คุณส่งไปสังหารเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้น กำลังรอที่อยู่จากผมอยู่ใช่หรือไม่ครับ ? เนื่องจากเหลิ่งอวิ๋นเซียวไม่สามารถเป็นทายาทสืบทอดของตระกูลเหลิ่งได้ ฉะนั้นเขาก็ไม่ควรมีชีวิตอยู่ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วตระกูลเหลิ่งจะต้องมีเพียงเด็กที่มีพรสวรรค์และเพียบพร้อมในตระกูลเท่านั้น ไม่มีอาชญากรที่ลงมือสังหารคุณพ่อและคุณแม่ของตัวเอง "

“ คุณคิดมากเกินไปแล้ว คุณไม่คิดเลยเหรอว่าฉันจะจัดการคุณอย่างไร?” คุณนายเหลิ่งหัวเราะและถามด้วยเสียงเยาะเย้ย

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา: "คุณจะจัดการผมได้อย่างไรกันล่ะ ? ผมก็เหมือนกันกับพ่อของผมนั่นแหละ

ถ้าหากไม่มีพวกเราอยู่แล้ว เหลิ่งเซ่าถิงจะยังต้องการอำนาจอยู่อีกเหรอ?เมื่อเขาถูกคุมคามจากคนภายนอก อันดับแรกคือต้องกำจัดคุณก่อน พวกเราเป็นกาวใจระหว่างคุณและเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้คุณสามารอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงและมีอำนาจมากขึ้น คุณจะจัดการพวกเราทิ้งได้ลงคอจริงเหรอครับ?”

“คิดไม่ถึงจริงๆเลย การที่ตัดมือของตัวเอง กลับเป็นเรื่องที่ลำบากที่สุด ร่างกายของผมอ่อนแอเกินไป ฆ่าพวกเขาทิ้งทำให้ผมใช้แรงทั้งหมดที่ผมมี ผมเอามีดตัดไปหลายต่อหลายครั้ง ถึงจะตัดมือของตัวเองขาด จากนั้นผมต้องใช้เรี่ยวแรงที่เหลืออยู่มาระเบิดตัวเองอีก จากนั้นค่อยจัดเรียงตำแหน่งของเครื่องบินใหม่ ผมจะกระโดดลงจากเครื่องบินโดยหงายหลัง และตามแผนที่ผมคาดการณ์ไว้ ผมควรจะตกลงไปในหมู่บ้านเล็กๆ เกิดความผิดพลาดขึ้นนิดหน่อย มันคลาดเคลื่อนไปหน่อย แต่ว่า…..”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดถึงนี่ ก้มศีรษะลงและมองไปที่ฝ่ามือที่แข็งแรงของเขา ฝามือของเขามีรอยแผลเป็นอยู่ แต่ดวงตาเหลิ่งอวิ๋นเซียวแสดงความหลงใหล : "แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เลว"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวกำลังพูดอยู่ด้วยใบหน้าที่เย็นชา จ้องมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน:“ผมฆ่าพวกเขา แต่ถ้าหากผมไม่ลงฆ่าพวกเขา ผมก็จะตกอยู่ในอันตราย ไม่ว่าคนที่มีสติปัญญาขนาดไหน ก็ต้องเลือกทำแบบผม”

เหลิ่งหมิงอันฟังเหลิ่งอวิ๋นเซียวพูด ผ่านไปสักพัก ค่อยหัวเราะออกมาเบาๆ:“ดังนั้นคุณจึงไม่รีบร้อนกลับตระกูลเหลิ่ง ไม่รีบร้อนหาคุณนายเหลิ่ง? เรื่องที่ผมน่าจะเดาออก เธอก็ต้องเดาออกอย่างแน่นอน ร่างของคุณพ่อและคุณแม่ของคุณถึงจะโดนทำลายขนาดไหน ก็อาจจะมีแผลหลงเหลือไว้บ้าง ถึงแม้ว่าคุณจะเก็บแขนไว้ข้างนึง แต่มันก็ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคุณตายตอนที่เกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกครั้งนั้นจริงๆ ขอเพียงแค่คุณปรากฏตัวต่อหน้าคุณนายเหลิ่ง เธอก็จะเดาเหตุการณ์ออกทุกอย่าง ดังนั้นคุณต้องรอให้เหลิ่งเซ่าถิงถูกปลดออกจากตำแหน่งแล้ว และไม่สามารถเป็นทายาทสืบทอดของตระกูลเหลิ่งอีก ค่อยปรากฏตัวขึ้น ถึงแม้คุณนายเหลิ่งจะไม่ชอบคุณ ถึงแม้จะใช้เทคโนโลยีฝึกฝนทายาทผู้สืบทอดคนต่อไปได้ แต่มันยังต้องใช้เวลาอีกยี่สิบกว่าปี ร่างกายของเธอม่สามารถรอได้ถึงอีกยี่สิบปีแล้ว เธอทำได้เพียงต้องเลือกคุณเท่านั้น หัวใจและตำแหน่งของเหลิ่งเซ่าถิง ก็จะตกเป็นของคุณทั้งหมด”

“แต่ว่าทั้งหมดถูกทำลายลงหมดแล้ว อีกทั้งยังเสียแรงโดยเปล่าประโยชน์ การฆ่าคนตายหนึ่งคน ตอนนี้ร่างกายของผมต้องได้รับการพักฟื้น ผลจากการที่ฆ่าตาแก่นั้น ทำให้ผมเสียแรงไปเยอะ ฆ่าชายแก่คนนั้น แล้วยังต้องเอามีดส่งไปให้คนที่ชื่อฉู่หมิงเซวียนคนนั้นอีก ผมเดินตามทางภูเขานานมาก ตอนนี้ก็ไร้ประโยชน์ เหลิ่งอวิ๋นเซียวก้มหน้าลง ค่อยๆส่ายหัวไปมา และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“แต่ว่า ผมยังมีอีกโอกาสอีกครั้ง”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเอาปืนออกจากในกระเป๋าเสื้อ เล็งไปที่เหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: ผมสามารถใช้ผู้หญิงคนนี้แลกกับหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิง ผมไม่รู้คุณมีแผนการอะไร แต่แผนการของผมมีเพียงหนึ่งเดียว ผมต้องการหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิง ผมต้องการจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเหลิ่งอวิ๋นเซียวเล็งปืนที่ตรงกลางอกของเขา เขาไม่ได้รู้สึกกลัวเลยสักนิด เขาทนไม่ไหวหัวเราะออกมา:“เหลิ่งอวิ๋นเซียว เดิมทีคุณฆ่าคุณพ่อและคุณแม่ของคุณ มาตอนนี้ทำไมคุณถึงดูไร้เดียงสาอย่างนี้? คุณคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำเพื่อผู้หญิงคนนี้ แล้วเอาหัวใจของเขามอบให้คุณอย่างนั้นหรือ? จะเป็นไปได้อย่างไร? เวลานี้คุณเตรียมจะฆ่าปิดปากผม จากนั้นพาเจี่ยนอี๋นั่วไปข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิง แลกหัวใจให้คุณอย่างนั้นเหรอ? หากผมตายแล้ว คุณเดินออกจากห้องใต้ดินแห่งนี้เพียงแค่ไม่กี่ก้าว ? ใบหน้าของคุณที่คล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนั้น คุณคิดว่าคุณจะซ่อนตัวได้เหรอ? อีกทั้งสภาพร่างกายของคุณในตอนนี้ คุณจะพาเจี่ยนอี๋นั่วไปได้ไกลแค่ไหนเชียว?”

“ถ้าทำได้ก็บริจาคใจให้คนอื่นด้วยความสมัครใจ ผมเคยเห็น……” เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดถึงนี่ ลดสายตาลงดวงตาของเขาเริ่มฟุ้งซ่านและผสมกับความเศร้าเล็กน้อยเขาลดเสียงลงและพูดว่า:“

เหลิ่งหมิงอันก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าว หน้าอกของเขาเทียบกับปากกระบอกปืนที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวถือไว้ในมือของเขาเหลิ่งอวิ๋นเซียวยิ้มและพูดว่า "ผมเริ่มอยากรู้อยากเห็นจริงๆ แค่คู่สามีภรรยาชาวนาที่เลี้ยงดูคุณมา พวกเขาอบรมสั่งสอนคุณมายังไง? ทำไมถึงเชื่อผู้ชายที่ฆ่าพ่อแม่ของตัวเองโดยไม่กะพริบตา จะเชื่อได้อย่างไรว่ามีคนที่จะเสียสละตัวเองเพื่อคนที่เรารักสักคนหนี่งได้? "

"โอ้ เป็นเพราะหัวใจของคุณในตอนนี้เป็นของแม่บุญธรรมของคุณ แม่บุญธรรมของคุณบริจาคหัวใจให้คุณโดยสมัครใจ เพื่อที่จะเปลี่ยนใจหัวใจให้กับคุณ คุณพ่อบุญธรรมของคุณต้องรับภาระหนี้ก้อนโต ซึ่งทำให้ความคิดของคุณเปลี่ยนไป คุณพ่อแม่บุญธรรมของคุณสามารถเสียสละตัวของพวกเขาเองได้ ดังนั้นคุณคิดว่าคนอื่นจะเสียสละเหมือนคุณพ่อและคุณแม่บุญธรรมของคุณอย่างนั้นหรือ? อะไรที่เรียกว่าอัจฉริยะ? แต่มันคือความหวาดระแวงที่ดื้อรั้น "

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเยาะออกมา ยกนิ้วของเขาและขยับปากกระบอกปืนของเหลิ่งอวิ๋นเซียว แล้วกระซิบว่า: "บางครั้งสิ่งที่น่าสนใจมากสำหรับตระกูลของเรา การใช้ทรัพยากรทางการเงินและกำลังคนมากอย่างนั้น จนยากที่จะหาหัวใจที่สามารถปลูกถ่ายได้สำเร็จ แต่คู่สามีภรรยาที่รับอุปการคุณกลับสามารถปลูกถ่ายอัวยวะสำเร็จ และเต็มใจที่จะตายเพื่อช่วยชีวิตคุณ คุณแม่บุญธรรมของคุณฆ่าตัวตายใช่ไหม เพื่อช่วยคุณเธอจึงฆ่าตัวตาย? เมื่อเธอตายเธอจะมอบหัวใจให้กับคุณเพื่อทำการปลูกถ่ายหัวใจ”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและถอนหายใจออกมา: " ผมเคยได้ยินมาว่าคุณเป็นลูกชายที่กตัญญูในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้น คุณสามารถทำงานในฟาร์มได้ทุกประเภท คุณหล่อและสง่างามมาก เด็กสาวหลายคนชอบคุณ และถูกชาวบ้านที่จิตใจดีเหล่านั้นมองคุณด้วยตาที่ชื่นชม คุณถูกยกย่องเชิดชูอยู่บนเวที และไม่สามารถลงเวทีได้แล้ว หรือรับบทเป็นคนดี สำหรับคนอย่างคุณที่สามารถฆ่าพ่อและแม่ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย เหนื่อยไหม? ผมได้ยินมาว่าเมื่อแม่บุญธรรมของคุณปลูกถ่ายหัวใจของคุณตอนนั้น คุณยังปฏิเสธอยู่นี่ใช่ไหม? นี่มันใช่ตัวตนที่แท้จริงของคุณจริงๆ ทำไมคุณจะไม่รู้ว่าเมื่อหัวใจล้มเหลวอีกครั้ง คุณรู้สึกกลัวไหม? หัวใจของแม่บุญธรรมของคุณไม่สามารถช่วยชีวิตของคุณได้ คุณจะรู้สึกว่ามันเป็นกรรมหรือเปล่า? ช่างน่าสงสารจริงๆ คุณพ่อบุญธรรมของคุณอายุมากแล้ว ถ้าคุณจากไป เขาจะทำอย่างไร? ทางที่ดีกว่านั้นคือรับท่านมาอยู่ด้วยกัน ให้พวกเราครอบครัวตระกูลเหลิ่งช่วยดูแลท่านดีกว่านะ "

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหน้าซีดตาแดงก่ำจ้องมองเหลิ่งหมิงอันราวกับปีศาจที่มาจากขุมนรก: "คุณกล้าทำร้ายเขา?ผมก็จะฆ่าคุณทิ้งซะ”

"ฮ่าฮ่า …… " เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา เขาก้าวถอยหลังไปสองสามก้าว จ้องมองไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว และส่ายหัวไปมาด้วยความไม่เชื่อสายตาของตัวเอง: "โอ้พระเจ้า นี่ยังเป็นเหลิ่งอวิ๋นเซียวอยู่หรือไม่? คนคนนั่นที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เด็กในตระกูลเหลิ่งของเรา? คนคนนั้นอย่างพี่ชายของพวกเราที่บังอาจฆ่าคุณพ่อและคุณแม่ผู้ให้กำเนิด คุณพูดเรื่องโง่ ๆ แบบนี้ออกมาได้ยังไง? แม้แต่เด็กน้อย 10 ขวบของตระกูลเหลิ่งยังรู้เรื่องเลย ว่าไม่ควรตอบแบบนี้ คุณตอบแบบนี้ ก็เท่ากับบอกกับผมตรงๆ ให้ผมลักพาตัวพ่อบุญธรรมของคุณ คุณสามารถใช้เขาข่มขู่คุณได้ตอนนี้!คุณจงใจซ่อนตัวจากการเสียชีวิตของคุณในเครื่องบินตกครั้งนั้น คุณกลัวว่าผมจะพบคุณพ่อบุญธรรมของคุณใช่ไหม?”

เหลิ่งหมิงอันกำลังพูดอยู่ กล่าวถอนหายใจเฮือกออกมา หัวเราะและเอียงศีรษะมองไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว ยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงต่ำว่า: "แต่ก็โทษคุณไม่ได้หรอกนะ ตอนที่คุณออกจากตระกูลคุณมีอายุแค่แปดหรือเก้าขวบเท่านั้นเอง? จากนั้นเมื่อคุณก็เติบโตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เรียบง่าย พื้นฐานความรู้ทั่วไปมากมายที่คุณยังไม่รู้เลย คุณรู้ไหมว่าผมรู้สึกอย่างไร? ผมอยากจะบอกสมาชิกในครอบครัวตระกูลเหลิ่งคนอื่น ๆ เลิกเชิดชูยกย่องเหลิ่งอวิ๋นเซียวในฐานะคนอัจฉริยะได้แล้ว ตอนคุณวัยเด็กคุณอาจจะเฉลียวฉลาดมากๆ แต่ตอนนี้เป็นคนที่ไร้ความสามารถอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนแห่งนั้นแล้ว และแม้แต่สมองก็ยังผิดปกติเล็กน้อย ถ้าหากคุณไม่มีปัญหาเรื่องหัวใจ และคุณจะไม่มีวันออกมาจากหมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนแห่งนี้? คุณคงวางแผนที่จะดำรงชีวิตอยู่ในหมู่บ้านบนภูเขาที่ยากจนแห่งนี้ตลอดไปแล้ว?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวดวงตาแดงก่ำจ้องมองทางเหลิ่งหมิงอัน:“คุณกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่เหรอ?ถ้าอย่างนั้นการที่คุณอยากได้ผู้หญิงคนนี้มาครอบครองมันหมายความว่าอย่างไร?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหันหน้าและชี้ปืนไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาสีแดงก่ำ ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความบ้าคลั่ง: "แท้จริงแล้วผมไม่สามารถพาเธอไปด้วยกันได้จริงๆ ตอนนี้เธออยู่ในอาการสะลึมสะลือ การที่จะเคลื่อนย้ายเธอผมต้องใช้ความพยายามและเสียแรงอย่างมาก มันเกินความสามารถของผมมากเกินไป แต่เวลานี้ผมสามารถฆ่าเธอได้ แล้วทำให้คุณก็ไม่ได้ครอบครองเธอ”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆหัวเราะออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ “ คุณต้องการเงินเท่าไหร่? เวลานี้คุณไม่สามารถรอรับหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิงได้อีกต่อไปแล้ว และเอาเจี่ยนอี๋นั่วมาข่มขู่ผมอีก จุดประสงค์ของคุณต้องการเพียงแค่เงิน คุณต้องการเงินเท่าไหร่กันแน่?”

“ หนึ่งร้อย …..สิบล้าน …… ผมต้องการเงินสิบล้าน ต้องการเดี๋ยวนี้!”ถึงเวลาที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวกระซิบ

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาจ้องมองเหลิ่งอวิ๋นเซียว ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความสงสารเล็กน้อย: "เงินสดสิบล้าน คุณรู้ไหมว่ามันเยอะขนาดไหน? แม้แต่คุณเองก็ไม่สามารถแบกมันไหว หนึ่งล้านเถอะ หนึ่งล้านก็เพียงพอแล้วสำหรับคุณและพ่อบุญธรรมของคุณที่จะดำรงชีวิตไปตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจ เงินจำนวนนี้สามารถทำให้ชีวิตของเขาอยู่ได้อย่างสบายเลย ผมยังรู้อีกว่าเขาเป็นหนี้มากมายสำหรับการปลูกถ่ายหัวใจของคุณ ในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งนั้นของคุณ เงินล้านมันน่าจะถือว่าเยอะมากแล้วนะ”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวกำปืนพกไว้แน่น ค่อยๆวางลง แล้วยกขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเล็งไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว: "เตรียมเงินไว้ให้ผมแล้วผมจะเอาไปเดี๋ยวนี้"

เหลิ่งหมิงอันหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดหมายเลขโทรศัพท์ สั่งด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า:“เตรียมเงินหนึ่งล้านให้ผมและผมต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐ"

หลังจากที่เหลิ่งหมิงอันพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ และจ้องมองไปที่เหลิ่งอวิ๋นเซียว: "คุณยังรู้วิธีการแลกเปลี่ยนเงินดอลลาร์สหรัฐอยู่เหรอ?"

“ขอบคุณครับ”พูดด้วยน้ำเสียงเบา

ดวงตาของเหลิ่งหมิงอันเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ: "อะไรนะ?คุณกำลังพูดอะไรออกมา?คุณกล่าวคำขอบคุณจริงๆเหรอ? หรือย้อนกลับไปตอนนั้นคุณไม่ได้มองไปที่คนอื่นเลย" เมื่อก่อนคุณเป็นคนที่ไม่เคยแม้แต่จะชายตามองคนอื่นเลยนะ

เหลิ่งอวิ๋นเซียวกระพริบตา พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“คุณแม่ท่านเคยสอนผมว่า ต้องรู้จักกล่าวคำขอบคุณกับคนอื่น”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใจว่า "คุณแม่" ในปากของเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้น น่าจะเป็นคุณแม่บุญธรรมของเขาที่เลี้ยงดูเขามาหลายปี และเลือกที่จะฆ่าตัวตายเพื่อที่จะสามารถบริจาคหัวใจของเธอให้กับเขาได้ เหลิ่งหมิงอันอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น: "เดิมคุณเป็นเก่งและเพียบพร้อมมาก แต่ถูกพวกเขาทำลาย คุณยังจำสิ่งที่พวกเขาสอนคุณได้อีกหรือ?"

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาของเขาอ่อนโยนขึ้น และเขาหรี่ตา: "เมื่อผมฟื้นขึ้นมาก็เห็นพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่มีลูก และถือว่าผมเป็นของขวัญจากสวรรค์ พวกเขายากจนเกินไปที่จะกินเนื้อสัตว์ เพื่อที่จะรักษาบาดแผลของผม พวกเขาฆ่าแม่ไก่ที่บ้านอย่างไม่เต็มใจ เวลานั้นผมกำลังจะจากไป ผมยังมีเรื่องอื่นที่ต้องจัดการ นั่นก็คือฆ่าพวกเขา ก็จะสามารถได้รับเงินหลายร้อย นั่นคือเงินออมทั้งหมดของพวกเขา ผมหยิบมีดไว้ จากนั้นก็ลงมือจะปาด จู่ ๆคุณแม่ก็ยกมือขึ้นกุมข้อมือผมแล้วพูดอย่างคลุมเครือว่า 'แผลเจ็บอีกแล้วใช่ไหม' จู่ ๆผมก็ตัดสินใจที่จะอยู่กับพวกเขา ผมรู้ว่าช่องว่างระหว่างผมและพวกเขา การดำรงชีวิตทุกวันนี้ผมอยู่แบบเรียบง่าย และประสบการณ์ในการต่อสู้ของผมกับผู้คนนั้นมันสั้นเกินไป แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาทำลายชีวิตผมหรอกนะ คุณพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้ได้แสงสว่างและความอบอุ่นจากผู้หญิงคนนี้ สิ่งนี้ผมได้รับมันมานานแล้ว และในเวลาเดียวกันผมไม่ได้สูญเสียความเลือดเย็นของการเป็นตระกูลเหลิ่ง……”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดถึงนี่ ทันใดนั้นก็ชี้ปืนไปที่เจี่ยนอี๋นั่วและเตรียมเหนี่ยวไก

เหลิ่งหมิงอันได้ยินเสียง "ปัง" ทันใดนั้นก็หันหน้าไปมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วตะโกนเสียงดัง: "อี๋นั่ว!"

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสโดนขอบเตียง เหมือนเสี่ยงที่จะตกจากเตียง ในเวลานี้เธอจำได้อย่างลางๆ และไม่สามรถควบคุมร่างกายของตัวเองได้ ในสมองเธอตอนนี้คิดเพียงสิ่งเดียว คือไปให้พ้นจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กลับไปอยู่ข้างกายของเหลิ่งเซ่าถิง

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเกือบตกจากเตียงนั้น เหลิ่งหมิงอันรีบไปจับเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ฤทธิ์ยายิ่งอยู่ยิ่งมีผลกระทบต่อเจี่ยนอี๋นั่วมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วมองไปทางไหนก็มืดสนิท แล้วก็สลบไปทันที

“คนจะมีแรงสู้ขนาดไหน ก็สู้ฤทธิ์ยาไม่ได้หรอก”เหลิ่งหมิงอันเอื้อมมือไปลูบที่หัวของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วดันเจี่ยนอี๋นั่วกลับไปนอนที่บนเตียง แล้วห่มผ้าให้กับเธอ จัดทรงผมของเธออย่างระมัดระวัง

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาหัวเราะออกมาเบาๆพูดขึ้นว่า:“นอนหลับให้สบายเถอะ เธอทำได้ดีมากแล้ว มีผู้ชายมากมายยังเข้มแข็งสู้เธอไม่ได้เลย”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดจบ แต่กลับไม่อยากลุกขึ้น เขาค่อยๆลูบผมของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ หรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาที่อ่อนโยนแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ลงมือทำแล้วตั้งหลายเรื่อง? สุดท้ายก็เป็นได้แค่ของเล่น?” เหลิ่งอวิ๋นเซียวจ้องมองไปทางเหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

น้ำเสียงของเหลิ่งอวิ๋นเซียวเยือกเย็นมาก เหมือนไร้อารมณ์สิ้นดี น้ำเสียงที่เยือกเย็นทำให้คนไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเขาเลย หลิ่งหมิงอันไม่ได้หันหลังกลับไปมอง เขาลูบผมเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย และหัวเราะพูดไปด้วยว่า:“แล้วถ้าอย่างนั้นควรจะทำอย่างไรต่อล่ะ? ใครให้เธอฉลาดขนาดนี้ รู้ความจริงทั้งหมด? ผมก็ไม่มีทางแล้ว และนี่ก็อาจจะไม่มีอะไรก็ได้ ตอนนี้ผมรู้สึกว่าการที่ได้เธอมาครอบครองมันน่าจะเป็นเรื่องที่สนุกเอามากๆ”

“แผนการล้มเหลวแล้ว คุณยังคงเป็นคุณชายรองของตระกูลเหลิ่ง แล้วผมล่ะ? คุณอาจจะคิดว่าไม่เป็นไร!“ในที่สุดน้ำเสียงของเหลิ่งอวิ๋นเซียวก็มีการเปลี่ยนแปลงนิดนึง แสดงอาการโมโหออกมา

เหลิ่งหมิงอันหันหน้ามองไปทางเหลิ่งอวิ๋นเซียว แววตาของเขาค่อยๆมองใบหน้าของเหลิ่งอวิ๋นเซียวที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆเปลี่ยนไปมองที่แขนมือของเหลิ่งอวิ๋นเซียว เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“คุณก็สามารถกลับไปตระกูลเหลิ่งได้ใหม่อีกครั้ง ผมจะพาคุณไปพบคุณนายเหลิ่ง ให้คุณกลับไปเป็นพี่ชายใหญ่ของตระกูลเหลิ่ง ดีไหมครับ? พี่ชายใหญ่?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวใบหน้าซีดเซียวคิ้วขมวด เขาขยับริมฝีปากนิดนึง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:ดูเหมือนว่าผมเลือกคนมาเป็นคู่ผิด คุณเป็นเพียงผู้ชายที่ไม่เอาไหนและหลงรักผู้หญิงอย่างหัวปักหัวปำ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมาเสียงดัง:“เลือกผิด? คุณมีตัวเลือกแค่ผมคนเดียวหรือเปล่า? พี่ชายใหญ่ของผม ผมอยากรู้จริงๆ อุบัติเหตุเครื่องบินระเบิดในครั้งนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ทำให้คุณไม่กล้ากลับตระกูลเหลิ่ง และไม่กล้าพบเจอคุณนายเหลิ่งอีก คุณนายเหลิ่งนั้นเป็นคุณย่าแท้ๆของคุณนะ เพื่อคุณแล้วสามารถควักหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิงไปแลกให้กับคุณย่าของคุณได้ คุณยังไม่กล้าพบเธอ ใช่หรือไม่ คุณทำอะไรที่ทำให้คุณย่าไม่สามารถทนได้? ต้องการที่จะกำจัดเหลิ่งเซ่าถิงทิ้งใช่ไหม ทำให้เธอไม่มีทางเลือก คุณถึงจะยอมออกมาปรากฏตัวต่อหน้าเธอ?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เรื่องทั้งหมดนี้มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”

“คุณรู้อะไรไหมว่าเมื่อเคยมองคุณชื่นชมคุณขนาดไหน? คุณเกิดมาก็เป็นคนเฉลียวฉลาด ผู้ใหญ่ต่างก็พากันชื่นชมว่าคุณเป็นคนที่มีความสามารถพิเศษ เพราะว่าคุณไม่เพียงแต่เฉลียวฉลาดแถมยังใจเย็น และเด็กๆอย่างพวกเราก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้ แต่ว่าดูคุณในตอนนี้สิ ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะและเอามือชี้ไปที่แขนของเหลิ่งอวิ๋นเซียว จากนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนข้างชี้ไปทางแขนอีกข้างที่สมบูรณ์ของเหลิ่งอวิ๋นเซียว เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ไม่เพียงแค่ไม่มีแขนหนึ่งข้าง แต่มืออีกข้างมีผิวหนังที่หยาบกร้านบนฝ่ามือ นั่นเป็นเพราะการผ่าตัดระยะยาวจึงทำเกิดเป็นผิวหนังที่หยาบกร้านบนฝ่ามือ ในขณะที่ผมหาคุณจนเจอ ก็สืบข้อมูลไว้แล้ว คุณเป็นเกษตรมาแล้วตั้งสิบกว่าปี คุณนี่มีความอดทนได้มากจริงๆ ถ้าหากหัวใจของคุณไม่เกิดมีปัญหาขึ้นมา คุณคงจะหลบซ่อนตัวอยู่ในป่าในเขาแห่งนี้ตลอดไป เป็นเกษตรจากนั้นก็แต่งงานอยู่ในชนบทตลอดชีวิต?”

“คุณไม่มีสิทธิ์มาดูถูกผม”เหลิ่งอวิ๋นเซียวหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ผมไม่ได้ดูถูกคุณ ผมแค่รู้สึกดีใจมาก เด็กๆอย่างพวกเรา ใช้ชีวิตอยู่บนความมืดมน ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือหรือพันธมิตรของคุณ ล้วนเอาคุณเป็นต้นแบบ คาดหวังให้เด็กๆอย่างพวกเราเป็นเหมือนกับคุณ ผมคิดว่าสมัยวัยเด็กของเหลิ่งเซ่าถิงเขาต้องเคยฟังเรื่องเล่าพวกนี้มาก่อนแน่นอน และถ้าหากเหลิ่งอวิ๋นเซียวยังมีชีวิตอยู่ เขาจะยิ่งทำให้ดีมากยิ่งขึ้น ถ้าหากเหลิ่งอวิ๋นเซียวยังมีชีวิตอยู่ และเขาจะไม่มีวันทำผิดพลาดเช่นนี้ ถ้าหากคุณเป็นเหลิ่งอวิ๋นเซียว ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่ต้องสอนเรื่องพวกนี้……แต่ว่าใครจะไปคิด เด็กคนที่ฉลาดที่สุดในตระกูลเหลิ่ง กลับกลายเป็นคนโมโหง่ายขนาดนี้ และเริ่มได้รับอิทธิพลจากคนอื่น ในเมื่อกล้าจะร่วมมือกับผมแล้ว? และในสายตาของทุกคน และเฉลียวฉลาดอย่างเหลิ่งอวิ๋นเซียว กลับทำเรื่องผิดอย่างมหันต์ฆ่าพ่อฆ่าแม่ของตัวเองได้ลงคอ!”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเหลิ่งอวิ๋นเซียวเดินถอยหลังหนึ่งก้าว รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันแสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาหัวเราะพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ดูเหมือนว่า ไม่ว่าพรสวรรค์จะสูงแค่ไหน ถ้าหากไม่ได้รับการศึกษาและการอบรมที่ดี และคงไม่มีประโยชน์อะไร อดีตผู้ที่เคยสูงส่งอย่างเหลิ่งอวิ๋นเซียว ตอนนี้กลับหายออกไปจากชีวิต อีกทั้งยังกล้าลงมือฆ่าคุณพ่อและคุณแม่ของตัวเอง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ……”

“คุณทายถูกแล้ว!”เหลิ่งอวิ๋นเซียวแววตาเปลี่ยนไปเป็นแหลมคมทันที

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา:“เห็นท่าทางของคุณ ดูเหมือนผมจะทายไม่ผิด ในเมื่อผมทายถูกต้องแล้ว ถ้าอย่างนั้นคนที่รู้เรื่องนี้คงไม่ได้มีเพียงแค่ผมคนเดียวแน่นอน ให้เวลาผมคิดนิดนึงนะ ให้ผมลองคิดดูว่าผมทายถูกไหม ผมสืบหาอุบัติเหตุเครื่องบินขัดข้องในครั้งนั้นแล้ว ก่อนที่เครื่องบินจะขัดข้องคุณพ่อของคุณได้รับสายหนึ่งสาย รายละเอียดเรื่องราวในโทรศัพท์นั้นคุณนายเหลิ่งน่าจะรู้ดี และผมก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ แต่ว่าผมสืบหาเบอร์โทรเข้าเบอร์นั้น เป็นเบอร์ของโรงพยาบาลที่จะทำการปลูกถ่ายหัวใจให้กับคุณแห่งนั้น ผมตรวจสอบแล้ว คนที่จะปลูกถ่ายหัวใจให้คนคนนั้น ก่อนหน้าที่จะโทรศัพท์มาหาคุณพ่อของคุณเขาก็ฆ่าตัวตายแล้ว และโทรศัพท์สายนั้น น่าจะรายงานให้คุณพ่อของคุณรับทราบ การปลูกถ่ายอวัยวะได้ยกเลิกแล้ว เพราะว่าเวลานั้นพวกคุณกำลังนั่งเครื่องไป และเวลาไปไม่ทันที่จะปลูกถ่ายอวัยวะได้ แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ของคุณทำไมยังต้องพาคุณไปด้วยล่ะ?”

“เป็นเพราะว่าสามารถช่วยชีวิตลูกชายอีกคนไว้ไงล่ะ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ถ้าหากพวกเขาไม่นั่งอยู่บนเครื่อง และไม่เดินทางไป และถ้าตามความคิดของคุณนายเหลิ่งแล้ว คงเอาหัวใจของเหลิ่งเซ่าถิงปลูกถ่ายให้แน่นอน พวกเขาทนไม่ได้ ทนไม่ได้ที่จะให้เด็กที่มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงและร่าเริงคนนึง ไปเปลี่ยนให้กับเด็กที่ร่างกายอ่อนแอและเย็นชาผิดปกติ และพวกเขาไม้สามารถรับประกันได้ว่าการผ่าตัดในครั้งนั้นจะสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีไหม แล้วถ้าไม่สำเร็จพวกเขาจะต้องทำยังไงต่อไป? คุณนายเหลิ่งดูเหมือนคนใจดี แต่ว่าเธอชอบให้เด็กเชื่อฟังเธอและทำตามคำสั่งของเธอ เขาจะเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุดในตระกูล และเขาจะไม่ยอมให้ลูกๆขัดต่อเจตจำนงของเธอ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่ของคุณก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของเธอ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดวิธีที่ดีนี้ขึ้นมา ทั้งยังสามารถปกป้องเหลิ่งเซ่าถิง อีกทั้งยังสามารถขัดคำสั่งของคุณนายเหลิ่ง นั่นก็คือ……”

“ฆ่าผมทิ้ง” เหลิ่งอวิ๋นเซียวจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฆ่าเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ เย็นชา อย่างผมอย่างนั้นเหรอ และต้องการปกป้องเหลิ่งเซ่าถิง คุณแม่ของผมมีอารมณ์ตื่นเต้นมากไปหน่อย เธอมองผมเหมือนไม่ใช่เด็กคนนึงและมองผมไม่ใช่มนุษย์ เหลิ่งเซ่าถิงดูแล้วเหมือนมนุษย์มากกว่า เธอร้องไห้แล้วพูดกับคุณพ่อว่า เธอไม่อยากเจอหน้าผมทุกวัน ลูกของเธอมีแค่เหลิ่งเซ่าถิงคนเดียว ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ เธอก็ไม่อยากให้ผมตาย เป็นผู้หญิงที่แปลกมากจริงๆ ทั้งที่บอกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นลูกเพียงคนเดียวของเธอ แต่กลับไม่อยากให้ผมตาย นี่มันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดถึงนี่ค่อยๆหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เวลานั้นเครื่องบินได้บินขึ้นแล้ว พวกเขาทะเลาะกันเสียงดังมาก จนทำให้ผมตื่น ผมเดินไปจนถึงมุมๆหนึ่ง ได้ยินแผนการทั้งหมดของพวกเขา คุณพ่อคิดหาวิธีตอนที่เครื่องลงแล้ว คิดหาวิธีฆ่าผมทิ้งซะ เพราะว่าผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกไม่นานแล้ว ถ้าหากกลับไป มีแนวโน้มที่จะเอาชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิง ร่างกายของเขาไม่สามารถมีลูกได้อีก แม่แต่คุณย่าก็ไม่รู้เรื่องนี้ ดังนั้นเขาจะไม่ยอมให้ลูกๆมาเสี่ยงแบบนี้ แค่ช่วยชีวิตฉันคนเดียว ความคิดนั้นเขาคิดถูก และมีสติปัญญา”

ในขณะที่เหลิ่งอวิ๋นเซียวพูดอยู่นั้นกระพริบตาส่ายหัวไปมา:“แต่คุณแม่ของฉันท่านอ่อนแอเกินไป เธออยากให้ผมมีชีวิตรอดต่อไป เธอต้องการหาสถานที่แห่งหนึ่งเอาผมไปซ่อนไว้ และแพร่ข่าวออกไปว่าผมตายแล้ว จากนั้นค่อยหาคนที่สามารถปลูกถ่ายหัวใจให้กับผมได้ นี่มันเป็นทางเลือกที่โง่เขลามาก แผนการแบบนี้คุณย่าทำไมจึงดูไม่ออกล่ะ? ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ผมจะถูกค้นหาจนเจอ และข่าวที่คุณพ่อไม่สามารถมีลูกได้อีกก็จะแพร่ออกไป คุณย่าคงจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคุณพ่อ กลับหาเสียแรงในการหาอวัยวะปลูกถ่ายมาก มันยากมากที่คุณพ่อจะเจอวิธีการสมบูรณ์แบบนี้ เขาไม่สามารถทนให้ตัวเองยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ ถึงแม้จะเป็นลูกในไส้ก็ตาม ยังจะวางอุบายเพื่อสิทธิของตัวเอง”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะจ้องมองเหลิ่งอวิ๋นเซียว ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะมีรอยยิ้ม เหลิ่งอวิ๋นเซียวเงยหน้าขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผมไม่มีทางเลือกอื่น ผมต้องการความอยู่รอด ผมต้องฆ่าพวกเขาทิ้ง คุณแม่ของผมทั้งอ่อนแออีกทั้งโง่เขลามาก เธอคงถูกคุณพ่อเกลี่ยกล่อมจนใจอ่อนแน่ ดังนั้นผมจึงหาโอกาสลงมือก่อนที่พวกเขาจะทันตั้งตัว เธอเดินมาอยู่ข้างๆผม เธอร้องไห้ไปด้วยและจ้องมองผมไปด้วย เธอพูดว่าถึงแม้เธอจะไม่ชอบผม แต่เธอจะปกป้องผมอย่างสุดความสามารถ ในขณะนั้นผมเอามีดเชือดคอเธอ แม้แต่เสียงกรี๊ดยังไม่ทันจะร้องออกมาเลย”

เหลิ่งอวิ๋นเซียวหรี่ตา ทั้งนึกถึงอดีตไปด้วยและพูดด้วยน้ำเสียงเบาไปด้วย:“จากนั้นก็ถึงคิวคุณพ่อของผม เขามีอาการที่เหนื่อยล้า เขาระมัดระวังตัวอย่างมาก ถึงแม้จะเสียแรงมากไปหน่อย แต่สุดท้ายผมก็ฆ่าเขาสำเร็จ การที่เป็นเด็กที่ร่างกายอ่อนแอ ก็มีข้อดีนะ คนทุกคนจะไม่ป้องกันหรือระวังตัว พวกเขาคงไม่คาดคิดว่าผมจะลงมือเร็วขนาดนั้น และผมลงมือเชือดคอพวกเขาโดยไม่ลังลังเลสักนิดเดียว จากนั้นคนต่อไปก็คือคนขับเครื่องบิน เขาคือคนที่ลงมือได้ยากที่สุด และในตอนนี้ผมยังจำได้ว่าผมปาดเขาไปสามแผล เขายังดิ้นสู้ไม่หยุด ทำให้บนตัวของผมเต็มไปด้วยเลือด และทำเสื้อผ้าผมเปื้อนไปหมดและที่น่าเสียดาย ผมชอบปลายแขนเสื้อตัวนั้นเอามากๆ แต่เป็นเพราะว่าเปื้อนเลือดแล้ว มันก็ไม่มีทางเลือกที่จะสวมใส่มันอีกแล้ว และตอนที่เขาดิ้นไม่หยุด แล้วเอามีดฟันที่แขนของผม เขาเป็นคนที่ลงมือได้ยากจริงๆ”

“แต่ว่า สิ่งนี้ก็เป็นการเตือนตัวเอง” เหลิ่งอวิ๋นเซียวยกแขนข้างนั้นขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น:”ผมควรเก็บสิ่งของไว้บางอย่าง ทำให้พวกเขารู้ว่าผมได้ตายไปพร้อมกับอุบัติเหตุเครื่องบินระเบิดในครั้งนั้นแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากอย่างแรง หันหน้าเหลือบมองที่ประตูรถ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ที่คุณพูดมันหมายความว่าอย่างไร? ฉันฟังไม่เข้าใจค่ะ? ระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”

“มีสิ เรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราก็คือ ผมประมาทคุณมากเกินไปในความฉลาดของคุณ คุณประเมินไอคิวของผมต่ำเกินไป แต่ว่าคุณฉลาดขนาดนั้น ทำไมคุณถึงไม่คิดล่ะ ว่าเมื่อคุณตัดสินใจช่วยเหอหลวนเล่อ จะทำให้ผมสงสัยคุณ? คุณไม่เคยญาติดีกับเหอหลวนเล่อเลย และจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะโทรหาเธอโดยไม่มีเหตุผล ยังเชิญชวนและนัดเธอไปทานอาหารด้วยกัน? แล้วยังเตือนเธอไม่หยุดว่าให้ระมัดระวังตัวด้วย?” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพร้อมพูดไปด้วย

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ ก็ส่ายหัวไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“อี๋นั่ว ถ้าหากคุณต้องการล่อให้ผมออกมา คุณควรปล่อยให้เหอหลวนเล่อตายสิ หลังจากที่เธอตายแล้ว คุณค่อยรับรู้ความจริงกับการตายของเธอ จากนั้นผมจะสั่งให้คนไปขโมยรูปทั้งหมดที่อยู่ในมือของคุณ ค่อยแกล้งทำผิดพลาด คุณถึงจะสังเกตเห็นความจริงในรูปถ่ายนั้น แบบนี้มันจะดูเป็นธรรมชาติมากกว่าไหม?”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ความจริงทั้งหมดของเหลิ่งหมิงอันแล้ว แต่ว่าเธอไม่อาจยอมรับความจริงได้ ถ้าหากเธอยอมรับออกมาเมื่อไหร่ ในเวลาที่เธอต้องเผชิญหน้าเหลิ่งหมิงอันแบบนี้ ก็ไม่สามารถจะแก้ตัวอะไรได้อีกแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เหลิ่งหมิงอันคุณต้องการล้อเล่นอะไรอีกล่ะเนี่ย?คุณกำลังทดสอบฉันอยู่เหรอ? ในสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดเมื่อกี้นี้คุณพูดโกหกหรอกเหรอ? คุณไม่ได้อยากช่วยเหลือฉันและเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆใช่ไหม?”

“ไม่ เมื่อกี้คนที่โกหกตลอดคือคุณถึงจะถูก”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพร้อมพูดว่า:“คำพูดของผมเป็นความจริงทั้งหมด และรวมไปถึงเรื่องที่ผมบอกว่ารักคุณ ผมรักคุณจริงๆ และที่สำคัญก็คือตอนที่คุณรู้ความจริงทุกอย่างในแผนการของผม ผมตั้งใจวางแผนอย่างดี แต่คุณกลับจับได้หมด แสดงว่าคุณเป็นคนที่ฉลาดมาก และในเวลาเดียวกันคุณก็เชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงมากเช่นกัน มิฉะนั้นเมื่อหลักฐานทั้งหมดชี้ไปที่เหลิ่งหมิงอันเป็นฆาตกร คุณจะพยายามค้นหาความจริง ตัวตนของคุณแบบนี้ ผมก็ต้องการ ดังนั้น ผมจึงเปลี่ยนแปลงแผนการใหม่ทั้งหมด”

เหลิ่งหมิงอันหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆหัวเราะออกมา:“ในเมื่อไม่สามารถเล่นงานเหลิ่งเซ่าถิงได้ แต่ว่า ผมสามารถได้ตัวคุณมาเป็นของผม”

“คุณหมายความว่ายังไงคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดไปด้วย และถอยหลังไปด้วย มือไปเปิดตรงประตู แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเปิดประตู พึ่งรู้ตัวว่าประตูถูกปิดล็อคอัตโนมัติแล้ว

“ประตูถูกล็อคหมดแล้ว” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ที่นี่ดูเหมือนรกร้างมากด้วย และดูเหมือนจะไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเราแล้วล่ะ ผมคิดจะทำอะไรก็ได้……”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ถอยหลังหลบนิดนึง กัดริมฝีปากแน่นแล้วพูดว่า:“ถ้าคุณกล้าแตะเนื้อต้องตัวฉัน ฉันจะทำให้คุณลิ้มรสชาติของความทุกข์ทรมาน ”

“คุณดูถูกผมมากเกินไปแล้ว คุณหนูเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งหมิงอันส่ายหัวไปมา หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ฉู่หมิงเซวียนยังกล้าวางยาคุณ รอคุณเป็นฝ่ายเริ่มก่อน หรือคนอย่างผมจะไม่รู้เรื่องเลยเหรอ? ทำไมผมยังเทียบไม่ได้กับฉู่หมิงเซวียนเลยเหรอ?ผมยังรอให้คุณเป็นฝ่ายเข้ามากอดผมด้วยความเต็มใจอยู่นะ ก็เหมือนกับคืนนั้นไง”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งหมิงรู้ความจริงหมดแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป เธอคิ้วขมวดพูดขึ้น:“คุณวางแผนฆ่าพ่อของฉัน คุณฝันไปหรือเปล่าที่คิดว่าฉันจะเต็มใจเข้าไปกอดคุณอีก?เหลิ่งหมิงอันคุณกล้าจะไม่ปล่อยฉันไปเหรอ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะแก้แค้นให้พ่อของฉันที่นี่เลย พวกเราก็ตายไปพร้อมกันเลย!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็พุ่งเข้าไปที่ตัวเหลิ่งหมิงอัน ใช้แรงบีบคอเหลิ่งหมิงอันอย่างแรง เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา คอของเขาถูกเจี่ยนอี๋นั่วบีบไว้อย่างนั้น ใบหน้าของเขาค่อยๆแดงขึ้น แต่เขาไม่คิดจะขัดขืนแต่ยังใด เขาหัวเราะพูดขึ้นว่า:“แรงแค่เนี่ยคิดว่าจะฆ่าผมได้อย่างนั้นเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตา และหาโอกาสปลดล็อคประตู จากนั้นก็รีบหันหลังเปิดประตูรถออก เตรียมจะวิ่งออกจากรถ ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะฆ่าเหลิ่งหมิงอันมากๆ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ เวลานี้เธอจำเป็นต้องหนีออกจากเหลิ่งเซ่าถิงให้ไกลที่สุด ไปหาเหลิ่งเซ่าถิง และเล่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้กับเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าหากเธอยังอยู่ใกล้ๆเหลิ่งหมิงอันต่อไป และเหลิ่งหมิงอันอาจใช้เธอเป็นเครื่องมือในการข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิงอีก

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจะหนี ทันใดนั้นมือของเธอก็โดนเหลิ่งหมิงอันคว้าเอาไว้ เหลิ่งหมิงอันจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ผมรักคุณจริงๆนะ ผมชอบแผนการเหล่านี้ของคุณ ผมชอบความฉลาดของคุณ ชอบความอ่อนโยนของคุณ ชอบที่บางครั้งคุณทำผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบมาก อยู่ด้วยกันกับคุณ น่าจะมีความสุขและมีแต่เรื่องให้เซอร์ไพรส์ตลอดเวลา?”

เจี่ยนอี๋นั่วตกใจจนตาแดงก่ำ และลองสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก แล้วยังลองเตะเหลิ่งหมิงอัน แต่เขาก็ไม่ได้ขัดขืนในระหว่างเหลิ่งหมิงอันเดินเข้ามาใกล้ๆเธอทีละนิด

“ช่วยด้วยค่ะ!” เจี่ยนอี๋ร้องตะโกนเสียงดัง

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ จุ๊ ๆ……อย่าเสียงดังไป เดี๋ยวจะไปรบกวนคนอื่นเขาได้”

เหลิ่งหมิงอันพูดไปด้วย เอามือปิดปากเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วได้กลิ่นอะไรแปลกๆ จากนั้นก็รู้สึกสะลึมสะลือ และเธอรู้สึกกำลังจะหมดแรง ในขณะนั้นเหลิ่งหมิงอันก็กอดเธอไว้ แม้แต่แรงผลักเหลิ่งหมิงอันออกเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่มีแรงพอเลย

เหลิ่งหมิงอันกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้กลางอก จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกับแมวเล็กๆตัวหนึ่งที่กำลังซบอยู่ที่ตรงอกของเขา

เหลิ่งหมิงอันค่อยค่อยหัวเราะออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ทำไมเธอถึงอยากหนีผมไปขนาดนี้ คุณคิดว่าผมจะใช้คุณเป็นเครื่องมือในการข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิงอย่างนั้นเหรอ คุณอยากหนีอย่างสุดชีวิตเพื่อไปอยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงใช่ไหม? คุณคิดแบบนี้ได้อย่างไร? ถ้าอย่างนั้นสำหรับผมก็ไร้ประโยชน์ กลับทำให้เปิดเผยตัวจริงของผม ทำให้ผมตกอยู่ในอันตราย ตระกูลเหลิ่งของพวกเรานั้นวิชาแรกที่เริ่มเรียนคือ ทำยังไงไม่ให้ถูกคุณอื่นข่มขู่หรือคุกคามง่ายๆ ได้ เหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ถูกคุกคามจากใครทั้งนั้น ถึงเขาจะรู้ว่าผมคุกคามคุณ อันดับแรกที่เขาคิดก็คือปลอบใจผม จากนั้นค่อยช่วยเหลือคุณออกไป ทำให้ผมตายอย่างหาร่างไม่เจอ ใช้คนมาข่มขู่เพื่อให้ได้ซึ่งเป้าหมาย เป็นวิธีของคนถ่อย การที่ต้องการเปลี่ยนแปลงใครสักคนหนึ่ง และต้องการหลอกใช้ใครสักคนหนึ่ง นั่นคือวิธีที่เพอร์เฟคที่สุด”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตา สะลึมสะลือจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน ถึงแม้เธอจะพยายามแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่สามารถหยุดพลังงานที่กำลังจะหมดไปของเธอ แม้แต่คำพูดของเหลิ่งหมิงอันก็ฟังไม่ชัดเจนแล้ว

เหลิ่งหมิงอันเอื้อมมือไปลูบที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพิงไปที่ข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผมเคยพูดแล้วว่าผมจะเปลี่ยนแปลงแผนการทั้งหมดแล้ว ตอนนี้ผมต้องการคุณ ทำยังไงถึงจะได้คุณมาครอบครองล่ะ? ก็ต้องทำให้เหลิ่งเซ่าถิงยอมทิ้งคุณไปจริงๆ คุณถึงจะสามารถเป็นของผมจริงๆ คุณเชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนี้ คุณคิดว่าเขาก็เชื่อใจคุณเช่นกันอย่างนั้นเหรอ? ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็น ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่?”

เพราะในขณะที่เหลิ่งหมิงอันกำลังพูดอยู่นั้น อยู่ใกล้กับเจี่ยนอี๋นั่วมาก ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสามารถได้ยินคำพูดประโยคสุดท้ายของเหลิ่งหมิงอันได้อย่างชัดเจน ในที่สุดก็ฟังชัดเจนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วขยับปากเล็กน้อย พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉัน……ฉันไม่ใช่……ฉันไม่ใช่สิ่งของ ไม่ต้องการให้คนอื่นมาซื้อต่อ……”

แต่สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดนั้นฟังจับใจความไม่ได้เลย เหลิ่งหมิงอันไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วพูดอะไรกันแน่ ทำเพียงแค่หัวเราะและกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ตอนนี้ผมกำลังดำเนินการแผนการนี้อยู่ และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าแผนการนี้มันยิ่งน่าสนใจมากขึ้น ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นทายาทสืบทอดตระกูลเหลิ่งมันจะมีประโยชน์อะไร? แล้วถ้าทำให้เหลิ่งเซ่าถิงตายแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? กำจัดแสงสว่างที่สว่างที่สุดในชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงออกไปโดยสิ้นเชิง และทำให้เธอเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผม ให้เหลิ่งเซ่าถิงทำได้เพียงแค่มองแต่ไม่สามารถครอบครองได้ และทำให้เกิดบาดแผลซ้ำๆ แบบนี้สิมันถึงจะสนุก และวิธีนี้จะเป็นการเอาชนะเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เหรอ?”

“คนบ้า……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดประโยคสุดท้ายอย่างสะลึมสะลือ สุดท้ายก็หลับตาลงและสลบไปในทันที

เหลิ่งหมิงอันเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เขาหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว นั่งมองดวงตาของเธออย่างละเอียด มองจมูกของเธอ และริมฝีปากของเธอ ผิวที่ผ่องและเนียนของเธอ เขาทนไม่ไหวจนเอื้อมมือไปลูบที่ริมฝีปากของเธอ พูดด้วยน้ำเสียงแหบ:“น่ารักจริงๆเลย”

ถึงแม้ร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วจะถูกควบคุมด้วยยา และอยู่ในอาการสะลืมสะลือ แต่สติสัมปชัญญะของเธอนั้นแข็งแกร่งมาก และเธอพยายามดึงสติของตัวเองกลับมา และในขณะที่เหลิ่งหมิงอันข้บรถอยู่และพาเจี่ยนอี๋นั่วไปนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็พยายามใช้แรงลืมตาขึ้นอยู่หลายครั้ง สะลึมสะลือมองดูถนนเส้นทาง เธอพยายามจำภาพระหว่างทาง จดจำข้อมูลที่สำคัญทั้งหมดเอาไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถูกเหลิ่งหมิงอันอุ้มลงจากลง จากนั้นเดินเข้าไปที่มืดๆแห่งหนึ่ง และหลังจากนั้นแสงค่อยๆสว่างขึ้น สมองที่สับสนวุ่นวายของเธอ ใช้เวลานานมากในการวิเคราะห์ เธอถูกอุ้มลงไปชั้นใต้ดิน

“เธอก็คือเจี่ยนอี๋นั่ว?” น้ำเสียงที่เยือกเย็นและน่ากลัว

เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวเงยหน้าลืมตามองไปทางคนที่พูดคนนั้น อย่างภาพเบลอๆ เธอมองเห็นดวงตาคู่หนึ่ง ล ะหม้ายคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่สายตาที่เยือกเย็น ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูเย็นชา แต่นั่นมันคือการแสดงออกมาเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ความเย็นชาแบบไม่แยแส ถ้าคนที่ไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเหลิ่งเซ่าถิอาจจะกลัว แต่ก็ไม่ถึงกับน่ากลัวหรือหวาดกลัวขนาดนั้น

แต่แววตาคู่นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดกลัวมาก เขาจ้องมองเธอ จ้องมองเธอราวกับว่าเหมือนเธอไม่ใช่คน และดูเหมือนกำลังจ้องมองสิ่งของชิ้นนึงอยู่ หรือเนื้อเน่าเสียกองนึง เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าตัวเองน่าจะตายไป และถูกมองโดยยมทูต

“ฤทธิ์ยามันแรงขนาดนั้น เธอยังไม่สลบ ดูเหมือนอาการของเธอจะพยายามมาก เธอไม่ใช่คนที่จะถูกควบคุมได้ง่ายๆ ถ้าหากผมเจอเธอเร็วกว่านี้ และจะไม่เห็นด้วยกับแผนของคุณอย่างแน่นอน ผมเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์” ชายที่มีดวงตาคล้ายกับเหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา และหันหลังมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน

ในขณะที่ชายคนนั้นหันหลัง เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแขนของเขาด้วนไปข้างนึง เห็นความว่างเปล่าที่ข้อมือ เจี่ยนอี๋นั้วตื่นตกใจ รีบเบิ่งตาโต และเริ่มสางจากการถูกวางยา ทำให้เธอมองใบหน้าชายคนนั้นได้ชัดเจนขึ้น

เขามีหน้าตาที่คล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่ว่าตัวซีดและผอมกว่าหน่อย เขาหน้าคิ้วขมวดแน่นและมีรอยย่นระหว่างคิ้วอยู่แล้ว เขาพูดไปด้วย และหันหลังไปด้วย เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาที่เย็นชา จากนั้นคุยกับเหลิ่งหมิงอันต่อ:“ตอนนี้แผนการล้มเหลวแล้ว คุณพาผู้หญิงคนนี้มาทำไมกัน? พาเธอมาแก้แค้นให้คุณพ่อของเธอเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วขยับร่างกาย คิดอยากจะลุกขึ้นนั่ง เป็นเขา เขาก็คือชายคนนั้น คนที่ฆ่าพ่อของเธอ! เขาเป็นฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าคุณพ่อ! และเขาก็คือพี่ชายฝาแฝดของเหลิ่งเซ่าถิง ชายคนนั้นคนที่เขาเล่าต่อๆกันมาว่าน่าจะเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก! เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยากจะลุกขึ้น เขาอยู่ใกล้เธอขนาดนั้น เพียงแค่เธอได้สติคืนมามากกว่านี้ เธอก็สามารถแตะโดนตัวเขาได้แล้ว จากนั้นก็ฆ่าเขาเลย!

“เป็นไปได้อย่างไร? ผมยังมีแผนการอย่างอื่น” เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วที่พยายามจะลุกขึ้น หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ทั้งหมดมันพึ่งจะเริ่มเอง”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว คิ้วขมวดพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณจะจัดการกับเหลิ่งเซ่าถิงยังไง?”

“ฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะแสดงความคิดของตัวเองออกมา

เหลิ่งเซ่าถิงก็เอื้อมมือไปปิดปากของเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังจะพูดออกมา พูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ที่นี่ไม่สะดวกที่เราจะสนทนากัน พวกเราเปลี่ยนสถานที่แห่งใหม่กันเถอะ ผมมีคอนโดอยู่แถวๆบริเวณนี้ สถานที่ไม่ค่อยวุ่นวาย ผมพาคุณไปดีกว่า”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างแรง คิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน เธอลังเลชั่วขณะ เหลิ่งหมิงอันถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็ง:“เพราะเรื่องของเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้คุณไม่กล้าเชื่อใจผมแล้วอย่างนั้นเหรอ? คุณวางใจเถอะ ผมไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงถึงแม้ผมจะรักคุณมาก แต่ผมไม่ได้ต้องการครอบครองอะไรขนาดนั้น ผมจะไม่ทำเรื่องอะไรที่เป็นการทำร้ายคุณ คุณสามารถเชื่อใจผมได้อย่างแน่นอน คุณอยากอยู่ข้างถนนเพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้ต่อไปเหรอ ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด ขึ้นนั่งบนรถของเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วก็เดินขึ้นนั่งในรถ หลังจากที่ขึ้นรถแล้ว เหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือออกไปเตรียมที่จะดึงสายคาดเบลท์ให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าหลบนิดๆ แต่ก็ฝืนทนและให้เหลิ่งหมิงคาดเบลท์ให้

เหลิ่งหมิงอันสตาร์ทร ถ พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเข้ม:“คุณวางแผนจะแก้แค้นยังไง? เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายที่ไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พยักหน้าตอบรับ:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันคิดว่า……ตอนนี้ฉันเป็นคนใกล้ชิดเขามากที่สุด ฉันอาจะใช้วิธีวางยาเขาได้ หรืออาจจะเอามีดแทงเขาด้วยตัวเอง”

“คุณจะสามารถจะเอาชนะเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างไร นั่นเป็นวิธีที่โง่เอามากๆ วินาทีที่คุณเอามีดออกมา ก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงจัดการได้ง่ายๆ ในความเป็นจริงแล้วคนที่ทำตัวอยู่สูงอย่างเหลิ่งเซ่าถิง และเป็นผู้ชายล้อเล่นกับชีวิตของคนอื่น และไม่คิดว่าชีวิตของคนอื่นนั้นจะมีค่า ถ้าจะหาวิธีที่จะจัดการเขาแล้วล่ะก็ คือการปล่อยให้เขาสูญเสียชื่อเสียงและอำนาจไปตลอดกาล ถ้าทำแบบนี้เท่านั้นถึงจะเหยียบเขาให้จมดิน” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพร้อมพูดออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วตกใจมาก หรี่ตาแล้วหันหน้าจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ ดูเหมือนว่า คุณคงหาวิธีได้แล้ว?”

“ใช่ครับ พวกเราสามารถทำให้เหลิ่งเซ่าถิงทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เมื่อทุกคนในตระกูลเหลิ่งรวมทั้งคุณนายเหลิ่งไม่สามารถให้อภัยความผิดพลาดของเขาในครั้งนี้ได้” เหลิ่งเซ่าถิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ความผิดพลาดอะไรคะ?”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะสักครู่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ เมื่อเร็ว ๆ นี้ตระกูลเหลิ่งกำลังหารือเกี่ยวกับการควบรวมกิจการครั้งใหญ่และการซื้อกิจการ ถ้าหากเธอสามารถเอาข้อมูลจากเหลิ่งเซ่าถิงได้ และทำให้ข่าวมันเผยแพร่ออกไป ขัดขวางธุรกิจนี้ ถ้าอย่างนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ถือว่าเป็นการละทิ้งหน้าที่ และนี่เป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่มากนะ”

“เพียงแค่การละทิ้งหน้าที่เองเหรอ” เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เก็บซ่อนความตื่นเต้นของตัวเองไว้ พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เหลิ่งหมิงอันพยักหน้า:“และแน่นอนว่านี่ยังไม่เพียงพอ และหลังจากนี้เธออาจจะต้องเสี่ยง เพราะว่าฉันจะชื้เป้าหมายไปที่คุณ และบอกว่าเป็นเพราะคุณที่เป็นคนปล่อยข่าวนั้นออกไป เหลิ่งเซ่าถิงอาจจะออกมาปกป้องคุณ และขัดแย้งกับคนอื่นในตระกูลเหลิ่ง รอให้ทุกคนในตระกูลเหลิ่งเป็นศัตรูกับเหลิ่งเซ่าถิง เวลานั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็จะตกอยู่ในวิกฤต เขาจะไม่ยอมเสียตำแหน่งการเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่งอย่างแน่นอน เขาต้องเลือกที่จะเสียสละคุณไปเท่านั้น และผมจะหาโอกาสนี้ให้คุณแกล้งตาย และออกมาปกป้องคุณจากนั้น……”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด:“แล้วหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไป?”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา:“ จากนั้นก็จะมีคนออกมายืนยัน ว่าคุณไม่ใช่ที่เป็นคนปล่อยข่าว ข่าวนี้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนปล่อยออกมา เหลิ่งเซ่าถิงวางแผนที่จะร่วมมือกับคนในครอบครัวบางคนเป็นการส่วนตัว และใช้โอกาสเพื่อหาผลประโยชน์ให้ตัวเองอย่างลับๆ และหาโอกาสขายหุ้นของตระกูลเหลิ่ง แลกกับอำนาจของตัวเอง แต่กลับตั้งข้อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีให้กับคุณ และสำหรับคุณที่ถูกคุ้มครองจนปลอดภัยแล้ว คุณก็สามารถเดินออกมา เปิดเผยความจริงที่ถูกตั้งข้อกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีได้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเบา: ตระกูลเหลิ่งยินยอมให้เหลิ่งเซ่าถิงละทิ้งหน้าที่ แต่เขาจะไม่มีวันได้รับอนุญาตให้ทรยศต่อผลประโยชน์ของตระกูลเหลิ่งแน่นอน แต่ว่าคุณนายเหลิ่งล่ะ……”

“คุณนายเหลิ่งก็จะหาทายาทผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเหลิ่งอย่างอัตโนมัติ หรืออาจจะหาคนที่ถูกใจมากกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเสียอีก ยิ่งเพอร์เฟค “ เหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ ยิ้มมุมปากใบหน้าแสดงออกมาด้วยท่าทางรอยยิ้มอย่างประชดประชัน

เดิมทีก็วางแผนแบบนี้เหรอ? เพียงเพื่อดำเนินการตามแผนติดตามแผนการเหล่านี้เท่านั้นเองเหรอ แล้วยังลงมือฆ่าพ่อของเธออีก และใช้เธออยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงเพื่อเป็นเครื่องมือหลอกใช้อย่างนั้นเหรอ

เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวแสดงรอยยิ้มที่ประชดออกมา:“ดูเหมือน บทบาทของฉันมันดูยอดเยี่ยมมากนะคะ”

“คุณสำคัญมากนะ อี๋นั่ว คุณมีสำคัญมากกว่าที่คุณคิดซะอีกนะ” เหลิ่งหมิงอันหันหน้าเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วแวบหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

จากนั้นเหลิ่งหมิงอันก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายมากๆ:“ถึงแม้เรื่องทั้งหมดนี้จะทำให้คุณลำบากใจ แต่นี่มันเป็นเพียงวิธีเดียวที่จะสามารถลงโทษเหลิ่งเซ่าถิงได้ดีที่สุด เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงสูญเสียทุกอย่าง พวกเราสามารถลงโทษเขาอย่างช้าๆ ลงโทษเขาที่ดูหมิ่นและหยาบคายต่อคุณ และลงโทษเขาที่ฆ่าพ่อของคุณ เธอคงไม่ได้ใจอ่อนจนไม่กล้าลงมือหรอกนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันจะไม่กล้าลงมือได้อย่างไรกัน? ในเมื่อเขาเป็นคนที่ฆ่าพ่อของฉัน ในโลกใบนี้ไม่มีใครที่อยากฆ่าเขามากกว่าฉันอีกแล้ว เวลานี้ฉันทนรอไม่ไหวอยากจะเห็นความน่าเวทนาของเขามากๆแล้ว!”

เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะลงมือฆ่าคนจริงๆ แต่ว่าคนที่จะฆ่าไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับเป็นคนที่นั่งใกล้ๆเธออย่างเหลิ่งหมิงอัน และในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆได้แล้ว และอาจเป็นไปได้ว่าวันแรกที่เธอย่างก้าวเข้ามาในตระกูลนี้ เธอก็ถูกเหลิ่งหมิงอันจงใจหลอกใช้เป็นเครื่องมือแล้ว แต่ว่าคนที่มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ฆาตกรตัวจริงคนที่ฆ่าพ่อของเธอนั้นเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงมีคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกันขนาดนี้ ไม่เพียงแต่มีหน้าตาที่คล้ายคลึงกันเท่านั้น และสไตล์ก็คล้ายคลึงกันมาก เหมือนราวกับเป็นฝาแฝดกัน……

นึกถึง“ฝาแฝด”คำนี้ ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วอึ้งทันที เธอนึกขึ้นได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยเล่าให้เธอฟังว่าเขามีพี่ชายฝาแฝดที่เก่งมาก แต่เขาเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก หรืออาจจะยังไม่ตายอย่างนั้นเหรอ? หรือพี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิงกลับมาแล้ว? และถ้าหากกลับมาแล้ว แล้วทำไมต้องร่วมมือกับเหลิ่งหมิงอันและวางแผนแผนการพวกนี้ด้วยล่ะ และจงใจจะเล่นงานเหลิ่งเซ่าถิงเอาให้ตายไปข้างนึง?

เขาเก่งมากไม่ใช่เหรอ? ขอเพียงแค่เขากลับมา ก็สามารถเป็นทายาทสืบทอดของตระกูลเหลิ่งได้ทันที และสามารถทำให้เหลิ่งเซ่าถิงกระเด็นออกจากตระกูลเหลิ่ง ทำไมเขาต้องร่วมมือกับเหลิ่งหมิงอันด้วย? นอกเสียจากว่าเขาไม่ได้ดีเพียบพร้อมแล้ว หรือเป็นเพราะว่าหัวใจมีปัญหา หรืออาจเป็นเพราะว่าสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เขาไม่สามารถทำให้คุณนายเหลิ่งเลือกได้ระหว่างเขาและเหลิ่งเซ่าถิง ก็เลยเลือกเขาโดยตรง

ใช่แล้วโรคหัวใจ เขายังมีโรคหัวใจ ถ้าหากเขาไม่ได้รับการปลูกถ่ายหัวใจอย่างเร่งด่วน ถ้าหากยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ก็คงอ่อนแอมากแล้ว ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วสามารถมองออกว่าคนที่อยู่ในรูปนั้นผอมกว่าเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นเขาควรต้องได้รับการปลูกถ่ายหัวใจจริงๆ และเหลิ่งเซ่าถิงกลับมีหัวใจที่แข็งแรงและตรงกับเขาที่สุด

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงแค่นี่ ค่อยๆหันหน้าไปมองทางเหลิ่งหมิงอัน เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ เธอไม่เคยคิดว่าการต่อสู้แย่งชิงของตระกูลเหลิ่งจะเอาเธอเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ความน่ากลัวเหล่านั้น ทำให้เธอรู้สึกกลัวมาก

เหลิ่งหมิงอันและเหลิ่งเซ่าถิง พี่ชายฝาแฝดที่ไม่เคยปรากฏตัวให้เห็น เหลิ่งเซ่าถิงไม่เพียงแต่จะสูญเสียตำแหน่งทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเท่านั้น พวกเขาวางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วที่จะให้เหลิ่งเซ่าถิงตาย ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงแพ้ เขาไม่เพียงจะสูญเสียแค่การเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่งเท่านั้น แต่เขายังต้องตาย และหัวใจของเขาจะถูกปลูกถ่ายให้กับพี่ชายฝาแฝดของเขาอีกด้วย

เหลิ่งเซ่าถิงเคยเห็นรูปถ่ายนี้แล้ว เมื่อเขาเห็นรูปถ่ายใบนั้น เขาต้องรู้แน่นอนว่าเป็นพี่ชายฝาแฝดของเขากลับมาแล้วและเขาคงรู้ว่ากำลังจะเกิดอันตรายขึ้น เขาแค่ก้าวพลาดแค่ก้าวเดียว หรืออาจจะก้าวไม่ผิดพลาด เพียงแค่ต่อต้านคุณนายเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งก็จะเข้าข้างพี่ชายฝาแฝดของเขา และให้พี่ชายของเขามาแทนที่เขา

เดิมสถานการณ์ของตระกูลเหลิ่งยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กัน ก็จะกลายเป็นว่าเขาจะถูกคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งหมิงอันวางแผนเพื่อหวังผลประโยชน์ จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงต้องพ่ายแพ้ และเขาก็ต้องตายไปในที่สุด

เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเขาเคยหลบซ่อนตัว เขาหวาดกลัวเรื่องราวที่เกิดขึ้น กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง และถึงแม้จะผ่านไปหลายปีแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็คงเป็นอวัยวะที่จะต้องปลูกถ่ายให้กับพี่ชายของเขาเท่านั้น นี่มันเป็นเรื่องที่หดหู่ขนาดไหน?

หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วเจ็บปวด เธอไม่รู้ว่าช่วงวันสองวันนี้เหลิ่งเซ่าถิงใช้ชีวิตอย่างไ ร เขาอยู่ด้วยสภาพจิตใจแบบไหนกัน และต้องทนเห็นเธอสงสัยในตัวของเขา และทำตัวเหินห่างเขา ทำไมเขาต้องทนเห็นเธอเข้าใจผิดว่าเขาคือฆาตกร?

หรือเขาจะไม่เชื่อใจเธออีกแล้ว? รู้สึกว่ายังไงเธอก็คงทอดทิ้งเขาอยู่แล้ว และรู้สึกว่าเธอไปร่วมมือกับคนอื่น? และอาจจะกำลังป้องกันและระวังตัวเองโดยคิดว่าเธอเป็นศัตรูแล้ว?

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง สูดหายใจเข้าลึกๆ พูดกับเหลิ่งหมิงอันด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ฉันรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป? ฉันคิดว่าฉันควรลงจากรถได้แล้ว? ถ้าหากยังอยู่ด้วยกันกับคุณ ฉันกลัวว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสงสัยในตัวของฉัน”

เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากวิ่งไปอยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิงมาก อยากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เขาฟัง เธออยากเอ่ยคำขอโทษที่เธอเคยลังเลและสงสัยในตัวของเขา แต่ว่าเธอรู้ความจริงแล้ว เธอจะไม่ลังเลและใจโลเลอีกแล้ว ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นยังไง เธอจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป! และไม่ว่าจะพ่ายแพ้หรือไม่ เธอก็จะตายไปพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าอย่างนั้นก็ระเบิดให้เป็นชิ้นๆ ให้คนที่คิดจะเอาอะไรจากพวกเขาทั้งสองคน แต่กลับไม่ได้อะไรจากพวกเขาเลยสักนิดเดียว

“ทำไมต้องรีบลงจากรถล่ะ? แผนการของผมทำให้คุณตกใจใช่ไหม? เหลิ่งเซ่าถิงพูดแล้วหัวเราะเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมา ทำตัวเองให้ปกติที่สุดพูดว่า:“ไม่มีค่ะ เวลานี้ไม่มีเรื่องไหนที่จะทำให้ฉันตกใจได้อีกแล้ว ขอเพียงแค่เหลิ่งเซ่าถิงได้รับกรรมในสิ่งที่มันทำอย่างสาสม ฉันก็ไม่แคร์อะไรทั้งนั้น”

“จริงๆเหรอครับ? ผมอยากบอกคุณว่าไม่ต้องกังวลแล้วนะครับ เมื่อกี้นี้ผมแค่พูดให้คุณตกใจเล่นๆเท่านั้นเอง แผนการอันโหดร้ายแบบนี้ ถูกยกเลิกทั้งหมดแล้วครับ” เหลิ่งหมิงอันรีบจอดรถ หันหน้าไปมองทางเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด:“แผนการนี้ฟังดูแล้วมันเพอร์เฟคมากๆค่ะ ทำไมต้องยกเลิกด้วยคะ?”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา เขาเอื้อมมือไปลูบที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เป็นเพราะว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดมากเกินไป และรู้ตัวแล้วว่าตัวเองกำลังถูกหลอกใช้ อี๋นั่ว ฝีมือการแสดงของคุณนับวันยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ ผมดีใจกับคุณด้วยจริงๆนะ แต่ว่าเกิดเป็นผู้หญิงไม่ควรจะฉลาดเกินไป และไม่ควรจะใจอ่อน ทำไมคุณต้องไปช่วยเหอหลวนเล่อด้วย?”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็หัวเราะออกมา:“พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ต้องเกรงใจนะครับ เรียกผมว่าหมิ่งอันก็ได้ครับ เมื่อก่อนพี่สะใภ้ยังเข้ามากอดผมเองเลยนะครับ ?มาวันนี้ทำไหมถึงเรียกผมว่าคุณเหลิ่งหมิงอันล่ะครับ? ทำไมพี่สะใภ้ใหญ่ถึงมาโรงพักล่ะครับ? สถานีตำรวจเป็นสถานที่ที่คนอย่างคุณหญิงไม่ควรมานะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาสักครู่ หน้าคิ้วขมวดค่อยๆพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า“ไม่มี ไม่มีอะไรค่ะ และมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณด้วย!”

นี่เหลิ่งหมิงอันแค่มาหาเธอเท่านั้นเองเหรอ สิ่งที่เธอคาดการณ์ไว้มันอาจจะเป็นจริงก็ได้ และยืนยันไม่ได้เลยว่าเหลื่งหมิงอันจะเป็นคนบงการจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน จ้องมองรอยยิ้มของเหลิ่งหมิงอันที่ถูกแสงอาทิตย์สอดส่อง เธอไม่สามารถควบคุมอารมณ์ใจร้อนของตัวเองได้ เธอต้องหาหลักฐานมัดตัวเหลิ่งหมิงอันให้ได้ ถามเขาว่าทำไมต้องลงมือฆ่าพ่อของเธอด้วย? เธอจำเป็นต้องให้เหลิ่งหมิงอันสารภาพแผนการทั้งหมดออกมาให้ได้ในขณะที่เขาไม่ทันตั้งตัว ทำแบบนี้ถึงจะจับเขาได้คาหนังคาเขา

เจี่ยนอี๋นั่วจำเป็นต้องแสร้งทำว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น และเดินตามแผนที่เหลิ่งหมิงอันวางไว้ เธอถึงจะรู้แผนการต่อไปของเหลิ่งหมิงอันว่าจะทำอะไรต่อไป

แผนการวางแผนได้แนบเนียนขนาดนี้ และต้องแลกด้วยชีวิตคนมากมาย เพียงเพื่อต้องการใช้เธอเป็นเครื่องมือในการอยู่ข้างกายของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้นเองเหรอ? ภายใต้รอยยิ้มอันสดใสของเหลิ่งหมิงอันนี้ แอบซ่อนสิ่งเลวร้ายอะไรไว้กันแน่?

เจี่ยนอี๋นั่วเคยปะทะกับเหลิ่งหมิงอันมาแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการตายของพ่อตัวเองแล้ว เธอไม่เคยคิดว่าเหลิ่งหมิงอันเป็นผู้ต้องสงสัยเลย เนื่องจากเหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่เปิดเผยและไม่สามารถเก็บความลับได้ เขาไม่เหมือนกับคนที่มีสามารถวางแผนสิ่งชั่วร้ายและซับซ้อนขนาดนี้ได้ และในตอนนี้กลับมาคิดอีกที ที่เห็นว่าเหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่เปิดเผยและเป็นคนที่เก็บความลับไม่อยู่นั้น เขาอาจจะแกล้งทำเท่านั้น การที่เขาต้องการหลอกใช้ใครเป็นเครื่องมือสักคน เขาจะหลอกใช้จากจุดบอดของความคิดของคนๆนั้น และรู้สึกว่าคนที่สามารถวางแผนโดยละเอียดได้ควรเป็นคนที่มีจิตใจนิ่งมากกว่านี้ ดังนั้นเขาจึงใช้ตัวตนที่ทำให้คนอี่นรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่เปิดเผยมาปิดบังแผนการและแอบวางอุบายของเขาไว้

“เป็นอย่างนั้นจริงๆเหรอ? ดูแล้วไม่เหมือนเลยสักนิด หรือรู้สึกว่าอยู่ด้วยกันกับพี่ชายใหญ่ไม่ได้แล้ว ถึงกับต้องให้ตำรวจช่วยเหลือ เพื่อเพิกถอนทะเบียนสมรสเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดเบาๆ:“ถ้าหากเป็นแบบนี้ล่ะก็ ผมยอมรับคุณได้นะ”

“คุณเลิกพูดล้อเล่นได้แล้ว!” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เดินถอยหลังหนึ่งก้าว ด้วยท่าทางที่เซ็งมากแล้วนวดที่ศีรษะ พูดด้วยน้ำเสียงที่เซ็ง“ฉันไม่มีเวลามาล้อเล่นกับคุณ! กรุณาอยู่ห่างๆจากฉันหน่อย”

“ทำไมเหรอ?”เหลิ่งหมิงอันหน้าคิ้วขมวด เดินเข้าหาเจี่ยนอี๋นั่วด้วยท่าทางที่เป็นห่วงเป็นใย ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตกใจรีบส่ายหัวไปมา พูดกลับว่า:“ฉัน ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไร คุณล่ะ? คุณมาสถานีตำรวจทำไมกัน?”

เหลิ่งหมิงอันหันหน้าเหลือบมองไปที่รถเก่าๆคันนั้นของเขา หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ ผม? ก็เพราะรถคันเก่าคันนี้ก่อเรื่องขึ้นไง? แค่อขับออกมาก็โดนเรียกแล้ว บอกว่าเป็นรถที่หมดอายุการใช้งาน ซวยจริงๆ นี่ต้องให้ผมมารับมันกลับเองกับมือ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่า ที่ได้พบกับคุณที่นี่ไงล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งหมิงอันด้วยสายตาที่เย็นชา และทำท่าจะเดินหนี เหลิ่งหมิงอันก็รีบคว้าข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามสะบัดมือออก แล้วเธอก็ทำรูปถ่ายที่อยู่ในมือนั้นหลุดกระจายเต็มพื้น เหลิ่งหมิงอันก้มมองดูรูปถ่ายที่หล่นกระจายอยู่บนพื้น หยิบรูปใบนั้นขึ้นมาดู ใบที่มีเหลิ่งเซ่าถิงและคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งหมิงอันรีบคิ้วขมวดเงยหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว:“นี่คือ……นี่คือเหลิ่งเซ่าถิง? ทำไมเขาจึงอยู่ด้วยกันกับคุณพ่อของคุณล่ะ? หรือการตายของคุณพ่อคุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งหมิงอันหลงกลแล้ว ในใจของเธอหัวเราะอย่างเย็นชา ยกมือปิดหูของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงอึดอัด: “คุณอย่าเอาไปพูดนะคะ นี่มันเป็นของปลอมค่ะ รูปถ่ายเหล่านี้เป็นของปลอมแน่นอนค่ะ มีคนจงใจทำให้ฉันและเหลิ่งเซ่าถิงผิดใจกัน ฉันจะไปหาสถานที่ใหม่ค่ะ และทำการตรวจสอบใหม่ รูปถ่ายใบนี้เป็นของปลอมแน่นอนค่ะ!”

“คุณอย่าหลอกตัวเองอีกเลย คุณพี่งทำเรื่องตรวจสอบแล้วไม่ใช่เหรอ? ทางตำรวจจะตรวจสอบผิดพลาดได้อย่างไรกัน? เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

พอเหลิ่งหมิงอันพูดจบก็ทำหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก้มลงดูรูปถ่ายพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“คุณแน่ใจเหรอว่าเป็นเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนหน้านี้ผมเคยเตือนคุณแล้วนะ คาดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะเป็นคนทำ เขาเป็นคนทะเยอทะยานและชอบครองครอบมากจริงๆ

“เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดว่า:“ฉันไม่รู้ควรจะทำอย่างไรต่อไปดีแล้ว? ที่ฉันกล้าทำแบบนี้? และผู้ชายที่ฉันรัก กลับเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของตัวเอง เขาหลอกฉันได้แนบเนียนมาก ทำไมเขาถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้? ฉันไม่อยากเห็นหน้าเขาอีกต่อไปอีก!”

“เอาอย่างนี้ดีไหม ผมจะพาคุณพักผ่อนที่คอนโดของผมสักพัก ถ้าหากคุณอยากไปจากตระกูลเหลิ่ง ผมสามารถช่วยเหลือคุณได้ แต่ถ้าหากคุณอยากล้างแค้น ผมก็จะช่วยเหลือคุณ” เหลิ่งหมิงอันหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังสิ่งที่เหลิ่งหมิงอันพูดคำว่า“แก้แค้น” สองคำนี้ ในใจของเธอรู้ได้ทันทีว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังหลอกล่อให้เธอไปแก้แค้นเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรีบเบิ่งตาโต จ้องมองเหลิ่งหมิงอัน และร้องไห้ออกมาทันที:“ล้าง……ล้างแค้น……ล้างแค้นเหลิ่งเซ่าถิงนะเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันรีบกอดเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เรื่องพวกนี้ค่อยคุยกันวันหลังเถอะ ผมจะพาคุณไปพักผ่อนก่อนสักพัก”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้อยากอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอันตามลำพัง เธอส่ายหัวไปมา ฉันไม่อยากพักผ่อน ฉันอยากกลับบ้าน”

“บ้านของเธออยู่ที่ไหน? เธอยังมีบ้านอยู่อีกเหรอ? ครอบครัวของเธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงทำลายพังพินาศไปหมดแล้ว!” เหลิ่งหมิงอันตะโกนออกมาเสียงดัง

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักทันที เธอรู้สึกอึ้งด้วยความงุนงงและจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน คำพูดของเหลิ่งหมิงอันมันโหดร้ายเกินไป แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วซึ่งอาจคาดเดาและรู้ความจริงแล้ว ก็รู้สึกสั่นสะเทือนในหัวใจของเธอ ถ้าหากเธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นฆาตกรที่ฆ่าพ่อของเธอจริงๆ เธอน่าจะเกลียดเหลิ่งเซ่าถิงเข้าไส้อย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวตะโกนพูดว่า:“คุณไม่ต้องพูดต่ออีกแล้ว!”

“โอเค ผมจะไม่พูดอีกแล้ว ผมไม่พูดอีกแล้ว!” เหลิ่งหมิงอันค่อยๆลูบที่หลังของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผมจะไม่พูดเรื่องแบบนี้กับคุณอีกแล้ว พวกเราลืมเรื่องพวกนี้ไปซะเถอะ ผมจะซื้อตั๋วเครื่องบินสองใบทันที ผมจะส่งคุณไปอยู่ต่างประเทศ แต่ว่า……”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็คิ้วขมวดอย่างแรง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:” แต่ว่าอำนาจของเหลิ่งเซ่าถิงกว้างขวางมาก และอาจจะไม่สามารถปิดบังเขาได้แน่ และผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะปกป้องคุณได้จริงๆหรือไม่”

“พ่อของฉันถูกเขาฆ่า และฉันยังเลือกที่จะหนี? แล้วฉันจะเผชิญหน้ากับคุณพ่อได้อย่างไร?” เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับพร้อมด้วยร้องไห้ตาแดงก่ำ

เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ถ้าอย่างนั้นคุณคิดจะทำยังไงต่อไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมา พูดด้วยน้ำเสียงแหบ:“ ฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงต่อไป แต่ฉันแค่รู้สึกว่าฉันไม่ควรหนีปัญหาไปแบบนี้ ไม่ควรหนีไปแบบนี้โดยที่ยังไม่ได้แก้แค้นให้กับคุณพ่อ ถึงแม้จะเป็นเหลิ่งเซ่าถิง เขาก็ไม่ได้มีสำคัญกว่าคุณพ่อของฉัน แลนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันรักคนผิด ครั้งก่อนเป็นฉู่หมิงเซวียน และในครั้งนี้เป็นเหลิ่งเซ่าถิง ฉันต้องทวงความยุติธรรมให้กับคุณพ่อไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำด้วยจุดประสงค์อะไรก็ตาม เขาก็ไม่ควรฆ่าพ่อของฉัน และแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีอำนาจมากขนาดไหน…..”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ เงยหน้าเหลือบมองไปทางเหลิ่งหมิงด้วยสาตาอาฆาต:“ยังไงฉันก็จะทวงความยุติธรรมมาให้คุณพ่อให้ได้ คนที่ลงมือฆ่าพ่อของฉัน เขาก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต! ถึงแม้จะเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยขนาดไหนก็ตาม หรือจะหล่อและเพียบพร้อมขนาดไหน ในเมื่อฆ่าคนแล้วก็ควรชดใช้ด้วยชีวิต!”

เจี่ยนอี๋นั่วดวงตาแดงก่ำ เธอจ้องมองเหลิ่งหมิงอันกำลังพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความเกลียดชัง แต่คำพูดเหล่านั้นของเหลิ่งหมิงอันกลับทำให้เธอยิ่งเกลียดชังเขามากขึ้น

แววตาของเหลิ่งหมิงอันมีการเปลี่ยนแปลงเล็กหน่อย เขาหลบสายตา และรีบทำท่าปกติพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ไม่ว่าคุณจะตัดสินใจอย่างไร ผมก็จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ และคอยช่วยเหลือคุณ”

“เพราะอะไร?”แสดงสีหน้าประหลาดใจ: "คุณรู้ไหมว่าการเป็นศัตรูกับเหลิ่งเซ่าถิงมันต้องเสี่ยงขนาดไหน?ถึงแม้ว่าคุณจะขัดแย้งกับเหลิ่งเซ่าถิงมาตลอด แต่ว่าพวกคุณไม่ได้ปะทะกันซึ่งๆหน้า ถ้าหากคุณช่วยเหลือฉัน คุณอาจจะไม่ได้เป็นคุณชายรองของตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป คุณเต็มใจเหรอคะ? เพียงเพราะทำเพื่อฉัน และช่วยฉันทวงคืนความยุติธรรมให้กับคุณพ่อของฉัน ถึงแม้ว่าคุณจะต้องแลกด้วยชีวิต แต่คุณก็มุ่งมั่นที่จะทำสิ่งนี้ ทำไมคุณถึงเต็มใจที่จะช่วยฉัน? "

“เป็นเพราะว่าผมรักคุณ” เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างจริงใจว่า:“คุณคงไม่เชื่อหรอก แต่ว่าผมรักคุณจริงๆ ถ้าเทียบกับทั้งหมดของตระกูลเหลิ่งแล้ว สิ่งที่ผมต้องการที่สุดนั่นก็คือคุณ เริ่มแรกผมอาจจะต้องการแค่ล้อเล่นกับคุณ และอาจเป็นเพราะว่าไม่กล้าเผชิญกับความพ่ายแพ้ให้กับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าตอนที่อยู่ในป่าครั้งนั้น……”

เหลิ่งหมิงอันเอื้อมมือไปลูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ:“ผมรู้ว่ามันหวานขนาดไหน จากนั้นผมก็เพ้อฝันตลอดเวลา ตอนนั้นคุณเหมือนดั่งดอกไม้ที่เบ่งบานบนตัวผม ผมอยากจะจูบริมฝีปากของคุณ ผมอยากจะสัมผัสเรือนร่างของคุณ และแววตาของคุณจะต้องจ้องมองแต่ผมเท่านั้น คุณเหมือนราวกับแมวที่น่ารักตัวหนึ่งกำลังอ้อนวอนผมอยู่ และขอร้องให้ผมอย่าทำคุณเจ็บ "

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด เดินถอยหลังหนึ่งก้าว:“คุณ……”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะพูดว่า:“หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเหลิ่งเซ่าถิงก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง คนเย็นชาอย่างเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เป็นเพราะคุณมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เขาก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนคนเดิม ไม่ได้เป็นคนที่เย็นชาอีก ความรู้สึกที่มีความสุข ทำให้ผมรู้สึกได้ ดังนั้นผมคิดว่า การที่ได้อยู่ด้วยกันกับคุณนั้นมันน่าจะมีความสุขมากๆ และบางทีผมอาจจะเปลี่ยนไปเป็นคนละคนได้ ผมอยากสัมผัสและอยากจะลิ้มรสความหวานนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่ความต้องการธรรมดา แต่มันเป็นความต้องการที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ผมอยากอยู่ด้วยกันกับคุณจริงๆ และสัมผัสกับความสุขแบบนั้น ซึ่งมันคงมีความสุขมากกว่าที่จะได้ครอบครองทุกอย่างของตระกูลเหลิ่งเสียอีก ในสิ่งที่คุณมอบให้เหลิ่งเซ่าถิง คุณก็สามารถมอบให้ผมได้เช่นกัน ใช่ไหมครับ?”

“คุณ……คุณเป็นแบบนี้……คุณทำให้ฉัน……”เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมา พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้แสดงละคร แต่เธอตื่นตกใจจริงๆ เธอคิดว่าเหลิ่งหมิงอันจะหาเหตุผลอื่นมาพูด แต่เธอคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งหมิงอันจะตอบกลับมาแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นการพูดเล่นๆเพื่อที่จะเอาชนะเธอ คำพูดที่เขาพูดออกมานี้มันดูสมจริงมากจริงๆ

“ผมทำให้คุณตกใจเหรอ?”เหลิ่งหมิงอันถามด้วยท่าทางคิ้วขมวด:“คุณไม่ต้องตื่นเต้นหรอก ผมไม่คิดที่จะทำร้ายคุณเลย ผมแตกต่างกับเหลิ่งเซ่าถิง ผมรู้ว่าควรจะจัดการกับความรักยังไง และผมไม่แสดงพฤติกรรมที่หวาดระแวงและอยากครอบครองไว้คนเดียวอย่างเหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน คุณวางใจเถอะ……”

เมื่อสติของเจี่ยนอี๋นั่วกลับคืนมา เธอค่อยๆพยักหน้าตอบรับ:“ฉันเข้าใจแล้วค่ะ ฉันเชื่อคุณค่ะ และอีกอย่างฉันก็ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรอีกแล้ว และฉันก็ไม่เหลือญาติพี่น้องที่จะถูกวางแผนฆ่าอีกต่อไปแล้ว ขอเพียงแค่สามารถล้างแค้นให้กับคุณพ่อ แม้แต่ชีวิตฉันก็ให้ได้ค่ะ”

การที่เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้มันไม่ใช่เพียงเพราะเหอหลวนเล่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นเพราะว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองสามารถช่วยเหลือคนอื่นเพิ่มอีกหนึ่งเรื่อง ความรู้สึกที่ไร้ความสามารถและไม่สามารถช่วยเหลือคุณพ่อของตัวเองนั้น มันทำให้เธอทุกข์ทรมานใจมาตลอด และในวันนี้มันเกิดขึ้นกับเหอหลวนเล่อ ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองไร้ความสามารถก็มลายหายไปหมดสิ้น

ที่แท้เธอก็สามารถช่วยชีวิตคนรอบข้างเธอได้

“เธอร้องไห้……”เหอหลวนเล่อพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

เจี่ยนอี๋นั่วปาดน้ำตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เธอไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ต่อไปนี้เธอต้องระมัดระวังมากกว่านี้นะ ทางที่ดีควรหาบอดี้การ์ดสักสองสามคนค่อยปกป้องเธอด้วย”

เหอหลวนเล่อขยี้จมูก พูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น:“เธอเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้ ในชีวิตของฉันยังไม่เคยมีใครเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้มาก่อนเลย……”

เสียงอันอ่อนโยนของคุณนายเหอแทรกออกมาทันที:“หลวนเล่อ เธอคิดว่าแม่ตัวเองเสียแล้วเหรอ? หรือแม่คนนี้ไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยลูกอย่างนั้นเหรอ?”

เหอหลวนเล่อรีบร้อนเปลี่ยนคำพูด:“นอกจากคุณแม่ของฉันแล้ว เธอเป็นคนที่สองที่ห่วงใยฉันจริงๆนะ แม้แต่คุณพ่อของฉันท่านยังไม่เคยเป็นห่วงเป็นใยฉันขนาดนี้เลยนะ ดูท่าแล้วฉันเลือกคนไม่ผิดที่เลือกเธอมาเป็นเพื่อนรักของฉัน ฉันตัดสินใจแล้ว พี่เซ่าถิงฉันยอมให้เธอแล้ว ยอมให้เธอจริงๆนะ ฉันไม่คิดจะแย่งแล้ว ถึงแม้ว่าฉันยังคงรักเขาอยู่”

คำพูดของเหอหลวนเล่อ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวเบ้ปากและหัวเราะออกมา:“ขอบคุณเธอจริงๆนะ แต่ต่อไปนี้เธอต้องระมัดระวังความปลอดภัยมากกว่านี้นะ”

คุณนายเหอพูดข้างๆหูเหอหลวนเล่อ:“ก็ใช่สิ พูดกับลูกหลายรอบแล้ว ว่าต้องระมัดระวังตัว ลูกนี่ไม่เคยเชื่อฟังเลย ถึงแม้ลูกจะไม่รู้จักป้องกันระมัดระวังอันธพาลพวกนั้น แต่ลูกก็ควรจะระวังพี่สาวคนนั้นของลูกด้วย ใครจะไปรู้ว่าในใจของเธอจะคิดอะไรอยู่ ถ้าหากตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับลูก แล้วแม่จะทำอย่างไร……”

คุณนายเหอพูดไปน้ำตาก็ไหลออกมา เหอหลวนเล่อรีบปลอบใจพูดขึ้นว่า:“โอ๋ คุณแม่คะไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะ หนูเข้าใจแล้วค่ะ ต่อจากนี้ไปหนูจะระมัดระวังตัวนะคะ แบบนี้โอเคหรือยังคะ? หนูสัญญาค่ะว่าจะอยู่ข้างๆคุณแม่อย่างปลอดภัยค่ะ คุณแม่ก็ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคะ”

คุณนายเหอพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น:“เธอเข้าใจเหตุผลนี้ แปลว่าเธอโตขึ้นแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตา ฟังคำพูดสนทนาของสองแม่ลูก ก็อดไม่ไหวค่อยๆหัวเราะออกมา ได้ฟังคำพูดสนทนาของคุณนายเหอและเหอหลวนเล่อแล้ว มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วยากที่จะได้สัมผัสความอบอุ่นแบบนี้อีกแล้ว ดูจากเหตุการณ์การที่เธอช่วยเหลือเหอหลวนเล่อนั้นเธอตัดสินใจถูกต้องแล้ว มันทำให้แม่คนหนึ่งไม่ต้องเสียลูกไป เธอไม่ต้องเห็นการจากลาของคนคนในครอบครัวแบบนี้อีกแล้ว และนี่เป็นเรื่องที่มีความหมายที่สุด

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ในเมื่อเหอหลวนเล่อไม่ได้เป็นอะไรแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลรักษาตัวเองดีๆ ถึงแผลจะไม่หนักมากแต่ก็อย่าละเลย ต้องระวังการกิน อย่าให้เป็นแผลเป็นได้ล่ะ”

เหอหลวนเล่อ หัวเราะออกมา “เหอ เหอ “ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้น อี๋นั่ว ที่เธอนัดไปดื่มชาช่วงบ่ายด้วยกัน ยังถือว่านัดอยู่ไหม? ฉันยังไม่เคยไปดื่มชาช่วงบ่ายกับเพื่อนรักเลยสักครั้ง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ยังนัดอยู่สิ เพียงแค่เธอมีเวลาว่าง พวกเราก็สามารถออกไปเจอกันได้ตลอดเวลา แต่ว่าต้องรอให้แผลของเธอหายดีก่อนนะ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณแม่ของเธอ ท่านจะเป็นห่วงได้”

“อือ อือ ฉันเข้าใจแล้ว” เหอหลวนเล่อหัวเราะแล้วรีบตอบกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูดว่า“แค่นี้ก่อนนะ” แล้วก็กดวางสาย จากนั้นขับรถไปที่บริษัท เวลานี้เนื่องจากคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วเสีย ภายในบริษัทเกิดความวุ่นวายไปหมด ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเผชิญกับปัญหาภายในบริษัทเลย แต่ว่าบริษัทยังคงต้องคำนึงถึงความอยู่รอดของพนักงานบริษัทในอนาคตด้วย นึกเสียว่าเป็นความรับผิดชอบที่เธอไม่สามารถปล่อยปะละเลยได้

การปรากฏตัวเจี่ยนอี๋นั่วทำให้ภาวะคับขันของบริษัทกลับมาเป็นปกติ และคิดวางแผนหาโอกาสขายบริษัททิ้ง เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลกำไรอะไรมากมาย เพียงแค่สามารถทำให้พนักงานในบริษัทสามารถทำงานต่อไปได้ พอจัดการเรื่องภายในบริษัทเสร็จ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งฟ้าก็มืดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วไปทักทายคุณนายเหลิ่ง แล้วก็เดินกลับห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งทำงานอยู่ข้างโต๊ะหนังสือ เหลิ่งเซ่าถิงสวมแว่นตาดำ และใจจดใจจ่ออยู่กับการทำงาน และเขาก็ไม่ทันได้สังเกตว่าเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องมาแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วพิงไปที่ประตู หรี่ตายิ้มแล้วจ้องมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง

ตอนนี้เธอกำลังจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง และสามารถยืนยันได้เลยว่าคนในรูปนั้นที่อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อของเธอนั้นไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน เวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจตัวเองเลย ทำไมเวลานั้นถึงใจร้อนตัดสินใจคนในรูปนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิงและสงสัยในตัวของเหลิ่งเซ่าถิง

และถ้าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคุณพ่อของเธอ เธอคงไม่ตัดสินใจผิดง่ายๆแบบนี้

“จ้องมองอะไรอยู่?”เหลิ่งเซ่าถิงถอดแว่นออก ถามกลับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงเข้ม

“รู้สึกว่าคุณดูดีมากคะ”เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมเดินไปข้างหน้าเดินจนถึงข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือไปถอดแว่นของเหลิ่งเซ่าถิงออก ก้มลงจูบที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดพร้อมใช้สายตาที่มึนงงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ในแววตานั้นมีอารมณ์ที่เซอร์ไพรและมึนงง และเหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าจูบเขา

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงฝืนยิ้มหน่อยๆ แล้วเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองพรากจากกันนานมาก แล้วมาพบเจอกันใหม่อีกครั้ง

เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ทั้งสองคนพึ่งคิดได้ว่าถึงจะมีมาตการปกป้องอย่างไรก็คงไม่มีประโยชน์ เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบ:“ครั้งนี้เป็นความประมาทของผมเอง”

“ไม่ใช่ค่ะ เป็นความประมาทของพวกเรา”เจี่ยนอี๋นั่วกอดเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ใช่ความประมาทของเธอแต่เป็นความมาทของเราสองคน ต่อไปนี้ถ้าพวกเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้ว ฉันจะไม่สงสัยและจะเลิกลังเลไม่เชื่อในตัวของคุณอีกแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆพยักหน้า และทันใดนั้นก็ออกแรงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น รู้สึกว่าลมหายใจของเขาหายใจไม่เป็นจังหวะ ไม่ใช่เป็นเพราะความรัก แต่เป็นเพราะอารมณ์ที่รู้สึกตื่นเต้น และเหมือนกำลังจะสูญเสีย

เจี่ยนอี๋นั่วโน้มตัวไปอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมหลับตาลง เธอหลับตานอนหลับสบายเป็นพิเศษ เหมือนราวกับว่าเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยผ่านเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าอารมณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจน เขาทั้งตื่นเต้น ทั้งมีความสุข และเขาก็เก็บซ่อนความรู้สึกเศร้าไว้ใต้ก้นบึงของหัวใจ เขาจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นค่อยๆถอนหายใจเฮือกออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงกอดกันทั้งคืนจนถึงฟ้าสาง เหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกจากเตียงไป เจี่ยนอี๋นั่วถึงค่อยๆลืมตา เอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงไว้ และไปจูบริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง ใช้แรงจูบ ผ่านไปสักครู่ ก็ปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงจากไป

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็นอนต่อจนตื่นขึ้นมาเอง หลังจากที่ตื่น สมองของเธอรู้สึกปลอดโปร่งมากๆ เรื่องราวความโกลาหลมากมาย ค่อยๆชัดเจนขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วหยิบรูปภาพออกมาจากกระเป๋า หน้าคิ้วขมวด ถ้าหากต้องการรู้ว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังนั้นคือใครแล้วล่ะก็ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรเริ่มลงมือวางแผนการได้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วเอารูปถ่ายเก็บไว้ในกระเป๋าเหมือนเดิม จากนั้นก็จัดเก็บกระเป๋าอย่างลวกๆ ทำเหมือนตัวเองวุ่นวายจนไม่ได้นอนทั้งคืน เจี่ยนอี๋นั่วถือกระเป๋าหนังแล้วไปสถานีตำรวจ ติดต่อผ่านคนที่เคยรู้จัก จนเจี่ยนอี๋นั่วหาสถานที่ทำการตรวจสอบจนเจอ เธอนำรูปถ่ายให้พวกเขาช่วยตรวจสอบ รูปถ่ายเป็นของจริงไม่ได้ทำขึ้นมาแต่อย่างใด หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วทราบผลการตรวจ ด้วยท่าทางที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้วเดินออกจากสถานีตำรวจไป

ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วทายไม่ผิดแล้วล่ะก็ ข่าวที่เธอไปสถานที่ที่ตรวจสอบรูปถ่ายนั้น อีกไม่นานข่าวนี้ก็คงเผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและข่าวคงแพร่ไปยันคนที่ต้องการใช้เธอเป็นเครื่องมือแน่นอน คนๆนั้นอาจจะเป็นคนในตระกูลเหลิ่ง คนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วจะมีค่าอะไร?แต่ว่าเมื่ออยู่ในฐานะผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เธอมีมูลค่าแน่นอน

ผู้หญิงคนหนึ่งที่เกลียดชังผู้ชายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเพราะฆ่าคุณพ่อของเธอ และในเวลาเดียวกันเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงรักและเอ็นดูมากๆ

เพื่อเป็นการล้างแค้นให้กับคุณพ่อ และเธอมีแนวโน้มที่แทงเหลิ่งเซ่าถิงจนตายก็อาจเป็นได้ มีคนวางแผนต้องการให้เธอกลายเป็นมีดที่แหลมคม เธอจะฆ่าคนที่ฆ่าพ่อของเธออย่างไม่ลังเล และยังวางแผนแผนการได้แนบเนียนขนาดนี้

อีกนิดเดียวเจี่ยนอี๋นั่วก็ติดกับดักแล้ว ถ้าหากเธอไม่คุ้นเคยพอกับเหลิ่งเซ่าถิงและคุณพ่อของเธอเองแล้วล่ะก็ และถ้าหากไม่มีความเชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงเพียงพอ และไม่ดูรูปถ่ายอย่างละเอียดแล้วล่ะก็ เธอคงถูกอีกฝ่ายหลอกใช้อย่างแน่นอน

ฝ่ายตรงข้ามวางแผนได้แนบเนียนขนาดนี้ เวลานี้ก็ถึงเวลาที่ต้องจัดการเสียที ขอเพียงแค่มีใครเพียงสักคนที่เดินผ่านมา เดินถึงตรงหน้าเธอ สำหรับคนที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและต้องการจะล้างแค้นเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ขอแค่มีโอกาสได้ “ล้างแค้นให้คุณพ่อ”ก็พอแล้ว

“อ้าว นี่พี่สะใภ้ใหญ่ไม่ใช่เหรอ? ทำไมใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแบบนี้ล่ะ?”เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยุดทันที จากนั้นค่อยๆหันหลังไปมองหน้าชายที่พิงอยู่บนรถเก่าๆคันหนึ่ง การปรากฏตัวของชายคนนั้น เธอรู้สึกแปลกใจไม่น้อย และกำลังปรับอารมณ์ของตัวเองอยู่ ท่าทางของเขาดูขี้เล่นขี้อ้อนและขี้อ้อนมีเสน่ห์มาก เขาดูไม่เหมือนคนเจ้าเล่ห์เลยจริงๆ แต่ถ้าเขาเป็นผู้บงการทั้งหมดก็ไม่มีอะไรแปลก แล้วมันจะแปลกตรงไหนกัน

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก ค่อยๆยิ้มออกมา ยิ้มแล้วพูดกับชายคนนั้นว่า:“คุณเหลิ่งเซ่าถิงคะไม่พบกันนานเลยนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาอดไม่ไหวตาแดงก่ำ เธออยากจะถามเหลิ่งเซ่าถิงเกี่ยวกับการตายของคุณพ่อเธอมาก เวลานี้เธอเหลือเพียงเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกลัวมาก เธอไม่กล้าไปถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าเห็นรูปในกระเป๋าของเธอหรือไม่ เธอทำได้เพียงเอนตัวลงนอนบนเตียง และทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เธอไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น เธอไม่ได้สังเกตเห็นอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เจี่ยนอี๋นั่วเอนตัวลงบนเตียงแล้วรีบหลับตาลง แต่หลับตาลงยังไงก็นอนไม่หลับ เธอได้ยินเสียงแป้นพิมพ์ที่เหลิ่งเซ่าถิงเคาะจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินมาที่ข้างเตียง ค่อยๆสวมกอดเธอเบาๆ และกอดครั้งนี้ก็ไม่แตกต่างจากครั้งอื่นๆ แต่ว่าการที่อยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมันไม่ได้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอุ่นใจเลยสักนิด แต่กลับตรงข้ามกับความรู้สึกที่สับสนวุ่นวายมาก

แต่ว่าเธอก็ไม่ได้ผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก เจี่ยนอี๋นั่วรออย่างนั้นอยู่เงียบๆ รอเสียงหายใจของเหลิ่งเซ่าถิงหนักขึ้น และดูเหมือนว่าเขาน่าจะหลับแล้วจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยลุกขึ้น เดินตรงไปห้องน้ำ เอามือปิดปากแล้วร้องไห้ออกมา เธอไม่รู้จะแสร้งทำอย่างไรทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถ้าหากมันเป็นเรื่องอื่น เธอจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน แต่ว่าเรื่องมันเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อเธอ เธอไม่สามารถที่จะหลอกตัวเองได้ เธอไม่มีความมั่นใจที่จะเชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงได้อีก แต่กลับพนันได้เลยว่าอีกอย่างอาจจะไม่เกิดขึ้น

ถึงแม้โอกาสน้อยมากที่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนทำทั้งหมด ถ้าอย่างนั้นเธอจะไม่ยอมให้ตัวเองนอนข้างๆคนที่ฆ่าพ่อของตัวเองได้ลงคอแน่นอน

เหลิ่งเซ่าถิงนอนอยู่บนเตียงคนเดียวได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นออกมาจากห้องน้ำ เขาก็ลืมตาขึ้น เขาไม่ได้นอนหลับจริงๆ เขาหน้าคิ้วขมวดเอื้อมมือไปลูบที่ที่เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งนอนเมื่อกี้นี้ ที่ตรงนั้นยังมีไออุ่นๆของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่

แต่ว่าเมื่อไออุ่นนั้นหายไป เหลิ่งเซ่าถิงมีเพียงความเงียบเหงาอยู่เป็นเพื่อน

รอเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหยุดร้องไห้ เหลิ่งเซ่าถิงก็หลับตาลงอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วปาดน้ำตา เอนตัวลงบนเตียงแล้วหลับตาลงอีกครั้ง

พอฟ้าสาง รอเหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไป เจี่ยนอี๋นั่วค่อยตื่นและลุกขึ้น ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ต้องการทำเรื่องนี้ แต่เธอจำเป็นต้องสืบหาความจริงให้ได้ เธอทำเพื่อคุณพ่อของเธอ และเธอทำเพื่อเหลิ่งเซ่าถิงด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยิบรูปถ่ายออกมาจากกระเป๋า เธอหยิบแว่นขยายจ้องมองคุณพ่อและเหลิ่งเซ่าถิงในรูปภาพซ้ำๆ เธอส่องดูอย่างละเอียด เจี่ยนอี๋นั่วกลับพบว่ามันแปลกๆ ถึงแม้ว่าชายในรูปนั้นจะเหมือนกับเหลิ่งเซ่าถิงมากๆ แต่ว่ารูปร่างนั้นผอมกว่าเหลิ่งเซ่าถิงหน่อยนึง และที่สำคัญลมหายใจที่เข้าออก ก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกห่างเหินเหมือนกับคนแปลกหน้า

เป็นไปได้ไหมว่านี่อาจจะไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจของเธอดีใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ว่าเมื่อหลังจากดีใจได้ไม่นาน เธอก็รีบส่ายหัวไปมา พอเธอตั้งสติได้ เธอจำเป็นต้องใช้สติ เวลานี้เธอคาดหวังว่าชายในรูปถ่ายนั้นคงไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง และทำให้เกิดภาพลวงตา เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆเธอมองไปทางหน้าต่าง กำลังเห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากคฤหาสน์ เดินไปทางโรงจอดรถ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยิบมือถือขึ้นมา ถ่ายด้านข้างของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วหยิบรูปภาพและเอาภาพที่ถ่ายไว้เมื่อกี้นี้มาเปรียบเทียบดู เธอกล้าการันตีแล้วว่าชายในรูปถ่ายนั้นไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน ไม่ใช่แน่นอน ถึงแม้ว่าภาพมันจะเบลอ อีกทั้งดูได้ยากมาก แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วสามารถแยกแยะได้ว่า ชายในรูปภาพนั้นแค่มีความคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น แต่ว่ามันไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วถือรูปภาพนั้นไว้แล้วทรุดนั่งลงตรงพื้น ในใจของเธอทั้งดีใจ ทั้งรู้สึกผิด และความปีติยินดีว่าชายในภาพไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง และการตายของคุณพ่อเธอไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหลิ่งเซ่าถิงแม้แต่น้อย เธอรู้สึกผิด เธอเกือบจะใส่ความเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่ฆ่าคุณพ่อของเธอจริงๆ แค่อีกนิดเดียว การที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่คุณพ่อท่านเสีย ความเชื่อใจที่มีต่อเหลิ่งเซ่าถิงมันค่อยๆเปราะบางลง

แต่ว่าใครเป็นคนลงมือกันแน่? ทำไมถึงมีคนที่หน้าตาคล้ายคลึงกับเหลิ่งเซ่าถิงมากขนาดนี้นะ?ทำไมถึงมีคนที่จะใช้การตายของคุณพ่อมาลดความเชื่อใจที่เธอมีต่อเหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เธออยากโทรไปหาเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้เลย แต่เมื่อเอาโทรศัพท์ขึ้นมา เธอก็วางโทรศัพท์ลง แผนการที่รัดกุมขนาดนี้ ไม่ได้ต้องการให้เธอเกลียดชังเหลิ่งเซ่าถิงแค่นั้นแน่ พวกเขาต้องมีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่อย่างแน่นอนเวลานี้เธอห้ามทำตัวตื่นตระหนกตกใจ เธอจำเป็นต้องทำตามแผนของพวกเขา ถึงจะรู้ว่าคนสั่งการที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใคร และคนๆนั้น ต้องเป็นฆาตกรตัวจริงที่ฆ่าคุณพ่อของเธอ

ต้องการล่อให้ออกมา เธอนั่นแหละเป็นเหยื่อในการล่อที่ดีที่สุด!

ถ้าหากบอกเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ยอมให้เธอไปเสี่ยงแน่ และเหลิ่งเซ่าถิงจะต้องไปสืบหาและติดตามด้วยตัวเอง แต่คนที่วางแผนฆ่าพ่อของเธอ ผู้ที่นำเธอไปสู่ศัตรูของศัตรูของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วทนรอไม่ไหวที่จะไปสืบหาเอง อีกทั้งท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงก็แปลกๆ ถ้าหากไม่ใช่เขา ถ้าอย่างนั้นรูปถ่ายที่เขาเคยเห็น เขาน่าจะรู้ว่าใครที่จงใจวางแผนใส่ร้ายเขา แต่เป็นเพราะอะไรเขาถึงไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลยล่ะ? เหลิ่งเซ่าถิงคิดอะไรอยู่กันแน่?

ตอนนี้สถานการณ์วุ่นวายมาก เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถมองเรื่องต่างๆได้อย่างชัดเจน เธอเป็นทุกข์มากจนหน้าคิ้วขมวด เอามือก่ายหน้าผาก แต่เมื่อเทียบกับเมื่อวานที่เห็นรูปแวบแรกแล้ว เธอใจเย็นมากขึ้น เธอทายไม่ออกเลยจริงๆเหลิ่งเซ่าถิงต้องการทำอะไรกันแน่ เธอทำได้เพียงพยายามคิดคนที่อยู่เบื้องหลังนั้นเป็นใครกันแน่ ขั้นต่อไปยังมีแผนการอะไรอีก

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด นึกถึงเหอหลวนเล่อ เพื่อเป็นการยืนยันอีกขั้นว่าเธอสงสัยเหลิ่งเซ่าถิง คนที่สั่งการอยู่เบื้องหลังคนนั้นคงจะลงมือกับเหอหลวนเล่อก่อนแน่นอน สมมุติว่าเธอยังไม่เห็นคนที่อยู่ในรูปภาพนั้นคือ“เหลิ่งเซ่าถิง”ที่อยู่ด้วยกันกับคุณพ่อของเธอแล้วล่ะก็ ต้องฆ่าปิดปากเหอหลวนเล่อแน่ ฉะนั้นควรทำให้เธอให้ความสนใจกับรูปภาพนั้น ถ้าหากเธอเห็นคนในรูปภาพนั้นคือ“เหลิ่งเซ่าถิง ถ้าเกิดอันตรายกับเหอหลวนเล่อ ก็จะทำให้เธอสงสัยเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้น เพื่อทำให้เธอเข้าใจผิดคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นทำทุกอย่าง

ตอนนี้คนที่ควรระวังตัวมากที่สุด นั่นก็คือเหอหลวนเล่อ!

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยิบโทรศัพท์ โทรหาเหอหลวนเล่อ เธอรีบปรับอารมณ์ของตัวเอง ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม:“เหอหลวนเล่อของขวัญที่เธอมอบให้เมื่อวานนี้ ฉันดีใจมากๆ วันนี้ช่วงบ่ายฉันเลี้ยงเธอดื่มชา ไปดื่มชากันเถอะ”

เหอหลวนเล่อรีบหัวเราะทันที:“ดื่มชาช่วงบ่าย พูดจริงพูดเล่นเนี่ย? นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชวนฉันนะเนี่ย ผู้หญิงคนอื่นๆไม่มีใครสนใจฉันสักคน และฉันยังไม่เคยดื่มชากับใครเลยนะ อี๋นั่ว เธอนี่เป็นเพื่อนรักที่แสนดีของฉันจริงๆเลย เห็นเธอดีกับฉันขนาดนี้ ฉันยอมให้เธอได้อยู่ด้วยกันกับพี่เซ่าถิงนานๆหน่อยละกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เธอกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านเถอะ อย่าอยู่ข้างนอกคนเดียว ระยะนี้ฉันดูข่าว ข่าวที่ลักพาตัวเยอะมาก เธอไม่ใช่คนธรรมดา ควรมีบอดี้การ์ดติดตามสักสองสามคนนะ และยังต้องระวังรถยนต์ที่ขับผ่านไปผ่านมาด้วยนะ”

“ฮึม ฉันไม่เอาด้วยหรอก ชีวิตตัวคนเดียวมันอิสระจะตาย และอีกอย่างในรอบๆตัวฉัน…..”ทันใดนั้น สายโทรศัพท์ของเหอหลวนเล่อก็ตัดไป

เจี่ยนอี๋นั่วรีบตะโกนเสียงดัง:“หลวนเล่อ!หลวนเล่อเกิดอะไรขึ้นกับเธอ……”

จากนั้นสัญญาณก็หายไป เจี่ยนอี๋นั่งรีบกดโทรออกอีกครั้ง แต่ว่าไม่มีใครรับสายอีกเลย เจี่ยนอี๋นั่วรีบโทรติดต่อกับเพื่อนทางธุรกิจที่รู้จักในห้างสรรพสินค้า ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยรู้จักกับคนในตระกูลเหอ แต่ว่าเพื่อนทางธุรกิจของเธอน่าจะรู้จักคนในตระกูลเหออย่างแน่นอน เจี่ยนอี๋นั่วก็สืบหาเบอร์โทรของคุณนายเหอจนเจอ และรีบโทรไปหา

คุณนายเหอยังไม่ค่อยชินกับนิสัยที่ใจร้อนของเหอหลวนเล่อ เธอถามด้วยความนอบน้อม:“สวัสดีค่ะ คุณคือใครคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“คุณนายเหอคะ ฉันคือเจี่ยนอี๋นั่วค่ะ ขอโทษที่ฉันโทรหาคุณนะคะ แต่ว่าเมื่อกี้ฉันกำลังคุยโทรศัพท์กับเหอหลวนเล่ออยู่ ฉันรู้สึกว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีกับเธอ คุณนายเหอคะ รบกวนคุณช่วยสั่งคนให้ช่วยออกตามหาเธอด้วยเถอะค่ะ!”

คุณนายเหอตกใจจนทำอะไรไม่ถูก:“ถ้าอย่างนั้นฉันจะโทรหาเธอดูก่อน……”

คุณนายเหอวางสายทันที เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด ตื่นตระหนกและจับโทรศัพท์ไว้แน่น เธอไม่ได้สนิทอะไรกับเหอหลวนเล่อเท่าไหร่นัก ที่เรียกว่าเพื่อนรักนั้น มีเพียงเหอหลวนเล่อคนเดียวที่คิดเองเออเองเท่านั้น แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้เหอหลวนเล่อต้องตกเข้ามาอยู่ในวงจรนี้ ไม่ว่าคนอื่นคิดจะหลอกใช้เธอ หรือว่าคนอื่นคิดจะจัดการเธอ แต่เหอหลวนเล่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรเป็นเครื่องมือหลอกใช้ของคนอื่น และเอาชีวิตมาเสี่ยงแบบนี้

คุณนายเหอรีบโทรกลับมา ร้องไห้ฟูมฟายพูดว่า:“ฉันก็โทรหาเธอไม่ติดเลย ควรทำอย่างไรดี?”

“คุณนายเหอรีบแจ้งให้คุณผู้ชายและคนในครอบครัว และรีบโทรแจ้งตำรวจ สามารถค้นหาตำแหน่งจากโทรศัพท์ของเธอ และรถของเธอมีติดตั้งGPSไหมคะ?มีบอดี้การ์ดติดตามด้วยไหมคะ?ต้องหาตัวเธอให้พบโดยเร็ว!”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เร่งรีบ

คุณนายเหอรีบตอบกลับ:“ได้ๆ ฉันจะไปแจ้งให้คนในครอบครัวทราบเดี๋ยวนี้”

เมื่อได้ยินคุณนายเหอกดวางสายแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถรอต่อไปได้ เธอรีบเดินออกจากคฤหาสน์เหลิ่ง ขับรถออกไปตามหาตามถนน เธอหาไปเรื่อย ๆอย่างไร้ซึ่งจุดหมาย และอารมณ์แบบนี้มันคล้ายกับตอนที่เธอกำลังตามหาคุณพ่อเธอ เธอรู้สึกกลัวมาก กลัวว่าเป็นเพราะเธอจะทำให้สูญเสียอีกหนึ่งชีวิต ถ้าหากว่ามีคนวางแผนแผนการนี้ไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว เพียงเพราะต้องการวางแผนใช้เธอและหลอกใช้เธอ ถ้าอย่างนั้นการที่คุณพ่อของเธอตายเป็นเพราะว่าเธอเป็นต้นเหตุล่ะ

จะให้เธอมาตายเพิ่มอีกคนไม่ได้นะ?

เจี่ยนอี๋นั่วขับรถวนหาประมาณสองถึงสามชั่วโมง คุณนายเหอถึงโทรศัพท์กลับมา เจี่ยนอี๋นั่วเอารถจอดชิดข้างทาง มองดูโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด ในขณะนั้นเธอไม่กล้าที่จะรับสาย เธอไม่อยากได้ยินข่าวร้ายอีกแล้ว

ลังเลไปสักพักใหญ่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะรับสาย ถามด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า:“ฮาโหล คุณนายเหอคะ เหอหลวนเล่อเธอ……”

“หาเหอหลวนเล่อเจอแล้ว เธอถูกรถพุ่งชนจนรถเกิดเป็นรอยนิดหน่อย ไม่ได้เป็นอะไรมาก”คุณนายเหอหัวเราะพูดว่า:“ยังดีที่เป็นแผลแค่นิดเดียว ขอบคุณเธอมากๆนะ ที่เป็นห่วงเป็นใยหลวนเล่อ”

ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ถูกเหอหลวนเล่อแย่งไป เธอหัวเราะพูดขึ้นว่า:“อี๋นั่ว เธอไม่รู้หรอกว่าฉันร้ายกาจขนาดไหน ฉันหันหลังหลบก็หลบพ้นแล้ว แต่ว่ารถคันนั้นเหมือนคนบ้าจริงๆเลย พุ่งมาโดยไม่ทันตั้งตัว ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอโทรหาฉัน พอฉันยืนทรงตัวได้ มองดูบริเวณรอบๆ ฉันเกือบจะโดนชนแล้วล่ะ!”

“ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว……”เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวน้ำตาก็ไหลออกมา

ยังดี……ยังดีที่ยังมีชีวิตอยู่!ยังไม่ตาย เป็นเรื่องที่โชคดีมากจริงๆ!

เจี่ยนอี๋นั่วสั่นไปทั้งตัว เธอหยิบรูปถ่ายใบนั้นไว้ในมือ และควบคุมให้มือหยุดสั่นไม่ได้ เธอจับรูปถ่ายใบนั้นไว้แน่น เสียงบ่นของเหอหลวนเล่อก็ดังไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วเอามือแตะที่หน้าผาก สมองว่างเปล่า

คนสองคนในรูปภาพนั้น คนหนึ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดเธอมาก และอีกคนหนี่งเป็นคุณพ่อของเธอ ถึงแม้ว่าอีกคนหนึ่งจะมองเห็นแค่ด้านข้างและภาพมันจะเบลอมาก แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็จำได้ทันทีว่านั้นคือ เหลิ่งเซ่าถิง เธอเคยลูบใบหน้าของเขานับครั้งไม่ถ้วน และจูบที่ริมฝีปากของเขาหลายต่อหลายครั้ง

ถึงแม้ทั้งสองคนที่ปรากฏอยู่ในรูปภาพนั้นจะเล็กมาก แต่ถ้าหากไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดแล้ว ก็จะดูไม่ออกแน่นอน ถ้าไม่ใช่คนใกล้ชิดของพวกเขาก็คงยากที่จะดูออกว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วสามารถดูออก เลือดในร่างกายของเธอดูเหมือนจะแข็งตัว และตอนที่รู้ว่าคุณพ่อของเธอเสีย เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกปวดใจมาก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น

ในเวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วหวังไว้เมื่อได้ข่าวว่าคุณพ่อท่านเสีย เธอคิดอยากตายตามไปด้วย จะได้ไม่ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องที่ไม่อยากเผชิญอยู่ในตอนนี้

จะเป็นไปได้อย่างไร?ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงอยู่กับคุณพ่อก่อนที่คุณพ่อจะหายตัวไป? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับเธอเลย? หรือการตายของคุณพ่อมันจะเกี่ยวข้องกับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ?

ในหัวของเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกำลังจะระเบิด เธอไม่อยากเชื่อเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นความจริง และเธอไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงข้อเท็จจริง ว่าความจริงมันเป็นอย่างไรกันแน่

“อี๋นั่ว เธอเป็นอะไรไป? เธอไม่สบายหรือเปล่า?”เหอหลวนเล่อเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยน้ำเสียงที่เบา

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้สึกตัว รีบเอาภาพนั้นซ่อนไว้ในมือ พยายามฝืนยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่มี ไม่มีอะไรจ๊ะ แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย อาจเป็นเพราะว่าพึ่งลงจากเครื่องไม่นาน เลยรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย”

“อ้าวเหรอ ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไม่สามารถพูดคุยกับฉันต่อได้แล้วสินะ?”เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวดทันที บ่นด้วยน้ำเสียงพึมพำ

“ขอโทษนะ” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันคิดว่าฉันควรพักผ่อนสักหน่อย”

เหอหลวนเล่อพยักหน้า:“ได้สิ ฉันจะเอาคำพูดของเธอ ไปเล่าให้คุณแม่ฉันฟังนะ ลองดูว่าคุณแม่ฉันจะมีความคิดเห็นอย่างไร ถ้าหากเลือกผู้ชายที่สามารถช่วยเหลือฉันในยามคับขันแบบนี้ได้ ฉันรู้สึกว่า……”

เหอหลวนเล่อหรี่ตาพร้อมหัวเราะออกมา:“ฉันรู้สึกว่าพี่เซ่าถิงกับฉันเราเหมาะสมกับมาก”

“เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เด็ดขาด ต่อไปเธออย่ารักเขาอีก!เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ที่เธอห้ามเหอหลวนเล่อให้เลิกรักเหลิ่งเซ่าถิง เหตุผลไม่ใช่เป็นเพราะว่าเธออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง ดังนั้นไม่อยากให้เหอหลวนเล่อรักเหลิ่งเซ่าถิง เหตุผลคือเพราะเหลิ่งเซ่าถิงมีความเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อเธอนั่นเอง ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้อยากคิดไปในทางที่ไม่ดี แต่ก็ไม่อาจห้ามไม่ให้สงสัยเหลิ่งเซ่าถิงได้ การที่เหอหลวนเล่อรักเหลิ่งเซ่าถิง มันอาจจะไม่ใช่เรื่องดีต่อเหอหลวนเล่อ

เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงโมโห ฮึม:“ใจแคบจริงๆเลยนะ พึ่งจะอยู่กับพี่เซ่าถิงได้ไม่นาน ก็หวังจะคิดครอบครองพี่เซ่าถิงไว้คนเดียวแล้ว แต่ว่า ฉันเห็นแก่ความสำคัญที่เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันมากกว่า ฉันไม่ยอมแพ้ที่จะเลิกรักพี่เซ่าถิงง่ายๆหรอก แต่ว่าจากนี้ไปฉันจะไม่พูดเรื่องแบบนี้ต่อหน้าเธออีกแล้ว เธอเหนื่อยมากแล้ว ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะ และถ้าฉันอยู่ต่ออีกเดี๋ยวคุณแม่ของฉันรู้เข้า จะหาว่าฉันเป็นเพื่อนกับศัตรูอีก!”

เหอหลวนเล่อพูดถึงนี่ ก็หันหลังกำลังเตรียมเก็บรูปภาพที่อยู่บนเตียง

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขวางเหอหลวนเล่อ:“เธอเอารูปภาพเก็บไว้นี้เถอะ รูปเหล่านี้ถ่ายได้ดีมาก ฉันอยากจะชื่นชมรูปภาพเหล่านี้ และนี่มันก็คือความตั้งใจของเธอ ถือซะว่าเป็นของขวัญที่เธอมอบให้กับฉันแล้วกันนะ ดีไหม?”

เหอหลวนเล่อฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็รีบเม้มริมฝีปากหัวเราะออกมาทันที:“เธออยากได้มันจริงๆเหรอ? ถือว่าเธอยังมีมโนธรรมอยู่ มิน่าล่ะเธอถึงถูกฉันเลือกให้เป็นเพื่อนรักของฉัน เธออยากได้ก็เก็บไว้เถอะ ถือซะว่าเป็นของขวัญชิ้นแรกที่ฉันมอบให้กับเธอ เป็นเพื่อนรักกับเหอหลวนเล่ออย่างฉันแล้ว ฉันไม่ยอมให้เธอขาดทุนหรอกนะ!”

เหอหลวนเล่อหรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา ดีใจราวกับว่าตัวเองได้รับของขวัญเสียเอง เมื่อเหอหลวนเล่อเดินออกจากห้องด้วยท่าทางที่มีความสุข เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงกุมรูปภาพไว้แน่น ใช้แรงหลับตาลง เธอควรจะทำอย่างไร?ควรจะถามเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่ เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจริงๆ ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองไปทางหน้าต่าง เงยหน้ามองท้องฟ้า แสงพระอาทิตย์สอดส่องผ่านหน้าต่างส่องบนร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่รู้สึกอบอุ่นเลยสักนิด

เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามองไปทางหน้าต่าง คุณนายเหลิ่งก็จ้องมองไปเหลิ่งเซ่าถิงที่มองไปทางหน้าต่าง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิง ลูกได้ฟังในสิ่งที่ย่าพูดไหม?ระยะนี้เกิดเรื่องไร้สาระขึ้นมากเกินไปแล้วนะ ทำไมถึงยอมทิ้งงานในบริษัทแล้วไปต่างประเทศกับเจี่ยนอี๋นั่ว? ลูกรู้ไหมว่าหลายวันที่ลูกไม่อยู่ ภายในบริษัทเกิดเรื่องวุ่นวายขนาดไหน? เจี่ยนอี๋นั่วก็แปลกเหลือเกิน แค่เสียคุณพ่อไปจำเป็นต้องเสียเงินมากมายอย่างไร้ประโยชน์ในการไปตามหา อีกทั้งยังทำให้ลูกเสียเวลาตั้งหลายวัน พ่อของเธอก็ไม่เหมือนคนปกติทั่วไปแล้ว จะมีค่าอะไรอีก? ในเมื่อหายตัวไปแล้ว งั้นก็ให้หายไปตลอดกาลเลย ถึงจะหากลับมาได้มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ก่อนหน้านี้ย่าคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีความคิดเป็นคนมีเหตุผล ตอนนี้กลับมาคิดเป็นเรื่องที่ไม่มีเหตุผลมาก”

“เป็นคนจำเป็นต้องมีมูลค่า ถึงจะถูกคนใส่ใจอย่างงั้นเหรอครับ?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยน้ำเสียงที่เบา:” ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนนั้น มองเพียงแค่อีกฝ่ายมีค่าสำหรับการใช้งานหรือไม่เท่านั้นเหรอครับ?”

“นี่ลูกหมายความว่าอย่างไร? ลูกกำลังตั้งคำถามกับย่าอย่างนั้นเหรอ? นี่ลูกอย่าถูกเจี่ยนอี๋นั่วสอนให้เป็นคนไม่มีเหตุผล” คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวด ลุกยืนขึ้น:“คุณย่าครับ ผมรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อนก่อนนะครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็รีบยืนขึ้นและเดินไปถึงหน้าประตูห้อง คุณนายเหลิ่งรีบลุกขึ้นทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิงคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วลูกเป็นคนลงมือฆ่าเองใช่ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดชะงัก หันหน้าไปมองทางคุณนายเหลิ่ง ถามด้วยน้ำเสียงเข้ม:“คุณย่าครับ ทำไมคุณย่าถึงถามแบบนี้ด้วยครับ?”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ความรู้สึกมันบอกเหมือนกับลูกจะเป็นคนทำเรื่องนี้ พวกเราสามารถดูออกว่าการตายของคุณพ่อของเธอมันแปลกๆ และคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ น่าจะเป็นเซ่าถิงลูกนั่นเองใช่ไหม และดูตามพฤติกรรมที่ลูกแสดงความรักต่อเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เมื่อคุณพ่อของเธอตายแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็จะเป็นของลูกเพียงคนเดียว”

“เธอไม่ใช่สิ่งของ และไม่ใช่ของใครทั้งนั้น”เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหน้าคุณนายเหลิ่ง พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งทันที

หลังจากที่เดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินกลับห้องของตัวเอง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วยังคงนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเช่นเดิม มีเพียงแต่รูปภาพที่เหอหลวนเล่อให้ไว้ ถูกเจี่ยนอี๋นั่วเก็บไว้เรียบร้อยแล้วเธอได้ยินเสียงประตูห้องถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วหดตัวสักครู่แล้วก็รีบลุกยืนขึ้น เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง พูดน้ำเสียงสั่นเครือ:“คุณ……คุณกลับมาแล้วเหรอคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขาถอดเสื้อคลุมออกไปด้วย พร้อมถามน้ำเสียงเข้มไปด้วย:“คุณเป็นอย่างไรบ้าง? ได้ข่าวมีคนมารบกวนคุณ?”

เจี่ยนอี๋นั่วฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า:“ไม่ได้มารบกวนฉัน เหอหลวนเล่อเป็นคนที่ร่าเริง และเราเข้ากันได้ดีมาก และเธอทำให้ฉันมีความสุขมากๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมรู้จักเหอหลวนเล่อมาก็หลายปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีคนเข้ากับเธอได้ คาดไม่ถึงจริงๆเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ถึงแม้ว่าเธอจะหยิ่งยโส แต่ว่าเธอเป็นคนที่ค่อนข้างไร้เดียงสา และฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนที่……”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วอยากพูดว่าเหอหลวนเล่อเป็นผู้หญิงที่ไม่เลวคนหนึ่ง แต่ว่าทันใดนั้นเธอก็ไม่กล้าใช้วิจารณญาณของตัวเองไปคิดแทนเหอหลวนเล่ออีก เธอมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการตัดสินของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตัวเองสามารถดูนิสัยของคนๆหนึ่งออกจริงๆหรือไม่ ตั้งแต่เฉิงซานซาน ฉู่หมิงเซวียนจนถึงเหอหลวนเล่อ และเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ารู้จักพวกเขาจริงๆหรือเปล่า

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ถามด้วยความสงสัย:“คุณเป็นอะไรไป?ทำไมพูดได้แค่ครึ่งหนึ่งก็ไม่พูดต่อแล้วล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก หัวเราะพร้อมพยักหน้า:“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่รู้สึกว่าฉันคงไม่ได้รู้จักเธอจริงๆ ความสามารถของฉันในการมองคนๆหนึ่งว่าเป็นคนอย่างไรนั้นมันแย่มากค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะไม่เจอคนอย่าง…..อย่างฉู่หมิงเซวียนหรอกค่ะ”

“เรื่องที่มันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ”เหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่ว:“เรื่องมันผ่านไปหมดแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วก็เอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถึงเช่นกัน และพูดด้วยน้ำเสียงเบาวาา:“ฉันก็หวังว่า เรื่องราวทั้งหมดนี้จะผ่านไปด้วยดีแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่ ทันใดนั้นก็นึกถึงคนในรูปภาพนั้นขึ้นมา เธอรีบผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก แล้วเธอก็รีบร้อนทำท่าปัดผมของตัวเอง ตื่นตกใจพูดขึ้นว่า:“ฉัน……ฉันไปอาบน้ำก่อนนะคะ ฉันรู้สึกเหนื่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพร้อมพยักหน้า จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องน้ำไป เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเก็บรอยยิ้ม แล้วเขาก็เดินไปข้างๆเตียง เปิดดูกระเป๋าของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเห็นรูปถ่ายมากมายกองอยู่ในกระเป๋า ในกองรูปภาพเหล่านั้น มีรูปถ่ายใบหนึ่งที่ค่อนข้างสะดุดตา รูปถ่ายใบนั้นมีรอยอย่างชัดเจน สามารถดูออกเลยว่ารอยที่เกิดขึ้นนั้นตกใจมากขนาดไหน และใช้แรงขยำรูปแรงขนาดไหน

ในรูปถ่ายนั้น มีเงาคนสองคนเล็กๆปรากฏอยู่ในรูป คนหนึ่งคือคุณพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วเจี่ยนฉางรุ่น และอีกคนคือใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง สถานที่ในรูปภาพนั้นก็คือสถานที่ที่เจี่ยนฉางรุ่นโดนฆ่าตาย และสถานที่นั่นไม่ควรเป็นสถานที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงปรากฏตัว

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองรูปภาพใบนั้น ค่อยๆทำหน้าขมวดคิ้ว จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็วางรูปใบนั้น ใส่คืนกระเป๋าหนังของเจี่ยนอี๋นั่ว และในขณะที่กำลังปิดกระเป๋านั้น เหลิ่งเซ่าถิงครุ่นคิดสักครู่ ค่อยเอารูปภาพใบนั้นแง้มออกมานอกกระเป๋านิดหนึ่ง แล้วค่อยเดินไปข้างๆโต๊ะ

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องน้ำ รู้สึกไม่สามารถควบคุมอารมณ์ให้เย็นลงได้ เธอกำลังลังเลว่าควรจะถามเหลิ่งเซ่าถิงๆตรงๆหรือไม่ ถ้าหากเป็นเรื่องอื่นๆ เธอจะถามตรงๆอย่างไม่คิดลังเลเลยสักนิด แต่นี่มันเกี่ยวข้องกับการตายของคุณพ่อเธอ และถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนลงมือ ถ้าอย่างนั้นก็คงแหวกหญ้าให้งูตื่นล่ะสิ?

เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเชื่อตัวเอง และไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง แม้แต่ตัวเธอเอง เธอยังไม่เชื่อเลย นับประสาอะไรกับการที่จะไปเชื่อเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะ เวลานี้ก็ไม่รู้ควรจะเริ่มต้นพูดอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงดี เธอก็เลยเดินไปข้างเตียง พึ่งจะเดินถึงข้างเตียง เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นรูปถ่ายใบนั้นโผล่ออกมาจากกระเป๋านิดหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วยืนตัวแข็ง ก่อนที่เธอจะไปอาบน้ำ รูปถ่ายถูกเก็บไว้ในกระเป๋าอย่างดี ผ่านไปไม่นานทำไมสภาพมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้นะ

ใครกันที่มาค้นกระเป๋าของเธอ?หรือว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเห็นรูปในกระเป๋านี้แล้ว?

พยาบาลพิเศษตอบกลับอย่างไว:“ฉันไม่กล้าพูดโกหกกับคุณหนูเจี่ยนแน่นอนค่ะ คุณหนูมีอะไรหรือเปล่าคะ?หรือเป็นเพราะฉันพูดอะไรผิดหรือเปล่าคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดพยักหน้า พูดด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ :“ไม่มีค่ะ คุณไม่ได้พูดอะไรผิดไปค่ะ ฉันแค่ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกุมมือและบีบเข้าหากันด้วยความประหม่าเล็กๆ พูดคำซ้ำๆว่า:“ฉัน……ฉันต้องขอบคุณคุณมากจริงๆค่ะ”

“คุณหนูเจี่ยนคะ คุณเป็นอะไรไปคะ?”พยาบาลพิเศษถามด้วยน้ำเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไม่มีอะไรคะ วันนี้ก็แค่รู้สึกเหนื่อยนิดหน่อยแค่นั้นเอง”

“ถ้าอย่างนั้นคุณหนูเจี่ยนรีบพักผ่อนเถอะค่ะ ดิฉันขอวางสายก่อนนะคะ เมื่อดิฉันถึงต่างประเทศเมื่อไหร่ ดิฉันจะส่งเบอร์โทรศัพท์ให้คุณหนูทันทีนะคะ ถ้าหากคุณอยากจะถามอะไร ก็สามารถติดต่อกับดิฉันได้ตลอดค่ะ ถ้าหากดิฉันรู้เรื่องอะไรดิฉันจะบอกคุณหนูอย่างละเอียดแน่นอนค่ะ”พยาบาลพิเศษกล่าวด้วยความจริงใจ

เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังคำพูดของพยาบาลพิเศษก็คิ้วขมวดพยักหน้าตอบรับ:“รบกวนคุณแล้วนะคะ”

เมื่อได้ยินเสียงปลายสายกดวางสาย เจี่ยนอี๋นั่วยังคงถือมือถือไว้และหน้าคิ้วขมวด นั่งเหม่ออยู่บนเตียง จนมีคนรับใช้มาเคาะเรียกอยู่หน้าประตูห้องเบาๆ:“คุณหญิงคะ คุณหนูเหอมาหาคุณค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดครุ่นคิดสักครู่ ค่อยๆนึกออกว่าคนที่คนรับใช้พูดถึงคุณหนูเหอนั้นเป็นใคร มีความเป็นไปได้ว่าอาจจะเป็นเหอหลวนเล่อคนที่เคยอ้างว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเธอ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วอารมณ์หงุดหงิดและเบื่อหน่ายมาก จึงไม่มีอยากคุยกับเหอหลวนเล่อเลย เธอทำหน้าคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ตอบกลับเธอด้วยว่า ฉันไม่อยาก ……”

“เธอไม่อยากเห็นหน้าฉันเหรอ?”ทันใดนั้นเสียงของเหอหลวนเล่อตะโกนเสียงดังจากด้านนอกห้อง:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธออยู่ด้วยกันกับพี่เซ่าถิงของฉันแล้ว ฉันยังไม่คิดที่จะเลิกคบกับเธอก่อนเลย นี่เธอกล้าไม่สนใจฉันเหรอ เธอทำแบบนี้มันเกินไปไหม!”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหอหลวนเล่อแล้ว รีบลุกขึ้นเดินไปที่ประตูห้อง เปิดประตูห้องออก ก็เห็นเหอหลวนเล่อยืนอยู่หน้าประตูห้อง เจี่ยนอี๋นั่วหันไปคุยกับคนรับใช้ว่า:“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

ตามกฎระเบียนของตระกูลเหลิ่ง เหอหลวนเล่อยังไม่ได้รับอนุญาตก็ถือวิสาสะขึ้นมาชั้นบนคฤหาสน์แล้วยังมายืนอยู่ตรงหน้าห้องของเธอและเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างไรกัน?

คนรับใช้รีบตอบกลับอย่างมีมารยาทว่า:“เป็นเพราะคุณชายรองสั่งให้ดิฉันพาคุณหนูขึ้นมาค่ะ”

เหลิ่งหมิงอันอีกแล้ว!

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดและในใจคิดสาปแช่งเหลิ่งหมิงอันอยู่ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองไปทางเหอหลวนเล่อ :“ขอโทษนะคะ คุณหนูเหอ เวลานี้ฉันไม่มีอารมณ์ต้อนรับใครทั้งนั้น เวลานี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากแล้ว ……”

“ฮึม ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอมาต้อนรับฉัน และฉันดูแลตัวเองได้”เหอหลวนเล่อพูดไปด้วยพร้อมเดินเข้าห้องไปด้วย

เหอหลวนเล่อเดินเข้าไปในห้อง เหลือบมองเตียงในห้องก็ตาร้อนผ่าวด้วยความอิจฉา“ฉันได้ยินมาว่าเธอและพี่เซ่าถิงออกไปเที่ยวด้วยกันหลายวัน ฉันคิดว่าเธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉัน แต่ผลสุดท้ายเธอกลับมาแย่งผู้ชายที่ฉันรักที่สุดไป เธอทำเกินไปแล้วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเหอหลวนเล่อ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณหนูเหอคะ คุณหนูเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่าคะ ฉันไม่เคยเป็นเพื่อนรักกับคุณหนูค่ะ และฉันก็ไม่ได้แย่งเหลิ่งเซ่าถิงไป และเขาก็ไม่ได้เป็นของใครทั้งนั้น ”

“เรื่องมันก็ชัดเจนอยู่แล้วว่าเธอเป็นฝ่ายผิด นี่เธอยังกล้ามาโมโหใส่ฉันอีกนะ!”เหอหลวนเล่อตะโกนเสียงดัง ฮึม:“ที่ฉันมาที่นี่ เป็นเพราะต้องการรักษามิตรภาพระหว่างเรา แต่เธอกลับไม่มีเยื่อใยเลย!”

“คุณหนูเหอคะ ฉันต้องขอบคุณคุณหนูเหอมากๆคะที่ลดตัวมาเป็นเพื่อนกับฉัน แต่ว่าเราไม่เหมาะกับการเป็นเพื่อนจริงๆค่ะ ถ้าหากคุณหนูเหอรู้สึกว่าฉันไร้มารยาท ถ้าอย่างนั้นฉันก็หมดหนทางค่ะ ตอนนี้ฉันมีเรื่องที่ต้องทำเยอะมาก และไม่มีเวลามาเล่นบทเพื่อนที่แสนดีกับคุณหนูหรอกนะคะ ”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยหน้าตาคิ้วขมวด

เหอหลวนเล่อเม้มริมฝีปาก ตาแดงก่ำพูดว่า:“เจี่ยนอี๋นั่วเธอรู้ไหมว่าเธอทำเกินไปแล้ว!ก่อนหน้านี้ฉันได้ข่าวที่เธอนอนค้างคืนกับพี่เซ่าถิง ฉันรู้ตั้งนานแล้ว เดิมทีฉันตั้งใจว่าจะไม่สนใจเธออีกแล้ว เพราะไม่ว่าผู้หญิงคนไหนก็ตามที่แย่งพี่เซ่าถิงของฉันไป ล้วนเป็นศัตรูกับฉัน แต่ว่าหลังจากนั้นฉันได้ข่าวว่าคุณพ่อของเธอหายตัวไปและถูกลักพาตัว และฉันก็ทนไม่ไหวเลยช่วยออกตามหาอีกแรง ไม่ใช่เพราะต้องการอะไร เป็นเพราะเธอเป็นเพื่อนรักคนแรกของฉัน คนอื่นเกลียดชังฉัน แต่เธอกลับช่วยเหลือฉัน คุณพ่อของเธอหายตัวไป ฉันแค่รู้สึกว่าฉันจะอยู่เฉยไม่ได้ ถึงแม้เวลานั้นฉันตัดสินใจจะเลิกคบกับเธอแล้ว เมื่อฉันได้ข่าวว่าสถานที่ที่คุณพ่อของเธอหายตัวไปมีคนชอบไปถ่ายรูปแถวนั้นบ่อยๆ และฉันยังสงสัยว่าในขณะที่มีคนถ่ายรูปอยู่นั้น อาจมีคนเห็นคุณพ่อของเธอก็ได้ ฉันใส่ส้นสูงวิ่งเพื่อไปหาข่าวที่ชมรมถ่ายภาพโดยเฉพาะ ตอนนี้ได้ข่าวว่าเธอกลับมาแล้ว ถึงแม้ในหัวใจของฉันจะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องที่เธอออกไปเที่ยวกับพี่เซ่าถิง แต่ว่าฉันก็ยังเป็นห่วงเธอ และตั้งใจมาดูเธอจริงๆ แต่ผลสุดท้ายเธอกลับไม่สนใจฉัน !””

เหอหลวนเล่อพูดพร้อมร้องไห้ออกมาก เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหอหลวนเล่อร้องไห้ไม่หยุด อิจฉาเหอหลวนเล่อจากก้นบึ้งหัวใจ ถ้าเธอเหมือนกับเหอหลวนเล่อที่ไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านทุกข์นั้นมันคงจะดีไม่น้อย ถึงแม้ในบางครั้งเธอจะทำตัวหยิ่งผยองและน่ารำคาญ และเพียงเพราะคำว่า“เพื่อนรัก”ก็ทำให้ร้องไห้เสียใจขนาดนี้ และสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว มันยากที่จะทำตัวไร้เดียงสาแบบนี้แล้ว

“ขอโทษนะ”เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวคำขอโทษด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ฉันไม่รู้ว่าเธอจะทำเพื่อฉันขนาดนี้ เดิมทีฉันคิดว่าเธอคิดจะมาแก้แค้นเอาคืนฉันเท่านั้น สาเหตุเป็นเพราะว่าฉันอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง”

“แก้แค้นเอาคืนเธอเหรอ”เหอหลวนเล่อเอามือปาดน้ำตาไปด้วย ร้องไห้ไปด้วยพร้อมพูดว่า:“แต่ฉันก็มาดูเธอแล้วนะ และที่ฉันมาหาเธอไม่ได้แปลว่าฉันจะยอมให้เธออยู่ด้วยกันกับพี่เซ่าถิงหรอกนะ เธอและพี่เซ่าถิงยังไม่ได้จัดงานแต่งงานซะหน่อย และก็ยังไม่ได้ประกาศให้ใครรู้ สำหรับที่นี่พวกเราไม่ถือว่าเป็นการแต่งงานอย่างเป็นทางการหรอกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบผ้าขนหนูออกมาจากห้องน้ำผืนหนึ่ง ยื่นให้กับเหอหลวนเล่อ:“เช็คน้ำตาให้แห้งเถอะ”

เหอหลวนเล่อมองที่ผ้าขนหนู รีบหรี่ตาถามด้วยอาการที่เซอร์ไพรส์ว่า:“นี่เป็นผ้าขนหนูของพี่เซ่าถิงเหรอ?”

“ไม่ใช่ นี่เป็นผ้าขนหนูผืนใหม่ ”เจี่ยนอี๋นั่วจะหยิบผ้าขนหนูส่วนตัวของเหลิ่งเซ่าถิงให้กับเหอหลวนเล่อได้อย่างไรกัน?

เหอหลวนเล่อรีบก้มหัวลงด้วยหน้าตาเซ็งๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูที่มือของเจี่ยนอี่นั่ว เม้มปากพูดขึ้นว่า:“เธอครอบครองพี่เซ่าถิงไว้คนเดียว และในตอนนี้แม้แต่ผ้าขนหนูของเขาก็ไม่ยอมให้เพื่อนรักอย่างฉันใช้ ใจแคบจริงๆเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหอหลวนเล่ออย่างเซ็งๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ระหว่างเพื่อนรักแล้ว สิ่งเดียวที่แบ่งปันไม่ได้นั้น ก็คือผู้ชาย”

เหอหลวนเล่อเงยหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว:“ถ้าอย่างนั้นเธอก็ยอมรับแล้วสิว่าพวกเราเป็นเพื่อนรักกันแล้ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้จะตอบกลับว่าอย่างไรดี ประสบการณ์ โลกทัศน์ ค่านิยมและมุมมองเกี่ยวกับชีวิตของเธอกับเหอหลวนเล่อมันแตกต่างกันมากเกินไป และในสายตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่มองเหอหลวนเล่อนั้น ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ร้องไห้เพื่อเอาของเล่นที่ไม่ได้เป็นของเธอเอง สำหรับคนแบบนี้เป็นเรื่องยากมากที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดจะเป็นเพื่อนด้วย และนับประสาอะไรกับการเป็น "เพื่อนที่ดีที่สุด" ล่ะ

และอีกทั้งเธอเคยถูกเฉิงซานซานและฉู่หมิงเซวียนหักหลัง เธอรู้สึกกลัวมากจริงๆกับคำว่า"เพื่อนรัก"

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ตอบกลับ เหอหลวนเล่อก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง เหอหลวนเล่อหยิบรูปถ่ายจำนวนมากออกมาจากกระเป๋าเงินของเธอร้องไห้แล้วพูดว่า:“เธอไม่เชื่อใช่ไหมว่าฉันเคยไปช่วยตามหาคุณพ่อของเธอ?ฉันเคยไปตามหาจริงๆนะ นี้คือรูปถ่ายทั้งหมดที่ฉันขอมาจากชมรมถ่ายภาพ กลุ่มชายชราเหล่านั้นซ่อนอยู่ในภูเขาเพื่อถ่ายภาพนก และเศษรูปภาพเหล่านี้พวกเขาทำเหมือนราวกับว่าเป็นของล้ำค่ายังไงยังงั้น รูปภาพเหล่านี้ฉันเสียเงินถึงได้มานะ นี่เป็นรูปภาพทั้งหมดที่ฉันเอามาจากพวกเขา สุดท้ายพึ่งจะซื้อกลับมา ก็บอกว่าคุณพ่อของคุณ……อันที่จริงแล้วไม่ได้มีเพียงแค่รูปภาพเหล่านี้ ฉันยังเดินตามหาตลอดทาง และไม่รู้ว่าคุณพ่อของเธอมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร แล้วฉันก็ค้นหารูปคุณพ่อของเธฮจากอินเตอร์เน็ตแล้วปริ้นออกมา ……”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวจ้องมองรูปถ่ายที่เหอหลวนเล่อเอาออกมา หัวเราะพร้อมพยักหน้า:“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อเธอนะ เพียงเพราะว่าฉันรู้สึกว่าฉันต่ำต้อยเกินไปกับคำว่า เพื่อนรัก”

“เป็นเพื่อนกันได้สิ คุณแม่ของฉันได้ข่าวว่าวันนั้นเธอเป็นคนช่วยเหลือฉัน ยังให้ฉันติดต่อกับเธอมากขึ้นเลย คุณแม่ท่านจะพูดว่าฉันไม่ค่อยฉลาดและไม่มีไหวพริบ มักจะถูกคนอื่นทำร้ายได้ง่ายๆ อยากให้ฉันเรียนรู้กับเธอเยอะๆ จะได้รับมือกับพี่สาวคนนั้นได้ เธอคงไม่รู้สินะว่าพี่สาวของฉันคนนั้นเธอทำเกินไปขนาดไหน เธอก็คือลูกสาวนอกสมรสของคุณพ่อฉัน และสุดท้ายเอาความสามารถของตัวเองทำให้คุณพ่อเห็นคุณค่า แล้วยังกล้าทำหน้าทำตาใส่ฉัน และกลั่นแกล้งฉันตลอดมา เห็นได้ชัดว่าฉันไม่เคยทำอะไรให้เธอเลย ก็สร้างเรื่องเอาไปฟ้องคุณพ่อ……”เหอหลวนเล่อเริ่มบ่นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นภายในตระกูลที่ร่ำรวยของพวกเขา

ปัญหาที่เกิดขึ้นในแต่ละตระกูลก็คงแตกต่างกันไม่มากหรอก แต่ส่วนมากปัญหาที่เกิดขึ้นมักจะเกิดจากพี่น้องแย่งชิงมรดกกันภายในตระกูล ระหว่างสามีภรรยา และลูกนอกสมรส สำหรับในตระกูลเหอหลวนเล่อแล้วคนที่ไม่เอาไหนที่สุดน่าเป็นเธอนั่นแหละ ทำให้คนที่มีความสามารถอย่างลูกนอกสมรสได้รับความเชื่อใจและไว้ใจจากคุณพ่อ

“คุณพ่อของเธอไม่เชื่อใจและไว้ใจเธอ เป็นเพราะว่าเธอไม่มีความสามารถ คุณพ่อท่านมีลูกสาวแค่สองคน แน่นอนว่าท่านต้องเลือกคนที่มีความสามารถเป็นทายาทที่สืบทอดตระกูลได้ ไม่ว่าจะด้วยอารมณ์ส่วนตัวหรือการคำนึงถึงเรื่องในอนาคต พ่อของเธอก็จะเข้าข้างพี่สาวของเธอมากกว่าแน่นอนอยู่แล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองรูปภาพที่เหอหลวนเล่อให้เธอไปด้วย และพูดไปด้วยว่า:“ถึงแม้ว่าคุณพ่อเธอจะรู้ความจริงว่าพี่สาวของเธอเล่นงานเธอ เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้”

ถึงแม้ว่าเหอหลวนเล่อกำลังบ่นรูปภาพเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดองค์ประกอบภาพหรือมุมการถ่ายภาพ แต่ก็ถือว่าเป็นภาพที่ถ่ายออกมาไม่เลว และที่สำคัญภาพถ่ายเหล่านี้เกี่ยวข้องกับคุณพ่อของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะมองมันซ้ำๆหลายๆรอบ

เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวดร้องไห้พูดขึ้นว่า:“ถ้าอย่างนั้นควรจะทำอย่างไรดี?คุณพ่อและคุณแม่ของฉันสร้างเนื้อสร้างตัวเริ่มต้นจากศูนย์และสองมือเปล่า ตอนนี้คุณปู่และคุณย่าของฉันก็ไม่มีอำนาจอะไรแล้ว และคุณพ่อของฉันก็เข้าข้างแต่พี่สาว นี่ฉันจะต้องยกมรดกทั้งหมดให้พี่สาวที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนอย่างนั้นเหรอ? คุณแม่ของฉันก็เอาแต่สั่งให้ฉันไปทะเลาะกับพี่สาว แต่เมื่อฉันเริ่มทะเลาะ เธอก็ลงมือวางแผนทำร้ายฉันก่อนเสมอ และทำให้คุณพ่อยิ่งรังเกียจฉัน ฉันก็เหลือเพียงสิ่งเดียวนั่นก็คือ การรักพี่เซ่าถิง และสามารถทำให้ฉันรู้สึกอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นฉันคงรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ต่อไปก็คงไม่มีความหมายจริงๆ”

“เก็บแรงทั้งหมดในการไล่ตามเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเอาแรงทั้งหมดไปลงที่บริษัทดีกว่านะ บริษัทต้าสิงไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงแค่บริษัทเดียวแล้วนะ แน่นอนว่าคุณพ่อของเธอจะต้องทอดทิ้งเธอ เธอก็เลยไปลงกับคนอื่น คุณลุงคุณป้าของเธอก็ไม่ชอบขี้หน้าพี่สาวของเธอใช่ไหม เธอก็ร่วมมือกับพวกเขาสิ และทำให้คุณพ่อยอมรับความสามารถของเธอให้ได้ แต่ถ้าหากความสามารถเธอไม่ถึง และเธออยากเอาชนะแล้วยังอยากได้รับมรดกของตระกูล เธอก็สามารถเลือกการแต่งงาน หาคนมาช่วยเหลือเธอได้ เลือกผู้ชายคนหนึ่งที่ดีต่อเธอ และสามารถช่วยเหลือเธอให้พ้นจากปัญหานี้ได้”เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ ทันใดนั้นก็หยุดจ้องไปที่รูปถ่ายใบหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองไปที่มุมเล็กๆบนรูปภาพใบนั้น แล้วลุกยืนขึ้น เดินไปที่แสงพระอาทิตย์ ภายใต้แสงแดดจ้า เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆดูอย่างละเอียดว่ามุมเล็กๆบนรูปภาพนั้นมันคืออะไร ความหนาวเย็นแผ่กระจายไปทั่วร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วทันที

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิงในทันที เธอขมวดคิ้วแน่น เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่เหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเขาก็หมุนตัวและเดินตามคุณนายเหลิ่งไป เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงและเม้มริมฝีปาก

สุยเฉิงจิ้งเช็ดน้ำตาจากมุมตาของเธอและเดินผ่านไปตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่มีท่าทีของความคุ้นเคยเมื่อครู่ ราวกับว่าเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตา เธอหมุนตัวกลับ เดินขึ้นบันได กลับไปที่ห้องของเธอและเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าที่จะคิดอะไรทั้งนั้น เมื่อกลับถึงห้องเธอก็เอนกายลงบนเตียงและหลับตาลง แตกต่างจากแสงแดดอันอบอุ่นบนเกาะที่จะตกลงมาในห้องเมื่อใดก็ได้ เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงในระยะหนึ่ง เธอก็รู้สึกหนาวสั่น

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นหดตัวเป็นลูกบอลและหดตัวลงในผ้าห่ม ภายในใจคิดว่าอีกไม่นานเหลิ่งเซ่าถิงจะกลับมาอยู่ข้างกายเธอ ไม่นานนัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินคนเคาะประตู เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและรีบวิ่งลงจากเตียง เธอเปิดประตูพร้อมรอยยิ้มและกล่าว "ทำไมนานจัง? ฉันคิดถึงคุณมาก.."

เธอพูดยังไม่ทันจบ รอยยิ้มบนใบหน้าเจี่ยนอี๋นั่วก็แข็งทื่อ คนด้านนอกประตูนั้นไม่ใช่เหลิ่งเซ่าถิง แต่เป็นเหลิ่งหมิงอัน รอยยิ้มแต่เดิมของเหลิ่งหมิงอัน เมื่อได้เห็นรอยยิ้มที่แข็งทื่อบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ค่อยๆหุบยิ้มลง

เหลิ่งหมิงอันก้าวไปข้างหน้าและเข้าใกล้อี๋นั่ว เขายิ้มเยาะและถาม "ทำไม กำลังรอพี่ใหญ่อยู่เหรอ? คาดไม่ถึงว่าเป็นผมที่มาหาคุณใช่ไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพยายามปิดประตู "ขอโทษด้วย ฉันเหนื่อยมาก ฉันต้องการพักผ่อน"

เหลิ่งหมิงอันยกมือขึ้นเพื่อปิดกั้นประตูห้องของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาจ้องมองรอยจูบบนต้นคอของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วและพูดด้วยเสียงต่ำ "ไม่กี่วันนี้ คุณและเหลิ่งเซ่าถิงใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลยสินะ เจี่ยนอี๋นั่ว ผมชื่นชมคุณมากจริงๆ พ่อเพิ่งตายก็ออกไปเที่ยวกับผู้ชาย ผู้หญิงอะไรกัน? มันดูมากเกินไปหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก "นี่มันเรื่องของฉัน ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ ฉันทำอะไร ฉันก็ไม่ต้องรอคำอนุญาติจากคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวและพยายามปิดประตูอีกครั้ง เหลิ่งหมิงอันก้าวไปข้างหน้าและจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาลดเสียงลงและถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา "คุณกับเหลิ่งเซ่าถิงทำอะไรกัน? คุณเป็นคนที่เริ่มจูบเขาก่อนสินะ? พูดได้หรือเปล่าว่าคุณต้องการเขา? คุณกล้าที่จะทำและพูดในสิ่งที่ผู้หญิงคนอื่นรู้สึกเขินอายและไม่กล้าทำ ในเรื่องการอ่อยผู้ชาย คุณนี่มีทักษะเลยทีเดียว"

"ปล่อยฉัน!" เจี่ยนอี๋นั่วพยายามที่จะสลัดมือของเหลิ่งหมิงอันที่จับเธอไว้แน่น

อย่างไรก็ตาม เหลิ่งหมิงอันไม่ยอมปล่อย เขาขมวดคิ้วและจ้องไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว หน้าอกของเขานั้นขยับอย่างรวดเร็ว เขาจับมือของอี่๋นั่วและค่อยๆใช้แรงเพิ่มมากขึ้น ความขุ่นเคืองในดวงตาของเขาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วราวกับว่าเขากำลังมองไปที่ภรรยาที่ไม่ซื่อสัตย์

ท่าทางแบบนั้นทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอึดอัดมาก ทำไมเหลิ่งหมิงอันถึงมองเธอแบบนี้? พวกเขาไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลย

"ผมเคยพูดแล้ว ในเรื่องที่คุณและเหลิ่งเซ่าถิงทำด้วยกัน คุณก็ต้องทำกับผมสักครั้ง ผมตั้งตารอคอยวันที่คุณจะเชิญผมไปนอนด้วย" ขมวดคิ้วและกล่าวอย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องไปที่เหลิ่งหมิงอัน "ฉันไม่มีวันทำเรื่องแบบนั้นแน่ ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง คุณให้ความเคารพฉันด้วย"

"ไม่เคยจัดงานแต่งงาน ภรรยาที่แม้แต่คนในครอบครัวเหลิ่งไม่ยอมรับ? เขาขอคุณแต่งงานเหรอ? คุณไปฮันนีมูนกันที่ไหน? คุณเคยกล่าวคำปฏิญาณการแต่งงานเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "ไม่เคยทำสักอย่าง จะเรียกว่าแต่งงานได้อย่างอะไร? ก็แค่เล่มจดทะเบียนงั้นสิ? หรือว่าคุณนายเหลิ่ง เธอทำให้พวกคุณ แบบนี้ก็เรียกคู่สามีภรรยาแล้วงั้นสิ?"

เจี่ยนอี๋นั่วลดสายตาลงด้วยความรู้สึกผิด เสียงของเธอเบาลงเล็กน้อย "นั่นคือเรื่องของฉันและเหลิ่งเซ่าถิง มันไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณ"

เหลิ่งหมิงอันหรี่สายตาจ้องมองอี๋นั่ว เขาถามด้วยรอยยิ้ม "อืม เรื่องนี้ผมไม่เกี่ยว อย่างไรก็ตามคุณเป็นคนที่แม้แต่ผู้ต้องสงสัยในคดีฆ่าพ่อ คุณก็สามารถคบหาได้ คนใจร้ายและเลือดเย็นเช่นนี้ ผมจะไปเกี่ยวข้องสนใจอะไรกับคุณ?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดอย่างเย็นชา "ฉันเคยคบกับฉู่หมิงเซวียน แต่…"

"ฉู่หมิงเซวียน?" เหลิ่งหมิงอันยิ้มพร้อมกับก้าวเท้าถอยหลัง "ผมกำลังพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิง! เจี่ยนอี๋นั่ว คุณไม่คิดว่าทุกอย่างบังเอิญเกินไปหรือ? คุณคบหากับเหลิ่งเซ่าถิง ฉู่หมิงเซวียนจับตัวพ่อคุณไปแล้วก็ฆ่าพ่อของคุณ? คุณน่าจะรู้จักฉู่หมิงเซวียนดีกว่าเรา เขาเป็นคนที่ฆ่าคนด้วยแรงแค้นเหรอ? หากว่าเขาต้องการฆ่าพ่อคุณจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่ลงมือไปตั้งนานแล้วล่ะ? ทำไมเขาต้องเดือดร้อนมากมายเพื่อเอาบริษัทในมือของคุณ เขาอยากได้เงิน อยากได้ชื่อเสียง คนที่เห็นคุณค่าของชื่อเสียงและโชคลาภ คนที่เพิ่งซื้ออสังหาริมทรัพย์ในต่างประเทศ คงไม่คิดอยากทำเรื่องที่หันหลังกลับไม่ได้แบบนี้หรอก"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเสียงต่ำ "คุณอย่ามาทำให้ฉันและเซ่าถิงแตกแยก…"

"ยุให้แตกแยกหรือเปล่า ภายในใจของเธอนั้นรู้ดี หรือว่าคุณไม่เคยแม้แต่คิดสงสัยเขา? ไม่ได้คิดเลยสักนิดว่าเรื่องราวมันเกิดขึ้นอย่างน่าสงสัย?"

เหลิ่งหมิงอันกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "เอาเถอะอย่างไรก็ตามผมจะบอกคุณไว้อย่างหนึ่ง แพทย์ที่ได้ทำการตรวจชันสูตรศพพ่อคุณหายตัวไปและถูกซ่อน ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ข้างกายคุณ สังเกตุหรือเปล่าว่าเขาอารมณ์ไม่แน่ไม่นอนนัก"

ร่างกายอี๋นั่วแข็งทื่อ เธอจ้องมองไปยังเหลิ่งหมิงอัน เธอกัดฟันและกล่าวอย่างดื้อดึง "ฉันไม่เชื่อในสิ่งที่คุณพูด"

"เป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์จริงๆ คุณช่างเชื่อใจเขามาก" เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความปรารถนา "จู่ๆผมก็อยากได้คุณมาไว้ในครอบครองเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่อยากได้ร่างกายเท่านั้น ผมยังต้องการความรู้สึกของคุณอีกด้วย ผมสามารถจ่ายได้ในทุกอย่างเพื่อให้คุณอยู่กับผม อย่างที่คุณเป็นอยู่ตอนนี้ เชื่อผมอย่างสุดใจได้หรือไม่?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่นและกล่าวอย่างเย็นชา "ฉันไม่ได้คิดจะคบหากับคุณแม้แต่น้อย"

เหลิ่งหมิงอันยิ้มและกล่าว "ยังจำครั้งที่แล้วได้หรือเปล่า เรื่องที่ผมบอกคุณไป? คุณยังไม่ไปถามเหลิ่งเซ่าถิงสินะ? คุณไม่ลองไปถามเขาดูล่ะ? ดูว่าเขาจะสามารถให้คำตอบที่น่าพอใจแก่คุณได้หรือเปล่า"

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงสิ่งที่เหลิ่งหมิงพูดกับเธออันก่อนหน้านี้ ก่อนที่พ่อของเธอจะเกิดอุบัติเหตุ ทันใดนั้นมือของเธอก็ประสานกันทันที ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันตั้งตัว ริมฝีปากของเธอก็อุ่นขึ้นมาในทันที เหลิ่งหมิงอันพุ่งเข้ามาจูบเธออย่างรวดเร็วจากนั้นก็ผละออกไป

"จูบคิดบัญชีไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตามหากว่าคุณคบกับผม จูบแบบนี้จะไม่น้อยแน่ๆ" เหลิ่งหมิงอันกล่าวพร้อมรอยยิ้มจากนั้นเขาก็ก้าวเท้าถอยหลังและจากไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและยืนอยู่ตรงนั้นถูมุมปากของเธออย่างสุดแรง หลังจากที่เธอปิดประตูลง ภายในห้องก็เหลือเพียงอี๋นั่วคนเดียว เธอคิดกลับไปกลับมา เธอรู้ว่าคำพูดของเหลิ่งหมิงอันนั้นไม่น่าเชื่อถือ มีโอกาสมากที่จะทำให้เธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแตกร้าว แต่ความเป็นจริงแล้วเธอเองก็รู้สึกว่าการตายของพ่อเธอนั้นก็มีเรื่องราวที่น่าแปลกใจ ไม่ว่าจะเรื่องตำรวจหรือว่าท่าทีพฤติกรรมของฉู่หมิงเซวียน มีบางอย่างผิดปกติ

แล้วก็ที่ศูนย์รักษาตัว ไม่ใช่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ส่งคนไปคอยเฝ้าดูหรือ? หากว่าไม่ได้รับคำอนุญาติจากเธอหรือว่าเซ่าถิงแล้วก็ไม่มีใครสามารถไปเยี่ยมพ่อของเธอได้ คนของเหลิ่งเซ่าถิงจะประมาทได้อย่างไร? จะให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปพาตัวพ่อออกมาได้อย่างไรและยังโทรหาเธอแค่เพียงสายเดียว?

จากนั้นก็ฉู่หมิงเซวียน แม้ว่าเขาจะได้รับการช่วยเหลือจากหวังเหมี่ยน แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะซ่อนตัวอยู่ในเมืองนี้โดยปราศจากความช่วยเหลือจากผู้อื่น เขาหนีการไล่ล่าของของตระกูลเหลิ่งและตำรวจได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้เขาเป็นผู้บริหารบริษัท เขาจะหนีและหลบซ่อนตัวเก่งกาจจากไหน หากว่าไม่มีใครคอยคุ้มกันเขา?

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการที่พ่อของเธอเสียชีวิต ทำให้เธอไม่กล้าเผชิญกับสิ่งเหล่านี้อีก แม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันมีบางอย่างที่ผิดแปลก แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็มักจะหนีออกจากเรื่องนี้

แต่ตอนนี้เมื่ออารมณ์ของเจี่ยนอี๋นั่วฟื้นตัวขึ้น ความลับที่ถูกเก็บไว้ก็ค่อยๆกระตุ้นความคิดของเธอ ไม่ใช่ว่าเพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำของเหลิ่งหมิงอันทำให้เธอสงสัยในตัวเหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่ใช่เพราะว่าความสัมพันธ์ของเธอและเซ่าถิง ทำให้เธอหลีกหนีจากเรื่องนี้และไม่คอยตามเรื่อง พ่อของเธอนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เธอไม่อยากรู้ด้วยซ้ำว่าพ่อของเธอเสียชีวิตอย่างไรในตอนท้าย

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้ดังนี้ เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นและกดไปยังหมายเลขโทรศัพท์ นั่นคือหมายเลขโทรศัพท์ของผู้ดูแลเจี่ยนฉางรุ่น โทรศัพท์ถูกเชื่อมต่อ ผู้ดูแลถามอย่างไม่คาดคิด "คุณ..คุณเจี่ยน คุณโทรหาฉันทำไม?"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเบาๆ "เปล่าหรอก แค่นึกได้ว่าคุณเป็นคนที่คอยดูแลพ่อของฉันมานาน ฉันยังไม่ได้กล่าวขอบคุณคุณเลย ก่อนหน้านี้พ่อของฉันจากไปอย่างกะทันหันจนฉันไม่สามารถรับได้ อันที่จริงคุณได้ดูแลเขาอยู่เคียงข้างเขา ฉันอยากจะมอบเงินหนึ่งแสนหยวนให้คุณเพื่อเป็นการขอบคุณ"

ผู้ดูแลกล่าวอย่างรวดเร็ว "ไม่ต้องหรอก คุณเจี่ยน ประธานเหลิ่งได้มอบเงินไว้ให้ฉันมากแล้ว ฉันจะไปรับเงินคุณอีกได้อย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่น "เหลิ่งเซ่าถิงเหรอ? เขาให้เงินจำนวนหนึ่งกับคุณหรือ?"

พยาบาลตอบทันทีว่า "ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาส่งคนมาให้เงินจำนวนหนึ่งกับฉัน ให้น้องสาวของฉันไปเรียนที่ต่างประเทษ คุณเจี่ยน ถ้าหากว่าคุณไม่โทรมาหาฉัน ฉันอาจจะไปต่างประเทศแล้ว ฉันติดต่อสถานที่ต่างๆเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงต่างประเทษ ฉันก็ยังทำหน้าที่ผู้ดูแลต่อไป น้องสาวของฉันก็สามารถเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีได้เช่นกัน"

"หากว่าฉันไม่โทรหาคุณ คุณจะได้ไปต่างประเทศแล้ว?" เจี่ยนอี่นั่วถามซ้ำ

ผู้ดูแลตอบกลับมาว่า "ใช่แล้ว คุณเจี่ยน คุณและประธานเหลิ่งช่างเป็นคนดีมาก ประธานเหลิ่งนั้นมองแล้วอาจดูเป็นคนที่เย็นชาและน่ากลัว แต่จริงๆแล้วเขานั้นเป็นห่วงคุณเจี่ยนมาก วันนั้นที่คุณเจี่ยนเกิดเรื่อง ประธานเหลิ่งก็มาเยี่ยมเขาเช่นกัน ตอนนี้ที่แรกเขาดูเย็นชามาก แต่หลังจากนั้นเขาก็ดูมีท่าทีที่อ่อนโยนมากขึ้นทำให้เราไม่กังวลจนมากเกินไป หากว่าคนตระกูลเจี่ยนมาเยี่ยมคุณเจี่ยน ไม่ต้องห้าม…"

ผู้ดูแลเงียบไปในทันทีและกล่าวเบาๆ "ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจปัดความรับผิดชอบ ประธานเหลิ่งเองก็พูดคล้ายๆกันในตอนนั้น เขากล่าวว่าหากคนในตระกูลเจี่ยนมาเยี่ยมคุณเจี่ยนบ้างก็ไม่ต้องไปห้ามเขา แล้วก็บอกอีกว่าช่วงนี้คุณงานยุ่งไม่ให้เราเข้าไปวุ่นวาย ไม่งั้นฉันก็คงไม่ให้คุณเจี่ยนออกไปกับน้องสาวของคุณและโทรหาคุณเพียงสายเดียวหรอก คุณไม่รับ ฉันก็เลยไม่กล้าโทรหาอีก ฉันกลัวว่าฉันจะไปวุ่นวายกับงานของคุณ"

สมองของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นดังกึกก้อง เธอกล่าวเสียงเบา "ที่คุณพูด..คุณพูดจริงหรือเปล่า?"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลงไปแช่น้ำพุร้อน เธอก็แอบตรงมุมเล็กๆ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเดินลงมาในบ่อน้ำพุร้อน เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆเข้าไปหาเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงหันไปมองเธอพร้อมกับยิ้มและกล่าวว่า "คุณขยับเข้ามาอีกก็ได้"

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปยังข้างกายของเซ่าถิงทันที เธอกระพริบตาและมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับกล่าวเบาๆ "ฉันขยับมาแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอยกมือขึ้นไปกดที่แขนของเหลิ่งเซ่าถิง เธอบีบอยู่สองสามครั้ง เธอหน้าแดงและกล่าว "เป็นอย่างไรบ้าง? ให้นวดตรงไหน?"

เหลิ่งเซ่าถิงโน้มตัวไปและจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว "คุณต้องใช้แรงให้มากกว่านี้"

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นคล้องคอของเหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยรอยยิ้ม "ไม่ได้ ฉันไม่มีแรงแล้ว ฉันปวดนิ้วมาก บีบต่อไม่ได้ จู่ๆฉันก็ไม่สามารถนวดให้คุณได้แล้ว.."

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่สายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว "คุณนี่ช่างกลับไปกลับมา พูดแล้วก็ไม่ยอมทำตามคำพูด ไม่กลัวผมโมโหหรือไง?"

"ไม่กลัว…" เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น เธอกระซิบข้างหูเซ่าถิง "ฉันคิดดีแล้ว ฉันไม่นวดให้คุณแล้ว แต่ฉันสามารถใช้ร่างกายทดแทนได้"

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขากอดอี๋นั่วและถามด้วยรอยยิ้ม "ร่างกายทดแทน? ทดแทนอย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น เธอจูบที่มุมปากของเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "ก็ทดแทนแบบนี้…"

จากนั้นอี๋นั่วก็ยืดขาออกมาและเกี่ยวเอวเหลิ่งเซ่าถิง เธอกล่าวเสียงเบาและทำท่าทีออดอ้อนพร้อมกับกระพริบตาใส่เซ่าถิง "แล้วก็ยังมีการชดเชยแบบนี้…"

ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมืดมน เขาโน้มตัวเข้าหาอี๋นั่วและกล่าวเสียงดุดัน "อย่าร้องไห้เพราะความเจ็บปวดในครั้งนี้แล้วกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างประหม่า เธอพยักหน้าช้าๆและตอบ "อืม…"

เมื่อสิ้นเสียง อี๋นั่วก็หดตัวลงในอ้อมแขนของเหลิ่งเซ่าถิง เธอร้องไห้อย่างน่าสงสาร เหลิ่งเซ่าถิงเช็ดน้ำตาให้กับเธออย่างช่วยไม่ได้ เขาพูดและยิ้ม "ครั้งนี้คุณจงใจยั่วยุผม แล้วทำไมยังร้องไห้?"

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าและพิงไหล่ในอ้อมแขนของเซ่าถิง เธอกล่าวอย่างงอแง "ฉันแค่อยากร้องไห้"

"เป็นเพราะว่าเจ็บเหรอ?" เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยเสียงแหบพร่า

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและส่ายหน้า แม้ว่าในครั้งนี้เธอยังคงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่มันเป็นเพราะความเขินอายมากกว่า เธอคบหากับเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงนั้นแคร์เธอใส่ใจเธอมากกว่าเก่า ทำให้เธอมีความสุขมากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงและกระซิบเบาๆ "เป็นเพราะว่าฉันรู้สึกดีมาก เรื่องระหว่างชายและหญิงนั้นฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อน เมื่อฉันได้ยินเกี่ยวกับสตรีผู้สูงศักดิ์ ก็รู้สึกว่าใครบางคนมีความสุขเพียงเล็กน้อย เธอหนีตามคนป่า ละทิ้งครอบครัวและสถานะ มันช่างดูเป็นเรื่องที่เกินจริงๆ แต่ตอนนี้ฉันพบเจอแล้วและฉันก็พอจะเข้าใจ"

"ผมเป็นคนป่าของคุณหรือ?" เหลิ่งเซ่าถิงถามและยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากยิ้มและพูดว่า "อื้อ ก็คนป่าของฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงคว้าอี๋นั่วไว้และถาม "คุณจะหนีตามผมไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและตอบ "ไม่ใช่ว่าฉันวิ่งตามคุณตั้งนานแล้วหรอกเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มและก้มศีรษะลงมอบจุมพิตให้แก่อี๋นั่ว "นี่นับว่าเป็นคำชมหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและคล้องคอเหลิ่งเซ่าถิง "นี่คือคำชมเชยที่หาที่สุดไม่ได้ของเจี่ยนอี๋นั่ว"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหมุนตัวกลับและใช้ร่างกายกดทับอี๋นั่วไว้ "ผมดีใจมาก ดังนั้นผมควรให้รางวัลแก่คุณด้วยหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งเซ่าถิง "รางวัลอะไร?"

เหลิ่งเซ่าถิงโน้มตัวไปจูบริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "ก็อีกครั้งไง"

เจี่ยนอี๋นั่วสะดุ้งและส่ายหน้าอย่างตื่นตระหนก "นี่..นี่เหมือนกับว่าไม่ใช่รางวัลเลย"

"ใช่สิ…." เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวเบาๆและจุมพิตเธออีกครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเดินลงจากเตียง เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยืนอยู่ตรงระเบียง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปหาเขาและยื่นมือออกไปเพื่อกอดเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงหันศีรษะมามองอี๋นั่ว เขากล่าว "คุณไม่เหนื่อยเหรอ? ทำไมรีบตื่น?"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก พยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม "เหนื่อยนิดหน่อย แต่อยากพบหน้าคุณ"

เหลิ่งเซ่าถิงหมุนตัวกลับมากอดอี๋นั่วไว้ เขาก้มศีรษะและจูบเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วตอบรับจูบของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆมอบจุมพิตอย่างช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นและผลักเขาออกไป "คุณเป็นอะไรไป?"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ให้ผมได้กอดคุณอีกครั้ง"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกล่าว เขาก็ก้มหน้าลงและจูบเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงจูบของเหลิ่งเซ่าถิงที่มีอาการสั่นเทาเล็กน้อย อี๋นั่วอดไม่ได้เธอยกมือขึ้นและผลักเขาอีกครั้ง แม้ว่าเธอจะรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่เธอก็ยังกอดเหลิ่งเซ่าถิงไว้พร้อมกับหลับตาลง

หรือว่าที่ตระกูลเหลิ่งเกิดเรื่องอะไรขึ้น? จึงทำให้เหลิ่งเซ่าถิงกระวนกระวาย? หรือว่าไม่อยากให้พวกเขามีลูกกันงั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามถามอยู่หลายครา แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ปิดปากเงียบ จากนั้นอี๋นั่วจึงยอมแพ้และหยุดถาม

หลังจากวันหยุดพักผ่อนผ่านไปไม่กี่วัน เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่รู้สึกเหนื่อยเลย เธอได้ละทิ้งและปล่อยความเศร้าโศกไปแล้ว เธอจึงผ่อนคลายขึ้นมาก ในขณะที่ขึ้นเครื่องบินเจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปมองเกาะอย่างเสียดาย เหลิ่งเซ่าถิงจับมือเธอไว้ เธอจึงหันหน้ากลับมาและเดินขึ้นเครื่องบินจากนั้นก็ออกจากเกาะ

"ฉันควรหยิบทรายมาเป็นของที่ระลึก" ในขณะที่เครื่องบินลงจอด เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงบ่นพึมพำ

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขายิ้มและกล่าว "ถ้าคุณต้องการจริงๆ ผมจะให้คนส่งไปรษณีย์มาให้"

"มันไม่เหมือนกัน" เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ฉันไม่ได้เก็บของ ความหมายมันไม่เหมือนกัน เราควรเก็บด้วยตัวเองจากนั้นก็เอามาใส่ขวดแล้วก็เอากลับมา นี่สิถึงจะมีความหมาย แต่ช่างเถอะ เรายังมีครั้งหน้า"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้ม เขามองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและพยักหน้า "ใช่ เรายังมีครั้งหน้า"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิงที่มีน้ำเสียงจริงจัง เธออดไม่ได้ที่จะถามเขา "ทำไมคุณ…"

ก่อนที่คำถามจะถูกถาม ทันใดนั้นเสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น "ประธานเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งให้ผมมารับคุณกลับคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเหลิ่ง"

เมื่อได้ยินคำว่า คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเหลิ่ง การแสดงออกบนใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงก็มืดมนลงในทันที เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น ความทรงจำที่โชคร้ายและเหตุการณ์ในอดีตที่ยากจะทนไหวก็หวนคืนกลับมาที่เจี่ยนอี๋นั่วเมื่อเธอได้ยินคำว่า คฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเหลิ่ง วันหยุดพักผ่อนบนเกาะที่เป็นเหมือนความฝันก็สลายไปในพริบตา

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธอและบีบมือของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อได้ยิน เหลิ่งเซ่าถิงก็พยักหน้าและตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา "อืม พวกเราจะกลับไป"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงขึ้นรถแล้วพวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไร มีเพียงมือทั้งสองที่จับกันแน่น เมื่อถึงคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเหลิ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกหดหู่และหายใจไม่ค่อยออก เธอต้องสูดลมหายใจลึกๆจากนั้นจึงค่อยลงจากรถ

เมื่อเข้าประตูคฤหาสน์ใหญ่ คุณนายเหลิ่งและสุยเฉิงจิ้งก็ได้ยืนรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว ทันทีที่เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว คุณนายเหลิ่งก็รีบก้าวเท้ามาด้านหน้าพร้อมกับแสดงท่าทีเป็นกังวล เธอดูโศกเศร้าและกล่าวกับอี๋นั่ว "ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าสงสาร พบเจอกับเรื่องที่น่าเศร้าเช่นนี้ได้อย่างไร เมื่อฉันได้ข่าว ฉันนั้นตกใจแทบแย่ ไม่อยากจะเชื่อเลย ผู้ชายคนนั้นช่างเลวร้าย"

สุยเฉิงจิ้งก็น้ำตาไหลและกล่าว "ใช่ ทำไมถึงร้ายกาจได้ขนาดนั้น? ไม่ใช่ว่าพ่อของเธอนั้นไม่มีสติไปแล้วหรือ? ไม่สามารถทำอะไรได้…และสติไม่ค่อยเต็ม ทำไมถึงได้ลงมือลงไม้กับคนพิการแบบนั้น ดังนั้น เด็กสาวเวลาคบกับผู้ชายต้องระวังให้ดี ฉู่หมิงเซวียนนั้นโหดเหี้ยมมาก ถ้าหากว่าไม่ใช่ว่าเธอและเขากำลังคบกันอยู่ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?"

คุณนายเหลิ่งหันหน้ามาทันทีและตำหนิ "คุณนายรอง พูดแบบนั้นได้อย่างไร?"

สุยเฉิงจิ้งถอนหายใจในทันที ทำท่าทีราวกับว่าเธอเพิ่งค้นพบว่าตนเองนั้นกล่าวไม่ถูกต้อง "จริงด้วย ฉันพูดผิดไป ฉันนั้นรู้สึกเศร้าเสียใจและตกใจมาก คาดไม่ถึงเลยว่าตระกูลเจี่ยนมีเรื่องน่าเศร้าเกิดขึ้น อี๋นั่ว เธออย่าไปสนใจเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองไปยังคุณนายเหลิ่งและสุยเฉิงจิ้ง ถ้าพวกเขาเป็นภรรยาของคนธรรมดา เจี่ยนอี๋นั่วอาจยังคงเชื่อว่าน้ำตาของพวกเธอเป็นเรื่องจริง แต่พวกเธอเป็นคนของตระกูลเหลิ่ง เรื่องราวแบบนี้พวกเธอเจอมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทำมาแล้วกี่หนต่อกี่หน จะมาร้องไห้ด้วยความจริงใจในเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร?

แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยิ้มให้กับพวกเธอและกล่าว "ฉันไม่ได้คิดอะไรเลย ฉันรู้ว่าอาสะใภ้รองนั้นดีกับฉัน"

คุณนายเหลิ่งสัมผัสเบาๆบนหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น "ช่างเป็นเด็กดีที่เข้าใจสถานการณ์ เธอเองก็เหนื่อยแล้ว ขึ้นไปพักผ่อนชั้นบนเถอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ขอบคุณ คุณย่า"

ทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วหมุนตัวกลับมา คุณนายเหลิ่งก็ลดเสียงลงทันทีและพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง "เซ่าถิง มากับฉัน! ฉันมีธุระจะคุยด้วย!"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้เจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นเขาก็กอดอี๋นั่วไว้ในอ้อมแขน เจี่ยนอี๋นั่วก็กอดเหลิ่งเซ่าถิง หากเป็นเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เดิมทีอี๋นั่วไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงที่ดูแล้วแสนจะเย็นชากลับกลายเป็นคนที่ให้ความอบอุ่นและการปลอบโยนแก่เธอให้ช่วงเวลาที่เธอยากลำบากมากที่สุด

ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอหลุดพ้นจากความเศร้าโศก ชีวิตที่วุ่นวายของเธอกลับมามีทิศทางอีกครั้ง เธอต้องการทำงานอย่างหนักเพื่อก้าวเดินไปพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง เธออยากมีลูกสักสองคนกับเหลิ่งเซ่าถิง ชายหนึ่งคน หญิงหนึ่งคน ในช่วงหยุดสุดสัปดาห์เธอก็จะพาลูกๆไปเที่ยว บอกพวกเขาว่า ปู่ย่าตายายของพวกเขาเป็นอย่างไร จากนั้นความทรงจำคนรุ่นก่อนจะดำเนินต่อไปอย่างช้าๆ พ่อและแม่ของเธอก็คงจะอยู่ข้างกายเธอในอีกรูปแบบหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอกอดเซ่าถิงพร้อมกับหัวเราะเบาๆ "ฉันดีขึ้นมากแล้ว ดีขึ้นมากจริงๆ"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เขาก้มหน้าลงจ้องมองไปที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและเช็ดน้ำตาจากหางตาของเจี่ยนอี๋นั่ว เขากล่าวว่า "ผมบอกแล้วว่าคุณเข้มแข็ง"

"นั่นเป็นเพราะฉันมีคุณอยู่ข้างกาย ฉันจึงได้เข้มแข็งขนาดนี้ ถ้าหากว่าไม่มีคุณ ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะอยู่รอดต่อไปได้หรือเปล่า" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเบาๆพร้อมรอยยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามีอุปสรรคมากมายในชีวิต เมื่อเธอไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ เธอก็คิดว่าอยากจะลงนรกไปพร้อมๆกับฮุ่ยฮุ่ย ทั้งสองคนตายไปพร้อมกันและฝังศพไปพร้อมกับพ่อ แต่ตอนนี้เธอผ่านมันมาได้แล้ว เมื่อเธอมองเห็นเป้าหมายใหม่ในชีวิต เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าความคิดของเธอในตอนนั้นช่างน่ากลัวเสียเหลือเกิน

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มมุมปากของเขาและพูด "หากว่าผมไม่อยู่ข้างกายคุณ คุณก็ต้องเข้มแข็ง"

"ทำไมล่ะ?" เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นและขมวดคิ้วแน่น "พวกเรายังมีโอกาสแยกจากกันเหรอ? คุณไม่ต้องการฉันแล้วเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและส่ายหน้าแต่เขากลับไม่พูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วเขย่งเท้าขึ้นจากนั้นเธอก็มอบจูบเบาๆให้กับเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มและกล่าวว่า "การอยู่กับคุณในอนาคตเป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิตของฉัน ฉันติดกับคุณเข้าแล้ว คุณไม่สามารถที่จะทิ้งฉันไปได้!"

หลังจากอี๋นั่วพูดจบเธอก็จับมือของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเดินไปที่ชายหาดเพื่อนั่งริมทะเล ลมทะเลกระทบเข้ากับใบหน้าของอี๋นั่ว อี๋นั่วหลับตาลงอย่างสบายๆและพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่พูดอะไร เขานิ่งเงียบตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วที่นั่งพิงไหล่ของเขาก็ไม่กล่าวอะไร ทั้งสองคนนั่งอยู่ริมทะเลอย่างเงียบๆ มองพระอาทิตย์ตก ชายหาดก็เริ่มเย็นลง เจี่ยนอี๋นั่วก็เริ่มพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้ม "พวกเรากลับกันไหม"

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว เจี่ยนอี๋นั่วเซและกล่าวว่า "เจ็บ..เปลือกหอยบาดเท้าของฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงคุกเข่าลงตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว "ขี่หลังผม"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีและทรุดตัวลงบนหลังของเหลิ่งเซ่าถิง มือของเธอโอบรอบคอเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มและกล่าวว่า "อืม โอกาสที่ได้แบกฉันขึ้นบนหลัง หนักหรือเปล่า?"

เหลิ่งเซ่าถิงที่แบกเธอไว้บนหลังกล่าวว่า "ไม่หนัก เธออ้วนขึ้นนิดนึงยังได้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและกล่าวว่า "ฉันก็คิดแบบนั้น ดังนั้นหลังจากกลับไปแล้วคุณก็ทำอาหารอร่อยๆให้ฉันสิ ฉันอยากกินกุ้งทอด ซุปซี่โครงหมู ผัดเห็ดหอม"

เหลิ่งเซ่าถิงที่แบกเจี่ยนอี๋นั่วไว้บนหลัง หลังจากที่ได้ฟังเธอกล่าว เขาก็ค่อยๆยิ้มและพูด "ได้สิ คุณอยากกินอะไร ผมก็จะทำให้"

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและวางหน้าไว้บนไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง "อืม หลังจากนี้ฉันจะดูรายการอาหารเยอะๆ เห็นอะไรน่ากินก็จะบอกคุณให้คุณทำให้กิน รอเรามีลูกด้วยกัน ฉันไม่ต้องการพี่เลี้ยงเด็กแล้ว คุณทำอาหารให้กับพวกเขา ฉันจะเล่นกับพวกเขา แต่หากเด็กๆร้องไห้งอแงขึ้นมานั่นก็เป็นเรื่องที่ลำบากอีก ฉันไม่สามารถลุกขึ้นมาโอ๋เขาในช่วงกลางดึกได้ อือ พอคิดแบบนี้แล้ว เราควรมีพี่เลี้ยง…"

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงอนาคตของเธอและเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงเพียงแค่ขมวดคิ้วและเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า เมื่อมาถึงวิลล่า เหลิ่งเซ่าถิงก็อุ้มเจี่ยนอี๋นั่วไปวางบนเตียง ให้เธอนอนให้ท่าที่สบาย เจี่ยนอี่นั่วนั้นได้หลับไปแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ห่มผ้านวมให้กับเธอ ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงรับสายโทรศัพท์ทันที เมื่อได้ยินเสียงตอบกลับจากปลายสาย เหลิ่งเซ่าถิงก็หลับตาลงและขมวดคิ้วพร้อมกับกล่าวเสียงเบา "ถิาหากว่าที่นั่นถูกค้นพบแล้วและไม่ปลอดภัย งั้นก็ไม่มีที่ไหนปลอดภัยไปกว่านั้นแล้ว ให้ผมได้ปกป้องเธอเอง เว้นเพียงแต่…"

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกล่าว เขาหันศีรษะและมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วและพูด "ผมจะเปลี่ยนแผน"

เหลิ่งเซ่าถิงวางสายโทรศัพท์ เขาค่อยๆเดินไปข้างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เขายกมือขึ้นแล้วลูบแก้มของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเบามือจากนั้นเขาก็กอดเธอแน่น

เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมาด้วยแสงแดดที่สาดส่อง เธอลืมตาขึ้นเห็นท้องฟ้าสีครามนอกหน้าต่างและอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เธอยิ้มและพลิกตัวกลับแต่เธอกลับไม่พบเหลิ่งเซ่าถิง เธอจึงรีบลุกขึ้นจากเตียง สวมรองเท้าและเดินไปยังห้องครัว เจี่ยนอี๋นั่วพิงประตูห้องครัวและโผล่หน้าออกมา เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังทำอาหารอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มและเดินเข้าไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงจากด้านหลัง: "ทำไมคุณตื่นเช้าจัง?"

เหลิ่งเซ่าถิงพลางทำอาหารและตอบเธอ "เป็นว่าผมมาทำอาหารเช้าให้คุณไง? ไม่ใช่ว่าเมื่อคืนคุณสั่งอาหารไว้มากมายหรือไง?ถ้าผมไม่ตื่นมาทำอาหารให้คุณ ก็เท่ากับว่าสามีของคุณนั้นขาดความรับผิดชอบไปแน่ๆ"

"ขอฉันดูหน่อย พ่อครัวประธานเหลิ่งยังหล่ออยู่หรือเปล่า?" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพร้อมกับมองไปที่ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง

จากนั้นอี๋นั่วก็เขย่งปลายเท้าและมอบจุมพิตเบาๆให้กับเหลิ่งเซ่าถิง เธอพยักหน้าและยิ้ม "อืม ไม่เลวเลย ตอนนี้ประธานเหลิ่งที่กำลังทำอาหารยังคงหล่อเหลาเช่นเดิม"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและมองเจี่ยนอี๋นั่ว "แปรงฟันหรือยัง?"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากและส่ายหน้า

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและถามอีกครา "แล้วล้างหน้าหรือยัง?"

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงกัดริมฝีปากและส่ายหน้า เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวว่า "ฉันไม่อยากไป อยากกอดคุณ ทำอย่างไรดีประธานเหลิ่ง คุณน่ะช่างหล่อเหลาและต้องมาพบเจอกับผู้หญิงที่บ้าบอ พระเจ้ากำลังหยอกล้อคุณหรือเปล่า? ฉันล่ะเจ็บปวดแทนคุณจริงๆ"

"ไม่ต้องมางอแงเลย ไปอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยมากินอาหาร" เหลิ่งเซ่าถิงวางมีดทำอาหารลง เขาหมุนตัวกลับก้มลงไปจูบเจี่ยนอี๋นั่ว "ไปเร็ว"

เจี่ยนอี๋นั่วย่นจมูกของเธอและกล่าว "คุณจะบอกว่าฉันตัวเหม็นเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ก็นิดนึง"

เจี่ยนอี๋นั่วเหยียดนิ้วของเธอออกชี้ไปยังเหลิ่งเซ่าถิงและเธอก็พยักหน้าพร้อมกับพูดว่า "คุณก็กลายเป็นคนเลวแล้ว คุณอยากจะทิ้งฉันไปแล้ว ผู้ชายก็ล้วนแต่พึ่งพาไม่ได้ ดูเหมือนว่าฉันยังไม่สามารถทำตัวสบายๆได้ เวลาอยู่ข้างกายคุณฉันก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ รอจนกว่าฉันจะกลับมาแบบตัวหอมแล้วคุณจะหลงเสน่ห์ฉันจนไม่อาจลืมเลือน"

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็ยิ้มและหันหลังเดินออกจากห้องครัว เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วที่จากไป เขาก็ค่อยๆคลายยิ้มออกและหันศีรษะไปมองหน้าต่างพร้อมกับถอนหายใจ เมื่ออี๋นั่วกลับมาแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้วางอาหารไว้บนโต๊ะ เจี่ยนอี๋นั่วหยิบอาหารขึ้นมาชิมแล้วพยักหน้า เธอยิ้มและพูดว่า "รสชาติเยี่ยมมาก ไม่คิดเลยว่าคุณจะมีฝีมือขนาดนี้!"

เหลิ่งเซ่าถิงงยิ้มและถาม "ไม่ใช่ว่าคุณเคยกินอาหารฝีมือผมแล้วหรือไง? ทำไมยังดูประหลาดใจอยู่อีก?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าเธอยิ้มและกล่าวว่า "ก่อนหน้านี้เคยกินแต่โจ๊ก แต่ไม่ได้กินอาหารที่เป็นกับข้าวแบบนี้ จะไม่ประหลาดใจได้ไง"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพลางตักอาหารขึ้นมาอีก เธอพยักหน้าอยู่หลายครา "รสชาติความเผ็ดนั้นเยี่ยมยอดมาก จริงๆแล้วประธานเหลิ่งนั้นมีฝีมือชั้นยอด ไม่คิดวางแผนเปิดร้านอาหารบ้างหรือ? เราไม่ต้องสนใจเรื่องของตระกูลเหลิ่ง คุณทำอาหาร ฉันทำบัญชี แบบนี้ไม่น่าสนใจหรือ"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนี้ เขาก็ละสายตาลงและส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม "ตอนนี้ผมยังไม่มีแรงมากพอขนาดนั้นที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ถ้าผมเป็นเพียงแค่คนในตระกูลเหลิ่งคิดอยากจะมีอิสระแบบนั้นก็ยังได้ แต่ผมคือเหลิ่งเซ่าถิง ไม่มีใครให้โอกาสนั้นกับผม หากผมแสดงออกว่ากำลังอ่อนแอ พันธมิตรของผมก็จะละทิ้งผม ศัตรผมก็จะเข้ามาขัดขวางและเหยียบย่ำให้ผมจมดิน ผมอยู่ในสถานะนี้มานานมากแล้ว ไม่ค่อยคุ้นชินกับการใช้ชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังเหลิ่งเซ่าถิงกล่าว เธอค่อยๆวางตะเกียบลงและกล่าว "ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก คำพูดที่ไม่ได้คิด คุณอย่าไปใส่ใจเลย ฉันรู้ถึงความยากลำบากของคุณและฉันก็แค่พูดเรื่องไร้สาระ คุณอย่าเก็บไปคิดจริงจังเลย"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ผมรู้ ตอนนี้ผมทำอาหารให้คุณแล้ว คุณก็ควรทำอะไรให้ผมด้วยหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างแล้วยิ้มและพูดว่า "ฉันนวดให้ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว "นวดขณะแช่น้ำพุร้อน?"

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย ใบหน้าของเธอแดงก่ำ จากนั้นเธอก้มลงกินอาหารอย่างรวดเร็ว เหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นมีใบหน้าแดงก่ำ เขายิ้มและถาม "คุณเป็นอะไรไป? จู่ๆคิดอะไรของคุณ ทำไมหน้าถึงแดงขนาดนั้น?"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลูบแก้มของเธอและพูดด้วยความตื่นตระหนก "อ๊ะ? หน้าแดงเหรอ? แสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "แสดงออกชัดเจนมาก คุณพูดถึงบ่อน้ำพุร้อนแล้วก็นวด จากนั้นก็หน้าแดง คุณกำลังคิดภาพอะไรอยู่ที่ทำให้คุณหน้าแดงได้ขนาดนี้?"

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาและส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว การแสดงออกของเธอนั้นทำให้เห็นถึงการปกปิดที่ตื่นตระหนก "ฉะ ฉันไม่ได้คิดถึงอะไรเลย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคิดถึงเรื่องลามกแบบนั้นหรอก ฉันแค่คิดว่าการแช่น้ำพุร้อนนั้นจะทำให้มีสุขภาพดีจากนั้นก็นวดให้ จากนั้นก็จะแข็งแรง จากนั้นก็…."

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ หน้าเธอแดงมาก เธอก้มศีรษะลงและกล่าว "โอเค เมื่อกี้ฉันคิดถึงฉากที่ไม่ดีต่อสุขภาพ นี่อย่าโทษฉัน แช่น้ำร้อนแล้วก็นวดให้กัน ใครจะไม่นึกถึงบ้างล่ะ"

"พวกเราไม่มีความสัมพันธ์กันมานานแล้ว ร่างกายของคุณก็ดีขึ้นมากแล้ว อายุของเราก็โตกันแล้ว นั่นเป็นภาพที่ดีต่อสุขภาพ" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวพลางยิ้ม

ศีรษะของอี๋นั่วนั้นก้มลงยิ่งกว่าเก่า เธอตอบอย่างอ้ำๆอึ้งๆ "อะ อื้อ ดีต่อสุขภาพ"

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นท่าทีของอี๋นั่ว เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แต่มีความสงสารซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา เขายิ้มและพูดว่า "ถ้าหากว่าคุณรับได้ งั้นก็ทำดีไหม สภาพร่างกายของผมตอนนี้ก็ดีอยู่ สามารถทำให้คุณพอใจได้ในทุกคำร้องขอ"

"อืม.." เจี่ยนอี๋นั่วเอนกายลงบนโต๊ะอาหาร เธอเขินอายมากจนแทบแทรกแผ่นดินหนี คอที่เผยออกมานั้นแดงเหมือนกุ้งตัวน้อยในจานที่ปรุงสุกแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงตะโกนของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เท้าของเธอหยุดชะงักเล็กน้อย แต่เธอไม่ได้หันกลับไป เมื่อกลับมานั่งในรถ เจี่ยนอี๋นั่วนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถ เธอไม่รู้ว่าเธอควรทำอย่างไร เธอไม่ต้องการกลับไปที่บริษัท บริษัทเป็นสมบัติของพ่อเธอและเธอรู้สึกอึดอัดเมื่อกลับไปยังบริษัทแล้วเธอเองเมื่อกลับไปยังบริษัทเธอกลับไปทำไม? ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วทำงานหนักเพียงเพื่อให้พ่อของเธอตื่นขึ้นมาและเห็นว่าบริษัทของเขาที่เขาทำงานหนักมาหลายปีนั้นยังคงอยู่

แต่ตอนนี้พ่อของเธอจากไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีแรงจูงใจที่จะบริหารบริษัท หมิงเซวียนก็ตายไปแล้ว เธอเองก็ไม่มีศัตรูแล้ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเธอก็ตัดขาดความสัมพันธ์ไปแล้ว ตอนนี้เธอไม่เหลือแม้แต่ญาติเพียงคนเดียว

ชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นได้รับการวางแผนมาอย่างดี เมื่อตอนเธอยังเด็ก เธอเรียนอย่างหนักเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดี เมื่อเข้ามหาวิทยาลัยที่ดีแล้วเธอก็พยายามที่จะหาคอนเน็คชั่นต่างๆเพื่อเป็นการช่วยพ่อของเธอแบ่งเบาภาระของบริษัท

แต่ตอนนี้เธอควรทำอย่างไร? เธอสามารถทำอะไรได้บ้าง?

มือของเจี่ยนอี๋นั่วที่เย็นเล็กน้อยถูกเหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอาไว้ ราวกับว่าเจี่ยนอี๋นั่วได้ตื่นขึ้นจากความฝันในทันที เธอเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง ดวงตาสีแดงก่ำของเธอจ้องมองเขา "หลังจากนี้ฉันควรทำอย่างไรดี?"

"ไม่ใช่ว่าพูดกันไว้แล้วหรือ? ผมจะพาคุณไปเที่ยวต่างประเทศ ไปพักผ่อน หลังจากกลับมาแล้วค่อยคิดว่าอยากทำอะไร โอเคไหม?" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "อืม…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพลางเอนกายพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เธอกล่าว "ฉันเชื่อฟังคุณ"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและสัมผัสเบาๆที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาโอบไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเบามือ

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงขึ้นเครื่องบินในบ่ายของวันนั้น สถานที่นั้นถูกกำหนดไว้โดยเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วนั้นโศกเศร้ามาโดยตลอด เธอไม่สนใจว่าเขาจะไปที่ไหน เธอไม่เคยคิดที่จะไปเที่ยวที่ไหนเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อมาถึงสนามบิน จู่ๆเธอก็มีความคิดที่อยากจะหนีออกไปจากที่นี่ ไม่ว่าจะไปที่ไหน ขอแค่เพียงได้หลีกหนีออกไปจากที่นี่ก็พอ เพียงแค่ออกจากที่ที่เธอสูญเสียพ่อไป

เมื่อเครื่องบินลงจอด จากนั้นเธอก็ต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ตัวอีกที เธอก็อยู่บนเกาะในทะเลแล้ว ที่นี่อาจไม่ใช่จุดท่องเที่ยวยอดนิยม ตอนนี้สถานการณ์โลก หากว่าเป็นจุดท่องเที่ยวยอดฮิตก็จะเต็มไปด้วยคนจีนผิวเหลืองและขอบตาดำปี๋ แต่ที่นี่นั้นชาวเอเชียมีไม่มากนัก เจี่ยนอี๋นั่วหันมองไปรอบๆ ฟังคนรอบข้างทั้งหมดนั้นกำลังพูดกันเป็นภาษาฝรั่งเศส แต่ว่าประติมากรรมรอบข้างกลับไม่คล้ายคลึงกับฝรั่งเศสเลย เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถบอกได้เลยว่าที่นี่คือที่ไหน

"ที่นี่ไม่ใช่ฝรั่งเศส ที่นี่คือที่ไหน?" เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างประหลาดใจ

เหลิ่งเซ่าถิงซื้อมงกุฎดอกไม้จากข้างทางและยื่นให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาพูดด้วยรอยยิ้ม "ที่นี่เดิมที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสดังนั้นจึงใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ แต่เกาะนี้ยังไม่ค่อยได้รับการพัฒนาอะไรมากนักดังนั้นคนจึงไม่ค่อยรู้จักและยังไม่เป็นที่นิยม ก่อนหน้านี้ผมได้ซื้อเกาะแห่งนี้ แล้วผมก็คิดอยากจะพัฒนาจุดท่องเที่ยว คุณมาที่นี่เพื่อดูว่าต้องปรับปรุงอะไรบ้าง คุณสามารถเสนอความคิดเห็นได้อีกด้วย ทางตอนใต้มีชายหาดส่วนตัวของผม หากคุณคิดว่าที่นี่มีคนเยอะเกินไป พวกเราก็ไปที่นั่นกันได้ ไม่มีใครมารบกวน หากคุณคิดว่าที่นั่นอาจจะน่าเบื่อ พวกเราก็อยู่ที่นี่กันก่อนก็ได้"

เจี่ยนอี๋นั่วอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้พร้อมกับกล่าว "คุณมาที่นี่ก็เพื่อทำงาน"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและถอนหายใจเบาๆ "ปกติผมก็ไม่มีเวลาได้พักอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาสถานที่ที่เหมาะกับการมาพักผ่อนและคุณเองก็ไปมาหลายประเทศแล้วด้วย หากว่าไปอีกคุณอาจจะได้รื้อฟื้นความหลัง หลักจากคิดไปคิดมา ที่นี่ท่านั้นที่สามารถทำให้คุณเพิกเฉยต่ออดีตแล้วก็ค่อยๆฟื้นฟูตัวคุณเอง"

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบมงกุฎดอกไม้และวางไว้บนศีรษะของเหลิ่งเซ่าถิง แสงแดดส่องลงมาบนมือของเธอ แสงที่กระทบนั้นทำให้มือของเธอขาวพร้อมกับมีแสงที่มันวาว เจี่ยนอี๋นั่วหรี่สายตา "แสงที่นี่ดีมากจริงๆ"

"แสงแดดจ้าช่วยให้ผู้คนต่อต้านความหดหู่ในใจได้" เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว "ที่นี่มีน้ำพุร้อน อยากไปดูไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้าง เธอหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง "น้ำพุร้อนช่วยต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าได้ด้วยหรือไม่?"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆพร้อมกับพยักหน้า "น้ำพุร้อนไม่สามารถต่อสู้กับภาวะซึมเศร้าได้ แต่แต่หลังจากแช่น้ำพุร้อนและกินอาหารทะเลแล้วอาจจะทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกสบายขึ้น จากนั้นก็นอนหลับพักผ่อนไปเที่ยวทะเล น้ำทะเลสีฟ้าสดใสในตอนกลางวันและทะเลที่เงียบสงบในเวลากลางคืนทำให้จิตใจนั้นสงบลงได้"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเสียงเบา "ดูเหมือนว่าคุณได้วางแผนทุกอย่างไว้แล้ว?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ผมคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว หวังว่าคุณจะรู้สึกดีขึ้นบ้าง"

เจี่ยนอี๋นั่วจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้ "งั้นฉันจะเชื่อฟังคุณ ไปน้ำพุร้อนกัน แต่ฉันไม่รู้จะทำอะไร"

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปยังน้ำพุร้อนด้วยกัน และพบว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นต้องแช่น้ำร้อนด้วยกัน เจี่ยนอี๋นั่วดึงเสื้อคลุมอาบน้ำด้วยความรู้สึกลำบากใจ "ลงบ่อเดียวกันเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงลงบ่อน้ำพุร้อนไปก่อนจากนั้นเขาก็หันหลังคุยกับอี๋นั่ว "ถ้าหากว่าคุณอาย ผมจะทำเป็นไม่สนใจคุณ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะลงบ่อเดียวกับคุณ แต่ตอนนี้บนเกาะคนน้อยมาก หากว่าผมจะแยกกับคุณ ผมก็กลัวว่าคุณจะเหงา"

หากว่าอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นยังไม่มีความสัมพันธ์กัน อี๋นั่วอาจคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีแรงจูงใจแอบแฝง แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้นได้เกิดขึ้นไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วจึงทำได้แค่ยิ้มจากนั้นเธอก็ก้าวลงบ่อน้ำพุร้อน

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็กล่าวเบาๆ "คุณไม่ต้องหันหลังให้ฉันหรอก อย่างไรก็ตามคุณได้เห็นทุกสิ่งที่คุณควรเห็นแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงหันกลับมา เขามองเจี่ยนอี๋นั่วเพียงแวบเดียวจากนั้นเขาก็หลบสายตาทันที ใบหน้าแดงก่ำ เขากระแอมเล็กน้อย ลมหายใจเขารุนแรงมากขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คาดคิดว่าผิวขาวๆของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเมื่อถูกน้ำร้อนแล้วจะมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเธอก็อดที่จะหน้าแดงไม่ได้ เธอกล่าวเบาๆ "คุณไม่ควรเลือกน้ำพุร้อน ตอนนี้อารมณ์ฉันไม่สามารถ…"

"ผมเข้าใจ" เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ผมจะไม่ทำอะไรในตอนที่คุณไม่ต้องการ ผมว่าผมออกไปก่อนดีกว่า"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าในทันทีและรีบหันกลับไปอีกฝั่ง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงออกไปแล้วเธอจึงถอนหายใจเบาๆ หลังจากผ่านความอึดอัดใจไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่สามารถอดทนแช่น้ำได้นานนัก เธอรีบออกมาจากบ่อน้ำพุร้อน เมื่อออกมาแล้วเธอก็คลุมเสื้อคลุมอาบน้ำไว้ เธอเดินไปที่ห้องโถงเล็กๆข้างบ่อน้ำพุ เธอเห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกำลังแกะเนื้อปูอย่างช้าๆ เมื่อเห็นว่าอี๋นั่วเดินมายังข้างกายเขา เหลิ่งเซ่าถิงก็หยิบเนื้อปูที่ปอกเปลือกไว้แล้ววางไว้ตรงหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว "ลองชิมดู รสชาติเป็นไงบ้าง?"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดเนื้อปูแล้วพยักหน้าทันที "รสชาติหอมหวานมาก รสชาติเยี่ยมจริงๆ สามารถใช้เป็นจุดขายของนักท่องเที่ยวได้เลย คนจีนชอบกินมากด้วย ไม่ว่าจะไปไหนก็ตามต้องได้กินเสมอ เวลาไปที่ใหม่ก็จะถามว่าอะไรอร่อยและการใช้อาหารเป็นจุดขายสามารถดึงดูดคนจีนได้มากที่สุด แต่ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะวางแผนทำรีสอร์ทนี้ในระดับใดในอนาคตหากคุณต้องการทำธุรกิจการท่องเที่ยวแบบไฮโซ คุณควรสร้างร้านอาหารระดับไฮเอนด์.."

เมื่ออี๋นั่วพูดเช่นนั้น เธอก็เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังยิ้มอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากในทันทีและกล่าวเบาๆ "ฉันวุ่นวายหรือเปล่า? เรื่องเหล่านี้คุณเองก็น่าจะรู้อยู่แล้ว แต่ฉันกลับทำตัว…"

"เปล่าเลย คุณพูดได้ดี ผมชอบฟังขอเสนอแนะของคุณแล้วคุณไม่ได้วุ่นวายเลย ผมนั้นออกไปเที่ยวไม่บ่อย ไม่รู้ว่าจะต้องปรับปรุงอะไรเมื่อเทียบกับรีสอร์ทอื่นๆ คุณสามาระเสนอแนวคิดให้กับผมได้เสมอ" เหลิ่งเซ่าถิงพูดพลางยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังบ่อน้ำพุร้อน "แล้วน้ำพุร้อน ต้องปรับปรุงอะไรไหม?"

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองน้ำพุร้อนทันที "บ่อน้ำพุร้อนนั้นไม่เลวเลย อุณหภูมิของน้ำก็ดี แช่สบายมาก ถ้าเปลี่ยนเป็นอุณหภูมิของน้ำเป็นการที่เราสามารถปรับได้ด้วยก็จะดียิ่งขึ้น จะให้คอยเรียกพนักงานอยู่ตลอดก็จะลำบาก หลายคนใช้เวลาพักร้อนเพียงเพื่อพวกเขาจะหาสถานที่ที่ไม่ต้องการจะสื่อสารกับคนอื่น หากพวกเขามีพื้นที่ที่เป็นของพวกเขา ปล่อยให้พวกเขามีพื้นที่สำหรับการปลอดปล่อย คนเหล่านั้นอาจจะพอใจมากกว่า อย่างไรก็ตามบางครอบครัวจะพาเด็กมาด้วย อิสระมากขึ้นแล้วอันตรายก็จะมากขึ้นเช่นกัน บ่อน้ำพุร้อนอาจต้องมีอุปกรณ์การช่วยเหลือด้วย"

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มและพยักหน้า "ดี แล้วพวกเฟอร์นิเจอร์ มีอะไรที่ไม่น่าพอใจหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกล่าวทันที "มันค่อนข้างดูจะเป็นญี่ปุ่น ฉันว่าไม่ค่อยเหมาะกับเกาะนี้เพราะว่ามันให้ความรู้สึกเหมือนไปญี่ปุ่น มันไม่ใช่เกาะเล็กๆที่มีภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาราชการ แล้วก็เก้าอี้…"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นค่อนข้างจริงกับปัญหาที่เหลิ่งเซ่าถิงให้เธอแล้วเธอก็พูดไปอย่างไม่รู้ตัวอยู่เป็นเวลานาน เมื่อเธอได้สติขึ้นอาหารทะเลบนโต๊ะก็เกือบจะหมดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วแน่น เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง "ฉัน ฉันกินเยอะแล้วก็พูดเยอะไป ใช่ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมรอยยิ้ม "จากมุมมองทางจิตวิทยา ท่าทางของคุณต้องนี้นั้นดีขึ้นมาก ผมชอบฟังคุณพูด ไปกันเถอะ ผมจะพาคุณไปทะเล คุณยังสามารถให้ข้อเสนอแนะผมได้"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากของเธอ เธอเดินตามเหลิ่งเซ่าถิงออกไป ในเวลานี้เป็นเวลาประมาณสี่โมงเย็น ทรายบนชายหาดเพิ่งถูกแสงแดดแผดจ้าในช่วงบ่ายและอุณหภูมิของดวงอาทิตย์ยังคงอยู่ เท้าของเธอนั้นอบอุ่นเมื่อได้เหยียบทรายเหล่านั้นและเธอก็รู้สึกดีขึ้น

ทะเลค่อยๆพัดผ่านเท้าของเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเธอก็ค่อยๆถอยกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะกล่าวเบาๆ "ตอนนี้ฉันรู้สึกดีมาก ทะเลช่างอ่อนโยน"

เหลิ่งเซ่าถิงกุมมือเจี่ยนอี๋นั่ว เขายิ้มและเดินมาข้างกายอี๋นั่ว "สำหรับคุณตอนนี้ ไม่มีความคิดเห็นเหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ที่นี่สวยมาก พอตกเย็น ทุกคนจะมาปิ้งย่างบาร์บีคิวกันที่นี่ แค่เพียงต้องระวังยุงบนชายหาด ยุงที่นี่ดุมาก ตอนเด็กๆพ่อพาฉันและฮุ่ยฮุ่ยไปปิ้งย่าง เธอถูกยุง…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวถึงตรงนี้และเธอก็เงียบไป เธอไม่ได้ร้องไห้ แต่ก้มหน้าลง ดวงตาของเธอมีน้ำตาคลอ เธอกล่าว "ขอบคุณ เหลิ่งเซ่าถิง ขอบคุณที่คุณอยู่ข้างๆฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดอี๋นั่วสุดแรงและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ไม่มีอะไร แค่นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้วก็รู้สึกแบบนี้เท่านั้น กินข้าวเสร็จแล้ว คุณก็พักอีกหน่อยเถอะ พรุ่งนี้คุณยังต้องจัดการเรื่องงานศพอีก"

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงอย่างช้าๆพร้อมกับค่อยๆพยักหน้า "อืม คุณก็พักผ่อนด้วย คุณยังไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นและลูบศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว "อืม งั้นเรานอนพักกันเถอะ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอเดินไปยังห้องนอนเมื่อถึงห้องนอนแล้วเธอก็นั่งลงบนเตียง เหลิ่งเซ่าถิงหยิบชุดนอนออกมา "เปลี่ยนชุดก่อนแล้วค่อยไปนอน"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คาดหวังว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นได้เตรียมชุดนอนของเธอไว้ เธอมาที่นี่เพียงหนึ่งครั้ง เธอเบิกตากว้างด้วยความแปลกใจเล็กน้อย "คุณเตรียมตัวมาดีขนาดนี้ได้อย่างไร?"

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นชุดนอนในมือให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว "ครั้งที่แล้วที่คุณมา ผมคิดอยู่เสมอว่าการอยู่ด้วยกันนั้นเป็นอย่างไร ดังนั้นผมจึงเตรียมชุดนอนไว้ หลังจากที่คุณเปลี่ยนแล้วก็จะได้หลับสบาย"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและรับชุดนอนของเธอมา เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความสัมพันธ์กันแล้วแต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "ผมจะออกไปก่อน คุณไม่ต้องรีบเปลี่ยน"

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป หลังจากที่เขาออกจากห้องไปแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็หยิบโทรศัพท์ขึ้น เขาขมวดคิ้วแน่นและกดโทรออก หลังจากที่เขาจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงเดินกลับเข้ามาภายในห้อง เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วหลับอยู่บนเตียง เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเพียงครึ่งเดียว กระดุมเสื้อของเธอนั้นยังติดไม่เรียบร้อยเธอก็หลับไป

เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจเบาๆ เขาเอื้อมมือไปติดกระดุมให้เธอและคลุมผ้านวมให้กับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วที่นอนหลับสนิท เธอค่อยๆมุดตัวเข้าไปในผ้าห่มและใช้แก้มของเธอนั้นสัมผัสผ้าห่มเบาๆ

เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสแก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาค่อยๆก้มศีรษะลงมาและจูบหน้าผากของเจี่ยนอี๋นั่ว ดวงตาที่ดำสนิทของเขานั้นมีความหนักอึ้งซ่อนอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาสูดลมหายใจเบาๆและมุดตัวเข้าไปในผ้านวม เธอเข้าสู่ห้วงนิทราแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วนอนหลับตลอดทั้งคืนโดยไม่ได้ฝันเลยแม้แต่น้อย เมื่อตื่นขึ้นมาเธอก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังนอนกอดเธออยู่ แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะหลับอยู่ แต่คิ้วของเขาก็ยังขมวดแน่นดูเหมือนว่าเขาจะถูกรบกวนจากสิ่งที่น่ารำคาญ

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกไปสัมผัสคิ้วของเซ่าถิง เมื่อนิ้วของเจี่ยนอี๋นั่วได้สัมผัสกับเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ลืมตาขึ้นในทันที เขาเหลือบมองไปยังใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเขาพบว่าเป็นเจี่ยนอี๋นั่วที่สัมผัสเขา สายตาของเขาก็อ่อนลงและพูดกับอี๋นั่วว่า "ทำไมคุณตื่นเช้าขนาดนี้?"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดกลัวอยู่ชั่วขณะจากการจ้องมองที่เฉียบคมของเหลิ่งเซ่าถิง การจ้องมองของเหลิ่งเซ่าถิงคล้ายกับหมาป่าที่กำลังต่อสู้อยู่ เมื่อเธอได้เห็นแล้วก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วผงะไปชั่วครู่และกล่าวเบาๆว่า "โอ้ อาจเป็นเพราะเมื่อคืนฉันนอนเต็มอิ่มดังนั้นฉันจึงไม่มีอาการง่วงแล้วฉันก็เลยตื่นเช้า"

เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสผมของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆและกล่าวอย่างอ่อนโยน "งั้นนอนอีกหน่อยเถอะ"

"งั้นคุณกอดฉันนอน" เจี่ยนอี๋นั่วหันไปด้านข้างจากนั้นเธอเอื้อมมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถิง "คุณมีบางอย่างซ่อนอยู่ในใจของคุณ ไม่เป็นไรถ้าคุณไม่ต้องการบอกฉัน เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นฉันจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "หลังจากจัดการเรื่องของพ่อของคุณแล้ว ผมจะพาคุณไปพักผ่อนต่างประเทศ ในช่วงนี้คุณเจอเรื่องราวต่างๆเยอะมากมาย คุณควรไปพักผ่อนเสียหน่อย"

"คุณย่าจะเห็นด้วยหรือ?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่นและถามเบาๆ

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า "เดี๋ยวผมจะพูดคุยกับท่านเอง คุณเห็นด้วยหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธอ "ตอนนี้ฉันไม่ได้ตั้งใจจะออกไปเที่ยวที่ไหนเลย แต่ถ้าคุณคิดว่าการออกไปข้างนอกนั้นดีสำหรับฉัน ฉันก็จะไม่ปฏิเสธ"

เหลิ่งเซ่าถิงจูบที่หน้าผากของเจี่ยนอี๋นั่ว "งั้นเร็วๆนี้ผมจะจัดการให้"

เจี่ยนอี๋นั่วหดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของเหลิ่งเซ่าถิง เธอพยักหน้าเบาๆ "ได้สิ"

เหลิ่งเซ่าถงก้มศีรษะลงเพื่อโอบกอดเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่ทั้งสองตื่นขึ้นพวกเขาก็เริ่มยุ่งกับงานศพพ่อของเจี่ยนอี๋นั่ว งานศพนั้นเรียบง่าย เจี่ยนอี๋นั่วเชิญญาติและเพื่อนของพ่อเพียงไม่กี่คนในตอนที่เขายังมีชีวิตมาในงาน เธอไม่อยากให้งานศพของพ่อกลายเป็นโอกาสที่คนบางคนจะได้สังสรรค์บันเทิง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ให้เหลิ่งเซ่าถิงมาในงานศพ เป็นเพราะเธอกลัวว่าการปรากฏตัวของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นประหลาดใจ

เมื่องานศพสิ้นสุดลง มีใครบางคนอดไม่ได้ที่จะเข้ามาจับมือเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "แล้วเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย..คุณช่วยคิดเล็กคิดน้อยให้น้อยลงได้ไหม? เมื่อวานเฮ่อเยี่ยนหงเธอโทรหาฉัน ร้องไห้จะเป็นจะตาย เธอบอกว่าเธอไม่ต้องการทรัพย์สินอะไรจากตระกูลเจี่ยนเลยแค่เพียงเธอปล่อยเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไป ฮุ่ยฮุ่ยยังเด็ก ยังไม่เข้าใจเรื่องราว ในฐานะพี่สาวคุณควรดูแลเธอให้มากกว่านี้ ถ้าหากว่าเธอรู้ตัวว่าทำผิดจริงๆก็ลองให้โอกาสเธอสักครั้ง หากเธอยังไม่รู้ว่ามีอะไรผิดพลาดคุณควรสอนเธอให้ดี ตอนนี้ส่งเธอเข้าคุกแล้วมีอะไรดีขึ้นหรือ?"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองคนที่กำลังพูดและกล่าวว่า "ถ้าหากว่าไม่ใช่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย พ่อของฉันก็จะไม่ตาย เธอไม่ใช่น้องสาวของฉัน ฉันจัดการคนที่ฆ่าพ่อฉัน ฉันจะไม่มีวันให้อภัยเธอ และตอนนี้เธอได้ทำความผิดทางอาญามันไม่ใช่สิ่งที่ฉันไม่สามารถให้อภัยได้ เธอต้องได้รับโทษตามสมควร"

"ก็….เฮ้อ…" คนคนนั้นถอนหายใจ เขาจากไปและส่ายหน้าพร้อมกับพูดว่า "ใจแข็งจริงๆ พ่อก็ตายแล้ว แม้แต่น้ำตายังไม่ไหลสักหยดแถมยังส่งน้องสาวตัวเองเข้าคุกตลอดชีวิตอีก"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของชายคนนั้น เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับอารมณ์ตัวเองให้สงบลง แม้แต่ญาติและเพื่อนที่รู้จักกัน หากไม่เห็นน้ำตาของเธอ หากไม่เห็นความอดทนของเธอ ใครๆต่างก็คิดว่าเธอเป็นคนใจแข็งและเลือดเย็น พวกเขาสนใจแค่ช่วงเวลาที่ได้เห็น ไม่เคยสนใจว่าคนเขาไม่หลั่งน้ำตา อาจเป็นเพราะหมดแรงที่ร้องไห้แล้ว ไม่เคยแคร์ว่าที่คนเขาไม่ใจกว้างแล้วเป็นเพราะที่ผ่านมาเธอคอยให้อภัยและใจกว้างครั้งแล้วครั้งเล่า

ในตอนท้ายของงานศพ เจี่ยนอี๋นั่วลูบหลุมฝังศพของพ่อก่อนเธอจะหมุนตัวและเดินออกจากสุสาน เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินกลับไปที่รถ เธอเอนกายพิงเหลิ่งเซ่าถิงและถอนหายใจ เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "ฉันอยากไปเยี่ยมเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย"

"คุณสามารถเก็บอารมณ์ของตัวเองได้หรือเปล่า?" เหลิ่งเซ่าถิงลูบไหล่ของอี๋นั่วและถามเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ฉันยังไหว วันนี้มีคนเข้ามาพูดว่ามันไม่เหมาะสมเลย เธอคือน้องสาวของฉันแม้ว่าความสัมพันธ์จะถูกตัดขาด ฉันเองก็ควรไปบอกเธอสักคำ ความสัมพันธ์บางอย่างต้องได้รับการบอกกล่าวแบบตัวต่อตัว"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ เธอก็นิ่งเงียบไปจากนั้นเธอก็กล่าวว่า "จริงๆแล้วภายในใจฉันก็หวังว่าเธอจะรู้ว่าตัวเองได้ทำผิดและรู้ว่าผิดตรงไหน ฉันจึงไม่สามารถให้อภัยเธอได้ แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะรู้ได้มากพอว่าเธอทำอะไรผิด นี่คือการตอบแทนที่เหมาะสมกับความรักของพ่อที่มีต่อเธอตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือเปล่า? หากว่าไม่ได้ไปถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย พ่อก็คงคิดว่านี่มันไม่ยุติธรรม"

"ดีแล้ว" เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขาสั่งให้คนขับรถขับไปยังสถานกักขังที่กักตัวเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไว้ชั่วคราว

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงปรากฏตัวต่อหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็รีบวิ่งไปที่เจี่ยนอี๋นั่วในทันที เธอร้องไห้และตะโกนว่า "พี่ พี่ปล่อยฉันออกไปเถอะ ที่นี่น่ากลัวมาก อาหารก็ไม่อร่อย คนอื่นก็ไม่ดีกับฉัน ทุกคนดุร้ายและน่ากลัว"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย "ฉู่หมิงเซวียนถูกยิงแล้ว รู้หรือเปล่า?"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพยักหน้า "ได้ยินมา..หมิงเซวียนเขา.."

เดิมทีเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยต้องการที่จะร้องไห้ให้กับการตายของหมิงเซวียน แต่เมื่อเธอนึกขึ้นได้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ชอบฉู่หมิงเซวียนเป็นอย่างมาก เธอก็รีบซับน้ำตาของเธอทันที เธอมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและรีบกล่าว "เขา..เขาตายไปแล้ว แล้วใครฆ่าพ่อเราล่ะ? พี่ ฉันรู้ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่รู้ว่าผลที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้"

"ผลที่ตามมา?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย "เธอรู้ไหมว่าหากหมิงเซวียนหักหลัง พ่อจะเป็นอันตราย หรือว่ายังไม่รู้ผลที่ตามมาว่าฉันจะส่งเธอไปหาตำรวจจริงๆ?"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเม้มปากของเธอ ริมฝีปากขยับเล็กน้อยและกล่าว "พี่ ฉันเป็นน้องสาวของพี่ หรือว่าพี่ต้องการให้ฉันใช้ชีวิตอยู่ในคุกตลอดไปงั้นหรือ? ฉันรู้แล้วว่าฉันผิด ฉันไม่รู้ว่าการที่ฉันพาพ่อออกมานั้นจะกลายเป็นอาชญากรรมแล้วฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าฉู่หมิงเซวียนจะทำแบบนั้นกับพ่อ ฉันไม่คาดคิดจริงๆ…"

"ถ้าตอนนี้เธอไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่ เธอจะพูดแบบนี้ออกมาหรือเปล่า? ตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าเธอทำผิดตรงไหนใช่ไหม?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

"ถึงแม้ว่า..ฉัน..ฉันจะไม่รู้ แต่พี่ก็สามารถสอนฉันได้…" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยสะอึกสะอื้นร้องไห้และพูด "พี่ พี่ให้ฉันออกไปเถอะ ครั้งหน้าฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว"

"น่าเสียดาย … " เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอน้ำตาคลอและกล่าว "ฉันไม่มีพ่อให้เธอได้ทำเรื่องแบบนั้นอีกแล้ว เธอยังไม่เข้าใจว่าเธอทำผิดตรงไหน ถ้าหากว่าเธอไม่ได้ถูกขังอยู่ที่นี่ เธอก็คงจะไม่มีวันรู้ตัวว่าตัวเองทำผิด เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เธอไม่ใช่น้องสาวของฉัน ฉันจะตัดความสัมพันธ์กับเธอตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เธออยู่ในคุกแล้วถ้าเธอออกมาได้ เธอก็ใช้ชีวิตของเธอไปเองเถอะ เธอไม่มีพ่อที่คอยเอาอกเอาใจและไม่มีพี่สาวคอยคุ้มครองดูแลเธออีกแล้ว จะไม่มีใครคอยกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงในอนาคตของเธอแล้วแล้วก็ทำทุกอย่างให้มันดีด้วยล่ะ"

"พี่ ทำไมพี่โหดร้ายขนาดนี้!" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยร้องไห้

เจี่ยนอี๋นั่วยืนขึ้นเธอขมวดคิ้วแน่นจ้องมองฮุ่ยฮุ่ย "ถ้าฉันโหดร้ายกว่านี้ ตอนนี้เธอก็คงตายไปแล้ว"

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เธอก็มองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยหางตา "หลังจากนี้ไม่ต้องมาเจอฉันอีก ไม่งั้นเธอจะมีชีวิตที่น่าสังเวชกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบเธอก็หมุนตัวเดินออกมา เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังคงตะโกนเสียงดัง "เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมันโหดเหี้ยม! เธอทำแบบนี้ เธอจะต้องได้รับผลกรรมกลับคืน!"

เฮ่อหงเยี่ยนนั้นได้ถูกผลักออกจากคฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วถือโกศของพ่อเอาไว้ในมือแต่เธอกลับไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ที่ไหน ที่นี่ยังเป็นบ้านของเธอ เป็นบ้านของพ่อเธออยู่หรือเปล่า?

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วยืนนิ่งงันอยู่เช่นนั้น เขาก้าวไปด้านหน้า จับไหล่ของเธอเอาไว้และถามว่า "คุณเป็นอะไรหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าและไอ จากนั้นเธอกล่าวว่า "ฉันไม่รู้…ฉันไม่รู้ว่าควรจะให้พ่ออยู่ที่นี่หรือเปล่า เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเธอรวมมือกับฉู่หมิงเซวียนลักพาตัวพ่อของฉันไปจนทำให้พ่อเป็นแบบนี้ ฉันไม่อยากทิ้งให้พ่ออยู่กับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอีกแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงหันศีรษะไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอี๋นั่วจากนั้นกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มลึก "ก่อนการฝัง นำไปไว้ที่บ้านของเราได้"

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงและถาม "บ้านตระกูลเหลิ่งเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า "บ้านของเรา"

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง จากการที่เธอโดนรุกอยู่หลายครา เธอก็มีอาการตอบสนองที่ช้าลง เวลาผ่านไปชั่วครู่ เธอจึงได้สติและถามเสียงเบา "ที่บ้านของคุณใช่ไหม?"

สถานที่เดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วสามารถนึกถึงได้ในตอนนี้ สถานที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงเรียกว่า บ้านของเรา ก็คือบ้านสองห้องนอนที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยพาเจี่ยนอี๋นั่วไป เมื่อเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มและพยักหน้าเบาๆ

เมื่อมาถึงคอนโดที่ดูเก่านิดหน่อยหลังนี้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็วางโกศของพ่อไว้ในที่ที่เหมาะสม จากนั้นเธอถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในที่สุดเธอก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและอ่อนเพลีย เจี่ยนอี๋นั่วเอนกายลงบนโซฟาและหลับตาลง เหลิ่งเซ่าถิงขยับเข้ามาสัมผัสเธอเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขยับเข้าใกล้และเอนกายพิงไหล่ของเซ่าถิง

"คุณคุยกับคุณย่าหรือยัง?" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวอย่างงัวเงีย "ตอนนี้ฉันไม่มีแรงจะกลับไปบ้านใหญ่เลย"

"ผมบอกไปแล้ว คุณสบายใจได้" เหลิ่งเซ่าถิงโอบกอดเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวเบาๆ

เจี่ยนอี่นั่วพยักหน้าและหลับตาลง สิ่งนี้ที่เรียกว่า "บ้าน" ซึ่งอาจดูโทรมสำหรับคนอื่น แต่สามารถทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกปลอดภัยอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน เธอเอนกายพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิงและค่อยๆเข้าสู่ห้วงนิทรา

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและลูบหลังของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเบามือ จากนั้นเขาก็หันหน้าไปจูบหน้าผากของอี๋นั่ว เขาค่อยๆโอบเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในอ้อมแขน เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจอี๋นั่ว ราวกับว่าเธอนั้นได้หลับสนิทไปแล้ว คิ้วของเหลิ่งเซ่าถิงขมวดแน่น เขาเม้มริมฝีปากค่อยๆใช้แรงรวบตัวของเจี่ยนอี๋นั่วมาไว้ในอ้อมกอด

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้น ท้องฟ้าก็เริ่มสว่าง ความโชคร้ายก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะเป็นความฝัน เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและเล่าให้เหลิ่งเซ่าถิงฟัง ฟังเกี่ยวกับฝันร้ายที่เธอเพิ่งเจอ แต่เมื่อเธอตื่นขึ้นเธอก็เห็นขี้เถ้าของพ่อของเธอบนตู้หนังสือ

หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหนาวเหน็บขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง

"เป็นอะไรไป?" เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาข้างกายเจี่ยนอี๋นั่ว เขากอดเธอเอาไว้จากด้านหลัง

เจี่ยนอี๋นั่วสูดจมูกของเธอ "ฉันคิดว่าฉันแค่ฝันร้าย ฉันไม่ได้คาดหวังว่าทุกอย่างจะเป็นจริง ฉันไม่มีพ่ออีกต่อไปแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวอย่างอ่อนโยน "ตอนนี้เป็นแบบนี้น่ะปกติ อาจต้องใช้เวลาสักพักในการยอมรับความเป็นจริง ไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆ ไม่ต้องฝืนตัวเองให้มากนัก คุณทำได้ดีแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะร้องไห้และพูด "เมื่อกี้ฉันฝันในฝันไม่มีพ่อเลย เมื่อก่อนฉันไม่เชื่อเรื่องผีและเทพเจ้าฉันไม่เชื่อว่าในโลกนี้มีผีและสัตว์ประหลาดอะไร แต่ตอนนี้ฉันหวังว่าจะมีผีและเทพเจ้าในโลกนี้เพราะด้วยวิธีนี้พ่อของฉันอาจอยู่เคียงข้างฉันในอีกรูปแบบหนึ่ง ใช่หรือเปล่า ที่เขาว่ากันผู้คนต่างเริ่มเชื่อเรื่องผีและเทพเจ้าเป็นเพราะพวกเขาอยากรักษาคนที่รักที่ได้จากไปแล้ว?"

"ผมไม่เข้าใจ" เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้าเบาๆ "แม้ว่าญาติของผมจะจากไป แต่ความสัมพันธ์ของผมกับพวกเขาก็ไม่ได้ลึกซึ้งขนาดนั้น ผมไม่ค่อยเข้าใจในความสัมพันธ์ของคุณกับพ่อ แต่เมื่อเห็นคุณเป็นแบบนี้แล้ว ผมเองก็ทุกข์ใจมากและอาจเข้าใจในอารมณ์ของคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วเอนกายซบไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เธอร้องไห้และพูดว่า "คุณปลอบคนไม่เก่งเลยจริงๆ"

เซ่าถิงตบไหล่ของอี๋นั่วเบาๆและพูดด้วยน้ำเสียงสุขุมว่า "ขอโทษด้วย ผมจะปรับปรุง"

"ไม่ต้องปรับปรุง ฉันหวังว่าตลอดชีวิตของฉัน ฉันจะไม่ต้องใช้การปลอบใจจากคุณอีกแล้ว" อี๋นั่วพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวเบาๆ

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่นและลูบหลังของอี๋นั่วอย่างเบามือ "ผมทำโจ๊กเสร็จแล้ว ไปกินอะไรสักหน่อยเถอะ คุณไม่ได้กินอะไรเลยตลอดทั้งวัน"

เจี่ยนอี๋นั่วหมุนตัวและออกจากอ้อมแขนของเซ่าถิง เธอเดินไปยังหน้าต่างแล้วส่ายหน้าเบาๆพร้อมกับกล่าวว่า "ฉันไม่อยากกินอะไรเลย กินไม่ลง"

เหลิ่งเซ่าถิงเติมโจ๊กใส่ชาม เขาเดินไปข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วและพูด "คุณกินสักคำ คำเล็กๆก็ยังดี พ่อของคุณรักคุณมาก ผมเองก็รักคุณมาก แม้ว่าผมจะไม่เข้าใจความโศกเศร้าจากการสูญเสียคนที่คุณรักไป แต่ผมก็เข้าใจว่าการรักใครสักคนรู้สึกอย่างไร ผมไม่อยากเห็นคุณเศร้าโศกแบบนี้ ผมเชื่อว่าพ่อของคุณเองก็ไม่อยากให้คุณเป็นแบบนี้หรอก กินสักคำ ได้ไหม? คำเล็กๆก็พอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองชามโจ๊ก เธอขมวดคิ้ว อ้าปากถือช้อนที่เหลิ่งเซ่าถิงนำมาให้ เธอกลืนโจ๊กลงไปหนึ่งคำ โจ๊กอุ่นๆทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสบายตัวขึ้นมาบ้าง หัวใจของเธอนั้นก็เริ่มอุ่นขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับของที่อยู่ในท้องของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขื่น "ไม่น่าแปลกใจที่มีคนบอกกันว่าตราบใดที่คนเราสามารถกินและนอนได้ก็ไม่มีอะไรที่ทำให้พวกเขาจะอยู่รอดไม่ได้ ฉันเคยรู้สึกว่าฉันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป แต่ตอนนี้ฉันนอนหลับและกินข้าวได้ ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันนั้นยังสามารถอยู่รอดต่อไปได้ ฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นทำตัวน่าอาย ดูเหมือนว่าฉันจะเป็นห่วงพ่อมาก แต่ตัวเองนั้นหลุดพ้นจากความเศร้าได้อย่างรวดเร็ว"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก เธอสูดลมหายใจเข้า ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น "ฉันอยากกินโจ๊กอีกสักคำ"

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆ เขาหยิบชามโจ๊กขึ้นและตักโจ๊กหนึ่งช้อนป้อนให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว "ค่อยๆกิน"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าและกินโจ๊ก จากนั้นดวงตาสีแดงก่ำจากการร้องไห้ของอี๋นั่วก็จ้องมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง "คุณเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน คุณก็กินเสียหน่อยเถอะ ตลอดทั้งวันคุณเหนื่อยมามากแล้ว ฉันไม่ได้ดูแลคุณเลย มัวแต่คอยขอความช่วยเหลือจากคุณอยู่เสมอ คอยให้คุณทำนั่นทำนี่ให้ บางครั้งก็พูดจาไม่ดีกับคุณด้วย ฉันอยากจะขอโทษ ขอโทษจริงๆ…"

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ในดวงตาของเขามีน้ำตาเอ่อล้น เขากล่าว "อี๋นั่ว คุณไม่ต้องขอโทษผมเลย ถ้าหากว่าคุณรู้…คุณไม่ควรที่จะพูดขอโทษกับผมเลย"

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาจากหางตาของเหลิ่งเซ่าถิง เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและกล่าว "คุณร้องไห้ทำไม? ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันพูดว่าขอโทษกับคุณ หลังจากนี้ฉันก็ไม่พูดแล้ว เห็นคุณน้ำตาไหลแบบนี้ ฉันตกใจมากจริงๆ"

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะฝืนยิ้ม "ผมก็เป็นคน มีหลายครั้งที่ผมทำผิดพลาด มีบ้างที่อ่อนแอ บางครั้งถ้าผมใส่ใจและระมัดระวังให้มากขึ้นก็เป็นไปได้ที่เหตุร้ายในหลายๆเรื่องจะไม่เกิดขึ้น"

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นกอดเหลิ่งเซ่าถิงและพูดอย่างรู้สึกผิด "บางครั้งฉันก็คิดว่าคุณมีอำนาจต่อรองทุกอย่าง ฉันลืมไปเลยจริงๆว่าคุณเองก็เป็นเพียงคนธรรมดา"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าว เธอคลายกอดจากเหลิ่งเซ่าถิง รับโจ๊กจากมือเขามาไว้ในมือตัวเองและกล่าวกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า "งั้นฉันจะป้อนโจ๊กให้คุณสองคำ คุณเองก็ควรกินอะไรบ้าง คุณก็เป็นคนธรรมดา ไม่กินอะไรไม่ได้เหมือนกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วตักโจ๊กใส่ช้อนและยื่นไปยังปากของเหลิ่งเซ่าถิง "อ้าปาก…"

ดวงตาสีแดงก่ำของเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเขาก็กินโจ๊กที่เธอป้อนให้ เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงกินโจ๊กแล้วจากนั้นเธอก็ป้อนเขาอีกหนึ่งคำแล้วเธอก็กล่าวเบาๆว่า "คุณเองก็เป็นคนธรรมดาที่ป้อนอาหารให้กับฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม เมื่อเขาได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหยิบถ้วยโจ๊กไปและป้อนโจ๊กให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลืนโจ๊กไปแล้ว เธอก็รับถ้วยโจ๊กมาและป้อนให้กับเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อทานโจ๊กนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่น้ำตาจะไหลลงมาอาบแก้มของเธอ เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงและกล่าวอย่างสะอึกสะอื้น "พวกเรากินโจ๊กกันแบบนี้มันน่าอับอายไหม ถ้าคนอื่นเห็นเข้าจะต้องหัวเราะเราแน่ๆ ผู้ใหญ้สองคนกินโจ๊กกันแบบนี้จนหมดชาม"

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในอ้อมแขนของเขาและพูด "ไม่ นี่คือการช่วยเหลือกันและกันในยามลำบาก ใครจะมาหัวเราะเรา? มีบางคนต้องการแต่ไม่สามารถทำได้"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอร้องไห้และกอดเหลิ่งเซ่าถิงและพูดว่า "เซ่าถิง คุณอย่าทิ้งฉันไปไหนนะ ได้ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วและมองไปที่ท้องฟ้าสลัวนอกหน้าต่าง เขาเม้มริมฝีปากและบอกกับเธอ "ไม่ว่าผมจะอยู่เคียงข้างคุณหรือไม่ก็ตาม ผมก็รักคุณตลอดไป อี๋นั่ว คุณต้องแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง"

เจี่ยนอี๋นั่วซึ่งยังไม่หายจากความเศร้าโศก เธอจึงไม่ได้ใส่ใจถึงความเสียใจที่แฝงอยู่ภายในประโยคบอกกล่าวของเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกเพียงแค่ว่านี่คือประโยคคำตอบจากเหลิ่งเซ่าถิงที่ตอบเธอ เธอร้องไห้และกอดเซ่าถิงพร้อมกับกล่าวว่า "ฉันจะไม่ทิ้งคุณไปไหน"

เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเบามือ เขาถอนหายใจเบาๆและกล่าว "ผมจะทำให้คุณปลอดภัยอยู่เสมอ"

เมื่อเซ่าถิงกล่าวเช่นนี้ เขาก็หยุดนิ่ง เขาลดเสียงลงและกล่าวเบาๆว่า "ตอนที่ผมเห็นศพพ่อของคุณ ผมก็คิดว่าความปลอดภัยของคุณเท่านั้นที่สำคัญที่สุด แค่เพียงคุณปลอดภัย ผมสามารถเสียสละทุกอย่างได้"

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น มองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย "ทำไมคำพูดคุณดูมีอะไรแปลกๆ?"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่ชอบกลิ่นของโรงพยาบาลเป็นอย่างมาก เธอยังคงจำได้ว่าเมื่อตอนเป็นเด็กทุกครั้งที่ได้กลิ่นโรงพยาบาลเธอก็จะนึกถึงรสชาติของการถูกฉีดยา จากนั้นกลิ่นของโรงพยาบาลหมายถึงการจากไปของญาติและการชราของผู้สูงวัย

แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งค้นพบว่ากลิ่นของห้องเก็บศพกลับแย่ลงไปอีก เธอแทบจะยืนไม่ไหว เธอมองไปที่ศพที่คลุมด้วยผ้าสีขาวและอดไม่ได้ที่คิดอยากจะวิ่งหนีออกไปในทันที

"คุณเจี่ยน โปรดยืนยันศพด้วย" น้ำเสียงที่เยือกเย็นนั้นกระตุ้นเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวเท้าไปด้านหลัง น้ำตาไหลรินลงอาบแก้ม เธอส่ายหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ฉันกำลังคิดว่านี่มีอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่า ทำไมถึงพบศพไวขนาดนี้? พื้นที่ใหญ่ขนาดนั้น ยังมีสถานที่อีกมากมายที่ฉันไม่ได้มองหา บางทีพ่อของฉันอาจกำลังรอให้ฉันไปหาเขาตอนนี้ ฉันคิดว่ามันไร้สาระที่ฉันเสียเวลาอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ฉันควรจะไปตามหาพ่อ ไม่ใช่มาอยู่ที่นี่เพื่อยืนยันศพ พวกคุณนี่น่าขำ พวกคุณคุ้นเคยกับพ่อฉันเหรอ? ทำไมถึงบอกว่าเขาตายแล้ว มีคนมากมายที่หน้าตาคล้ายกัน พวกคุณอาจจำผิดคนก็ได้…"

"คุณเจี่ยน จากที่ตรวจDNAแล้ว…" เสียงที่ยังกล่าวไม่จบ

เจี่ยนอี๋นั่วก็ร้องไห้อย่างหนักหน่วงและขัดบทสนทนาของคนคนนั้น "ฉันไม่ฟังผลอะไรทั้งนั้น ตอนคุณกำลังหาคนน่ะมีข้อผิดพลาดตั้งมากมาย ตอนนี้DNAอะไร ทำไมถึงเทียบกันไวขนาดนี้?"

ชายคนนั้นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วซึ่งกำลังเป็นเหมือนคนไร้วิญญาณ การแสดงออกบนใบหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลยและเขาประกาศอย่างเย็นชา "ผลการชันสูตรไม่มีข้อผิดพลาดใดๆทั้งนั้น คุณเจี่ยนช่วยปรับสภาพอารมณ์ให้มั่นคงด้วยเพื่อที่จะได้รีบยืนยันศพ"

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังชายคนนั้น เธอกัดริมฝีปากของเธอสุดแรง "ฉันไม่อยากเห็น…"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นดื้อดึงไม่ต้องการเปิดผ้าคลุมสีขาว เธอไม่อยากยอมรับว่าภายใต้ผ้าสีขาวคือพ่อของเธอ ตอนนี้เธอกลัวว่าเมื่อเธอยืนยันว่าศพคือพ่อของเธอ เธอก็จะไม่มีข้ออ้างในการหลอกตัวเอง เธอจะทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริงว่าพ่อของเธอนั้นได้จากเธอไปแล้วจริงๆ

ในตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจับไหล่ของเธอ เขาเอนตัวเข้าหาเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก "อี๋นั่ว ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะพาพ่อกลับบ้านหรือ? หากว่าเป็นพ่อของคุณจริงๆ คุณอยากจะให้เขานอนอยู่แบบนี้เหรอ?"

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้และพูด "แต่ว่า…"

"คุณต้องเข้มแข็ม ไม่ใช่เพียงแค่ตอนนี้ หลังจากนี้คุณก็ต้องเข้มแข็งกว่าเก่า ตอนนี้คุณต้องเปิดผ้าขาวเพื่อยืนยันตัวตนของศพ" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มลึก

ดวงตาของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นแดงก่ำจากการร้องไห้ เธอเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง "คุณ..คุณช่วยฉันหน่อย"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วและส่ายหน้าอย่างช้าๆ "ผมไม่สามารถช่วยคุณได้ อี๋นั่วคุณต้องเข็มแข็ง เพื่อให้เราสองคนอยู่รอดไปด้วยกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้และกล่าวเบาๆ "ฉัน … ฉันไม่ต้องการเข้มแข็ง … "

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและลูบไหล่ของของอี๋นั่วอย่างเบามือ เขาขมวดคิ้วและกล่าว "ขอโทษที่ให้คุณอยู่กับผม"

"คุณเจี่ยน ถ้าคุณยืนกรานที่จะไม่ยืนยันศพ งั้นทางเราจะเก็บไว้ได้ในระยะ…." คนคนนั้นยังกล่าวไม่จบ

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าและกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ไม่ ฉันจะไปดู จะไป ถ้าหากไม่ ถ้าหากว่าไม่ใช่ เซ่าถิงคุณไปตามหาพ่อเป็นเพื่อนฉันนะ แต่ฉันรู้สึกว่านี่จะต้องไม่ใช่พ่อของฉันแน่ๆ พ่อของฉันจะต้องอยู่ด้านนอก ฉันไม่อยากให้เขาอยู่ด้านนอกเพียงคนเดียว เขาแก่มากแล้ว เมื่อสองวันก่อนฉันเห็นผมสีขาวบนศีรษะของเขา เขาไม่สามารถอยู่ด้านนอกคนเดียวได้"

"ผมตกลง" เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าและตอบ

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากของเธอและเดินช้าๆไปยังศพ เธอยกมือขึ้นและตัวสั่นเทา เธอค่อยๆเปิดมุมของผ้าขาวอย่างช้าๆ เธอมองไปที่ศพจากช่องนั้น เจี่ยนอี๋นั่วปล่อยมือและทรุดลงกับพื้นพร้อมกับร้องไห้อย่างหนักหน่วงในทันที

เพีงแค่แวบเดียว เจี่ยนอี๋นั่วก็จำได้ว่านั่นคือพ่อของเธอ ตอนที่เธอยังเป็นเด็กเขาก็อุ้มเธอขึ้นบันได คอยจูงมือเธอเดินข้ามถนน คนที่จำชื่อของเธอได้แม้จะมีความบกพร่องทางจิตก็ตาม

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้อย่างเงียบๆ เธอใช้มือทั้งสองกดหน้าอกเอาไว้ แรงทั้งหมดของเธอนั้นเหมือนกับถูกดึงออกไป แม้ว่าเธอจะเจ็บปวดมากก็ตามแต่เธอก็ไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้

กระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงเดินมาข้างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว เขายกมือขึ้นและโอบกอดเธอเอาไว้ เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนร้องไห้ "พ่อของฉัน ไม่มีแล้ว…ไม่มีแล้ว ฉันไม่มีพ่อแล้ว…."

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่นขึ้น เขาเม้มริมฝีปากแน่น แม้แต่คำพูดปลอบประโลมเขาก็พูดไม่ออก เพราะความเศร้าเสียใจอย่างมากของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นทำให้เขาเศร้าไปด้วยและลืมวิธีการปลอบโยนคนอื่น เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำ เขาจ้องมองเจี่ยนฉางรุ่นจากนั้นน้ำตาก็ร่วงหล่นจากมุมดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิง เขาเช็ดน้ำตาในทันทีและกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่นขึ้น

ตอนนี้เขาทำได้เพียงกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เขาพยายามอย่างหนักเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าสิ่งนี้สามารถแบกรับความเศร้าโศกของเจี่ยนอี๋นั่วได้บ้าง

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ด้วยความเหนื่อยล้า แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังคงยืนหยัด เธอแทบจะเป็นลมหมดสติไปแต่เธอก็ยังคงมีสติ เธอเป็นลมได้อย่างง่ายดาย เธอไม่ต้องเผชิญกับเรื่องทั้งหมดนี้อีก แต่ตอนนี้มีเรื่องราวมากมาย หากว่าเธอเป็นลมไป เช่นนี้พ่อของเธอก็ยังคงต้องนอนในห้องเก็บศพหนาวเหน็บเช่นนี้ต่อไปงั้นหรือ?

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันและกลั้นหายใจเฮือกสุดท้าย เธอค่อยๆซับน้ำตาของเธอและพูดเบาๆกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า "คุณช่วยประคองฉันหน่อย ขาของฉันไม่มีแรงเลย"

เหลิ่งเซ่าถิงรีบประคองเจี่ยนอี๋นั่วให้ลุกขึ้น เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วสามารถทรงตัวได้ เธอก็ค่อยๆเอื้อมมือไปเปิดผ้าคลุมสีขาวที่คลุมหน้าพ่อเธอไว้อีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองใบหน้าของเจี่ยนฉางรุ่น เธอค่อยๆเผยรอยยิ้มและกล่าวอย่างนุ่มนวล "พ่อ ฉันจะพาคุณกลับบ้าน"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบ เธอเงยหน้ามองตำรวจที่อยู่รอบข้างเธอและกล่าว "ของทั้งหมดของพ่อ ส่งมาให้ฉัน"

จริงๆแล้วเจี่ยนฉางรุ่นนั้นก็ไม่ได้มีสิ่งของติดตัวมากมายนัก นอกจากเสื้อผ้าแล้วก็มีกล่องเค้ก ภายในนั้นมีเค้กก้อนเล็กๆอยู่ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นเค้กก้อนนั้น เธอจึงถามด้วยเสียงแหบพร่า "มีเค้กได้อย่างไร?"

ตำรวจสูดลมหายใจเข้าลึกๆและกล่าว "จากคำบอกเล่าของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ในตอนที่เกลี้ยกล่อมให้คุณพ่อของคุณออกจากศูนย์รักษาตัว เธอได้สัญญากับเขาไว้ว่าจะพาเขาไปซื้อเค้ก ในตอนที่เดินขึ้นรถ พ่อของคุณก็เริ่มก่อปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อที่จะเอาใจเขาก็เลยต้องพาเขาไปซื้อเค้ก จากนั้นพ่อของคุณก็ถือเค้กไว้ในอ้อมแขนไม่ยอมปล่อย ตอนที่เราพบศพของเขา เค้กก้อนนี้อยู่บนหน้าอกของเขา"

"คุณไม่ต้องพูดแล้ว…" เจี่ยนอี๋นั่วน้ำตาไหลอีกครั้ง เธอโบกไม้โบกมือให้ตำรวจคนนั้นหยุดพูด "ได้โปรดอย่าเล่าต่ออีกเลย ฉันไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว อย่าพูดเรื่องราวเหล่านี้อีกเลย อย่าพูด ได้โปรด…"

เจี่ยนอี๋นั่วอยากรู้รายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับการตายของพ่อเธอ แต่ตอนนี้เธอไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว เธอได้ยินเพียงคำพูดไม่กี่คำจากตำรวจก็นึกถึงตอนที่พ่อของเธอพยายามจะปกป้องเค้กที่เขาเตรียมจะมอบให้เธอและกำลังถูกฉู่หมิงเซวียนแทง เจี่ยนอี๋นั่วสามารถหลีกหนีจากทางเลือกที่ขี้ขลาดนั้นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

เจี่ยนอี๋นั่วมีแรงเพียงแค่ยืนยันตัวตนศพพ่อของเธอเท่านั้น หลังจากที่ศพถูกเผาในตอนรุ่งสาง เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงก็กลับไปยังคฤหาสน์ พวกเขาถือโกศของเจี่ยนฉางรุ่นกลับไปด้วยกัน เฮ่อเยี่ยนหงที่ถูกกักบริเวณอยู่ในคฤหาสน์เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็รีบวิ่งเข้ามา "ฮุ่ยฮุ่ยล่ะ? เจอเธอหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเฮ่อเยี่ยนหงอย่างอ่อนล้า เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่า "คุณออกไปจากบ้านเจี่ยนได้แล้ว"

"หมายความว่าไง?" เฮ่อเยี่ยนหงไม่คาดคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจาเหี้ยมโหดขนาดนี้ออกมา เธอรีบถามในทันที "เกิดเรื่องอะไรขึ้น?"

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่พอใจในเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย แม้แต่เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่สามารถเก็บความโกรธของเธอไว้ได้ แต่ตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะโกรธเคืองจริงๆ เธอนั้นอยากจะให้เฮ่อเยี่ยนหงออกไปจากชีวิตของเธอ ส่วนเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนั้นต้องได้รับโทษ

เฮ่อเยี่ยนหงเห็นโกศในมือของเจี่ยนอี๋นั่วและรีบถามทันที "นี่คืออะไรกัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสโกศนั้นและกล่าว "คือพ่อของฉัน"

เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้นั้นเหนื่อยล้าเต็มที หลังจากที่เธอทรมานมาทั้งเมื่อวานและวันนี้ แม้ว่าเธอจะเห็นว่าศพของพ่อเธอนั้นได้เผาไปแล้ว ภายในใจของเธอนั้นก็ไม่มีความเศร้าโศกใดๆเกิดขึ้น เธอเป็นเหมือนความว่างเปล่า เธอจัดการสิ่งต่างๆด้วยอารมณ์ที่มึนงงตามขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ

"อะไรนะ?" เฮ่อเยี่ยนหงเบิกตากว้างและถามในทันที "เกิดอะไรขึ้น? แล้วฮุ่ยฮุ่ยล่ะ?"

"เธอน่ะเหรอ?" เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเฮ่อเยี่ยนหงและตอบอย่างเย็นชา "ฉันจะปล่อยให้เธออยู่ในคุกตลอดชีวิต"

"เธอทำอะไรผิด? ทำไมเธอต้องทำแบบนั้นกับลูกฉัน? เธอเป็นน้องสาวของเธอ" เฮ่อเยี่ยนหงตะโกนกล่าว

เจี่ยนอี๋นั่วมองเฮ่อเยี่ยนหงและกล่าวเย็นชา "ถ้าทำได้ ฉันล่ะอยากบีบคอของเธอด้วยตัวฉันเอง"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแค่คิดอยากจะทำ เธอนั้นเกือบจะทำลงไปแล้วจริงๆ หลังจากเผาศพพ่อของเธอ ตอนแรกเธอตั้งใจจะตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและจัดการเธอซะ เธออยากจะเห็นว่าที่แท้แล้วเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนั้นมีหัวใจอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่ใช่เพราะความร่วมมือจากฮุ่ยฮุ่ย ฉู่หมิงเซวียนจะพาพ่อของเธอออกจากศูนย์รักษาตัวอย่างง่ายดายได้อย่างไร?

พ่อของเธอถูกฉู่หมิงเซวียนฆ่า แต่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ให้ความร่วมมือกับฆาตกร แต่เหลิ่งเซ่าถิงนั้นห้ามเธอเอาไว้ เขาไม่ให้เธอทำตามอำเภอใจ

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินคำบอกกล่าวจากสิ่งที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดอย่างโหดร้าย ทันใดนั้นเธอก็ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหา เธอรีบถามว่า "ฮุ่ยฮุ่ยทำอะไรผิดไปหรือเปล่า? ต่อให้ทำอะไรผิดไป เธอก็ต้องให้อภัยเธอสิ เธอก็เป็นน้องสาวของเธอ เธอยังเด็ก ยังไม่เข้าใจเรื่องต่างๆ เธอต้องสอนน้อง…"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วและพูดเบาๆกับเหลิ่งเซ่าถิง "คุณช่วยพาผู้หญิงคนนี้ออกไปหน่อย"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า เขาหันกลับไปพูดกับบอดี้การ์ดเขา "พาผู้หญิงคนนี้ออกไป"

เฮ่อเยี่ยนหงหันหน้าไปมองที่เหลิ่งเซ่าถิง แม้ว่าในตอนนี้เธอจะกระวนกระวายใจเรื่องเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย แต่เมื่อเธอได้มองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก็อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้างและตกใจในรูปลักษณ์ที่งดงามของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ต้องขมวดคิ้วแน่น เป็นเพราะรอบกายของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเต็มไปด้วยรัศมีความเย็น จนทำให้เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว

ในเวลานี้บอดี้การ์ดได้เข้ามาและได้ผลักให้เฮ่อเยี่ยนหงออกไป เฮ่อเยี่ยนหงถูกผลักออกไปและเธอพลางตะโกนว่า "อี๋นั่ว ฉันเป็นคนในครอบครัวเธอ เธอจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้!"

อี๋นั่วนั้นหลับตาลง ครอบครัวเหรอ? ก่อนเมื่อวาน เธอนั้นมีครอบครัว แต่หลังจากเมื่อวานแล้ว คนในครอบครัวของเธอนั้นไม่เหลือแล้วแม้แต่คนเดียว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือของเหลิ่งเซ่าถิงที่ปิดตาเธอไว้ออกในทันที เธอลุกขึ้นยืน เดินไปที่ร่างของฉู่หมิงเซวียนและตะโกนว่า "ฉู่หมิงเซวียน แกเอาพ่อฉันไปไว้ที่ไหน? แกตื่นขึ้นมา! บอกฉัน พ่อของฉันอยู่ที่ไหน!? แกพูดสิ ไม่ใช่ว่าต้องการเงินเหรอ ฉันจะให้แก ให้หมดเลย ไม่เอาหรือยังไง?"

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันได้รอคำตอบจากฉู่หมิงเซวียน เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้ามาจับไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วไว้และกล่าว "อี๋นั่ว คุณใจเย็นก่อน เขาตายแล้ว"

"ฉันใจเย็นไม่ไหวแล้ว! เขาเพียงแค่ต้องการเงินเท่านั้น เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าพ่อของฉัน" เจี่ยนอี๋นั่วมองไปรอบๆและตะโกนเสียงดัง "พวกคุณใครเป็นคนยิ่ง? ใครยิ่ง?"

ตำรวจวัยหนุ่มหนึ่งคนยืนขึ้นและพูดอย่างเย็นชา "ผมเห็นเขาถือมีดเอาไว้และกำลังจะแทงคุณ ผมจึงลั่นไก่ ผมทำเพื่อปกป้องคุณ"

"เขาแค่กวักมือเรียกฉัน!" เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเสียงดัง "เขาไม่ได้จะทำร้ายฉัน เขาแค่กวักมือ กวักมือเรียกฉันเท่านั้น เรียกให้ฉันไปหา จะบอกบางอย่างกับฉัน พ่อของฉันอยู่ที่ไหน เขาไม่ได้จะทำร้ายฉัน พวกคุณเป็นอะไรไปกันหมด? คุณจงใจฆ่าพ่อของฉันงั้นหรือ? พวกคุณจงใจใช่ไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและกอดเจี่ยนอี๋นั่วอย่างสุดแรง เขากล่าวอย่างเยือกเย็น "เจี่ยนอี๋นั่ว คุณใจเย็นหน่อย!"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นทั้งร้องไห้และตะโกนลั่น "ฉันจะใจเย็นลงได้อย่างไร ฉันไม่สามารถทำได้! ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนตายไปแล้ว บ้านหินนี้ก็ไม่มีพ่อของฉัน ฉันจะไปตามหาเขาจากที่ไหน พ่อของฉันแม้แต่โทรศัพท์เขาก็ใช้ไม่เป็น เขาไม่สามารถสื่อสารกับคนอื่นได้อย่างปกติ แม้ว่ามีคนอยู่ด้านหน้าเขา เขาก็ไม่รู้จะขอความช่วยเหลืออย่างไร เขาจะ เขา…"

เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?

จะอยู่ได้อย่างไร?

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเช่นนี้ เธอก็เม้มริมฝีปาก เธอทนไม่ได้ที่จะพูดออกมา เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธอไว้แน่นและพูดว่า "อี๋นั่ว อย่ากระวนกระวายไป ถึงแม้ว่าเรื่องจะเกิดขึ้นจนถึงตอนนี้ แต่…"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาก็จมลงลึกไป เขาหยุดชั่วครู่และกล่าวต่อ "แต่นี่เป็นความผิดของพวกเรา แต่คุณคิดดู ฉู่หมิงเซวียนนั้นซ่อนตัวอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว ไม่มีพ่อของคุณ นี่มันหมายความว่าอย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้และเงยหน้ามองเซ่าถิง เธอถามอย่างโง่เง่า "หมายความว่าอะไร?"

ตอนนี้จิตใจของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นยุ่งเหยิง เธอไม่สามารถคิดหรือแก้ปัญหาใดๆได้เลย

"เขาไม่ต้องการรักษาสัญญาตั้งแต่แรก หากว่าเขาต้องการรักษาสัญญา เมื่อเราฝากเงินให้เขาในบัญชี เขาจะปล่อยพ่อของคุณ ถ้าเป็นเช่นนั้น เขาก็จะต้องเก็บพ่อของคุณไว้ข้างกาย เมื่อคุณนัดหมายกับเขา เขาก็จะต้องพาตัวพ่อคุณไปด้วย ตั้งแต่ที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยออกมาจากฉู่หมิงเซวียน แล้วคุณรับโทรศัพท์จากฉู่หมิงเซวียนเป็นเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ฉู่หมิงเซวียนนั้นก็ไม่ได้มีเวลามากมายที่จะขับรถไปยังที่อื่น ในช่วงเวลานี้เขาขับรถมาที่บ้านหินนี้ เขาจะมีเวลาซ่อนตัวพ่อของคุณไว้ในที่ลับได้อย่างไร?" เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงและรีบกล่าว "ดังนั้น เขาอาจทิ้งพ่อของฉันไว้ข้างทาง มีโอกาสเป็นไปได้มากที่พ่อของฉันอาจอยู่ใกล้ๆกับภูเขานี้?"

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากแน่นและไม่พูด เขาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วและพูด "พ่อของคุณสุขภาพไม่ดี เดินได้ไม่ไกลนัก หากว่าปล่อยเขาลงข้างทาง เขาก็มีโอกาสที่จะถูกเราหาพบ ถ้าเป็นอย่างนั้นแผนที่ฉู่หมิงเซวียนวางไว้ก็เปล่าประโยชน์ จากมุมมองของฉู่หมิงเซวียนนั้น เขาเกลียดพ่อคุณมาก การที่จะพาพ่อไปไหนมาไหนด้วยนั้นค่อนข้างจะลำบาก มีโอกาสมากที่…"

"ความหมายของคุณก็คือ มีโอกาสมากที่พ่อของฉันจะถูกฉู่หมิงเซวียนฆ่าไปแล้ว?" เจี่ยนอี๋นั่วนั้นถามด้วยสีหน้าซีดขาวและน้ำเสียงสั่นเครือ

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปาก ไม่กล่าวอะไร เขามองลงไปที่มีดพกในมือของเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าวว่า "ตำรวจจะตรวจดูมีดของเขา เพื่อดูว่ามีคราบเลือดของพ่อคุณบนมีดนี้หรือเปล่า จากนั้นตำรวจจะหาตำแหน่งรถของฉู่หมิงเซวียน ถ้าหากว่าคุณสามารถหาเส้นทางขับรถของเขาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนรถได้ ก็จะไปตามหาพ่อของคุณตามเส้นทางกัน"

เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เหมือนใบไม้แห้งที่แขวนอยู่บนกิ่งไม้ในฤดูหนาว เธอมองไปรอบข้างอย่างว่างเปล่าและกล่าวเบาๆว่า "ฉันทำผิดพลาดตรงไหน ทำไมเรื่องราวถึงกลายเป็นแบบนี้? ทำไมฉันต้องสนใจเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจนลืมพ่อ ทำไมฉันต้องพยายามโทรหาคนให้ตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจนไม่ได้รับสายจากศูนย์รักษาตัว ทำไมฉันต้องไล่ตามฉู่หมิงเซวียน ฉันไม่ควรจัดการฉู่หมิงเซวียนตั้งแต่แรกใช่ไหม? เขา เขามีความคิดที่ผิดเพี้ยน เขาป่วย ทำไมฉันต้องลงมือลงไม้กับเขา? ให้เขาเอาทรัพย์สินตระกูลเจี่ยนไป ให้เขาได้อยู่กับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ ทำไมฉันต้องสนใจพวกเขา? อย่างร้อยหากหมิงเซวียนต้องการฉัน ถ้างั้นฉันก็จะ…"

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจะพูดพบ เธอก็ถูกสวมกอดโดยเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธอไว้แน่นและกล่าว "ขอโทษ…"

"ไม่ใช่ความผิดคุณ ทำไมคุณต้องขอโทษ?" เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้และพูด "ทั้งหมดเป็นความผิดฉัน"

เหลิ่งเซ่าถิงจับไหล่ของเธอและพูด "คุณไม่ผิด มีคนต้องการให้พ่อคุณหายไป ต่อให้คุณทำอะไร พวกเขาก็จะทำเช่นนี้อยู่ดี"

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันอย่างรุนแรง เธอสูดลมหายใจเข้าและร้องไห้อย่างหนักหน่วง "ไม่ได้ ฉันจะไม่ละทิ้งความหวัง ฆ่าคนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ฉู่หมิงเซวียนไม่เคยฆ่าคนมาก่อนเลย เขาจะกล้าฆ่าคนได้อย่างไร บางทีเขาอาจจะส่งพ่อลงระหว่างทางก็ได้ ตอนนี้ให้คนไปตามหาจะต้องหาพบอย่างแน่นอน"

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสงสาร เขาพยักหน้าและกล่าวว่า "งั้นผมจะให้คนตามหาระหว่างทาง คุณพักผ่อนเสียหน่อยเถอะ หากมีข่าวคืบหน้าผมจะบอกคุณ"

"ไม่ ฉันก็อยากจะช่วยหา ช่วยกันมากอาจจะตามพบไวกว่า" เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากล่างของเธออย่างแรง น้ำตาไหลลงมาอย่างอดไม่ได้ เธอสำลักและไอจากนั้นก็กล่าว "เริ่มมืดแล้ว ตอนนี้พ่อของฉันเหมือนเด็กน้อย เขาจะต้องกลัวมากแน่ ฉันต้องตามหาเขา หากหาเขาพบ ฉันจะไม่ให้เขาไปอยู่ศูนย์รักษาตัวแล้ว ฉันจะดูแลเขาอย่างดี จะดูแลเขาเอง จะไม่ปล่อยให้เขาละสายตาไปอีก บริษัทอะไร เรื่องต่างๆอะไร ฉันจะไม่สนใจอีกแล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาของเจี่ยนอี๋นั่ว น้ำเสียงของเขาผ่อนคลายและปลอบประโลม "ได้สิ ในอนาคตคุณตั้งใจดูแลเขาจากนั้นผมจะคอยหาเงินเลี้ยงดูพวกคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า รีบยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา เธอพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าว "อืม ได้สิ แบบนั้นดีเลย ดีมากๆ รอให้พ่อของฉันฟื้นตัว เขาจะต้องชอบคุณมากแน่นอน"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้เธอก็ลดเสียงลง น้ำเสียงของเธอดูลังเลและเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ

ในขณะที่การค้นหาค่อยๆเริ่ม หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็กระวนกระวายใจมากขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเข้าร่วมในการค้นหา ระหว่างทางมีคนถือไฟฉายตะโกนเรียกชื่อเจี่ยนฉางรุ่น แต่ก็ไม่มีผล

ท้องฟ้าค่อยๆมืด มีฝนตกกระจายในท้องฟ้ามืดครึ้ม ฝนตกกระทบผู้คน ความเย็นไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีเลย เจี่ยนอี๋นั่วเธอเดินสะดุดพื้นหญ้า ร่างกายของเธอสั่นเทาแทบจะไม่มีแรงเดินต่อ แต่เธอยังคงกัดริมฝีปากไม่หยุดที่จะมองไปรอบข้าง

ใบไม้และกิ่งไม้ทำให้เกิดบาดแผลเล็กๆมากมายบนแขนและขาของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่รู้สึกเจ็บปวดเลย เธอเป็นเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ไม่หยุดท่าทางของการค้นหา

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังด้านหลังของอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วแน่นและเม้มริมฝีปาก เขาไม่ได้ห้ามเจี่ยนอี๋นั่วจากการค้นหาที่ไร้จุดหมายเช่นนี้ ทุกครั้งที่เจี่ยนอี๋นั่วล้มลง เหลิ่งเซ่าถิงจะคอยยื่นมือช่วยและประคองเจี่ยนอี๋นั่วไว้

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินโซเซและร้องไห้ตะโกนเรียกชื่อพ่อของเธอ ดวงตาของเหลิ่งเซ่าถิงก็จมและ ภายในดวงตานั้นมีความแค้นเกิดขึ้น

เมื่อการค้นหาดำเนินไปจนมืดค่ำ จู่ๆโทรศัพท์ของเหลิ่งเซ่าถิงก็ดังขึ้น เขารับสาย ฟังข่าวคราวจากปลายสาย และในที่สุดก็ตอบด้วยน้ำเสียงที่สุขุม "อืม ผมเข้าใจแล้ว ผมจะบอกเธอเอง"

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงกล่าว เธอก็รีบหันมายังเหลิ่งเซ่าถิง "เกิดอะไรขึ้น ตามหาพ่อเจอแล้วเหรอ?"

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากแน่นและพูดว่า "อี๋นั่ว คุณต้องเข้มแข็ง"

เจี่ยนอี๋นั่วก้าวถอยหลังในทันทีโดยที่เธอยังมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอร้องไห้และส่ายหน้า "ไม่ ฉันไม่เข้มแข็ง ฉันไม่เข้มแข็งเลยสักนิด คุณอย่ามาบอกให้ฉันเข้มแข็ง ฉันแค่เพียงอยากตามหาพ่อให้พบ ชีวิตที่เข้มแข็งถึงจะมีได้!"

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือหาเธอ เขาคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เขาคว้าตัวของเจี่ยนอี๋นั่วมาไว้ในอ้อมกอด "พวกเขาตามหาพบแล้ว"

เจี่ยนอี๋นั่วพิงไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เธอร้องไห้และวิงวอน "ขอร้อง บอกฉันว่าพ่อยังสบายดี ขอร้อง เซ่าถิง ฉันรักคุณมากขนาดนี้ คุณบอกฉัน ตอนนี้พ่อของฉันปลอดภัยดี ได้ไหม? ฉันขอร้องคุณ ฉันขอร้องเพียงเรื่องเดียว"

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นและลูบศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเบามือ เขาพูดด้วยเสียงที่ยากลำบาก "ถ้าทำได้ ผมก็ไม่อยากบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับคุณ"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวเช่นนี้และถอนหายใจ "พวกเขาพบศพพ่อของคุณ ตำรวจบอกว่าให้คุณไปยืนยันตัวตน ผลการตรวจก็ออกมาแล้วว่าบนมีดของฉู่หมิงเซวียนนั้นมีคราบเลือดของพ่อคุณ หลังจากการตรวจสอบเบื้องต้นพ่อของคุณถูกฆ่าโดยฉู่หมิงเซวียน เขาโยนศพเข้าไปในป่า"

เจี่ยนอี๋นั่วตัวแข็งทื่อ เธอยืนพิงหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นไม่นานเธอก็เริ่มร้องไห้อย่างเงียบๆ จากนั้นไม่นานเสียงร้องของเธอก็ดังขึ้นอย่างช้าๆ เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้จนเสียงแหบแห้งเมื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกว่าเป็นเสียงร้องไห้ที่เยือกเย็น

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วและกล่าว "วางใจเถอะ พวกเขา ผมจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่"

เจี่ยนอี๋นั่วที่จมอยู่ในความเศร้าโศกเสียใจไม่ได้ยินคำสัญญาของเหลิ่งเซ่าถิงเลย เธอร้องไห้อย่างหนักหน่วงจนแทบเป็นลม เธอร้องไห้มากจนไม่สามารถหลั่งน้ำตาได้อีกต่อไป เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาที่แทบจะลอยหายไปในสายลม "ไปกันเถอะ ฉันจะไปรับพ่อกลับบ้าน"

"ฉันจะ…ไปรับเขากลับบ้าน…" เจี่ยนอี๋นั่วพูดคำเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา เธอหันตัวหนีและออกจากอ้อมแขนเซ่าถิง เธอเดินไปข้างทางของถนนอย่างโซซัดโซเซ

เจี่ยนอี๋นั่วต้องการที่จะดุด่าฉู่หมิงเซวียน แต่เธอนั้นไม่กล้าที่จะพูดอะไรให้ฉู่หมิงเซวียนระคายเคือง เจี่ยนอี๋นัวทำได้เพียงกัดริมฝีปากและหายใจเข้าลึกๆ เธอใช้มือเช็ดน้ำตาและพูดด้วยรอยยิ้มที่สั่นเทา "ฉันจริงใจ ฉันจริงใจจริงๆ แค่เพียงคุณให้ฉันเจอพ่อ พาพ่อของฉันกลับมา…ฉันก็ตกลงกับคุณทุกอย่าง ฉู่หมิงเซวียน เขาอายุมากและตอนนี้เขาจำอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าคุณจะเกลียดเขาอย่างไร ไม่ว่าคุณจะตอบโต้เขาอย่างไรเขาก็จะไม่รู้สึกเลยสักนิด"

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะ "นั่นแหละทำให้ฉันประทับใจจริงๆ ฉันสามารถทำสิ่งเหล่านี้กับพ่อของเธอได้ แต่ฉันเป็นคนที่รักษาสัญญา ในเมื่อฉันตกลงไว้ว่าฉันต้องการเงิน ฉันไม่ได้ต้องการเธอ ฉันจะเอาแค่เงิน เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันจะให้เลขบัญชีธนาคารไว้กับเธอ เธอต้องโอนเงิน 100 ล้านดอลลาร์เข้าบัญชีนั้น"

"100 ล้านดอลลาร์?" เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่นและกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ฉันไม่ได้มีเงินมากมายขนาดนั้น"

"เธอไม่มี แต่เหลิ่งเซ่าถิงมี" ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะและกล่าว "เธออย่าคิดว่าฉันมองไม่ออกว่าคนที่มาหาเธอวันนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง สำหรับตระกูลเหลิ่ง100ล้านดอลลาร์นั้นเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก"

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น "เรื่องของฉันกับเหลิ่งเซ่าถิงมันไม่ได้สนิทใกล้ชิดกันจนถึงขนาดจะขอเงินก้อนโตขนาดนั้นได้"

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดจบฉู่หมิงเซวียนก็ขัดจังหวะเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงหัวเราะ "เหลิ่งเซ่าถิงสามารถทำเรื่องต่างๆเพื่อเธอได้ เขาจะให้เงินหนึ่งร้อยล้านนี้อย่างแน่นอน เธอบอกเขา หวังว่าเขาจะเป็นคนที่รักษาสัญญา รีบเอาเงินมาให้ฉันไวๆไม่งั้นฉันไม่รู้จะทำอย่างไรจะพูดอย่างไรทำให้ความพยายามของเขานั้นเปล่าประโยชน์! เจี่ยนอี๋นั่ว เธอว่าถ้าหากฉันไม่ได้เงิน ฉันจะทำอะไรกับพ่อของเธอ? พ่อของเธอนั้นโง่เง่าซะขนาดนี้แล้ว เธอว่าถ้าฉันตัดนิ้วเขาไปสักนิ้วสองนิ้ว เขาจะรู้สึกเจ็บปวดหรือเปล่านะ?"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ถึงความประหลาดในคำพูดของฉู่หมิงเซวียน เธอรีบกล่าว "หมายความว่าอะไร? คุณอย่าทำร้ายพ่อของฉัน!"

"ฉันหมายความว่าอะไรล่ะ? เพียงรู้สึกว่าเจี่ยนอี๋นั่วเธอมองผู้ชายได้ดีจริงๆ ช่างรักเดียวใจเดียว ไม่มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงได้ ไปหาเงินมาแล้วเอามาให้ฉัน ทันทีที่เงินอยู่ในบัญชีฉันจะคืนพ่อที่โง่เขลาให้กับเธอ" ทันทีที่ฉู่หมิงเซวียนกล่าวจบก็ตัดสายไปในทันที

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าฉู่หมิงเซวียนตัดสายไป เธอก็รีบตะโกนทันที "หมิงเซวียนอย่าวางสาย…"

แต่เจี่ยนอี๋นั่วนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงของฉู่หมิงเซวียนดังกลับมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันไปมองคนที่ติดตามสัญญาณของฉู่หมิงเซวียน "เป็นไงบ้าง? ติดตามสัญญาณโทรศัพท์ของเขาได้ไหม? ตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?"

คนที่ติดตามสัญญาณโทรศัพท์ของฉู่หมิงเซวียนตอบทันทีว่า "ฉันพบแล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน!"

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า "ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะบอกเซ่าถิง จะดูว่าเขาจะรับมืออย่างไร"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยที่อยู่ข้างกายเจี่ยนอี๋นั่วรีบกล่าวเสียงดังว่า "พี่ คุณพาฉันไปด้วยสิ หมิงเซวียนอาจจะฟังฉันก็ได้ เมื่อกี้เขาก็พูดถึงฉันใช่ไหม? แค่เขาเห็นฉัน เขาก็อาจจะปล่อยพ่อ! จากนั้นคุณให้เงินจำนวนหนึ่งกับเรา ปล่อยฉันและหมิงเซวียนไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจ พวกเราแค่อยากอยู่ด้วยกันเท่านั้น"

"เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เมื่อกี้หมิงเซวียนไม่ได้พูดถึงเธอเลยสักนิด เธออย่าเพ้อฝันให้มากนัก เขาต้องการแค่เงินเท่านั้น" เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบสายตามองไปยังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและกล่าวอย่างเย็นชา "สิ่งที่เธอต้องทำในตอนนี้คืออธิษฐานให้พ่อของเธอปลอดภัย ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่"

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็มองไปยังคนที่ประคองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอยู่และกล่าวอย่างเย็นชาว่า "ดูแลเธอด้วย"

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบขึ้นรถ เธอปิดประตูในทันทีและไม่หันไปมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแม้หางตา ทันใดนั้นโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้น เสียงที่สุขุมและสงบของเหลิ่งเซ่าถิงก็ดังจากปลายสาย "หาที่อยู่ของเขาพบหรือยัง?"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "เจอแล้ว ในตอนนี้ฉันกำลังรีบไป เขาบอก..เขาบอกว่าเขาต้องการเงิน100ล้านดอลลาร์ ต้องการโอนเข้าบัญชีของเขา แต่ฉันไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น.."

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวทันที "ทางผมสามารถหาเงินทุนหมุนเวียนบางส่วนได้ คุณทำให้เขาเชื่อใจก่อน แต่เงินยังไม่สามารถโอนได้ในตอนนี้ รอให้พวกผมตามไป จับเขาไว้ไม่ได้ ก็ติดต่อเขาไว้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการจ่ายค่าไถ่ แม้ว่าคุณจะจ่ายค่าไถ่ แต่ต้องยืนยันก่อนว่าจะต้องได้เห็นคุณลุงก่อนจึงจะโอนเงินให้ ไม่งั้นบางทีหากเขาได้เงินไปก็อาจ…"

หากหลังจากฉู่หมิงเซวียนได้เงินแล้ว ก็มีโอกาสสูงมากที่เขาจะฆ่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เพียงแค่ประโญคนั้นค่อนข้างโหดร้าย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าใจในความหมายของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและกล่าว "เข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก การจ่ายค่าไถ่เป็นขั้นตอนสุดท้ายและฉันจะระมัดระวัง"

เหลิ่งเซ่าถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ "คุณไม่ต้องขอบคุณผม นี่เป็นเรื่องที่ผมควรทำ ตอนนี้ผมกำลังไปในที่ที่หมิงเซวียนซ่อนตัวอยู่ เราไปพบกันที่นั่น"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า "ได้เลย แล้วค่อยติดต่อกัน"

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็วางสายโทรศัพท์ เธอโบกมือจากนั้นรถก็สตาร์ทอย่างรวดเร็ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกรีดร้องจากระยะไกล "พี่ คุณให้ฉันไปพบหมิงเซวียนสิ อย่าปล่อยให้ฉันอยู่ที่นี่ เขาจะไม่ทิ้งฉันอย่างแน่นอน.."

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอยกมือขึ้นปิดหูและหลับตาลง เธอบังคับให้ตัวเองอารมณ์เย็นลง เรื่องราวในวันนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เรื่องราววุ่นวายเกินไปทำให้หัวของเจี่ยนอี๋นั่วแทบจะระเบิดออกมา เธอมักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้อารมณ์ของเธอสับสนวุ่นวายเกินไปและเธอไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน มันเปลี่ยนสิ่งต่างๆทีละขั้นตอนให้กลายเป็นสถานการณ์ปัจจุบัน

ในไม่ช้ารถก็มาถึงที่ซ่อนของฉู่หมิงเซวียน ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะลงจากรถ เธอเห็นว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนได้เข้ามาล้อมพื้นที่ไว้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบลงจากรถและถามคนรอบข้าง "ทำไมตรวจมากันเยอะแบบนี้? หาตัวหมิงเซวียนพบแล้วหรือ?"

"ใช่แล้ว หาตัวหมิงเซวียนเจอแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ในบ้านหิน โดนล้อมไว้แล้ว" มีบางคนตอบกลับเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอกัดฟันและกล่าว "พ่อของฉันยังอยู่ในกำมือของเขา ตอนนี้ล้อมเขาไว้แล้ว หากว่าเขาจะทำร้ายพ่อฉันขึ้นมาจะทำอย่างไร?"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบ เธอปิดหน้าตัวเองอย่างหมดแรง เธอหลับตาลง ในเวลานี้เธอได้ยินเสียงรถหยุดลง เหลิ่งเซ่าถิงลงจากรถ เขาขมวดคิ้วและมองไปยังตำรวจที่อยู่รอบตัวเขา "ทำไมตำรวจมากมายขนาดนี้?"

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า "ตอนที่ฉันมาถึงก็เป็นแบบนี้แล้ว"

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแน่น "ผมเองที่แจ้งตำรวจ แต่ผมบอกแล้วว่าให้ระมัดระวัง ทำไมถึง…"

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดเช่นนี้คิ้วของเขาก็ขมวดแน่นขึ้น ทันใดนั้นเขาก็กลั้นลมหายใจ สายตาจ้องมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเม้มริมฝีปากแน่น ในสายตาของเขานั้นอดไม่ได้ที่จะแสดงความสงสารและรู้สึกผิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกของเหลิ่งเซ่าถิง เธอถามด้วยความตื่นตระหนก "พ่อของฉันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ฉู่หมิงเซวียนจะไม่ทำร้ายพ่อของฉันใช่ไหม?"

"ขอโทษ" จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็กล่าวอย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งงันไปชั่วขณะ เธอเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงและรีบกล่าว "เซ่าถิง ฉันไม่ได้โทษคุณ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น แจ้งตำรวจถูกต้องแล้ว การจัดการของตำรวจนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณ แม้ว่าคุณจะไม่แจ้งตำรวจ แต่ฉันก็จะ …"

จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ยกมือขึ้นและคว้าเจี่ยนอี๋นั่วมากอดไว้และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ขอโทษ…"

"เซ่าถิง…" เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและคิดอยากจะถามว่าเซ่าถิงเป็นอะไรไป

ทันใดนั้นก็มีตำรวจเดินเข้ามา "คุณเจี่ยน ผู้ร้ายต้องการพบคุณและคุณเหลิ่ง"

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าทันที "โอเค ฉันจะเข้าไป"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวพร้อมกับจับมือของเหลิ่งเซ่าถิง "คุณเข้าไปพร้อมกับฉันไหม?"

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าช้าๆยกมือขึ้นจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นได้จับมือของเธอแน่นและมือเขาก็เย็นมาก เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมืออีกข้างขึ้นและจับมือเหลิ่งเซ่าถิง พยายามที่จะทำให้มือของเซ่าถิงอบอุ่น เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเธอจากนั้นทั้งสองก็เดินขึ้นไปบนเขาพร้อมกัน

เหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วและตำรวจสองสามคนเดินไปที่บ้านหินบนภูเขา พวกเขาเห็นฉู่หมิงเซวียนเดินออกมาอย่างช้าๆ เขาถือมีดพกไว้กับเขา สีหน้าของเขาซีดเซียว จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับตะโกนว่า "เธอมันไม่มีความน่าเชื่อถือ! เธอบอกจะเอาเงินมาให้ฉัน เธอต้องการพ่อ ฉันต้องการเงิน ฉันทำทุกอย่างแล้วแต่เธอกลับแจ้งตำรวจ!"

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า "ฉันไม่คาดคิดมาก่อนว่าสถานการณ์จะเป็นแบบนี้ ฉันพยายามทำทุกอย่างให้คุณหนีไปได้ แต่พ่อของฉัน…"

"เขา? เขาซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ พวกแกคิดว่าหาฉันพบแล้วจะหาเขาพบงั้นเหรอ ฉันจะบอกให้ว่ามันไม่ได้ง่ายแบบนั้น" ฉู่หมิงเซวียนกล่าว สายตาเขาเหลือบมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจากนั้นเขาก็หัวเราะ "ฉันใช้งานมันเสร็จฉันก็ทิ้งมันไป ไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น ฉันตายไป พวกแกก็ไม่มีใครรู้ถึงเบาะแสของไอแก่เจี่ยนฉางรุ่น ไม่มีใครรู้ว่ามันยังอยู่หรือว่าตายไปแล้วกันแน่"

หมิงเซวียนกล่าว เขายิ้มและกวักมือเรียกเจี่ยนอี๋นั่ว "อี๋นั่ว มานี่สิ ฉันจะบอกอะไรกับเธอ สิ่งสกปรกบางอย่างที่คนอื่นไม่กล้าบอกเธอ รู้หรือเปล่า? มีใครบางคนที่เพื่อเธอแล้วเขาสามารถฆ่า…."

"ปัง!" ด้วยเสียงกระสุน หน้าผากของฉู่หมิงเซวียนก็ถูกกระสุนเจาะในทันที เขาล้มลงกับพื้นดวงตาของเขายังคงเปิดกว้างราวกับว่ามีบางอย่างที่ยังสะสางไม่เสร็จและไม่เต็มใจที่จะตาย

เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้าดูเลือดของฉู่หมิงเซวียนที่กระเซ็นออกมาต่อหน้าเธอ เธอล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง เหลิ่งเซ่าถิงรีบเข้ามาประคองเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เขาปิดตาของเธอและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง "คุณไม่ต้องกลัว!"

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกกลัวมาก เธอไม่ได้กลัวที่หมิงเซวียนตาย ความทรมานในวันนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่กลัวความตายเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วกลัวก็คือหากหมิงเซวียนตาย เธออาจหาตัวพ่อของเธอไม่พบ

ตำรวจรีบเข้าไปในบ้านหิน หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งพวกเขาก็กล่าวออกมา "ไม่มีอะไรเลย! ตัวประกันไม่ได้อยู่ที่นี่!"

"พวกคุณ…พวกคุณในตอนที่ฉันตื่นตระหนกเกี่ยวกับการหายตัวไปนั้นก็เลยถือโอกาสพาพ่อออกไปจากศูนย์รักษาตัวงั้นเหรอ?" เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยดวงตาสีแดงก่ำ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ้มและกล่าว "ตอนนี้รู้ถึงความเก่งกาจของเราหรือยัง? เมื่อฉันไปถึงศูนย์รักษาตัว พ่อก็เรียกชื่อฉัน จากนั้นพวกเราก็พาพ่อออกมาจากที่นั่นได้อย่างง่ายดาย ฉันก็เป็นลูกสาวของเขา ฉันอยากจะพาเขาไป ใครจะมีสิทธิ์มาห้ามฉัน?"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองไปยังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอค่อยๆส่ายหน้าและน้ำตาก็ไหลร่วงลงในทันที "เธอทำแบบนี้ไม่ได้ นั่นคือพ่อของพวกเรา เธอทำแบบนั้นได้อย่างไร? เธอรู้ไหมสิ่งที่ฉู่หมิงเซวียนเกลียดมากที่สุดคือพ่อของพวกเรา? ในตอนนี้เขาไม่เข้าใจอะไรเลย เขาเทียบไม่ได้แม้แต่กับเด็กคนหนึ่ง เด็กน้อยที่พอจะรู้ความยังคิดหนีได้ แต่เขานั้นเลือกที่จะหนีไม่ได้ด้วยซ้ำ เป็นอย่างนี้แล้วเธอยังวางใจที่จะส่งเขาไปหาฉู่หมิงเซวียนอีกเหรอ?"

"แล้ว..แล้วมันยังไงล่ะ..ก็เพราะเธอ ปิดกั้นไม่ให้ฉันพบเจอหมิงเซวียน ไม่งั้นฉันก็คงจะไม่ทำแบบนี้!" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตะโกนเสียงดังด้วยความรู้สึกผิด

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเพิ่มระดับเสียงขึ้นอีกเล็กน้อยและตะโกนว่า "แล้วก็..พ่อ..พ่อน่ะเขาเข้าข้างเธอตลอด..เขา.."

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นและตบหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอย่างสุดแรง เธอโกรธมากจนสมองของเธอนั้นสั่นคำรามและเสียงของเธอสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ "เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า? ตอนนี้เธอเย่อหยิ่งจองหองขนาดนี้ได้อย่างไร ใครทำให้เธอเป็นแบบนี้? หากว่าไม่ใช่พ่อเลี้ยงเธอมา เธอจะเสพสุขเพลิดเพลินได้อยู่ตั้งหลายปีได้อย่างไร? ที่พ่อเข้าข้างฉัน ก็เพราะเขาอยากให้ฉันช่วยดูแลเธอ แม้ว่าเขาจะทำบางอย่างที่ทำให้เธอไม่มีความสุขแต่เขาก็คือพ่อของเธอไม่ใช่เหรอ? เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอยังมีจิตสำนึกอยู่บ้างไหม? ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ เธอก็คือหนึ่งในฆาตกร"

"จะไม่เกิดเรื่องเลย หมิงเซวียนเขาบอกว่าเขาต้องการแค่เงิน.." เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกล่าวด้วยความตื่นตระหนก "เขาบอกว่าเธอไม่สนใจฉัน ไม่ให้เงินฉันเลยด้วย ดังนั้นที่ฉันต้องการตัวพ่อก็เพราะคนที่สำคัญที่สุดในใจของเธอก็คือพ่อ มีพ่ออยู่ในกำมือก็จะมีเงิน หมิงเซวียนและฉันจะได้อยู่ด้วยกัน"

มือและเท้าของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเย็นและสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ภายในสมองของเธอนั้นว่างเปล่า สิ่งที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดนั้นไม่ผิดเลย คนที่สำคัญที่สุดในใจของเจี่ยนอี๋นั่วก็คือพ่อของเธอ เมื่อเธอได้ยินว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนั้นถูกลักพาตัว เจี่ยนอี๋นั่วก็กระวนกระวายใจ แต่เธอก็ยังคงพยายามหาทางแก้ไขในเรื่องนั้น แต่ตอนนี้ภายในสมองของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นว่างเปล่าไม่มีซึ่งความคิดใดๆและไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้เลย

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นรู้สึกผิดพลาดและเสียดาย เธอไม่ควรสนใจชีวิตและความตายของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย คนที่ไร้ซึ่งหัวใจเธอไม่ควรไปใยดี เจี่ยนอี๋นั่วควรสนใจเพียงแค่พ่อของเธอเพียงคนเดียว ไม่ควรเพิกเฉยต่อพ่อของเธอเพราะการหายตัวไปของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้ฉู่หมิงเซวียนใช้โอกาสนี้และนำตัวพ่อของเธอไป

ทำไมเจี่ยนอี๋นั่วถึงอ่านความคิดของฉู่หมิงเซวียนกัน? ใช่แล้ว พาตัวเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปจะมีประโยชน์อะไร การพาตัวพ่อของเธอไปต่างหากล่ะ ฉู่หมิงเซวียนนั้นสามารถล้างแค้นเธอได้และยังสามารถทำให้เธอหมดหนทางได้อีกด้วย ในตอนนี้ต่อให้ฉู่หมิงเซวียนนั้นบอกว่าเขาไม่ต้องการเงินแล้ว แต่ต้องการชีวิตของเธอ เธอก็ยินดีมอบชีวิตเธอให้เขา

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและกล่าวอย่างเย็นชา "หากว่าพ่อเป็นอะไรขึ้นมา เธอก็ต้องตาย เราจะตายไปด้วยกัน!"

ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง สายตาของเธอนั้นหม่นหมอง เมื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้มองเธอ เธอก็ตกใจจนแทบจะร้องไห้กับท่าทีที่จริงจังของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ทุกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเป็นเรื่องจริง เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้คิดจะฆ่าเธอจริงๆ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยร้องไห้และตะโกน "พี่ ฉันไม่รู้ว่ามันจะร้ายแรงถึงขนาดนี้ หมิงเซวียนเขาบอกว่าเขาต้องการแค่เงิน เขาบอกเขาต้องการเงินจริงๆ พี่อย่าโทษฉัน ฉันแค่หลงหมิงเซวียนมากไป การฆ่าคนมันผิดกฎหมาย เขาจะไม่ทำแบบนั้น พี่ ฉันจะบอกพี่ว่าเขาอยู่ไหน เขานั้นหลบอยู่ใต้สะพาน ตอนนี้เขากำลังจะพาพ่อไปอยู่บนภูเขา เขาบอกว่าบนภูเขาจะปลอดภัยกว่า เขาบอกว่าจะติดต่อฉัน อีกเดี๋ยวฉันก็จะรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนจากนั้นเดี๋ยวฉันจะไปพบเขา พี่ พี่อย่ากังวลไป พี่ไม่รู้หรอกว่าเขามีความรักต่อฉันมากแค่ไหน เขาจะไม่ทิ้งฉันไปอย่างแน่นอน!"

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้า เธอขมวดคิ้วและจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ในดวงตาของเธอนั้นมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาอย่างไม่ขาดสาย แต่น้ำเสียงของเธอสงบและเยือกเย็นมาก "พวกเธอพาพ่อออกไปได้อย่างไร?"

มีแค่เจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้นที่รู้ตัวเอง ตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่คนที่ด้านนอกดูแข็งแกร่งเท่านั้น คนอื่นอาจมองเธอว่าเธอนั้นสงบเยือกเย็น แต่จริงๆตอนนี้ภายในใจของเธอตื่นตระหนกและกังวลเป็นอย่างมาก

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยค่อยๆขยับริมฝีปากของเธอและกล่าวด้วยเสียงเบา "แม้ว่าพวกคุณจะจัดคนเฝ้าดูแลภายในศูนย์รักษาตัว แต่อย่างไรก็ตามฉันก็เป็นน้องสาวของพี่ ดังนั้นฉันจึงอ้างว่าเข้ามาเยี่ยมจึงได้เข้าไปภายในศูนย์รักษาตัว เมื่อได้เจอกับพ่อ พวกเขาเห็นว่าพ่อจำฉันได้จึงให้พ่อกับฉันพูดคุยกัน ฉันบอกพ่อว่าฉันจะพาเขาออกไป พ่อก็โง่เง่า เขาถามฉันว่าฉันจะไปซื้อเค้กให้พี่ไหม จะเป็นวันเกิดพี่แล้ว ต้องได้กินเค้ก..ฉันก็พยักหน้า บอกเขาว่าจะพาเขาไปซื้อเค้ก เขาก็ออกมากับฉัน พยาบาลโทรหาคุณสองสามครั้ง แต่พวกเขาโทรไม่ติด ฉันก็เลยพาพ่อออกมาเลย นั่งรถของหมิงเซวียนแล้วหมิงเซวียนก็รับชายคนหนึ่งที่ดูเชื่อฟังขึ้นมาบนรถแล้วเขาก็ให้ฉันมาที่นี่เพื่อถอนเงิน…แล้วสุดท้าย..สุดท้ายก็เป็นแบบนี้…"

"เขา? ภูเขาไหน?" เจี่ยนอี๋นั่วถามเธอ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยส่ายหน้าและกล่าว "ฉันไม่รู้ เขาพูดแค่เขากำลังจะไปภูเขา"

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจอยู่สองสามครั้ง จากนั้นเธอก็สงบสติอารมณ์ของเธอและถามต่อ "งั้นเธอรู้หมายเลขทะเบียนรถเขาไหม?"

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยส่ายหน้าและกล่าว "ฉัน ฉันไม่รู้"

"เธอไม่รู้อะไรเลยหรือยังไง? ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง ฉันจะไปตามหาพ่อได้อย่างไร?" เจี่ยนอี๋นั่วตะโกน

จากนั้นในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ทรุดตัวลงนั่งยองๆกับพื้นและน้ำตาไหลออกมา เธอตื่นตระหนกอย่างมากเป็นเหมือนเด็กน้อยที่ทำอะไรไม่ถูก

แต่หลังจากร้องไห้เพียงครู่เดียว เจี่ยนอี๋นั่วก็บังคับตัวเองเข็มแข็ง เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างสุดแรง เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วมือสั่นและกดโทรศัพท์อยู่สองสามครั้ง จากนั้นเธอกดโทรหาเหลิ่งเซ่าถิง คนเดียวที่เธอสามารถพึ่งพาได้ตอนนี้คือเหลิ่งเซ่าถิง

ทันทีที่รับสาย เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบถามทันที "มีอะไรหรือเปล่า?"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า "ช่วยฉันด้วย ได้โปรดช่วยฉัน..ช่วยฉันตามหาพ่อ พ่อฉันถูกฉู่หมิงเซวียนเอาตัวไป ตอนนี้เขาตกอยู่ในอันตราย หมิงเซวียนและพ่อของฉัน…"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวเท่านั้นแล้วจู่ๆเธอก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักหน่วง เจี่ยนอี๋นั่วพยายามอย่างมากในการถือโทรศัพท์ ตัวเธอสั่นจนแทบจับโทรศัพท์ไว้ไม่อยู่

"อี๋นั่ว ใจเย็นก่อน ค่อยๆพูดกับผม เดี๋ยวผมจะไปหาเดี๋ยวนี้" น้ำเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมั่นคงและทรงพลัง

เมื่อได้ยินเสียงของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกมีพลังขึ้นเล็กน้อย เธอค่อยๆถอนหายใจ ปรับอารมณ์ให้คงที่จากนั้นก็กล่าวว่า "เขาแค้นพ่อของฉัน ฉันกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพ่อ ตอนนี้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยบอกว่าฉู่หมิงเซวียน…ฉู่หมิงเซวียนจะพาพ่อขึ้นไปบนภูเขาแห่งหนึ่ง แต่ว่าตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนติดต่อไม่ได้ บัตรธนาคารก็ไม่ได้ใช้เลย ฉันไม่รู้จะไปหาเขาได้จากที่ไหน"

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม "ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวผมจะแจ้งตำรวจ ให้พวกเขาตั้งจุดตรวจตามจุดแยกต่างๆ ตอนนี้คุณอย่างเพิ่งทำอะไรทั้งนั้น ขอให้คุณสงบสติอารมณ์ตัวเองก่อน ฉู่หมิงเซวียนอาจจะติดต่อคุณมา คุณจะต้องใจเย็นๆ"

เจี่ยนอี๋นั่วนั้นพยักหน้า "เข้าใจแล้ว ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะรอคุณ"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบก็ได้วางสายไป เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจากนั้นก็กล่าวกับคนอื่นๆว่า "พวกคุณดูเธอไว้ให้ดีๆ นี่คือผู้สมรู้ร่วมคิดของผู้ที่ลักพาตัว รอให้ตำรวจมาก็ส่งเธอให้กับตำรวจ"

"พี่..ลักพาตัวอะไรกัน?" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนั้นร้อนรนและร้องไห้ออกมาในทันที "ฉันแค่เพียงพาพ่อออกมาเท่านั้น ไม่ได้ลักพาตัวเขา!"

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยสายตาที่ว่างเปล่าและกล่าวอย่างเยือกเย็น "ตอนนี้ฉันรู้สึกพลาดมากที่เมื่อกี้มัวแต่ห่วงเรื่องชื่อเสียงของเธอและไม่ได้รีบแจ้งตำรวจ ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป เธอไม่ใช่น้องสาวของฉันอีกแล้ว ไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพี่ เธอลักพาตัวพ่อของฉันไปและคิดข่มขู่ฉัน"

"พี่ ฉันยังเด็ก ฉันไม่รู้ว่าเรื่องราวจะใหญ่โตแบบนี้และพี่เองก็คิดมากไป พ่ออาจจะไม่เกิดเหตุร้ายอะไรก็ได้!" เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเริ่มร้องไห้ด้วยความตื่นตระหนก

เจี่ยนอี่นั่วมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า "เธอคิดว่าตัวเองยังเด็กเหรอ? หยุดพูดซะเถอะ กฎหมายจะบอกเธอเองว่าในฐานะผู้ใหญ่อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ"

เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวจบ โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอมองหมายเลขที่ไม่คุ้นเคยและก็รีบรับสายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุม "ฮัลโหล"

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงฉู่หมิงเซวียนที่มาจากอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ เธอก็ให้คนค้นหาและติดตามสัญญาณโทรศัพท์อย่างเงียบๆ เพื่อค้นหาที่อยู่ของโทรศัพท์เครื่องนี้

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะและกล่าว "ว่าไง อี๋นั่ว ตอนนี้ฮุ่ยฮุ่ยถูกเธอจับได้แล้วสินะ? ฉันรับสายของหวังเหมี่ยนและรู้ว่าต้องเป็นเธอที่ตามหาเขา ดังนั้นฉันจึงส่งน้องสาวของเธอกลับไป เป็นไง เธอดีใจใช่ไหมล่ะ? ในที่สุดก็ได้พบกับน้องสาวที่น่ารักของตัวเอง เธอต้องดีใจสิใช่ไหม?"

"พ่อฉันล่ะ?" เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างเย็นชา

หมิงเซวียนหัวเราะและกล่าว "ลุงจะอยู่กับฉันไปอีกพักใหญ่ ฉันต้องตอบแทนน้ำใจของเขาอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะเขา ตอนนี้ฉันคงได้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลฉู่แล้ว จะมาอยู่ในจุดที่ถูกตามล่าได้อย่างไร? แม้แต่เธอก็จากไป ทั้งหมดคือความผิดของเขาดังนั้นฉันคิดว่าเขาควรจะต้องได้รับโทษสักหน่อย?"

"คุณสามารถตั้งข้อเสนอได้ ฉันจะส่งคุณไปให้ไกลจากที่นี่และเรื่องทั้งหมดนี้จะไม่กล่าวโทษถึงคุณ" เจี่ยนอี๋นั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะ "หนีไปให้ไกล? จริงเหรอ? ดีเลย เธอกับฉัน เราหนีไปให้ไกล งั้นพ่อของเธอ ฉันจะปล่อยเขาไป"

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่นและตอบตกลง "เอาเลย ฉันตกลง"

"ตกลงไวขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่จริงใจ" ฉู่หมิงเซวียนกล่าว "จริงๆแล้วพ่อของเธอนั้นโง่ขนาดนี้ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน หากว่าฉันให้เขากินโคลนแล้วเขากินมันลงไปพร้อมด้วยรอยยิ้ม…"

“งั้นเหรอ? ฮุ่ยฮุ่ยอาจจะไม่ได้อยู่กับฉู่หมิงเซวียน? งั้นก็ดีสิ!” เฮ่อเยี่ยนหงพูด แล้วถอนหายใจออกมายาว

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายลงเลยสักนิด คิ้วของเธอขมวดแน่น ในทางกลับกันรู้สึกว่ายิ่งกดดันเข้าไปอีก ถ้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอยู่ด้วยกันกับฉู่หมิงเซวียน งั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยังสามารถคิดหาวิธีได้ อย่างน้อยเธอก็ยังนับว่าคุ้นเคยกับฉู่หมิงเซวียนอยู่บ้าง สามารถเดาทางได้ว่าฉู่หมิงเซวียนจะทำอะไร

แต่ถ้าเป็นคนใดคนหนึ่งในตระกูลเหลิ่งลักพาตัวเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย งั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็คงไม่มีวิธีแล้วจริงๆ เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนในตระกูลเหลิ่งจะใช้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยทำเรื่องแบบไหน

“คุณหญิง กู้คืนมือถือได้แล้วครับ” คนที่กู้คืนระบบมือถือยื่นมือถือส่งมาให้เจี่ยนอี๋นั่ว

“คุณหญิง? อี๋นั่ว นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เธอ เธอแต่งงานแล้ว?” เฮ่อเยี่ยนหงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถามอย่างประหลาดใจ

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก แล้วพยักหน้าเบาๆ:“ฉันแต่งงานแล้ว”

เฮ่อเยี่ยนหงตกใจเบิกตากว้าง:“นี่……นี่มันเป็นไปได้ยังไง? ถ้าเธอแต่งงาน ทำไมถึงไม่มีข่าวคราวอะไรเลยล่ะ? อีกอย่างดูคนพวกนี้สิ เป็นลูกน้องของสามีเธอหมดเลยเหรอ? คนที่เธอแต่งงานด้วยคงจะไม่ธรรมดาสินะ? ในเมื่อแต่งงานกับคนที่ดีขนาดนี้ ทำไมไม่บอกพวกเราหน่อยล่ะ? เธอกลัวว่าฉันกับฮุ่ยฮุ่ยจะทำให้เธอเสียเวลาเหรอ? พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ถ้าเธอได้แต่งงานกับคนที่ดี สามารถช่วยฉันกับฮุ่ยฮุ่ยได้ ฉันก็ดีใจด้วย ไม่มีทางเป็นภาระเธอแน่นอน ฉันยังหวังอยู่เลยว่าเธอจะหาคนที่ดีสักคนให้ฮุ่ยฮุ่ย……”

“ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้นะ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือต้องหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยให้เจอ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเฮ่อเยี่ยนหงด้วยเสียงเย็นชา

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย จู่ๆก็นึกขึ้นได้ แล้วรีบบังหน้าร้องไห้ออกมา:“จริงสิ ฮุ่ยฮุ่ยของฉัน……ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนแล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเฮ่อเยี่ยนหง แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮ่อเยี่ยนหงคนนี้ไม่สามารถพูดข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์กับเธอได้เลย เรื่องตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เธอคงต้องพึ่งตัวเองแล้วล่ะ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยิบมือถือขึ้นมา เปิดดูหน้าข้อความ เธอเห็นว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยโทรคุยกับเบอร์ที่ไม่รู้จักหลายสายมาก อีกอย่างในข้อความมีไม่กี่ข้อความที่ใช้ได้ ในข้อความที่ใช้ได้มีนัดเจอที่ไหนและนัดเจอเมื่อไหร่อยู่

ถึงแม้ว่าในข้อความจะไม่ได้พูดถึงชื่อของฉู่หมิงเซวียน แต่เจี่ยนอี๋นั่วมีความรู้สึกว่าคนที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยส่งข้อความไปหา มีความเป็นไปได้ว่าเป็นฉู่หมิงเซวียน พอพบว่าคนที่ไปมาหาสู่กับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคือฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็ผ่อนคลายลง เธอชี้ไปที่สถานที่ในข้อความ:“ตอนนี้รีบไปที่สถานที่นี้ ที่นี่น่าจะมีกล้องวงจรปิด ไปถึงแล้วก็คิดวิธีที่จะตรวจสอบกล้องวงจรปิด พอหาร่องรอยของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเจอ ให้รีบมาบอกฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เลือกรูปเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและฉู่หมิงเซวียนออกมาจากมือถือ แล้วส่งให้คนอื่นๆผ่านข้อความ:“สองคนนี้แหละ แล้วเดี๋ยวฉันจะส่งข้อมูลอย่างละเอียดของสองคนนี้ตามไป ตอนนี้รีบไปหาเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ คนอื่นๆก็แยกย้ายกันไป เริ่มตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เฮ่อเยี่ยนหงเช็ดน้ำตา มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“พวกเราก็ควรจะตามไปหาด้วยสิ คนตามหาเพิ่มขึ้น โอกาสเจอก็เพิ่มขึ้น”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า:“ใช้กำลังคนสิ้นเปลืองไม่ได้ พวกเขาตามหลังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไป พวกเราต้องไปรอเขาที่ด้านหน้า ในเมื่อมีกำลังคนพอที่จะตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้ว ตอนนี้คุณก็กลับไปที่บ้านพักก่อน ฉันจะจัดคนให้ไปคุ้มครองคุณสองคน คุณห้ามออกจากบ้านพักนะ ฮุ่ยฮุ่ยไม่ได้พกเงินติดตัว ฉู่หมิงเซวียนก็เหมือนกัน ถ้าพวกเขายังอยากจะมีชีวิต มีความเป็นไปได้ว่าจะให้ฮุ่ยฮุ่ยกลับไปเอาเงินที่บ้านพัก ถ้าฮุ่ยฮุ่ยกลับไป คุณต้องคิดวิธีให้เธออยู่ต่อ ถ้าอยู่ต่อไม่ได้จริงๆ คุณก็ให้มือถือเธอไปเครื่องหนึ่ง พวกเราสามารถตามตำแหน่งที่อยู่เธอจากมือถือ แล้วหาเธอเจอได้”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบพยักหน้า:“ฉันรู้แล้ว ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้ แล้วเธอล่ะอี๋นั่ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“ฉันจะไปหาฉู่หมิงเซวียน ช่วงนี้เขาไม่ได้ใช้บัตรธนาคารไม่ได้ใช้บัตรประชาชน เงินสดติดตัวก็ไม่พอ แถมยังหาวิธีติดต่อกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้อีก ต้องมีคนช่วยเขาอยู่แน่ ฉันต้องคัดเลือกเพื่อนฝูงญาติพี่น้องของฉู่หมิงเซวียนสักหน่อย หาคนที่น่าจะเป็นคนช่วยเหลือฉู่หมิงเซวียน บางทีเขาอาจจะล่อฉู่หมิงเซวียนออกมาให้ได้”

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ จู่ๆก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตระหนกอะไรขนาดนั้นแล้ว เธอรีบจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา พูดอย่างสะอึกสะอื้น:“อี๋นั่วเธอต้องหาให้ละเอียดนะ เรื่องฮุ่ยฮุ่ยฉันฝากเธอด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“คุณก็ระวังตัวด้วย เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องกับฮุ่ยฮุ่ย คุณต้องบอกฉันให้หมด ห้ามทำอะไรโดยพลการ ถ้าพวกเขาใช้ชื่อของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนัดคุณออกไป คุณก็ต้องบอกฉันก่อน พวกเขาอาจจะลักพาตัวคุณ พอถึงตอนนั้นคุณไม่เพียงแต่ไม่สามารถช่วยฮุ่ยฮุ่ยออกมาได้ ในทางกลับกันก็จะทำให้คุณตกอยู่ในอันตรายไปด้วย”

เฮ่อเยี่ยนหงพยักหน้าติดต่อกัน:“โอเค ฉันจะจำไว้ ฉันจะไม่ไปไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเฮ่อเยี่ยนหง เธอก็พยักหน้าเบาๆ หลังจากนั้นก็กวักมือเรียกคนมาหนึ่งคน ให้คนนั้นส่งเฮ่อเยี่ยนหงกลับบ้านพักตระกูลเจี่ยน

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เริ่มสืบหาจากเบอร์ที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยติดต่อมาตลอด เบอร์ที่ไม่รู้จักนั้นถ้าเป็นฉู่หมิงเซวียน มีความเป็นไปได้ว่าฉู่หมิงเซวียนจะใช้เบอร์นั้นติดต่อกับคนอื่นๆ เจี่ยนอี๋นั่วคัดเลือกทีละเบอร์ ในที่สุดก็หาคนที่มีความเป็นไปได้ว่าช่วยเหลือฉู่หมิงเซวียนเจอ คิดไม่ถึงว่าเขาคือหวังเหมี่ยน

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะโทรหาหวังเหมี่ยน คนที่กำลังตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ส่งข้อความกลับมา เป็นคลิปรอบๆสถานที่ที่พวกเขานัดเจอกัน เป็นอย่างที่คิด เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอยู่กับฉู่หมิงเซวียน แต่ตอนนี้หาร่องรอยฉู่หมิงเซวียนกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่เจอแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วรีบโทรหาหวังเหมี่ยน เสียงของหวังเหมี่ยนค่อนข้างตื่นตระหนก:“ประธานเจี่ยน……มีธุระอะไรเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินน้ำเสียงของหวังเหมี่ยนที่ตื่นตระหนก ก็รีบถามเสียงเย็นชา:“คุณไม่ต้องพูดเจรจากับฉัน ฉันถามคุณหน่อย คุณให้เงินฉู่หมิงเซวียนไปก้อนหนึ่งใช่ไหม?”

หวังเหมี่ยนถอนหายใจเบาๆ:“ประธานเจี่ยน……ตอนนี้เขาน่าสงสารมากนะ ทั้งๆที่เป็นคนที่มีความสามารถขนาดนั้น ถูกบีบจนถึงขั้นนี้แล้ว ผมในฐานะที่เป็นเพื่อนอดใจไม่อยู่จริงๆ เขามาขอร้องผมแล้ว ผมก็เลยให้คนของบริษัทย่อยให้เงินเขาไปก้อนหนึ่ง”

“เงินสด?” เจี่ยนอี๋นั่วถามเสียงเย็นชา

หวังเหมี่ยนตอบรับ:“ใช่ เขาต้องการแค่เงินสด”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดเสียงเย็นชา:“งั้นตอนนี้คุณติดต่อเขา ฉันจะบอกสถานที่คุณ คุณให้เขาไปที่นั่นเพื่อรับเงิน”

“ประธานเจี่ยน อย่าบีบจนเขาไม่เหลือที่ยืนแบบนี้เลย ยังไงซะคุณก็เคยคบกับเขา ยกโทษให้ได้ก็ยกให้เถอะ” หวังเหมี่ยนยังคงแก้ต่างให้ฉู่หมิงเซวียน

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่มระดับเสียงแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง:“เขาลักพาตัวน้องสาวฉันไป มีความเป็นไปได้ว่าข่มขู่เธอ ตอนนี้คุณเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการทำผิดกฎหมายนะ หวังเหมี่ยน ถ้าเกิดน้องสาวฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันไม่มีทางให้คุณได้อยู่สงบสุขแน่ พอถึงเวลานั้น ฉันจะทำให้คุณรู้ ว่าอะไรคือบีบจนไม่เหลือที่ยืนที่แท้จริง!”

“หา……แบบนี้นี่เอง……” หวังเหมี่ยนพูดอย่างร้อนรน:“ผมคิดไม่ถึงจริงๆว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย ประธานเจี่ยนคุณวางใจเถอะ ผมจะรีบโทรไปหาเขา งั้นผมวางสายก่อนนะ รอให้ผมติดต่อเขาได้ ผมจะรีบติดต่อคุณไป”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินมือถือถูกวางสายแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วขมวดคิ้ว เธอเม้มริมฝีปาก ขมวดคิ้วรอสักพัก แล้วคิดว่าจะแจ้งความดีไหม ถ้าแจ้งความสามารถใช้กำลังหลายคนในการตามหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้ แต่มันก็เป็นการประกาศความสัมพันธ์ระหว่างฉู่หมิงเซวียนกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเหมือนกัน พอถึงตอนนั้นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะยืนในสังคมนี้ยังไง?

แต่ถ้ายังเสียเวลาต่อไปอีก……

เจี่ยนอี๋นั่วที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากทั้งสองอย่างกำลังครุ่นคิด มือถือของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้นอีกครั้ง เธอรีบรับโทรศัพท์ ก็ได้ยินหวังเหมี่ยนพูดอย่างร้อนรน:“ประธานเจี่ยน ผมติดต่อกับฉู่หมิงเซวียนได้แล้ว อีกสักพักเขาจะไปเจอกับคนของผมที่ศูนย์การค้าหอไข่มุก พวกคุณสามารถไปที่นั่นตอนนี้ได้เลย ประธานเจี่ยน เรื่องนี้ผมทำได้ไม่ถูกต้องไม่ถูกมนุษยธรรม หวังว่าคุณจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องก่อนหน้านี้ที่ผมทำไปนะ”

“วางใจเถอะ เรื่องก่อนหน้านี้ ฉันไม่เอามาใส่ใจหรอก” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็วางสายโทรศัพท์เลย

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็บอกให้ทุกคนทราบทันที ให้ไปที่ศูนย์การค้าหอไข่มุก พอถึงที่ศูนย์การค้าหอไข่มุกแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็นั่งอยู่ในรถ จ้องทิศทางการเคลื่อนไหวในศูนย์การค้า รอประมาณสองชั่วโมง เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นเงาของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

คนที่จัดเตรียมไว้แล้วรีบโผเข้าไปจับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเอาไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินลงจากรถไป มองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ขมวดคิ้วแล้วถาม:“เธอคนเดียวเหรอ? ฉู่หมิงเซวียนล่ะ?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยดิ้นแล้วตะโกนออกมา:“เจี่ยนอี๋นั่ว ผู้หญิงอย่างเธอมันอำมหิต ที่ทำแผนการร้ายนี่ล่อฉันออกมา!”

“ฉู่หมิงเซวียนล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วกดไหล่ของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้วตะโกนออกมา:“เขาอยู่ไหน?”

ถ้าจับฉู่หมิงเซวียนไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงรู้สึกไม่สบายใจ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตะโกนออกมา:“ฉันจะบอกเธอให้ เธออย่าคิดว่าจะหาหมิงเซวียนเจอ ฉันจะปกป้องเขา ฉันไม่มีทางให้เขาถูกผู้หญิงชั่วร้ายอย่างเธอทำร้ายหรอก!”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“เธอรู้ไหมว่าเขาทำอะไรเธอลงไปบ้าง? ทำไมเธอยังจะปกป้องเขาแบบนี้อีก? เขาอัดคลิปที่เธอมีอะไรกับเขาไว้ แล้วมาขู่ฉัน ฮุ่ยฮุ่ย เธอหยุดโง่ได้แล้ว!”

“เป็นไปไม่ได้ เขาบอกว่าเขารักฉัน” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเงยหน้าขึ้น มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วตะโกน:“เขาเคยบอกว่าจะคบกันฉัน ถ้าพวกเราพาพ่อไป เธอก็จะเอาเงินมาให้พวกเราแน่ๆ หลังจากนั้นพวกเราก็จะไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน”

“พ่อ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอรู้สึกว่าสมองเสียงดังสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ถามเสียงสั่น:“นี่มันเกี่ยวอะไรกับพ่อ?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ้มอย่างโอหัง:“เจี่ยนอี๋นั่วฉันจะบอกเธอให้ ไม่เพียงแต่เธอที่ฉลาด หมิงเซวียนเขารู้ตั้งนานแล้วว่าเธอไม่มีทางที่จะปล่อยพวกเราไป เพราะงั้นเมื่อกี้ พวกเราไปรับพ่อที่สถานพักฟื้นมาแล้ว เธอแคร์พ่อมากที่สุดไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้พ่ออยู่ในกำมือของพวกเรา ถ้าเธอฉลาดก็รีบเอาเงินมาให้พวกเรา ให้พวกเราได้หนีไปให้ไกลจากที่นี่สักที!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม:“ฉันถามเขาแน่ คุณไม่ต้องพยายามสร้างความบาดหมางให้พวกเราหรอก”

“สร้างความบาดหมาง? คุณมีค่าอะไรให้ผมต้องสร้างความบาดหมางเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มออกมา:“เจี่ยนอี๋นั่ว ผมรู้ว่าตอนนี้คุณเชื่อใจเขามาก แต่ตาของคุณไม่ค่อยดีเท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ? ดูผู้ชายที่คุณเลือกมาตอนแรกสิ ฉู่หมิงเซวียนนั่นไง ตอนที่เขาใช้ประโยชน์จากคุณแล้วหักหลังคุณ คุณมองโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาออกหรือเปล่า? ตอนนี้คุณรู้จักเหลิ่งเซ่าถิงดีเหรอ? ตอนที่คุณไปถามเขา ต้องระวังด้วยนะ เขาอาจจะหาข้ออ้างที่ดีมาอ้าง เช่นเขาไม่เคยทารุณแมวตัวนั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่รักแรกของเขา เป็นแค่ผู้หญิงที่มาตามตื๊อเขา แต่ถ้าเขาพูดแบบนั้นจริง คุณจะสามารถแยกแยะจริงเท็จได้หรือเปล่านะ? เหมือนกับตอนแรกที่ฉู่หมิงเซวียนบอกกับคุณว่าชอบคุณล่ะมั้ง? ตอนแรกคุณมองออกหรือเปล่าว่าเขาโกหกคุณ? ตอนแรกคุณมองใบหน้าที่แท้จริงของฉู่หมิงเซวียนไม่ออก ตอนนี้คุณก็ไม่มีทางมองใบหน้าที่แท้จริงของเหลิ่งเซ่าถิงออกเหมือนกัน”

“หุบปาก!” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูดเสียงเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆยิ้มออกมา:“ตอนนี้ในใจคุณเกิดความสงสัยขึ้นมาแล้วล่ะสิ? เจี่ยนอี๋นั่วเดิมทีคุณไม่ควรจะคบกับเหลิ่งเซ่าถิงเลย คุณทำแบบนี้ ก็เหมือนทำร้ายคนในครอบครัวคุณ ศัตรูของเหลิ่งเซ่าถิงจะใช้ครอบครัวคุณข่มขู่พวกคุณ และถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะแคร์คุณ แต่เขาไม่แคร์ครอบครัวคุณนี่ ก่อนที่ศัตรูเขาจะลงมือ เขาจะกำจัดครอบครัวคุณที่ไร้ประโยชน์นั่นซะ แบบนี้ทำให้คุณเป็นแค่ของเขาคนเดียว แถมยังได้กำจัดการข่มขู่นั่นอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงขรึม:“ฉันไม่เชื่อคำพูดของคุณหรอก เหลิ่งเซ่าถิงกับฉู่หมิงเซวียนสองคนนี้ไม่เหมือนกันสักหน่อย ถึงแม้ว่าฉันจะเคยมองฉู่หมิงเซวียนผิดไป แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะมองผิดไปตลอด ฉันมองความจริงใจของเหลิ่งเซ่าถิงออก ฉันเชื่อว่าเขาไม่มีทางทำเรื่องที่ทำร้ายฉัน”

“ผมล่ะอิจฉาความเชื่อมั่นที่คุณมีต่อเขาจริงๆ” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็กดเสียงต่ำ แล้วถอนหายใจ:“ผมเห็นใจความเชื่อมั่นนี้ที่คุณมีต่อเขานะ ผมไม่เข้าใจคนตระกูลเหลิ่งจริงๆ พวกเราเป็นดอกไม้ที่อุดมสมบูรณ์ที่เติบโตบนซากกระดูกที่เน่าเปื่อย แต่ละคนดูแล้วสีสันละลานตาไปหมด แต่ในรากนั้นต่างก็มีกลิ่นเหม็นเน่าติดมา เหลิ่งเซ่าถิงเขาไม่ได้เป็นข้อยกเว้น เขากับผม กับพ่อผม และกับคุณนายเหลิ่งต่างก็มีสายเลือดเดียวกัน เขาจะเป็นข้อยกเว้นได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็นชา:“ถ้าคุณยังพูดคำพูดที่สร้างความบาดหมางแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ฉันก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องฟังต่อแล้ว ฉันวางล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบวางสายโทรศัพท์ทันที เหลิ่งหมิงอันได้ยินเสียงวางสายของโทรศัพท์ เขาก็นิ่งอึ้งมองมือถือ ผ่านไปสักพัก เขาถึงจะค่อยๆกระตุกยิ้มมุมปาก:“เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายที่โชคดีจริงๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วดันเป็นผู้หญิงที่โชคไม่ดีเอาซะเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อใจเหลิ่งเซ่าถิงมาก เธอสามารถรู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงรักเธอชอบเธออย่างจริงใจ ไม่มีทางทำเรื่องที่ทำร้ายเธอ ในเมื่อเธอเลือกแล้วที่จะคบกับเหลิ่งเซ่าถิง ก็ไม่มีทางถูกคำพูดสองสามประโยคของเหลิ่งหมิงอันมาสร้างความบาดหมางได้ เดิมทีจุดยืนของเหลิ่งหมิงอันกับเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว คำพูดของเขาจริงแค่ไหนเท็จแค่ไหน? ไม่คุ้มที่จะเชื่อเลยสักนิด

แต่คำพูดของเหลิ่งหมิงอัน ก็ยังสามารถทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่สบายใจได้ ถ้าเหลิ่งหมิงอันพูดแบบนี้ แสดงว่าครอบครัวเธอตกอยู่ในสายตาของศัตรูเหลิ่งเซ่าถิงแล้วหรือเปล่า?

รอบข้างพ่อของเธอมีคนคุ้มครองอยู่มากมาย นอกจากเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้พ่อเธอได้ แต่รอบข้างเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกับเฮ่อเยี่ยนหงมีแค่บอดี้การ์ดสองคน บางทีอาจจะมีคนเลือกลงมือกับพวกเขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยิบมือถือขึ้นมา เตรียมโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง

แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันได้โทรไป มือถือของเธอก็ดังขึ้นซะก่อน เฮ่อเยี่ยนหงในสายร้องไห้แล้วพูดออกมาตื่นตระหนก:“อี๋นั่ว เกิดเรื่องแล้ว ฮุ่ยฮุ่ยหายตัวไป……”

“เกิดอะไรขึ้น?” เจี่ยนอี๋นั่วรีบถาม

เฮ่อเยี่ยนหงร้องแล้วพูด:“ฉันก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เดิมทีจองไว้แล้วว่าวันนี้จะออกนอกประเทศ แต่พอถึงสนามบิน เขาบอกว่าจะไปห้องน้ำ ฉันก็ให้เขาไป หลังจากนั้นก็รอนานมากเขาก็ไม่ออกมาสักที ฉันเข้าไปในห้องน้ำถึงพบว่าเขามาเปลี่ยนชุดในห้องน้ำ แล้วเขาก็หนีไป!”

“เขาไปห้องน้ำทำไมคุณไม่ตามเขาไป!” เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่มระดับเสียงดังขึ้น

เฮ่อเยี่ยนหงสะอึกสะอื้น ร้องแล้วพูด:“ฉันจะไปคิดได้ไงว่าเขาจะคิดเยอะขนาดนั้น? ฉันเห็นว่าช่วงนี้เขาเหนื่อยมาก ฉันเลยคิดว่าจะยืนรอหน้าห้องน้ำ ใครจะไปคิดว่าเขา……เขา……”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปรับอารมณ์ให้สงบลง พูดเสียงเย็นชา:“สองวันมานี้เขาได้ใช้โทรศัพท์ไหม?”

“ใช้……ได้ใช้……” เฮ่อเยี่ยนหงพูดเสียงเบา:“ฮุ่ยฮุ่ยเขาน่าสงสารมากเลย ร้องไห้แล้วพูดว่าใกล้จะออกนอกประเทศแล้ว อย่างน้อยก็ควรจะต้องให้เธอได้ร่ำลากับเพื่อนสักคำ ฉันเลยให้โทรศัพท์กับเขา……แต่ว่านะฉันเห็นข้อความที่เขาส่ง ก็ไม่มีอะไร……”

“เป็นไปได้ว่าหลังจากที่กดส่งแล้ว ก็กดลบต่อ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงขรึม:“บางทีเขาอาจจะติดต่อกับฉู่หมิงเซวียน ตอนนี้มือถืออยู่ที่คุณไหม?”

“อยู่ ฉันถือโทรศัพท์อยู่ตลอด” เฮ่อเยี่ยนหงรีบพูด

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง แล้วพูดเสียงเบา:“ขอโทษนะ เพราะคุณเป็นครอบครัวฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ยิ้มอย่างจำใจ แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่เคยคิดว่าเฮ่อเยี่ยนหงเป็นครอบครัว แต่ตอนที่เธอคิดว่าอาจจะมีคนใช้ครอบครัวมาข่มขู่เธอ เจี่ยนอี๋นั่วเลยนึกขึ้นได้ เฮ่อเยี่ยนหงก็เป็นหนึ่งในครอบครัวเธอเหมือนกัน ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะชอบเฮ่อเยี่ยนหงหรือไม่ เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่ได้มีความผิดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วไม่ต้องการให้เฮ่อเยี่ยนหงได้รับบาดเจ็บเพราะเธอ

เฮ่อเยี่ยนหงในสายนิ่งอึ้งไป แล้วถามเสียงเบา:“อี๋นั่ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น? เธออย่าทำให้ฉันตกใจสิ? ชีวิตฉันทั้งชีวิตมันไม่ง่ายเลยนะ เดิมทีเป็นคุณนายร่ำรวย แต่ตอนนี้กลับไม่มีอะไรเลย เดิมทีฉันวางแผนว่าจะออกนอกประเทศ หาชาวต่างชาติหล่อๆสักคนเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เธออย่าขู่ขวัญฉันสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น แล้วพูดเสียงเบา:“ขอโทษนะ คุณรอฉันละกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสายโทรศัพท์ หลังจากนั้นแล้วรีบหยิบมือถือขึ้นมา โทรไปหาเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงรับสาย ก็ยิ้มแล้วถามเจี่ยนอี๋นั่ว:“มีอะไรเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกำมือถือแน่น มองคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้า มีคำพูดเยอะมากที่ไม่เหมาะจะถามเหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเลยพูดเสียงขรึมไปก่อน:“เซ่าถิง ฉันมีเรื่องต้องการความช่วยเหลือจากคุณ น้องสาวฉันหนีไปจากสนามบิน ฉันอยากให้คุณช่วยฉันหาคนที่สามารถกู้คืนข้อความได้ให้หน่อย แล้วก็ตามหาคนที่น้องสาวฉันไปหา มีความเป็นไปได้ว่าเธอจะอยู่ด้วยกันกับฉู่หมิงเซวียน ฉันอยากรู้ว่าตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนอยู่ที่ไหนกันแน่?”

“ตั้งแต่หลังจากเรื่องครั้งที่แล้วที่เกิดขึ้นก็ไม่รู้ว่าฉู่หมิงเซวียนอยู่ที่ไหน มือถือแล้วก็บัตรธนาคารของเขาต่างก็ไม่มีการเคลื่อนไหวเลย” เหลิ่งเซ่าถิงพูด

“งั้นฉันรู้แล้ว ในเมื่อสืบจากฝั่งฉู่หมิงเซวียนไม่ได้ ก็สืบจากมือถือที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเคยใช้” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูด

“ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน? ผมจะไปหาคุณเดี๋ยวนี้” เหลิ่งเซ่าถิงพูด

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า:“คุณช่วยฉันจัดการเรื่องพวกนี้ก็พอแล้ว ที่เหลือฉันจะจัดการเอง ตอนที่ฉันต้องการคุณ ฉันจะบอกคุณนะ ฉันไม่อยากเป็นภาระให้คุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงขรึม:“คุณไม่มีทางที่จะกลายเป็นภาระของผม”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มตาลง เม้มปากแน่น แล้วพยักหน้า:“ขอบคุณคุณมากนะ แต่ฉันยังมีอีกหลายเรื่องต้องไปทำ ฉันไม่สามารถรบกวนคุณต่อได้ ฉันรู้ลำดับความสำคัญ ถ้าเกิดว่าเรื่องนี้มันเกินขอบเขตที่ฉันจะควบคุมไหว ฉันจะให้คุณช่วยอย่างแน่นอน วันนี้มีคนพูดว่าฉันมีต้นไม้ใหญ่ไว้พึ่ง ฉันไม่มีทางลืมอย่างแน่นอนว่าฉันยังมีคุณเป็นต้นไม้ใหญ่ให้ฉันได้พึ่งพิง”

เหลิ่งเซ่าถิงถามเสียงเย็นชา:“เหลิ่งหมิงอันเหรอ? เขาไปหาคุณ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เธอมองคนขับรถที่นั่งอยู่ด้านหน้า แล้วพูดเสียงเบา:“คืนนี้ถ้ามีเวลาฉันจะเล่าให้คุณฟัง ฉันเชื่อใจคุณนะ และจะเชื่อใจตลอดไป คุณก็เชื่อใจฉันเหมือนกันใช่ไหม? เชื่อว่าฉันจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตัวฉันเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเบา:“ได้ ผมเชื่อใจคุณ”

“งั้นดีเลย เจอกันตอนกลางคืนนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสาย

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่ววางสาย ก็รีบให้คนขับรถขับไปที่สนามบิน พอถึงสนามบิน เจี่ยนอี๋นั่วก็หาเฮ่อเยี่ยนหงเจอ เฮ่อเยี่ยนหงร้องไห้แล้วรีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“อี๋นั่ว ทำไงดี? ฮุ่ยฮุ่ยเขา……เขาหายตัวไปแล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเฮ่อเยี่ยนหงยังอยู่ ก็ถอนหายใจ แล้วรีบพูดกับเฮ่อเยี่ยนหง:“มือถือล่ะ?”

เฮ่อเยี่ยนหงสะอึกสะอื้น แล้วรีบหยิบมือถือส่งให้เจี่ยนอี๋นั่ว:“โทรศัพท์เครื่องนี้แหละ ฮุ่ยฮุ่ยใช้โทรศัพท์เครื่องนี้ติดต่อกับเพื่อนของเขา……”

เจี่ยนอี๋นั่วรับโทรศัพท์มา แล้วเปิดดู เห็นว่าข้อความที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยส่งไปหาเพื่อนของเธอนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไรจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วมองปัญหาของมือถือไม่ออก ก็เลยถามเฮ่อเยี่ยนหง:“ในตัวฮุ่ยฮุ่ยได้พกบัตรธนาคารไหม? บัตรประชาชนได้พกหรือเปล่า?”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบส่ายหน้า:“ไม่มีนะ เขาไม่ได้พกอะไรเลย แม้แต่เงินก็ไม่ได้พก เพราะงั้นฉันเลยวางใจให้เขาไปเข้าห้องน้ำ ฉันคิดว่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรกับเขาด้วยซ้ำ ใครจะไปรู้……”

“งั้นก็มีแค่มือถือเครื่องนี้แล้วล่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองมือถือแล้วพูด

รอจนเหลิ่งเซ่าถิงส่งกำลังคนมา เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบส่งมือถือให้พวกเขา แล้วกำชับ:“ช่วยฉันกู้คืนข้อความของมือถือเครื่องนี้ทั้งหมด”

การกู้คืนข้อความต้องใช้เวลาสักพัก เฮ่อเยี่ยนหงพูดอย่างร้อนรน:“พวกเราจะรออยู่ที่นี่เหรอ? ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนไม่ใช่ว่าถูกตามสืบเพราะทำผิดข้อหาติดสินบนการเงินเหรอ? เห็นลงข่าวกันหมดแล้ว ถ้าเป็นเขาที่ลักพาตัวฮุ่ยฮุ่ยไปล่ะจะทำยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูด:“ถ้าแยกย้ายไปหาตอนนี้มีแต่เสียเวลา พวกเขาไม่มีบัตรธนาคารไม่มีบัตรประชาชน คงไม่มีข้อมูลสำหรับเข้าที่พัก พวกเราก็คงสืบที่อยู่ของพวกเขาไม่เจอหรอก มีแค่มือถือนี่ มีสถานที่ที่พวกเขาจะนัดเจอกันหรือเปล่า บางที บางที……ฮุ่ยฮุ่ยอาจจะไม่ได้อยู่กับฉู่หมิงเซวียน……”

“ไม่มีใครเห็นหรอก และก็ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมาก่อกวนผมด้วย” เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลงไปจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วหลบ ส่ายหน้าพูด:“นี่เป็นรางวัลของฉัน คุณจูบฉันไม่ได้ มีแค่ฉันที่สามารถจูบคุณได้”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกมา ยิ้มแล้วโอบกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ แล้วพยักหน้า:“โอเค ตามใจคุณเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงไว้ หลับตาแล้วยิ้มออกมา

“รักกันมากจริงนะ ทำให้ผมเห็นแล้วรู้สึกอิจฉานิดๆเลยนะเนี่ย” จู่ๆก็มีเสียงผู้ชายที่คุ้นเคยดังมา

เจี่ยนอี๋นั่วรีบออกจากเหลิ่งเซ่าถิง เธอหันไปมองตามเสียง แต่เธอไม่ทันได้มองให้ชัดว่าคนที่พูดคือใครกันแน่ เจี่ยนอี๋นั่วก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงบังไว้ด้านหลัง แต่ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นคนๆนั้น ผ่านไปสักพักเจี่ยนอี๋นั่วก็นึกออก ผู้ชายที่พูดคนนั้นคือเหลิ่งหมิงอันนี่?

เหลิ่งหมิงอันเดินมาตรงหน้าเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของพวกพี่พัฒนาขึ้นมากนี่ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเปลี่ยนไปดีขนาดนี้ ทำให้ผมคาดไม่ถึงจริงๆนะเนี่ย ที่แท้เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้รุกแค่กับผม เธอรุกแบบนี้กับผู้ชายทุกคนที่อยู่ใกล้สินะ เป็นผู้หญิงที่เฟรนด์ลี่กับผู้ชายจริงๆ ไม่รู้ว่ากับผู้ชายคนอื่นเธอจะเป็นแบบนี้หรือเปล่านะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอเบื่อคำพูดที่สร้างความบาดหมางของเหลิ่งหมิงอันมากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เดิมทีอยากจะแย้งเหลิ่งหมิงอันสักสองสามประโยค แต่เหลิ่งเซ่าถิงพูดออกมาก่อน:“แกควรเรียกเขาว่าพี่สะใภ้ เหลิ่งหมิงอัน แกไม่ต้องพยายามสร้างความบาดหมางหรอก ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น พวกเราต่างก็รู้ดี ทางที่ดีแกอย่าทำให้ฉันต้องคิดถึงเรื่องที่ทำให้ฉันไม่สบายใจดีกว่านะ”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ยิ้มออกมาอย่างเงียบๆ หลบอยู่หลังเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสบายใจ ในบรรดาผู้หญิงความสูงของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ถือว่าเตี้ย แต่เธอที่ยืนอยู่หลังเหลิ่งเซ่าถิงนั้น ต้องเขย่งถึงจะเท่ากับไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับภูเขาลูกใหญ่ที่บังอยู่ข้างหน้าเธอ บังลมพายุตรงหน้าให้เธอ

ตั้งแต่ที่พ่อของเจี่ยนอี๋นั่วล้มป่วย เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้หลบหลังใครอย่างสบายใจแบบนี้มานานมากแล้ว ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา จับเบาๆที่มือของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกได้ถึงมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่ยื่นมา เขาหรี่ตา แล้วเผยรอยยิ้มออกมา

การกระทำเล็กๆของเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วตกอยู่ในสายตาของเหลิ่งหมิงอัน รอยยิ้มบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด แต่มือของเขาจู่ๆก็กำแน่น สายตาจ้องไปที่มือของเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วที่จับกัน

เหลิ่งเซ่าถิงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น กวาดสายตามองเหลิ่งหมิงอัน แล้วจูงมือเจี่ยนอี๋นั่วหมุนร่างเดินออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จับมือตอบเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกัน ราวกับหมาน้อยที่เชื่อฟัง เดินตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงจับมือเจี่ยนอี๋นั่วตลอดจนถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วกระตุกมุมปาก เงยหน้าขึ้นไปจูบที่มุมปากของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงลูบเบาๆที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วถาม:“อันนี้ทำอะไรน่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“นี่เป็นรางวัลเหมือนกัน เหลิ่งเซ่าถิง ฉันจะประกาศอย่างเป็นทางการ ฉันเจี่ยนอี๋นั่วตอนนี้ชอบคุณมากๆๆ ฉัน……ฉันรัก……”

“ผมรักคุณ”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดคำว่า“ฉันรักคุณ”ออกไป เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดออกมาก่อน:“ผมรักคุณ ประโยคนี้ควรจะเป็นผู้ชายที่พูดก่อน”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินก็ก้มหน้าลง ชั่วพริบตาตาของเธอก็แดง เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงมีความรู้สึกอยากจะร้อง บางทีเป็นเพราะความรักที่ได้รับนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ พูดคำว่ารักของตัวเองออกไปอย่างตรงไปตรงมา ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆเหมือนกัน การที่ทั้งสองฝ่ายรู้สึกดีกับฝ่ายตรงข้ามเหมือนกันเป็นเรื่องที่ยากมาก คนที่เธอรัก ก็รักเธอเหมือนกัน บนโลกนี้ยังมีเรื่องอะไรที่มีความสุขไปมากกว่านี้อีกไหม?

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาที่หางตาของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ร้องทำไม?”

เจี่ยนอี๋นั่วสะอื้น อยากจะอดกลั้นน้ำตาเอาไว้ แต่เธอก็อดไว้ไม่ได้ ในทางกลับกันยิ่งร้องหนักขึ้นอีก เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างสะอึกสะอื้น:“ฉันกลัวมาก……”

“กลัวอะไร?” เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วตาแดง ร้องไห้แล้วพูด:“รู้สึกว่าช่วงนี้ฉันใช้ชีวิตดีเกินไป มีความสุขเกินไป ก็เลยกลัว ถึงแม้ฉันจะดูเหมือนว่าใช้ชีวิตไม่ได้ลำบากอะไร ดูแล้วเป็นประธานบริษัทที่มีทรัพย์สินเงินทอง แต่ฉันไม่นับว่าเป็นคนที่โชคดีจริงๆนะ ทุกครั้งตอนที่ฉันรู้สึกว่าจะมีความสุข ฉันกลับกลายเป็นโชคร้าย ตอนที่ฉันยังเด็ก ครอบครัวฉันเราสามคนในแต่ละวันใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขมาก แต่หลังจากที่แม่ฉันเสีย ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป เดิมทีฉันมีแฟนมีเพื่อนสนิท เรื่องงานก็ราบรื่น พ่อก็เอ็นดูฉันมาก ตอนที่ฉันพึ่งจะรู้สึกได้ถึงชีวิตที่กำลังจะมีความสุข พ่อฉันก็มาล้มป่วยอีก บริษัทก็เผชิญหน้ากับความลำบาก ฉันถูกฉู่หมิงเซวียนหักหลัง พอมาที่นี่ ตอนแรกคุณก็ไม่ดีกับฉัน คุณดูถูกฉัน……”

“เป็นความผิดของผมเอง” เหลิ่งเซ่าถิงลูบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว โอบเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด:“ก่อนหน้านี้ผมไม่ควรร้ายกับคุณเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตา ร้องไห้แล้วพูด:“คุณพึ่งจะรู้เหรอ คุณรู้ไหมว่าตอนนั้นฉันเสียใจแค่ไหน?”

เหลิ่งเซ่าถิงลูบศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดเสียงขรึม:“งั้นต่อไปคุณจะไม่ดีกับผมก็ได้ ดูถูกผมก็ได้ ไม่แยแสผมก็ได้”

“ไม่ได้……” เจี่ยนอี๋นั่วพิงไปที่อกของเหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงอู้อี้:“ฉันทำไม่ดีกับคุณไม่ลง”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือมากอดเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมา เขายิ้มจนตาหยี แล้วพูด:“คุณนี่นะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วร้องพอแล้วก็เงยหน้าขึ้น ตอนที่กำลังเงยหน้าขึ้นนั้น หน้าก็แดงขึ้นมาจนทำตัวไม่ถูก เธอขยี้ตาแล้วพูด:“ใกล้ถึงเวลาไปทำงานที่บริษัทแล้ว ฉันไม่ตัวติดกับคุณแล้ว ไม่งั้นจะทำให้คุณเสียเวลากินข้าว”

เหลิ่งเซ่าถิงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ได้ งั้นเราไปกินข้าวพร้อมกัน”

เหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วกินข้าวด้วยกัน ทั้งสองคนเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งพร้อมกัน เจี่ยนอี๋นั่วถึงจะแยกจากเหลิ่งเซ่าถิง ขึ้นไปนั่งบนรถบริษัท ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะแยกกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว แต่พอนั่งบนรถ เจี่ยนอี๋นั่วก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เธออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วปิดไม่มิดเลยสักนิด ทำให้คนขับรถที่ขับรถให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นอดไม่ได้ที่จะมองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกมองหลัง ยิ้มแล้วถาม:“คุณหญิง วันนี้อารมณ์ดีนะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ยิ้มแล้วพูด:“อืม……ฉันมีความสุขมาก……”

พอเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ รถที่เธอนั่งจู่ๆก็หยุดลง เจี่ยนอี๋นั่วเซเล็กน้อย เกือบจะไปชนกับกระจกรถแล้ว หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วนั่งให้ดีแล้ว ก็รีบถาม:“เกิดอะไรขึ้น?”

คนขับรถรีบชี้ไปที่ด้านหน้าของรถ ขมวดคิ้วแล้วหันมาพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณชายรองเขา……”

คนขับรถยังพูดไม่ทันจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นรถมอเตอร์ไซค์มาจอดบังหน้าด้านรถของเธอไว้ หลังจากนั้นเหลิ่งหมิงอันก็ลงจากมอเตอร์ไซค์ เดินมาข้างประตูรถของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรีบล็อคประตูรถ พูดกับคนขับรถ:“นายล็อคประตูรถให้หมด แล้วรีบขับรถอ้อมไป”

คนขับรถลำบากใจเล็กน้อย:“แต่ว่าคุณชายรอง……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเย็นชา:“นายไม่ต้องสนใจเขา รีบอ้อมไป ฉันไม่อยากจะคุยกับเขา”

สุดท้ายคนขับรถก็ทำได้แค่พยักหน้า แล้วเหยียบคันเร่ง อ้อมข้างๆเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วที่นั่งอยู่ในรถผ่านหน้าเขาไป เหลิ่งหมิงอันรีบหยิบโทรศัพท์ออกมา โทรหาเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบกดตัดสายโทรศัพท์จากเหลิ่งหมิงอัน แต่เหลิ่งหมิงอันกลับโทรหาเจี่ยนอี๋นั่วไม่หยุด หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ทำได้แค่ต้องรับสายโทรศัพท์:“ฮัลโหล……คุณเหลิ่งหมิงอัน คุณจะทำอะไรกันแน่?”

เสียงของเหลิ่งหมิงอันมีความโมโหอยู่ด้วย:“เจี่ยนอี๋นั่ว นี่คุณกล้าไม่รับสายผม?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ฉันจำเป็นต้องรับสายคุณเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มออกมา แล้วพูดแปลกๆ:“จริงสิ คุณไม่จำเป็นต้องรับสายผม ตอนนี้คุณมีเหลิ่งเซ่าถิงเป็นที่พึ่งแล้วนี่ รู้สึกเหมือนได้พึ่งพิงต้นไม้ใหญ่หรือเปล่า? ผมจะบอกคุณให้นะ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นคนแบบที่คุณคิดเลยสักนิด คุณคิดว่าพวกเราตระกูลเหลิ่งจะมีคนที่สามารถรักใครได้แบบคนปกติทั่วไปจริงๆเหรอ? ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงดูแล้วจะยอมทิ้งผลประโยชน์อื่นๆเพื่อคุณ แต่ไม่นานคุณก็จะได้รู้ ว่าเขาเป็นคนข้างๆคุณที่อันตรายที่สุด ความต้องการที่จะยึดเอาไว้คนเดียวของเขา เป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถที่จะจินตนาการได้เลย เหลิ่งเซ่าถิงมีพี่ชายคนหนึ่ง พี่ชายของเขาเหลิ่งอวิ๋นเซียวยอดเยี่ยมมาตลอด อยู่ในความสนใจของพ่อแม่เขาและคุณนายเหลิ่งมานาน ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงที่คุณเห็น เคยเป็นคนที่ไม่มีใครสนใจ เป็นคนน่าสงสารที่ไม่มีอะไรเลย……”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“ตอนนี้คุณมาพูดแบบนี้หมายความว่าไง?”

“เพราะงั้นคนหรือสิ่งเขาที่เขาให้ความสำคัญจริงๆ มีความต้องการที่จะยึดครองเป็นพิเศษ เขาจะทำให้คุณมองแค่เขา ทั้งในสายตาทั้งในใจมีแต่เขา” เหลิ่งหมิงอันพูดเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มออกมาเบาๆ:“คุณเหลิ่งหมิงอัน คุณวางใจเถอะ ฉันจะมองแต่เขาตลอด ทั้งในสายตาและในใจก็จะมีแต่เขา”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มเยาะ:“คุณคิดว่ามันง่ายขนาดนั้นเหรอ? เขาไม่อนุญาตให้คุณมีใครอยู่รอบตัวคุณด้วยซ้ำ รวมถึงครอบครัวของคุณด้วย คุณเป็นแค่ของเขา!”

“คุณหมายความยังไง?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด:“เหลิ่งเซ่าถิงเคยเลี้ยงแมวอยู่ตัวหนึ่ง ต่อมาได้ถูกคุณนายเหลิ่งรัดคอจนตาย เขาน่าจะเคยบอกนะ เขาพูดกับทุกคนที่เขาให้ความสำคัญ ความจริงแล้วแมวตัวนั้นต่อให้ไม่ถูกคุณนายเหลิ่งรัดคอจนตาย แมวตัวนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เพราะเหลิ่งเซ่าถิงไม่อนุญาตให้มันเข้าใกล้ไม่ว่าคนหรือสิ่งไหนก็ตาม แค่มันกินของที่คนอื่นป้อนมัน เหลิ่งเซ่าถิงก็จะตีมันอย่างบ้าคลั่ง จนมันกล้ากินแค่ของที่เหลิ่งเซ่าถิงป้อน คุณก็ไม่ใช่ผู้หญิงคนแรกที่เหลิ่งเซ่าถิงให้ความสำคัญหรอกนะ ตอนที่เขาอายุสิบห้าปีเขาเคยรู้จักผู้หญิงคนหนึ่ง อ้อ ตาของผู้หญิงคนนั้นคล้ายกับคุณเลย นับว่าเป็นรักแรกของเขาล่ะมั้ง คุณรู้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นตายยังไง? กระโดดตึกฆ่าตัวตาย หลังจากที่พ่อแม่ของเธอกระโดดตึกฆ่าตัวตาย เธอก็กระโดดเหมือนกัน เธอชื่อเฉินนั่ว คล้ายกับชื่อคุณมากใช่ไหม? เหลิ่งเซ่าถิงบีบบังคับจนพ่อแม่ของเธอตาย อยากจะเป็นคนเดียวที่ยึดครอบครองเธอ ผลสุดท้ายเธอก็ทนกับความต้องการที่จะยึดครองของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ไหว เลยฆ่าตัวตาย”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“คุณกำลังพูดบ้าอะไรเนี่ย? คุณอย่าคิดว่าคำพูดโกหกของคุณพวกนี้จะหลอกฉันได้!”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มออกมา:“ใช่คำโกหกหรือเปล่า คุณลองถามเขาดูก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ? คุณเชื่อเขาจริง คุณก็ไปถามเขาสิ”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกมาจากห้องคุณนายเหลิ่ง เขาหันมามองประตูที่คุณนายเหลิ่งปิดแน่น แล้วค่อยๆขมวดคิ้ว เดินกลับไปที่ห้องของตัวเอง

เหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับมาที่ห้อง ก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียง วินาทีที่เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็คิ้วก็หายขมวด เขาเดินมาที่ข้างเตียง ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินมาที่ข้างเตียง เจี่ยนอี๋นั่วก็ลืมตาขึ้นมา มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มออกมา:“เดิมทีอยากให้คุณเดินเข้ามาใกล้กว่านี้อีกหน่อย แล้วค่อยแกล้งให้คุณตกใจ แต่คุณเดินช้าจนฉันอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือไปลูบศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยิ้มแล้วถาม:“ให้คุณรีบพักผ่อนไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันอยากรอคุณ” เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“ฉันอยากนอนพร้อมคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ยื่นมือไปทางเหลิ่งเซ่าถิง เอียงศีรษะแล้วพูด:“มา รีบกอดฉันเร็ว”

เหลิ่งเซ่ารีบโอบเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น เขาถามเสียงขรึม:“เมื่อวานผมใจร้อนเกินไปหรือเปล่า? ไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องคุณ จนต้องลากคุณเข้ามาในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วตบเบาๆที่หลังเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วพูด:“ก่อนคุณจะไปคุณก็พูดเสียใจที่ไม่ได้คบกับฉันให้เร็วกว่านี้ ตอนนี้ทำไมถึงพูดแบบนี้อีกล่ะ? ฉันกลัวมากนะ แต่ถึงแม้ว่าจะกลัว ฉันก็ยังอยากจะคบกับคุณ หรือว่าคุณนายเหลิ่งเขาพูดอะไรเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วส่ายหน้า เขาลูบที่ศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยิ้มแล้วพูด:“เขาบอกว่าคุณดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วเข้าไปใกล้ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิง:“อืม ฉันก็เดาไว้ว่าอย่างนี้ เพราะฉันเป็นคนที่เขาเลือกมาให้คุณเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปใกล้ในอ้อมกอดเหลิ่งเซ่าถิง แล้วอยู่ในมุมที่เหลิ่งเซ่าถิงมองไม่เห็น ถึงจะค่อยๆหุบยิ้มลง เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงคือการปลอบใจเธอ เธอมาอยู่ในตระกูลเหลิ่งได้สักพักแล้ว โดยพื้นฐานเธอก็พอจะรู้อยู่บ้างว่าคุณนายเหลิ่งเป็นคนแบบไหน

คุณนายเหลิ่งดูภายนอกนั้นอ่อนโยน แต่ในใจเย็นชา ไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกเลยสักนิด อีกอย่างคุณนายเหลิ่งเป็นผู้ถืออำนาจในตระกูลเหลิ่งมานานมาก เขาอยากที่จะควบคุมและมีอิทธิพลเหนือทุกคนในตระกูลเหลิ่ง โดยเฉพาะเหลิ่งเซ่าถิง คนที่มีผลประโยชน์กับเขามากที่สุด คุณนายเหลิ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกก้าวของเขาเดินไปตามที่เธอวางไว้

คุณนายเหลิ่งจะต้องเลือกทางที่เธอคิดว่าถูกต้องให้เหลิ่งเซ่าถิงอย่างแน่นอน ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงไม่เดินตามทางที่เธอวางไว้ล่ะก็ คุณนายเหลิ่งก็จะทำลายสิ่งที่มารบกวนเหลิ่งเซ่าถิง รวมถึงคนด้วย แต่ตอนนี้สิ่งที่รบกวนเหลิ่งเซ่าถิงมากที่สุดคือเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับรู้สึกได้ว่าคุณนายเหลิ่งกำลังใช้สายตาแบบไหนจับตามองมายังเธอ คิดว่าจะลงมือขุดรากเธอทิ้งจากตรงไหนดี

ไม่เพียงแต่คุณนายเหลิ่ง แถมยังมีเหลิ่งเฉิงอวี่ สุยเฉิงจิ้ง แล้วก็เหลิ่งหมิงอันอีก แล้วไหนจะคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งอีก เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับได้ยินเสียงพูดของพวกเขาในตอนนี้

“ผู้หญิงคนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะคบกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว พวกเราสามารถใช้ประโยชน์จากเขาได้ไหม?”

“เหลิ่งเซ่าถิงชอบคนแบบนั้นเนี่ยนะ รู้อย่างนี้ไปพูดคุยกับเจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนั้นให้เร็วกว่านี้ดีกว่า บางทีสามารถพึ่งเธอเอาโครงการดีๆมาจากในมือเหลิ่งเซ่าถิงได้”

“ให้เขาไปสองแสนห้า จะสามารถทำให้เขาหลุดปากข่าวของเหลิ่งเซ่าถิงได้ไหม? เขาเข้าไปในตระกูลเหลิ่งแล้วมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงก็เพราะเงินนี่ น่าจะใช้เงินดึงมาเป็นพวกได้ เรื่องที่สามารถใช้เงินจัดการได้ นับว่าไม่ใช่ปัญหา”

“คุณนายเหลิ่งก็ไม่ชอบเขาเหมือนกัน ถ้าเขาไม่มายืนฝั่งเดียวกับพวกเรา ก็เหลือทางเดียวคือตายแล้วล่ะ”

“เธอมีสิทธิ์อะไรมาแย่งทายาทที่ฉันอบรมสั่งสอนไป? นั่นคือหลานชายของฉันนะ!เธอมีสิทธิ์อะไรมาแย่งไป? อนาคตของเหลิ่งเซ่าถิง มีแค่ฉันที่จะตัดสินได้ เธอมีสิทธิ์อะไรมารบกวนเซ่าถิง? ทำให้เขาฝ่าฝืนความตั้งใจของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า!เหลิ่งเซ่าถิงทำได้แค่ต้องฟังคำสั่งฉัน เขาห้ามถูกความรู้สึกมากระทบ!ทายาทของตระกูลเหลิ่งแค่ต้องรักษาความสุขุมเยือกเย็นไว้ ไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกอะไรทั้งสิ้น!ไม่ว่าสิ่งไหนที่มีผลกระทบกับเขา ล้วนแต่ต้องถูกกำจัดทิ้ง!”

เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเหน็บหนาวชั่วครู่ แล้วรีบลืมตาขึ้นมา เวลานี้ถึงจะพบว่าตัวเองได้หลับไป ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่ดีมากๆ เธอคลำไปกอดเหลิ่งเซ่าถิงไว้ในความมืดมิด สะอึกสะอื้นเล็กน้อย แล้วปิดตาลงใหม่อีกครั้ง พิงไปที่อกของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกได้ถึงความกระวนกระวายใจของเจี่ยนอี๋นั่ว เขากอดเจี่ยนอี๋นั่วให้แน่นขึ้น ค่อยๆลูบไปที่แผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงขรึม:“ไม่ต้องกลัวนะ……”

ในความมืดมิด ตาของเหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆปิดลง ลูกตาสีดำเผยให้เห็นความเข้มแข็งในบรรยากาศที่มืดมิดนี้

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ถึงแม้ว่าจะนอนหลับค่อนข้างสนิท แต่พอตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ จิตใจของเธอยุ่งเหยิงไปหมด แต่สมองเธอกลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าควรจะจัดการจิตใจที่กลัดกลุ้มจากตรงไหนดี ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ตื่น เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาอยู่ คิ้วของเขาขมวดเล็กน้อย ถึงแม้ว่าจะนอน แต่ก็ยังคงท่าทางกลุ้มใจไว้อยู่

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงกลุ้มใจแบบนี้เป็นเพราะเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวทุกอย่างในตระกูลเหลิ่ง แต่เหลิ่งเซ่าถิงเขาคุ้นเคยกับชีวิตแบบนี้ในตระกูลเหลิ่ง เขาจะกลุ้มใจเพราะเรื่องของตระกูลเหลิ่งได้ยังไงล่ะ? ในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกขึ้นมาว่าตัวเองไม่มีประโยชน์เอาซะเลย เธอคบกับเหลิ่งเซ่าถิง เหมือนว่าจะไม่ได้ช่วยอะไรเหลิ่งเซ่าถิงได้เลย ในทางกลับกันกลายเป็นภาระของเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนหน้านี้ที่เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญก็เป็นปัญหาแบบนี้เหมือนกัน แต่ดูแล้วก็ไม่เคยกลุ้มใจแบบนี้มาก่อน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้น ลูบไปที่ระหว่างคิ้วของเหลิ่งเซ่าถิง พึ่งจะได้สัมผัสตรงระหว่างคิ้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ลืมตาขึ้นมา เขามองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมา หลังจากนั้นก็ยื่นมือไปโอบเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด

เจี่ยนอี๋นั่วรีบปกปิดความกลุ้มใจทุกอย่างไว้ทันที แล้วยิ้มกับเหลิ่งเซ่าถิง:“พวกเราตื่นไปวิ่งกันเถอะ ฉันอยากจะออกกำลังกายสักหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มออกมาเบาๆ:“อืม คุณควรออกกำลังกายหน่อย แบบนี้คุณจะได้ไม่ต้องอ้างว่าร่างกายไม่ดี ขัดขวางผมให้เข้าใกล้คุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดงขึ้นมา แล้วพูด:“ฉัน……ฉันออกกำลังกายไม่ใช่เพราะเรื่องแบบนั้นสักหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วถาม:“งั้นเพราะอะไรเหรอ? ยังมีเรื่องอะไรที่สามารถทำให้คุณไปออกกำลังกายได้อีก?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก แล้วลังเลสักพัก ถึงจะพูดออกมา:“ฉันคิดว่า อนาคตถ้าเกิดเจอกับเรื่องอันตรายขึ้นมา ฉันสามารถวิ่งอยู่ด้านหลังคุณให้เร็วหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องให้คุณรับมือกับคนอื่นไปด้วย ต้องดูแลฉันไปด้วย ฉันอยากจะเป็นคนรักของคุณ ก่อนอื่นฉันก็ต้องปกป้องตัวเองให้ดีก่อน คุณจะได้ไม่ต้องกังวล ใช่ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มตาลงมอง ยื่นมือออกไปแล้วยิ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาลูบเบาๆที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วคลอเคลียที่ฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็จูบเบาๆที่ริมฝีปากเจี่ยนอี๋นั่ว นี่เป็นจูบที่เบาที่สุด แต่ก็ทำให้ทั้งสองคนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

เหลิ่งเซ่าถิงดึงมือของเจี่ยนอี๋นั่วมา ยิ้มแล้วพูด:“ได้สิ ไปกันเถอะ ผมจะพาไปคุณไปวิ่ง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า รีบลุกไปเปลี่ยนชุดออกกำลังกาย ยังคงเป็นชุดออกกำลังกายเหมือนก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าสภาพร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่เลว แต่ถ้าเทียบกับร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิง มันแตกต่างกันมากจริงๆ หลังจากที่วิ่งไปไม่กี่รอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ทำได้แค่นั่งพักข้างๆแล้วมองเหลิ่งเซ่าถิงวิ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าการออกกำลังกายถือว่ามีข้อดีอยู่มาก ก่อนหน้านี้เธอจิตใจวุ่นวาย แต่พอได้วิ่งไปไม่กี่รอบ จิตใจก็สงบลงขึ้นเยอะเลย อีกอย่างตอนที่สนามกีฬามีแค่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิง ก็ยิ่งทำให้เธออารมณ์ดีขึ้นไปอีก ถ้าต่อไปได้ออกกำลังกายให้ร่างกายดีกว่านี้ ได้วิ่งไปพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิงคงจะดีกว่านี้แน่ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วรอให้เหลิ่งเซ่าถิงวิ่งมาข้างๆเธอ เธอก็รีบลุกขึ้น แล้วส่งผ้าขนหนูให้เหลิ่งเซ่าถิง:“เช็ดเหงื่อหน่อย”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเป็นไงบ้าง?”

“ฉันรู้สึกว่าพรุ่งนี้ยังสามารถวิ่งเพิ่มได้อีกรอบ” เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ใช้น้ำเสียงที่แข็งแรงพูด:“ฉันจะต้องทำได้”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วขยี้ศีรษะเจี่ยนอี๋นั่ว:“ถ้าคุณทำได้ ผมมีของขวัญให้คุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา:“งั้นฉันทำตอนนี้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วมองไปรอบๆ ดึงเหลิ่งเซ่าถิงมาในมุมที่หลบเลี่ยงผู้คน ยกมือขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากของตัวเอง:“ตรงนี้……”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มออกมา:“คุณ……ทำไมคุณเป็นผู้หญิงแบบนี้เนี่ย? รุกให้ผู้ชายจูบผู้หญิงก่อนอีกแล้วเหรอ?”

“ก็ฉันเป็นผู้หญิงแบบนี้ไง” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างภูมิใจ:“ตอนแรกไม่ใช่ว่าฉันบังคับคุณก่อนเหรอ? ตอนนี้ฉันเป็นแบบนี้ มันน่าแปลกใจตรงไหน มา จูบหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ แล้วเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิง เงยหน้าขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงมองไปรอบๆ ไม่เห็นว่ามีใคร ก็ก้มหน้าจูบเบาๆไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“เสร็จแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วแบะปาก บ่นเสียงเบาๆ:“เหมือนทำผ่านๆไปอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบโอบเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ออกแรงจูบไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นกอดเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วจูบตอบเหลิ่งเซ่าถิง จู่ๆก็มีลมพัดมาระลอกหนึ่ง พัดจนใบไม้ของต้นไม้ข้างๆดังอยู่พักใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกอย่างร้อนรน มองไปยังทางที่มีเสียง

มองไปไม่มีคน เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ แล้วตบที่หน้าอก ยิ้มแล้วพูด:“ตกใจหมดเลย นึกว่ามีคนมา”

“ในเมื่อกลัวขนาดนี้ เมื่อกี้ก็ไม่ควรเริ่มนะ” เหลิ่งเซ่าถิงตบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ไม่ต้องกลัวไปหรอก ต่อให้ถูกคนอื่นเห็นเข้าแล้วยังไง? ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราเปิดเผยไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า พูดด้วยท่าทางจริงจัง:“ทางที่ดีอย่าให้คนอื่นเห็นจะดีกว่า ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นท่าทางตอนที่ฉันกับคุณอยู่ด้วยกัน ไม่อยากให้คนอื่นเห็นว่า ที่แท้เหลิ่งเซ่าถิงก็จูบเก่งขนาดนี้เลย แบบนี้ก็จะมีผู้หญิงมาชอบคุณมากขึ้น ตอนที่คุณเป็นภูเขาน้ำแข็งยังมีผู้หญิงชอบคุณเยอะขนาดนั้น ถ้าให้ผู้หญิงคนอื่นเห็นเทคนิคการจูบระดับสูงของคุณล่ะก็ คงจะยิ่งก่อกวนคุณไม่หยุดเข้าไปอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงแล้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอยิ้มออกมา:“งั้นคุณจูบฉันหน่อยสิ ฉันจะเชื่อฟังคุณ จะไม่อิจฉาเขาอีกแล้ว”

บางทีการกลับมาที่ตระกูลเหลิ่ง ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงได้สวมความเย็นชาที่ห่อหุ้มเขาใหม่อีกครั้ง ตอนที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ มือของเหลิ่งเซ่าถิงกำไว้เบาๆ เขาเห้อออกมาจากริมฝีปากเล็กน้อย:“ทำไมถึงขอแบบนี้เนี่ย? คุณนี่มัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ทันได้พูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็เขย่งเท้า จูบเบาๆไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วพูด:“งั้นฉันจูบคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงกระตุกมุมปาก เขาอดไม่ได้ที่จะก้มมองเจี่ยนอี๋นั่ว มองเจี่ยนอี๋นั่วที่ยิ้มเหมือนแมวที่แอบขโมยกิน หน้าตาดูภูมิใจ เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขาโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ตั้งใจใช้เสียงที่แหบพร่าพูด:“คุณกวนแบบนี้ รู้หรือเปล่าว่าขั้นต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง ก็สูดหายใจเข้าลึกๆอย่างตึงเครียด แล้วพูดเสียงเบา:“ฉัน……เหมือนว่าฉันจะรู้ แต่ร่างกายฉันไม่ไหวจริงๆ อีกอย่างห้องนี้ของคุณมันเก็บเสียงไม่ค่อยดีนะ ถ้าเกิดถูกคนที่เดินผ่านมาได้ยินเข้า คงจะทำตัวไม่ถูก ถ้าฉันไม่เสียงดังอีกก็คงจะไม่ได้?”

“งั้นคุณจะกวนต่อ?” เหลิ่งเซ่าถิงบีบเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว ใกล้ไปที่ข้างหูเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถอยหลังหนึ่งก้าว ติดกับกำแพง แล้วตอบรับอย่างไร้เดียงสา:“ต่อไปฉันจะไม่กวนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เดิมทีบนใบหน้าที่มีแต่ความน่าสงสาร จู่ๆก็เผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้าย:“แต่ทั้งๆที่คุณอยากได้ กลับแข็งใจที่จะพูด‘ห้ามกวน’นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ ทำให้ฉันอดไม่ได้ที่จะอยากกวนคุณต่อ”

“ไม่ใช่ผู้หญิงที่ใจดีจริงๆ” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตา จูบบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย พูดเสียงเบาไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วโอบไปที่คอของเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วจูบตอบเหลิ่งเซ่าถิง ยอมรับตรงๆว่า:“แหะๆ บางทีฉันก็ร้ายมากจริงๆ ประธานเหลิ่งเสียใจซะแล้วเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงจูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พยักหน้า ยิ้มแล้วพูด:“เสียใจสิ เสียใจที่ไม่ได้คบกับคุณให้เร็วกว่านี้ จะได้เห็นคุณที่ใจร้ายแบบนี้เร็วหน่อย”

แต่ไหนแต่ไรมาเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยคิดว่าถ้าเขาคบกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วจะเป็นยังไง ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้อยู่ในแผนชีวิตที่เขาวางไว้สำหรับในอนาคตเลย ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ไม่คาดฝันจากเมื่อวาน เหลิ่งเซ่าถิงคงกดความปรารถนานั่นที่มีต่อเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในใจตัวเองตลอดไป แต่ผ่านไปแค่คืนเดียว สถานการณ์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถจินตนาการได้ถ้าต่อไปไม่มีเจี่ยนอี๋นั่ว เขาจะมีชีวิตต่อยังไง?

การที่ได้สัมผัสถึงแสงอาทิตย์ คนที่รับรู้แล้วว่าความอบอุ่นมันเป็นยังไง จะถอยกลับไปเยือกเย็นในมุมมืดอีกได้อย่างไร?

ที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเมื่อกี้ว่าเธออิจฉาหลิวจื่อซิงมาก เพราะหลิวจื่อซิงเคยอยู่ในชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงก่อนหน้านี้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยอิจฉาที่ไหนกันล่ะ อิจฉาทุกคนที่เคยอยู่ในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเจี่ยนอี๋นั่ว เพียงแค่เพราะพวกเขาได้รู้จักเจี่ยนอี๋นั่วเร็วกว่าเหลิ่งเซ่าถิง

ที่เคยลังเลและระงับความรู้สึก สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้แล้ว ได้กลายเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดที่เขาไม่ได้กอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ให้เร็วกว่านี้

“คนอื่นเขาชอบผู้หญิงประเภทที่อ่อนโยนจิตใจดี คิดไม่ถึงว่าประธานเหลิ่งจะชอบผู้หญิงแบบฉันที่ใจร้ายขนาดนี้ ประธานเหลิ่งมีรสนิยมพิเศษไม่เหมือนใครจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“เพราะแบบนี้จะได้ไม่มีใครมาแย่งคุณไปจากผมไงล่ะ”

“หา?” เจี่ยนอี๋นั่วตกใจเบิกตากว้าง:“ประธานเหลิ่งยังกลัวที่จะแย่งแพ้คนอื่น?”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหุบยิ้มลง แล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง:“กลัวสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไม่คาดคิด ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจความหมายในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ความหมายที่ว่ากลัวจะแย่งแพ้คนอื่น มันมีความหมายแอบแฝงว่าจะสูญเสียเธอไปหรือเปล่า นี่เป็นเพราะเหลิ่งเซ่าถิงไม่มีความรู้สึกว่าปลอดภัย?

เหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่สูงขนาดนั้น คิดไม่ถึงว่าจะกังวลเรื่องแบบนี้เพราะเธอ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนภูมิใจมากแค่ไหนกันเนี่ย?

แต่ตอนนี้ความรู้สึกภูมิใจสักนิดเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่มี รู้สึกแต่เจ็บปวดใจเพราะเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก้มตาลง กอดเหลิ่งเซ่าไว้แน่น พูดอย่างจริงจัง:“ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมาแย่งฉันไป เพราะไม่ว่าใครก็แย่งไม่ได้หรอก!ฉันจะอยู่กับคุณ ฉันจะเป็นขนมเคลือบน้ำตาล ติดไว้กับร่างกายคุณ คุณจะแกะก็แกะไม่ออกหรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นลูบศีรษะเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มออกมา ก้มหน้าลงแล้วจูบที่ต้นคอของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เวลานี้จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก มีคนรับใช้อยู่ด้านนอกพูดด้วยความเคารพ:“คุณชายใหญ่ คุณนายเหลิ่งเรียกหาค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ตอบเสียงเย็นชา:“รู้แล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยมือของเจี่ยนอี๋นั่วที่จับไว้:“ผมไปดูก่อนนะ คุณพักผ่อนก่อนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงเอาไว้ ขมวดคิ้วแล้วพูด:“คุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแค่คำเดียว ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ เหลิ่งเซ่าถิงรู้จักคุณนายเหลิ่งดีกว่าเธอ เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะพูดคำพูดเชิงเตือน แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง เหลิ่งเซ่าถิงตบที่หลังมือของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณวางใจเถอะ ผมรู้ว่าควรจะเผชิญหน้ายังไง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ มองเหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้อง เธอยังคงขมวดคิ้วอยู่ มองประตูห้องด้วยความไม่สบายใจ

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินมาถึงห้องของคุณนายเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งกำลังจับปากกาเขียนหนังสืออยู่ เหลิ่งเซ่าถิงเดินตรงไปยังด้านหน้าคุณนายเหลิ่ง พูดเสียงเบา:“คุณย่า เรียกหาผมเหรอครับ?”

คุณนายเหลิ่งวางปากกาลง ถามเสียงเย็นชา:“แกคบกับเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ใช่ครับ ตอนแรกคุณย่าพูดไว้ไม่ใช่เหรอครับ ว่าผมจะชอบเขาแน่?”

คุณนายเหลิ่งเฮอะเสียงไม่พอใจออกมา:“ฉันพูดว่าแกจะชอบเขาแน่ คือให้ชอบในแบบที่ให้เขาเป็นแม่ของลูกแกในอนาคต ให้ชอบเป็นภรรยาในนาม ไม่ใช่ให้ไปชอบในฐานะผู้หญิงคนหนึ่ง!แกดูสิแกทำอะไรลงไป? ออกไปข้างนอกกับเขาทั้งคืน กลัวว่าทุกคนเขาจะไม่รู้หรือไงว่าพวกแกคบกัน กลัวว่าคนอื่นเขาจะไม่รู้เหรอว่าแกมีจุดอ่อนแบบนี้ ผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ต่อที่ตระกูลไม่ได้อีกแล้ว ต้องรีบปลดความสัมพันธ์กับแกออกซะ ให้เขาออกจากตระกูลเหลิ่ง!”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“เจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนที่คุณย่าหามา ตอนแรกไม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากผม ให้ผมกับเขาอยู่ด้วยกัน ตอนนี้ผมขอบคุณคุณย่ามากครับ ที่ทำให้ผมได้เจอกับเขา แต่ผมคงไม่ฟังคำสั่งของคุณย่าที่ให้เขาออกห่างจากผมนะครับ คุณย่าไม่อยากให้แต่งงานกับคนที่ผมชอบ บอกว่าจะกลายเป็นจุดอ่อนของผม เมื่อก่อนผมคิดว่าทำแบบนั้นคือถูก แต่ตอนนี้ผมรู้แล้ว คนที่เหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีจุดอ่อนไม่สามารถมีชีวิตต่อได้ มันไม่มีคุณค่าเลยสักนิด”

คุณนายเหลิ่งจ้องเหลิ่งเซ่าถิง:“แกรู้ไหมว่าในอนาคตแกจะอันตรายมากแค่ไหน? เขาจะทำให้แกตัดสินใจผิดพลาดในหลายๆเรื่อง ทำให้แกมองไม่เห็นว่าเป้าหมายของแกคืออะไร?”

“อันตราย?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา:“ถ้าการที่ผมชอบผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วมันอันตรายมาก งั้นก็แสดงว่าผมอยู่ในช่วงอันตรายอยู่ตลอด คุณย่าคิดว่าผมไม่มีคนที่สนใจ แล้วผมจะไม่ถูกอย่างอื่นบังคับข่มขู่เหรอครับ?”

คุณนายเหลิ่งสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ พูดเสียงขรึม:“ไม่เพียงแค่นั้น แกชอบเขา แกก็จะเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างของตัวแกเองต่อหน้าเขา ถ้าวันหนึ่งเขาหักหลังแก แกคงต้องเสียหายย่อยยับ!พวกเราคนตระกูลเหลิ่ง ถึงแม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา ต่างก็ต้องป้องกันหัวใจ ตอนนี้การกระทำของแก ได้ป้องกันหัวใจจากเขาบ้างหรือเปล่า? ไม่งั้นก็ให้เขาซ่อนตัวซะ แล้วไปปล่อยที่ต่างประเทศ อย่าได้สัมผัสถึงสิทธิสำคัญในตระกูลเหลิ่ง หลังจากนั้นแกค่อยแต่งงานกับผู้หญิงสักคน ฉันช่วยแกเลือก……”

“ผมจะไม่เลือกผู้หญิงคนอื่น” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงขรึม:“และเขาก็ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะยอมถูกซ่อนไว้ง่ายๆ”

คุณนายเหลิ่งออกแรงตบโต๊ะ:“เหลิ่งเซ่าถิง แกไม่เห็นย่าในสายตาเลยหรือไง? อย่าได้คิดว่าตอนนี้แกเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวของฉัน ฉันสามารถให้เจี่ยนอี๋นั่วมีลูกให้แกได้ ฉันก็สามารถหาวิธีให้ผู้หญิงคนอื่นมีลูกให้แกได้เหมือนกัน ตอนนี้วิทยาศาสตร์กับเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นมาก แกไม่จำเป็นต้องให้ความร่วมมือเลยก็ยังได้ หาทายาทตระกูลเหลิ่งแบบนี้เอาแล้วกัน”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางคุณนายเหลิ่ง แล้วยิ้มออกมา:“คุณย่าจะจัดการยังไงก็ได้ แต่ผมแนะนำให้คุณย่าพิจารณาถึงต้นทุนเวลาในการเลี้ยงดูอบรมทายาทคนใหม่ด้วยนะครับ อีกอย่างถ้าพวกเราเกิดขัดแย้งกันขึ้นมา มีความเป็นไปได้ว่าอารองจะถือโอกาสนี้เข้ามาก้าวก่าย”

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้ว จ้องเหลิ่งเซ่าถิง:“ในเมื่อแกรู้ ทำไมแกยังไม่ฟังคำสั่งของฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงขรึม:“เพราะผมไม่ใช่ของเล่นในมือของคุณย่าไงครับ”

คุณนายเหลิ่งส่งเสียงไม่พอใจออกมา หรี่ตามองเหลิ่งเซ่าถิง:“แกจะเสียใจกับการตัดสินใจของแกในตอนนี้!รักผู้หญิงคนหนึ่ง? รอให้ถึงตอนที่แกถูกผู้หญิงคนนี้หักหลังทำร้าย แกก็จะรู้เองว่าการตัดสินใจของฉันคือถูกต้อง!”

“ผมก็เชื่อเหมือนกันครับว่าการตัดสินใจของผมคือถูก” เหลิ่งเซ่าถิงมองคุณนายเหลิ่ง แล้วถามเสียงเย็นชา:“คุณย่าบอกว่าพวกเราคนตระกูลเหลิ่งต้องป้องกันหัวใจ คุณย่าป้องกันหัวใจกับผมหรือเปล่าครับ?”

คุณนายเหลิ่งหรี่ตา ค่อยๆเอนไปด้านหลัง เหมือนกับเก็บอาการเมื่อครู่ที่ดุด่าบังคับไป เผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน:“ฉันจะไปมีการป้องกันหัวใจกับแกได้ยังไงล่ะ? เมื่อกี้ต่างก็เป็นคำพูดจากความโกรธทั้งนั้น ตอนนี้แกเป็นสายเลือดคนเดียวของฉันเลยนะ”

“ผมก็ไม่ได้ป้องกันหัวใจกับคุณย่าเหมือนกันครับ” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“ดูแล้วแบบนี้ พวกเราคนตระกูลเหลิ่งไม่จำเป็นต้องป้องกันแบบนั้นทุกคน เหมือนผมกับคุณย่า ในเมื่อสามารถเชื่อใจกันและกันได้ งั้นอี๋นั่วก็สามารถคบหากับผมได้ดีเหมือนกันครับ”

คุณนายเหลิ่งยิ้มเบาๆ:“ใช่แล้วล่ะ ความสัมพันธ์พวกเราย่าหลานเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุด เอาเถอะ ฉันจะเก็บไปคิดแล้วกันเรื่องที่จะจัดการเจี่ยนอี๋นั่วยังไง แกไปพักผ่อนเถอะ ฉันก็เหนื่อยแล้วเหมือนกัน”

“งั้นคุณย่าก็พักผ่อนนะครับ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็หมุนร่างเดินออกไปจากห้องคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงเย็นชา:“ตระกูลตอนนี้มีฉันเป็นคนออกคำสั่ง ไม่ว่าใครก็ห้ามท้าทายอำนาจของฉัน รวมถึงแกด้วย!”

คุณนายเหลิ่งพูด แล้วหันหน้าไปมองกระถางต้นไม้ที่วางอยู่ข้างโต๊ะ เธอยื่นมือไปดึงดอกไม้ที่อยู่บนก้านลงมา:“ดอกไม้ที่ฉันปลูกจนโต จะให้แกโตตามใจชอบได้ยังไง? ทุกใบที่แกโตมา ทุกดอกที่ออก ล้วนแต่โตมาตามความตั้งใจของฉัน!”

“จริงๆเลย นี่มันการบรรยายอะไรกันเนี่ย?” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นออกมา แล้วก้มหน้าลง ด้วยใบหน้าที่เคียดแค้น แล้วกินโจ๊กถ้วยเล็ก

กินโจ๊กเสร็จ เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงฉู่หมิงเซวียนขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว:“ฉู่หมิงเซวียนเขาเป็นอะไรไปแล้ว? หรือว่าฉันต้องฟ้องร้องเขา……”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า:“ยังมีวิธีอื่น ผมให้เอเริ่มตามสืบฉู่หมิงเซวียนแล้ว ตอนนี้รู้แล้วว่าฉู่หมิงเซวียนมีพฤติกรรมชอบติดสินบนในธุรกิจ ถ้ารวบรวมหลักฐานมากกว่านี้อีกหน่อย ก็จะสามารถส่งเขาเข้าคุกได้ ไม่จำเป็นต้องให้คุณออกหน้า เขาทำกับคุณแบบนั้น ผมจะทำให้ฉู่หมิงเซวียนไม่มีที่ยืนในสังคมอีกต่อไป”

“งั้นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย……” เจี่ยนอี๋นั่วรีบถาม แต่พึ่งจะได้ออกจากปาก จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็หยุดเอาซะดื้อๆ ไม่รู้ว่าควรจะถามเหลิ่งเซ่าถิงยังไงเกี่ยวกับเรื่องคลิปของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ได้พูดออกมา เหลิ่งเซ่าถิงกลับรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะถามอะไรกันแน่ เขารีบตอบ:“วางใจเถอะ คลิปพวกนั้นหายไปหมดแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา ก่อนหน้านี้เธอจมอยู่กับความแปลกใจและดีใจของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงที่เปลี่ยนไป เกือบลืมไปเลยว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ ตอนนี้ที่ได้ยินได้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเลยผ่อนคลายขึ้นมา

“เรื่องที่ต้องกังวลยังไม่จบ พวกเรายังต้องเผชิญหน้ากับตระกูลเหลิ่งด้วยกันอีกนะ” เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะผ่อนคลายลง ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง เธอขมวดคิ้วแล้วมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง:“พวกเราสามารถปิดบังความสัมพันธ์ของพวกเราไว้ชั่วคราว รอให้สถานการณ์ของตระกูลเหลิ่งชัดเจนกว่านี้หน่อย……”

“ปิดไม่มิดหรอก” เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า:“พวกเราปิดพวกเขาไม่มิดหรอก ผมกับคุณหายไปพร้อมกันหนึ่งวันหนึ่งคืน พวกเขาต้องเดาได้แน่ๆว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน อีกอย่าง……”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกมา จับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้:“สายตาที่ผมมองคุณ สายตาที่คุณมองผม ปิดบังใครไม่ได้หรอก เจี่ยนอี๋นั่ว ต่อไปคุณจะตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย เพราะตอนนี้คุณคือภรรยาที่แท้จริงของผมแล้ว”

“งั้นฉันจะไปจัดการเรื่องพ่อของฉันก่อน หลังจากนั้นจะรีบจัดการให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปต่างประเทศ” เจี่ยนอี๋นั่วรีบยืนขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์อันตรายพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากดึงพ่อของเธอกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเข้ามาข้องเกี่ยวด้วย เหลิ่งเซ่าถิงตบเบาๆที่มือของเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมให้คนไปทำแล้ว แต่เรื่องอื่นๆไม่ได้มีวิธีที่ดีอะไรขนาดนั้น ขนาดผมยังเคยกลายเป็นคนที่ไม่สามารถรับรู้ความรู้สึกอะไรได้ ได้แต่นอนบนเตียง ก่อนหน้านี้ที่ผมปฏิเสธคุณมาตลอด เพราะอยากให้คุณออกห่างจากผม หลีกเลี่ยงที่จะเข้ามาในความวุ่นวายของตระกูลเหลิ่ง แต่ก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น เป็นผมเองที่ดึงคุณเข้ามาในสนามรบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก แล้วพูดเสียงเบา:“มันไม่ใช่เรื่องที่ไม่คาดคิด มันคือโชคชะตาได้ลิขิตไว้แล้ว ลิขิตให้ฉันกับคุณเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง ตั้งแต่วันที่ฉันเข้ามาในตระกูลเหลิ่งเพื่อช่วยตระกูลเจี่ยนให้รอดพ้น ฉันก็ตัดสินแล้วว่าจะต้องคบกับคุณให้ได้ ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะมีความคิดแบบนี้ แต่หลังจากที่ฉันเลิกกับคุณ แค่ฉันออกห่างจากตระกูลเหลิ่งฉันก็สามารถเป็นเจี่ยนอี๋นั่วได้ ได้ใช้ชีวิตไปอย่างเงียบๆ แต่ตอนนี้พอมาคิดดูแล้ว ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จ ฉันก็เคยเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ฉันเกือบจะคลอดลูกให้คุณ ศัตรูของคุณอาจจะปล่อยฉัน ภรรยาในอนาคตของคุณอาจจะมองข้ามการมีตัวตนของฉันหรือเปล่า? เป็นฉันที่ยินยอมเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง เป็นฉันที่ทำให้คุณในตอนนี้มีจุดอ่อนในชีวิต ฉันควรจะต้องแบกรับทุกอย่าง ต่อไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะเชื่อคุณ และขอให้คุณเชื่อฉัน ฉันจะอยู่ข้างๆคุณตลอดไป”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆยิ้มออกมา ยื่นมือไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วแน่น ยิ้มแล้วพยักหน้า

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง:“งั้นอีกสักพัก คุณต้องไปเจอพ่อกับฉัน ฉันอยากให้เขาเห็นคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพยักหน้า เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ากินโจ๊ก รู้สึกว่าเดิมทีโจ๊กที่อุ่นนี้ได้เพิ่มความเย็นขึ้นมาพอสมควร เดิมทีความหวานปานน้ำผึ้งที่เป็นของทั้งสองคนได้จางหายไปในชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้สงครามเย็นของตระกูลเหลิ่งทั้งตระกูล

เจี่ยนอี๋นั่วพาเหลิ่งเซ่าถิงไปเจอเจี่ยนฉางรุ่น เธอเห็นว่ามีคนเยอะมากกำลังคุ้มครองปกป้องเจี่ยนฉางรุ่นอยู่ อย่างที่เธอคิด เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามาพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“วางใจเถอะ นอกจากคุณกับผม คนพวกนี้ไม่มีทางให้ใครหน้าไหนเข้าใกล้พ่อคุณอย่างแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วจูงมือของเหลิ่งเซ่าถิงเดินไปตรงหน้าเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนฉางรุ่นเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ร้องเรียกออกมา:“อี๋นั่ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงตรงหน้าเจี่ยนฉางรุ่น เงยหน้าพูดกับเจี่ยนฉางรุ่น:“พ่อคะ หนูพาคนๆหนึ่งมาหา เขาชื่อเหลิ่งเซ่าถิง เป็นสามีหนูในตอนนี้ สามีที่แท้จริง”

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเจี่ยนฉางรุ่น ก็รีบยิ้มเล็กน้อย:“คุณลุง สวัสดีครับ”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนฉางรุ่นดูแล้วจะไม่ค่อยมีปฏิกิริยากับสิ่งที่อยู่ภายนอก แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงรักษามารยาท เจี่ยนฉางรุ่นไม่แม้แต่ชายตามองเหลิ่งเซ่าถิงสักนิด เขามองแค่เจี่ยนอี๋นั่ว พูดชื่อเจี่ยนอี๋นั่วอย่างงึกๆงักๆ:“อี๋นั่ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆ แล้วเล่าเรื่องระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงให้เจี่ยนฉางรุ่นฟังอย่างย่อๆ เจี่ยนอี๋นั่วไม่แน่ใจว่าพ่อของตัวเองฟังออกได้มากแค่ไหน แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองต้องพูดกับอะไรกับพ่อสักหน่อย เธออยากจะบอกพ่อของตัวเองว่าเธอมีคนรักแล้ว

ตั้งแต่ออกมาจากสถานพักฟื้น เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงก็นั่งรถกลับตระกูลเหลิ่งด้วยกัน ตอนที่รถหยุดอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงปลดเข็มขัดนิรภัยออก แล้วถามเจี่ยนอี๋นั่วเสียงเบา:“คุณกลัวไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ:“ฉันกลัว!”

เธอจะไม่กลัวได้ยังไง? ไม่ต้องพูดถึงเหลิ่งเฉิงอวี่ที่หน้าเนื้อใจเสือกับคุณนายเหลิ่งในตระกูลเหลิ่งหรอก แค่เหลิ่งหมิงอันก็พอที่จะทำให้เธอกลัวจนร้อนรนได้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆ ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากจะเหยียบเข้าไปในตระกูลเหลิ่งจริงๆ แต่ตอนนี้ข้างกายเธอยังมีเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่สามารถถอยกลับได้ ถ้าเธอถอยกลับ ก็เหมือนปล่อยให้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่ออย่างโดดเดี่ยวคนเดียว

“ฉันกลัวมาก……” เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือของตัวเองออกมาจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้:“แต่ฉันจะไม่ออกห่างจากคุณ”

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะมีความเกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลเหลิ่งเลยสักนิดจริงๆ เธอกลัวตายมาก กลัวสถานการณ์ที่ตระกูลเหลิ่งกดขี่บีบคั้นจนหายใจไม่ออกแบบนี้มาก ถ้าเธอไม่อยู่ที่นี่แล้ว เธอไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองจะทำยังไง แต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงก็เป็นคนรักของเธอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่สู้ต่อไป เดินหน้าต่อด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วจับมือตอบเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“วางใจเถอะ ตอนนี้พวกเขาคงจะไม่ทำเรื่องอะไร หลังจากที่คุณเข้าไปแล้ว คุณจะได้เห็นฉากสนุก เห็นว่าทั้งๆที่ทุกคนรู้เรื่องความสัมพันธ์ของพวกเราสองคน แต่กลับแกล้งทำว่าไม่รู้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วถาม:“พวกเขาจะแสร้งทำว่าไม่รู้อะไรเลย?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“มีบางคนคิดว่าพวกเราตั้งใจปิดบัง เลยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น แต่ตอนนี้ความสัมพันธ์ของผมกับคุณไม่สามารถปิดบังต่อได้แล้ว ให้คุณอยู่ในสถานที่ที่สว่าง มันจะปลอดภัยกว่าการหลบในที่มืด อีกอย่างผมไม่อยากเล่นสนุก ปิดบังการมีตัวตนของคุณกับคนอื่นต่ออีกแล้ว แบบนั้นมีแต่จะทำให้คุณน้อยใจ และคุณก็คงไม่ชอบเห็นผมอยู่กับผู้หญิงคนอื่นใช่ไหมล่ะ? คุณหญิงเหลิ่ง คุณเตรียมพร้อมหรือยัง?”

เจี่ยนอี๋นั่วที่เดิมทีตื่นเต้นมาก พอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดว่า“คุณหญิงเหลิ่ง” จู่ๆเธอก็ถอนหายใจยาวออกมา อดไม่ได้ที่จะยิ้ม:“โอเค คุณชายเหลิ่ง ฉันก็ไม่อยากเห็นคุณใช้คำว่าปกป้องฉัน ไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนกัน”

ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าบรรยากาศในตระกูลเหลิ่งเหมือนกับก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เหมือนว่าจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง คุณนายเหลิ่งกับสุยเฉิงจิ้งนั่งคุยกันอยู่บนโซฟาห้องรับแขก ตอนที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิง คุณนายเหลิ่งแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วรีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“กลับมาแล้วเหรอ? ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

มีแค่หลิวจื่อซิงที่นั่งอยู่ข้างๆขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนที่มองเห็นมือของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงที่จับกันอยู่นั้น สายตาของหลิวจื่อซิงเผยให้เห็นความเกลียดชังเข้ากระดูก เธอจ้องเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างไม่พอใจแล้วพูด:“คุณเจี่ยนฝีมือดีนี่!”

“คุณหญิง” เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองหลิวจื่อซิง แล้วพูดเสียงเย็นชา:“คุณควรจะเรียกเขาว่าคุณหญิง เขาเป็นภรรยาของผม เป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง”

“อะไรนะ?” หลิวจื่อซิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เบิกตากว้างมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง เธอสะอึกพูดอย่างไม่เต็มใจ:“เซ่าถิง คุณจะตัดความสัมพันธ์กับฉันแบบนี้เหรอ? คุณลืมแล้วเหรอว่าพวกเราเคย……”

“นั่นมันเมื่อก่อน มันจบไปแล้ว คุณหลิว” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เอื้อมมือไปโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ไปกันเถอะ พวกเรากลับห้องกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับห้องไปกับเหลิ่งเซ่าถิง เส้นทางนี้มันลำบากมาก เธอสัมผัสได้ถึงสายตาที่บ่งบอกว่าไม่เข้าใจกำลังพุ่งสังเกตมาจากด้านหลังเธอ เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับมองเห็นเหลิ่งเฉิงอวี่ที่“บังเอิญ”ผ่านมาทางห้องเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ยังไม่เห็นเหลิ่งหมิงอัน

การหายตัวไปของเหลิ่งหมิงอันที่มักจะก่อกวนอยู่ข้างๆเธอ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่ชินเล็กน้อย รู้สึกถึงความไม่สบายใจที่ค่อยๆคืบคลานเข้ามาในจิตใจเธอ หลังจากที่กลับมาที่ห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“รู้สึกว่าไม่ได้ลำบากขนาดนั้น”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วลูบศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“นั่นเป็นเพราะความสามารถในการปรับตัวของคุณดีมาก คุณทำได้ดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างไม่มั่นใจ มองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“ฉันไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย คุณบังหน้าให้ฉันไว้ตลอดต่างหาก แต่คิดไม่ถึงว่าคุณสามารถเจอหน้ากับหลิวจื่อซิงได้……”

“ตอนนี้คุณยังอิจฉาเขาอยู่ไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วหรี่ตายิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า:“ไม่อิจฉาแล้ว……”

“จริงเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ถามเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนจะส่ายหน้า แต่สุดท้ายก็ค่อยๆพยักหน้า:“อิจฉา……ฉันยังคงอิจฉาเขา……”

“อิจฉาอะไรเขา?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยความอยากรู้

“อิจฉาที่เขาได้รู้จักคุณตั้งแต่ยังเด็ก ได้มีช่วงเวลาที่เดินอยู่ข้างๆคุณตั้งหลายปี……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็กัดริมฝีปากแล้วพูดเสียงเบา:“ฉันอิจฉาเขามาก”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือมาลูบศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยิ้มแล้วพูด:“คุณไม่ต้องอิจฉาเขาหรอก เพราะเวลาที่พวกเราอยู่ด้วยกันมันจะยาวนานกว่านั้น”

เหลิ่งเซ่าถิงจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น ดึงเจี่ยนอี๋นั่วอย่างแน่นหนาไว้ข้างกายเขา เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วจับมือตอบเหลิ่งเซ่าถิง นิ้วมือสะกิดตรงฝ่ามือของเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ เธอเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงใช้หน้ากากอนามัยปิดบังหน้าครึ่งหนึ่ง ตาทั้งสองข้างมองตรงไปยังด้านหน้า ดูแล้วไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แต่อย่างใด ทันใดนั้นมือของเธอที่ซุกซนยิ่งนับวันก็ยิ่งซนมากขึ้น จู่ๆมือของเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงจับไว้แน่น ทำให้ข้อมือของเธอไม่สามารถดิ้นได้

“ตอนนี้ห้ามกวน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงต่ำ

“ก็ได้” เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าอย่างว่าง่าย แล้วขดกลับไป

“กลับไปถึงบ้านค่อยกวน” เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตาแล้วพูด ตาของเขาโค้งเล็กน้อย ดูแล้วเหมือนกำลังยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็พยักหน้าเบาๆ อดไม่ได้ที่จะยิ้มตามเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มไปด้วย คิดในใจไปด้วย:บ้าน? น้อยมากที่เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดถึงคำว่าบ้าน ดูแล้วห้องลับที่เป็นบ้านพักอยู่ในหมู่บ้านนี้มีความหมายต่างกับที่เขาพูดจริงๆ

หลังจากที่มาถึงชั้นบน เหลิ่งเซ่าถิงเบียดกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าออกมา พาเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากลิฟต์ แล้วมาถึงหน้าประตูห้อง เหลิ่งเซ่าถิงหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูอย่างชำนาญ หันหน้าไปพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“เข้ามาสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้อง เธออดไม่ได้ที่จะตกใจ ครั้งแรกตอนที่เธอเข้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เคยตกใจกับความหรูหราของคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง แต่ที่เธอตกใจในตอนนี้ กลับเป็นห้องนี้ที่ธรรมดา ทุกอย่างเรียบง่ายไปหมด ชุดเฟอร์นิเจอร์สีครีม ต้นไม้เอื่อยๆที่ไม่รู้ว่าชื่ออะไรปลูกไว้อยู่ตรงมุมห้อง บนชั้นหนังสือที่มีหนังสือวางมั่วไปหมด บางเฟอร์นิเจอร์ก็ค่อนข้างจะเก่าแก่ ดูแล้วไม่เหมือนห้องที่พึ่งจะตกแต่งเสร็จใหม่ๆ

ดูแล้วไม่น่าจะเป็นสถานที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงจะพักอาศัยได้ เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยความคาดไม่ถึง:“นี่คือ‘บ้าน’ของคุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งสำหรับผมแล้ว เป็นสนามรบอีกที่หนึ่ง และผมก็ไม่ใช่ท่อนไม้ จะไม่มีความรู้สึกเลยได้ยังไง? ตอนที่อายุสิบเจ็ดสิบแปด ผมยังควบคุมอารมณ์ความรู้สึกตัวเองได้ดีอยู่ ทุกครั้งที่อารมณ์ไม่ดี ก็จะมาพักอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน รอให้ตัวเองอารมณ์ดีขึ้นแล้วค่อยกลับไปเผชิญหน้ากับทุกอย่าง หลังจากนั้นถึงแม้ว่าผมจะควบคุมตัวเองได้ดีกว่าเดิมแล้ว แต่การมาพักผ่อนที่นี่มันกลายเป็นความเคยชินของผมไปแล้ว ต่อมาผมก็ถูกรถชน พอตื่นขึ้นมาก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย เลยไม่ได้มาที่นี่อีก มีแค่วันที่อารมณ์ไม่ดี ถึงจะมาที่นี่ครั้งหนึ่ง ก่อนหน้านี้ที่นี่เป็นบ้านของผมคนเดียว แต่ตอนนี้ถือว่าเป็นบ้านของพวกเราสองคน”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากยิ้ม แล้วพูดเสียงเบา:“บ้านของพวกเราสองคนด้วย นี่สารภาพรักหรือเปล่าเนี่ย?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า หันร่างไปโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่วไว้:“ผมเคยบอก ผมชอบคุณ……”

เหลิ่งเซ่าถิงที่เดิมทีเย็นชากับเจี่ยนอี๋นั่ว จู่ๆก็เอาแต่สารภาพต่อหน้าเธอ มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย และภูมิใจอีกด้วย อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา แล้วพูดเสียงเบา:“คุณพูดแต่ชอบฉันแบบนี้ มันทำให้ฉันลำบากใจนะ คุณไม่ต้องสารภาพตลอดหรอก ให้ฉันเก็บไปคิดก่อน รอฉันปฏิเสธคุณแล้วคุณค่อยสารภาพต่อ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมไปหาความชั่วร้ายในใจเล็กน้อย เธอรู้สึกว่าก่อนหน้านี้เธอสารภาพกับเหลิ่งเซ่าถิงตั้งหลายครั้ง ตอนนี้ถูกเหลิ่งเซ่าถิงล่วงเกิน แล้วพอเขาสารภาพรักก็แจ้นไปหาเหลิ่งเซ่าถิงเลย เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองเสียเปรียบมาก เธอเลยอยากฟังคำสารภาพของเหลิ่งเซ่าถิงเยอะกว่านี้อีกหน่อย ถึงจะกู้หน้าของเธอกลับมาได้

“ลำบากใจ? ยังต้องเก็บไปคิดอีก?” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามด้วยความสงสัย:“ตอนแรกคุณร้องไห้นานมากเพราะผมไม่ชอบคุณ ตอนนี้กลับลำบากใจ? ถ้าคุณไม่ชอบผม แล้วปฏิเสธผม……”

“ฉันชอบคุณ!ไม่มีทางปฏิเสธหรอก!” เจี่ยนอี๋นั่วที่เมื่อกี้แสร้งถือตัวรีบพูดออกมาทันที กลัวว่าถ้าช้าสักวินาที ทุกอย่างที่เหลิ่งเซ่าถิงเขาสารภาพกับเธอจะเป็นโมฆะ!

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นปฏิกิริยาของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“คุณเปลี่ยนได้เร็วจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วกระแอมอย่างเคอะเขิน แล้วรีบเปลี่ยนหัวข้อการสนทนา:“ช่วงนี้คุณมาที่นี่ครั้งหนึ่ง งั้นมาเมื่อไหร่เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะเชื่อว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงมีช่วงที่อารมณ์ไม่ดีด้วย? เขาดูแล้วเข้มแข็งขนาดนั้น ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรกระทบความรู้สึกของเขาได้ จะมีเรื่องให้ไม่สบายใจได้ยังไง? หรือว่าเป็นเพราะเธอ?

“ตอนนั้น……” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดลง แล้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ตอนนั้นเครียดเรื่องงานน่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดแล้วหันหน้าเอียงเล็กน้อย ไม่ได้มองเจี่ยนอี๋นั่วอีก ช่วงนี้ที่เขามาที่นี่ครั้งนั้น ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะเรื่องงาน แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน คืนนั้นที่เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอันตามป่า แล้วจู่ๆก็กดตัดสายโทรศัพท์ของเขา เหลิ่งเซ่าถิงมาที่นี่ หลังจากที่นั่งที่นี่ทั้งคืน ถึงจะกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง แค่เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วเรื่องนี้ เขามองเห็นความภูมิใจบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าพูดเรื่องนี้กับเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่รู้ว่าเธอจะภูมิใจเพิ่มอีกมากแค่ไหน

เปรียบเทียบดูเมื่อกี้แล้วถ้าด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่วมีหางละก็ คงส่ายไปส่ายมาอย่างภูมิใจไม่หยุดแน่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงชอบเห็นเจี่ยนอี๋นั่วมองเขาด้วยท่าทางงอนมากกว่า หน้าของเธอเหมือนไม่เต็มใจที่จะมองเขา แล้วถามเขาไม่หยุดว่าทำไมถึงไม่ชอบเธอด้วยท่าทางน่าสงสารนั่น

เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยคบกันผู้หญิงคนไหนมาก่อน แต่ประสบการณ์ที่อยู่ที่ศูนย์การค้าพบปะกับผู้คนเป็นเวลานานบอกเขาว่า ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบไหน ทำให้ฝ่ายตรงข้ามภูมิใจ แล้วมองไพ่ตายของตัวเองให้ชัดเจน ไม่มีทางเป็นเรื่องดีแน่นอน โดยเฉพาะต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วที่ภูมิใจแบบนี้จะกลายเป็นผู้หญิงที่พอได้คืบจะเอาศอก

“อ๋อ……” เจี่ยนอี๋นั่วที่หวังว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดคำสารภาพออกมาอีก ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวังเล็กน้อย พูดเสียงเบา:“ที่แท้ก็เป็นเรื่องงานงั้นสินะ? งั้นฉันไปอาบน้ำก่อนละกัน แต่ฉันไม่มีเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยน”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า ยิ้มแล้วพูด:“คุณไปเถอะ ผมจะไปซื้อชุดให้คุณเอง”

“คุณรู้หรือเปล่าว่าฉันใส่ไซส์อะไร?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม

“รู้สิ……” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“ผมเคยสัมผัสมาหมดแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะตอบแบบนี้กับเธอ พอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสเธอยังไง เธอก็หน้าแดงขึ้นทันที แม้แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ชายตามอง เธอรีบหมุนร่างเดินเข้าห้องน้ำไป เข้าไปในห้องน้ำก็เข้าไปอาบน้ำเลย หลังจากที่ชำระล้างสิ่งสกปรกและความเหนียวตัวออกไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนอยู่หน้ากระจก มองรอยที่เหลิ่งเซ่าหลงเหลือไว้บนร่างกายเธอ เธอหน้าแดงขึ้นมา แล้วพึมพำเสียงเบา:“จริงๆเลย……”

คำด่าวนไปวนมาอยู่ข้างปากเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากจะเอาคำว่า“สารเลว”มาใช้กับเหลิ่งเซ่าถิง สุดท้ายทำได้แค่ด่าเสียงเบาๆและไม่แรงเกินไป:“ชั่วร้ายจริงๆเลย!”

พอประโยคนี้ออกจากปาก ถึงแม้ว่าในห้องน้ำจะมีแค่เจี่ยนอี๋นั่วคนเดียว แต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกๆ นี่กำลังด่าคนเหรอ? นี่ด่าแบบหยอกเล่นต่างหาก

“ไม่มีอนาคตเลยจริงๆ!” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะโบกมือกับเหลิ่งเซ่าถิง แล้วตัวเองที่รีบเดินไปด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ดูถูกตัวเองด้วยการด่าออกมาเหมือนพูดอยู่คนเดียว

เวลานี้ประตูห้องน้ำก็ถูกเคาะขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบเปิดประตู พอเปิดประตู เธอก็ยื่นหน้าออกมาดู เห็นว่าเป็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ถือเสื้อผ้าอยู่หน้าประตู เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วที่บนร่างกายยังมีหยดน้ำอยู่ สายตาอึมครึมเล็กน้อย พูดเสียงขรึม:“อาบสะอาดแล้วเหรอ? ให้ผมช่วยคุณไหม? เมื่อกี้ตอนเดินคุณยังเดินไม่ค่อยไหวเลย ตอนนี้จะอาบน้ำเองไหวเหรอ?”

ถึงแม้ว่าตอนพูดเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดด้วยท่าทางจริงจัง เพื่อให้คนอื่นมองความหมายแฝงที่เขาจะสื่อไม่ออก แต่ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงช่วยเจี่ยนอี๋นั่วอาบน้ำ มันมีจะเรื่องดีอะไรเกิดขึ้นได้อีก?

ถึงแม้ว่าในใจเจี่ยนอี๋นั่วจะคาดการณ์ถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในห้องน้ำของคนสองคนได้ นับว่าไม่เลวเลยจริงๆ แต่ร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ไม่ไหวแล้วจริงๆ เลยพูดเสียงเบา:“เรื่องแบบนั้นค่อยว่ากันทีหลังแล้วกัน ฉันไม่อยากจะอาบน้ำใหม่อีกรอบ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบแย่งเสื้อผ้าในมือของเหลิ่งเซ่าถิงมา แล้วปิดประตูห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ที่ประตูห้องน้ำ หัวเราะแล้วถาม:“เรื่องแบบนั้น? แล้วจะได้ทำเมื่อไหร่? พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแล้วหน้าแดง คิดอย่างจริงจังสักพัก แล้วพูดออกไปอย่างติดๆขัดๆ:“มะ มะรืนนี้แล้วกัน!”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขาพยักหน้าแล้วพูด:“ก็ได้ ผมจะรอคุณนะ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินออกมา ดึงชุดออกกำลังกายบนร่างเธอไปมา:“คิดไม่ถึงว่าเสื้อผ้าที่คุณซื้อมามันพอดีตัวกับฉันเลย”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมาขยี้หัวของเจี่ยนอี๋นั่ว:“ไปกินข้าวเถอะ”

ห้องไม่ใหญ่มาก เจี่ยนอี๋นั่วเดินไม่กี่ก้าวก็มาถึงโต๊ะกินข้าวแล้ว มองโจ๊กและกับข้าวเล็กๆน้อยๆบนโต๊ะกินข้าว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มแล้วถาม:“คุณซื้อมาเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า:“ผมทำเอง”

“อะไรนะ?” เจี่ยนอี๋นั่วคีบกับข้าว แล้วจู่ๆก็นิ่งอึ้งไป:“คุณทำกับข้าวเป็น?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วถาม:“แปลกมากเลยเหรอ? ทำกับข้าวน่าสนุกดีออก คุณทำไม่เป็น?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก แล้วพูดเสียงเบา:“ถ้าไข่ต้มนับว่าเป็นกับข้าว งั้นฉันก็ทำกับข้าวเป็น”

“ต้มไข่ได้ดี นี่ก็ไม่ง่ายเลยนะ” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“ต่อไปคุณก็รักษาท่าทีแบบนี้ไว้ให้ดีนะ อย่าเผยให้เห็นเอาได้ง่ายๆ ต่อไปถ้าพวกเรามาที่นี่ด้วยกัน ผมจะทำกับข้าวให้เยอะหน่อย”

“หา……” เจี่ยนอี๋นั่วเกาศีรษะ ยิ้มแล้วพูด:“เหมือนว่าฉันจะเก็บของล้ำค่าได้ซะแล้วล่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า:“ไม่ใช่เหมือนว่า แต่คุณเก็บของล้ำค่าได้จริงๆ”

“ชมตัวเองขนาดนี้ ฉันรู้สึกทำตัวไม่ถูกแล้วนะเนี่ย” เจี่ยนอี๋นั่วบ่นแล้วชี้มาที่ตัวเอง กะพริบตามองเหลิ่งเซ่าถิง:“คุณชมตัวเองแบบนี้ แล้วฉันล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเท้าคาง มองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างจริงจัง:“คุณเป็น……”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา มองเหลิ่งเซ่าถิงตาปริบๆ หวังจะได้ยินคำชมดีๆออกมาจากปากเหลิ่งเซ่าถิง

จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มขึ้นมา:“แมว คุณเป็นแมว……เป็นแมวที่เวลาผิดหวังก็จะหงอยเหงาเศร้าซึม พอเวลาภูมิใจก็โหดอย่างกับกางกรงเล็บไว้รอแล้ว”

หลังจากที่ทุกอย่างสงบลงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ปรับลมหายใจให้มั่นคง บนเบาะหลังรถที่แคบและเล็กนั้น เหลิ่งเซ่าถิงต้องโอบเธอทั้งตัวไว้ในอ้อมกอด เธอถึงจะไม่หล่นลงไปจากเบาะรถ บริเวณรอบๆเธอมีแต่กลิ่นอายของเหลิ่งเซ่าถิงที่วนเวียนอยู่ ร่างกายของเธอทุกพื้นที่ต่างก็มีอุณหภูมิของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วหมดหนทางที่จะโกหกอีกว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เธอไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในเรื่องแบบนี้ เนื่องจากเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงต่างก็ไม่มีใครพูด บรรยากาศที่เงียบสงบภายในรถทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความอึดอัดเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยพูดเสียงเบา:“คือว่า……”

ยังไม่ทันได้พูดออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ถูกเสียงที่แหบของตัวเองขัด ตอนที่กำลังคิดว่าคอนี่แหบได้ยังไง ทั้งตัวของเจี่ยนอี๋นั่วก็แดงเหมือนกับสีกุ้งแห้งขึ้นมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วลืมไปแล้วว่าเดิมทีเธอจะพูดอะไร อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา:“เมื่อกี้เสียงฉันดังมากใช่หรือเปล่า?”

“ดังนิดหน่อย แต่ยังดีที่ไม่มีใครผ่านมา ไม่งั้นหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งของพรุ่งนี้อาจจะเป็นพวกเรา” เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น แล้วพูดเสียงขรึม:“ต่อไปพวกเราเปลี่ยนสถานที่ที่มันเก็บเสียงได้ดีดีกว่านะ”

“เฮ้อ……” เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดตรงขนาดนี้ อดไม่ได้ที่จะเฮ้อออกมา:“ยังมีครั้งหน้าอีกเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วถามแบบนี้ ก็รีบขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถาม:“คุณไม่คิดงั้นเหรอ? เมื่อกี้มีอะไรที่ไม่พอใจหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า:“ไม่ใช่”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบเบิกตากว้าง ทั้งใบหน้าแดงก่ำ นี่เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย?

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเบาๆออกมา ตอนนี้รอยยิ้มของเขากับอารมณ์เย็นชาก่อนหน้านี้ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงจะยิ้ม แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกถึงระดับของรอยยิ้มเขา แต่ตอนนี้รอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนขึ้นมาแล้ว

มองรอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แล้วหันร่างเอาหน้าที่แดงก่ำซุกไปกับอกของเหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงอู้อี้:“ฉันพูดคำโง่ๆออกมาอีกแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงกอดเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ ยกมือขึ้นลูบเบาๆที่เส้นผมของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“ถึงแม้ว่าจะฟังแล้วดูโง่นิดหน่อย แต่ก็ดีใจที่คุณยอมรับศักยภาพของผม ความจริงคุณก็เก่งมากนะ ที่ทำให้ผมรู้สึกดีมาก ถ้าไม่ใช่คุณ ผมคงไม่เป็นแบบนี้”

“ไอ้หยา คุณไม่ต้องพูดแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง พูดแทรกเหลิ่งเซ่าถิงด้วยความอาย

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วกอดเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาจริงๆ แค่กอดเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมาเบาๆ

“ไม่ต้องยิ้มแล้ว……” เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วกระซิบเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“คุณไม่ให้ผมพูด ไม่ให้ผมยิ้ม คงต้องมีอะไรตอบแทนผมหน่อยแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเงยหน้าขึ้น จูบไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง หน้าของเธอแดงก่ำ และห้ามใจไม่ให้เผยยิ้มออกมาไม่ไหว เธอจูบที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย ยิ้มแล้วพูดไปด้วย:“นี่เป็นของตอบแทน”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลง ประคองใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นเบาๆ ค่อยๆเพิ่มความร้อนแรงให้กับจูบนี้ แล้วพูดเสียงแหบพร่า:“นี่ไม่พอ……”

เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เรียนรู้ได้เร็วจริงๆ แค่ระยะเวลาสั้นๆ เหลิ่งเซ่าถิงกลับเปลี่ยนจากนักจูบมือใหม่เป็นปรมาจารย์นักจูบ เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงจูบจนจังหวะการหายใจยุ่งเหยิงไปหมดแล้ว แต่ร่างกายของเธอมันเหนื่อยล้ามากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือขึ้นมาบังริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงก่อนที่เธอจะอดใจไม่ไหวจูบตอบเหลิ่งเซ่าถิงกลับไป แล้วพูดเบาๆ:“อย่าต่อเลยนะ ไม่งั้นพวกเราคงได้ลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งจริงๆ”

“นี่แค่เริ่มต้น” เหลิ่งเซ่าถิงจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ยิ้มแล้วพูดไปด้วย

จังหวะหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วหอบเล็กน้อย เธอผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก:“ไม่เอาแล้ว……ยังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงจูบเบาๆที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างอาลัยอาวรณ์ ยิ้มแล้วพูด:“คุณใส่เสื้อผ้าให้ดี ผมจะขับรถพาคุณไปที่ที่หนึ่ง”

“ไปไหน?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยความอยากรู้

เหลิ่งเซ่าถิงชี้ไปยังเสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกขว้างไปที่มุมรถ ยิ้มแล้วพูด:“ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ต้องอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก หน้าแดงแล้วก้มลงไป เธอหยิบเสื้อผ้าที่ทิ้งไว้ฝั่งนี้ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วใส่เสื้อผ้าเสร็จ พึ่งจะพบว่าเสื้อผ้าของเธอถูกฉีกขาดเยอะมาก กระดุมหลายเม็ดก็หลุดออก มันไม่มีทางที่จะใส่ได้ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วสวมเสื้อผ้าของตัวเอง ยังต้องคลุมเสื้อคลุมของเหลิ่งเซ่าถิงไว้อีก ถึงจะสามารถปกปิดร่างกายของเธอไว้ได้

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้ว เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงที่นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ เธอบ่นเสียงเบา:“เมื่อวานต่อให้ฉันเป็นคนเริ่มก่อน คงไม่เริ่มจนทำให้เสื้อผ้าของฉันขาดขนาดนี้หรอกมั้ง คุณเริ่มก่อนชัดๆ แต่มาโทษฉันว่าบังคับคุณ”

หูของเหลิ่งเซ่าถิงแดงเล็กน้อย แล้วหันหน้าไปอีกทาง พูดเสียงขรึม:“อย่าไปอะไรมากกับเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนั้นเลย คุณนั่งดีๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้น เตรียมจะปีนมานั่งที่เบาะข้างคนขับ เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วถาม:“คุณจะทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปที่ที่นั่งของเบาะข้างคนขับ:“ฉันจะนั่งเบาะข้างคนขับไง?”

“ไม่ ไปนั่งที่นั่งข้างหลังผม” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงขรึม:“ที่ตรงนั้นปลอดภัยที่สุด”

“ก็ได้” เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ ก็รีบตอบรับ แล้วไปนั่งเบาะที่นั่งข้างหลังเหลิ่งเซ่าถิงอย่างว่าง่าย พร้อมรัดเข็มขัดนิรภัย

ตอนที่รถเริ่มออก เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองนอกหน้าต่างรถ มองรถที่ขับออกจากซอยเล็กๆ คนที่อยู่บริเวณรอบๆค่อยๆมากขึ้น ถนนที่เธอเคยคุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้า ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็มีความรู้สึกที่กลับไปโลกแห่งความจริง เรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง มันเพ้อฝันเกินไป ถึงแม้ว่าเธอจะชอบเหลิ่งเซ่าถิง และรู้สึกอาลัยอาวรณ์กับเขา ถึงขนาดเคยวาดฝันในอนาคตถ้าได้คบกับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เธอจะเป็นยังไง

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึง ทุกอย่างมันจะเกิดขึ้นจริงๆ อีกทั้งเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้ ในช่วงที่เธอไม่ได้เตรียมป้องกันเลยสักนิด ช่วงที่รับมือไม่ทัน เหลิ่งเซ่าถิงก็คบกับเธอซะแล้ว แถมยังผ่านเรื่องเมื่อคืนมาด้วยกัน บนร่างกายของเธอยังหลงเหลือกลิ่นอายของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ ข้างหูของเธอยังสัมผัสได้ถึงริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิง และใจก็ยังเต้นโครมครามเพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อยู่เลย

“กำลังคิดอะไรอยู่?” เหลิ่งเซ่าถิงขับรถไปด้วย มองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกมองหลังไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“กำลังคิดว่า ทุกอย่างมันเหมือนความฝัน”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เขาเม้มปาก เขาเคยไม่รู้สึกว่าทุกอย่างเหมือนความฝันที่ไหนกัน เขาเอียงศีรษะมองมือถือที่วางไว้ข้างๆ เขารู้ว่าความฝันนี้ไม่มีทางที่จะฝันนานเกินไป แค่มีสายโทรศัพท์เข้า ก็สามารถดึงพวกเขากลับมาโลกแห่งความเป็นจริงได้ แต่เขาก็ยังอยากให้ตัวเองหยุดอยู่ในฝันนั้นนานกว่านี้สักหน่อย

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถเข้ามาในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นหมู่บ้านที่เป็นบ้านพักทั่วๆไป พอเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วยังเห็นคุณลุงที่ใส่ชุดออกกำลังกายกำลังจูงสุนัขอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมาที่นี่ อดไม่ได้ที่จะถามด้วยความอยากรู้:“ทำไมคุณถึงมาที่นี่ล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มแล้วพูด:“ที่นี่ผมมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง เวลาผมอารมณ์ไม่ดีก็จะมานั่งที่นี่สักพัก มองคนอื่นๆใช้ชีวิต ก็จะรู้สึกว่าจิตสงบมาก อารมณ์ก็จะเย็นลง ห้องไม่ได้เป็นชื่อของผมนะ แต่คงไม่มีใครมาตรวจสอบชั่วคราว อีกอย่างที่นี่ปลอดภัยมาก และก็ลับมากเช่นกัน น่าจะไม่มีใครคิดว่าผมจะพักอยู่ที่นี่”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“คงไม่มีใครคิดจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงจอดรถไว้ที่หน้าประตู แล้วหยิบหน้ากากอนามัยส่งให้เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“สวมหน้ากากไว้ พวกเราเข้าไปกันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบสวมหน้ากากอนามัย แล้วเดินลงจากรถตามเหลิ่งเซ่าถิงไป พึ่งจะเดินออกจากรถ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าเท้าอ่อนแรง เกือบจะล้มลงบนพื้น ขาของเธอทั้งเมื่อยทั้งอ่อน ไม่มีแรงเลยสักนิด ยังดีที่เหลิ่งเซ่าถิงพุ่งมาข้างๆเธออย่างกะทันหัน แล้วประคองเธอไว้

“เป็นอะไรไป?” เหลิ่งเซ่าถิงก็สวมหน้ากากอนามัยเหมือนกัน แต่สามารถมองเห็นได้ว่าเขาขมวดคิ้ว ถามอย่างเป็นกังวล

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วกระซิบเสียงเบา:“ร่างกายของคุณปกติดี เดินอยู่ข้างหน้าเร็วขนาดนั้น แต่ร่างกายฉันเนี่ยสิไม่ไหว ขาฉันไม่มีแรงเลย……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูด ยิ่งพูดเสียงก็ยิ่งเบา สุดท้ายก็เงยหน้าจ้องเหลิ่งเซ่าถิงอย่างโมโห:“เป็นเพราะคุณเลย!”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ผมลืมไปเลยว่าคุณไม่ออกกำลังกาย งั้นเพื่อยอมรับผิดกับคุณ ควรจะอุ้มคุณเข้าไปในห้องสินะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วทำท่าจะอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมาจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดงขึ้นทันทีแล้วรีบหลบ:“อะไรของคุณเนี่ย? คนที่โอบกอดกันมันทำให้คนอื่นที่มองมาทำตัวไม่ถูกนะ ฉันเดินเองได้ แต่……”

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมืออกไป ก้มหน้าแล้วพูดเสียงเบา:“คุณต้องจับมือฉันเดิน”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามอง แล้วค่อยๆยิ้มออกมา เขาบังไว้ครึ่งหน้า เผยให้เห็นแค่ตาและคิ้ว เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เห็นตาที่โค้งงอนเล็กน้อยที่เย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิง มองมาทางเธออย่างอ่อนโยน หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือออกมา ประสานมือกับเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพยักหน้า:“ได้ ผมจับมือคุณเดิน ถ้าคุณจะล้มลง ก็ล้มลงมาที่ตัวผม ผมจะประคองคุณไว้เอง”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นก็พยักหน้า แล้วจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงแน่น เดินเข้าไปในตึก พอเข้าลิฟต์ไป ก็มีคนทยอยเข้ามาเพิ่มหลายคน เหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เบียดให้ชิดๆกัน ถึงจะสามารถเพิ่มที่ว่างให้คนอื่นได้

เหลิ่งเซ่าถิงเผชิญหน้ากับเจี่ยนอี๋นั่ว เคยเบื่อ และสติก็เคยเลอะเลือน เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ได้ถึงความปรารถนาที่เขามีต่อเจี่ยนอี๋นั่ว เพราะงั้นเขาพยายามที่จะยับยั้งตลอด แต่เขาแค่ไม่คิดว่าความพยายามที่จะยับยั้งความปรารถนาไม่ให้ระเบิดออกมา มันจะน่าตกใจได้ขนาดนี้ น้อยมากที่เหลิ่งเซ่าถิงจะขาดสติ ตอนที่ทำเป็นกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ สมองเขากลับขาวโพลนคิดอะไรไม่ออก

ความปรารถนาของร่างกายได้นำพาสติทั้งหมดจากไปแล้ว

หลังจากที่เรื่องพวกนี้ผ่านไปแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่วนั่งอยู่ที่เบาะหลังรถ เจี่ยนอี๋นั่วหนุนขาของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ ยังคงหลับ มือข้างหนึ่งของเหลิ่งเซ่าถิงเชยคางขึ้นมา อีกข้างหนึ่งโอบที่ไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว นิ้วขยับเล็กน้อย แล้วค่อยๆลูบที่ไหล่ของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เหมือนกับเหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ใส่เสื้อผ้าสักชิ้น มีแค่เสื้อคลุมของเหลิ่งเซ่าถิงที่คลุมไว้ แล้วหนุนขาของเหลิ่งเซ่าถิง ขดตัวนอนในอ้อมกอดเขา ปลายจมูกของเจี่ยนอี๋นั่วแดงไปหมด หางตาที่ปิดสนิทยังคงมีคราบน้ำตาอยู่ ทำให้นึกถึงท่าทางที่เธอน้อยใจและน่าสงสาร

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นมา ก็เจอกับสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อคืนสมองเธอเหมือนจะเลอะเลือนเล็กน้อย ตอนที่เธอมองเห็นเหลิ่งเซ่าถิง นึกว่าอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งเสียอีก

ผ่านไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา ถึงจะสังเกตถึงความผิดปกติของร่างกายและสถานการณ์รอบๆตัว หลังจากนั้นความทรงจำเมื่อคืนก็ทยอยกลับเข้ามาในความจำของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอจำได้ว่าตัวเองไปเจอกับฉู่หมิงเซวียน จำได้ว่าตัวเองดื่มเหล้า ในเหล้านั้นถูกฉู่หมิงเซวียนวางยา หลังจากนั้น……

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นนั่ง ถอยไปยังอีกฝั่งของรถ กอดเสื้อคลุมของเหลิ่งเซ่าถิงเอาไว้เพื่อบดบังร่างกายของตัวเอง แล้วก้มหน้ามองร่างกายของตัวเองไปด้วย ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ตาแดงก่ำ:“ฉู่หมิงเซวียนสารเลวนั่น มันกล้าแตะต้องฉันงั้นเหรอ!ฉันไม่มีทางปล่อยไปแน่!”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟัน น้ำตาก็ไหลลงมาด้วยความน้อยใจ พอคิดว่าเกิดเรื่องนั้นขึ้นระหว่างเธอกับฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกสะอิดสะเอียด!

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วขมวดคิ้ว:“คุณจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้แม้แต่นิดเดียวเลยเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วที่คัดจมูกและตาแดงพยักหน้า:“ที่ฉันจำได้ ฉันจำได้ว่าฉู่หมิงเซวียนเขา……”

ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ได้คิดถึงว่าหลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วได้สติ เขาควรจะจัดการอย่างไร แต่สถานการณ์ตอนนี้ มันเกินที่เขาคาดคิดไว้จริงๆ เหลิ่งเซ่าถิงใช้มือกุมขมับด้วยความกลุ้มใจ หลับตาแล้วพูด:“คุณไม่ลองคิดสักหน่อยเหรอว่าทำไมพวกเราถึงอยู่ที่นี่?”

“คุณหาฉันเจอ? คุณหาฉันเจอได้ยังไง? ที่อยู่กับฉู่หมิงเซวียน ฉันไม่ได้ยินยอมนะ ตอนนี้พาฉันไปแจ้งความเถอะ ร่างกายฉันตอนนี้ต้องหลงเหลือยาอยู่แน่ ฉันต้องให้ฉู่หมิงเซวียนได้รับโทษที่ทำแบบนี้กับฉัน” ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดมีเสียงสะอึกสะอื้นอยู่ด้วย แต่น้ำเสียงของเธอกลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาก

“คนที่ทำผิดไม่ใช่เขา……” เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงขรึม:“ผมเอง ผู้ชายที่ทำเรื่องแบบนั้นกับคุณคือผมเอง!ไม่ใช่ผู้ชายคนอื่น!”

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไป เธอเบิกตากว้าง หลังจากที่จ้องเหลิ่งเซ่าถิงแล้วอึ้งไปชั่วขณะ ก็พูดออกมาว่า:“แต่ว่าคุณชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ขมวดคิ้วถาม:“ใครบอกว่าผมชอบผู้ชาย?”

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าคัดจมูก เธอตกใจมากจริงๆ คิดไม่ทันถึงเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง ในสมองที่วิ่งวนมีแต่คำถามว่าเหลิ่งเซ่าถิงชอบผู้ชายไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงแตะต้องเธอล่ะ

“ฉันวิเคราะห์เอง” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“วันนั้นคุณอยากรู้เรื่องจูบระหว่างชายหญิง อย่างกับว่าไม่เคยจูบใครมาก่อน ผู้ชายแบบคุณจะไม่เคยจูบกับผู้หญิงได้ยังไง? อายุปูนนี้แล้ว ยิ่งผู้ชายที่มีจูบแรกยิ่งน้อยเลย นอกจากควบคุมตัวเอง……”

“งั้นผมจะให้คุณได้ลองตอนมีสติ คุณวิเคราะห์ดูสรุปว่าถูกไหม” เหลิ่งเซ่าถิงพูด จู่ๆก็เข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว มือข้างหนึ่งกดศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ แล้วจูบไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้าง นิ่งอึ้งไป ไม่มีปฏิกิริยาอะไรโต้ตอบกลับมา แค่ใจลอยไปตามจูบของเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าเทียบกับการขโมยจูบครั้งที่แล้ว จูบของเหลิ่งเซ่าถิงครั้งนี้พัฒนาขึ้นมาก จังหวะการหายใจของเธอถี่ขึ้น ถึงขนาดอดใจไม่ไหวยื่นมือออกมาลูบไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง

ทุกอย่างมันคุ้นเคยมาก ราวกับว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเคยจูบกันมานับครั้งไม่ถ้วน

“ตอนนี้รู้หรือยังว่าผมชอบผู้หญิงหรือผู้ชาย?” จูบของเหลิ่งเซ่าถิงหยุดอยู่ที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถาม

“ไม่สิ……” เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆจูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง:“ผมชอบแค่คุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไป แล้วคล้อยตามเหลิ่งเซ่าถิงที่จูบที่ริมฝีปากของเธออย่างต่อเนื่อง ผ่านไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วถึงจะได้สติ ถึงแม้ว่าเธอจะได้สติ แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงจูบเธอต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วรีบผลักเหลิ่งเซ่าถิงออก ขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์นี้ยังไง ถึงแม้ว่าถ้าเทียบกับฉู่หมิงเซวียนแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าไม่ได้ยากที่จะอดทนขนาดนั้น เธอก็ต้องยอมรับว่าเธอยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ เพราะแค่จูบครั้งแรกของเหลิ่งเซ่าถิงก็ทำให้เธอใจเต้นแล้ว ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แค่เธอจินตนาการถึง เธอก็ทั้งหน้าแดงทั้งใจเต้นรัวแล้ว

แต่ความสัมพันธ์แบบนี้มันเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสับสนเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงที่เย็นชากลับชอบเธอ?

“เป็นอะไรไป?” เหลิ่งเซ่าถิงที่ถูกเจี่ยนอี๋นั่วดันออกจู่ๆก็หยุดลง แล้วขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง พูดเสียงเบา:“ฉันจำเรื่องเมื่อวานไม่ได้เลยสักนิด ตอนนี้มันเปลี่ยนไปมาก ฉันมึนนิดหน่อย ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันถึงอยู่กับคุณ? ทั้งๆที่ตอนแรกอยู่กับฉู่หมิงเซวียน ทำไมจู่ๆคุณก็ปรากฏขึ้นมา? แล้วก็ คุณไม่ดีกับฉันมาตลอด ฉันมองไม่ออกเลยสักนิดว่าคุณชอบฉัน ทำไมนอนด้วยกันแค่คืนเดียว คุณก็ชอบฉันเลย? คุณจริงจัง หรือว่าเข้าใจผิดว่านอนด้วยกันแบบนี้มันค่อนข้างสบายกว่า? ก่อนหน้านี้คุณอาจจะไม่เคยเจอกับเหตุการณ์นี้ คุณเลยไม่ค่อยเข้าใจ ถูกกระตุ้นชั่วขณะไม่ได้หมายความว่ามีความรู้สึกนั้นจริงๆหรอกนะ”

“ดูแล้วคุณค่อนข้างมีประสบการณ์นะ?” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วหนัก สีหน้าอึมครึม

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้า:“ฉันก็ไม่มีประสบการณ์เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้ฉันเคยอ่านนิยายไม่ก็ดูหนัง ความรู้ทางทฤษฎีนับว่าไม่เลวนะ อีกอย่างเมื่อวานฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พอตื่นมา คุณก็บอกว่าคุณชอบฉัน……ฉันเลยงงนิดหน่อย……”

“นี่คุณต้องการจะปัดความรับผิดชอบ?” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม:“ผมอยากเตือนคุณหน่อย เมื่อวานคุณบังคับผมก่อน ไม่ว่าผมจะผลักคุณยังไงก็ผลักไม่ออก ตอนนี้แม้แต่สักประโยคคุณก็จำไม่ได้ แล้วจู่ๆก็กลายเป็นผู้เสียหายซะงั้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง พูดเสียงเบา:“ก็ไม่ใช่ว่าปัดความรับผิดชอบ……ก็แค่งงนิดหน่อย……อีกอย่างฉันจำไม่ได้จริงๆ……”

เหลิ่งเซ่าถิงมองลำคอและหลังที่ขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่วที่โผล่ให้เห็น ยื่นมือไปลูบใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว:“ในเมื่อจำไม่ได้แล้ว ผมจะช่วยคุณรื้อฟื้นความจำเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วก้มหน้าลงจูบไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากนั้นก็กดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ใต้ร่าง เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้าง ลองออกแรงผลักเหลิ่งเซ่าถิง แต่มือข้างหนึ่งของเหลิ่งเซ่าถิงจับกุมมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ มืออีกข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเม้มปาก ราวกับว่าต้องปกปิดอารมณ์ของเธอไว้ ในปากกลับอดไม่ได้ที่จะพูดคำปฏิเสธออกไป แต่คำพูดปฏิเสธพวกนี้ กลับไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด ยิ่งทำให้เห็นว่าคนพูดนั้นปากไม่ตรงกับใจ

“นี่เป็นการเข้าใจผิดงั้นเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใกล้ข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆเลียแล้วกัดติ่งหูของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามเสียงเบา

“คุณลืมไปแล้วจริงๆเหรอ?”

“ทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปยังประตูใหญ่ของห้องอาหาร แล้วถามเสียงเบา

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าแรงของเธอกำลังไหลออกอย่างรวดเร็วอีกครั้ง อีกทั้งความรู้สึกของเธอเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด ทั้งร่างของเธอร้อนไปหมด ถึงขนาดฉู่หมิงเซวียนที่มองหน้าแล้วทำให้เธอคลื่นไส้ เธอยังอยากจะยื่นมือออกไปกอดเขา……

“เพราะตอนนั้นคุณดื่มเหล้า ผมได้ในสิ่งที่ผมอยากได้แล้ว เก็บหรือไม่เก็บคลิปไว้ ไม่ได้สำคัญอะไรแล้ว คุณคิดว่าผมยังอยากจะข่มขู่คุณอีกงั้นเหรอ? ความจริงผมแค่อยากได้คุณก็เท่านั้น”

ฉู่หมิงเซวียนยิ้มแล้วพูด:“ตอนนี้ผมเดาว่า คุณคงให้คนลบคลิปสำรองไปแล้วใช่ไหม? แต่ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่สนใจเรื่องพวกนั้นด้วยซ้ำ ใช้คลิปข่มขู่คนอื่นมันผิดกฎหมายน่ะ ผมต้องขอบคุณคุณด้วยซ้ำที่ช่วยลบหลักฐานพวกนั้น ความรู้สึกที่ได้เป็นพลเมืองดีนี่มันดีจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผมใกล้จะได้สิ่งที่ผมต้องการที่สุดแล้วล่ะ”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ สายตาของเขาก็มองไปที่ใบหน้า ลำคอ แล้วก็แขนที่ขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังพยุงตัวข้างโซฟา

“ร้อนมากล่ะสิ?” เสียงของฉู่หมิงเซวียนแหบพร่า เขาจ้องนัยน์ตาของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วจุดไฟความปรารถนา แต่เขากลับนั่งอยู่ที่นั่นไม่ได้ขยับไปไหน เขามองเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“อยากได้ผู้ชายล่ะสิ? ฤทธิ์ของยาพวกนี้มันแรงมาก คุณต้านไม่อยู่หรอก ผมจะรอให้คุณมาขอร้องผมละกัน”

“สารเลว……” เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันพูด หน้าของเธอแดงไปหมด จังหวะการหายใจก็แรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าสมองของเธอกำลังเลือนราง แต่ร่างของเธอกลับร้อนรุ่มกระสับกระส่ายผิดปกติ

ฉู่หมิงเซวียนยกเท้าขึ้นมาไขว้ แล้วรินเหล้าให้ตัวเองอย่างสบายอกสบายใจ หลังจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณยังจำครั้งแรกที่พวกเราเจอกันไดไหม? มุมมองคุณคือฉากที่ฝนตกฉากนั้นใช่หรือเปล่า? ผมกางร่มให้คุณ? ที่จริงพวกเราเคยเจอกันเมื่อนานมาแล้ว ผมมาสัมภาษณ์ที่บริษัทอี๋เหม่ยก็เพื่อเข้าใกล้เจี่ยนฉางรุ่น หลังจากที่สัมภาษณ์เสร็จ ผมก็ออกมาจากห้องสัมภาษณ์พร้อมคนอื่นๆ หลังจากนั้นผมก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมสีครีมเดินมา เธอไม่ถือว่าสวยมาก แต่กลับดึงดูดสายตาของผู้คน ผมมองไปที่เธออยู่ตลอด จนเธอเดินผ่านผมไป ไม่เหลียวมองผมเลยสักนิด หลังจากนั้นผมก็ได้เข้ามาที่บริษัท แล้วก็รู้ว่านั่นคือคุณ……เจี่ยนอี๋นั่ว ลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่น”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของฉู่หมิงเซวียน แล้วเม้มปาก มือของเธอวางอยู่บนมือถือ เธอคิดว่าจะโทรไปแจ้งความ แต่เพราะสมองมันเบลอไปหมด ตอนนี้แม้แต่เลขบนโทรศัพท์เจี่ยนอี๋นั่วก็มองไม่ชัดแล้ว ตอนที่เธอพยายามจะกดโทรอีกครั้ง จู่ๆฉู่หมิงเซวียนก็ยื่นมือมา หยิบโทรศัพท์ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วไป

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีแรงที่จะต่อต้านเลยสักนิด เธอทำได้แค่มองฉู่หมิงเซวียนหยิบมือถือของเธอไปตาปริบๆ เรื่องที่ยิ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วหมดหวังนั้น ไม่ใช่มือถือของเธอที่ถูกหยิบไป แต่เป็นช่วงที่ฉู่หมิงเซวียนหยิบมือถือเธอไปนั้น ได้แตะหลังมือเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เธอสั่นไปทั้งตัว เกือบจะทำให้เธอทนไม่ไหวที่จะยื่นมือออกมา จับมือของฉู่หมิงเซวียน ขอร้องเขา อ้อนวอนเขาให้ช่วยเธอ ขอร้องเขาให้หยามน้ำหน้าเธอ……

อีกนานแค่ไหน เธอจะสามารถฝืนไปได้อีกนานแค่ไหน? ตอนแรกเธอเคยถูกเหลิ่งหมิงอันบังคับฝืนใจ เจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่ผู้หญิงที่คิดว่าบริสุทธิ์ไปซะทุกอย่าง เธอถึงขนาดว่ารังเกียจวิธีการพูดที่สกปรก ร่างกายของเธอคือตัวเธอเอง ไม่ว่าจะยังไง เธอต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่ใช่การผ่านผู้ชายมาไม่กี่คน แล้วมาเปรียบเทียบคุณค่าของตัวเธอเอง

แต่ฉู่หมิงเซวียนกับเหลิ่งหมิงอันไม่เหมือนกัน ฉู่หมิงเซวียนคือคนที่ทำร้ายพ่อของเธอ แล้วทำร้ายน้องสาวของเธออีก ฉู่หมิงเซวียนคือศัตรูตัวฉกาจในชีวิตนี้ของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วถูกฉู่หมิงเซวียนขืนใจ งั้นเจี่ยนอี๋นั่วยอมตายไปดีกว่า!

เจี่ยนอี๋นั่วฟังฉู่หมิงเซวียนพูดต่อ แต่เสียงของเขาฟังแล้วมันทั้งไกลทั้งเลือนราง:“อี๋นั่ว……คุณรู้ไหม? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อคุณที่อำมหิตขนาดนั้น บางทีตอนนี้พวกเราคงแต่งงานกันไปแล้ว พวกเราคงได้อยู่ด้วยกันตั้งแต่เด็ก พวกเราคงได้เรียนประถมด้วยกัน เรียนมัธยมด้วยกัน บางทีตอนนี้ผมคงมีลูกแล้ว ……คุณดูท่าทางเจ็บปวดมากนะ……ในเมื่อเจ็บปวดขนาดนั้น……ลองมาขอร้องผมดีกว่า……มาสิ……คลานมาขอร้องแทบเท้าผม……”

คำพูดของฉู่หมิงเซวียนที่ทำให้คนคลื่นไส้ ตอนนี้กลับมีแรงดึงดูดที่ร้ายแรงมากกับเจี่ยนอี๋นั่วที่ใกล้จะสูญเสียสติสัมปชัญญะเต็มที เธอถึงกับลองขยับร่างกาย เงยหน้าขึ้นมองไปยังฉู่หมิงเซวียน

เสียงของฉู่หมิงเซวียนยิ่งเพิ่มความแหบพร่า เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“อี๋นั่ว คุณมานี่สิ ให้ผมได้รักคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วขยับเล็กน้อย เข้าไปใกล้ฉู่หมิงเซวียน เธอจ้องใบหน้าของฉู่หมิงเซวียนที่เต็มไปด้วยความปรารถนา จู่ๆก็ขมวดคิ้ว แล้วหยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่ข้างๆ ใช้แรงเฮือกสุดท้ายขว้างไปยังฉู่หมิงเซวียน:“คุณมันสารเลว!”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะใช้แรงทั้งหมดที่มี แต่เพราะว่าแรงของเธอตอนนี้เหลือไม่เท่าไหร่แล้ว แก้วเหล้าของเธอพึ่งจะขว้างออกไป ไปไม่ถึงหน้าฉู่หมิงเซวียน ก็หล่นแตกลงบนพื้นซะแล้ว

“นิสัยโผงผางจริงๆ มาถึงขนาดนี้แล้ว ยังไม่ยอมเริ่มก่อนอีกเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆหุบยิ้มลง

“ดูแล้วจนปัญญาจริงๆ ในเมื่อคุณไม่ยอมเริ่มก่อน ครั้งนี้ผมเริ่มก่อนละกัน” ฉู่หมิงเซวียนพูดแล้วเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ว่าฉู่หมิงเซวียนเริ่มเข้ามาใกล้ ก็รีบยกมือขึ้นเพื่อจะผลักออก แต่มือของเธอก็ถูกฉู่หมิงเซวียนจับไว้ทันที ฉู่หมิงเซวียนกดร่างของเธอลง เธอขมวดคิ้วมองห้องอาหารที่มืดสลัว ถูกความปรารถนาและความเคียดแค้นทรมาน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า……

เวลานี้ จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นแสงสว่าง เธอมองไปยังทิศทางของแสงสว่างนั่น ทันใดนั้นฉู่หมิงเซวียนที่กดร่างของเธอลงก็ถูกผลักออกไป มีใครคนหนึ่งกอดเธอไว้ สมองของเจี่ยนอี๋นั่วได้เบลอไปหมดแล้ว เธอรับรู้ได้แค่กอดของผู้ชายคนนี้เย็นเล็กน้อย แต่กลับรู้สึกสบายใจ

ตอนนี้ใจเธอสงบลง แล้วกอดผู้ชายคนนั้นแน่น……

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มปากแน่น แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์แบบนี้ ต้องขับรถไปด้วย ต้องห้ามการก่อกวนของเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย สุดท้ายเหลิ่งเซ่าถิงก็ต้องหยุดรถที่ซอยเล็กๆ ถึงจะเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุได้

เหลิ่งเซ่าถิงใช้แรงกดไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา:“คุณมีสติหน่อย คุณมองสิว่าผมเป็นใคร!”

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกับว่าไม่ได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด ยังคงเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ เธอเหมือนกับปลาหมึก ที่พันตัวเหลิ่งเซ่าถิงอย่างจริงจัง ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะใช้แรงผลักเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ก็ยังถูกเจี่ยนอี๋นั่วก่อกวนจนหายใจติดขัด

เจี่ยนอี๋นั่วถูกบังไว้อีกฝั่ง เหมือนแมวน้อยที่ถูกเจ้าของเตะออกไป ใบหน้าเผยอารมณ์ที่ดูน้อยใจ ราวกับว่าไม่ให้เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงต่อเป็นเรื่องที่เธอน้อยใจมากจริงๆ

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่เคยโมโหขนาดนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่โง่ขนาดนี้ ทั้งๆที่รู้ว่าฉู่หมิงเซวียนคิดไม่ดีกับเธอ เธอก็ยังกล้าไปตามนัดคนเดียว ทำไมเธอถึงบอกเขาไม่ได้? แล้วยังกล้าดื่มเหล้าที่ฉู่หมิงเซวียนเตรียมไว้อีก?

ถ้าไม่ได้เห็นว่าเธอใช้แรงต่อต้านฉู่หมิงเซวียน เหลิ่งเซ่าถิงคงคิดจริงๆว่าเธอตั้งใจทำแบบนั้น!

“คุณนึกออกไหมว่าผมเป็นใคร? ถ้าผมไม่ได้ให้เอสืบจากมือถือของคุณ ตอนนี้คุณจะเป็นยังไง?” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว จ้องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิงอีก ยกมือขึ้นพยายามจะกอดเหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงเบา:“คุณกอดฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก แล้วขมวดคิ้วพูด:“คุณมีสติหน่อย คุณมองสิว่าผมเป็นใคร!”

“ฉัน……ฉันไม่สนว่าคุณเป็นใคร……”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีสติสัมปชัญญะหลงเหลืออยู่แล้ว เธอรับรู้แค่ว่าตอนนี้เธอกำลังจะจูบผู้ชายคนนี้ พอจูบก็รู้สึกสบายขึ้นมา ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะจูบต่อไป ขณะที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วจูบติดอยู่กับริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เขาก็เบิกตากว้าง ขมวดคิ้ว แล้วอดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาจับเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว

พูดเสียงเย็นชา:“ห้ามถอด!คุณมีสติหน่อย”

แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ถูกเจี่ยนอี๋นั่วทรมานจนหายใจติดขัดแล้ว ตอนที่เขาพูดแบบนี้ อำนาจในการขู่ก็ลดน้อยลงมาก

เหลิ่งเซ่าถิงถูกเจี่ยนอี๋นั่วพันแข้งพันขา จังหวะการหายใจยิ่งนานเข้าก็ยิ่งติดขัด เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วจะถูกยาควบคุม ดูแล้วบุ่มบ่ามบ้าพลัง แต่ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงยินยอม เขาจะสามารถควบคุมเจี่ยนอี๋นั่วได้อยู่หมัด ทำให้เธอไม่สามารถสัมผัสร่างกายของเขาได้

เหลิ่งเซ่าถิงมัดมือของเจี่ยนอี๋นั่ว กลับถูกเจี่ยนอี๋นั่วดิ้นหลุดออกได้ง่ายๆ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วจูบเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือไปกอดเจี่ยนอี๋นั่วแน่น

ตอนที่เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงสื่อสายตามา เจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกยาควบคุมถึงกับรู้สึกถึงความอันตราย จึงอยากหนีอย่างอดไม่ได้ แต่พอเธอเตรียมที่จะหนี เธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงกดไว้ใต้ร่างอีกครั้ง

“ตอนนี้ไม่อนุญาตให้คุณหนี……” เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วก้มหน้าจูบไปที่คอของเจี่ยนอี๋นั่วที่โผล่ออกมา

แต่ว่าสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดหวังในใจลึกๆ ก่อนที่เธอจะเห็นคลิปวิดีโอที่ คุณ A ส่งมาให้นั้น เธอก็สิ้นหวังทันที เธอแค่เหลือบมองภาพในคลิปวิดีโอแวบเดียว ก็รีบหลับตาทันที สูดหายใจเข้าลึกๆ คิ้วขมวดพูดขึ้นว่า :“ตอนนี้คลิปวิดีโอแบบนี้มันมีมากแค่ไหน?”

คุณ A รีบตอบกลับว่า:“ผมหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ของเขาได้ทั้งหมด 37 คลิป แต่ว่าในคอมพิวเตอร์ยังมีข้อมูลสำรองไว้ในอีเมลอีกครับ และในโทรศัพทไม่มีคลิปวิดีโอเก็บไว้ครับ ดูแล้วในมือถือของเขาจะไม่ได้เก็บคลิปวิดีโอไว้เลยครับ แต่ว่ามีร่องรอยของการคัดลอกวิดีโอบนคอมพิวเตอร์ไปยังอุปกรณ์มือถือ และในแฟลชไดร์ฟของเขาต้องมีการสำรองข้อมูลในดิสก์ไว้ด้วยครับ ถึงแม้ผมจะหาข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดใช้งานอยู่ แต่ว่าตามกล่องจดหมายซอฟต์แวร์ แชท และที่อยู่ IP เขาไม่เคยใช้งานบนคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น ช่วงนี้เขาใช้แค่คอมพิวเตอร์เครื่องนี้เครื่องที่ผมกำลังตรวจสอบอยู่เท่านั้นครับ”

“คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลในขณะที่กำลังเปิดใช้งานคอมพิวเตอร์อยู่เท่านั้นเหรอคะ?แต่เมื่อกี้นี้คอมพิวเตอร์ของฉันปิดเครื่องอยู่ ทำไมคุณจึงควบคุมมันได้คะ?”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา

คุณ A อึดอัดเล็กน้อยและไอออกมา:“คุณหนูเจี่ยนครับ แม้ว่าแฮกเกอร์ไม่ได้มีอำนาจขนาดนั้น แต่ว่าสำหรับตระกูลเหลิ่ง มีอำนาจมาก จากวันแรกที่ผมทำงานกับตระกูลเหลิ่ง ข้อมูลของคุณทุกอย่างอยู่ในมือของตระกูลเหลิ่งทั้งหมดครับ ในเวลานั้นคอมพิวเตอร์ของคุณมีการติดตั้งซอฟต์แวร์และการควบคุมระยะไกล ดังนั้น

แล้ว……”

“ช่างมันเถอะ ฉันเข้าใจแล้ว”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา เธอไม่อยากไปสืบหาเรื่องนี้อีก เวลานี้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่สุด

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอจำได้ว่าฉู่หมิงเซวียนมีนิสัยที่ชอบเซฟข้อมูลไว้ในแฟลชไดร์ฟ และที่สำคัญฉู่หมิงเซวียนจะใช้แฟลชไดร์ฟแค่อันเดียวเท่านั้น ฉู่หมิงเซวียนเซฟข้อมูลสำรองไว้ในอีเมลแล้ว และในตอนนี้ยังเซฟข้อมูลสำรองไว้ในแฟลชไดร์ฟอีก ฉู่หมิงเซวียนเป็นคนที่ระมัดระวังมากและทรนง หยิ่งยโส ด้วยนิสัยของฉู่หมิงเซวียนแล้ว เขาทำแบบนี้เพื่อป้องกันว่าจะปลอดภัยขึ้นสองเท่า ถ้าหากสามารถทำลายข้อมูลในแฟลชไดร์ฟได้ ก็เท่ากับว่าสามารถทำร้ายคลิปวิดีโอทั้งหมดได้เลย

และแน่นอนว่านี่คือการพนัน เจี่ยนอี๋นั่วพนันว่าฉู่หมิงเซวียนไม่ได้เซฟข้อมูลสำเนาวิดีโอไว้เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นแน่นอน แต่ว่าเธอก็จะต้องลองเสี่ยงดูสักครั้ง ยิ่งล่าช้าเท่าไหร่ ฉู่หมิงเซวียนก็อาจจะก๊อปข้อมูลสำเนาไว้มากเท่านั้น และยิ่งติดตามได้ยากมากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันต้องการให้คุณช่วย?”

คุณ Aรีบตอบกลับ:“คุณต้องการให้ผมช่วยอะไรครับ?ตอนนี้ผมสามารถทำลายคลิปวิดีโอในอีเมลและคลิปวิดีโอทั้งหมดในคอมพิวเตอร์ของเขาทิ้งได้ทันทีครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาครุ่นคิดสักครู่ สุดท้ายพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ค่ะ อย่าแหวกหญ้าให้งูตกใจ ฉันต้องการให้คุณช่วยฉันติดตั้งโปรแกรม เมื่อเสียบแฟลชไดร์ฟเข้ากับคอมพิวเตอร์ ก็สามารถทำลายข้อมูลในแฟลชไดร์ฟได้ทั้งหมด และเมื่อฉันต้องการให้คุณทำลายคลิปวิดีโอเหล่านั้น ฉันจะติดต่อคุณเอง อีกอย่างฉันหวังว่าคุณจะเฝ้าดูพฤติกรรมของฉู่หมิงเซวียนในระยะเวลาสองเดือนนี้ ถ้าหากเขายังมีข้อมูลสำเนาอื่นๆอีก และยังอัพโหลดคลิปวิดีโอลงในเว็บ รบกวนคุณรีบลบทิ้งทันที”

ฉู่หมิงเซวียนรู้จักเจี่ยนอี๋นั่วเป็นอย่างดี เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้จักฉู่หมิงเซวียนอย่างดีเช่นกัน ฉู่หมิงเซวียนต้องการพบหน้าเธอเพราะต้องการใช้แฟลชไดร์ฟทำข้อตกลงกับเธอ ถึงเวลานั้นเธอก็ไม่สามารถหาข้ออ้างขอดูข้อมูลในแฟลชไดร์ฟนั้นได้อีก หลังจากนั้นก็หาโอกาสทำลายวิดีโอลับของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยทิ้งซะ

ดูจากสถานการณ์แล้วเธอคงต้องไปพบหน้ากับฉู่หมิงเซวียนอีกครั้ง!มีเพียงการพบหน้าฉู่หมิงเซวียน จึงจะสามารถหาโอกาสในขณะที่ฉู่หมิงเซวียนไม่ทันระวังตัว ทำลายวิดีโอทั้งหมดที่เซฟอยู่ในแฟลชไดร์ฟทิ้ง ไม่อย่างนั้นก็จะไม่มีโอกาสหาแฟลชไดร์ฟนั้นเจอได้อีกแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ ก็รีบวางสายโทรศัพท์ทันที แล้วรีบโทรหาฉู่หมิงเซวียน

หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนได้รับสายแล้ว น้ำเสียงที่ภูมิใจมากและฟังดูแล้วน่าพึงพอใจเป็นพิเศษ :“อี๋นั่ว ในที่สุดคุณก็ตัดสินใจแล้ว?และไม่แสดงละครต่อหน้าผมอีกต่อไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“ใช่ค่ะ ฉันตัดสินใจแล้ว คุณพูดถูก ฉันเป็นคนที่ปากแข็งแต่ใจอ่อน ฉันจะทนให้น้องสาวของฉันเกิดความเสียหายและอับอายได้อย่างไรกันล่ะ?ฉันจะทำตามทุกอย่างในสิ่งที่คุณต้องการ และไปพบคุณในบาร์ตามที่คุณนัดไว้”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะขึ้นมา เขาดัดเสียงต่ำลง แล้วพูดกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่แหบว่า:“ถ้าอย่างนั้นผมจะรอคุณ ทางที่ดีคุณควรจะเปลี่ยนชุดชั้นในที่สวยก่อน ผมไม่อยากให้ครั้งแรกของพวกเราเกิดความเสียใจในภายหลัง”

“เงื่อนไขคือพอถึงเวลานั้นฉันจะติดต่อกับคุณเอง บางทีผลประโยชน์ข้อเสนอที่ฉันเสนอให้คุณอาจจะดึงดูดใจคุณมากกว่าร่างกายของฉันเสียอีก? "เจี่ยนอี๋นั่วกลั้นความรู้สึกคลื่นไส้และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

ฉู่หมิงเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ตอนนี้ผมต้องการคุณเท่านั้น ผมรู้สึกเสียใจจริงๆ เมื่อก่อนเวลาที่คุณอยู่ข้างกายผม ผมไม่เคยแตะเนื้อต้องตัวคุณ และผลสุดท้ายตอนนี้ทำให้ผมต้องคิดวางแผนทุกวิถีทาง”

“ฮ่า……ฉู่หมิงเซวียน รอให้ฉันยืนยันแน่ชัดอีกทีว่าในมือคุณมีวิดีโอนั้นจริงๆแล้วเราค่อยว่ากันอีกที”เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็รีบวางสายทันที

หลังจากที่วางสายเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบโทรหาคุณ A อีกครั้ง สั่งให้คุณ A ช่วยติดตั้งโปรแกรมลงในโน๊คบุ๊คของเธอให้เรียบร้อยก่อนที่เธอจะไปพบกับฉู่หมิงเซวียน เมื่อถึงเวลานัดหมาย เจี่ยนอี๋นั่วก็ไปตามที่อยู่ที่ฉู่หมิงเซวียนให้ไว้กับเธอ พอหาร้านบาร์แห่งนั้นเจอ เวลานั้นฟ้าก็มืดลงแล้ว เวลานี้ในบาร์เป็นช่วงที่มีลูกค้าเยอะ

เจี่ยนอี๋นั่วนำโน๊คบุ๊คไปด้วย เดินผ่านผู้คนมากมายในร้าน และเดินไปถึงห้องที่ฉู่หมิงเซวียนเตรียมไว้ เดิมทีห้องนี้สามารถจุคนได้ประมาณสิบกว่าคน แต่ตอนนี้มีเพียงฉู่หมิงเซวียนคนเดียวที่นั่งอยู่ในห้อง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องนั้นฉู่หมิงเซวียนก็รีบเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่ากำลังดูเหยื่อของตัวเองอยู่

“ในที่สุดคุณก็มา” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะพร้อมเอื้อมมือเอาเหล้าเทใส่แก้วหนึ่งแก้ว :“คุณรีบร้อนมาขนาดนี้ หน้าตาคุณดูไม่ได้เลย คุณดื่มก่อนหนึ่งแก้วมันจะทำให้จิตใจของคุณสบายขึ้นหน่อยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ถือโน๊ตบุ๊คเข้าห้องนั้นไป:“ฉันต้องการดูคลิปวิดีโอพวกนั้น ฉันไม่รู้เลยมีคลิปวิดีโอนั้นจริงๆหรือไม่ แล้วจะตอบตกลงเงื่อนไขของคุณได้อย่างไรกัน?”

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ก็หัวเราะและหยิบแฟลชไดร์ฟออกมาจากกระเป๋าเสื้อ :“อยู่นี่ นี่คือคลิปวิดีโอทั้งหมดของฉันและฮุ่ยฮุ่ย คุณเคยสัญญากับฉันแล้วว่าคุณจะทำลายมันทิ้งทั้งหมด”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองแฟลชไดร์ฟนั้น ขยับริมฝีปาก:“คุณมีแค่อันนี้เท่านั้นเองเหรอ? ยังเซฟไว้ที่ไหนอีกไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพร้อมพูดว่า:“อี๋นั่วจ๋า คุณคิดว่าผมสารเลวขนาดนั้นเลยเหรอ คุณทำให้ผมปวดใจมากเลย ผมจะสำเนาข้อมูลไว้อีกทำไม?การที่ได้คุณกลับมาอีกครั้ง มันคือความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของผม ผมจะไม่พูดโกหกกับคุณอีกจริงๆ ก่อนหน้านี้เป็นเพราะเรื่องของคุณพ่อทำให้ส่งผลกระทบต่อผม ผมยังถูกผู้หญิงอย่างเฉิงซานซานยุผมเรื่องของคุณอีก ทำให้ผมคิดว่าคุณไม่ได้รักผมเลย แต่ว่าคิดไม่ถึงว่าผมคิดผิดแล้ว ความจริงแล้วคุณยังรักผมอยู่ ถ้าไม่อย่างนั้นการที่ผมคบกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย คุณจะหึงทำไมล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันมองไปทางฉู่หมิงเซวียน ผู้ชายอย่างฉู่หมิงเซวียนเคยมีสักครั้งไหมที่จะพูดความจริง?แท้จริงแล้วนั้นในคอมพิวเตอร์ของเขาและในอีเมลของเขายังมีข้อมูลสำเนาเก็บไว้อยู่!รักเขา?เจี่ยนอี๋นั่วย้อนคิดไปในอดีตที่พวกเขาเคยคบกัน เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียนขึ้นมาทันที!

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง หยิบโน๊ตบุ๊คขึ้นมา หลังจากที่เปิดเครื่อง เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดกับฉู่หมิงเซวียนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา :“ฉันเอาโน๊ตบุ๊คมาแล้ว คุณเปิดคลิปวิดีโอให้ฉันดูด้วย รอให้ฉันแน่ใจก่อนว่าคลิปวิดีโอนี้เป็นฮุ่ยฮุ่ยจริงๆ พวกเราค่อยเจรจาเรื่องอื่นกันต่อ”

“ได้สิ……”ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพูดจบ ก็เตรียมเอาแฟลชไดร์ฟเสียบไปที่โน๊ตบุ๊คของเจี่ยนอี๋นั่ว

แต่ว่าอาการของเจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักไปสักครู่ เขาจ้องมองไปที่โน๊ตบุ๊คเครื่องนั้นคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“มันน่าแปลกจริงๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วแสดงอาการตื่นเต้น ก็รีบยกเหล้าบนโต๊ะขึ้นมาดื่มทันที หลังจากที่ดื่มแล้วหนึ่งคำ ความตกใจจึงค่อยๆหายไป แล้วจึงหัวเราะพูดกับฉู่หมิงเซวียนว่า:“แปลกยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วดื่มเหล้าเข้าไปด้วย แล้วก็เหลือบมองแฟลชไดร์ฟที่มือของฉู่หมิงเซวียนไปด้วย เธอคิดอยู่ในใจ ถ้าหากฉู่หมิงเซวียนจับแผนการเธอได้ เธอจะหาโอกาสแย่งชิงแฟลชไดร์ฟจากมือของฉู่หมิงเซวียน

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเหล้าแก้วนั้นในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆหัวเราะอีกครั้ง:“ไม่มีอะไร แค่รู้สึกว่าวันนี้คุณสวยเป็นพิเศษ เหมือนกับว่าตั้งใจแต่งตัวสวยเพื่อผม”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ฮึม แต่ฉู่หมิงเซวียนกลับไม่โกรธ ใบหน้าเขากลับยิ่งมีรอยยิ้มมากขึ้น เขาหัวเราะมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย พร้อมหยิบแฟลชไดร์ฟเสียบเข้าไปในโน๊ตบุ๊คไปด้วย จากนั้นเขาเลือกคลิปวิดีโอออกมาบางคลิป

อาจเป็นเพราะว่าตื่นเต้นมากไปหน่อย เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหายใจแรงและตื่นเต้นมาก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะหมดแรง เธอจ้องมองที่หน้าจอโน๊ตบุ๊ค ในขณะที่เห็นฉู่หมิงเซวียนเปิดคลิปวิดีอยู่นั้น ทันใดนั้นหน้าจอกลับมืดสนิด

สำเร็จแล้ว!

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะออกมา เธอรีบโทรหาคุณ A จากนั้นก็รีบกดวาง นี่เป็นสิ่งที่เธอและคุณ A วางแผนไว้แต่แรก เมื่อคุณ A ได้รับโทรศัพท์ ก็ทำลายคลิปวิดีโอของฉู่หมิงเซวียนที่เซฟข้อมูลสำเนาไว้เหล่านั้นทิ้งหมดเลย

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางฉู่หมิงเซวียนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ดูท่าแล้ว คุณไม่ได้มีคลิปวิดีโอพวกนั้นจริงๆ”

ฉู่หมิงเซวียนกลับไม่ได้แสดงอาการรู้สึกตื่นเต้นหรือแปลกใจแต่อย่างใด แต่เขากลับพิงลงไปบนโซฟา มีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม:“ดูท่าแล้ว คุณเป็นคนที่รู้จักผมดีที่สุดจริงๆ รู้จักมากกว่าที่ผมรู้จักคุณเสียอีก เจี่ยนอี๋นั่ว คุณมีใจให้กับผมจริงๆหรือเปล่า?ทำไมคุณถึงไม่รู้จักผมเลยสักนิดล่ะ?”

“คุณหมายความว่าอย่างไร?”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด รีบถามกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสถานการณ์มันแปลกๆ เธอคิดอยากจะลุกขึ้น แต่ว่าเมื่อเธอลุกยืนขึ้น เธอก็ล้มไปบนโซฟาอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองกำลังหมดแรง อีกทั้งเหมือนความร้อนบนร่างกายของเธอมันปะทุขึ้นอย่างช้าๆ

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ลองลุกยืนขึ้นอีกครั้งหนึ่ง กลับล้มลงบนโซฟาเหมือนเดิมเจี่ยนอี๋นั่วรีบมองไปทางแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ฉู่หมิงเซวียนวางยาในแก้วเหล้านี้ใช่ไหม?

ฉู่หมิงเซวียนมองตามแววตาของเจี่ยนอี๋นั่ว และมองไปทางแก้วเหล้าแก้วนั้น หัวเราะพร้อมพูดว่า:“แก้วเหล้าแก้วนี้ถูกผมวางยาเข้าไปจริงๆ อี๋นั่ว คืนนี้คุณหนีไม่พ้นแน่ แต่ว่าคุณก็ฉลาดไม่เบาเลยนะ คุณคิดหาวิธีกำจัดและทำลายข้อมูลสำเนาชิ้นสุดท้ายที่มีอยู่ในมือผมทิ้ง เดิมทีผมไม่ได้คิดจะระวังตัวเลยสักนิด แต่ว่าอี๋นั่วการแสดงของคุณยังไม่ดีพอ และเมื่อกี้นี้ผมดูออกแล้วว่าคุณตื่นเต้นมากเกินไป……แต่ว่าผมชอบเวลาที่คุณทำท่าทางตื่นเต้นเอามากๆเลยล่ะ ในสิ่งที่คุณเป็น รอเวลาผ่านไปสักพัก คุณจะซบอยู่ในอ้อมอกของผมแน่นอน และผมจะดีต่อคุณมากกว่าน้องสาวของคุณเสียอีกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันจ้องมองฉู่หมิงเซวียน หลังจากที่จ้องนานพอสมควร เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆหัวเราะขึ้นมา:“ฉู่หมิงเซวียน ถ้าหากคุณอยากเปิดเผยก็เชิญ ฮุ่ยฮุ่ยก็โตแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของเธอเอง และที่สำคัญสามารถทำให้เธอเห็นตัวตนที่แท้จริงของคุณ จะได้ไม่หลงกลคุณอีกต่อไป”

ในเวลานั้นเจี่ยนอี๋นั่วเกือบจะตอบรับฉู่หมิงเซวียนแล้ว แต่ว่ายังมีสติสัมปชัญญะ เจี่ยนอี๋นั่วได้หยุดการกระทำนั้นไว้ ถ้าหากเธอตอบรับฉู่หมิงเซวียนก็ไม่สามารถคืนคำได้ ทำให้ฉู่หมิงเซวียนรู้ว่าเขาสามารถใช้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาต่อรองกับเธอได้ ถ้าเป็นอย่างเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ยิ่งตกอยู่ในอันตราย

และในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่มั่นใจว่าแท้จริงแล้วในมือของฉู่หมิงเซวียนมีวิดีโอลับๆของเขาและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจริงๆหรือเปล่า ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลง และถ้าหากฉู่หมิงเซวียนรู้ว่าเขาสามารถเอาเรื่องนี้มาข่มขู่เธอได้ ถึงแม้ในตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนจะไม่มีจริงๆ และเขาก็จะรังควานเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่หยุด และคงสร้างรูปถ่ายหรือวิดีโอขึ้นมาข่มขู่เจี่ยนอี๋นั่วแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงแสร้งทำว่าตัวเองไม่ได้สนใจเลย เธอมองท่าทางที่รู้สึกประหลาดใจของฉู่หมิงเซวียน เธอหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ฉู่หมิงเซวียนเมื่อคุณเผยแพร่วิดีโอเมื่อไหร่ ฉันก็จะฟ้องคุณ และการที่เผยแพร่วิดีโอประเภทนั้น เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้อื่น ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้คุณติดคุกได้หนึ่งหรือสองปี ฉันคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะเผยแพร่วิดีโอนั้น ถ้าคุณทำอย่างนั้นฉันก็จะได้ไม่ต้องเสียเวลาคิดวางแผนหาวิธีจัดการกับคุณอีก และสำหรับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฉัน? "

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วนานมาก ทนไม่ไหวก็หัวเราะออกมา“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณนี่ยิ่งอยู่ยิ่งแสดงละครเก่งมากเลยนะ ผมคบกับคุณมาตั้งหลายปี ผมจะดูไม่ออกเลยเหรอว่าคุณเป็นคนยังไงกันแน่?เป็นผู้หญิงที่ปากแข็งแต่ใจอ่อน ถ้าหากมันเป็นอย่างที่คุณพูดว่าคุณไม่สนใจจริงๆ คุณคงไม่เสียเวลามาคุยกับผมแบบนนี้หรอก!แต่ในเวลานี้คุณพูดว่าคุณไม่สนใจและไม่แคร์ ดังนั้นผมจึงไม่ควรเผยแพร่วิดีโอนี้ มันถึงจะแปลว่าคุณไม่ได้ใส่ใจจริงๆอย่างนั้นเหรอ?ดีเลย ถ้าอย่างนั้นเรามาพนันกันดูไหม คืนนี้เวลาสามทุ่มตรง เจอกันที่ร้านบาร์หลิงเตี่ยน ผมจะรอคุณ ถ้าหากคุณมา ผมจะลบข้อมูลทุกอย่างทิ้ง ถ้าหากคุณไม่มา ผมจะเผยแพร่ลงโซเซียลทันที คุณอย่าดูถูกผมให้มากนัก ผมมีความสามารถพอที่จะไม่ให้คนอื่นสืบหาได้ว่าคนที่เผยแพร่ลงโซเซียลนั้นเป็นใคร และผมสามารถเกลี้ยกล่อมเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ทำให้เธอเชื่อว่าคุณเป็นเผยแพร่ลงโซเซียล”

“เช่นเรื่องราวที่หลอกลวงดังต่อไปนี้?ผมจะพูดกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยว่า ฮุ่ยฮุ่ย ที่ผมเก็บวิดีโอเหล่านี้ไว้ เป็นเพราะเมื่อเวลาที่ผมคิดถึงคุณ ก็สามารถย้อนดูช่วงเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน แต่ไม่คิดเลยว่าพี่สาวของคุณจะมารังควานผมไม่หยุด อีกทั้งยังเอากุญแจที่ผมเคยฝากไว้กับเธอ มาหาผมถึงบ้าน มาขอก็อปปี้วิดีโอนี้และลงเผยแพร่ลงในโซเซียล เธอคงคิดว่าถ้าทำแบบนี้จะสามารถทำให้ผมออกจากชีวิตของคุณได้ ในสิ่งที่เธอคิดนั้นเธอคิดผิด ถึงแม้ว่าในเวลานี้จะมีแต่คนหัวเราะเยาะคุณ แต่ผมจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป”ฉู่หมิงเซวียนพูดไปด้วย จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วหัวเราะไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่นไปทั้งตัว เธอคิดไม่ถึงเลยว่าทำไมเธอถึงได้มารู้จักกับผู้ชายที่สารเลวขนาดนี้ ถ้าหากเขาแค่มาเอาคืนเธอธรรมดา แค่มาทำกับเธอเพียงคนคนเดียวก็พอ แต่ว่าฉู่หมิงเซวียนไม่เคยจริงใจกับผู้หญิงคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว นี่เขาเป็นคนแบบไหนกันแน่?นี่เขาเป็นสัตว์เดรัจฉานใช่ไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ หรี่ตาจ้องมองฉู่หมิงเซวียน เธอเม้มปากอย่างแรง พยายามฝืนยิ้ม:“ฉันไม่ไปแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็รีบเดินเข้าลิฟต์ทันที เธอกดลิฟต์เพื่อให้ประตูปิด ฉู่หมิงเซวียนไม่ได้มาขวางแต่อย่างใด เขาทำเพียงมองผ่านช่องลิฟต์ระหว่างที่ลิฟต์กำลังค่อยๆปิด หัวเราะแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ไม่ คุณต้องมาแน่นอน”

เมื่อลิฟต์ปิดสนิด เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพิงที่ลิฟต์ถอนหายใจเฮือกออกมายาวๆ หลับตาลง เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกมา เธอไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรดี สิ่งเดียวที่สามารถทำได้ในตอนนี้คือพยายามทำให้ตัวเองใจเย็นที่สุด เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายเธอนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่สามารถรับมือกับสถานการณ์นี้ได้โดยลำพัง ทำได้เพียงต้องขอความช่วยเหลือจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้องทำงาน ก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และลองโทรหาเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยโทรหาเหลิ่งเซ่าถิงโดยตรง เบอร์โทรศัพท์ของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นคุณนายเหลิ่งเป็นคนให้เธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกกระวนกระวายใจ เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรับสายเธอไหม แล้วเหลิ่งเซ่าถิงจะช่วยเหลือเธอได้แค่ไหน

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วคาดไม่ถึง เมื่อเธอโทรสายออกไป เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบรับสายทันที ถึงแม้น้ำเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงจะเย็นชามาก แต่ว่าก็ฟังออกว่าเขาก็ตกใจเล็กน้อย:“ทำไมคุณถึงโทรหาผม?เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักไปสักครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไม่มีอะไรคะ ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นกับฉัน ฉันแค่มีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย”

“เรื่องอะไร?”เหลิ่งเซ่าถิงถามกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกมันยากมากที่จะพูดออกมา เธอไม่อยากเอาเรื่องที่ไม่ดีที่เกี่ยวกับน้องสาวของตัวเองมาเล่าให้เหลิ่งเซ่าถิงฟัง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นเด็กผู้หญิง เธอไม่รู้จะเริ่มต้นคุยกับเหลิ่งเซ่าถิงยังไงดี เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอาจถูกฉู่หมิงเซวียนถ่ายวิดีโอเพื่อแบล็กเมย์?เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก เพียงแค่ต้องการให้คุณช่วยหาคนให้หน่อย คุณรู้จักแฮกเกอร์เก่ง ๆไหมคะ?”

“คุณต้องการแฮกข้อมูลของบริษัทไหน?”เหลิ่งเซ่าถิงรีบถามกลับ

"มันไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับด้านธุรกิจ มันเป็นเพียงเรื่องส่วนตัว" เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึก ๆ และกระซิบ: "คนของคุณ ต้องรู้เงื่อนไขของคุณ ถ้าหากฉันให้เขาทำในสิ่งที่ทำให้เราหย่ากัน คุณไม่ทำหรอกใช่ไหม มีเพียงเหตุผลเดียว ฉันไม่รู้จะอธิบายกับคุณยังไงดี……ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วอ้ำ ๆอึ้ง ๆสักพัก สุดท้ายก็รู้สึกจะหมดหวังแล้ว เธออยากยืมคนกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่อยากพูดสาเหตุที่แท้จริงออกมา จะต้องพูดยังไงให้เหลิ่งเซ่าถิงช่วยเหลือเธอได้?และนอกจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้วยังมีใครที่จะช่วยเหลือเธอได้อีก?

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงกัดที่ริมฝีปากของตัวเอง ร้อนรนจนตาแดงก่ำ อ้ำๆอึ้งๆพูดว่า:“ขอโทษค่ะ……ฉัน……”

“อีกสักพักผมจะให้เขาติดต่อกับคุณ ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าร้องไห้ต่อหน้าผมอีก ไม่ว่าตอนนี้คุณจะพบเจอปัญหาอะไร คุณต้องใจเย็นๆแล้วค่อยๆคิดหาวิธีแก้ปัญหา”เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ก็รีบวางสายทันที

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะตอบตกลง เธอจับมือถือด้วยท่าทางที่กำลังอึ้งอยู่ เธอรีบเช็ดน้ำตา ก้มมองไปที่มือถือของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันตั้งตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทันใดนั้นจู่ ๆคอมพิวเตอร์ในห้องทำงานของเจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดเครื่องเองอัตโนมัติ เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมากจากลำโพง:“คุณหนูเจี่ยน สวัสดีครับ ผมคือคนที่ประธานเหลิ่งให้มาช่วยเหลือคุณครับ คุณต้องการให้ผมช่วยเรื่องอะไรครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงบอกว่าจะมีคนติดต่อเธอ เธอคิดว่าน่าจะติดต่อทางโทรศัพท์มือถือ แต่คาดไม่ถึงว่าจะติดต่อผ่านทางนี้ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วกำลังอึ้งอยู่ เธอจ้องมองดูคอมพิวเตอร์อย่างมึนงง ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะสังเกตเห็นความแปลกของอีกฝ่าย ชายคนนั้นหัวเราะรีบพูดว่า:“ขอโทษครับ การที่ติดต่อแบบนี้อาจจะไม่ค่อยมีมารยาท แต่คุณประธานเหลิ่งให้ผมรีบติดต่อคุณครับ และไม่ได้ฝากเบอร์โทรศัพท์ของคุณไว้ ผมจึงหาช่องทางที่ผมถนัดในการติดต่อคุณครับ เวลานี้ผมจึงโทรมาหาคุณครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันตั้งตัว คอมพิวเตอร์ก็ปิดเครื่องเอง โทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วดังขึ้นทันที เจี่ยนอี๋นั่วรีบรับโทรศัพท์ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฮาโหล สวัสดีค่ะ”

โทรศัพท์ปลายสายชายคนนั้นหัวเราะพูดว่า:“เสียงของคุณหนูเจี่ยนน่าฟังมากนะครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด:“คุณเคยพูดว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ให้เบอร์โทรติดต่อไว้?”

ชายคนนั้นหัวเราะสักครู่:“ใช่ครับ แต่ว่าผมสามารถตรวจหาข้อมูลเบอร์ที่โทรเข้าและเบอร์โทรออกของประธานเหลิ่งได้ครับ ผมจึงหาเบอร์โทรศัพท์ของคุณหนูเจี่ยนได้ครับ”

“คุณสามารถหาข้อมูลของเหลิ่งเซ่าถิงได้?”เจี่ยนอี๋นั่วถามกลับด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวด

ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นมา:“ใช่ครับ เป็นเพราะประธานเหลิ่งให้ความเชื่อใจและไว้ใจผมมาก ดังนั้นผมจึงช่วยเหลือเขาตลอดมาครับ คุณต้องการให้ช่วยเหลืออะไรครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉัน ……เพื่อนของฉัน ……”

ชายคนนั้นหัวเราะแล้วพูดว่า:“คุณหนูเจี่ยนครับทางที่ดีคุณควรอย่าปิดบังนะครับ ถ้าไม่อย่างนั้นผมจะหาข้อมูลได้ไม่สะดวกครับ”

“น้องสาวของฉัน ……”เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เมื่อกี้นี้มีผู้ชายที่ชื่อฉู่หมิงเซวียนได้มาข่มขู่ฉัน ข่มขู่ว่าในมือถือของเขามีวิดีโออยู่ในมือของเขา ฉันอยากให้ลบวิดีโอเหล่านั้นทิ้งให้หมด คุณสามารถทำไหมคะ?”

“วิดีโอ?มีวิดีโอก็เป็นเรื่องปกตินี่ครับ?ทำไมต้องลำลายทิ้งครับ?”ชายคนนั้นถามด้วยความสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผู้ชายคนนั้นแอบถ่าย มันไม่ใช่วิดีโอธรรมดาค่ะ”

ชายคนนั้นเข้าใจได้ในทันทีพร้อมพูดว่า:“ถ้าอย่างนั้นผมเข้าใจแล้วครับ รบกวนคุณเอาข้อมูลส่วนตัวของคุณฉู่หมิงเซวียนให้ผมหน่อยได้ไหมครับ ยิ่งละเอียดยิ่งดีครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ:“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณหน่อยนะคะ ฉันลืมถามชื่อของคุณ คุณชื่ออะไรคะ?”

ชายคนนั้นหัวเราะพูดขึ้นว่า:“เรียกผมว่า A ก็ได้ครับ ผมจะสืบหาข้อมูลทั้งหมดให้เร็วที่สุดแล้วจะแจ้งให้คุณทราบทันทีครับ”

ถึงแม้ว่าคุณ A ฟังดูเหมือนอายุยังไม่มาก แต่เพราะคุณ A คนนี้เป็นคนที่เหลิ่งเซ่าถิงแนะนำมา ได้ยินว่าผู้ชายคนนี้กำลังช่วยเหลือเธอ ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที เจี่ยนอี๋นั่วพูดอย่างจริงใจว่า:“ขอบคุณคุณมากๆนะคะ”

คุณ A พูดจบก็วางสายทันที เจี่ยนอี๋นั่วจับโทรศัพท์ไว้แน่นแล้วนั่งลงบนโซฟาในห้องทำงานของเธอ เธอหลับตาลง นั่งรออย่างเงียบๆ เวลานี้กว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะผ่านมันไปได้แต่ละนาทีมันทรมานมาก ในที่สุดโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้นอีกครั้ง ถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ:“เป็นอย่างไรบ้าง?”

คุณ A พูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดเล็กน้อย:“ผมหาเจอแล้วครับ แต่ขอโทษนะครับ เพื่อเป็นการยืนยันว่าวิดีโอมีอยู่จริงหรือไม่ ผมได้ดูวิดีโอไปบางส่วนครับ ตอนนี้ผมได้ส่งให้คุณแล้วนะครับ คุณลองเช็ดดูว่านี่เป็นน้องสาวของคุณหรือไม่”

มือของเจี่ยนอี๋นั่วสั่นสักครู่ เมื่อเธอรู้ว่าวิดีโอแบบนั้นมีอยู่จริง สมองของเธอสับสนวุ่นวายจนเหมือนจะระเบิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยรู้สึกเกลียดขนาดนี้มาก่อน น้องสาวของเธอ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยทำไมถึงโง่ขนาดนี้นะ?ทำไมถึงไปเชื่อผู้ชายอย่างฉู่หมิงเซวียนแบบนั้นได้นะ?

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่น:“ได้ค่ะ รบกวนคุณช่วยส่งมาให้ฉันหน่อยเถอะค่ะ ฉันลองเช็ดดู อาจจะไม่ใช่น้องสาวของฉันก็เป็นได้ และอาจจะไม่ใช่……”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงสักครู่ เฮ่อเยี่ยนหงเดินอย่าฝระมัดระวังค่อยๆเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้นเรื่องที่หย่ากับพ่อของเธอล่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นจ้องมองเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณวางเถอะค่ะ ตอนนี้คุณพ่ออาการหนักมากค่ะ ฉันจะไม่ทำให้คุณต้องเดือดร้อน คุณคุยกับทนายดีกว่านะคะ ลองดูว่าควรจะจัดการเรื่องหย่านี้ยังไง หลังจากที่คุณหย่ากับคุณพ่อ เงินโบนัสที่ควรจะได้ก็ยังคงได้เหมือนเดิม คุณสามารถไปต่างประเทศพร้อมกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย แต่ไปครั้งนี้คุณต้องจับตาดูแลเธอดีๆ อย่าให้เธอคิดถึงฉู่หมิงเซวีนนอีก เธอไม่ฟังคำพูดของฉัน คุณเป็นแม่ของเธอจริงๆหรือเปล่า คำพูดของคุณ เธอคงจะฟังบ้างนะ”

“อันที่จริงหมิงเซวียนก็ไม่เลวนะ เขาเคยซื้อของให้ฉันไม่น้อย……”เฮ่อเยี่ยนหงพึมพำด้วยน้ำเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องไปทางเฮ่อเยี่ยนหง ถอนหายใจเบาๆ:“ถ้าหากไม่ใช่เขา ตอนนี้เธออาจได้ส่วนแบ่งมรดกอย่างน้อย30 ล้าน เธอลองคิดดูตัวเลขนี้ ก็รู้ได้ว่าจะเกลียดเขาขนาดไหน ของขวัญที่เขาให้กับคุณ เกินหนึ่งแสนแล้วหรือยัง? การที่เขาเข้าใกล้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ต้องมีจุดประสงค์ไม่ดีแอบแฝงแน่นอน หรือคุณไม่คาดหวังให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแต่งงานกับผู้ชายที่เทียบพร้อมเหรอ ให้ฉู่หมิงเซวียนอย่างง่ายดาย คุณพอใจแบบนี้ใช่ไหม? คุณไม่อยากให้ฮุ่ยฮุ่ยแต่งกับผู้ชายที่เพียบพร้อม ทำให้คุณสามารถไปพูดโอ้อวดกับใครๆได้ ? ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนสามารถซื้อของขวัญให้บ้างบางครั้งบางคราว แต่ว่าเงินเดือนต่อปีของเขาไม่เกิน1ล้าน คุณสามารถโอ้อวดกับเพื่อนๆแวดวงไฮโซได้อย่างนั้นเหรอ?”

อันที่จริงเจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจหรอกว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะแต่งกับคนรวยหรือไม่ แต่ต้องหาคนที่ดีกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ไม่ใช่ผู้ชายคิดวางแผนแต่สิ่งเลวๆ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าแค่นี้ก็พอแล้ว แต่ว่าเธอจำเป็นต้องพูดแบบนี้ เพื้อเกลี้ยกล่อมเฮ่อเยี่ยนหง เพราะเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังเชื่อฟังคำพูดของเฮ่อเยี่ยนหงบ้าง ขอเพียงแค่เฮ่อเยี่ยนหงเฝ้าดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยดีๆ ถ้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปอยู่ต่างประเทศ อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้

เวลานี้เฮ่อเยี่ยนหงค่อยๆคิดได้ รีบพยักหน้าพูดขึ้นว่า:“ถ้าอย่างนั้นฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะดูแลและเฝ้าดูฮุ่ยฮุ่ยแน่นอน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเม้มริมฝีปากพร้อมพยักหน้า:“ถ้าจัดการเอกสารการเดินทางออกต่างประเทศเสร็จแล้ว ฉันจะให้คนโทรแจ้งคุณเอง แล้วอีกอย่าง…..ควรพาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปตรวจแผนกสูตินารีเวชหน่อยนะ ถ้าหากตั้งครรภ์…..”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะพูดว่า ถ้าหากตั้งครรภ์ก็ให้ทำแท้ง เพราะว่าลูกของฉู่หมิงเซวียนเก็บไว้ไม่ได้ ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะมีลูก เธอจะต้องตัดสินใจทำอย่างนี้แน่นอน แต่เป็นเพราะว่าเธอเคยเสียลูกไป รู้ว่าการที่เสียลูกไปนั้นมันเจ็บปวดขนาดไหน แม้ว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะตั้งครรภ์ลูกของฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดไม่ออกอยู่ดี

เจี่ยนอี๋นั่วก็สูดหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าหากมีลูกขึ้นมาจริงๆ พวกเราก็เตรียมการไว้แล้ว”

“อะไรนะ?เด็ก?”เฮ่อเยี่ยนหงตกใจเบิ่งตาโต:“มีลูกได้ยังไง?ฮุ่ยฮุ่ยของพวกเรา……เธอและฉู่หมิงเซวียน……”

ทันใดนั้นเฮ่อเยี่ยนหงหยุดชะงัก ทรุดตัวนั่งบนโซฟา:“ฉู่หมิงเซวียนไม่ให้เกียรติฮุ่ยฮุ่ยแบบนี้ได้อย่างไรกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองอาการตอนนี้ของเฮ่อเยี่ยนหง ก็ถอนหายใจ เฮือก ยาวๆ กุมขมับของตัวเองและนวดไปมา :“นี่คุณคิดว่าฉู่หมิงเซวียนเป็นพวกสุภาพบุรุษเหรอ? ดึกดื่นขนาดนี้ ชายหญิงออกไปด้วยกัน คุณก็ไม่คิดอะไรเลยเหรอ? ฉันหาพวกเขาเจอในโรงแรม ฮุ่ยฮุ่ยพูดออกมาจากปากเอง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ของพวกมีความสัมพันธ์กัน”

เวลานี้เฮ่อเยี่ยนหงตาแดงก่ำ:“ตายแล้ว ลูกฮุ่ยฮุ่ยจ๋า ทำไมลูกโง่ขนาดนี้นะ แค่รับของขวัญก็พอแล้ว ทำไมต้องนอนกับเขา……”

“นี่ไม่ได้เป็นอะไร ความผิดสามารถแก้ไขได้ แต่สำหรับผู้ชายที่ไม่มีความรับผิดชอบ ถ้าหากฮุ่ยฮุ่ยอยู่ด้วยกันกับผู้ชายคนนี้ อีกหน่อยชีวิตก็จะพังพินาศ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยน้ำเย็นชา:“คุณเลือกคุณพ่อของฉัน ฉันคิดว่าเธอตาถึง ฮุ่ยฮุ่ย ต่อไปคุณควรใส่ใจมากกว่านี้ ถ้าไม่มีของใช้ คุณขอกับฉันได้ ต่อไปอย่าให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้อีกแล้วนะ รอฮุ่ยฮุ่ยเรียนรู้สำเร็จกลับมา ต้องเจอผู้ชายที่ดีกว่านี้แน่นอน”

เฮ่อเยี่ยนหงร้องไห้สักพักก็พยักหน้าตอบรับ:“ฉันเข้าใจแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยลุกยืนขึ้น ถอนหายใจเบาๆ ค่อยๆเดินออกจากคฤหาสน์ ทันใดนั้นเธอรู้สึกว่ามันเหนื่อยมากจริงๆ รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าและกำลังจะหมดแรง เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นรถ ทรุดตัวนั่งตรงเบาะหลังลืมตาแทบไม่ไหว นี่ก็คือความรู้สึกที่ต้องเป็นผู้นำครอบครัวใช่ไหม? ความโกรธแบบนั้นและความรู้สึกที่หมดแรง รู้สึกมันแย่มากจริงๆ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนจะหายใจไม่ออก

รถกลับมาถึงคฤหาสน์เหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เดินเข้าคฤหาสน์เหลิ่ง พึ่งรู้ว่าดึกแล้ว คนส่วนมากก็ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆย่องเดิน เดินจนถึงห้องเหลิ่งเซ่าถิง เดิมทีเธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงคงเข้านอนแล้ว แต่ว่าเมื่อเธอค่อยๆเดินไปจับโดนขอบเตียง เหลิ่งเซ่าถิงรีบลุกขึ้นแล้วถามว่า:“เป็นอย่างไรบ้าง?”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับเป็นคนที่ตกใจเสียเอง เธอตกใจเดินเซถอยหลัง จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วค่อยดึงสติตัวเองกลับมา แสดงอาการฝืนยิ้มตอบกลับ:“ทุกอย่างจัดการเรียบร้อยแล้วใช่ไหม ทำไมดึกขนาดนี้คุณยังไม่นอนคะ?”

“ฉันนั่งทำงานตลอด กำลังเตรียมจะเข้านอน คุณก็กลับมาถึงพอดี” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา ไม่มีแม้แต่คำพูดที่อ่อนหวานสีกนิดเดียว”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“ที่แท้เป็นแบบนี้เอง……”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็นั่งลงอีกด้านหนึ่งของเตียง แล้วก็หลับตาลง เจี่ยนอี๋นั่วร่างกายและจิตใจเหนื่อยล้ามาก แม้แต่แรงที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้ายังไม่มีแรงเปลี่ยนเลย อันที่จริงเจี่ยนอี๋นั่วก็นอนไม่หลับ ตอนนี้ในสมองของเธอเหมือนจะระเบิดออกมา ทำได้เพียงเอนตัวลงนอนแล้วหลับตาสักครู่

“คุณยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้า”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เจี่ยนอี๋นั่วหดตัวใต้ผ้าห่ม ลูบที่จมูกสักครู่ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันไม่อยากขยับแล้ว แค่อยากหลับตาสักครู่หนึ่ง”

“เธอทำคุณเจ็บเหรอ?”ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ยังโอเค…..”เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง:“คุณรู้ได้อย่างไร?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ก็บอดี้การ์ดที่อยู่กับคุณไง คุณอย่าลืมนะว่าผมเป็นคนส่งไปปกป้องคุณ”

“ใช่สิ ฉันเกือบลืมไป……”เจี่ยนอี๋นั่วเอามือบังดวงตาของตัวเองแล้วพูดว่า:“คุณคงคิดว่าฉันทำเรื่องน่าอับอายมากใช่ไหม ถูกน้องสาวแท้ๆของตัวเองตบหน้าเพราะผู้ชายแบบนั้น แต่ฉันไม่ได้เอาคืน และฉันมีสิทธิ์อะไรที่จะเอาคืน? เป็นเพราะฉันไม่เคยใส่ใจดูแลเธอเลย จึงทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ ถ้าหากฉันเป็นห่วงเป็นใยสักนิด เธออาจจะไม่เป็นแบบนี้ก็ได้ ฉันมันไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ เป็นลูกที่ดีก็ไม่ได้ เป็นพี่สาวที่ดีก็ไม่ได้ แม่แต่บริษัทก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ ทันใดนั้นเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดทันที ในขณะนั้นเจี่ยนอี๋นั่วตะลึงทันที ฝืนยิ้มแล้วพูดว่า:“นี่มันหมายความว่าอย่างไง? สงสารฉันเหรอ?”

“ช่างมันเถอะ ผมยอมให้คุณพักผ่อนที่นี่สักครู่ “ เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ ยกมือไปตบที่หลังเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก ซบตรงกลางอกของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วหลับตาลง ไม่ว่าตอนนี้ระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความสัมพันธ์กันแบบไหน ไม่ว่าในอนาคตจะได้อยู่ด้วยกันไหม เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากทำเพียงลืมทุกสิ่งทุกอย่าง และทำเพียงซบลงที่กลางอกของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น ถือซะว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็น“ผู้พิทักษ์”ของเธอแล้วกัน และมีเพียงคืนนี้เธอเหนื่อยมากเหลือเกิน ต้องการผู้สนับสนุน ถึงจะสามารถผ่านพ้นค่ำคืนนี้ไปได้

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง แล้วค่อยๆหลับไป ถึงแม้จะนอนหลับสนิท หน้าคิ้วขมวดของเธอก็ยังไม่คลายลง ปากเธอก็พึมพำไม่หยุด เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธอแน่นขึ้น เขาค่อยลูบที่หลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำเหมือนกับว่ากำลังปลอบแมวที่เคยเลี้ยงอยู่ตัวนั้น เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆรู้สึกสบายขึ้นจนเลิกคิ้วขมวด เข้าไปใกล้อ้อมอกของเหลิ่งเซ่าถิงตลอดจนถึงเช้า

เจี่ยนอี๋นั่วนอนรอบนี้นอนนานมาก ในขณะที่เธอลืมตาขึ้นมานั้น ก็ถูกแสงพระอาทิตย์สอดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างส่องโดนตาต้องรีบหรี่ตาแล้วขยี้ตา ค่อยๆลุกนั่ง เรื่องราวทั้งหมดเมื่อคืนนี้มันคือความฝันใช่ไหม แสงสว่างของพระอาทิตย์นี้มันสว่างมากเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มสงสัยในสภาพของเธอเมื่อคืนนี้ เป็นเธอจริงๆใช่ไหม?

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ในห้องแล้ว แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ยังจำเรื่องราวของเมื่อคืนนี้ได้ดี เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนเข้ามากอดเธอ?

แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ต้องมาคิดเรื่องแบบนี้ เธอยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกหลายเรื่อง เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้น โทรศัพท์ก่อนเป็นอันดับแรก รีบทำเรื่องให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปต่างประเทศ จากนั้นโทรกำชับเฮ่อเยี่ยนหงก่อน แล้วค่อยไปบริษัท

พึ่งจะก้าวเข้าบริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นฉู่หมิงเซวียนกำลังยิ้มและเดินออกมาจากลิฟท์ ในขณะที่ฉู่หมิงเซวียนเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เลิกยิ้มทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆยิ้มออกมา:“อ้าว นี่ ประธานเจี่ยนไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาสายขนาดนี้ นี่เสียเวลาอยู่บนเตียงกับใครกันนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันและอดทนไม่ให้โมโห ทำได้เพียงจ้องมองฉู่หมิงเซวียนด้วยแววตาที่เกลียดชัง ก็รีบเดินผ่านหน้าฉู่หมิงเซวียนไป กำลังจะเดินเข้าลิฟท์ ฉู่หมิงเซวียนกลับมาขวางเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหัวเราะพร้อมถามว่า:“ฮุ่ยฮุ่ยของผมล่ะ? วันนี้ผมโทรหาเขาตั้งหลายสาย แต่เธอก็ไม่รับสายเลย ผมโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่สายผม ผมได้ยินทนายพูดว่าคุณเรียกทนายไปพบ คุณทำอะไรกันแน่?

“แบ่งมรดกของตระกูล เหลิ่งเซ่าถิง จากนี้ไปหุ้นในบริษัทของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่มีแล้ว คุณไม่ต้องใช้เธอเป็นเครื่องมืออีกถ้าหากฉันยังเห็นว่าคุณยังไม่เลิกรังควานเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่ “ เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“แบ่งมรดกของตระกูล เธอคงหุบมรดกไว้คนเดียวใช่ไหม? เจี่ยนอี๋นั่ว เธอนี่โลภมากจริงๆเลยนะ กล้าเอาเปรียบน้องสาวของตัวเอง หุ้นสักนิดเดียวก็ไม่เหลือให้เธอเลย มันช่างน่ากลัวจริงๆเลย”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงนี่ หัวเราะพร้อมหรี่ตา:“แต่ว่า ผมกลับอยากได้ผู้หญิงที่น่ากลัวแบบคุณจังเลย แล้วอีกอย่างนะ ผมจะเตือนคุณว่า ไม่ใช่เพราะผมรังควานน้องสาวของคุณ แต่เพราะน้องสาวของคุณรังควานผมต่างหาก ความจริงน้องสาวของคุณก็ไม่เลวนะ ถ้าหากเธอฉลาดมากขึ้นอีกนิดน่าจะดีไม่น้อยเลยล่ะ ถ้าหากเป็นแบบนี้ ผมอาจจะขอเธอแต่งงานจริงๆก็เป็นได้ ไม่ใช่เล่นๆแบบนี้ เธอ……ใช่สิ เธอไม่เคยเห็นตอนน้องสาวของเธอนอนอยู่บนเตียงนั้นท่าทางน่ารักขนาดไหน อยากเห็นไหมล่ะ? ผมถ่ายวิดิโอเก็บไว้ไม่น้อยเลยนะ? ตอนนี้คุณอยากให้ฮุ่ยฮุ่ยออกจากชีวิตของผม ผมปวดใจจริงๆนะ ปวดใจจนต้องการทำลายเธอ อยากเอาวิดิโอพวกนี้ไปอัพลงโซเซียล……”

“นี่คุณทำไมถึงไร้ยางอายขนาดนี้? เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองฉู่หมิงเซวียน กัดฟันพูด

ทันใดนั้นฉู่หมิงเซวียนก็เลิกยิ้ม จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาเริ่มต้นกันใหม่ดีไหม? ถ้าเป็นแบบนั้นผมจะทำตัว”ไร้ยางอาย”แบบนี้อีกต่อไป”

ทนายหลี่ว์ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว รีบหยิบกระดาษขึ้นมาพูดต่อหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“จากที่คิดรวมยอดสถิติทรัพย์สินในบริษัท ประธานเจี่ยน ณ เวลานี้มีหนี้ทั้งหมด 1245.3 ล้าน คุณหนูรองและคุณนายเจี่ยนจะได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินทั้งหมด…..”

“อะไรนะ? ใช้หนี้? เป็นไปได้อย่างไรกัน? บริษัทกำลังไปได้สวยไม่ใช่เหรอ?” เฮ่อเยี่ยนหงรีบคิ้วขมวดตะโกนเสียงดัง

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็รีบลุกขึ้นยืน คิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรีบพูดขึ้นว่า:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธอตั้งใจจะหุบมรดกของตระกูลตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม ตระกูลเจี่ยนทำไมถึงติดหนี้เยอะขนาดนี้? ทรัพย์สมบัติถูกเคลื่อนย้ายไปไหนหมด? หมิงเซวียนคุณเคยบอกว่าคุณมีเงินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง หนึ่งพันล้าน ก็แค่เอาหนึ่งพันล้านนั้นมาแบ่งกัน พวกเราก็จะไม่มีหนี้?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับนักบัญชีเฝิงหัวเราะแล้วพูดว่า:“รบกวนคุณช่วยชี้แจงข้อมูลทรัพย์สินภายในบริษัทด้วยค่ะ”

“ถึงแม้ว่าจะมีการระดมทุน แต่สถานการณ์ทางการเงินของบริษัทก็ยังไม่ดีขึ้น ก่อนหน้านี้คุณเจี่ยนต้องการรักษาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้อยู่รอด ได้นำทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์บริษัททั้งหมดไปจำนองแล้ว ถ้าหากต้องการแบ่งทรัพย์สินตอนนี้ สิ่งที่คุณจะได้คือหุ้นติดลบเท่านั้น……”

“อะไรคือหุ้นติดลบคะ?เจี่ยนอี๋นั่ว ที่เธอยุ่งตลอดเวลาเธอยุ่งอะไรกันแน่?เธอเป็นคนไม่มีประโยชน์เอาซะเลย? แม้แต่เงินระดมทุนยังหาไม่ได้ และไม่สามารถทำให้ตระกูลเจี่ยนกลับมาร่ำรวยได้อีกครั้ง ”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยลุกขึ้น ตะโกนใส่เจี่ยนอี๋นั่ว

“ฉันไม่สน ฉันจะไม่ยอมชดใช้หนี้ ในขณะที่ฉันแต่งงานกับเจี่ยนฉางรุ่นนั้น เขาเป็นระดับมหาเศรษฐี ฉันก็ไม่ได้ถือสาอะไร แต่ว่าตอนนี้อย่างน้อยควรให้ฉันและฮุ่ยฮุ่ยรวมทั้งหมดน่าจะเจ็ดสิบล้านบาทนะ ถ้าไม่อย่างนั้นพวกคุณตั้งใจโกงพวกเรา!”เฮ่อเยี่ยนหงรีบตอบกลับทันที

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเฮ่อเยี่ยนหง:“ฉันไม่ว่านะถ้าจะต้องขึ้นศาลด้วยกัน ขอเพียงแค่พวกคุณยินยอมที่จะขึ้นศาล ฉันก็จะขึ้นศาลเป็นเพื่อนด้วย แต่ว่าทางที่ดีพวกคุณควรหาเงินค่าจ้างทนายเอาไว้ด้วยนะคะ จากนั้นหาทนายเก่งๆไว้ด้วยนะคะ และฉันคิดว่าคงไม่มีทนายคนไหนกล้ารับงานนี้แน่นอนค่ะ เพราะว่าเพียงแค่พวกเขาเห็นข้อมูลตารางงบการเงิน ก็รู้ว่าตัวเองไม่ควรจะเสี่ยงรับงานนี้”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบทรุดตัวลงบนโซฟา พูดอย่างอ่อนแรง:“ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะรอให้สถานการณ์ตระกูลเจี่ยนดีขึ้นหน่อย ค่อยแบ่งทรัพย์สินกันก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขึ้นมา:“ไม่ได้ ต้องแบ่งทรัพย์สินเดี๋ยวนี้”

“เธอมีสิทธิ์อะไร? เธอเป็นใหญ่ในตระกูลเจี่ยนของเราตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเบิ่งตาโตจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วรีบพูด

ทนายหลี่ว์หยิบสัญญาขึ้นมา:“ก่อนที่คุณเจี่ยนจะล้มป่วยนั้น ได้ทำพินัยกรรมเอาไว้ ถ้าหากว่าเขาล้มป่วยหรือเป็นเจ้าชายนิทรา ทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยนทั้งหมดจะถูกจัดการโดยคุณหนูเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้คุณหนูเจี่ยนอี๋นั่วได้แบ่งทรัพย์สินทั้งหมดของตระกูลเจี่ยนแล้ว ถูกต้องตามกฎหมายและสมเหตุสมผล”

“คุณพ่อคะคุณพ่อลำเอียงมากค่ะ ทำไมต้องต้องรักเธอมากกว่าคะ!”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจ้องมองเจี่ยนอั๋วพร้อมพูดตะโกนเสียงดัง

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกว่าความรับผิดชอบที่คุณพ่อให้ไว้กับฉันมันหนักเกินไปแล้ว รู้สึกว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเอาซะเลย แต่ตอนนี้ดูท่าแล้ว ที่คุณพ่อลำเอียงมันมีเหตุผล ไม่ใช่เหรอคะ? ถ้าหากต้องการแบ่งทรัพย์สินของตระกูล ก็จำเป็นต้องแบ่งทรัพย์สินภายในวันนี้ ทนายหลี่ว์คะสัญญาเตรียมเสร็จหรือยังคะ ยื่นให้พวกเขาเซ็นชื่อเถอะค่ะ”

“ไม่ได้ ฉันไม่เซ็น ฉันไม่ต้องการแบกรับภาระหนี้สินพวกนั้น! นั้นเป็นหนี้สินที่คุณพ่อสร้างไว้ แล้วทำไมฉันต้องมาแบกรับภาระหนี้สินนี้ด้วย?”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยค่อยๆถอยหลบพูดตะโกนเสียงดัง

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมพูดกับทนายหลี่ว์ว่า:“ถ้าอย่างนั้นช่วยหยิบหนังสือขอสละสิทธิ์ในการรับมรดกมาหนึ่งชุดให้กับคุณหนูเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยค่ะ”

“สละสิทธิ์ไม่ได้ มรดกมหาศาลของตระกูลขนาดนั้น ทำไมถึงบอกว่าสละสิทธิ์ก็ต้องสละสิทธิ์ล่ะ?” เฮ่อเยี่ยนหงรีบตอบกลับ:“เจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้เธอต้องการหุบสมบัติทั้งหมดของตระกูลเจี่ยนไว้คนเดียวใช่ไหม?”

“สมบัติตระกูลเจี่ยน?เป็นหนี้สินซะมากกว่ามั้งคะ ตอนนี้ฉันต้องหุบหนี้สินไว้คนเดียว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“อีกทั้ง ฉันมีสิทธิ์ที่จะจัดการมรดกของตระกูลเจี่ยน ในความเป็นจริงแล้วไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากคุณเลย”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ตะโกนเสียงดัง:“เธอทำเกินไปแล้วนะ!ฉันและคุณแม่ไม่มีสิทธิได้รับมรดกสักนิดเลยเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ถ้าหากไม่นึกถึงว่าเราเป็นญาติสายเลือดเดียวกันแล้วล่ะก็ ฉันยังมีอีกวิธีหนึ่ง ก็คือมรดกของตระกูลเจี่ยนทั้งหมดต้องตกเป็นของฉันเพียงผู้เดียว รวมไปถึงหนี้สินและผลกำไรทั้งหมด

แต่ว่าพวกคุณจะได้รับเงินปันผลตลอดชีวิต และในทุกเดือนฉันจะให้มูลนิธิโอนให้พวกคุณเดือนละ 1 แสน สิ้นปีก็จะมีการแบ่งกำไรของบริษัทร้อยละ 10% ให้กับทุกคน ข้อแม้คือพวกคุณห้ามมีส่วนร่วมใดๆในบริษัท และอีกหนึ่งข้อแม้ก็คือเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยต้องไปเรียนต่างประเทศให้เร็วที่สุด และเฮ่อเยี่ยนหงก็ห้ามไปเจอกับฉู่หมิงเซวียนอีก”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบลุกขึ้นตะโกนใส่เจี่ยนอี๋นั่ว:“ฉันคิดไว้ไม่มีผิดเลยจริงๆ ว่าเธอไม่ได้หวังดี เธอตั้งใจแยกฉันออกจากหมิงเซวียน ทำไมเหรอ? ความสัมพันธ์ระหว่างฉันและหมิงเซวียนมันดีมาก มากจนเธอทนดูไม่ได้เหรอ? เธอก็เลยคิดหาทางแยกพวกเราออกจากกัน”

“ฉันเพียงแต่เสนอทางเลือกให้กับพวกคุณ พวกคุณไม่เลือกก็ได้นะ ” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและเฮ่อเยี่ยนหง:“ฉันก็ไม่ได้อยากให้ผลกำไรพวกเธอฟรีๆหรอกนะ เป็นเพราะเป็นห่วงความรู้สึกของคุณพ่อเท่านั้น ฉันเลยตัดสินใจทำแบบนี้ พวกเธออย่าทำให้ฉันเบื่อหน่ายจนทอดทิ้งพวกเธอนะ ถ้าฉันไล่ให้พวกคุณออกจากตระกูลเจี่ยน ไม่ต้องเสียแรงเลยสักนิดเดียว จากนั้นพวกเธอจะทำอย่างไรต่อ?ไม่มีเงิน ไม่มีอำนาจ ไม่มีฐานะ พวกเธอจะดำรงชีวิตต่อไปยังไงกัน?ไปทำงาน? นอนดึกเพื่อไปรายงานคนอื่น?ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ? ถูกเรียกใช้วิ่งไปวิ่งมาหลายๆรอบ? หรือจะไปเป็นพนักงานขาย? ถ้าเกิดไปพบเจอกับเพื่อนๆไฮโซ พวกเธอกล้าเผชิญหน้ากับพวกเขาไหม?คุณอื่นสามารถทนความลำบากได้ พวกเธอทนความลำบากได้เหรอ? คนอื่นทนกับความทุกข์ทรมานได้ พวกเธอสามารถทนได้เหรอ?พวกเธอใช้ชีวิตสบายจนชิน จะไปทนกับความลำบากแบบนั้นได้เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ ค่อยๆถอนหายใจ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“อืม ยังมีฉู่หมิงเซวียน พวกเธอพูดอยู่ตลอดเวลาว่าเขาดีกับพวกเธอมาก ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาเลี้ยงพวกเธอทั้งชีวิตเลย แต่ว่าฮุ่ยฮุ่ยยังเด็ก เธอยังไม่รู้จักผู้ชายดีพอ แต่คุณเฮ่อเยี่ยนหงคะ คุณก็จะทำตัวไร้เดียงสาเหมือนกับฮุ่ยฮุ่ยอย่างนั้นเหรอคะ? อันที่จริงฉันสามารถใจกว้างพอให้พวกคุณเลือกทางเดินชีวิตของพวกคุณเอง พวกคุณอยากเลือกอยู่กับฉู่หมิงเซวียนเพื่อฟังคำสั่งของเขาทุกอย่างและต้องดูสีหน้าของเขาตลอดเวลา?”

“ถ้าอย่างนั้นจะเป็นไรไป?ฉันกับฉู่หมิงเซวียนเรารักกันจริงๆ เขาเคยพูดว่าจะรักและดูแลฉันตลอดชีวิต เขาต้องดูแลฉันแน่นอน……”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตะโกนเสียงดัง

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขึ้นมา:“คุณเฮ่อเยี่ยนหงคะ คุณคิดแบบนี้เช่นกันไหมคะ?คุณรู้สึกว่าฉู่หมิงเซวียนจะดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตลอดชีวิตไหมคะ?”

เฮ่อเยี่ยนหงสูดหายใจเข้าลึกๆ ใช้แรงดึงที่แขนเสื้อของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและรีบพูดขึ้นว่า:“ฮุ่ยฮุ่ยจ๊ะ ทำตามที่พี่สาวเธอพูดก่อนดีกว่านะ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ถึงยังไงก็ไม่ทำร้ายเธอหรอก”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบเบิ่งตาโตจ้องมองไปที่เฮ่อเยี่ยนหง:“คุณแม่ ทำไมคุณแม่ถึงไปเข้าข้างผู้หญิงคนนี้คะ? คุณแม่เกลียดมันมากไม่ใช่เหรอคะ?ทำไมตอนนี้?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดถึงนี่ จ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเสียงดัง:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธอทำเกินไปแล้วนะ เธอไม่เพียงจะแย่งหมิงเซวียน เธอยังจะแย่งคุณแม่ไปจากฉันอีก ฉันไม่มีวันยกโทษให้เธอแน่ ๆ ฉันเกลียดเธอ!”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่เป็นไรเธอสามารถเกลียดฉันต่อไปได้เมื่อเธอออกจากประเทศ ทางที่ดีเธอควรพยามยาม ตั้งใจเรียน สามารถเรียนรู้ทักษะความสามารถจริงๆ จากนั้นค่อยมาเอาชนะฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เธอพูดจบก็หันหน้ามองไปทางเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันจะหาพี่เลี้ยงไปดูแลพวกเธอ เมื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอยู่ต่างประเทศ ฉันจะหาที่อยู่และครูสอนพิเศษ คุณต้องดูแลเขาอย่าให้คลาดสายตา ในระหว่างที่เธอเติบโต ถ้ายังคิดไม่ได้ก็ไม่ต้องให้เธอกลับประเทศ”

ตอนนี้ถึงยังไงก็ไม่สามารถจะเจรจากับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้ เจี่ยนอี๋นั่วเลยจำเป็นต้องส่งเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยออกประเทศ ให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอยู่ห่างจากฉู่หมิงเซวียนชั่วคราว และในระหว่างนี้เธอต้องลืมฉู่หมิงเซวียนให้ได้ และไม่ให้ฉู่หมิงเซวียนและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเจอหน้ากันทุกวิถีทาง

ถ้าหากเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยสามารถที่จะเจรจาต่อลองกับเธอได้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีที่ป่าเถื่อนขนาดนี้ แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่สนใจคำตักเตือนของเธอเลยสักนิด เฮ่อเยี่ยนหงก็เป็นคนที่เห็นแก่เงิน ถ้าไม่ดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยวิธีนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าฉู่หมิงเซวียนจะหลอกใช้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไกลขนาดไหน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะเกลียดเธอขนาดไหน แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเห็นจุดจบอันน่าเวทนาของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบตะโกนใส่เจี่ยนอี๋นั่ว:“ฉันไม่ต้องการไปต่างประเทศ เจี่ยนอี๋นั่วเธอนี่เลวมากจริง ๆ ทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้ได้ลงคอ? สักวันหนึ่งฉันจะกลับมาแก้แค้น!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ฉันจะรอวันที่เธอกลับมาแก้แค้น ฉันจะรอคอย”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคิ้วขมวด จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความโมโห เธอตะโกนใส่เสียงดัง:“เจี่ยนอี๋นั่ว!ฉันไม่มีวันยกโทษให้เธอแน่ ๆ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาเหลือบมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย หันหน้าไปมองเฮ่อเยี่ยนหงแล้วพูดว่า:“หลังจากที่ออกประเทศ คุณต้องดูแลเธอดีๆ ระยะนี้ พวกคุณก็อาศัยอยู่ในคฤหาสน์นี้ ห้ามออกไปไหนเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้น อย่าคิดว่าจะได้เงินจากฉันแม้แต่สตางค์เดียว”

รีบหยิบเงินออกมา สำหรับคนอื่นแล้วอาจเหมือนเป็นการดูถูก แต่ว่าสำหรับเฮ่อเยี่ยนหงแล้ว มันเป็นจุดอ่อนของเธอ เฮ่อเยี่ยนหงรีบพยักหน้าพูดขึ้นว่า:“ฉันจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ฉันต้องควบคุมและดูแลฮุ่ยฮุ่ยเป็นอย่างดี เธอวางใจเถอะ”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อเยี่ยนหง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมายาวๆด้วยความโล่งใจ หลับตาสักครู่ จากนั้นเหลือบมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ยังจำเมื่อกี้ที่เธอตบฉันได้ไหม?ฉันไม่โกรธเธอหรอก เป็นเพระว่าเมื่อก่อนฉันไม่เคยใส่ใจดูแลเธอเลย มันเลยทำให้เธอกลายเป็นคนแบบนี้ แต่นี่จะเป็นครั้งสุดท้าย เธออย่าคิดว่าฉันจะตามใจเธอเหมือนที่คุณพ่อตามใจเธอนะ ถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ฉันก็จะปล่อยเธอไป คนที่โอ๋เธอและคนที่รักเธอมากที่สุด และสามารถทำทุกอย่างเพื่อเธอได้นั้นก็คือคุณพ่อ และในตอนนี้คุณพ่อไม่สามารถทำเพื่อเธอได้อีกแล้ว เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเธอควรเรียนรู้ที่จะเติบโต!”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตะลึงทันที จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วเม้มริมฝีปาก แล้วก็ไม่ยอมพูดอะไรอีกเลย จากนั้น เธอออกเสียง ฮึม แล้วหันหลังเดินขึ้นห้องไป บอดี้การ์ดก็เดินตามหลังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยขึ้นไป

เจี่ยนอี๋นั่วมองตามหลังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย รู้สึกเหนื่อยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ศัตรู เธอสามารถหาทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะมันได้ แต่สำหรับญาติพี่น้อง เธอพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดูแลมัน แต่ว่าสำหรับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยที่ไม่สามารถจะพูดคุยกันได้เลย แล้วเหมือนเจอทางตัน เธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี?

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันอย่างแรงรีบยื่นมือออกไป ตบหน้าฉู่หมิงเซวียนหนึ่งทีแล้วตะโกนด่าว่า:“ไร้ยางอายสิ้นดี!”

“เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเขา?”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเห็นเจี่ยนอี๋นั่วตบหน้าฉู่หมิงเซวียนก็รีบผลักบอร์ดี้การ์ดออก รีบเดินพุ่งไปประชันหน้ากับเจี่ยนอี๋นั่ว ยกมือขึ้นใช้แรงตบไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันได้ระวังตัว ถูกเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตบเข้าหน้าอย่างแรง หน้าของเธอถูกตบจนปวดแสบปวดร้อนขึ้นมาทันที เธอเงยหน้าไปมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ก็เห็นฮุ่ยฮุ่ยกำลังเอามือไปลูบที่หน้าของฉู่หมิงเซวียนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หมิงเซวียนคะคุณเจ็บมากไหมคะ? ให้ตายเถอะ เธอมีสิทธิ์อะไรมาทำร้ายเขา?”

ฉู่หมิงเซวียนหน้าคิ้วขมวดจ้องมองไปแก้มบวมเบ่งของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยเหลือบมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย มองด้วยแววตาที่เย็นชา เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ออกมายืนขวางบังตัวฉู่หมิงเซวียนไว้ ตะโกนพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธออย่าคิดว่าใครๆต้องเกรงกลัวเธอนะ คนอื่นอาจจะเกรงกลัวเธอ แต่ฉันไม่กลัว ฉันจะบอกไว้ตรงนี้เลยนะ ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนเป็นผู้ชายของฉัน พวกเรานอนด้วยกันแล้ว แล้วฉันยังจะมีลูกให้เขาอีกด้วย และในอนาคตทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของตระกูลเจี่ยนมันก็ต้องเป็นของฉันและลูกของเขา……”

“โง่เง่า……”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าจ้องมองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย บังคับตัวเองให้ฝืนยิ้มส่ายหัวไปมา:“ทำไมเธอถึงโง่ขนาดนี้นะ?เดิมทีเธอควรจะมีอนาคตที่สดใสกว่านี้ มาตอนนี้เธอจะเอาชีวิตของเธอมาฝากไว้ให้กับผู้ชายคนนี้นะเหรอ?”ต้องการให้ฉันพาเธอไปดูเฉิงซานซานไหม? คนรักเก่าของเขา เขายังหักหลังและทรยศมาแล้ว เธอคิดว่าเธอจะแตกต่างจากผู้หญิงคนนั้นอย่างนั้นเหรอ?”

“ฮึม เธอเป็นคนที่ไม่สมหวังในเรื่องของความรัก และเธอคงหวังให้คนทั้งโลกไม่สมหวังเช่นเดียวกันกับเธออย่างนั้นเหรอ! เธอจะทำตัวเหลวแหลกขนาดไหน ทั้งตั้งครรภ์ทั้งเลี้ยงผู้ชาย ไร้ยางอายสิ้นดี อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะ ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยสนใจใยดีฉัน? มาตอนนี้จะมาแกล้งทำเป็นพี่สาวที่แสนดีอย่างนั้นเหรอ?” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตระโกนใส่เจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย หันหน้าไปสั่งบอดี้การ์ด:“พวกคุณเอาตัวเธอลงไป

“บอดี้การ์ดสองคนรีบเดินเข้ามา จับแขนของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้วพาลงไป เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบตะโกนร้องเสียงดัง:“นี่ เจี่ยนอี๋นั่วเธอคิดจะทำอะไรกัน? นี่เธอคิดจะลักพาตัวเหรอ? หรือเป็นเพราะเธออิจฉาฉัน เพราะฉันสามารถครอบครองฉู่หมิงเซวียนเธอจึงอิจฉาฉันใช่ไหม”

“เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้ว บังคับตัวเองให้ฝืนยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา จากนั้นหันหน้าไปมองฉู่หมิงเซวียน:“คนอย่างคุณนี่ทำได้เพียงใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือเท่านั้น น่าสมเพชจริงๆเลย”

“แต่ก็ใช้ได้ไม่เลวเลยนะ ไม่จริงเหรอ? เป็นอย่างไรบ้างล่ะ? เธอมีนิสัยที่ป่าเถื่อน อยู่เตียงก็กัดคนอื่นไปเรื่อย ชอบเกาคนอื่น และใช้ความรุนแรง พอลงมือตีคนอื่นขึ้นเขา ควรจะเจ็บมากใช่ไหม?”ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว เอื้อมมือไปแตะที่ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหันหน้าหนี ในที่สุดก็รอดพ้นมือของฉู่หมิงเซวียน ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะก้าวถอยหลัง พร้อมเหลือบมองไปผ้าก๊อซที่พันไว้ในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหน้าคิ้วขมวดขึ้นมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“นี่คุณเป็นแผลได้อย่างไร?ผู้ชายคนนั้นทำร้ายคุณเหรอ? ใช่เหลิ่งหมิงอันคนนั้นหรือเปล่า? คนพวกนั้นก็เป็นคนของเหลิ่งหมิงอันใช่ไหม? ผมไปสืบมาแล้วเขาคือคุณชายรองของตระกูลเหลิ่ง และเป็นลูกชายของเหลิ่งเฉิงอวี่ แต่ว่าเธอตั้งครรภ์ก่อนที่เขาจะกลับประเทศนี่ ลูกของเธอเป็นลูกของใครกันแน่? นี่คุณคงไม่ได้คิดจะเอาทั้งสองคนพ่อลูกใช่ไหม? และในคืนนั้น คุณไม่ได้กลับโรงแรม พอวันถัดไปก็ลือกันทั้งบริษัท ลือว่าคุณเลี้ยงเด็กผู้ชายวัยละอ่อน คุณมีผู้ชายกี่คนกันแน่? เจี่ยนอี๋นั่ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังตบไปที่หน้าของฉู่หมิงเซวียนอย่างแรง:“คุณตบมาอีกได้เลย ผมไม่รู้สึกเจ็บเลย คุณไม่อยากถามหน่อยเหรอว่าต้องทำยังไงผมถึงจะปล่อยเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย?”

“คุณจะปล่อยเธอไปเหรอ?”เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองฉู่หมิงเซวียน

“ฉันจะปล่อยไป……” ฉู่หมิงเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงแหบ:“เพียงแต่ตอนนี้คุณขึ้นไปนอนเตียงเดียวกับผม ผมก็จะไม่ไปยุ่งกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยอีก ถึงแม้ว่าเธอจะหน้าเหมือนกับคุณมาก แต่ยังไงเธอก็ไม่ใช่คุณ ก็เหมือนอย่างที่คุณบอกนั้นแหละเธอโง่เกินไป เธอหลอกใช้ได้ง่ายดายมาก เธอง่ายเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่หาซื้อทั่วๆไป จะไปเหมือนอาหารชั้นสูงที่ทำให้ใครๆก็อยากกินได้ยังไงกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ตบหน้าฉู่หมิงเซวียนอีกรอบ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันจะไม่ให้คุณพบหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตลอดไป

“เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันหลังเดินจากไปทันที ฉู่หมิงเซวียนรีบเดินตามหลังไปคว้าข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ตะโกนเสียงดังพูดว่า:“ทำไมคุณต้องเดินจากไปล่ะ? คุณเป็นพี่สาวที่แสนดีไม่ใช่เหรอ?แค่เสียสละแค่นี้ก็ทำไม่ได้เลยเหรอ? แค่นอนกับผม ผมก็จะไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับน้องสาวคุณอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณคิดว่าฉันก็โง่เหมือนกันอย่างนั้นเหรอ? ตอนนี้ถ้าฉันนอนอยู่บนเตียงเดียวกันกับคุณ และพรุ่งนี้ก็ต้องมีรูปถ่ายของคุณและฉันนอนด้วยกันอยู่บนเตียง และคุณจะเอารูปพวกนี้มาแบล็คเมลฉันใช่ไหม คุณไม่มีวันปล่อยใครไปทั้งนั้น คุณเป็นพวกสัตว์เดรัจฉาน ทำธุรกิจกับพวกสัตว์เดรัจฉาน ก็คือไอ้พวกโง่!”

ฉู่หมิงเซวียนจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะขึ้นมาด้วยสีหน้าที่ดุร้าย:“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณหนูผู้หยิ่งยโส แล้วคุณจะเสียใจที่ปฏิเสธผมในตอนนี้ คุณรู้ทั้งรู้ว่าสามารถแก้ปัญหาได้โดยวิธีง่ายๆแบบนี้ แต่ทำไมคุณถึงไม่ทำตามที่ผมบอก? คุณดูถูกผมใช่ไหม?”

“ใช่ค่ะ “ เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงสะบัดมือฉู่หมิงเซวียนทิ้ง:“ฉันดูถูกคุณ คุณทำให้ฉันรู้สึกขยะแขยง”

ฉู่หมิงเซวียนเหลือบมองไปที่ราวบันไดแล้วไม่มีใคร เขาลูบมือของเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะเยาะพูดว่า:“ตอนนี้รอบๆบริเวณนี้ไม่มีใคร คุณคิดว่าผมจะยอมปล่อยให้คุณไปง่ายๆอย่างนั้นเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองฉู่หมิงเซวียน:“อีกไม่นานบอดี้การ์ดจะกลับมาที่นี่ อีกอย่างถ้าคุณกล้าถูกเนื้อต้องตัวฉันจริงๆแล้วล่ะก็ ฉันก็จะฟ้องศาลและเอาเรื่องคุณให้ถึงที่สุด และอย่าคิดว่าฉันจะเป็นคนที่ถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวตลอดนะ ถ้าหากคุณกล้าทำฉันก็ไม่สนความคิดเห็นของใครทั้งนั้น ฉันจะทำให้คุณเป็นอาชญากรจริงๆแน่นอน”

“ฮ่า ฮ่า……นิสัยของคุณยังไม่เคยเปลี่ยน”ฉู่หมิงเซวียนรีบปล่อยมือ แล้วหัวเราะต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว:“โอเค คุณไปเถอะ แต่เรื่องนี้มันไม่จบง่ายๆแบบนี้แน่ ผมและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นความสมัครใจของเราทั้งคู่ คุณไม่สามารถขัดขวางความรักที่แท้จริงแบบนี้หรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดมองฉู่หมิงเซวียน น้ำเสียงโมโห ฮึม แล้วรีบเดินจากไป พอเดินลงไปก็นั่งพัก เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยถูกบอดี้การ์ดจับไว้อยู่ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมองเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบตะโกนพูดว่า:“เจี่ยนอี๋นั่วเธอนี่มันป่าเถื่อนจริงๆเลยนะ จะมาวุ่นวายกับชีวิตฉันทำไม? เธอเป็นนางปีศาจ เธอไม่มีผู้ชายรัก เธอก็คงหวังให้คนที่มีความรักไม่มีความสุขเช่นกันใช่ไหม เธอนี่มันโรคจิตจริงๆ!”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือแล้วโบกมือ พูดที่อยู่ของคฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตะโกนร้องขัดขืนสักพัก เมื่อถึงห้องโถงคฤหาสน์ตระกูลเจี่ยน เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ถูกปล่อยตัวออก

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบพุ่งเข้าหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยกมือขึ้นเตรียมจะตบหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วเอามือบังไว้ได้ทัน เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“หลังจากนี้ต่อไป ฉันจะไม่ตบเธออีก แต่ว่าฉันก็ไม่ยอมให้เธอลงมือกับฉันเช่นกัน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยโมโหตะโกนแล้วพูดว่า:“ทำไมต้องมายุ่งเรื่องของฉันด้วย? เธอมีสิทธิ์อะไรมาสั่งสอนฉัน? เธอคิดว่าเธอใหญ่มาจากไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงหลับตาสักครู่ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันเป็นพี่สาวของเธอที่ไม่รู้จะสอนเธอยังไง!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ รีบสั่งบอดี้การ์ด:“เอาเธอไปส่งบนห้องแล้วดูแลเธอดีๆ”

บอดี้การ์ดรีบพาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปส่งถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงเม้มริมฝีปาก เอามือถือออกมา กดโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง:“เฮ่อเยี่ยนหงคุณกลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะคะ ฉันได้พาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกลับมาแล้ว คุณในฐานะแม่คุณควรจะกลับมาได้หรือยังคะ?”

“อ้าว? ฮุ่ยฮุ่ยกลับมาแล้วเหรอคะ? เธออยู่ข้างนอกกับฉู่หมิงเซวียนไม่ใช่เหรอ? ทำไมกลับมาแล้วล่ะ?” เฮ่อเยี่ยนหงทนไม่ไหวพูดออกมาด้วยความเสียงดัง

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เธอถูกฉันลากกลับมาแล้ว ฉันต้องการฟังคำอธิบายจากคุณ ทำไมคุณถึงสอนฮุ่ยฮุ่ยให้เป็นคนแบบนี้!”

“ฉัน……ทางนี้……มันดึกขนาดนี้แล้ว……” เฮ่อเยี่ยนหงได้ฟังน้ำเสียงการพูดของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วก็หาข้ออ้างล้านแปดเพื่อที่ไม่ต้องการกลับมา

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าหากคุณกลับมา ฉันจะดำเนินการให้คุณหย่ากับคุณพ่อ และฉันจะแบ่งส่วนแบ่งของตระกูลเจี่ยนให้กับคุณบางส่วน”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบพยักหน้าตอบรับ หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ถ้าอย่างนั้นดีเลย ดีมาก ฉันจะกลับไปเดี๋ยวนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบวางสายโทรศัพท์ เรียกทนาย จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงหลับตา พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ขอโทษด้วยนะคะ คุณพ่อ……”

สภาพของเฮ่อเยี่ยนหงในตอนนี้ ถ้ายังคงปรากฏตัวในฐานะเป็นภรรยาของเจี่ยนฉางรุ่น ก็จะถูกคนอื่นหลอกใช้ จะทำให้ตระกูลเจี่ยนอยู่ไม่สงบสุข ก่อนหน้านี้เธออยากให้คุณพ่อฟื้นขึ้นมาเร็วๆ อยากให้คุณพ่อเห็นทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข แต่สภาพคุณพ่อในเวลานี้ ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากยอมรับความจริงว่าเจี่ยนฉางรุ่นไม่มีวันกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว แล้วทำไมต้องบังคับให้เฮ่อเยี่ยนหงอยู่อีกล่ะ?

ไม่นานเฮ่อเยี่ยนหงก็กลับมา หลังจากที่เธอมาถึงห้องโถงใหญ่ ก็รีบหัวเราะพูดขึ้นว่า:“เป็นอย่างไรบ้าง อี๋นั่ว? ฮุ่ยฮุ่ยล่ะ? เธอจะแบ่งทรัพย์สินกันยังไง อันที่จริงทรัพย์สินแบ่งกันง่ายมากเลย ฉันวางแผนไว้แล้ว น่าจะแบ่งออกเป็นสามส่วน ฉันและฮุ่ยฮุ่ยหนึ่งส่วน ของเธอหนึ่งส่วน ฉันและฮุ่ยฮุ่ยขอแบ่งแค่สองในสามส่วนก็พอแล้ว และอีกทั้งฮุ่ยฮุ่ยยังเด็กอยู่ ฉันรู้สึกเธอควรจะเสียสละให้ฮุ่ยฮุ่ยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ได้สิ สามารถแบ่งสัดส่วนแบบนี้ได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังไปคุยกับบอดี้การ์ดว่า:“คุณไปพาฮุ่ยฮุ่ยลงมา พวกเราจะทำการแบ่งทรัพย์สินภายในวงตระกูล”

“จริงๆใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นมันดีมากเลย” เฮ่อเยี่ยนหงรีบปรบมือพูดขึ้นว่า:“ถ้าเธอพูดเร็วกว่านี้หน่อยทุกอย่างก็จบไปตั้งนานแล้ว? ทำไมถึงทำให้ตระกูลวุ่นวายขนาดนี้ด้วยล่ะ?”

เวลานี้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ถูกพาตัวลงมา เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมองเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็เบิ่งตามอง:“เธอจะทำอะไรกันแน่?ยังเรียกให้คุณแม่ฉันมาอีก เธอนี่มันหน้าด้านจริงๆเลย?”

เฮ่อเยี่ยนหงก็ทำท่าโบกมือให้ฮุ่ยฮุ่ยหยุด พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะ:“ฮุ่ยฮุ่ย อย่าทะเลาะกับพี่สาวนะ พี่สาวของเธอกำลังจะแบ่งสมบัติของวงตระกูลแล้ว”

“อะไรนะคะ?เธอจะแบ่งทรัพย์สินของวงตระกูล?เธอจะหุบทรัพย์สินไว้คนเดียวซะมากกว่า? เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา”

ไม่ใช่ คราวนี้นะ พวกเราจะแบ่งทรัพย์สินแบ่งเป็นสองในส่วนสามของทรัพย์สินทั้งหมด เฮ่อเยี่ยนหงหัวเราะอย่างมีความสุขจนปากหุบไม่ลงแล้ว”

จริงเหรอคะ? “เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้ยินคำพูดของเฮ่อเยี่ยนหง ค่อยๆนั่งลงตรงโซฟา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เธอจะใจดีขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“ฉันก็หวังดีแบบนี้แหละ ทนายหลี่ว์และนักบัญชีเฝิงได้ตรวจสอบทรัพย์สินของบริษัท ข้อมูลภายในบริษัทจะมีพวกเขาชี้แจงให้ฟังค่ะ ถ้าหากพวกคุณไม่มีข้อสงสัยใดๆอีก ก็เซ็นชื่อเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วตัวสั่น เธอไม่เคยคิดว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นน้องสาวของตัวเอง พวกเธอมีอายุห่างกันไม่กี่ปี และเขาก็มีแม่คนละคนกัน เจี่ยนอี๋นั่วยอมรับว่าตอนเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเกิดมา ทำให้เธอคิดว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะมาแย่งความรักจากคุณพ่อ

เฮ่อเยี่ยนหงก็คอยยุแยงปลุกปั่นให้เธอและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยผิดใจกัน ดังนั้นทุกครั้งที่เธอต้องการเข้าใกล้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ก็ทำให้เธอนึกถึงคนที่เธอรังเกลียดอย่างเฮ่อเยี่ยนหง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยถูกเฮ่อเยี่ยนหงสอนให้คอยยุแยงปลุกปั่นให้เธอและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยผิดใจกันมาตั้งแต่เด็ก เฮ่อเยี่ยนหงไม่กล้ามีความขัดแย้งกับเจี่ยนอี๋นั่วซึ่งๆหน้าเลยคอยยุแยงให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาต่อต้านเธอทุกเรื่อง เมื่อสมัยเด็กเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพึ่งจะหัดเดิน ก็มีหนอนอยู่ที่พื้นรองเท้าของเจี่ยนอี๋นั่วบ่อยๆ

หลังจากที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเติบโตขึ้นมาหน่อย เสื้อผ้าของเจี่ยนอี๋นั่วก็จะถูกเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตัดเสีย ในตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเป็นเด็ก และยังไม่ได้ถูกสอนให้ยอมเด็กๆทั่วไป เธอจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็เหมือนกับจ้องมองเฮ่อเยี่ยนหงกำลังถือมีดไว้ในมือ จากที่เกลียดเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมากจนเธอไม่ได้อยู่ในสายตาอีกต่อไป

เป็นเวลานานมากแล้วที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ใส่ใจใยดีเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และไม่เคยสนใจว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจะมีหน้าตาที่เหมือนกับเธอขนาดไหน แต่ว่าในเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกกลัวมากจริงๆ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้จักน้องสาวคนนั้นที่มีหน้าตาคล้ายกับเธอ และกำลังตกอยู่ในอันตรายในสถานการณ์แบบนี้ และเพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็กลบเรื่องราวที่ผิดใจกันต่างๆที่ผ่านไปจนหมด

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น พยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ถ้าหากเธอถูกฉู่หมิงเซวียนทำร้าย ควรจะทำอย่างไรดี?”

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดมองไปทางมือเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ตอนนี้กลายเป็นคุณต่างหากที่เป็นคนถูกทำร้ายคนนั้น คุณต้องใจเย็นๆ ถึงแม้ว่าน้องสาวของคุณจะถูกฉู่หมิงเซวียนบังคับ แต่จุดมุ่งหมายของเขาคือคุณ ถ้าหากคุณตื่นตระหนกแล้ว ก็จะตกหลุมพรางของเขาได้”

เหลิ่งเซ่าถิงกุมมือของเจี่ยนอี๋นั่ว ยกมือของเจี่ยนอี๋นั่วไปไว้ตรงหน้าเขา มองอย่างตั้งใจ เขาเห็นหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่วยังถูกพันไว้ด้วยผ้าเช็ดหน้าของเหลิ่งหมิงอัน เขารีบเอาผ้าเช็ดหน้าที่พันไว้ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วออก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ต่อไปคุณห้ามใช้ของๆ เหลิ่งหมิงอันอีกเด็ดขาด”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เวลานี้งานเลี้ยงเลิกแล้วเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มปากพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ยังไม่เลิก ตอนนี้มีคนอื่นคอยดูแลแขก และผมก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นั่น ”

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้? คุณเป็นพระเอกในงานราตรีนี้นะคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา งานราตรีในคืนนี้เป้าหมายหลักก็คือต้องการให้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นที่รู้จักมากขึ้น? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงไม่ใช่คนสำคัญล่ะ?

เหลิ่งเซ่าถิงเอาผ้าเช็ดหน้าของเหลิ่งหมิงอันเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อของตัวเอง หันหลังไปหยิบกล่องยาที่โต๊ะชั้นวางหนังสือ เอาผ้าก๊อซและสำลี จุ่มแอลกอฮอล์ล้างแผลฆ่าเชื้อให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วถูกแอลกอฮอล์ล้างแผลก็เกิดแสบมาก เธอหดมือทันที เหลิ่งเซ่าถิงรีบจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ชอบรับผิดแทนคนอื่นได้ เจ็บแค่นี้ก็ควรทนได้สินะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“นี่คุณ……นี่คุณหมายถึงอะไรคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:“เหอหลวนเล่อเป็นคนที่เย่อหยิ่ง และผู้หญิงคนไหนที่เข้าใกล้ผม เธอจะแสดงอาการไม่ดีใส่ แล้วเธอจะไปช่วยพยุงคุณได้อย่างไรกัน?”

“ฉันเพียงทำสิ่งที่ส่งผลดีต่อพวกเราทั้งสองคน”เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ทันใดนั้นนึกขึ้นได้ว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ อาจเป็นได้ว่าเป็นเพราะวันนี้เธอทำให้หลิวจื่อซิงเสียหน้า ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะชอบผู้ชายหรือว่าผู้หญิง แต่ว่าเธอดูออกว่าความรู้สึกที่เหลิ่งเซ่าถิงมีต่อหลิวจื่อซิงนั้นแตกต่างจากคนอื่น

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบา:“ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ต้องการทำให้หลิวจื่อซิงเสียหน้าหรอกนะคะ ทำให้เธอเสียหน้า ฉันขอโทษจริงๆค่ะ”

กำลังทำแผลให้กับเจี่ยนอี๋นั่วอยู่เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นหยุดทำแผลต่อทันที เขาเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเม้มริมฝีปาก เหมือนราวกับว่าเขากำลังบังคับไม่ให้พูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมา แต่ว่าสุดท้ายเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ก้มหน้าลงฉีกผ้าก๊อซอย่างแรง ราวกับว่ากำลังโมโหและใส่อารมณ์อยู่ แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพันแผลให้กับเจี่ยนอี๋นัว เขาก็ทำอย่างเบามือ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลย

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นมือของตัวเองทำแผลเสร็จแล้ว ก็รีบหดมือโดยเร็วพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ขอบคุณคุณมากนะคะ ทางที่ดีคุณควรกลับเข้าไปในงานก่อนเถอะค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวคุณจะโดนคุณนายเหลิ่งตำหนิได้นะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆลุกขึ้น เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ถ้าอย่างนั้นคุณสัญญาได้ไหมว่าคืนนี้คุณจะไม่ออกไป คุณพักผ่อนก่อน เรื่องพวกนั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้คุณค่อยไปจัดการต่อ!”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดสูดหายใจเข้าลึกๆ เธอไม่ได้ตอบกลับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้เธอกังวลและร้อนใจเป็นอย่างมาก เธอรู้ดีว่าผู้ชายอย่างฉู่หมิงเซวียนน่ารังเกียจขนาดไหน ถ้าหากฉู่หมิงเซวียนต้องการทำร้ายเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไม่มีทางสู้ได้อย่างแน่นอน

“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวผมจะช่วยคุณตามหาพวกเขา คุณมีเลขบัตรประชาชนของฉู่หมิงเซวียนและน้องสาวของคุณไหม? ผมสามารถหาคนช่วยหาข้อมูลของโรงแรม หลังจากนั้นคุณก็จะรีบตามไป”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้าตอบรับ:“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณหน่อยนะคะ ฉันมีเลขบัตรประชาชนของฉู่หมิงเซวียนค่ะ ฉันจะบอกคุณตอนนี้แหล่ะค่ะ……”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เม้มริมปากแล้วหันหลังกลับไป เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรแล้วครั้ง โทรสั่งงานเสร็จ ไม่เกินสองนาที มือถือของเหลิ่งเซ่าถิงก็สั่นขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองโทรศัพท์มือถือ ก็เงยหน้าไปมองทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“พวกเขาอยู่โรงแรมหวาถิง ห้อง1013 ผมจะออกไปกับคุณเดี๋ยวนี้……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ โทรศัพท์ของเขาดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ฟังเนื้อหาในโทรศัพท์ เขาก็ค่อยๆหน้าคิ้วขมวดขึ้น จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ได้ครับ คุณย่า ผมจะออกไปเดี๋ยวนี้ครับ”

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็วางสาย พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ผมจะให้รถส่งคุณไป แต่ว่าคุณห้ามไปมีเรื่องกับใครเด็ดขาด ผมจะส่งบอดี้การ์ดสองคนไปดูแลคุณ ถ้าคุณพบเจอเหตุการณ์อะไรก็ตามอย่าวู่วามเด็ดขาด ต้องปกป้องตัวเองก่อน แล้วค่อยคิดเรื่องอื่น ถ้าหากมีอันตรายเกิดขึ้นรีบโทรหาผม ตอนนี้ผมจะพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง

คุณอย่าแสดงอาการใดๆเพื่อให้ศัตรูดูออก และอย่าทำให้พวกเขารู้จุดอ่อนของเราได้……”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังมึนงงจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงคิดวางแผนรอบคอบมาก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงกำลังปกป้องเธออยู่ แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงปกปกป้องคนอื่นเป็นด้วยเหรอ? อีกทั้งกำลังปกป้องเธออยู่?

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเองจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง ถามกลับด้วยน้ำเสียงเบา:“เมื่อคืนนี้คุณ คุณทำ……”

เหลิ่งเซ่าถิงรีบหยุดทันที หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ทำหรือไม่ได้ทำอะไร?”

เวลานี้บนตัวของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกำลังตกอยู่ในอันตราย เพียงแค่เจี่ยนอี๋นั่วถามเรื่องเมื่อคืนขึ้น ถ้าอย่างนั้นก็จะเกิดสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหยุดชะงักทันที เธอหันหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ ฉันอยากถามคุณว่า เมื่อคืนนี้คุณนอนหลับดีไหมคะ ฉันตื่นขึ้นมาแล้วไม่เห็นคุณค่ะ กลัวว่าคุณจะไม่ได้พักผ่อน”

“ผมนอนหลับดีมาก คุณวางใจเถอะ ”เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เดินออกจากห้องไป

เมื่อเดินออกจากห้องเหลิ่งเซ่าถิงก็หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โยนทิ้งลงถังขยะ เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังคำตอบของเหลิ่งเซ่าถิง ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด แต่ว่าเวลานี้เรื่องของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ่งทำให้เธอปวดหัวสักมากว่า เจี่ยนอี๋นั่วรีบเก็บของ แล้วรีบเดินลงไป

พอเดินถึงชั้นล่าง เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังจัดเตรียมบอร์ดี้การ์ดและคนขับรถอยู่หน้าประตู เจี่ยนอี๋นั่วรีบขึ้นรถ และไปตามที่อยู่ที่เหลิ่งเซ่าถิงให้ไว้ นั่งรถไปจนถึงโรงแรมหวาถิง พอถึงโรงแรมเจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินลงจากรถ บอร์ดี้การ์ดก็ตามเจี่ยนอี๋นั่วลงจากรถเช่นกัน

พอเดินถึงหน้าห้อง 1013 เจี่ยนอี๋นั่วเคาะประตูเบาๆ ก็ได้ยินเสียงตอบรับจากในห้อง เสียงของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดขึ้นว่า:“ใครคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบคิ้วขมวด เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ควบคุมอารมณ์โกรธของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณผู้หญิงคะ ฉันมาส่งอาหารค่ะ”

“ค่ะ? หมิงเซวียนคุณสั่งอาหารไว้เหรอคะ?คุณนี้ช่างละเอียดรอบคอบจริงๆ ” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนพร้อมเปิดประตูไปด้วย

ในขณะที่เปิดประตูออก เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่หน้าประตูห้อง ก็รีบจะปิดประตูห้องทันที แต่ว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังไม่ทันจะปิดประตู บอร์ดี้การ์ดของเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบดันประตูไว้ เจี่ยนอี๋นั่วดันประตูห้อง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตกใจพูดขึ้นว่า:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมาที่นี่ได้อย่างไร?เธอต้องการทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเหลือบมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันจะทำหน้าที่ของพี่สาวคนหนึ่ง”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบเดินเข้าไปในห้องและเห็นผ้าปูที่เตียงที่ยับยู่ยี่ และยังเห็นฉู่หมิงเซวียนนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางอ่อนเพลีย เจี่ยวอี๋นั่วคิ้วขมวด พยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉู่หมิงเซวียน ฮุ่ยฮุ่ยเพิ่งจะเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่กี่ปี นี่คุณกล้ารังแกเธอเหรอ?”

ฉู่หมิงเซวียนห่อเสื้อคุมอาบน้ำ หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะพูดขึ้นว่า:“พวกเรายินยอมและสมัครใจทั้งสองฝ่าย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ? และอีกทั้งรังแกก็รังแกแล้ว และใช่ว่าจะรังแกเธอเป็นครั้งแรกสักเมื่อไหร่?ฮุ่ยฮุ่ย บอกพี่สาวของเธอสิ นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่ของพวกเราแล้ว?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหน้าแดง เดินถอยหลบ:“นี่……”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะจ้องมองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“พูดเสียงดังหน่อยสิ ดูท่าทางโกรธของพี่สาวเธอสิ เป็นเพราะอิจฉาเธอแน่ ๆ หรือเธอไม่อยากให้พี่สาวของเธออิจฉาเธอมากขึ้นกว่านี้เหรอ?”

“ฮึม หลายสิบครั้งแล้วใช่ไหม หมิงเซวียนอ่อนโยนต่อฉันมาก ”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยฟังสิ่งที่ฉู่หมิงเซวียนพูดออกมา เธอรีบเงยหน้าขึ้น และตั้งใจแกล้งพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงเม้มที่ริมฝีปาก หันหน้าจ้องมองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“เดี๋ยวฉันค่อยอบรมเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ค่อยหันหน้าไปมองทางฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ฉู่หมิงเซวียน คุณมาหลอกใช้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งแบบนี้ คุณนี่มันเลวอนาจารสุดๆ”

ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่ว ก็รีบหัวเราะขึ้นมาทันที เดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วกระซิบที่ข้างหู และมีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วที่ได้ยิน พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ดูท่าทางของคุณในตอนนี้ ผมคิดว่าในสิ่งที่ผมทำมาทั้งหมดมันทำถูกต้องแล้ว รู้สึกโกรธมาก โมโหมากใช่ไหมล่ะ? ผมจะบอกคุณว่า ผมกำลังมีอะไรกับน้องคุณไปด้วยและนึกถึงหน้าคุณไปด้วย? ผมรู้สึกผิดมากเมื่อตอนที่ผมอยู่กับคุณ ผมไม่ได้มีอะไรกับคุณ ดวงตาของเธอเหมือนกับคุณมากๆ ผมนอนกับเธอ ก็เหมือนกับว่าผมกำลังนอนอยู่กับคุณ เพียงแต่ว่าน้องสาวของคุณมีความต้องการทางเพศสูงและจริตจะก้านมาก เทียบกับคุณแล้วเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง!”

ถูกขนามนามว่า “เพื่อนรัก” เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจะปฏิเสธเหอหลวนเล่อเลย เหอหลวนเล่อก็เดินจากไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วก็เอนตัวลงนอนที่เตียงคนเดียว ค่อยๆหลับตาพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เพื่อนรักเหรอ?”

ตั้งแต่เล็กจนโตเจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยมีเพื่อนรักสักคน ในสมัยที่เรียนอยู่มัธยมเธอโดนเพื่อนๆบูลลี่ พอเข้ามหาวิทยาลัยเธอก็ยุ่งอยู่กับงานภายในบริษัท และไม่มีเวลาคลุกคลีกับเพื่อนๆสักเท่าไหร่ แล้วจะเอาเวลาไหนไปหาเพื่อนที่รู้ใจล่ะ พอเรียนจบมหาวิทยาลัยชีวิตก็เดินเข้าสู่สังคม เจี่ยนอี๋นั่วเคยมีเพื่อนรักนะ นั่นก็คือเฉิงซานซาน เซิงซานซานเป็นคนที่เข้าหาเธอก่อนเอง แล้วก็เป็นคนที่หักหลังเธออีกหลายครั้งด้วย

และในเวลานี้เหอหลวนเล่อก็เป็นอีกคนที่หลงรักเหลิ่งเซ่าถิงมาก จะเป็นเพื่อนรักกันได้อย่างไรกันในเมื่อพวกเราหลงรักผู้ชายคนเดียวกัน?

เจี่ยนอี๋นั่วเอามือก่ายหน้าผากและหลับตา จิตใจกระสับกระส่ายสักครู่ กำลังนึกขึ้นได้ว่าจะโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง โทรศัพท์โทรออกไปหลายครั้งกว่าจะมีคนรับสาย หลังจากที่เฮ่อเยี่ยนหงรับโทรศัพท์ เสียงปลายสายรับด้วยความดีใจ พูดตอบกลับอย่างไว:“อี๋นั่ว เธอโทรมาดึกขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของเธอหรือเปล่า?”

“ทำไมเหรอคะ? คุณหวังอยากให้เกิดเรื่องกับคุณพ่ออย่างนั้นเหรอคะ ระยะนี้เขาดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานอาการคงกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมค่ะ “ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา

เฮ่อเยี่ยนหงหยุดชะงักไปชั่วครู่ แล้วค่อยพูดต่อว่า:“อี๋นั่ว นี่เธอกำลังเข้าใจฉันผิดอยู่นะ ฉันไม่ได้คิดอะไรแบบนั้น ฉันคิดว่าอาการคุณพ่อของเธอป่วยหนักขนาดนี้ มีชีวิตอยู่ต่อไปก็ทรมานเปล่าๆ และอยู่ไปก็ไม่มีศักดิ์ศรี ยังทำให้คนที่อยู่ต้องลำบากอีก ฉันได้ข่าวมาว่าในต่างประเทศสถานที่แห่งหนี่ง การที่ยิมยอมที่จะตาย มันถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าหาก……”

“คุณรู้ตัวไหมคะว่าคุณกำลังพูดอะไรอยู่?” หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเฮ่อเยี่ยนหงก็รีบพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห:“ถึงแม้คุณจะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของพ่อฉัน คุณก็ขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์คนหนึ่งไหมคะ? คุณพูดแบบนี้ออกมาได้อย่างไรกัน? คุณพ่อของฉัน ฉันจะเป็นคนดูแลเอง และเขาจะไม่รบกวนชีวิตของคุณแน่นอนค่ะ ต่อไปนี้อย่าให้ฉัรได้ยินคำพูดแบบนี้อีก”

เฮ่อเยี่ยนหงพึมพำพูดว่า:“นี่เพราะฉันหวังดีกับเธอหรอกนะ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็จะได้แบ่งสมบัติเร็วยิ่งขึ้นไม่ใช่เหรอ? และถ้ามันเป็นเธอ เธอจะยอมเป็นภรรยาของคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนบ้า และเป็นเจ้าชายนิทราอย่างนั้นหรือ? ฉันทนมาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าเก่งมากแล้ว มีผู้หญิงคนไหนสามารถทำอย่างฉันได้บ้าง?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดนวดขมับของตัวเองพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณวางใจเถอะค่ะ ทรัพย์สมบัติพวกนั้น ฉันไม่มีวันให้มันตกไปอยู่ในมือของคุณง่ายๆหรอก ถ้าคุณอยากทำเรื่องหย่าก็รีบไปดำเนินการเดี๋ยวนี้เลยค่ะ ฉันสามารถช่วยเหลือคุณได้”

“ถ้าหลังจากที่หย่าร้างแล้ว ฉันจะได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่? ฉันได้ยินฮุ่ยฮุ่ยเล่าว่าบริษัทตอนนี้ธุรกิจกำลังไปได้สวย ฉันและฮุ่ยฮุ่ยก็มีผลประโยชน์ไม่น้อย ควรจะได้ส่วนแบ่งบ้างสิ “เฮ่อเยี่ยนหงรีบพูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“เวลานี้สมองของคุณคิดแต่เรื่องเงินเท่านั้นเองหรือ? ฉันจะบอกอะไรคุณไว้นะ ถ้าหากทนายของคุณเก่งมากพอ ถ้าคิดว่าสามารถชนะคดีได้ ถ้าอย่างนั้นก็ลองดูค่ะ ลองดูซิว่าพวกเขาจะเอาส่วนแบ่งจากตระกูลเจี่ยนไปได้เท่าไหร่กัน”

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดแบบนี้ ก็รีบเปลี่ยนน้ำเสียงพูดด้วยน้ำเสียงเบาทันที:“เธอก็อย่าเข้าใจผิดแบบนี้สิ ฉันก็ไม่ได้หมายความอย่างที่เธอคิด ขึ้นโรงขึ้นศาลอะไรกัน เราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันมันช่างเป็นเรื่องที่ไร้สาระเลยจริงๆ?”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่อยากมีเรื่องกับผู้หญิงอย่างเฮ่อเยี่ยนหงถามกลับด้วยน้ำเสียงเบา:“ในสิ่งที่พูดเมื่อกี้นี้:“ ฮุ่ยฮุ่ยพูดว่าธุรกิจของบริษัทกำลังไปได้สวย? แล้วฮุ่ยฮุ่ยรู้ได้อย่างไหร่ว่าธุรกิจของบริษัทกำลังไปได้สวยคะ? ตอนนี้เธอกำลังทำเรื่องอะไรอยู่กันแน่?”

เฮ่อเยี่ยนหงหัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจ พอหัวเราะได้สักพัก ค่อยพูดต่อว่า:“อี๋นั่ว ฉันไม่ได้ว่าเธอนะ เธอลองคิดดูดีๆนะการใช้ชีวิตแบบผู้หญิงอย่างเธอมันจะมีความหมายอะไร? เธอควรเหมือนฮุ่ยฮุ่ยแบบนั้นดีกว่านะ เธอไม่ใช่ถูกผู้ชายคนที่ชื่อว่าฉู่หมิงเซวียนทอดทิ้งหรอกเหรอ? เธอรู้อะไรไหมตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนดีต่อฮุ่ยฮุ่ยขนาดไหน ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมสุดหรูและของมีค่าให้กับฮุ่ยฮุ่ยมากมาย เขารักและเอ็นดูฮุ่ยฮุ่ยมาก ถ้าจะให้ฉันพูดนะ เธอคุยจะเรียนรู้จากฮุ่ยฮุ่ยให้มากกว่านี้ ถ้าไม่อย่างนั้นชาตินี้เธอคงขึ้นคานแน่ๆ!”

“ฉู่หมิงเซวียน?”เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด:“คุณรู้ไหมว่าฉู่หมิงเซวียนเป็นคนแบบไหน? เป็นเพราะเขาเกือบทำให้ตระกูลเจี่ยนของเราล้มละลาย? คุณรู้ได้อย่างไรว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกำลังคบอยู่กับฉู่หมิงเซวียน ทำไมคุณถึงไม่ขัดขวาง? หรือคุณอยากเห็นเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยตกนรกทั้งเป็น ? ฉู่หมิงเซวียนเป็นคนที่ไม่มีหัวใจ เขาเป็นคนเยือกเย็นมาก เดิมทีเฉิงซานซานก็เป็นผู้หญิงของเขา แล้วยังมีลูกกับเขา แต่ไม่ทันไรเขาก็ทำให้เฉิงซานซานเข้าคุก ผู้ชายแบบนี้ไม่สมควรเป็นคนด้วยซ้ำ? คุณยังกล้าให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคบกับเขาอีกหรือ?”

เฮ่อเยี่ยนหงหัวเราะพูดขึ้นว่า:“อี๋นั่วจ๊ะ เธออย่าทำตัวเหมือนกับว่าไม่ได้กินองุ่นแต่กลับบอกว่าองุ่นเปรี้ยวได้ไหม? ฉันจะพูดอะไรให้ฟังนะ ผู้ชายก็เป็นแบบนี้ทุกคนแหละ สำหรับผู้หญิงที่ตัวเองรักก็จะทุ่มเทแบบนี้แหละ และสำหรับผู้หญิงที่ตัวเองเกลียดนั้น จะใส่ใจทุ่มเททำไมเธอว่าจริงไหม ?อี๋นั่ว ถ้าเธอมีเวลาก็หาเวลาแต่งตัวบ้างนะ ฉันกลัวว่ารอเวลาที่ฮุ่ยฮุ่ยแต่งงานเมื่อไหร่ เธอก็ยังขายไม่ออก ถ้าอย่างนั้นมันจะขายขี้หน้าขนาดไหน?”

“เฮ่อเยี่ยนหง คุณจะรู้สึกผิดในสิ่งที่คุณพูดไว้ในวันนี้แน่นอน ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะมองฉันยังไง แต่ผู้ชายอย่างฉู่หมิงเซวียนพึ่งพาไม่ได้ ที่คุณทำอยู่มันเป็นการทำร้ายฮุ่ยฮุ่ยทางอ้อม ตอนนี้ฮุ่ยฮุ่ยอยู่ที่ไหน? ให้เธอรับโทรศัพท์เดี๋ยวนี้!” เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโมโหมาก

เฮีอเยี่ยนหงตกใจกับเสียงโมโหของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอรีบพูดว่า:“ให้ตายเถอะ เธอจะโมโหขนาดนี้ทำไมกัน? และที่สำคัญคืนนี้ฮุ่ยฮุ่ยไม่อยู่ เธอออกไปเดทแล้ว”

“ออกไปกับฉู่หมิงเซวียนแล้วเหรอ?”เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดพูดขึ้น

เฮ่อเยี่ยนหงหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ใช้แล้ว หมิงเซวียนกำลังพาฮุ่ยฮุ่ยไปทานอาหารฝรั่งเศสจ๊ะ และยังซื้อของให้ฉันหลายอย่างอีกด้วย เขาเป็นเด็กที่น่ารักมากจริงๆ ของขวัญที่ซื้อให้ฉันมันถูกใจฉันมากจริงๆ เสื้อโค้ทหนังเสือดาวนี้จับแล้วนุ่มมากมาย……”

ยังไม่ทันรอเฮ่อเยี่ยนหงพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็วางสายทันที กัดฟันพร้อมด่าว่า:“อีโง่!”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ค่อยใส่ใจเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยสักเท่าไหร่ เป็นเพราะว่าเธองานยุ่งมาก และต้องดูแลคุณพ่อ แล้วยังต้องรับมือกับคนของตระกูลเหลิ่งอีก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ไม่มีเวลาดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และประเด็นสำคัญหลักๆแล้วก็คือ อย่างน้อยเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็มีเฮ่อเยี่ยนหงแม่ผู้ให้กำเนิด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเฮ่อเยี่ยนหงถึงจะไม่ดียังไง แต่คาดไม่ถึงว่าเฮ่อเยี่ยนหงหวังแค่ของเล็กๆน้อยๆจากฉู่หมิงเซวียนเท่านั้น ก็ยินยอมให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคบกับฉู่หมิงเซวียนแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด สูดหายใจเข้าลึกๆ รีบลุกไปเปิดตู้เสื้อผ้าเตรียมเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอจะออกไปหาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย และพาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยออกจากฉู่หมิงเซวียน ถ้าไม่อย่างนั้นสักวันเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยคงถูกฉู่หมิงเซวียนทำร้ายแน่ๆ!

เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนชุดไปด้วย และโทรหาฮุ่ยฮุ่ยและฉู่หมิงเซวียนไปด้วย แต่ว่าก็ไม่มีใครรับสาย เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวพูดว่า:“พวกเขากำลังทำอะไรกันอยู่แน่? ทำไมถึงไม่มีใครรับสายสักคนเลย?”

ในห้องพักสุดหรูของโรงแรม ฉู่หมิงเซวียนมองเห็นมือถือสั่นอยู่บนโต๊ะทั้งสองเครื่อง สายที่โทรเข้ามาเป็นคนคนเดียวกัน

ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆหรี่ตา ใบหน้าแสดงออกด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเดินออกมาจากห้องน้ำ เห็นฉู่หมิงเซวียนท่าทางยิ้มแย้ม เธอรีบก้าวเดินไปกอดหลังของฉู่หมิงเซวียนหัวเราะแล้วถามว่า:“หมิงเซวียน คุณกำลังหัวเราะอะไรอยู่เหรอคะ? ทำไมถึงดูมีความสุขขนาดนี้?”

ฉู่หมิงเซวียนหันหลังไปกอดเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไว้ เอาเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกอดไว้ในอ้อมกอด หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ผมกำลังหัวเราะที่มีคุณอยู่ในชีวิตของผมนี่เป็นเรื่องที่โชคดีมากจริงๆ นานมากแล้วที่ผมไม่ได้มีความสุขมากขนาดนี้”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงอ้อน:“คุณนี่น่าเกลียดจริงๆเลย หาคำพูดดีๆมาแกล้งหลอกให้ฉันดีใจตลอด”

ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือเข้าไปในผ้าเช็ดตัว แล้วค่อยๆลูบไปทั่วร่างกายของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ มีอีกหลายอย่างที่ผมจะทำให้คุณมีความสุข?”

“คุณ……หมิงเซวียน……”จากที่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยถูกฉู่หมิงเซวียนสัมผัสไปทั่วร่าง เธอค่อยๆซบไปอยู่ในอ้อมกอดของฉู่หมิงเซวียน

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองดวงตาของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมันช่างเหมือนกันกับเจี่ยนอี๋นั่วมากๆ ดวงตาของเขามืดลง รีบดันเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยนอนลงบนเตียง เมื่อเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเอามือไปสวมกอดที่คอฉู่หมิงเซวียน ฉู่หมิงเซวียนพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เจี่ยน……”

ชื่อ“อี๋นั่ว”สองคำนี้ถูกซ่อนเก็บไว้ภายในจิตใจ……

เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว กำลังจะเดินออกจากห้อง ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงเดินกลับมาทางนี้ เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามขึ้น:“คุณจะออกไปไหน? ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบตอบกลับ:“ฉันกำลังจะออกไปหาฮุ่ยฮุ่ย ตอนนี้เธออยู่กับฉู่หมิงเซวียน เธอกำลังตกอยู่ในอันตราย”

“ฉู่หมิงเซวียน? คนรักเก่าของคุณคนนั้นเหรอ? เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงเม้มริมฝีปาก จากนั้นก็ค่อยๆพยักหน้า:“ถูกต้อง เป็นเขา ที่เขาพยายามเข้าใกล้ฮุ่ยฮุ่ยเป็นเพราะต้องการใช้ฮุ่ยฮุ่ยเป็นเครื่องมือ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา ถ้าหากถูกเขาหลอก……”

“คุณรู้เหรอว่าต้องไปหาที่ไหน?” เหลิ่งเซ่าถิงถาม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“ฉันไม่รู้ แต่ฉันจะไปหาตามโรงแรมทีละแห่ง ฉัน……”

“คุณแน่ใจเหรอว่าอยู่โรงแรมในตัวเมือง?” เหลิ่งเซ่าถิงถามต่อเนื่อง

“ ฉัน……ฉันไม่แน่ใจ เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าต่อเนื่อง

เหลิ่งเซ่าถิงคว้าข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว และพาเจี่ยนอี๋นั่วเดินกลับเข้าห้องไป หลังจากที่ปิดประตู ก็จับไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“ตอนนี้คุณต้องใจเย็นก่อน พวกเขาเป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันหรือไม่ ช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี รอคุณไปหาตามโรงแรมทีละแห่งทีละแห่ง พวกเขาอาจจะออกจากโรงแรมแล้วก็เป็นได้ ตอนนี้ก็ดึกแล้วมาก คุณออกไปตามหาก็เสียแรงเปล่า”

“แต่ว่าฉู่หมิงเซวียนก็ไม่ใช่คนดี ที่เขาเข้าใกล้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเพราะมีจุดประสงค์แอบแฝงไว้!”เจี่ยนอี๋นั่วตาแดงก่ำ

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ต้องมีจุดประสงค์อะไรแฝงไว้แน่นอน แล้วจะทำยังไงล่ะ? วันนี้ถึงคุณทำอะไรก็ทำไม่ได้ เอาเวลาไปพักผ่อนก่อนดีกว่า ให้มีสติมากว่านี้ พรุ่งนี้ค่อยคิดหาวิธีต่อไป! ตอนนี้คุณต้องใจเย็น ถ้าหากคุณใจร้อน นั่นก็เท่ากับว่าคุณให้โอกาสฉู่หมิงเซวียน!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองดูท้องมืดสนิท เอาแต่ถอนหายใจเฮือกๆใช้แรงหลับตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ได้ค่ะ ต้องใจเย็น ฉันจะพยายามทำใจให้เย็นลงค่ะ

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังมองไปทางเหอหลวนเล่อหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ทุกอย่างที่หลิวจื่อซิงพูดไม่ใช่เรื่องโกหกทั้งหมดหรอก ฉันแอบรักเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ”

เหอหลวนเล่อคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“อะไรนะ? นี่เธอแอบหลงรักพี่เซ่าถิงจริงๆเหรอเนี่ย”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพยักหน้าตอบรับ:“แต่ว่าระหว่างฉันและเขามันเป็นไปไม่ได้หรอก การที่หลงรักก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากหรอก คุณหนูคะ ถ้าหากคุณหนูแอบรักเหลิ่งเซ่าถิง ต่อไปต้องระมัดระวังมากกว่านี้นะคะ ผู้หญิงที่หลงรักเหลิ่งเซ่าถิงมีมากมาย ฉันดูออกค่ะว่าคุณหนูเหอไม่ใช่ผู้หญิงที่เลวร้าย คุณหนูอย่าถูกใครใช้เป็นเครื่องมือหลอกใช้อีกนะคะ หลังจากที่คุณหนูพยุงฉันกลับ ก็ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเถอะค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก เมื่อกี้แค่ต้องการให้ทุกคนเชื่อเลยต้องแกล้งแสดงออกมาเท่านั้น”

“นี่เธอแกล้งทำเหรอ?” เหอหลวนเล่อหน้าคิ้วขมวด และคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“ทำไมเธอถึงวางแผนได้ตลอดเวลา จริงๆเลย ทำไมถึงไม่จริงใจบ้างนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหอหลวนเล่อทันใดนั้นก็นึกถึงน้องสาวเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยขึ้นมา เธอพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าหากไม่วางแผน วันนี้ฉันและคุณหนูคงตบตีกันแน่นอน และเป็นคนทำลายงานเลี้ยงของคุณนายเหลิ้งแน่นอน คุณหนูเป็นคนที่ซื่อมาก แต่โดนหลอกใช้ง่าย ถ้าเป็นแบบนี้จะเป็นอันตรายต่อคุณหนูและครอบครัวของคุณหนูนะคะ คำพูดของฉันในตอนนี้ คุณหนูอาจไม่ชอบฟัง แต่เป็นเพราะคุณหนูทำให้ฉันนึกถึงน้องสาวของฉัน ฉันเลยอดไม่ได้ที่จะพูดค่ะ ขอให้คุณหนูอย่าถือสาเลยนะคะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงช่วงเวลนี้ไม่ได้ข่าวคราวของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเลย และไม่รู้ว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยโดนตามใจจนเสียคน และความสัมพันธ์ระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยที่เป็นแบบนี้ นั่นเป็นเพราะเฮ่อเยี่ยนหงที่ยั่วยุทำให้ห่างเหิน เวลานี้เห็นเหอหลวนเล่อมีนิสัยคล้ายกันกับน้องสาวของตัวเอง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ว่าจะถูกคนหลอกใช้และทำให้คนอื่นเดือดร้อนไหม เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจจะติดต่อกับเฮ่อเยี่ยนหง เพื่อเช็คดูว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเป็นอย่างไรบ้าง

ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้วล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกผิดต่อคุณพ่อมาก เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยห่างเหินกันมากไป และเจี่ยนอี๋นั่วก็ใส่ใจเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยน้อยเกินไป

เหอหลวนเล่อเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงงอน:“ฉันรู้คะว่าคุณหวังดี ฉันก็ไม่ใช่คนที่ไร้ซึ่งเหตุผลนะคะ ทุกอย่างเป็นผู้หญิงเลวอย่างหลิวจื่อซิงค่ะ มันร้ายกาจจริงๆ อยากยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ฉันไม่ยอมให้มันสมหวังหรอก!”

เหอหลวนเล่อพูดถึงนี่ก็หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เม้มริมฝีปากพูดว่า:“ฉันไม่ชอบเวลาคนอื่นมารักพี่เซ่าถิงของฉัน แต่ถ้าหากเป็นเธอ ถ้าอย่างนั้นฉันจะละเว้นให้หนึ่งคนละกัน เพราะถึงยังไงเธอก็รู้อยู่เต็มอกว่าพี่เซ่าถิงถึงยังไงมันก็เป็นไปไม่ได้ มา ฉันพยุงเธอกลับ เมื่อกี้นี้เป็นครั้งแรกที่มีคนใช้แววตาชื่นชมฉัน ทั้งหมดเป็นความดีความชอบของเธอเลยนะเนี่ย ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอทุกคนคงมองว่าฉันทำเรื่องไม่ดีแน่นอน ถึงแม้นิสัยของฉันไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงมีแต่คนนำเรื่องวุ่นวายมาให้รำคาญใจตลอด! นี่ฉันเกือบเป็นแพะรับบาปแทนแล้ว!”

เหอหลวนเล่อพูดจบ ก็พยุงเจี่ยนอี๋นั่วและปากก็บ่นพึมพำไม่หยุดตลอดทาง แล้วเอาสิ่งที่ตัวเองพบเจอเรื่องซวยๆเล่าให้เจี่ยนอี๋นั่วฟังอีกหนึ่งรอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ฟังตามมารยาท รู้อยู่เต็มอกว่าเหอหลวนเล่อนิสัยไม่ค่อยดีและคิดไม่ค่อยเป็นและโดนคนหลอกใช้ง่ายเหมือนกับอาวุธ“ปืน”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วถูกเหอหลวนเล่อพยุงถึงห้อง ก็รีบพยักหน้าตอบรับเบาๆ หัวเราะและพูดกับเหอหลวนเล่อว่า

:“คุณหนูเหอคะ ฉันจะพักผ่อนแล้วนะคะ”

เหอหลวนเล่อกำลังมองสำรวจไปรอบๆห้อง เบิ่งตาโตพูดขึ้นว่า:“นี่เป็นห้องนอนของพี่เซ่าถิงเหรอคะ? มันเยี่ยมจริงๆเลยค่ะ ฉันยังไม่มีโอกาสได้เข้าห้องนอนพี่เซ่าถิงเลยสักครั้ง ที่แท้ห้องของเขาเป็นแบบนี้นี่เอง!”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ เตือนเหอหลวนเล่อด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ฉันเตรียมจะพักผ่อนแล้ว คุณกลับไปเถอะค่ะ?”

เหอหลวนเล่อหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“งานราตรีก็ไม่มีอะไรแล้ว ฉันชอบที่จะอยู่ที่นี่มากกว่า อยู่เป็นเพื่อนคุณ และยังสามารถสำรวจห้องของพี่เซ่าถิงอีกด้วย คุณคงยังไม่รู้ว่าน้าของฉันก็แต่งงานกับคนตระกูลเหลิ่ง แต่แค่แต่งกับคนที่ไม่ค่อยมีอำนาจและบทบาทในตระกูลเหลิ่งสักเท่าไหร่ คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งร่ำรวยขนาดนี้ และเหลิ่งเซ่าถิงก็เป็นคนที่เพียบพร้อมขนาดนั้น ในเวลานั้นฉันหาทุกวิถีทางเพื่อมาคฤหาสน์เหลิ่งให้ได้สักครั้งนึงในชีวิต และนี่ฉันก็ได้มาจริงๆ ในสมัยนั้นพี่เซ่าถิงยังอายุแค่17ปีเอง ยังเป็นวัยรุ่นอยู่……”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วอยากให้เหอหลวนเล่อกลับไปเร็วๆ แต่เมื่อได้ยินเหอหลวนเล่อพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อสมัยยังเป็นเด็กเจี่ยนอี๋นั่วก็เปลี่ยนความคิดทันที เธอไม่เคยรู้เรื่องราวในวัยเด็กของเหลิ่งเซ่าถิงเลย เธอรู้สึกอยากรู้มาก เธอเงียบและตั้งใจฟังต่อเนื่อง

เมื่อเหอหลวนเล่อนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงในตอนนั้น แววตาก็เปล่งประกายขึ้น สองมือกุมไว้ตรงหน้าอกเธอย้อนเรื่องราวความทรงจำที่งดงามในอดีต ใบหน้าแสดงออกมาด้วยร้อยยิ้มที่มีความสุขเต็มเปี่ยม:“ตอนนั้นฉันยังจำได้ฉันนั่งเล่นอยู่ในห้องโถงคฤหาสน์ และกำลังพูดคุยกับคุณนายเหลิ่งและพวกเขา สมัยที่ฉันยังเด็กฉันมีหน้าตาที่น่ารักน่าชังมาก คนเฒ่าคนแก่ก็ชอบฉันมากเป็นพิเศษ ทันใดนั้นในระหว่างที่ทุกคนกำลังพูดอยู่ก็หยุดพูดทันที และทุกคนก็มองไปที่บันได และเขาก็เดินลงมาจากบันได เขาในตอนนั้นเหมือนพระเอกที่หลุดออกมาจากในการ์ตูน หลังจากที่ฉันเติบโตฉันได้ดูการ์ตูนมาไม่น้อย พระเอกที่อยู่ในการ์ตูนถ้าหากกลายเป็นคนจริงๆได้ เขาก็คือพระเอกแบบในการ์ตูน วันนั้นเขาสวมเสื้อยืดคอเต่าสีดำและกางเกงขายาวสีดำ ผิวของเขาก็ขาวเป็นพิเศษ ทำให้เขาดูสะอาดเป็นพิเศษ เขาไม่ได้มองไปใครเลย และเดินตรงไปที่คุณนายเหลิ่ง และค่อยๆหัวเราะกับคุณนายเหลิ่ง … "

เหอหลวนเล่อเล่าถึงนี่ ก็หยุดชะงักชั่วขณะ เหมือนในความทรงจำนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่เหอหลวนเล่อก็เล่าต่อ:“ความรู้สึกแบบนั้นนะ ก็เหมือนหิมะที่กำลังจะละลาย และในเวลานั้นฉันคิดว่า ถ้าหากฉันสามารถทำให้พี่เซ่าถิงหัวเราะบ้างควรจะดีไม่น้อย แต่ว่า แต่ว่าให้โอกาสฉันได้เป็นคนตั้งครรภ์แทนก็ไม่ได้ คุณนายเหลิ่งไม่ยอมโอกาสฉัน เป็นเพราะว่าฉันไม่ได้อยู่ในสายตาของพวกเขาเลยเหรอ? ให้ตายเถอะ ในเวลานั้นช่วงที่พี่เซ่าถิงเกิดอุบัติเหตุนั้น หลิวจื่อซิงก็หนีจากไปทันที เธอไม่ได้รักพี่เซ่าถิงอย่างจริงใจ มีเพียงฉันเท่านั้น ฉันรักพี่เซ่าถิงจริงๆ ฉันเคยอ้อนวอนขอคุณนายเหลิ่งแล้ว ฉันสามารถดูแลพี่เซ่าถิงไปตลอดชีวิต ฉันอยากแต่งงานกับพี่เซ่าถิงคนเดียวเท่านั้น ถึงแม้เขาจะกลายเป็นเจ้าชายนิทราฉันก็ไม่แคร์ แต่เมื่อพี่เซ่าถิงฟื้นคืนมา กลับยังเรียกหาหลิวจื่อซิง เธอว่ามันน่าโมโหไหมล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ใช่สิ มันไม่ยุติธรรมจริงๆ”

“ก็ใช่นะสิ……”เหอหลวนเล่อน้ำเสียงโมโห ฮึม เม้มริมฝีปากบ่นว่า:“ทำไมถึงไม่เข้าใจความคิดของฉันนะ ฉันเอ่ยเรื่องนี้กับคนอื่น พวกเขาก็ว่าฉัน แปลกใจจริงๆเลย การที่แอบรักใครสักคนมันผิดตรงไหน หรือเป็นเพราะว่าฉันรักพี่เซ่าถิง ทุกคนล้วนคิดว่าฉันเพ้อฝันไปเหรอ แต่สำหรับเธอก็น่าสงสารนะ เกือบได้ตั้งครรภ์มีลูกให้กับพี่เซ่าถิงแล้ว ตอนนี้กลับต้องดูพี่เซ่าถิงควงผู้หญิงคนอื่นเต้นรำต่อหน้าต่อตา ในใจเธอก็คงเสียใจไม่น้อยใช่ไหม ถ้าเธอเสียใจเธอก็ต้องระบายมันออกมานะ อย่าไปเก็บเอาไว้ พวกเราสามารถเล่าสู่กันฟังได้นะ ฉันยอมให้เธอรักพี่เซ่าถิง เธอวางใจเถอะ ฉันไม่โกธรเธอหรอก ถ้าหากจะเป็นภรรยาของพี่เซ่าถิงในอนาคต ควรต้องเป็นคนที่ใจกว้าง ฉันกำลังพยายามทำอยู่”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังเหอหลวนเล่อพูดแบบนี้แล้ว ฝืนยิ้มออกมากและพูดกับเหอหลวนเล่อด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ต่างกับเธอไม่เท่าไหร่หรอก ที่ฉันรักเขาเป็นเพราะเขามีรูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลา……”

“ฉันไม่ไม่ได้รักพี่เซ่าถิงที่รูปลักษณ์หน้าตาที่หล่อเหลา แต่ฉันรู้สึกว่าในแววตาของเขาดูโดดเดี่ยวเดียวดาย” เหอหลวนเล่อรีบตัดบทพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพยักหน้า:“อือ ฉันเข้าใจแล้ว”

เหอหลวนเล่อเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากด้วยสีหน้าไม่พอใจ:“เธอเป็นอะไรเหมือนกำลังหลอกเด็กอยู่ยังไงอย่างนั้นแหละ ใช่แล้ว……”

เหอหลวนเล่อหันหลังเหลือบมองในห้องพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ในห้องนี้มีแค่เตียงเดียวเหรอ เธอนอนกับพี่เซ่าถิงยังไงอ่ะ หรือว่าเธอนอนเตียงเดียวกันกับพี่เซ่าถิง?”

เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็พยักหน้า:“ใช่สิ ก็ตอนนี้พวกเราเป็นสามีภรรยากันนี่”

“จริงเหรอ?ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”เหอหลวนเล่อรีบแตะที่จมูกและตาแดงก่ำ

และเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหอหลวนเล่อคงไม่ได้ที่เธอและเหลิ่งเซ่าถิงนอนด้วยกัน กำลังจะแสดงอาการไม่พอใจออกมา แต่คาดไม่ถึง เหอหลวนเล่อกลับพูดว่า:“โอ้ พระเจ้า นี่เธอและเขานอนเตียงกันเหรอ เขาไม่ได้รักเธอเลย เธอคงผิดหวังไม่น้อยสินะ พี่อี๋นั่วคะ พี่นี่น่าสงสารกว่าหนูอีกนะคะ พูดอย่าคิดมากนะคะ”

เหอหลวนเล่อแสดงอาการเห็นอกเห็นใจเจี่ยนอี๋นั่วมาก และเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณที่คุณเห็นอกเห็นใจนะคะ ตอนนี้ฉันต้องการพักผ่อนแล้ว ดังนั้นคุณควรกลับไปได้แล้วค่ะ นิสัยเหลิ่งเซ่าถิงค่อนข้างแปลกประหลาด และคิดว่าคงไม่ชอบให้คนอื่นมาอยู่ในห้องของเขานานเกินไป”

“ค่ะ จริงเหรอคะ เวลาที่พี่เซ่าถิงโมโหมันช่างน่ากลัวจริงๆด้วย”เหอหลวนเล่อรีบลุกขึ้น ตื่นตระหนกและเตรียมออกจากห้อง

เดินถึงหน้าประตูห้อง เหอหลวนเล่อหันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะพูดขึ้นว่า:“พี่อี๋นั่วคะ พวกเราถูกผู้หญิงอย่างหลิวจื่อซิงใส่ร้ายซะแล้ว พวกเราถือว่าเป็นเพื่อนกันหรือยังคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเหอหลวนเล่อคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ก็ค่อยๆพยักหน้าตอบรับ:“ถือว่าใช่มั้ง”

เหอหลวนเล่อรีบหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ถ้าอย่างนั้นก็ดีสิคะ ฉันไม่เคยมีเพื่อนสักคน ก่อนหน้านี้คนที่ฉันรู้จักก็ไม่ได้อยากให้ฉันเป็นเพื่อนพวกเขาจริงๆ โชคดีที่มีเธอ ถ้าอย่างนั้นต่อไปพวกเราก็คือว่าเป็นเพื่อนรักกันแล้วนะคะ?”

“เพื่อนรัก?มันพัฒนาเร็วไปไหม? อันที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเรามันก็ไม่ได้ใกล้ชิดสนิทสนมกันขนาดนั้นหรอกมั้ง อีกทั้งพวกเราต่างก็รักเหลิ่งเซ่าถิง คุณควรไม่ชอบเพื่อนรักอย่างฉันที่หลงรักผู้ชายคนเดียวกันหรอก?” เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าทำไมทันใดนั้นตัวเองก็กลายเป็นเพื่อนรักกับเหอหลวนเล่อแล้ว รีบหัวเราะพร้อมอธิบาย

“วางใจเถอะ ฉันรับได้” เหอหลวนเล่อหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ฉันรู้ว่าคุณเป็นคนที่ชอบคนประจบ แต่ว่าคุณโปรดวางใจฉันเป็นคนที่เข้าถึงได้ง่าย”

แต่ว่าฉันแคร์……

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและคิดในใจ เธอรีบพูดว่า:“แท้จริงแล้วฉัน……”

แต่ว่ายังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะได้พูดจบ เหอหลวนเล่อก็รีบหัวเราะและเดินออกจากห้องไป:“โอกาสหน้าเรานัดกันไปดื่มชากันนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงผู้หญิงคนนั้น รีบหยุดเดินทันที คิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ถ้าหากคุณผู้หญิงท่านนี้ไม่อยากไปห้องน้ำ ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

ผู้หญิงคนนั้นยื่นมือออกมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วไว้ หัวเราะพร้อมพูดว่า:“ทำไมถึงรีบไปล่ะ? ฉันรู้ว่าเธอเป็นภรรยาของพี่ชายเหลิ่งเซ่าถิง นั่นก็หมายความว่าเธอก็มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเหลิ่ง เธอกล้าเสียมารยาทกับฉันเหรอ? ฉันจะบอกให้เธอรู้เอาไว้นะเจี่ยนอี๋นั่ว ภรรยาของพี่เซ่าถิงมีแค่ฉันเหอหลวนเล่อคนเดียวเท่านั้น” ส่วนคนอื่นก็เป็นแค่ของเล่นชั่วคราวเท่านั้น ทางที่ดีช่วงนี้เธอสงบเสงี่ยมเจียมตัวซะ อย่าไปคิดวางแผนจับพี่เซ่าถิงเด็ดขาด ถ้าไม่อย่างนั้นฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”

“คนที่คุณควรจะสนใจไม่ใช่ฉัน” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันยังเหลือเวลาอีกไม่นาน พอถึงเวลานั้นฉันจะไปจากตระกูลเหลิ่งแน่นอน” และฉันจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป และคุณไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลากับคนอย่างฉันหรอก และทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเก็บความทรงจำแย่ๆแบบนี้ทำไม? ไม่ว่าผู้ชายคนนี้จะมีนิสัยยังไง พวกเขาคงไม่อยากมีภรรยาที่ดูถูกคนอื่นโดยไม่มีเหตุผลหรอกนะ”

เหอหลวนเล่อ พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห อึม:“รังแกคนไม่มีทางสู้? ไม่รู้ว่าใครกันแน่เป็นแค่ภรรยาในนามของพี่ชายเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น ก็เริ่มดูถูกคนอื่นขนาดนี้ เธอคิดว่าพี่เซ่าถิงเป็นของเธอคนเดียวหรือไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังคำพูดของเหอหลวนเล่อ รู้สึกคำพูดมันแปลกประหลาด เธอเคยพูดตอนไหนว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นของเธอ?

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด พูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“ต้องมีใครบางคนไปเบาหูคุณหนูเหอเกี่ยวกับฉันแน่นอน? ดูท่าแล้วคงอยากใช้คุณหนูเหอมาสั่งสอนฉันแน่ ๆ ทำให้พวกเราสองคนทะเลาะกัน เธอคนนั้นก็จะได้รับผลประโยชน์ไป ฉันไม่เคยพูดสักคำ และฉันก็รู้ฐานะของตัวเองดี ไม่ทำ…….”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ ค่อยๆหรี่ตาหยุดชะงักไปชั่วครู่ ค่อยตอบกลับเหอหลวนเล่อด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ฉันไม่เคยฝันลมๆแล้งๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วเธอรู้ตัวเองดี และเธอไม่เคยคาดหวังสูงขนาดนั้น แต่ความคิดภายในใจมันไม่สามารถห้ามกันได้ง่ายๆ

“ผลประโยชน์ ?” เหอหลวนเล่อหรี่ตากัดฟันพูดขึ้นว่า:“คงจะถูกผู้หญิงเลวอย่างหลิวจื่อซิงหลอกใช้ซะแล้ว”

“หลิวจื่อซิง?ทำไมหล่อนต้องพูดแบบนี้ด้วย?”เจี่ยนอี๋ถามกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจแล้วว่าทำไมหลิวจื่อซิงถึงทำแบบนี้ และตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงชวนหลิวจื่อซิงเป็นคู่ควง นี่ก็แสดงออกอย่างชัดเจนแล้วว่าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงคนเดียวที่สำคัญต่อเหลิ่งเซ่าถิง หลิวจื่อซิงทำไมยังต้องหลอกใช้เหอหลวนเล่อเป็นเครื่องมือมาหาเรื่องเธออีกล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าในใจของหลิวจื่อซิงคิดว่าผู้หญิงคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่เธอเหรอ? หรือเป็นเพราะว่าเธอไม่มั่นใจ ดังนั้นจึงวางแผนกำจัดผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงทั้งหมด?

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอด้วยล่ะ? หลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงที่เลวมาก เธอก็ไม่ได้ดีกว่าสักเท่าไหร่หรอก ” เหอหลวนเล่อจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห:“ เธอกล้าพูดไหมว่าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับพี่เซ่าถิงจริงๆ? และเธอไม่ได้รักพี่เหลิ่งเซ่าถิงจริงๆเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด:“ฉันจะรักหรือไม่ได้รักเหลิ่งเซ่าถิงนั้น มันก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคุณหนูเหอนะคะ ดูเหมือนคุณหนูเหอจะสนิทสนมคุ้นเคยกับคนในตระกูลเหลิ่งมากนะคะ ” คงไม่จำเป็นให้ฉันพาไปห้องน้ำหรอกมั้งคะ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันหลังเดินกลับไปห้องครัว

แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันเดินกลับ ก็ได้ยินเสียงเหอหลวนเล่อตะโกนตามหลังว่า:“ฉันกำลังพูดกับเธออยู่นะ เธอจะเดินหนีฉันแบบนี้ไม่ได้นะ? เธอตอบฉันสิ เธอรักเหลิ่งเซ่าถิงหรือเปล่า?”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกถูกเหอหลวนเล่อผลักอย่างแรง จนเจี่ยนอี๋นั่วเซแล้วล้มลง เธอล้มลงไปทับกับแจกันดอกไม้ ทำให้แจกันดอกไม้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ทันใดนั้นหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่วก็โดนเศษแจกันบาด เจี่ยนอี๋นั่วรีบคิ้วขมวดจ้องมองไปทางเหอหลวนเล่อ เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากอย่างแรง บาดแผลหลังมือของเธอเลือดค่อยๆไหลออกมา

เหอหลวนเล่อเดินถอยหลัง ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่ปากก็ยังพูดออกมาด้วยความไม่พอใจ:“ทั้งหมดเป็นเพราะเธอ ถ้าหากไม่ใช่เป็นเพราะเธอไม่ตอบคำถามของฉัน ฉันก็คงไม่ขวางเธอแบบนี้หรอก และอีกอย่างเป็นเพราะเธอยื่นเซเอง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันนะ”

เสียงแจกันดอกไม้แตกดังสนั่นมาก เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินมีคนรีบวิ่งมาดู เจี่ยนอี๋นั่วรีบบอกเหอหลวนเล่อว่า:“เธอวางใจเถอะฉันจะรับผิดเองทุกอย่าง ฉันจะพูดว่าเพราะฉันหน้ามืดแล้วจะเป็นลม ทำให้เซไปชนโดนแจกันดอกไม้ และเธอเป็นคนช่วงพยุงฉัน เธอจำคำตอบนี้ไว้ให้ดีนะ”

“เธอ เธอทำแบบนี้ทำไมกัน……” เหอหลวนเล่อคาดไม่ถึงว่าเจียนอี๋นั่วจะรับผิดแทนเธอทุกอย่าง

ทำแจกันแตกไม่เท่าไหร่ แต่กระทบงานเลี้ยงมันเป็นเรื่องใหญ่มากนะสิ

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด ดูแล้วยังไม่มีใครมาถึงนี่ พูดกับเหอหลวนเล่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“ที่ฉันทำแบบนี้เพราะไม่ต้องให้เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้น เป็นเพราะฉันหน้ามืดล้มลงจนไปชนแจกันแตกเอง” เป็นเพราะฉันไม่ได้ตั้งใจทำเอง พวกเราสองคนทะเลาะกันทำให้แจกันแตก เป็นเพราะเราสองคนแสดงพฤติกรรมเหมือนไม่มีใครสั่งใครสอน และเหตุผลที่ว่าฉันไม่ทันระวังแล้วเกิดทำให้แจกันแตก ก็ยังน่าฟังกว่าผู้หญิงที่ไม่มีใครสั่งสอน ฉันเพียงแค่เลือกวิธีที่มีผลกระทบกับตัวฉันเองให้น้อยที่สุดเท่านั้น และที่คุณเข้ามาหาฉัน เป็นเพราะโดนคนอื่นหลอกใช้ ฉันเข้าใจความรู้สึกของคุณที่มีต่อเหลิ่งเซ่าถิงดี แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่คุณทำหรอกนะ คุณโปรดจงจำเรื่องนี้เอาไว้นะคะ อย่าให้ใครหลอกใช้คุณได้ง่ายๆแบบนี้อีก”

“ฉัน……ฉัน……”เดิมทีเหอหลวนเล่อกะจะปัดความรับผิดชอบแล้ว แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วนั้นก็อดไม่ไหวที่จะยื่นมือออกมาเตรียมไปพยุงเจี่ยนอี๋นั่วลุกขึ้น

แต่เป็นเพราะว่าเศษแจกันแตกกระจาดกระจายเต็มพื้น เหอหลวนเล่อสวมใส่รองเท้าส้นสูงที่สูงมาก เดินเซไปเซมาไม่กี่ก้าวเธอก็ไม่กล้าเดินหน้าต่ออีก ทันใดนั้นมีใครคนหนึ่งโผล่มา รีบวิ่งไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วถูกชายคนนั้นอุ้มขึ้นอย่างไว พอเจี่ยนอี๋นั่วมองดูอีกที ที่แท้คนที่อุ้มเธอไว้ก็คือเหลิ่งหมิงอัน

เจี่ยนอี๋นั่วรีบคิ้วขมวดทันที เธอขัดขืนเล็กน้อย:“ ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะคะ”

ถ้าหากมีใครตามหลังมาอีก แล้วคนอื่นเห็นเข้าจะคิดยังไงคะ ? เหลิ่งหมิงอันอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วออกมาจากเศษแจกันนั้น เขาจึงปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วลง

เจี่ยนอี๋นั่วถูกปล่อยลงพื้นเธอก็รีบผลักเหลิ่งหมิงอันออกอย่างแรง แต่เหลิ่งหมิงอันกลับคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเอาผ้าเช็คหน้าที่อยู่ในกระเป๋าเสื้ออกมา และนำไปปิดบาดแผลหลังมือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณกำลังทำอะไรอยู่เนี่ย? ทำไมถึงทำเสียงดังขนาดนี้? แล้วอีกอย่างบาดแผลบนหลังมือนี้ มันเกิดอะไรขึ้น? ใครเป็นคนทำให้คุณบาดเจ็บ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจทำไมเหลิ่งหมิงอันถึงดูตื่นเต้นขนาดนี้ โดยปกติเหลิ่งหมิงอันก็ชอบสร้างรอยแผลให้เธอไม่น้อย มาตอนนี้เหลิ่งหมิงอันมาแกล้งเป็นห่วงเป็นใย เขาต้องการอะไรกันแน่? แต่เวลานี้ท่าทางของเหลิ่งหมิงอันไม่เหมือนกับคนที่เสแสร้งเลยสักนิด

เจี่ยนอี๋นั่วก็ลองเอามือกลับ แต่เหลิ่งหมิงอันก็กุมมือเธอไว้แน่น แล้วใช้ผ้าเช็ดหน้าพันแผลให้เธอ คิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ เธอจะหลบทำไมกัน? ทำแผลที่มือของตัวเองก่อน”

“พวกคุณ……” เหอหลวนเล่อยืนดูเหตุการณ์อยู่ข้างๆ ชี้ไปทางเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งหมิงอัน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเยา:“ที่แท้พวกคุณเป็นคู่รักกันเหรอคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัวไปมา แต่ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะพูดอะไรออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคุณนายเหลิ่งกับเหลิ่งเซ่าถิงและหลิวจื่อซิงกำลังเดินมา ด้านหลังยังมีเหลิ่งเฉิงอวี่และสุยเฉิงจิ้ง

คุณนายเหลิ่งจ้องมองไปที่เศษแจกันที่แตกกระจายบนพื้น คิ้วขมวดถามขึ้นว่า:“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เสียงดังขนาดนั้น แขกที่อยู่ในงานต่างพากันแตกตื่นกันหมดแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบผลักมือของเหลิ่งหมิงอันออก แล้วตอบกลับคุณนายเหลิ่งว่า:“วันนี้เป็นเพราะว่าดิฉันไม่ค่อยสบายค่ะ หน้ามืดล้มลงไปชนโดนแจกันเข้า จากนั้นคุณหนูเหอบังเอิญเห็นเข้าพอดี ก็รีบมาช่วยพยุงดิฉันค่ะ”

หลิวจื่อซิงรีบหัวเราะจ้องมองไปทางเหอหลวนเล่อแล้วพูดขึ้นว่า:“คุณน้องหลวนเล่อคะ เรื่องราวเป็นแบบนี้จริงๆๆหรือเปล่าคะ? ฉันนี่แปลกใจจริงๆนะ ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ โดยปกตินิสัยก็เธอก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ฉันรู้สึกเธอไม่น่าจะเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนอื่นสักเท่าไหร่นะ ไม่ใช่ว่าเมื่อเธอได้ข่าวว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นภรรยาที่ถูกต้องถามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิงหรอกนะ ดังนั้นจึงจงใจมาหาเรื่องเจี่ยนอี๋นั่วใช่ไหม?”

หลิวจื่อซิงหัวเราะพูดถึงนี่แล้วหันหน้าแล้วทำหน้าอ่อนโยนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูดว่า:“คุณน้องอี๋นั่วคะ คุณน้องอย่าพูดโกหกเพราะมีใครข่มขู่แล้วไม่กล้าพูดความจริงนะคะ เวลานี้คุณนายเหลิ่งอยู่ที่นี่ คุณนายเหลิ่งจะจัดการเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอนค่ะ”

“เธอ……”เหอหลวนเล่อจ้องมองหลิวจื่อซิง หน้าคิ้วขมวดกำลังจะโต้ตอบกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบยกมือไปขวางเหอหลวนเล่อ เธอเหลือบมองไปเห็นมือหลิวจื่อซิงจับมือเหลิ่งเซ่าถิงไว้ หลังจากนั้นเงยหน้าพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณย่าคะคือว่าหนูไม่ทันระวังแล้วชนโดนแจกันค่ะ เป็นเพราะหนู……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ก็หน้ามืดชั่วขณะ แล้วเหมือนกำลังจะเป็นลม เหอหลวนเล่อยืนอยู่ด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่วเธอรีบเอื้อมมือไปจับเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังส่งยิ้มให้กับเหอหลวนเล่อ ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณคุณหนูเหอมากๆค่ะ เมื่อกี้นี้คุณหนูก็มาพยุงฉันแบบนี้ คุณหนูเป็นผู้หญิงที่ช่างมีจิตใจที่งดงามมากจริงๆค่ะ”

โดยปกติเหอหลวนเล่อเป็นคนที่เอาแต่ใจมาก และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนชมว่าเธอเป็นคนที่มีจิตใจงดงามแบบนี้ เห็นคนอื่นกำลังมองมาที่เธอด้วยอาการที่ชื่นชม เหอหลวนเล่อก็ตั้งใจพยุงเจี่ยนอี๋นั่วมากขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“เธออย่าล้มแบบนี้อีกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้าตอบรับเหอหลวนเล่อ แล้วค่อยหันหน้าพูดกับคุณนายเหลิ่ง:“คุณนายเหลิ่งคะ ดิฉันไม่ได้ตั้งใจชนโดนแจกันดอกไม้นี้นะคะ ดิฉันผิดไปแล้วค่ะ เป็นเพราะดิฉันไม่ดีเองค่ะที่ไม่รู้จักระวัง”

คุณนายเหลิ่งค่อยๆหัวเราะออกมา:“นี่มันไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร? แค่แจกันดอกไม้แตกแค่นี้เอง เธอก็ลำบากมากไปแล้ว ดูหน้าตาเธอสิซีดเซียวขนาดนี้ รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ ตอนนี้ไม่มีอะไรต้องทำแล้วล่ะ ที่พวกเรารีบมาดูเหตุการณ์ คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนนี้ดูแล้วก็ไม่ได้เกิดอะไรร้ายแรง ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”

ระหว่างที่คุณนายเหลิ่งกำลังพูดอยู่ หันหลังเหลือบมองหลิวจื่อซิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“เมื่อกี้นี้เธอพูดด้วยท่าทางที่ตกอกตกใจว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว พูดว่าคุณหนูเหอมาหาเรื่องเจี่ยนอี๋นั่ว มาตอนนี้ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เขาทั้งสองคนก็ดูเข้ากันได้เป็นอย่างดี ต่อไปไม่ต้องเป็นห่วงอีก แทนที่จะแสดงความห่วงใยครั้งนี้ เอาเวลาไปหาผู้ชายดีๆจะดีกว่านะ เผื่ออนาคตฉันและเหลิ่งเซ่าถิงจะได้เตรียมซองอั่งเปาหนาๆให้กับเธอ”

หลิวจื่อซิงรีบเม้มริมฝีปากแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ ขอบคุณคุณนายเหลิ่งที่ชี้แนะค่ะ”

คุณนายเหลิ่งมองดูรอบๆ หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ เอาล่ะ ตอนนี้ก็ไม่มีเรื่องอะไรแล้วล่ะคะ พวกเรากลับเข้างานกันเถอะ เจี่ยนอี๋นั่วเธอ…..”

เหอหลวนเล่อพยุงเจี่ยนอี๋นั่วไว้รีบพูดขึ้นว่า:“เดี๋ยวหนูไปส่งพี่อี๋นั่วนะคะ”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะเหลือบมองเหอหลวนเล่อพยักหน้าพูดขึ้นว่า:“ดีมาก แขกที่อยู่ในงานยังรอพวกเราอยู่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับเข้างานกันเถอะ เหลิ่งเซ่าถิงพวกเรากลับเข้าไปในงานกันเถอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว หน้าคิ้วขมวดจ้องมองไปที่ผ้าเช็ดหน้าที่พันไว้ในมือ ไม่ได้พูดอะไรกับเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเดินจากไปทันที เหลิ่งหมิงอันมองทุกคนเดินเข้างานกันไปหมดแล้ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“เธอรีบกลับไปทำแผลของตัวเองดีดีนะ อย่าให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นล่ะ”

เหลิ่งหมิงอันก็หันหลังเดินจากไป เห็นทุกคนเดินจากไปกันหมดแล้ว เหอหลวนเล่อโมโหพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“พี่อี๋นั่วคะ นี่เป็นแผนการทั้งหมดของหลิวจื่อซิง เธอจงใจบอกฉันว่าพี่ต้องการครอบครองพี่เซ่าถิงไว้คนเดียว ยังหลงรักพี่เซ่าถิงโดยเฉพาะ และพูดว่าคนที่จีบพี่เซ่าถิงล้วนเป็นคนที่มีหน้าตาอัปลักษณ์ หนูถึงมาหาเรื่องพี่ค่ะ คิดไม่ถึงว่าหลิวจื่อซิงจะหลอกล่อพาคุณนายเหลิ่งและหลอกพวกเขามานี่ เป็นอีนังทรยศจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วเคยจูบกับชายอื่นมาก่อน และเคยสัมผัสถึงรสชาติของการจูบกับคนที่เรารักมันก็จะรู้สึกดีมากเลยมันรู้สึกสั่นไปทั้งหัวใจ แต่ไม่เคยผ่านการจูบแบบนี้เงอะงะอย่างนี้มาก่อน แต่กลับทำให้หัวใจของเธอหยุดเต้น

เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถมีอาการตอบสนองใดๆ เธอกำลังอยู่ในอาการที่อึ้งอยู่ และไม่กล้าแสดงออกหรือโต้ตอบกลับใดๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเมื่อเธอลืมตาขึ้นเมื่อไหร่ เวลานั้นคงมีอะไรเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดแน่นอน โชคดีที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ใมใช้เวลาในการจูบนานเกินไป เขาคงกลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่งรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเช่นกัน เขาจูบอี๋นั่วแปบเดียวก็รีบออกถอยห่างทันที

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงลุกไปแล้ว เธอก็ค่อยๆสูดหายใจออกเบาๆด้วยความโล่งใจ ในระหว่างที่กำลังกลัดกลุ้มใจพฤติกรรมที่เหลิ่งเซ่าถิงทำอยู่นั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆเดินไปเดินมาอยู่ภายในห้อง ดูเหมือนเขากำลังกะวนกะวายใจไม่น้อย จากนั้นเขาก็นั่งลงข้างๆโต๊ะหนังสือ หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกผิดที่จูบเธอเมื่อสักครู่นี้เหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงนี่ก็คิ้วขมวดขึ้นมาทันที เธอคิดว่าเธอตัดสินใจถูกต้องแล้วในเวลานั้นเธอไม่ตื่นขึ้นมา ถ้าต้องเผชิญหน้ากันในสถานการณ์ที่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกผิดในการกระทำของตัวเองแบบนี้ พวกเราทั้งสองคงทำตัวไม่ถูกแน่ๆ

หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่กลับมาที่เตียงนอนอีกเลย เขานั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหนังสือตลอด เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้นอนพักทั้งคืนในสมองของเธอคิดแต่เรื่องราวของเธอและเหลิ่งเซ่าถิง และหลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไป เจี่ยนอี๋นั่วถึงกล้าลืมตาขึ้นมาแล้วลุกนั่งบนเตียง เธอรีบเอามือลูบที่ริมฝีปากของตัวเอง เธอยังคงสัมผัสได้ถึงรอยจูบที่เหลิ่งเซ่าถิงฝากไว้ในริมฝีปากของเธอ เธอไม่เข้าใจทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงทำแบบนี้

หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงรักเธอเข้าแล้ว?

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัวไปมา รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอกที่เหลิ่งเซ่าถิงจะมารักคนอย่างเธอ มันไร้สาระมากกว่าเรื่องที่เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศเสียอีก หรือเขาแค่อยากรู้อยากลอง ที่จูบเธอเป็นเพราะต้องการฝึกฝนเหรอ? เผื่ออนาคตเวลาที่เขาเจอคนที่ใช่ เขาสามารถชำนาญในการจูบ และไม่ต้องกลัวว่าตัวเองแสดงความไม่รู้ออกมาและทำตัวโง่ ๆ เหรอ? หรือเป็นเพราะว่าเธอเคยเล่าเรื่องการจูบที่ผ่านของเธอให้เขาฟัง มันเลยทำให้เขาอยากรู้อยากลอง?

แต่ถ้าหากเป็นแบบนั้นจริงๆ ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องเดินหนี แล้วทำไมต้องเดินไปนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหนังสือด้วยล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด สมองของเธอหนักอึ้งและไม่สามารถหาคำตอบเรื่องที่ซับซ้อนให้กับตัวเองได้ วันนี้เธอยังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีกหลายเรื่อง ทำได้เพียงหยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน พยายามหักห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดเรื่องนี้อีก เจี่ยนอี๋นั่วยุ่งวุ่นวายทั้งวัน พอตกกลางคืนงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหนื่อยล้าหน้ามืด ขนาดยืนยังแทบจะยืนไม่ไหวเลย

เจี่ยนอี๋นั่วตาเริ่มมัว เกือบจะเป็นลมล้มลงไป ทันใดนั้นมีมือของใครคนหนึ่งพยุงร่างของเธอไว้ เธอรีบหันหน้าไปมองด้วยรอยยิ้ม แต่พอเจี่ยนอี๋นั่วหันมองคนที่พยุงเธอกลับเป็นเหลิ่งหมิงอัน เธอก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้ม พร้อมคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ทำไมถึงเป็นคุณ?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคนที่พยุงเธอนั้นคือเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วยุ่งกับการเตรียมงานเลี้ยงทั้งวัน และไม่มีเวลาเจอเหลิ่งเซ่าถิงเลย ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะกลัวกับการเจอหน้าเหลิ่งเซ่าถิง แต่เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะจูบเธอเอง เขากลับเงียบหายไปแบบนี้ ทำให้ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอ้างว้าง

“เธอคิดว่าเป็นใคร? คิดว่าเป็นพี่ชายใหญ่เหรอ?”เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว:“วางใจเถอะ เขาไม่มาหาเธอที่นี่หรอก ตอนนี้พี่ชายใหญ่กำลังอยู่ด้วยกันกับหลิวจื่อซิงอยู่”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ยกมือชี้ไปทางบันได หัวเราะพูดขึ้นว่า:“เขาและหลิวขื่อซิงได้เลือกชุดราตรีที่สวยมากๆ พอถึงเวลางานเลี้ยงเริ่มขึ้น พวกเขาและคุณนายเหลิ่ง ก็เดินลงบันไดที่เธอเป็นคนจัดเตรียมไว้ จากนั้นพวกเขาก็จะเริ่มเต้นรำด้วยกันเพื่อเป็นการเปิดพิธี ถึงแม้ในนามแล้วคนที่จะเป็นคนเปิดพิธีงานเลี้ยงต้องเป็นคุณนายเหลิ่ง แต่พระเอกและนางเอกในงานคือพวกเขาทั้งสอง คุณนายเหลิ่งต้องการเปิดตัวให้คนรู้จักเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้น เพราะเหลิ่งเซ่าถิงป่วยติดเตียงไม่รู้สึกตัวมาแล้วหนึ่งปีเต็ม” ทุกอย่างรอบๆกายมันได้เปลี่ยนแปลงไปหมดแล้ว คุณนายเหลิ่งจำเป็นต้องให้เหลิ่งเซ่าถิงออกงานบ่อยๆ เพื่อให้คนรู้จักมากขึ้น นั้นมันเป็นทายาทผู้สืบทอดคนเดียวของตระกูลเหลิ่งฟื้นตืนมาเชียวนะ ลูกหลานที่เหลือในตระกูลเหลิ่งเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น มีเพียงเหลิ้งเซ่าถิงคนเดียวที่จะได้เป็นทายาทผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่งจริงๆเท่านั้น และตอนนี้เขากลับมาแข็งแรงเหมือนเดิมแล้ว……”

“ขอบคุณมากนะคะที่อธิบายให้ฉันฟังเรื่องราวทั้งหมดนี้ให้ฟัง ถ้าหากพวกเขาเดินลงจากบันได นั่นก็หมายความว่าการที่พวกเขาเดินลงจากบันไดนั้นมันเป็นจุดสนใจของแขก ดูอีกทีดอกไม้ตรงบันไดยังต้องจัดใหม่อีกครั้ง ขอโทษนะคะ ขอตัวก่อนนะคะ ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบหัวเราะแล้วเดินจากไป

แต่หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังก็เก็บรอยยิ้มทันที ในใจของเธอรู้สึกอึดอัดมาก ก่อนหน้านี้เธอรู้มาก่อนแล้วว่าหลิวจื่อซิงจะเป็นคู่ควงของเหลิ่งเซ่าถิง แต่เธอก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้ แต่เมื่อวานเหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะจูบเธอ? มาตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจะควงคนอื่นออกงาน เจี่ยนอี๋นั่วในใจรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาทันที และมันจุกอยู่ที่กลางอก

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด เดินไปถึงข้างบันได เธอจัดดอกไม้อีกครั้งอย่างระมัดระวัง ในระหว่างที่กำลังจัดดอกไม้อยู่นั้นคนรับใช้เดินเข้ามาพอดี ยิ้มและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“คุณหญิงคะ งานเลี้ยงจะเริ่มขึ้นแล้วค่ะ คุณนายเหลิ่งสั่งให้คุณออกไปจากตรงนี้ค่ะ คุณสามารถไปช่วยตรงครัวได้นะคะ ตอนนี้ในครัวกำลังขาดคนพอดีค่ะ”

เธอเตรียมและจัดงานเลี้ยงมาทั้งวัน ตอนนี้จำเป็นต้องหลบออกไปอย่างนั้นเหรอ? ยังต้องไปห้องครัวอีกเหรอ? นี่จะกลายเป็นคนรับใช้แล้วจริงๆซินะ?

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงเม้มปากอย่างแรง พยายามอดทนอดกลั้นพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ในเมื่อเป็นคำสั่งของคุณนายเหลิ่ง ฉันต้องทำตามคำสั่งแน่นอน ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้แหล่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปจนถึงห้องครัว ด้านหน้าห้องโถงมันมีแค่กำแพงกั้นไว้เท่านั้น แต่ว่าเมื่อดนตรีในงานเริ่มบรรเลงขึ้น คนที่อยู่ในครัวทำได้เพียงแอบมองไปทางห้องโถงนั้น งานเลี้ยงในคืนนี้เป็นอาหารบุฟเฟ่ต์ อาหารตะวันตก จัดเตรียมไว้ตั้งแต่เช้าแล้ว งานในครัวมีแค่การเสิร์ฟพวกเครื่องดื่มเท่านั้น

“โอ้โห……คุณชายใหญ่กับคุณหนูหลิวเดินลงมาแล้ว คู่นี้ช่างเหมาะสมกันเหลือเกิน…….”

บางคนอดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตกอกตกใจ แต่ยังไม่ทันจะพูดจบ ก็มีคนรีบสกัดเอาไว้ หันหน้าไปเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว รีบร้อนพูดว่า:“อย่าพูดไปเรื่อยเปื่อย”

“โห……ขอโทษด้วยค่ะคุณผู้หญิง ดิฉันลืมไปค่ะว่าคุณยังอยู่นี่” คนๆนั้นพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เบา

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยได้รู้จักคุ้นเคยคนรับใช้ในคฤหาสน์ของตระกูลเหลิ่ง คิดว่าคนรับใช้ที่อยู่ในตระกูลเหลิ่งต้องเป็นคนที่มีมารยาทอย่างมาก บางครั้งดูแล้วเหมือนหุ่นยนต์ที่ไม่มีความรู้สึก เป็นเพราะเจี่ยนอี๋นั่วต้องจัดเตรียมงานเลี้ยง มันเลยทำให้เธอสนิทสนมกับคนรับใช้มากขึ้น และเธอก็ได้รู้ว่าคนรับใช้ในตระกูลเหลิ่งก็เหมือนคนปกติทั่วไป พูดได้หัวเราะได้ ทุกครั้งเป็นเพราะคำว่า“เจ้านาย”เลยไม่สามารถแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาได้

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะรีบพยักหน้าตอบรับ:“ไม่เป็นไร นี่ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงอะไรหรอก”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปทางห้องโถง เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงใช่ชุดสูทสีดำทั้งชุด เขายืนอยู่กลางแสงไฟในห้องโถง คนที่ยืนอยู่ข้างๆของเหลิ่งเซ่าถิงคือหลิวจื่อซิง เธอสวมชุดราตรีสีฟ้า ใบหน้าของเธอมีร้อยยิ้มที่น่ารักน่าเอ็นดู ชุดราตรีที่ใส่นั้นเหมือนราวกับนางฟ้าที่ลอยลงมาจากฟากฟ้า

เหมาะสมกันจริงๆ เหมือนกิ่งทองกับใบหยก!

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟันและกำลังคิด แต่ถ้าหากเมื่อคืนเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้จูบเธอ และเขาไม่ใช่พวกรักร่วมเพศ เขาและหลิวจื่อซิงคงจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมากจริงๆ

คิดถึงนี่ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเสียวฟันมาก จนเธอรู้สึกว่าฟันจะหักออกมา เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นแตะที่หน้าผากของตัวเอง คิดอยากจะเดินหนี แต่วินาทีนั้นสายตาของเธอก็หยุดที่จะมองเหลิ่งเซ่าถิงและหลิวจื่อซิงไม่ได้ ในใจยังคิดอิจฉาตาร้อนและสาปแช่งอยู่:“รีบล้มซะ รีบล้มเถอะ หลิวจื่อซิงใส่ชุดราตรียาวขนาดนั้นคงเดินไม่สะดวก และน่าจะล้มได้ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นเธอคงขายขี้หน้าเอามากๆ”

แต่ว่าเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงและหลิวจื่อซิงเดินลงมาจากบันไดนั้น ก็ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างราบรื่น มีเพียงเจี่ยนอี๋นั่วคนเดียวที่ยืนอยู่มุมมืดๆในห้องครัว มือแตะที่หน้าผากรู้สึกละอายใจที่เธอคิดอิจฉาริษยา

ให้ตายเถอะ ทำไมถึงไม่ใช่เธอคนเดิมแล้วนะ ทำไมถึงกลายเป็นคนขี้อิจฉาขนาดนี้ แล้วยังคิดไม่ดีอีก?

แต่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังสำนึกผิดเพียงชั่วครู่ เมื่อเพลงบรรเลงขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เต้นกับหลิวจื่อซิงเพื่อเป็นการเปิดพิธี ในใจเจี่ยนอี๋นั่วก็คิดไม่ดีอีกครั้ง:หกล้มเถอะ ล้มเถอะ มือของเหลิ่งเซ่าถิงที่โอบเอวหลิวจื่อซิงไว้นั้นคงรับน้ำหนักไม่ไหวหรอกต้องล้มลงทั้งคู่แน่ๆ ถ้าอย่างนั้นงานนี้คงขายขี้หน้าทั้งคู่

แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ใจของเจี่ยนอี๋นั่วคิดไว้ แล้วทุกอย่างก็จบอย่างสวยงาม จากนั้นเสียงปรบมือให้เหลิ่งเซ่าถิงและหลิวขื่อซิงดังก้องไปถึงหลังครัว เสียงปรบมือดังจนคนในครัวต้องเอามือปิดหู ถึงจะไม่สะเทือนถึงหู

เจี่ยนอี๋นั่วสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาลง ในใจด่าว่า:ไปตายซะ!

เมื่องานเลี้ยงเริ่มขึ้น ในครัวสถานการณ์ก็กลับมาเป็นปกติ ต่างคนต่างจับกลุ่มคุยกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนอยู่ในมุมหนึ่ง คิดวนไปวนมา เมื่อกี้นี้เธออิจฉาหลิวจื่อซิงที่ได้อยู่ใกล้ชิดเหลิ่งเซ่าถิง และได้คิดไม่ดีแล้วยังคิดสาปแช่งอีก พอมาคิดอีกทีรู้สึกสำนึกผิดมาก

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเมื่อกี้เธอไม่ต่างจากผู้หญิงที่ร้ายกาจและเธอก็ไม่ต่างจากผู้หญิงที่เลวมากๆ เธอสำนึกผิดกับคนที่เคยสั่งสอนและอบรมเธอมา และสำนึกผิดกับประสบการณ์ที่เคยผ่านมา และยิ่งรู้สึกผิดต่อศักดิ์ศรีของตัวเอง แต่ทั้งหมดนี้ต้องโทษเหลิ่งเซ่าถิงเพียงคนเดียว ถ้าหากเขาไม่จูบเธอ ไม่งั้นเหตุการณ์แบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก?

ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงต้องให้เรื่องมันเป็นแบบนี้? ทำให้เธอกลายเป็นคนที่แปลกประหลาด เธอรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นความผิดเพราะเหลิ่งเซ่าถิงคนเดียว!

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด เม้มริมฝีปากขึ้น สูดหายใจเข้าลึกๆแล้วหลับตาลง

“นี่คือห้องครัวเหรอคะ? ห้องน้ำไปทางไหนคะ?” มีใครคนหนึ่งถามด้วยเสียงที่อ่อนหวาน

ทุกคนในครัวหันหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกัน ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม :“คุณเป็นคนที่ดูแลรับผิดชอบเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณพาฉันไปส่งที่ห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากเติมเครื่องสำอางค่ะ วันนี้แขกของตระกูลเหลิ่งมาร่วมงานเยอะเหลือเกิน ห้องน้ำไม่ว่างเลยค่ะ ฉันได้ยินมาว่าทางด้านนี้ยังมีห้องน้ำอยู่ห้องหนึ่ง ฉันสามารถใช้ห้องน้ำหน่อยได้ไหมคะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนรับใช้ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ เจี่ยนอี๋นั่วเลยทำได้เพียงยิ้มแล้วตอบกลับ:“ได้ค่ะ เชิญตามมาทางนี้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องครัว เดินนำพาผู้หญิงคนนั้นไป พอเดินไปไม่กี่ก้าว เดินถึงที่ที่ลับตาคน เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้หญิงคนนั้นถาม:“เธอก็คือเจี่ยนอี๋นั่วเหรอ? ภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง? หน้าตาก็ธรรมดานี่ หลิวจื่อซิงไม่เหมาะสมกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าเธอยิ่งไม่เหมาะสมมากกว่าซะอีกนะ”

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่ามีอีกหลายครอบครัวที่ร่ำรวยที่มีกฎระเบียบที่ไม่ได้เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษร ถึงแม้ตอนนี้จะเป็นสังคมยุคสมัยใหม่แล้ว แต่ว่าในฐานะที่เป็นภรรยาที่สูงส่งและมีเกียรติแต่สามีกลับไปมีภรรยาน้อย พวกเธอต้องทำเหมือนใจกว้างเหมือนดั่งน้ำทะเล ถึงแม้จะบังเอิญเจอกันในที่สาธารณะ ก็ต้องแกล้งทักทายกันเหมือนพี่น้อง นี่ก็คือลักษณะการแสดงออกของพวกผู้ดีมีชาติตระกูล

แต่ลักษณะการแสดงออกของพวกผู้ดีมีชาติตระกูลเหล่านี้ มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกรังเกียจที่สุด ก่อนหน้านี้เธอก็มีสิทธิ์เลือกคุณชายฐานะสูงส่งเพียบพร้อมหลายคน แต่เธอกลับไปเลือกคนที่ฐานะยากจนอย่างฉู่หมิงเซวียนแทน ก็เพราะว่าฉู่หมิงเซวียนเกิดในฐานะทางบ้านที่ยากจน ไม่ได้มีกฎระเบียบเหมือนครอบครัวที่ร่ำรวย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายฉู่หมิงเซวียนก็หักหลังเธอเหมือนกัน

ดูผิวเผินเหมือนเจี่ยนอี๋นั่วจะตามใจเหลิ่งหมิงอัน ในระหว่างที่เธอพักอาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งเธอไม่อยากปะทะกับคุณนายเหลิ่งอีก และอีกอย่างไม่ว่ากฎระเบียบของตระกูลเหลิ่งจะเป็นอย่างไร มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้ เธอก็จะไปจากตระกูลเหลิ่งทันที

คุณนายเหลิ่งพอใจมากที่เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อฟังทุกอย่าง และมอบหมายการจัดงานเลี้ยงและกฎระเบียบอย่างละเอียดให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็สั่งให้คนไปจัดเตรียมงานตามคำสั่งของคุณนายเหลิ่ง วันนี้วุ่นวายทั้งวัน เจี่ยนอี๋นั่วหาเวลาแวะไปเยี่ยมคุณพ่อ แต่กลับไม่มีเวลาแวะบริษัทของตัวเองเลย

พอตกกลางคืนในขณะที่เอนตัวลงนอนบนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเหนื่อยล้ามาก เธอเอนตัวลงนอนบนเตียงไม่ขยับเขยื้อนเลย จนเหลิ่งเซ่าถิงกลับเข้าห้อง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย จากนั้นก็กลิ้งไปนอนอีกด้านหนึ่งอย่างอัตโนมัติ เหลือที่ไว้สำหรับเหลิ่งเซ่าถิง เธอจึงค่อยๆหลับตาลง

เธอหลับๆตื่นๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงขึ้นเตียงแล้วเอนตัวลงนอนข้างกายเธอ เธอทำตามนิสัยการนอนของเหลิ่งเซ่าถิง เธอกลิ้งไปนอนข้างๆกายเหลิ่งเซ่าถิงและเป็นหมอนข้างให้เขาเหมือนเดิม

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสถูกตัวเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบเอามือดันตัวเธอออกทันที และเพราะเหลิ่งเซ่าถิงใช้แรงในการดันตัวเธอมากเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วจึงกลิ้งไปหลายตลบ จนกลิ้งตกลงบนพื้น ถึงแม้บนพื้นจะมีพรม แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกเจ็บมากจนทำให้เธอตื่นทันที

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองแล้วลุกขึ้นนั่ง คิ้วขมวดนั่งอยู่ข้างเตียง สายตาเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังจ้องมองเธออยู่ เธอไม่สบอารมณ์พูดขึ้นว่า:“นี่คุณเป็นอะไรอีกเนี่ย?”

“คุณมากอดผมทำไมกัน?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเฮือก เอามือบิดเอวเธอแล้วนั่งข้างเตียง ระบายด้วยน้ำเสียงเบา:“เมื่อวานคุณเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าคุณชอบนอนกอดฉัน?วันนี้ฉันรู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ฉันไม่มีแรงจะสู้กับคุณแล้ว ก็เลยกลิ้งไปนอนข้างกายคุณเป็นหมอนข้างให้คุณ คุณกลับทำแบบนี้กับฉัน พวกคุณสองพี่น้อง ทำให้ฉันบาดเจ็บไปทั้งตัว เหลิ่งหมิงอันบีบข้อมือฉันแน่นจนช้ำ ตอนนี้รอยช้ำยังไม่หายดี แล้วคุณก็มาผลักฉันแบบนี้ ทำให้เอวของฉันได้รับบาดเจ็บอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองไปที่ข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว มองข้อมืออันขาวเนียนนั้นมีรอยเขียวช้ำจริงๆ เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“นี่รอยช้ำที่เขาทำไว้กับคุณเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า จากนั้นก็รีบสะบัดมือออก พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ตอนนี้ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว คุณอย่าทำเรื่องอะไรที่ทำให้เขาสูญเสียเงินเจ็ดสิบล้านอีกนะ ถึงแม้ความรู้สึกที่ได้แก้แค้นมันจะสะใจ แต่เขาจะเอาความผิดทุกอย่างมาลงที่ตัวฉัน คุณประธานใหญ่เหลิ่งคะ ถึงแม้ดูผิวเผินคุณจะเป็นคนที่เย็นชา แต่ในความเป็นจริงคุณเป็นคนที่สามารถเจรจาหารือได้ จะทำเรื่องอะไรก็จะนึกถึงฉัน แต่เหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่ไร้เหตุผลมาก และไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง ฉันรู้สึกค่อนข้างจะกลัวเขามากจริงๆ”

“คุณคิดแบบนี้กับผมและกับเขา?ผมก็ไม่ได้ดีต่อคุณมากเท่าไหร่ใช่ไหม”เหลิ่งเซ่าถิงกระพริบตาลงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ดีไม่ดีก็เปรียบเทียบออกมาแล้ว คุณมีความเมตตามากกว่าเหลิ่งหมิงอัน”

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวที่จะเม้มริมฝีปาก เอื้อมมือไปจับข้อมือเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เขาลืมสนิทเลยว่าก่อนที่เขาจะเดินเข้าห้องนั้น ยังคิดอยู่เลยว่าควรจะเว้นระยะห่างระหว่างเขาและเจี่ยนอี๋นั่วยังไง

“กล่องยาอยู่ชั้นล่างสุดของโต๊ะวางหนังสือ คุณไปหยิบเองเถอะ”เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองรอยช้ำที่ข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยหน้าตาที่คิ้วขมวด

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า รีบวิ่งไปหยิบกล่องยาทันที หยิบยาน้ำมันแล้วก็รีบวิ่งกลับมา เอายายื่นให้กับเหลิ่งเซ่าถิง หัวเราะพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณคุณมากนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มลงมองไปขวดยานั้น คิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ผมเคยพูดเหรอว่าจะทายาให้คุณ?คุณเอาไปทาเองเลย”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็โยนขวดยาคืนเจี่ยนอี๋นั่ว เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงให้เธอไปหยิบยามา เพื่อที่อยากจะทายาให้กับเธอ สุดท้ายคาดไม่ถึงว่าเธอจะหน้าแตก เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงเม้มริมฝีปาก เธอหยิบยาขึ้นมาทาให้กับตัวเองอย่างรู้สึกอึดอัดใจ เจี่ยนอี๋นั่วนวดข้อมือตัวเองต้องใช้แรงมากอยู่แล้ว และเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วจะเอายานวดที่เอวก็ยิ่งลำบากยิ่งต้องใช้แรงมากขึ้น

เธอหันหลังเอื้อมมือไปทาสักพักใหญ่ๆ และไม่ได้รู้สึกว่าเอวที่ได้รับบาดเจ็บมันจะบรรเทาลง แต่กลับบิดโดนเอวซ้ำยิ่งทำให้ปวดมากขึ้น แค่หันข้างนิดหนึ่งยังรู้สึกเจ็บเลย จนสุดท้ายเจี่ยนอี๋นั่วคิดจะยอมแพ้แล้ว ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป เธอต้องได้รับเจ็บเพิ่มขึ้นอีกแน่ ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะลุกขึ้นนั้น เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ทำไมเธอถึงไม่ทายาต่ออีกแล้วล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดชี้ไปตรงเอวของตัวเอง:“ก็มันทาไม่ถึงอ่ะ พรุ่งนี้ฉันไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลดีกว่า”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเข้ม:“พรุ่งนี้มีการจัดงานเลี้ยง”

“ถ้าอย่างนั้น ก็มะรืนนี้ละกัน”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยท่าทางคิ้วขมวด

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ กวักมือเรียกเจี่ยนอี๋นั่ว :“คุณมานี่ นอนลง เดี๋ยวผมทายาให้คุณเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ชอบผู้หญิง ใกล้ชิดกันคงไม่เป็นอะไรหรอก เจี่ยนอี๋นั่วก็นอนคว่ำบนเตียงทันที ถลกเสื้อของตัวเองขึ้น ทำให้เห็นเอวของเธอ เธอชี้ไปจุดที่เอวบิด:“นี่อยู่ตรงนี้ เจ็บมากๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเอวบางทั้งเนียนทั้งขาวของเจี่ยนอี๋นั่ว คิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงแหบ:“ถ้าอย่างนั้นคุณอย่าขยับไปขยับมาสิ”

เหลิ่งเซ่าถิงเอามือแตะที่ยา แล้วค่อยๆถูไปที่เอวของเจี่ยนอี๋นั่ว ผิวของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นขาวเนียนมาก ขาวเหมือนดั่งหยกสีขาว เอวบางเล็ก แค่มือข้างเดียวของเหลิ่งเซ่าถิงก็สามารถโอบเอวของเธอไว้ได้

บรรยากาศในห้องเงียบลงทันที เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองผิวอันขาวเนียนของเจี่ยนอี๋นั่ว ฝ่ามือที่เย็นของเขาค่อยๆอุ่นขึ้นมาทันที

เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกถึงบรรยากาศในห้องที่เปลี่ยนไป หัวเราะรีบพูดขึ้นว่า:“ฉันไม่รู้จริงๆนะว่าในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งก็มียาสมุนไพรแบบนี้ด้วย ฉันคิดว่าคนในตระกูลเหลิ่งเนี่ย เวลาได้รับบาดเจ็บต้องร้องเรียกหาแต่คนในบ้านเท่านั้น”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบ:“ตระกูลเหลิ่งก็กลัวความลำบากเช่นกัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับอย่างมึนๆ ตอนนี้เธอรู้สึกว่าความรู้สึกของเธอมันสับสนวุ่นวายมาก หลังจากที่คาดเดาว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศแล้วนั้น เธอก็ได้สนใจเหลิ่งเซ่าถิงอีก และไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงอีก แต่ว่าในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสและถูกเอวของเธอนั้น ความรู้สึกที่คันยุกยิกนั้น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วชาไปทั้งตั ว และหัวใจเต้นเร็วไม่เป็นจังหวะ

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดอย่างมหันต์ ทำไมต้องเรียกเหลิ่งเซ่าถิงช่วยทายาให้เธอด้วยล่ะ?ไม่ว่าตอนนี้เขาจะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง แต่ก็เป็นคนที่เธอเคยรัก เธอต้องเผชิญกับการที่เหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสตัวเธอ ทำไมเธอถึงจะไม่มีความรู้สึกล่ะ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวเกร็งไปทั้งตัว กระซิบว่า:“ไม่เอาแล้ว ช่างมันเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะตื่นเช้าหน่อยแล้วไปหาคุณหมอ ได้ไหมคะ”

“ยายังทาไม่ทั่วเลย ……”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและแหบ

เจี่ยนอี๋นั่วขยับไปมาอย่างไม่น่าไว้วางใจ เหลิ่งเซ่าถิงรีบจับเจี่ยนอี๋นั่วให้หยุดนิ่งทันที ฝ่ามือที่ร้อนของเขา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความร้อนบางอย่าง ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงว่าอันตรายที่ใกล้เข้ามา เธอไม่กล้าขยับ และไม่กล้าหันกลับไปเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงทายาให้กับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างช้าๆ จนเจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า :“ไม่ต้องแล้ว ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้ว”

ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยมือทันที ในขณะที่เจี่ยนอี๋หันกลับไปมอง เหลิ่งเซ่าถิงรีบลุกลงจากเตียง เดินตรงไปห้องน้ำ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงน้ำไหลออกมาจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเฮือกด้วยความโล่งใจ เธออยากให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าในห้องน้ำ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงได้ว่าทำไมเธอถึงหน้าแดงขนาดนี้

เจี่ยนอี๋นั่วตบหน้าตัวเองเบาๆ สูดหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์ของเธอจึงกลับมาเป็นปกติ เมื่อกี้สถาณการณ์อันตรายมาก ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่ผู้ชายที่เพียบพร้อม อีกทั้งไม่ชอบผู้หญิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเวลานั้นอาจจะตรงเข้าไปสวมกอดเหลิ่งเซ่าถิงได้

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโชคดีที่เธอไม่ใช่ผู้ชาย ถึงแม้จะเกิดอาการคิดเองเออเองก็เถอะ อาการก็แสดงออกมาไม่ชัดเจนเท่าไหร่ ไม่อย่างนั้นเจี่ยนอี๋นั่วต้องโดนเหลิ่งเซ่าถิงด่ายกใหญ่แน่ๆ

แต่ว่าเมื่อเธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงสัมผัสโดนตัว ทำไมเธอถึงไวต่อความรู้สึกจากการสัมผัส เมื่อกี้นี้เธอเริ่มคิดจินตนาการไปต่างๆนาๆ และโมเม้นที่เธอกอดรัดฟัดเหวี่งกับเหลิ่งเซ่าถิงอยู่บนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองคิดเลยเถิดไปไกลเกินแล้ว เธอยังเป็นสาวเป็นแส้จะคิดเรื่องอย่างนั้นไม่ได้?เวลานั้นในสมองของเจี่ยนอี๋นั่วมันมีแต่เรื่องอย่างว่า สามารถถ่ายทำเป็นซีรี่ 18+ 100 ตอนได้

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนความคิดของตัวเองทันที เธอเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ในโลกนี้ไม่ใช่มีเพียงผู้ชายเท่านั้นที่มีความต้องการในเรื่องอย่างว่า อีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงก็หล่อเหลาขนาดนั้น เป็นธรรมดาที่ผู้หญิงจะตกหลุมรักเขา สิ่งนี่ก็เปรียบเหมือนชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักผู้หญิงที่สวยไม่มีที่ติเช่นกัน แน่นอนว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามปลอบใจตัวเองอยู่นาน แต่เมื่อเหลิ่งเซ่าเปิดประตูห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วก็เลือกที่จะไม่เผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิง และเธอแกล้งหลับตานอนหลับ

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องน้ำด้วยกลิ่นหอมฟุ้งกระจาย เขาเดินถึงข้างเตียงเขากลับไม่ได้เข้านอนพักผ่อนทันที แต่กลับยืนมองอยู่ข้างๆเตียง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังหลับตาอยู่ แต่รู้สึกได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังก้มมองหน้าเธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วได้แต่พยายามรักษาอารมณ์ปกติ แล้วเธอก็ยังคงแกล้งนอนหลับเหมือนเดิม

หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ขึ้นเตียงนอน เขาขยับเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกถูกเรือนร่างของเหลิ่งเซ่าถิงโอบกอดไว้ และพลันรู้สึกถึงคลื่นแห่งความร้อนที่โถมซัดเข้าใส่เธอ จากนั้นก็ประกบริมฝีปากอบอุ่นของเขาลงบนริมฝีปากของเธอ

ความจริงตรงหน้าก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องตกละลึง นี่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังแอบจูบเธอ?

การจูบเหลิ่งเซ่าถิงมีพลังค่อยๆจูบแรงขึ้นและเข้มข้นขึ้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำอะไรคือการจูบที่แท้จริง เพียงแค่เอาริมฝีปากของเขาจูบลงบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วเท่านั้น แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนี้ ลมหายใจของเหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆหายใจแรงขึ้นอย่างช้าๆ

แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วเองยังสัมผัสได้ถึงความร้อนที่แผ่ออกมาจากเรือนร่างของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงฟังคำตอบของเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว รีบหรี่ตาขึ้นมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงทุ่มต่ำ:“ดีมาก ถ้าคุณไม่อิจฉาแล้ว สามารถทำให้ปัญหาของผมลดน้อยลงไปอีกด้วย”

ถึงแม้ปากเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดแบบนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วดูสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว กลับรู้สึกว่าสีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่พอใจอย่างมาก เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวถามด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณเป็นอะไรไปคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาขึ้น หันหน้าไปมองทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผมไม่ได้เป็นอะไร มีเพียงผู้หญิงบางคนนั้นเปลี่ยนไปเร็วกว่าที่คิดไว้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าหากคุณไม่ใช่ ……”

“ไม่ใช่อะไร?”เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า:“ถ้าหากผมไม่ใช่อะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้า คำพูดที่เธออยากพูดนั้น“ถ้าหากคุณไม่ชอบ ฉันก็คงทำใจไม่ได้เร็วขนาดนี้หรอก”เธอต้องกลืนคำพูดนั้นกลับลงไป เธอพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ:“ความหมายของฉันคือ ที่ฉันเป็นแบบนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการหรอกเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามอง กัดฟันแล้วมองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง จากนั้นค่อยๆพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถูกต้อง ในแบบที่คุณเป็นอยู่ในตอนนี้ ก็คือในสิ่งที่ผมต้องการ ผมยังมีธุระ ผมไปก่อนล่ะ อีกสักพักคุณไปหาคุณย่าที่ห้องของท่านแล้วปรึกษาท่านเรื่องการจัดงานเลี้ยงวันเกิด เวลาคุณพูดต้องระวังคำพูดของคุณดีๆ อย่าเพิ่มปัญหาให้ผมอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้าตอบรับ เหลิ่งเซ่าถิงก็รีบเดินออกจากห้องไปทันที เจี่ยนอี๋นั่วมองตามหลังเหลิ่งเซ่าถิง อดไม่ไหวที่จะเอียงหัวด้วยความสงสัยพร้อมคิ้วขมวด เธอไม่เข้าใจว่าทำไมนิสัยของเหลิ่งเซ่าถิงนับวันยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น? เดี๋ยวให้เธอทำอย่างนี้ เดี๋ยวให้เธอทำอย่างนั้น ถึงแม้จะทำยังไงก็ทำให้เขาโกรธอยู่ดี รู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เข้าถึงยากกว่าเมื่อก่อนซะอีก

เจี่ยนอี๋นั่วรอให้เหลิ่งเซ่าถิงออกไปไม่นาน เธอก็รีบล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุดลำลองสบายๆแล้วเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งเดินถึงตรงบันได ก็มองเห็นเหลิ่งหมิงอันหน้าคิ้วขมวดเดินเข้าห้องรับแขกตระกูลเหลิ่งอย่างเร่งรีบ เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเห็นหน้าตาที่กระวนกระวายของเหลิ่งหมิงอันแบบนี้มาก่อน

เหลิ่งหมิงอันเดินถึงหน้าบันได ก็จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว รีบเดินเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเร็ว เอื้อมมือไปกุมมือของเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณนำเรื่องราวไปฟ้องเหลิ่งเซ่าถิงเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ใช่ค่ะ ฉันเล่าให้เขาฟังหมดทุกอย่าง เพราะเขาคือสามีของฉัน ฉันไม่สามารถปิดบังเขาได้”

“สามี?สามีที่จับมือหญิงอื่นเข้าร่วมงานเลี้ยงเนี่ยนะ?”เหลิ่งหมิงอันคว้ามือเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขาออกแรงไม่หยุดจนทำให้มือของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นแผล

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่ได้ขัดขืน เธอคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เขาก็คือสามีของฉัน ตอนนี้คุณกำลังผิดหวังเสียใจ ดูท่าแล้วเขาน่าจะทำเรื่องอะไรให้คุณโมโหขนาดนี้?เรื่องอะไร?คุณไม่สนใจความรู้สึกของใคร ไม่สนใจสถานะ ถ้าอย่างนั้นก็มีเพียงแต่เงินเท่านั้น เขาทำให้คุณสูญเงินไปไม่น้อยล่ะสินะ”

เหลิ่งเซ่าถิงกัดฟันพูดขึ้นว่า:“เจ็ดสิบล้าน แค่ภายในคืนเดียวเขาทำให้ผมสูญเสียเงินไปถึงเจ็ดสิบล้านบาท”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหยุดชะงัก ถึงแม้จะเป็นเงินเจ็ดสิบล้าน สำหรับตระกูลเหลิ่งคงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่ว่าบริษัทขนาดใหญ่หลายแห่งดูเหมือนจะมีทรัพย์สินหลายพันล้านหรือหลายหมื่นล้าน แต่เงินทุนหมุนเวียนเกินร้อยล้านนั้นมันมีไม่มาก เหลิ่งหมิงอันสูญเสียเงินเจ็ดสิบล้านภายในเวลาอันสั้น อาจทำให้เงินลงทุนหมุนเวียนเกิดปัญหา และอุตสาหกรรมภายใต้ชื่อของเขาต้องมีผลกระทบเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ถ้าหากเป็นบริษัทของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าสูญเสียเงินทุนหมุนเวียนขนาดนี้ อาจทำให้บริษัทของเธอล้มละลายได้ในทันที

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงทำได้ยังไง สามารถทำให้บริษัทหนึ่งสูญเสียเงินลงทุนหมุนเวียนจำนวนไม่น้อยภายในเวลาอันสั้นนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ทั้งหมดเป็นเงินหมุนเวียนตั้งเจ็ดสิบล้านเลยนะ?

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเงินจำนวนเจ็ดสิบล้านอยู่นั้น ก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด ทำไมเธอถึงรู้สึกว่า“เลขเจ็ด”นี้ มันช่างคุ้นเหลือเกินนะ เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่?คุณกำลังคิดจะนำเรื่องอะไรไปฟ้องเหลิ่งเซ่าถิงอีกใช่ไหม?”เหลิ่งหมิงอันหน้าคิ้วขมวด กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่โหดเหี้ยม

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด:“คุณทำฉันเจ็บแล้วนะ”

เหลิ่งหมิงอันพึ่งเห็นว่าตัวเองจับแขนของเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่น และมันทำให้เกิดเป็นรอยช้ำแล้ว เหลิ่งหมิงอันพึ่งรู้สึกตัวจึงรีบปล่อยมือ คิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว :“แล้วทำไมคุณไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ”

“ฉันพูดแล้วคุณจะปล่อยฉันไหม?คุณจะสนใจด้วยเหรอว่าฉันจะเจ็บหรือไม่เจ็บ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวเหลือบมองไปที่รอยช้ำที่มือของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณเหลิ่งหมิงอันคะ ฉันเป็นเพียงคนธรรมดา ฉันไม่มี EQ และ IQ เพียงพอที่จะต่อกรกับพวกคุณหรอกนะคะ การกระทำของคุณในคืนนั้น ถึงแม้ฉันจะไม่ได้เป็นคนบอกเหลิ่งเซ่าถิง คุณคิดว่าเขาจะไม่รู้เรื่องเหรอ? เวลานั้นคุณจงใจยั่วยุและทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโมโห เพียงแต่ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงโต้ตอบกลับบ้าง ทำให้คุณรู้สึกไม่สามารถต้านทานไว้ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันเป็นเพราะคุณเป็นคนเริ่มก่อนมิใช่หรือ? ถึงแม้เวลาที่ฉันเจอคุณเมื่อไหร่ มันจะทำให้ฉันรู้สึกโชคร้ายตลอด แต่ฉันรู้สึกมาตลอดว่าหากคุณเป็นคนทำอะไรผิดพลาดแล้ว คุณจะไม่ปัดความรับผิดชอบแน่นอน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าฉันคิดผิด คุณไม่ได้เป็นคนที่มีความรับผิดชอบอย่างที่คิดเอาไว้เลยสักนิด”

“เหอะๆ……” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะขึ้นมาเบาๆ:“ ตั้งแต่คุณกลับมาอยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง ดูคนฉลาดขึ้นเป็นกองเลยนะ คุณคิดว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงแก้แค้นเอาคืนผมนั้นเป็นเพราะคุณเหรอ?ถ้าหากเป็นเพราะคุณ เขาก็คงไม่ให้หลิวจื่อซิงเป็นคู่ควงของเขาหรอก ใช้คุณราวกับว่าคุณเป็นคนรับใช้ให้จัดเตรียมงานเลี้ยงต่างๆ”

“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้น ฉันรู้แล้วว่าระหว่างฉันและเหลิ่งเซ่าถิงเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ที่เขาทำแบบนั้นเป็นเพราะคุณทำให้เขาหมดความอดทน ถ้าหากเขาไม่สามารถปกป้องภรรยาแค่ในนามอย่างฉันได้ แล้วเขาจะทำให้คนอื่นเชื่อใจเขาได้อย่างไรกัน?” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเบา

เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวด ทันใดนั้นเขายื่นมือออกมา เขาคิดจะคว้าข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง แต่เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือไปซ่อนไว้ข้างหลังตัวเอง เดินถอยหลังอย่างระมัดระวัง:“คุณคิดจะทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันรีบคว้าข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว เอามือที่ซ่อนไว้ด้านหลังออกมา คิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ดูข้อมือของคุณสิ!ฉันจะไปเอาน้ำมันยา”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันก็ทำตัวแปลกๆเปลี่ยนไปเหมือนกับเหลิ่งเซ่าถิง เขาเป็นคนทำให้เธอบาดเจ็บ แล้วก็มาทำราวกับว่าเป็นห่วงเป็นใยเธอมาก

เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือออกไปด้วย แล้วรีบพูดไปด้วย:“นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ไม่ใช่ภูเขาร้างที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ คุณควรเคารพสถานที่และให้เกียรติฉันด้วย?”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆหัวเราะออกมา:“คุณจะให้ผมให้เกียรติคุณได้อย่างไร?เราควรจะมีกันและกันแต่แค่มีเส้นกั้นบางๆกั้นอยู่เท่านั้น ตอนนี้ทำให้ผมนึกย้อนไปในวันที่คุณอยู่ในอ้อมกอดของผมและเข้ามาจูบผม ผมควรจะถ่ายภาพในวันนั้นเก็บเอาไว้ อยากให้คุณเห็นว่าท่าทางเวลานั้นของคุณเป็นอย่างไร ……”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงนี่ ก็นึกถึงผิวที่นุ่มลื่นของเจี่ยนอี๋นั่ว สูดหายใจเข้าลึกๆและหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาเข้าไปใกล้ๆ กระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว:“เวลานี้ผมอยากจะฉีกเสื้อของคุณออก ทับร่างของคุณเอาไว้ แล้วนอนกับคุณ ทำจนกว่าคุณจะร้องไห้…… ถึงแม้ได้ยินมาว่าคุณมีลูกให้เหลิ่งเซ่าถิง แต่ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน ว่าไง? ให้ผมเป็นผู้ชายคนแรกของคุณดีไหม?”

ทุเรศ!

เมื่อ เจี่ยนอี๋นั่วทนต่อไปไม่ไหวยกมือขึ้นเพื่อที่จะตบหน้าเหลิ่งหมิงอันนั้น เธอก็รีบหยุดชะงักทันที เก็บอาการโมโห เอาไว้ เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาค่อย ๆ หัวเราะออกมา เธอค่อยๆหันหน้าพูดกับเหลิ่งหมิงอันว่า:“คุณเหลิ่งหมิงอันคะ คิดทบทวนดีๆ คิดถึงเงินหมุนเวียนที่เสียไปนะคะ อย่ามายั่วโมโหฉัน ทำให้ห้องโถงคฤหาสน์ตระกูลเกิดเรื่องที่ไร้สาระขึ้นนะคะ คุณอยากลองดีใช่ไหมคะว่าถ้าหากฉันตบหน้าคุณในห้องโถงนี้ รู้ไหมเหลิ่งเซ่าถิงจะปกป้องฉันยังไง? ถ้าหากฉันลงมือตบคุณ คุณพ่อหรือคุณแม่ของคุณก็จะเดินออกมา และจะไปรายงานให้คุณนายเหลิ่งทราบ ?เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายเหลิ่งแน่นอนว่าฉันจะไม่เล่าคำพูดทุเรศที่คุณพูดกับฉัน หรือการกระทำที่ทุเรศเหล่านั้นแน่ ถ้าอย่างนั้นฉันจะกลายเป็นฝ่ายที่ผิด หากเหลิ่งเซ่าถิงต้องการปกป้องฉัน คงต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย คุณอยากเห็นใช่ไหมคะว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะทำเพื่อฉันได้มากขนาดไหน? คุณฟังนะ เขาไม่ได้เพื่อฉัน แต่เพราะคุณล้ำเส้นเขามากเกินไปแล้ว”

“ฮึม……”เหลิ่งหมิงอันสีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ เข้าไปกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมคุณต้องมาทดสอบความรู้สึกของผมแบบนี้ ?รู้ไหมคุณทำให้ผมปวดใจ”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงผลักมือเหลิ่งหมิงอันออก พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันต้องไปปรึกษาหารือการจัดงานเลี้ยงกับคุณนายเหลิ่ง ฉันขอตัวก่อนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินผ่านหน้าเหลิ่งหมิงอันไปทันที เหลิ่งหมิงอันเป็นบุคคลที่อันตรายมากจริงๆ เขาแสดงละครได้เก่งมากจริงๆ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้เลยว่าคำไหนที่เขาพูดจริงคำพูดไหนที่เขาพูดโกหก และคำพูดไหนที่เขาแกล้งหลอกถาม เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับเหลิ่งหมิงอันต้องใช้สติในการคิดรอบคอบอย่างมาก และต้องวิเคราะห์คำพูดของเหลิ่งหมิงอันอย่างระเอียดถี่ถ้วน

หลังจากมองเจี่ยนอี๋นั่วเดินจากไป เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะจ้องมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว:“เกมนี้น่าสนุกจริงเลย ถ้าโง่กว่านี้หน่อยก็คงดี”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องของคุณนายเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งมองเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบหัวเราะพร้อมพูดว่า:“พักผ่อนเพียงพอแล้วเหรอ?เมื่อวานฉันกลัวว่าจะมีคนไปรบกวนเธอ ก็เลยจัดคนไปเฝ้าหน้าประตูโดยเฉพาะ”

เฝ้าหน้าประตูห้อง?เป็นการกักบริเวณซะมากกว่าค่ะ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ เธอหัวเราะพูดขึ้นว่า:“หลับสบายดีมากค่ะ เหลิ่งเซ่าถิงให้ดิฉันมาถามคุณย่าว่า จะต้องจัดเตรียมงานเลี้ยงยังไงคะ”

“เธอรู้ไหมเหลิ่งเซ่าถิงจะพาผู้หญิงอีกคนมาเข้าร่วมงานเลี้ยง?” คุณนายเหลิ่งหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพยักหน้าตอบรับ:“ดิฉันทราบค่ะ เหลิ่งเซ่าถิงเคยเล่าให้ฟังแล้วค่ะ ดิฉันคิดว่าเขาทำถูกต้องแล้วค่ะ ถึงแม้ตอนนี้ดิฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายแค่ในนามเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้วนั้นหน้าที่ของดิฉันคือมีลูกให้กับเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้นค่ะ ดิฉันรู้ดีค่ะไม่ได้เพียบพร้อมและเหมาะสมกับการที่จะเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงได้ค่ะ และที่สำคัญไม่เหมาะที่จะอาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งอีกต่อไปค่ะ ถ้าหากเปิดเผยว่าดิฉันเป็นภรรยามันก็ดูไม่สมควรเท่าไหร่ค่ะ เขาควรมีคู่ควรค่ะ ดิฉันเคยเห็นคุณหนูหลิวจื่อซิงแล้วค่ะ เป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมและเหมาะสมกับเซ่าถิงมากค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดโกหกโดยไม่กะพริบตาระหว่างที่ปั้นเรื่อง

หลังจากที่คุณนายเหลิ่งได้ยิน พอใจกับคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วมาก เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วหัวเราพูดขึ้นว่า:“

ถึงแม้ช่วงนี้เธอจะก่อเรื่องไว้ไม่น้อย แต่ฉันคิดว่าฉันเลือกคนไม่ผิด เทียบกับผู้หญิงอื่นเธอก็ถือว่าใจกว้างมาก เกิดเป็นผู้ชายมีเล็กมีน้อยมันเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่เกิดเป็นผู้ชายในตระกูลเหลิ่งของพวกเรา เธอไม่ได้เป็นเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆที่ขี้อิจฉาตาร้อน ข้อนี้ฉันพอใจอย่างมาก”

ที่ไม่ขี้อิจฉาเป็นเพราะว่าไม่สนใจ อะไรคือการให้ผู้ชายของตัวเองไปคบหญิงอื่นหลายๆคนได้และมองว่านั้นเป็นเรื่องธรรมดา? ผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่วต้องการผู้ชายที่รักเดียวใจเดียวเท่านั้น

ถึงแม้ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่เห็นด้วยกันกับสิ่งที่คุณนายเหลิ่งพูด แต่เธอต้องแกล้งแสร้งยิ้มว่าเห็นด้วย พูดด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า :“คุณย่าพูดถูกต้องแล้วค่ะ”

ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ ถึงจะนอนกอดด้วยกันมันก็คงไม่เป็นอะไรหรอก เจี่ยนอี๋นั่วค่อยโล่งใจขึ้นหน่อย เธอนอนอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วหลับไป

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวจ้อมมองเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆหัวเราะออกมา สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วมันเป็นความรู้สึกที่พิเศษมาก เขาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหลับในอ้อมกอดของเขา ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกกำลังเลี้ยงดูเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนกับสัตว์เลี้ยงที่เขาเลี้ยงไว้ แล้วก็เหมือน……

เหลิ่งเซ่าถิงคิดถึงนี่ ก็รีบหรี่ตาทันที ก้มหัวแล้วสวมกอดเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่ควรคิดเรื่องนี้อีกต่อไป ถ้าไม่อย่างนั้นเขาจะทำอะไรลงไปโดยที่เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ และตอนนี้มันทำให้เขาไม่สามารถสวมกอดเจี่ยนอี๋นั่วได้อีกต่อไป การที่ได้สวมกอดเจี่ยนอี๋นั่วนั้นรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากๆ และสำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วมันช่างดีเหลือเกิน

เพียงแต่พฤติกรรมของเจี่ยนอี่นั่วในวันนี้มันดูแปลกๆ เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวมองเจี่ยนอี๋นั่ว เอื้อมมือไปลูบที่ริมฝีปากเจี่ยนอี๋นั่ว หน้าคิ้วขมวด จะจูบน่ะเหรอ?ถ้าอย่างนั้นมันคือความรู้สึกแบบไหนกันแน่?

เหลิ่งเซ่าถิงทนไม่ไหวค่อยๆก้มหัวลง เข้าไปใกล้ริมฝีปากเจี่ยนอี๋นั่ว ริมฝีปากเจี่ยนอี๋นั่วมันนุ่มนวลที่สุด เวลาเธอหลับริมฝีปากของเธอเหมือนกับเด็กเลย เธอมีใบหน้าที่น่าจูบมาก เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวที่จะกั้นหายใจ แล้วริมฝีปากของเขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มได้กลิ่นหอมนวลจากริมฝีปากเจี่ยนอี๋นั่ว ช่างน่าหลงใหลมาก ทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น……

เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเหลิ่งเซ่าถิงเต้นแรงเสียงดังเหมือนดั่งเสียงกลอง แววตาของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาจ้องมองไปที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างมีความหวัง และหวังว่าสักวันความหวังของเขาจะเป็นจริง

และวินาทีที่ริมฝีปากของเหลิ่งเซ่าถิงจะจูบโดนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วนั้น ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้สติกลับคืนมาก ใช้แรงผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก ตัวเขาเองรีบลุกเดินลงจากเตียงและรีบออกห่างเจี่ยนอี๋นั่ว

“เกิดอะไรขึ้นคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาเบาๆลุกขึ้นนั่งโดยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงที่มีท่าทางอ้ำๆอึ้งๆ เธอยังมีอาการง่วงนอนอย่างเห็นได้ชัด

เหลิ่งเซ่าถิงยืนพิงที่ผนังเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ก็ไม่ทำให้อารมณ์ของเขากลับมาเป็นปกติได้ เขาตอบกลับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยอาการที่ยังตื่นตะหนกอยู่ว่า:“ผม……ผมพึ่งนึกขึ้นได้ว่าผมยังมีงานที่จะต้องทำต่อ เวลานี้ยังเข้านอนไม่ได้ คุณเข้านอนก่อนเถอะ”

“ค่ะ……”เจี่ยนอี๋นั่วมีอาการที่หลับๆตื่นๆ เธอไม่ได้สังเกตอาการที่เปลี่ยนไปของเหลิ่งเซ่าถิง เธอรีบพยักหน้าแล้วเอนตัวลงนอนแล้วหลับไปในทันที

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์ของเขาก็ยังคงตื่นตระหนกอยู่ ก่อนหน้านี้เขาไม่อยากเผชิญความรู้สึกที่แท้จริงที่มีต่อเจี่ยนอี๋นั่ว เขาพยายามบังคับตัวเอง การที่เขาสวมกอดและการที่เขาปกป้องเจี่ยนอี๋นั่วนั้น มันเป็นแค่เกมในเวลาว่างของเขาเท่านั้น แต่อาการของเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อกี้นี้ มันทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีก เขาน่าจะหลงรักเจี่ยนอี๋นั่วเข้าแล้วจริงๆ

เขาค่อยๆเดินไปข้างๆโต๊ะหนังสือ เปิดคอมฯแต่เขากลับไม่มีกระจิตกระใจจะทำงานต่อ เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนตกอยู่ในความผิดที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ยิ่งบังคับตัวเองมากเท่าไหร่ เหมือนยิ่งจะถลำลึกลงไปมากเท่านั้น

การพบกันระหว่างเขาและเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเขาคิดว่ามันคือเรื่องที่ผิด เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าเป็นเรื่องที่ผิดมากๆ การที่เขายินยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใกล้เขา เป็นเพราะเดิมทีเขาเกลียดชังเจี่ยนอี๋นั่วมาก และเขาไม่ชอบการกระทำของเจี่ยนอี๋นั่วเอามากๆ รู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เห็นแก่เงิน และเป็นผู้หญิงที่ไม่แตกต่างจากคนในตระกูลเหลิ่ง ดังนั้นเขาจึงยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใกล้เขา เป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่มีผู้หญิงคนไหนที่จะเอาชนะใจเขาได้ เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าผู้หญิงที่เขาเกลียดชังอย่างเจี่ยนอี๋นั่วก็เช่นกัน

แต่ว่าคาดไม่ถึงเรื่องราวมันจะกลับตาลปัตรเช่นนี้ ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเจี่ยนอี๋นั่วเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่?หรือตอนที่ได้ยินเสียงเต้นหัวใจของทารกน้อยในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว?หรือตอนที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วนอนหมดสติจมกองเลือดอยู่กับพื้น?หรือตอนที่เขาบริจาคเลือดให้กับเธอ แล้วรู้สึกว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเขา?

แล้วมันเริ่มตอนไหนกันแน่ เหลิ่งเซ่าถิงคิดไม่ตก แต่เขารู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรต่อไป เขาจำเป็นต้องหยุดเรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่การที่หลงรักของชิ้นหนึ่งแล้ว มันสามารถเอาไปเผาทิ้งและทำลายมันทิ้งได้ แต่การที่หลงรักคนๆหนึ่ง ควรจะทำอย่างไรดี?เขาสามารถบังคับและควบคุมตัวเองได้จริงๆหรือ?

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วร่างที่กำลังหลับใหลอยู่ เขาใช้แรงกระพริบตาและหลับตาลง

เมื่อที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นนอน เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถึงยังคงนั่งอยู่ข้างๆโต๊ะหนังสือ เธอค่อยๆลุกขึ้นจากเตียง เดินไปหาเหลิ่งเซ่าถิงที่ข้างๆโต๊ะหนังสือ เอามือแตะที่ไหล่เหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า“นี่ คุณประธานใหญ่เหลิ่งคะ ทำไมคุณถึงมานอนตรงนี้คะ?ท่านอนของฉันมันแย่มากเลยเหรอคะ?มันถึงทำให้คุณต้องย้ายมานอนที่นี่”

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด ทำให้เขาตกใจตื่น ทันใดนั้นจ้องมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว

แววตาของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับตกใจ รีบร้อนเอามือถูหน้าของตัวเอง :“ผม ผมทำไมเหรอ ?มีรอยอะไรติดอยู่ตรงหน้าของผมหรือเปล่า?”

เหลิ่งเซ่าถิงขอบตาดำ และเสียงของเขาแหบเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน :“ไม่มีนี่ ผมแค่คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ คิดถึงเรื่องที่เคยเลี้ยงแมวตัวหนึ่ง เรื่องราวมันผ่านไปนานมากแล้ว นานจนผมเกือบลืมเรื่องนี้ไปแล้ว เมื่อคืนบังเอิญนึกขึ้นมา”

“แมว?”เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงต้องเอ่ยถึงแมวด้วย

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า :“มีแมวอยู่หนึ่งตัว ไม่ได้น่ารักสักเท่าไหร่ แต่ชอบอยู่ใกล้ผมมาก ขนาดเวลาที่ผมจะเข้านอน มันยังมาขดตัวนอนใกล้ผม เวลานั้นคุณพ่อและคุณแม่ของผมพึ่งจากไป คุณย่ากำลังยุ่งอยู่กับธุรกิจของตระกูล ผมยังไม่ถูกเลี้ยงดูมาเป็นสภาพอย่างทุกวันนี้ ก่อนหน้านี้ผมเป็นเพียงเด็กที่ไร้เดียงสาธรรมดาๆคนหนึ่ง ผมหมกมุ่นอยู่กับการเลี้ยงดูมัน และมีเพียงมันที่จะไม่สนใจยศถาบรรดาศักดิ์ของผม ไม่ว่าผมจะเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่งหรือไม่ มันก็จะยังอยู่ใกล้ๆผม ต่อมามีคนจับมันไปเป็นตัวประกัน ข่มขู่ว่าจะฆ่ามันเพื่อใช้มันเป็นเครื่องมือให้ผมไปเอาเอกสารในห้องหนังสือของคุณย่า ผมทำตามที่พวกมันสั่งทุกอย่าง จากนั้นคุณย่าสืบหาจนรู้ความจริง เพื่อเป็นการสั่งสอนผม แมวตัวนั้นมันก็หายไปตลอดกาล เหลิ่งหมิงอันเป็นคนเล่าให้ผมฟังเองว่าแมวตัวนั้นถูกคุณย่าสั่งให้คนรับใช้ฆ่าทิ้ง แล้วฝังมันไว้ยังไง”

“มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน”เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

“โหดร้ายจริงเหรอ?”เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ผมทำเพื่อช่วยชีวิตแมวตัวนั้น ทำให้ตระกูลเหลิ่งเสียเงินหลายร้อยล้าน ผมเกือบจะถูกถอนออกจากการเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่งแล้ว นี่เป็นบทเรียนเรื่องที่หนึ่งในชีวิตของผม แล้วต้องบังคับยับยั้งความต้องการของตัวเอง ถ้าหากผมแสดงออกมาว่าผมไม่ค่อยรักแมวตัวนั้นเท่าไร่ แล้วปล่อยมันไป มันก็คงจะไม่โดนคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการบังคับผม ถ้าหากผมไม่ชอบแมวตัวนั้น คงทำให้คนที่ข่มขู่ผมกำจัดแมวตัวนั้นทิ้ง มันก็คงไม่เกิดปัญหาต่างๆตามมาอีก ก่อนที่ผมจะมีพลังที่แข็งแกร่งแบบนี้ผมห้ามมีจุดอ่อนใดๆทั้งสิ้น”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเพียงว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดถึงเรื่องที่ตัวเองนั้นชอบผู้ชายอยู่ ค่อนข้างเห็นอกเห็นใจเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเอามือตบที่ไหล่เบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันไม่รู้ฉันควรจะพูดว่าอย่างไร แต่ว่าเรื่องมันก็ผ่านพ้นไปแล้วก็ให้มันผ่านพ้นไปเถอะ คุณอย่าไปเศร้าใจอีกเลย”

“เรื่องที่มันผ่านพ้นไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้มันกำลังจะเริ่มขึ้นใหม่……”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา

“เฮ้ย?หรือว่าตอนนี้คุณมีคนที่คุณรักแล้ว ……”

ผู้ชายเหรอคะ?

เจี่ยนอี๋นั่วเกือบพูดออกมาแล้ว เธอคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง รีบหยุดพูดในทันที หลังจากหยุดชะงักไปชั่วขณะ เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดต่อว่า:“หรือว่าคุณมีแมวตัวโปรดตัวใหม่แล้ว?”

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ถ้าหากว่าเธอเป็นแมวตัวนั้น เธอหวังจะให้ผมทำอย่างไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าตาคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“มันก็เป็นเรื่องที่พูดยากนะ ถ้าหากมันรักคุณมาก มันสามารถตายแทนคุณได้มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าหากว่ามันไม่รักคุณ แน่นอนว่าคุณควรต้องปล่อยให้มันเป็นอิสระ เป็นแมวที่เร่ร่อนอยู่ข้างนอก ยังดีกว่าโดนฆ่าตาย”

“ผมถามว่า ถ้าหากเป็นคุณล่ะ?คุณจะเลือกยังไง?”เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกลำบากใจ รู้สึกว่าถึงจะตอบเหลิ่งเซ่าถิงยังไงเขาก็ไม่พอใจกับคำตอบอยู่ดี เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหยุดไปชั่วขณะ ค่อยพูดความในใจออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบา:“คุณก็รู้ว่าฉันปอดแหก ฉันชอบเป็นแมวที่เร่ร่อนมากกว่า มีคนมากมายที่อยากจะเลี้ยงดูฉัน ฉันยังไม่อยากตายง่ายๆหรอก

เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วนานมาก ทันใดนั้นเขาก็เม้นปากขึ้นและหัวเราะออกมา เขาไม่เคยแสดงอาการหัวเราะแบบนี้ก่อน ในความเป็นจริงเหมือนกับว่ากำลังพูดประชดและหัวเราะเยาะซะมากกว่า มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแล้วรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะนานมาก ค่อยๆหยุดหัวเราะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“เอาล่ะ ผมเข้าใจแล้ว ก่อนหน้านี้ผมมักจะดูถูกคุณ เวลานี้ผมพึ่งรู้ว่า คุณมีสติมากกว่าผม รู้ว่าตอนไหนควรจะยอมแพ้ ตอนไหนควรจะสู้ ผมก็ควรจะเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมก็ควรที่จะสามารถควบคุมตัวเองได้ และนี่ก็เป็นบททดสอบของผมอีกครั้งหนึ่ง ผมจะไม่ยอมไล่แมวตัวนั้นไปไหน ผมจะเก็บแมวตัวนั้นอยู่ข้างกายผม แล้วก็ดูแลเธออย่างดีให้เหมือนเมื่อก่อน และเธอควรรู้ว่าเธอไม่ควรสร้างปัญหาให้ผมอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแฝงไว้ด้วยความหมายอะไรสักอย่าง แต่เธอก็กลับฟังไม่เข้าใจเหลิ่งเซ่าถิงหมายถึงอะไรกันแน่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมีความรู้สึกแปลกๆ รู้เพียงว่าเธอไม่ควรรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงหมายถึงอะไรกันแน่ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับเธอ

“วันนี้ไม่ต้องออกไปทำงานแล้ว ช่วยจัดงานเลี้ยงหน่อยนะ พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคุณย่า จะมีการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ขึ้น ”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“จริงเหรอคะ?ฉันต้องเข้าร่วมด้วยเหรอคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วแวบหนึ่ง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา :“ไม่ คุณไม่จำเป็นต้องเข้าร่วม ฉันเชิญให้หลิวจื่อซิงเป็นคู่ควงของฉันแล้ว คุณยืนดูอยู่ข้างๆก็พอแล้ว เพราะคุณเป็นแมวเร่ร่อนที่กลัวตาย ที่สำคัญแมวเร่ร่อนอย่างคุณไม่เหมาะกับสนามรบของคนแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ พูดด้วยน้ำเสียงกระซิบ:“พูดได้น่าเกลียดมาก”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณไม่อิจฉาแล้วเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสงสัยมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง:“อิจฉาอะไรคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดคิดสักครู่แล้วค่อยพูดออกมาว่า:“ผมเชิญหลิวจื่อซิงมาเป็นคู่ของผม แต่กลับไม่ได้เชิญคุณ คุณสามารถมองดูผมอยู่ด้วยกันกับหลิวจื่อซิงอย่างห่างๆ ”

“เมื่อก่อนนี้อาจจะรู้สึกอิจฉานะ”เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงนี่ หัวเราะเบาๆ:“แต่ว่าตอนนี้ไม่รู้สึกอิจฉาแล้วล่ะ”

เพราะว่าคุณ เหลิ่งเซ่าถิงรักผู้ชายไงคะ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอิจฉาหลิวจื่อซิงอย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วได้ฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก้มหัวลงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ต่อไปฉันจะทำให้คุณเดือดร้อนให้น้อยที่สุดนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าหลบไปอีกมุม มุมที่เจี่ยนอี๋นั่วมองไม่เห็น มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย แล้วค่อยๆลูบที่ผมของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดขึ้นว่า:“คุณทานมื้อเย็นหรือยัง?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ:“ค่ะ คนรับใช้เสิร์ฟอาหารมาให้ ฉันทานไปแล้วนิดหนึ่ง จากนั้นฉันก็ไม่รู้ว่าคุณนายเหลิ่งจะจัดการอย่างไรต่อ ก็รู้สึกกังวลใจจนทานไม่ลง ก็เลยวางอาหารอยู่บนโต๊ะนั้นแล้ว กลิ่นอาหารมันเหม็นเหรอคะ? ฉันจะให้คนรับใช้เก็บอาหารที่เหลือออกไปเดี๋ยวนี้”

เหลิ่งเซ่าถิงถลกแขนเสื้อขึ้นพร้อมหันหน้าเหลือบมองไปอาหารบนโต๊ะ:“ ยังเหลือเยอะแยะขนาดนี้เลยเหรอ? ถ้าหากคุณทานอิ่มแล้ว ถ้าอย่างนั้นผมจะทานต่อล่ะนะ เย็นนี้ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย และผมก็ไม่อยากให้คนครัวจัดเตรียมอาหารให้ผมใหม่อีก”

“อุ้ย? นั่น นั่นมันไม่สะอาดแล้วนะคะ” เจี่ยนอี๋นั่วทานอาหารไปแล้วไม่กี่คำ แต่ก็ถือว่าเธอเคยทานแล้ว เวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงจะทานของเหลือที่เธอทานเหลือไว้เหรอ?

“ไม่สะอาด?” เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเอาทรายใส่เข้าไปในอาหารเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะ แค่ฉันเคยทานแล้ว ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับ:“ผมรู้แล้ว”

“ คุณจะทานอาหารที่ฉันทานเหลือนี้เหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ไหวที่จะถาม

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวด ถอนหายใจเฮือก:“ผมเคยพูดกับคุณแล้วนะว่าผมหิวมาก และถ้าหากผมหิวมากๆอารมณ์ของผมจะเปลี่ยนไปทันที ฉะนั้นคุณอย่าพูดอะไรรบกวนผมอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินไปข้างๆโต๊ะ หยิบตะเกียบคีบผักที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ ค่อยๆป้อนเข้าปากแล้วกินทันที ท่าทางการกินของเหลิ่งเซ่าถิงดูสุภาพมาก ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย แม้แต่เสียงตักน้ำซุปก็ไม่ได้ยินเสียง ท่าทางการกินของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเหมือนผู้ดีจริงๆ

แต่ว่าเวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วแค่คิดแต่เรื่องที่เหลิ่งเซ่าถิงกำลังทานอาหารที่ตัวเองทานเหลือ ภายในจิตใจของเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกๆ เธอเคยจำได้ว่า การที่เราทานของเหลือของคนอื่นนั้นจะต้องเป็นคนที่สนิทสนมกันมากเท่านั้นถึงจะทานได้ และยังต้องมีความสนิทกว่าคนที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งซะอีก ถ้าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศที่ไม่เข้าใจเรื่องความรักระหว่างชายหญิง เธอคงคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงคงมีความรู้สึกต่อเธอแล้วแน่ ๆ ถ้าไม่อย่างนั้นเหลิ่งเซ่าถิงคงไม่ทานอาหารที่เธอทานเหลือหรอก?

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกินเสร็จ ลุกขึ้นเรียกคนรับใช้เข้ามาเก็บจานชาม จากนั้นก็เริ่มทำงานหน้าคอมฯต่อ เจี่ยนอี๋นั่วเอนตัวลงนอนที่เตียงจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อสายตาของเธอจ้องมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เงยหน้ามองไปทางเธอทันที เหมือนราวกับว่าบนตัวเหลิ่งเซ่าถิงมีพลังงานบางอย่างรับรู้ว่าเธอกำลังมองเขาอยู่

“อะแฮ่ม ๆ……” เหลิ่งเซ่าถิงเอามือปิดปาก พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณจ้องพอหรือยังครับ?”

เพราะรู้จักนิสัยของเหลิ่งเซ่าถิงดีพอ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วมีความกล้ากว่าเมื่อก่อนมาก รีบตอบอย่างตรงไปตรงมา:“ยังจ้องไม่พอค่ะ”

“อื้อ?”เหลิ่งเซ่าถิงคาดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะกล้าตอบตรงไปตรงมาขนาดนี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองพร้อมไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเอง พร้อมถามคำถามย้ำไปอีกหนี่งรอบ:“คุณกำลังพูดอะไรอยู่?”

เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับอย่างหน้าตาเฉย:“ยังจ้องไม่พออ่ะ อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ว่าตัวคุณเองนั้นหล่อเหลาขนาดไหน ?”

“อื้อ……”เหลิ่งเซ่าถิงรีบหันกลับไปทันที ทำท่าเหมือนกำลังค้นหาหนังสือบนชั้นวางหนังสือเพื่อเก็บซ่อนอาการเขินอายหน้าแดงบนใบหน้าของตัวเอง

ผ่านไปสักพัก หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงหายจากอาการเขินอายหน้าแดง เขาจึงหันหลังตอบกลับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ต่อจากนี้ไปอย่าพูดเรื่องไร้สาระต่อหน้าผมอีก ผมไม่อยากได้ยินคำพูดที่เหลาะแหละแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เอาเถอะค่ะ ต่อไปนี้ฉันจะไม่ชมว่าคุณหล่ออีกแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เอนตัวลงนอนบนเตียงจากนั้นก็เปิดคอมฯเริ่มเคลียร์งานในบริษัทต่อ เหลิ่งเซ่าถิงกลับรู้สึกหงุดหงิด เขาปิดคอมฯ แล้วเดินตรงไปข้างเตียงเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“เอาผ้าห่มให้ผมที ผมจะเข้านอนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปิดคอมฯของตัวเองแล้วเก็บคอมฯไว้ข้างๆ หันหลังหยิบผ้าห่มและกำลังจะยื่นให้เหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า :“ตอนนี้อากาศค่อนข้างหนาว ร่างกายของคุณพึ่งหายดีได้ไม่นาน หรือไม่งั้นคุณไม่ต้องนอนที่พื้นแล้ว มานอนด้วยกันบนเตียงนี้เถอะ……”

ถ้าหากยังเป็นเหลิ่งเซ่าถิงคนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าพูดคำเหล่านี้แน่นอน แต่ว่าตอนนี้สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วมองว่าเขาไม่ใช่ชายแท้ เธอคิดว่าตอนนี้ถึงจะนอนเตียงเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงมันก็ไม่เป็นอะไรหรอก

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดเหลือบมองไปที่รอยยับผ้าปูที่นอนบนเตียง หลังจากนั้นเงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเอามือตบที่ข้างลำตัวเบาๆ ขยับที่นอนให้เหลือช่องว่างไว้หัวเราะพูดขึ้นว่า:“คุณนอนนี่เถอะ ฉันจะนอนอีกด้านหนึ่ง ฉันจะพยายามรบกวนคุณให้น้อยที่สุดนะคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ที่เขาปฏิเสธเธอตลอดเพราะต้องการเว้นระยะห่างระหว่างเขาและเธอ และมันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดระหว่างเขาและเธอ แล้วเขาก็ถูกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วดึงดูดใจ เป็นครั้งแรกที่มันทำให้เขาเกิดความลังเล

“เกิดอะไรขึ้นคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพูดขึ้นว่า:“คุณกลัวฉันเหรอคะ?”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มันกระทบจิตใจของเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรีบตอบกลับทันที:“ทำไมผมต้องกลัวคุณด้วย? ก่อนหน้านี้ที่ผมต้องแยกเตียงนอนกับคุณ เป็นเพราะว่าไม่อยากให้เราใกล้ชิดกันมากเกินไป และไม่ทำระหว่างผมและคุณมีความรู้สึกดีๆต่อกัน ถ้าไม่อย่างนั้นคุณจะตอแยผมไม่หยุด”

“ถ้าหากเป็นแบบนี้ งั้นคุณก็วางใจเถอะ ฉันจะไม่ตอแยคุณอย่างแน่นอน ฉันคิดได้แล้ว ตอนนี้มาย้อนคิดดูฉันรู้สึกว่าการที่ฉันรักคุณมันเป็นเหมือนดั่งความฝัน แต่หลังจากที่ตื่นจากความฝัน” เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพูดว่า ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงชอบผู้ชาย ถ้าอย่างงั้นเธอจะไปตอแยเหลิ่งเซ่าถิงอีกทำไมล่ะ ?

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงมีความสุขเลยสักนิด แต่กลับทำให้เขาหน้าคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา :“คิดได้แล้วเหรอ?ตื่นจากความฝันแล้วจริง ๆ เหรอ?”

“ใช่ค่ะ ดังนั้นคุณโปรดวางใจเถอะค่ะ ฉันจะไม่รบกวนคุณอีกและจะไม่ทำอะไรให้คุณลำบากใจอีกแล้ว ”เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาหัวเราะพูดขึ้นว่า:“เป็นแบบนี้? คุณพอใจไหมคะ?”

“พอใจ”เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆ กัดฟันพูดขึ้นว่า:“ผมพอใจมากจริงๆ”

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เอนตัวลงนอนที่เตียงทันที หันหลังแล้วดึงผ้าห่มมาห่ม ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วมองไม่ออกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังโกรธเธออยู่ ถ้าอย่างนั้นเธอคงเป็นคนตาบอดแล้วจริงๆ แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้จริงๆทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงโกรธเธอขนาดนี้ เธอก็ทำตามในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงต้องการทุกอย่าง และทำสำเร็จทุกอย่างแล้วไม่ใช่เหรอ? เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้เธอเลิกรักเขา เธอก็พยามยามจนทำสำเร็จแล้ว เธอก็คิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วกลัวเหลิ่งเซ่าถิงทำตัวไม่ถูก จึงเว้นช่องว่างระยะห่างบนเตียงให้แล้ว แต่ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่พอใจอีกล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจพร้อมคิ้วขนวด เอื้อมมือไปแตะที่หลังเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ ถามด้วยน้ำเสียงที่เบา :“คุณโกธรฉันเหรอคะ ?”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศนั้น การที่ต้องเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นทำให้เธอไม่รู้สึกกังวลและกลัวแล้ว เธอทำเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเป็นเหมือนรูมเมทที่อยู่ด้วยกัน ทำเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเป็นเหมือนเพื่อนเป็นเหมือนพี่น้องที่เรียนด้วยกันในรั้วมหาวิทยาลัย เพียงแต่นิสัยเพื่อนรูมเมทคนนี้อย่างเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอต้องปลอบใจเขาอยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วกลัวเสียหน้า และไม่ยอมที่จะปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงง่ายๆ แต่ว่าตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่คนเดิมแล้ว เขาไม่ใช่ท่านประธานใหญ่เหลิ่งที่ทำตัวสูงส่งอีกแล้ว แต่กลับเป็นพวกที่เก็บกดและน่าสงสารอย่างมาก เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าปลอบใจเขาหน่อยมันก็ไม่เสียหายอะไร

มองเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ตอบกลับ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองไม่มีศักดิ์ศรีเลย เธอหัวเราะและปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงอย่างต่อเนื่อง:“คุณว่าฉันพูดอะไรผิดไปเหรอ ฉันจะแก้ไขเอง”คุณยกโทษให้ฉันเถอะนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ทำหน้าคิ้วขมวด :“ทำไมคุณถึงเปลี่ยนไปเป็นคนละคน?”

ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วพูดความจริงกับเหลิ่งเซ่าถิง เป็นเพราะเธอรู้สึกว่าเขาเป็นคนที่อ่อนแอเลยจงใจยอมเขา เธอจะต้องถูกเหลิ่งเซ่าถิงฆ่าทิ้งแน่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบา :“ ก็ไม่มีอะไรค่ะ เพียงเพราะอยากทำดีกับคุณเท่านั้นเอง”

“คุณกำลังคิดวางแผนจะทำอะไรอยู่หรือเปล่า?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามกลับ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัว ยกนิ้วสาบาน:“ฉันไม่ได้คิดจะวางแผนอะไรทั้งสิ้น ฉันต้องการให้คุณใช้ชีวิตอย่างมีความสุข อันที่จริงแล้วคุณช่วยเหลือฉันหลายอย่าง ฉันก็ควรที่จะตอบแทนคุณบ้าง เวลาที่ฉันจะอยู่ด้วยกันกับคุณมันเหลือไม่มากแล้ว คุณก็คิดซะว่าฉันกำลังประจบคุณอยู่สิ รอให้ฉันไปจากตระกูลเหลิ่ง และฉันคงมีคุณค่อยปกป้องดูแลแค่นี้ก็พอแล้วค่ะ ”

“พูดแบบนี้ ค่อยฟังขึ้นหน่อย ”เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็จ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักครู่หนึ่ง ค่อยพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“ คุณขยับใกล้เข้ามาหน่อย ผมจะนอนกอดคุณ”

ในเมื่อกลับมานอนด้วยกันบนเตียงเดียวแล้ว ถ้าอย่างงั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ทำใจตามตัวเองอีกครั้ง เขาอยากรู้ว่าเมื่อเขาสัมผัสเจี่ยนอี๋นั่วที่ยังรู้สึกตัวอยู่นั้น เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขาเธอจะรู้สึกยังไง เธอจะอ่อนโยนเหมือนตอนเธอหลับไหม? เมื่ออยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วเธอยังจะรู้สึกกลัวหรือรู้สึกชอบเขากันแน่ ?

“อะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโต

ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นพวกรักร่วมเพศ แต่พฤติกรรมแบบนี้มันดูสนิทสนมกันมากเกินไปไหม

แต่ยังไม่ทันที่เจี่ยนอี๋นั่วจะส่ายหัวปฏิเสธ เหลิ่งเซ่าถิงก็รับคว้าตัวเธอไปอยู่ในอ้อมกอดของเขาทันที

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็แนบชิดอกของเหลิ่งเซ่าถิง ยังไม่ทันที่จะตะโกนออกมาว่าเจ็บ เหลิ่งเซ่าถิงก็เอื้อมมือไปกอดรัดที่เอวเจี่ยนอี๋นั่วแล้วดึงเธอให้มาแนบชิดอกของเขา เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงยังรู้สึกเครียด แต่สักพักค่อยๆผ่อนคลายและสบายใจขึ้นทันที เจี่ยนอี๋นั่วตกใจพร้อมขยับตัวไปมาสักครู่ เหลิ่งเซ่าถิงกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“คุณอย่าขยับ ไม่ใช่อยากตามใจผมหรอกหรือ และทำดีกับผมหน่อยไม่ใช่หรือ? ถ้าอย่างงั้นคุณก็อย่าขยับสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วแทบจะแนบชิดอกของเหลิ่งเซ่าถิง เธอถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์:“นี่คุณเห็นฉันเป็นหมอนข้างเหรอ?”

“หมอนข้าง?”เหลิ่งเซ่าถิงก้มหัวลงสูดดมกลิ่นอันหอมอ่อนๆบนเรือนร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเบาๆ:“มีหมอนข้างที่ไม่เชื่อฟังอย่างคุณด้วยเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ค่อยๆหยุดชั่วขณะ เอามือจับที่หลังของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ หัวเราะพูดขึ้นว่า:“แต่ เรือนร่างของคุณก็ไม่เลวนะ เวลาสวมกอดแล้วมันรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากเลย เหมือนกับหมอนข้างยังไงอย่างงั้นเลยล่ะ”

นี่เปรียบฉันเหมือนหมอนข้างจริงๆเหรอ!

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวด ร้องตะโกนใจ :ฉันไม่ควรสงสารคุณจริงๆเลย

นับตั้งแต่เมื่อคืนที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ค้างคืนอยู่กับเหลิ่งหมิงอันทั้งคืน เธอก็กลัดกลุ้มใจตลอดและไม่ได้พักผ่อนทั้งคืน หลังจากที่ได้ยินความในใจของเหลิ่งเซ่าถิงที่ไม่ถือสาเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเหลิ่งหมิ่งอันแล้วนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็สบายขึ้นมาทันที เธอเอนตัวนอนบนเตียงแล้วก็หลับเลย

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดลงแล้ว เธอขยี้ตาเบาๆพร้อมเดินออกจากห้อง ก็เห็นคนรับใช้ยืนอยู่หน้าประตูห้องพอดี หลังจากที่คนรับใช้มองเห็นเจี่ยนอี๋นั่วส่งรอยยิ้มให้แล้วพูดขึ้นว่า:”คุณหญิงตื่นแล้วเหรอคะ?คุณหญิงหิวหรือยังคะ?ดิฉันจะไปเตรียมอาหารให้เดี๋ยวนี้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่ามันทะแม่งๆ รีบถามว่า”เกิดอะไรขึ้นคะ?”

คนรับใช้ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา:”คุณหญิงโปรดวางใจเถอะค่ะ ไม่ได้มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรอกค่ะ เพียงเพราะคุณหญิงเหนื่อยมากแล้ว คุณหญิงจำเป็นต้องพักผ่อนค่ะ ทางที่ดีคุณหญิงควรพักผ่อนอยู่ในห้อง อย่าออกจากห้องนะคะ”

นี่เธอกำลังถูกกักบริเวณเหรอ?เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะออกมาพร้อมพยักหน้าตอบรับแล้วพูดว่า:”ได้ค่ะ ฉันก็รู้สึกเพลียมากถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวไปพักก่อนนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่รู้สาเหตุที่ชัดเจน จึงไม่อยากมีปัญหากับใคร เธอรีบหันหลังกลับแล้วปิดประตูห้อง ในขณะที่ประตูห้องถูกปิด เจี่ยนอี๋นั่วหน้าคิ้วขมวดขึ้นมาทันที มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง คนที่จะสามารถสั่งกักบริเวณเธอได้นั้นไม่น่าจะเป็นครอบครัวสุยเฉิงจิ้ง แต่น่าจะเป็นคุณนายเหลิ่งซะมากกว่า แล้วทำไมคุณนายเหลิ่งต้องกักบริเวณเธอด้วยล่ะ?

เวลานี้ ในห้องของคุณนายเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงกัดฟันพูดขึ้นว่า:”ทำไมหลานต้องจัดการเหลิ่งหมิงอันเร็วขนาดนี้? ทุกอย่างที่ทำลงไปเพราะผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่วใช่ไหม? ย่ารู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งหมิงอันอยู่ด้วยกันทั้งคืน หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงคฤหาสน์ หลานก็เริ่มลงมือจัดการเหลิ่งหมิงอันทันที นี่หลานพึ่งจะหายดีนะ และหลานยังคุมอำนาจของตระกูลเหลิ่งไว้ไม่ได้ทั้งหมด ก็วู่วามไปปะทะกับเหลิ่งหมิงอัน การกระทำในครั้งนี้ทำให้เหลิ่งหมิงอันต้องรู้แน่นอนว่าใครเป็นพวกของเราบ้าง ต่อไปนี้ถ้าจะใช้งานใครอีกก็คงทำยากขึ้นแล้วล่ะ!”

“ดังนั้นคุณย่าก็หาคนเฝ้าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นพิเศษใช่ไหมครับ?” เหลิ่งเซ่าถิงมองคุณนายเหลิ่งด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยหัวเราะพูดขึ้นว่า

“ถ้าหากเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้หลานทำอะไรวู่วาม งั้นย่าก็ไม่สามารถเก็บเธอไว้ได้อีกต่อไป “คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวไปมา:”ถ้าอย่างนั้นคุณย่าสามารถปล่อยเธอไปได้เลย สาเหตุที่แท้จริงนั้นเป็นเพราะเธอแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นครับแต่ไม่ใช่ทั้งหมด นับตั้งแต่ที่ผมฟื้นคืนมา เหลิ่งหมิงอันก็คิดวางแผนที่จะจัดการผมไม่หยุด มันพยายามเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว เพราะในนามนั้นเจี่ยนอี๋นั่วเป็นภรรยาของผม และมันจงใจยั่วโมโหผม ถ้าหากผมยังอดทนอีกต่อไป ใช่ครับมันสามารถทำให้เหลิ่งหมิงอันรู้กำลังอำนาจของผมที่มีอยู่จริงทั้งหมดได้ แล้วคนที่ติดตามผมคนเหล่านั้นเขาจะคิดยังไงครับ? การมีเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในสถานะที่เป็นภรรยาของผม ถึงแม้ไม่ได้เปิดเผยสู่สาธารณะ แต่คนในตระกูลเหลิ่งก็รู้เรื่องนี้เกือบทั้งตระกูลแล้ว เปรียบเธอเป็นเหมือนของประดับตกแต่งและจะประดับไว้ตรงไหน จะสนใจหรือไม่สนใจเธอมันเป็นสิทธิ์ของผม คนเหล่านั้นที่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในสถานะเป็นภรรยาของผม รู้ว่าผมไม่ชอบเปิดตัวและไม่อยากเปิดเผยสถานะของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็จะเลี่ยงและไม่สนทนาเกี่ยวกับเรื่องนี้ และพวกเขาไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ยิ่งเป็นตระกูลเหลิ่งของพวกเราแล้วนั้น ถ้าหากจะมีเครื่องประดับอย่างเจี่ยนอี๋นั่วมากมายขนาดไหนมันก็ไม่ใชเรื่องแปลก”

เหลิ่งเซ่าถิงแล้วค่อยๆหยุดพูดชั่วขณะ แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:”ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นเครื่องประดับ แต่ก็เป็นในนามภรรยาของผม ถ้าผมยอมให้เหลิ่งหมิงอันคุกคามเธอและถ้าผมไม่หยุดมัน แล้วคนเหล่านั้นคนที่ติดตามผมจะมองผมเป็นคนยังไง มองว่าผมเป็นผู้ชายขี้ขลาด พวกเขาคงคิดว่าการที่ผมต้องอดทนเพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ปะทะกับเหลิ่งหมิงอัน และให้เหลิ่งหมิงอันสามารถก่อกวนและคุกคามภรรยาของผมได้ตามอำเภอใจตลอดเวลาอย่างนั้นเหรอครับ ถ้าพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันดันเกิดเป็นศัตรูของเหลิ่งหมิงอันโดยไม่ทันตั้งตัว ผมจะต้องทำไม่แยแสและไม่ช่วยเหลือพวกเขาจริงๆใช่ไหมครับ? ตอนนี้ผมแค่โชว์ให้เห็นกำลังอำนาจบางส่วนของผมเท่านั้น ผมแค่อยากสั่งสอนเหลิ่งหมิงอัน และแสดงให้คนที่ติดตามของผมเห็นว่าผมใช่ผู้ชายที่ขี้ขลาด มันจะทำให้พวกเขาจะยิ่งเชื่อใจผมมากขึ้น เชื่อว่าผมสามารถปกป้องดูแลชีวิตของพวกเขาได้ แล้วยังมีอีกเรื่องนะครับคุณย่า คุณย่าคงไม่อยากเห็นภรรยาของผมไปเป็นพวกเดียวกันกับเหลิ่งหมิงอันหรอกใช่ไหมครับ……”

คุณนายเหลิ่ง…… เม้มริมฝีปากแน่นแล้วพูดขึ้นว่า:”ฟังจากที่พูดมาแล้วก็มีสมเหตุสมผลอยู่ แต่มันเหมือนเกมหลอกเด็กซะมากกว่า……”

“ไม่ใช่เกมหลอกเด็กนะครับ” เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”คุณย่าคิดว่าอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับผมในครั้งนั้นมันเป็นเหตุสุดวิสัยจริงๆเหรอครับ?”

คุณนายเหลิ่งคิ้วขมวดมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง:” แล้วมันไม่ใช่อุบัติเหตุเหตุสุดวิสัยหรอกเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหัวไปมา หัวเราะด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:”ไม่ใช่ครับ ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุในเวลานั้น ผมได้ยินกับหูของตัวเอง คนขับรถพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา ‘คุณเหลิ่งครับ ผมขอโทษครับ’ แม้ว่าผมจะหาหลักฐานอะไรไม่เจอ แต่ผมกล้าการันตีได้เลยว่ามีคนอยากให้การเกิดอุบัติเหตุในครั้งนั้นเพื่อฆ่าผมให้ตาย คุณย่าครับ ก่อนหน้านี้ที่ผมอดทนมาโดยตลอดและทำเหมือนผมไม่ได้หลอกลวงพวกเขา แต่มันกลับทำให้พวกเขายิ่งได้ใจฮึกเหิมไปกันใหญ่”

คุณนายเหลิ่งท่าทางคิ้วขมวด:“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยหรือ ทำไมหลานไม่พูดกับย่าตรงๆล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพร้อมพูดว่า:“คุณย่าอายุมากแล้ว ผมก็แค่ไม่อยากให้คุณย่าเป็นห่วงผมเท่านั้นเองครับ”

คุณนายเหลิ่งได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดว่าเธออายุมากแล้ว รีบเม้มริมฝีปากพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ถึงแม้เรื่องนี้มันจะไม่เกี่ยวข้องกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ว่าวิธีการของหลานมันก็ไม่ถูกต้อง ถ้าหากพี่ชายของหลานยังอยู่ เขาจะไม่ทำอะไรที่วู่วามแบบนี้แน่นอน”

ถ้าหากพี่ชายของหลานยังมีชีวิตอยู่……

พี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิงถึงจะเป็นส่วนหนึ่งในตระกูลเหลิ่ง ถึงแม้จะโดนบังคับไม่ให้ใครเอ่ยถึงพี่ชาย แต่เมื่อไหร่ที่เหลิ่งเซ่าถิงทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจ คุณนายเหลิ่งก็จะพูดถึงพี่ชายของเขาทุกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกชินกับมันแล้ว เขายิ้มแล้วลุกขึ้นพร้อมพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:คุณย่าครับ ผมออกไปได้หรือยังครับ? แล้วยังมีอีกเรื่องครับ คนรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูห้องของผมและเจี่ยนอี๋นั่วนั้น ควรเรียกกลับไปได้แล้วใช่ไหมครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงเบา:”ไม่ ให้เฝ้าอยู่หน้าห้องนั่นแหละ เพื่อทำให้เหลิ่งหมิงอันเห็นว่าย่าไม่ได้ชอบหรือเอ็นดูเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เผื่อหลานจะทำอะไรวู่วามอีก และทำให้เหลิ่งหมิงอันเข้าใจว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเป็นคนที่สำคัญต่อหลานมากแล้วใช้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเครื่องมือต่อรองอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงกำหมัดแน่นแต่ใบหน้ายังยิ้มแย้มอยู่ ตอบกลับคุณนายเหลิ่งด้วยความรู้สึกที่ตรงข้ามกับใจ:”ผมไม่ได้แคร์เจี่ยนอี๋นั่ว เขาจะใช้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเครื่องมือในการข่มขู่ผม แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรครับ? เป็นเพราะเรื่องที่มันรังแกเจี่ยนอี๋นั่วผมจึงไปหักเงินหมุนเวียนของมัน เป็นเพราะต้องการตักเตือนและสั่งสอนมัน ให้มันรู้ว่าคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงมันไม่ได้รังแกง่ายๆ แต่ถ้าหากมันใช้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเครื่องมือในการข่มขู่ผม มันก็เป็นผลดีที่ทำให้พวกเรารู้จุดอ่อนของมันไม่ใช่เหรอครับ คุณย่าครับ นี่มันเป็นผลดีกับเรานะครับ”

คุณนายเหลิ่งก็หัวเราะออกมา:“ดีมาก ดูท่าแล้วหลานไม่ได้แคร์เจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ แล้วยังมีอีกเรื่องนะ ใกล้ถึงวันเกิดของย่าแล้ว หลานได้เลือกคู่ควงแล้วหรือยังล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาชั่วขณะ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า: “ผมเลือกหลิวจื่อซิงครับ”

คุณนายเหลิ่งตบโต๊ะเสียงดังพร้อมลุกยืนขึ้น:“ทำไมหลานต้องเลือกหลิวจื่อซิงด้วย? ผู้หญิงอย่างหลิวจื่อซิงไม่เหมาะสมที่จะมีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเหลิ่งของเรา! ย่าได้เลือกผู้หญิงที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมไว้ให้กับหลานแล้ว หลานต้องคบกับผู้หญิงแบบนั้นถึงจะดูเหมาะสมกว่านะ”

เหลิ่งเซ่าถิงคื้วขมวด:“คุณย่าครับ ผมตัดสินใจเลือกหลิวจื่อซิงแล้วนะครับ”

คุณนายเหลิ่งจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง:“ย่าแค่บอกหลานว่าหลานควรปฏิบัติตัวอย่างไร แค่หลานทำตามคำสั่งแค่นั้นพอ ย่าอบรมสั่งสอนหลานให้เป็นผู้เป็นคนได้ ไม่ใช่อบรมสั่งสอนให้หลานมาเถียงย่าเพื่อผู้หญิงคนเดียวแบบนี้นะ หลานอยากให้ผู้หญิงอย่างหลิวจื่อซิงหายไปจากโลกนี้ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาหัวเราพูดขึ้นว่า:“คุณย่าครับ คุณย่าอย่าลืมนะครับว่าตอนนี้ผมแต่งงานแล้ว ถึงแม้ผมไม่อยากเปิดเผยเรื่องระหว่างผมกับเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าอย่างนั้นให้หลิวจื่อซิงรับหน้าแทนก็ถูกต้องแล้วนะครับ คนที่รู้เรื่องระหว่างผมกับเจี่ยนอี๋นั่ว พวกเขารู้เรื่องในอดีตของผมว่าหลิวจื่อซิงเป็นคนรักเก่าของผม สำหรับคนที่ไม่รู้จักเจี่ยนอี๋นั่วว่าอยู่ในสถานะเป็นภรรยาของผม เดิมในอดีตผมกับหลิวจื่อซิงเคยเป็นคนรักกัน ในตอนนี้คุณย่ามาเลือกผู้หญิงอีกคนที่เพียบพร้อมให้ผม และอีกฝ่ายคงยังไม่รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเจี่ยนอี๋นั่วใช่ไหมครับ? ถ้าหากพวกเขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมายของผม และพวกเขารู้แค่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นได้แค่ในฐานะชู้ของผมที่ผมพาไปเข้าร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น คุณย่าคิดว่าจะไม่ทำให้พวกเขาโมโหอย่างนั้นเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นผมก็คงมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก”

คุณนายเหลิ่งลูบขมับของตัวเอง จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงและพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ดูท่าแล้ว หลานยังไม่ลืมผู้หญิงอย่างหลิวจื่อซิงใช่หรือไม่”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“เป็นเพราะผมเคยสัญญากับพี่ชายไว้ว่าผมจะดูแลเธอแทนพี่ชายเท่านั้นเองครับ ในเมื่อผมเคยสัญญากับพี่ชายเอาไว้แล้ว ผมจึงต้องทำตามสัญญาที่ให้ไว้ครับ

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะพร้อมพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณย่าควรยกเลิกคำสั่งเฝ้าเจี่ยนอี๋นั่วได้แล้วนะครับ ผมขอตัวกลับห้องก่อนนะครับ คุณย่าครับราตรีสวัสดิ์ครับ”

คุณนายเหลิ่งคิ้วขมวดแล้วค่อยๆพยักหน้าตอบรับ หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องไป คุณนายเหลิ่งพูดพึมพำด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ดูท่าแล้วผู้หญิงที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงก็คือหลิวจื่อซิงนั่นเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องคุณนายเหลิ่งก็คิ้วขมวดและหันหลังมองไปที่ประตูห้องของคุณนายเหลิ่งสักครู่ พอเดินถึงหน้าประตูห้องของตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงมองเห็นคนรับใช้ยังยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูห้อง เหลิ่งเซ่าถิงทำท่าปัดมือเบาๆ:คุณไปเถอะ ไปทำงานอย่างอื่นต่อเถอะครับ พวกเราไม่ต้องการความดูแลจากคุณอีกแล้วนะครับ”

“แต่ว่าคุณนายเหลิ่งท่าน……”คนรับใช้พูดด้วยท่าทางที่นอบน้อม

“นี่เป็นคำสั่งของคุณนายเหลิ่งเอง” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“หรือคุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมพูด?”

คนรับใช่รีบส่ายหัวตอบรับแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า:“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ”

พูดจบ คนรับใช้ก็รีบจากไปทันที เหลิ่งเซ่าถิงผลักประตูห้องเห็นเจี่ยนอี๋นั่วนั่งอยู่บนเตียงด้วยอาการที่ใจไม่อยู่เนื้อกับตัว เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณเป็นอะไร?เห็นคนรับใช้ที่ยื่นเฝ้าอยู่หน้าห้องแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ:“เห็นแล้วค่ะ คุณยังถือโทษโกธรฉันอยู่เหรอคะ? ทำไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ได้?

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมผมถึงต้องทำเรื่องแบบนั้นด้วยล่ะ? ถ้าหากผมไม่เชื่อใจคุณ ผมคงไม่อนุญาตให้คุณอาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งต่อหรอกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดทบทวนสักครู่หนึ่ง รู้สึกน่าจะเป็นแบบนี้จริงๆ ก็พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ขอโทษนะคะ หรือนั้นจะเป็นเพราะคุณนายเหลิ่ง?”

ไม่เห็นเหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนยันได้ทันทีว่าคนที่กักบริเวณเธอนั้นคือคุณนายเหลิ่ง ทำไมคุณนายเหลิ่งต้องทำแบบนี้ด้วยคะ? หรือเป็นเพราะว่าก่อเรื่องอะไรทำให้คุณนายเหลิ่งโกธรขนาดนี้ และทำให้คุณนายเหลิ่งรู้สึกว่าเธอเป็นบุคคลที่อันตรายเลยจำเป็นต้องกักบริเวณ?

“ฉันทำเรื่องอะไรที่ทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอเหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดชั่วขณะ พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หรือเป็นเพราะว่าคุณนายเหลิ่งรู้เรื่องคืนนั้นที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเหลิ่งหมิงอันแล้ว? ฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้คุณเดือดร้อนหรือเปล่า?”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ผมเคยบอกคุณแล้วนะว่าผมจะเป็นคนที่คอยปกป้องและดูแลคุณเอง และผมจะทำตามสัญญาที่ผมเคยให้ไว้กับคุณแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงและตอบกลับอย่างไว:ฉันไม่เคยคบกับเขานะ นั่นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายของฉันเท่านั้นเอง ในวันที่เราเรียนจบ เราได้สังสรรค์งานเลี้ยงอำลากัน ดื่มเยอะไปหน่อย จากนั้นเขาก็จูบฉัน ก่อนหน้านี้ฉันก็ไม่ได้รู้สึกว่ายังชอบเขาอยู่ หลังจากที่ได้จูบกันครั้งนั้น ฉันพึ่งรู้สึกตัวว่าฉันรักเขาเข้าแล้ว…… “

แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าขมวดคิ้ว ตอบด้วยน้ำเสียงเบา:”หลังจากที่ฉันตื่นมา คนๆนั้นก็หายไปแล้ว จากนั้นก็ต่างคนต่างไปไม่ได้ติดต่ออะไรกันอีก ตอนนี้แม้แต่ชื่อและรูปร่างเขาเป็นยังไงฉันก็จำไม่ได้แล้ว แต่ยังจำความรู้สึกรอยจูบตอนนั้นได้ดี พอนึกคิดย้อนความทรงจำในวันนั้น ฉันในเวลานั้นเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ซะมากกว่า”

“ทำไมยังมีคนแบบนี้หลงเหลืออยู่อีกเหรอ เมาแล้วจูบคนอื่นไปทั่ว? ทำไมถึงเป็นผู้หญิงแบบนี้ จูบกับชายอื่นไปทั่ว “ เหลิ่งเซ่าถิวเอามือก้ายหน้าผากพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

ในสายตาเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศแน่นอน ยิ่งได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ ยิ่งรู้สึกอารมณ์เสีย นึกเพียงแต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงถูกเก็บกดมานานเกินไป โดยไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับความรักใคร่ระหว่างชายหญิงแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆขยับเข้าไปใกล้เหลิ่งเซ่าถิง น้ำเสียงที่นุ่มนวลพูดขึ้น:” อันที่จริงเรื่องแบบนี้มันไม่ได้แปลกอะไรเลย มีชายหญิงมากมายแค่ถูกใจก็พากันไปเปิดโรงแรมแล้ว คุณอย่าไปคิดมากเลยมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สมัยวัยรุ่นจูบกับใครหลายๆคน ประสบการณ์แบบนี้มันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้าย ฉันว่านะ ไม่เพียงแต่คู่ระหว่างชายหญิงเท่านั้น คู่ระหว่างชายกับชาย สมัยนี้โลกมัรเปิดกว้างมากขึ้นแล้วนะ…..”

“หุบปาก!”เหลิ่งเซ่าถิงกัดฟันเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยท่าทางที่เย็นชา:”อย่าพูดจาไร้สาระให้ผมได้ยินอีกนะ!”

ให้ตายเหอะ พูดตรงเกินไปหรือเปล่า เหมือนพูดกระทบจิตใจของเขามากเกินไป คนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงคนที่พยายามเก็บกดและฝืนความรู้สึกของตัวเองที่ไม่ให้รักผู้ชาย น่าจะแกล้งทำว่าเกลียดเรื่องแบบนี้และไม่อยากฟังเรื่องความรักของพวกรักร่วมเพศหรอก

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดคิดต่อทันที พูดด้วยน้ำเสียงเบา:” ได้ค่ะ ได้ค่ะ ไม่พูดต่ออีกแล้วค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงถอนหายใจเฮือก เวลานี้ในหัวของเขาถูกเจี่ยนอี๋นั่วปั่นซะจนวุ่นวายสับสนไปหมด เจี่ยนอี๋นั่วพูดตรงเกินไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดกลัวเขาจะรังเกียจเลยเหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงคิดถึงตรงนี้หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยแววตาที่เห็นอกเห็นใจ เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ:คุณใช้แววตาแบบนี้มองผมทำไมกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลบตา พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันใช้แววตายังไงคะ ก็เป็นเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วทำแบบนี้เพื่อปกปิดอาการตื่นตระหนกของตัวเธอเอง สำหรับเหลิ่งเซ่าถิงมองว่า เหมือนเธอแอบรักและแอบมองเขาอยู่ พอเขาดูออกเธอก็รู้สึกเขินอาย ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรักผู้ชายมาแล้วกี่คน และมีความสัมพันธ์กันใครมาแล้วกี่ครั้ง แต่อย่างน้อยเวลานี้คนที่เธอรักคือเขา

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงใจเย็นลง ก็รีบซักถามต่อ:“กี่ครั้ง?”

“อะไรคือกี่ครั้งคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิงด้วยอาการที่มึนงง

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ในคืนนั้น เหลิ่งหมิงอันจูบคุณทั้งหมดกี่ครั้ง?”

“อ้าว? เรื่องนี้เองเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วรีบทำท่าคิ้วขมวด ในความเป็นจริงแล้วเธอไม่เคยจำว่ากับเหลิ่งหมิงอันจูบเธอจูบไปแล้วกี่ครั้ง

ในสายตาของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็งแม้จะเจออุณหภูมิสูงขนาดไหนก็ไม่ละลาย แต่สำหรับเหลิ่งหมิงอันนั้นเป็นคนที่มีความต้องการสูง ขอเพียงมีโอกาสอันน้อยนิด ก็จะแสดงความต้องการนั้นออกมาและไม่หยุดที่จะหาโอกาสเข้าใกล้เธอ

“เจ็ดถึงแปดครั้งได้มั้ง” เจี่ยนอี๋หยุดคิดชั่วขณะ เธอตอบคำถามและบอกจำนวนเหลิ่งเซ่าถิงคร่าวๆ

“เจ็ดครั้งหรือแปดครั้งกันแน่?” เหลิ่งเซ่าถิงจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถาม:“คุณต้องให้คำตอบกับผมที่มันชัดเจนกว่านี้สิ”

“เจ็ดครั้งค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วจำไม่ได้จริงๆว่าทั้งหมดมันกี่ครั้งกันแน่ เพียงแต่ตอบมั่วๆไปเท่านั้นเอง

“อืม ผมรู้ละ” เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าตอบรับด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

คุณรู้อะไรเหรอคะ? เหลิ่งเซ่าถิงอยากรู้ว่าจำนวนทั้งหมดมันกี่ครั้งกันแน่? แม้เหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นพวกรักร่วมเพศ เขาก็ไม่สนใจเธอหรอก เพราะเขาและเธอเป็นแค่สามีภรรยาแค่ในนามเท่านั้น หรือเป็นเพราะเธอถูกเหลิ่งหมิงอันลวนลามเหรอ? แต่หลังจากที่จดจำจำนวนได้แล้ว เหลิ่งเซ่าถิงจะทำยังไงต่อไป? หรือจะหาเหตุผลเล่นงานเธออีกเหรอ? หรือจะหาคำพูดต่อว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีศีลธรรมเหรอ?

“นี่คุณ คุณคิดจะทำอะไรคะ? ฉันเคยบอกคุณแล้วว่า ฉันถูกสถานการณ์มันบังคับ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดอธิบายอย่างต่อเนื่องด้วยน้ำเสียงที่เบา

เหลิ่งเซ่าถิงทำหน้าคิ้วขมวดพร้อมพูดขึ้นว่า:“ผมรู้ คุณถูกเหลิ่งหมิงอันคุกคามและลวนลาม แต่คุณก็ไม่เชื่อว่าผมสามารถเป็นที่พึ่งของคุณได้ ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นว่าผมสามารถปกป้องคุณได้ ต่อไปนี้ถ้าหากเหลิ่งหมิงอันกล้าคุกคามหรือลวนลามคุณอีก คุณไม่ต้องไปใส่ใจอีก และถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณจริงๆสาเหตุเป็นเพราะมัน ไม่ว่าจะมีหลักฐานหรือไม่ ผมก็ไม่มีวันปล่อยมันไป และชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต สำหรับคุณพ่อของคุณผมจะดูแลท่านแทนคุณไปตลอดชีวิต คุณไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น ผมจะปกป้องและดูแลคุณเอง”

ถึงแม้คำพูดที่หลิ่งเซ่าถิงพูดออกมานั้นไม่ค่อยเป็นดีสักเท่าไหร่ แต่ว่ากลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกอุ่นใจมาก ขอเพียงมีใครสักคนสามารถแก้แค้นให้กับเธอ มีใครสักคนสามารถดูแลครอบครัวของเธอแทนเธอได้ความรู้สึกแบบนี้มันช่างดีเหลือเกิน เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าภาระอันหนักอึ้งได้เบาบางลง เธอไม่ได้ผลักภาระความรับผิดชอบดูแลคุณพ่อของเธอไปให้เหลิ่งเซ่าถิง สิ่งต่างๆเหล่านั้นมีความไม่เที่ยงหนอ และเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเธออีก ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกร้อนรนใจมาก เธอกลัวว่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นกับเธอ และกลัวว่าไม่มีใครดูแลคุณพ่อแทนเธอ ความร้อนรนใจแบบนี้มันจะกลายเป็นความวิตกกังวลใจที่รุนแรงมากขึ้น คำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้เธอสบายใจและโล่งอกมากขึ้น และทำให้เธอสามารถเผชิญกับเหตการณ์ต่างๆในชีวิตที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตต่อไปได้

ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวและเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือลูบที่กลางอกแล้วหายใจเข้าลึกๆ อัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆกลับมาเป็นปกติ นี่เธอเป็นอะไรไปเนี่ย? รู้ทั้งรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ชอบผู้หญิง ทำไมหัวใจต้องเต้นแรงทุกครั้งด้วย? เธอเป็นบ้าไปแล้วใช่ไหมเนี่ย?

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ไม่ว่าก่อนหน้านี้คุณจะคบกับผู้ชายมาแล้วกี่คน แต่หลังจากนี้ต่อไปคุณห้ามไปสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นอีก คุณจำไว้นะ ตอนนี้คุณเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น!”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆพร้อมพูดขึ้นว่า:“คุณไม่ต้องกลัวนะ คุณยังมีผม”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“คุณไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างฉันกับเหลิ่งหมิงอันเหรอ? ฉันรู้สึกว่าตัวเองนั้นทำเกินไป และฉันยังละอายใจมากเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณ”

เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“รักษาชีวิตไว้ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับคุณจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนั้นคุณคงจะไม่มีโอกาสอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟังได้อีก? แทนที่คุณเอาเวลาไปคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดใจ คุณควรเอาเวลาไปใส่ใจกับการทำงานดีกว่า นั่นคือสิ่งที่กำหนดได้ว่าคนคนหนึ่งสามารถใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้ไหม”

“ฉันแค่รู้สึกว่าอีกด้านหนึ่งสารภาพรักกับคุณไปด้วย และในเวลาเดียวกันก็ไปอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันไปด้วยมันดูไม่เหมาะสม……”เจี่ยนอี๋นั่วพูดพึมพำ

“ถึงมันจะดูไม่เหมาะสมเอามากๆ ก็ยังดีที่คุณเข้าใจเหตุผลข้อนี้” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ต่อไปคุณก็วางใจที่จะรักผมได้เลย และคุณจะไม่ต้องถูกเหลิ่งหมิงบังคับขุมขู่ให้ทำเรื่องที่ไม่อยากทำอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็ก้มหัวลง เพื่อที่จะซ่อนอารมณ์ของเขา เขาก้มมองนาฬิกาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ผมต้องไปทำงานแล้ว คุณพักผ่อนก่อนเถอะ”

“เหลิ่งเซ่าถิง……”เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวที่จะเรียกชื่อเขา

เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วมีเรื่องที่อยากถามเหลิ่งเซ่าถิงเยอะแยะไปหมด อยากถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าเป็นพวกรักร่วมเพศหรือเปล่า?เมื่อกี้นี้สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมด ตอนนี้คือกำลังอนุญาตให้เธอมีสิทธิ์รักเขาได้แล้วมันหมายความว่ายังไงกัน?ตอนนี้ในสมองสับสนวุ่นวายไปหมด ไม่รู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวเธอเองต้องการถามอะไรกันแน่ พอเหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามา เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ เดินถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วค่อยค่อยส่ายหัวไปมา:“ไม่ ไม่มีอะไรคะ……”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าตาเย็นชาเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วแวบนึง:“ต่อจากนี้ไปถ้ามีเรื่องอะไรจริงๆค่อยเรียกหาผม อย่าทำให้ผมเสียเวลา”

คำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงที่พูดออกมาด้วยความเย็นชานั้น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้สึกตัวว่าต้องกลับมาอยู่บนโลกแห่งความเป็นจริง หลังจากที่มองเหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องไป เธอถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งใจขึ้นมาทันที และไม่เคยรู้สึกโล่งอกโล่งใจขนาดนี้มาก่อน ตอนนี้เธอไม่เพียงได้รับความเชื่อใจจากเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง และยังได้รับคำมั่นสัญญาจากเหลิ่งเซ่าถิงอีก ความรู้สึกนี้มันเยี่ยมจริงๆเลย!

“มันเยี่ยมมากจริงๆ!”เจี่ยนอี๋นั่วได้พูดคำในใจออกมามันทำให้รู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก หลังจากนั้นเธอก็นอนกลิ้งไปมาบนเตียง เธอหยิบผ้านวมบนเตียงมาห่ม ด้วยความรู้สึกที่เสียดายพูดเบาๆว่า:“น่าเสียดายจัง ทำไมเขาต้องเป็นพวกรักร่วมเพศด้วยนะ?”

เมื่อกี้นี้ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงทำให้หัวใจของเจี่ยนอี๋นั่วเต้นแรงอีกครั้ง เธอรู้สึกเสียดายมากจริงๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ ทำให้เธอปลอบใจตัวเองและรู้สึกโชคดีมากๆ ถึงแม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ได้เป็นพวกรักร่วมเพศจริงๆ โอกาสที่พวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันมันช่างน้อยเหลือเกิน แต่ว่าอย่างน้อยก็ยังมีความหวัง

“ช่างมันเถอะ ไม่ต้องคิดมากอีกแล้ว ยังไงสุดท้ายก็เป็นไปไม่ได้อยู่ดี”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา

นั่นสินะ ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นพวกรักร่วมเพศหรือไม่ จะรักหรือไม่รักเธอ พวกเขาก็ไม่สามารถอยู่ด้วยกัน ในเรื่องราวที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดเองเออเองนั้นทำให้เธอรู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อนในเรื่องที่ไร้สาระเหล่านั้น

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งแล้ว ขึ้นไปนั่งในรถแล้วรีบหยิบโทรศัพท์กดโทรออกทันที:“ฮาโหล ได้ข่าวว่าเหลิ่งหมิงอันยังมีการลงทุนธุรกิจด้านอื่นๆอยู่อีกใช่ไหม?ผมให้เวลาคุณหนึ่งอาทิตย์ทำให้เงินหมุนเวียนของมันลดลงเจ็ดสิบล้าน ไม่ว่าคุณจะใช้วิธีการไหนก็ตาม คุณต้องทำให้เงินหมุนเวียนของมันลดลงตามนี้ให้ได้แล้วค่อยวางมือ”

หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงโทรเสร็จก็เก็บโทรศัพท์

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาแล้วคิดในใจ:จูบหนึ่งครั้งเท่ากับสิบล้าน เหลิ่งหมิงอันนี่นายต้องชดใช้ในสิ่งที่นายก่อเอาไว้ ฉันเคยเตือนนายไว้แล้วนะ?

เหลิ่งเซ่าถิงจะไม่ไปหาคำตอบว่าพฤติกรรมเหล่านี้มันแฝงไว้ด้วยอะไร เขารู้แค่เพียงว่าเขาควรต้องทำแบบนี้ ถ้าหากไม่ทำแบบนี้ เขารู้สึกเหมือนในใจยังลุกเป็นไฟอยู่ ทำให้เขารู้สึกโกธรและกระทบต่ออารมณ์ของเขา หลังจากที่เขาหาเหตุผลได้แล้วว่าสาเหตุเกิดจากอะไร และมันจำเป็นต้องกำจัดต้นตอของอารมณ์โกธรนั้นทันที

เธอเป็นผู้หญิงที่อ่อนแอขนาดนั้น ในเวลาที่สวมกอดเธออยู่นั้น เธอจะเข้าไปแนบชิดอกของเขาโดยอัตโนมัติ เหมือนแมวที่จะต้องการเจ้าของเป็นที่พึ่งพิง เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากเธอออกจากชีวิตเขาง่ายๆแบบนี้ เขาเหมือนกับคนที่ชอบกินเนื้อ แต่กลับต้องบังคับจิตใจของตัวเองให้กลายเป็นคนกินมังสวิรัติแทน จากคนที่เคยลิ้มลองรสชาติอันหอมหวานของเนื้อ เขาจะยอมแพ้ง่ายได้อย่างไรกัน

เก็บเธอเอาไว้ ถึงแม้จะเป็นเวลาแค่หนึ่งวันก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าไม่ใช่เหรอ

เหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้นานมาก นานจนเจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิงหรือเปล่าทำไมถึงดูแปลกไป?ต้องสวมกอดเธอขนาดนี้เลยเหรอ?อ้อมกอดแบบนี้มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้เสียเธอไปแล้ว แล้วได้เธอกลับคืนมายังไงอย่างงั้นแหละ แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกลับคุ้นเคยการกับที่เหลิ่งเซ่าถิงทำเย็นชาและเมินเฉยต่อเธอซะมากกว่า และสำหรับคนอย่างเหลิ่งเซ่าถิง น่าจะมองเจี่ยนอี๋นั่วเป็นหมอนซะมากกว่าที่ถูกมองว่าเป็นของล้ำค่า

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดจะผลักเหลิ่งเซ่าถิงออกจากกายเลย และในคืนนั้นที่อยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วได้เรียนรู้ความจริงจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถึงแม้ผู้ชายในตระกูลเหลิ่งจะลงมือฆ่าเธอตอนไหนก็ตาม อย่าไปขัดขืนพวกเขาและอย่าไปกระตุกหนวดเสือ ไม่อย่างงั้นพวกเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้

และแล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกโล่งอกโล่งใจทันที เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปากไว้แน่น ไม่ว่าการสวมกอดในครั้งนี้จะแฝงไว้ด้วยความหมายอะไรก็ตาม อย่างน้อยคำพูดของเธอก็ไม่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโมโห ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วค่อยสบายใจหน่อย

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ มีแค่นี้เองเหรอ?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเบา:“นอกเหนือจากนี้ยังมีอีกไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงครุ่นคิดชั่วขณะ เดิมทีเธอไม่อยากเล่าเรื่องราวอดีตที่ผ่านมาในสมัยเรียนมัธยมปลายแล้ว แต่เธอแค่อยากให้เหลิ่งเซ่าถิงสงสารเธอหน่อย และเพื่อทำให้เหลิ่งเซ่าเกิดความสงสารและเกิดความเห็นอกเห็นใจ จะได้ไม่สืบหาหรือสอบถามข้อมูลอะไรจากเธออีก

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากอย่างแรงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“และอีกอย่างเจ้าภาพงานเลี้ยงที่ฉันไปเข้าร่วมนั้น ภรรยาของเขาเป็นเพื่อนของฉันสมัยเรียนมัธยมปลาย ชีวิตสมัยเรียนมัธยมปลายมันไม่น่าจดจำเอาซะเลย โดนคนกลั่นแกล้งตลอด ฉันไม่กล้าที่จะเล่าให้ใครฟัง อาจเป็นเพราะว่าประสบการณ์ที่ไม่ดีเหล่านั้นมันทำให้ฉันกลายเป็นคนขี้ขลาด……”

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยเรียนมัธยมปลายของคุณนั้น ผมรู้เรื่องตั้งนานแล้ว มันก็ไม่ได้ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร และในตอนนี้คุณยังดูเหมือนเป็นคนขี้ขลาดอยู่อีกเหรอ? ถ้าเป็นคนที่ขี้ขลาดจริงๆคงไม่กล้าย่างกรายเข้าคฤหาสน์เหลิ่งแน่นอน”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าตาคิ้วขมวด หลังจากที่ตัดบทพูดของเจี่ยนอี๋นั่วด้วยท่าทางที่เย็นชา คิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเบา:“เขาจูบคุณยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะกล้าถามคำถามแบบนี้ หลังจากที่เธออึ้งไปสักครู่ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเบา:“ก็จูบแบบนั้นแหละ ก็จูบเหมือนทั่วๆไปนั่นแหละ”

“จูบแบบไหนกันล่ะ?พูดให้ชัดเจนหน่อยสิ”เหลิ่งเซ่าถิงถามต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่ววิตกกังวลใจมากตอนนี้กลับไม่หลงเหลือแล้ว หลงเหลือเพียงแต่ความอายและทำตัวไม่ถูก เหลิ่งเซ่าถิงต้องการให้เธอเล่าอย่างละเอียดว่าเธอจูบกับเหลิ่งหมิงอันยังไง อย่างนั้นเหรอ?เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากไว้แน่น พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่ขอตอบได้ไหมคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงทำท่าหรี่ตา:“คุณสามารถเป็นคนเริ่มจูบเหลิ่งหมิงอันก่อน แค่ข้อเสนอของผมแค่นี้คุณยังให้ไม่ได้เลยเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าคิ้วขมวดพร้อมพูดขึ้นว่า:“ก็จูบแบบนี้แหละ ริมฝีปากแนบริมฝีปาก หลังจากนั้น ……”

“หลังจากนั้น?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดทันที:“ยังมีหลังจากนั้นต่ออีกเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง รู้ว่าตัวเองกำลังพูดไปเรื่อยแล้ว อาการเขินอายหน้าแดงขึ้นมาทันทีพยักหน้าตอบรับ :“ไม่มี หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันท่าทางคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว :“ไม่ ยังมีอีก คุณเพิ่งพูดถึงเมื่อกี้นี้เองนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวและคิ้วขมวด เธอโกธรตัวเองมากที่ไม่รู้จักคิดก่อนพูด เธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบาว่า:“หลังจากนั้นเขา……ฉัน……ให้เล่ารายละเอียดเรื่องแบบนี้มันน่าขยะแขยงมากเลย ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง:“ขอไม่เล่ารายละเอียดเรื่องแบบนี้ต่อได้ไหมคะ ไม่งั้นคุณก็ฆ่าฉันทิ้งซะเถอะ ความรู้สึก ณ เวลานี้อึดอัดกว่าเดิมอีก”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าจุดประสงค์ของเหลิ่งเซ่าถิงเพียงแค่ต้องการดูถูกเธอเท่านั้น ให้เธอเล่ารายเอียดเหตุการณ์ที่จูบกันในคืนนั้น แต่เธอกลับเห็นหน้าตาเหลิ่งเซ่าถิงที่มีแต่ความสงสัยและอาการที่อยากรู้อยากเห็น อาการแบบนี้ของเหลิ่งเซ่าถิงแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน เจี่ยนอี๋นั่วไม่กลัวที่จะคิดไปไกล คนอย่างเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยจูบกับใครเลยจริงๆเหรอเนี่ย ? เขาไม่รู้วิธีการจูบจริงๆเหรอ เขาถึงถามละเอียดขนาดนี้?

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้คบอยู่กับหลิวจื่อซิงหรอกเหรอ?หรือที่เขาและหลิวจื่อซิงคบกันแค่พูดคุยกันเท่านั้นเองเหรอ ?เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเห็นอกเห็นใจหลิวจื่อซิงขึ้นมาทันที หลิวจื่อซิงเป็นแฟนเก่าที่น่าสงสารจริงๆ?

“คุณไม่รู้จริงๆเหรอว่า ควรจะเริ่มต้นจูบยังไง?คุณไม่เคยจูบใครมาก่อนเลยเหรอคะ?เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจเอามากๆ จนทนไม่ไหวที่จะถาม

คิดไม่ถึงจริงๆเลยนะ คุณชายใหญ่แห่งตระกูลเหลิ่ง ทายาทคนต่อไปของตระกูลเหลิ่ง กลับไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน?

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆคิ้วขมวด:“ฉันจำเป็นต้องรู้ด้วยเหรอ?ทำไมต้องเคยผ่านการจูบมาก่อนด้วยล่ะ?”

นึกแล้วเชียวว่าต้องไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน!

เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตาโตจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง ราวกับว่ากำลังจ้องมองสัตว์ประหลาดยังไงอย่างนั้น เหลิ่งเซ่าถิงเพียบพร้อมทั้งรูปร่างหน้าตา อายุ ฐานะทางบ้าน และชาติตระกูล ไม่เคยผ่านการจูบมาก่อน แสดงได้ว่าเขาไม่เคยให้โอกาสผู้หญิงคนไหนเลย เป็นผู้ชายก็ต้องมีเรื่องแบบนี้กันบ้างสิ โดยเฉพาะผู้ชายวัยรุ่นที่มีความอยากรู้อยากเห็นและอยากลอง และนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ แต่เหลิ่งเซ่าถิงอายุมากแล้ว กลับไม่เคยผ่านการจูบผู้หญิงมาก่อน หรือเป็นเพราะว่าเขาชอบผู้ชาย?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องราวถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่ามันต้องเป็นในแบบที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด ถึงว่าล่ะทำไมเวลาเธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดตลอด แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับไม่มีความรู้สึกใดๆเลย ถึงจะเป็นผู้ชายที่เย็นชาขนาดไหน การที่กอดผู้หญิงคนหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องมีปฏิกิริยาและใจเต้นแรงบ้างแหละ แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงทำราวกับว่าเธอเป็นแค่หมอน การคบกันระหว่างหลิวจื่อซิงและเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับมีความสัมผัสลับๆกับเหลิ่งหมิงอัน และนี่ก็คือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงไปหลงรักผู้ชายและไม่สนใจใยดีเธอนั่นเอง ถ้าไม่อย่างนั้นผู้ชายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้ ใครจะปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆล่ะ

หลิวจื่อซิงดูยังไงก็ไม่เหมือนเจี่ยนอี๋นั่วที่เป็นคนที่คิดหน้าคิดหลังอยู่เสมอ เธอกังวลใจอยู่ตลอดว่าถ้าเกิดมีการต่อสู้กันในตระกูลเหลิ่งขึ้นมาจริงๆ กลัวว่าจะกระทบต่อครอบครัวของเธอนั่นเอง

แต่คืนก่อนหลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงกลับจากที่ทำงาน บนตัวของเขามีกลิ่นน้ำหอมและมีรอยลิปสติกติดอยู่บนเสื้อ แล้วนั่นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?หรือนั่นมันไม่ใช่ความจริง ? ความจริงคือเหลิ่งเซ่าถิงรักผู้ชายแต่ไม่กล้าพูดความจริงกับเธอ ดังนั้นอยากให้เธอรู้ถอยยามลำบาก?

“คุณคะ กลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกบนเสื้อของคุณในวันนั้น คุณเป็นคนทำมันขึ้นมาเองเหรอคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถาม

“คุณเป็นอะไร……”เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ก็ค่อยๆหยุดชะงัก จากนั้นดวงตาเป็นประกายชั่วขณะจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด :“มันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงดูจากท่าทางแล้วดูออกทันทีว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังพูดโกหก ถ้าหากเขาเคยคบกับผู้หญิงจริงๆ บนตัวของเขาต้องมีกลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกที่มากกว่านี้แน่นอน และเขาคงจำไม่ได้ว่าเป็นครั้งไหน และเมื่อเขาอยู่ต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วที่เป็นแค่คู่สมรสตามหนังสือสัญญาเท่านั้น เหลิ่งเซ่าถิงไม่จำเป็นต้องปิดบัง

แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วแค่เอ่ยเรื่องในวันนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เข้าใจทันทีว่าเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงวันไหน และยิ่งทำท่าปฏิเสธทันที สำหรับอาการท่าทางที่เหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธทันทีนั้นก็แสดงให้เห็นว่า การที่มีกลิ่นน้ำหอมและรอยลิปสติกในครั้งนั้นเขาจดจำมันได้ดี และนั่นก็เป็นสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงทำขึ้นมาเอง

และแล้วทุกอย่างก็เปิดเผยสักที ทันใดนั้นเจี่ยนอั๋นั่วรู้สึกยกภูเขาออกจากอก เธอเป็นผู้หญิงที่ขาดความมั่นใจในตัวเอง เธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกับเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนั้น เป็นไปได้เหรอที่เหลิ่งเซ่าถิงจะไม่มีความรู้สึกอะไรกับเธอเลยสักนิด ในความเป็นจริงนั้นยังทำให้เธอขาดความมั่นใจมากขึ้นอีกด้วย แต่ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงชอบผู้ชาย ถ้าเป็นอย่างงั้นมันก็ไม่มีปัญหาอะไรอีก

เหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธเธอ ไม่ใช่เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่มีเสน่ห์ แต่เป็นเพราะเขาชอบผู้ชายนั่นเอง เจี่ยนอี๋นั่วก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็วและสามารถสร้างความมั่นใจให้กับตัวเธอเองด้วย ถึงแม้ว่าเดิมทีคุณนายเหลิ่งจะรั้งให้เธออยู่ต่อ แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับพบสาเหตุที่แท้จริง นั่นก็คือการที่เหลิ่งเซ่าถิงจะหาผู้หญิงคนใหม่ได้นั้น มันเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมากที่ผู้หญิงจะยอมมีลูกให้กับเขา และยังต้องยอมรับได้ว่าสามีของตัวเองเป็นพวกรักร่วมเพศ

เวลานี้ในแววตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกเห็นอกเห็นใจ และรู้สึกเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่น่าสงสารเอามากๆ เขาเป็นทายาทคนเดียวของตระกูลเหลิ่ง คงไม่อยากให้เรื่องของตนเองที่เป็นพวกรักร่วมเพศเป็นที่เปิดเผยไปสู่สาธารณะหรอก เหลิ่งเซ่าถิงเสียคุณพ่อและคุณแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก พอโตขึ้นแล้วเกิดหลงรักผู้ชาย อีกทั้งเป็นเพราะฐานะของตัวเองไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ ถึงว่าล่ะทำไมถึงเป็นคนเย็นชาขนาดนี้ ? คนที่โดนกดดันที่จะต้องปกปิดความรู้สึกของตัวเองว่าเป็นพวกรักร่วมเพศ เธอเข้าใจแล้วทำไมเขาต้องใช้คำพูดคำจาที่ทำร้ายจิตใจเธอตั้งแต่รู้จักกันครั้งแรก เพราะถูกกดดันจากที่เขาเป็นพวกรักร่วมเพศ และเป็นไปได้ว่าเขาอาจเห็นผู้หญิงเป็นศัตรูเพราะอิจฉาผู้หญิงเหล่านั้นที่สามารถคบกับชายที่เป็นคนรักได้อย่างเปิดเผย

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากที่เธอโดนบูลลี่เมื่อสมัยเรียนมัธยมปลาย เธอได้อ่านหนังสือแนวจิตวิทยามามากมาย ถ้าไม่อย่างงั้นเธอคงทายไม่ถูกหรอกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่?คุณไม่เชื่อในสิ่งที่ผมตอบไปเมื่อกี้นี้ใช่ไหม?”เหลิ่งเซ่าถิงหน้าคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเฮือก วางมือบนไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง และความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า:“ฉันรู้ว่าในสิ่งที่คุณพูดมาทั้งหมดมันคือความจริง ฉันเข้าใจ คุณวางใจเถอะ และฉันเชื่อสิ่งที่คุณพูดและฉันก็เชื่อในตัวคุณ ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงน่าสงสารมาก ตัวเขาเองรู้สึกเก็บกดมานานแค่ไหนแล้ว และบังคับตัวเองมานานแค่ไหนแล้ว ดังนั้นแม้แต่การจูบก็ยังไม่เคยลองสักที

เป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีประสบการณ์ในการคบหาผู้หญิงน้อยมาก เขาเดาไม่ออกเลยว่าผู้หญิงนั้นเดาใจยากขนาดไหน เขาเหลือบมองมือเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่บนไหล่ของเขา รู้สึกได้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเชื่อใจเขาขนาดไหน เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ไหวหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นรีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของตัวเอง แล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“คุณยังไม่ได้ตอบคำถามฉันเลย คุณจูบการเหลิ่งหมิงอันยังไง”

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นโดนดูถูก แต่หลังจากที่เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นพวกรักร่วมเพศ เวลานี้เธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงกลับรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร และการที่เหลิ่งเซ่าถิงถูกกดดันมากเกินไปทำให้เขารู้สึกแปลกใจและอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้มากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“ถึงแม้ฟังแล้วมันอาจจะดูน่าขยะแขยง แต่ว่าถ้าได้ทำกับคนที่เรารัก มันก็รู้สึกดีไม่น้อย”

“นี่เป็นความรู้สึกของคุณที่มีต่อเหลิ่งหมิงอันเหรอ?”เหลิ่งเซ่าถิงหน้าตาเปลี่ยนเป็นเข้มขรึมถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“ไม่ใช่ค่ะ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหัวปฏิเสธทันที:“วินาทีนั้นฉันกลัวว่าฉันจะตาย ไม่มีกะจิตกะใจคิดเรื่องพวกนั้นหรอก?”

“แล้วถ้าทำกับฉู่หมิงเซวียนล่ะ?”หน้าตาเหลิ่งเซ่าถิงเข้มขรึมมากขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลงส่ายหัวไปมา :“สำหรับคนอื่น”

เหลิ่งเซ่าถิงสีหน้าเปลี่ยนเป็นเข้มขรึมมากขึ้นไปอีก กัดฟันพร้อมพูดว่า:“คุณนี่ช่างเก็บซ่อนได้ดีจริงๆนะ ยิ่งขุดคุ้ยเท่าไหร่ก็ยิ่งขุดเจอผู้ชายมากขึ้นเท่านั้น คุณเคยคบกับฉู่หมิงเซวียนแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ ? ทำไมยังมีผู้ชายคนอื่นอีกล่ะ?”

วันถัดไปเจี่ยนอี๋นั่วรีบซื้อตั๋วเครื่องบิน บินกลับทันที หลังจากที่ไปเยี่ยมคุณพ่อเสร็จ ก็กลับคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งทันที เธอไปพบคุณนายเหลิ่งก่อน จากนั้นค่อยกลับไปที่ห้องเหลิ่งเซ่าถิง

เดิมทีเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงควรจะไปถึงบริษัทแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงคฤหาสน์อยากไปพบคุณนายเหลิ่งก่อน เพื่อดูท่าทีของคุณนายเหลิ่ง แล้วค่อยวางแผนอีกทีว่าจะเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงยังไงดี เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดหรือไม่ควรที่จะพูดเรื่องราวความจริงที่เกิดขึ้นระหว่างเธอและเหลิ่งหมิงอัน ถ้าหากไม่พูดความจริง แล้วมันทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจผิดจริงๆล่ะ ถ้าจะเกลียดชังเธอไม่ว่าหรอก กลัวเพียงแต่จะสงสัยในตัวเธอและระงับการให้ความช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนด้านการเงินเท่านั้น และถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงยังโกธรอยู่แล้วยังรู้สึกว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไร้ยางอาย อาจจะทิ้งเธอไปก็เป็นได้

เจี่ยนอี๋นั่วได้เดินเข้าห้องไปด้วยอาการที่มีความกังวลมากมายในใจ แต่หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้อง ทันทีที่เปิดประตูห้อง ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ที่หน้าต่าง เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะอยู่ในห้องตลอด ในขณะนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ตกตะลึงทันที ต่อจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบก้มหัวลงทันที ได้แต่จ้องมองที่ปลายขาของตัวเองแล้วกลั้นลมหายใจด้วยอาการที่ตกใจ

ถึงแม้จะไม่ได้เจอกันเพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืน แต่ในครั้งนี้เจี่ยนอี๋นั่วได้เจอเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง กลับไม่หลงเหลือความรู้สึกเดิม แต่เหมือนมีเส้นบางๆกั้นอยู่ ความรู้สึกจากที่เคยรัก ตอนนี้กลับดูเหมือนเป็นเรื่องตลกที่ไร้สาระเอามากๆ เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ตรงหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ทันใดนั้นเธอมีความรู้สึกเหมือนเป็นคนต้อยต่ำ ก่อนหน้านี้เธอเคยโดนเหลิ่งเซ่าถิงดูถูก เธอคิดว่าทำไมเธอถึงต้องโดนดูถูกดูแคลนด้วย ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงรักเธอไม่ได้?เวลานี้เธอไม่มีความกล้าพอที่จะถามอะไรอีกแล้ว

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความสัมพันธ์และการใช้ชีวิตคู่สมรสตามหนังสือสัญญาเท่านั้น และเจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าในความเป็นจริงแล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็คบอยู่กับผู้หญิงคนอื่น แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยแสดงอาการว่ามีใจให้เลย ทุกครั้งผู้หญิงคนอื่นจะเป็นคนที่เข้าหาก่อนเสมอ

อีกด้านนึงเจี่ยนอี๋นั่วแสดงอาการที่หลงรักเหลิ่งเซ่าถิง แต่อีกด้านนึงต้องถูกเหลิ่งหมิงอันบังคับและข่มขู่ เธอยอมให้เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เธอยังไม่พอ ยังต้องเอาใจเหลิ่งหมิงอันด้วยการจูบเขา ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงเธอยังมีสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่ารัก? แค่เงยหน้าเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงสักนิดยังไม่กล้าเลย

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่ว แววตาของเขาดูห่างเหินในขณะที่จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่ากำลังจ้องมองกระถางดอกไม้และต้นไม้อยู่ เหลิ่งเซ่าถิงเพียงแค่เก็บซ่อนความรู้สึกลึกๆไว้ในใจ ค่อยๆกำมือแน่นและอารมณ์ของเขาเปลี่ยนไปนิดหน่อย

“ทันทีที่คุณลงจากเครื่อง ก็กลับตระกูลเหลิ่ง เกิดอะไรขึ้นกับคุณใช่ไหม? เหลิ่งหมิงอันก็อยู่เมืองที่คุณไป เขาจงใจตามคุณไปแน่นอน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด ก้มหัวลงสูดหายใจเข้าลึกๆตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบา:”ใช่ค่ะ เกิดเรื่องนิดหน่อยค่ะ เมื่อคืน ฉัน……ฉันและเหลิ่งหมิงอัน”

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นท่าทางลังเลของเจี่ยนอี๋นั่ว เขากำมัดแน่นขึ้น ลมหายใจเหมือนหยุดนิ่ง เขากัดฟันถามต่อ:

“เมื่อคืนมันเกิดอะไรขึ้นกับคุณและเขากันแน่?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวลง มองไม่เห็นท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงด้วยซ้ำ เธอได้แต่เม้มริมฝีปากและคิดในใจ ควรจะบอกความจริงทุกอย่างกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่ใช่เหรอ: “เมื่อคืนนี้ ฉันไปเข้าร่วมงานเลี้ยงของหุ้นส่วน บังเอิญเจอกับเหลิ่งหมิงอัน หลังจากงานเลี้ยงเลิกราเขาหาเหตุผลส่งฉันกลับ ฉันก็เลยนั่งรถกลับกับเขา ระหว่างทางรถเกิดเสีย เวลานั้นโทรศัพท์ของฉันดังขึ้น เขาแย่งโทรศัพท์จากมือของฉันแล้วโยนทิ้งลงภูเขา จากนั้นฉันทะเลาะกับเขา และไม่ทันระวังผลักเขาตกเหว เดิมทีเขาแกล้งตาย ฉันกลัวว่าเขาจะตายจริงๆ ถ้าเขาตาย ตระกูลเหลิ่งไม่ปล่อยฉันไว้แน่ ดังนั้นฉันเลยผายปอดเพื่อช่วยชีวิตเขา……”

“อะไรนะ ผายปอดเหรอ?” สีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนไปว่างเปล่าทันที ท่าทางคิ้วขมวดถามซ้ำอีกรอบด้วยน้ำเสียงเข้ม: “ผายปอดโดยใช้ปากเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าเงยหน้า ก้มหน้าอยู่และพยักหน้าตอบกลับเบาๆ อารมณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงหลังจากที่คุณพ่อคุณแม่และพี่ชายจากไป เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เมื่อมีเหตุการณ์อะไรมากระตุ้นทำให้เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้นั้น ถ้าไม่ทำลายมันทิ้งเขาก็จะเดินหนีมัน ในอดีตของเล่นที่เขาชอบโดนเขาเผาทำลายทิ้งด้วยมือของเขาเอง นิยายที่เขาชอบอ่านก็ถูกซ่อนไว้ในส่วนที่สูงที่สุดของชั้นวางหนังสือ เนื่องจากเขาเป็นทายาทผู้สืบทอดของตระกูลเหลิ่ง จิตใจต้องแน่วแน่ไม่มีอะไรที่จะทำให้ปล่อยวางไม่ได้

เขายังคงอยู่ในอาการเงียบตลอด แม้ในขณะที่เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำในครั้งนั้น เขายังสามารถใจเย็นได้เมื่อถูกวินิจฉัยออกมาว่าต้องเป็นเจ้าชายนิทรา และต้องนอนติดเตียงอยู่ราว ๆ หนึ่งปีเต็ม อุบัติเหตุครั้งนั้นเป็นเพราะเหตุสุดวิสัยหรือมีคนจงใจทำให้มันเกิดขึ้นกันแน่

แต่ว่าในเวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มมีอารมณ์บางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ เขาอยากถามเจี่ยนอี๋นั่วด้วยอารมณ์ที่บ้าคลั่งว่าทำไมถึงไปกับเหลิ่งหมิงอัน? และเขาอยากจะเอาคืนและจัดการน้องชายลูกพี่ลูกน้องของเขาที่อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของๆเขา

“หลังจากนั้นล่ะ? คุณและเขา…..ต่อจากนั้นเกิดอะไรขึ้นอีก?”เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดถามด้วยน้ำเสียงเบา

ตอนนี้ในใจเจี่ยนอี๋นั่วสับสนวุ่นวายมาก เธอไม่ทันได้สังเกตน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ทันสังเกตเลยสักนิดว่าอาการของเหลิ่งเซ่าถิงร้อนรนขนาดไหน เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืนนี้ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือขอบตาแดงก่ำ: “ฉันไม่สามารถต้านทานเขาได้……”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับเดินเซถอยหลัง เขาคิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:”ผมเข้าใจแล้ว ผมจะจัดการเรื่องนี้เอง ”

เหลิ่งเซ่าถิงดูจากอาการของเจี่ยนอี๋นั่ว คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งหมิงอันบังคับขืนใจ เวลานี้ในหัวของเหลิ่งเซ่าถิงคิดเพียงอย่างเดียว ก็คือฆ่าเหลิ่งหมิงอันทิ้งซะ ไม่ ไม่เพียงแค่ฆ่าทิ้ง แค่นั้นมันยังไม่พอ เขาต้องคิดหาวิธีกำจัดเหลิ่งหมิงอันอย่างทรมานและตายทั้งเป็น

เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยรักใคร ดังนั้นอารมณ์โกธรของเขาแสดงมาอย่างไม่รู้ตัว ไม่ใช่เพราะว่าเขารู้สึกต่อเจี่ยนอี๋นั่วพิเศษกว่าคนอื่นหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาเคยเตือนเหลิ่งหมิงอันแล้ว เหลิ่งหมิงอันยังกล้ามาลองดีอีก ทำให้เส้นฟางเส้นสุดท้ายของเขาขาดลง

“แต่ แต่ว่าฉันก็เป็นคนเริ่มก่อนเอง” เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้เกิดเรื่องใหญ่โตขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงกับเหลิ่งหมิงอันทะเลาะกัน ไม่ว่าผลสรุปจะเป็นอย่างไร สุดท้ายคนที่ซวยที่สุดก็คงไม่พ้นคนกลางอย่างเธอ เธออยากออกมารับผิดชอบบางอย่าง อาจจะลดความขัดแย้งระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเหลิ่งหมิงอันก็เป็นได้

“เริ่มก่อน? เหลิ่งเซ่าถิงหยุดชะงัก เมื่อกี้เขายังมีอาการโมโหมาก แต่ตอนนี้อารมณ์โมโหนั้นหายไป ตอนนี้เขารู้สึกว่าอารมณ์ทั้งหมดถูกดึงออกไปจากร่างกายของเขา เขาใช้แววตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนคนแปลกหน้า ผู้หญิงคนนี้คนที่เขาปฏิเสธรัก คนที่ร้องไห้เพราะเขาและร้องไห้ต่อหน้าเขาเมื่อหลายวันก่อน หลังจากผ่านไปแค่หนึ่งคืนกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายอีกคน? ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่?

ถ้าหากเป็นเพราะเหลิ่งหมิงอันบังคับเธอ ถ้าอย่างงั้นเหลิ่งเซ่าถิงต้องลงมือฆ่าเหลิ่งหมิงอันแน่นอน แต่ถ้าหากเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนเริ่มก่อน สำหรับเธอ เหลิ่งเซ่าถิงได้แต่ยืนอึ้งไปสักพักใหญ่ๆ และไม่รู้จะลงโทษเจี่ยนอี๋นั่วยังไงดี? เขาไม่อยากฆ่าเธอและไม่อยากแก้แค้นเอาคืนเธอ แล้วก็ไม่อยากปล่อยเธอไปเช่นกัน

“ทำไมเธอต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน?”เหลิ่งเซ่าถิงยืนอึ้งอยู่สักพักหนึ่ง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงได้ถามคำถามแบบนี้ แต่เวลานี้เขารู้สึกคิดอะไรไม่ออกสับสนวุ่นวายไปหมด แค่อยากถามคำถามที่อัดอั้นอยู่ในใจ

ทำไมเจี่ยนอี๋นั่วต้องเป็นคนเริ่มก่อน? ผู้หญิงคนนี้เป็นผู้หญิงที่รักเขามาตลอดไม่ใช่เหรอ?ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเปลี่ยนใจได้เร็วขนาดนี้?

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวและกัดที่ริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ฉันถูกเขาจูบ ฉันอยากขัดขืนแต่เขาทับร่างของฉันไว้ ข่มขู่ฉันและเขาสามารถฆ่าฉันที่นั้นได้ จากนั้นคงจะไม่มีใครสนใจใยดีเรื่องนี้ ถ้าหากฉันตายก็ไม่มีใครรู้ ฉันยังตายไม่ได้ ฉันยังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป คุณพ่อของฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ นอกจากฉันแล้วไม่มีใครเหลียวแลท่าน ถ้าฉันตาย แล้วท่านจะอยู่อย่างไร? ฉันกลัวตาย ฉันกลัวตายมากจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหยุดชะงักสักครู่แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ ค่อยๆพูดต่อด้วยน้ำเสียงเบา: “ฉันไม่สนหรอกนะว่าจุดจบชีวิตของฉันจะเป็นยังไง ฉันกลัวแค่ว่าหลังจากที่ฉันตาย คนเหล่านั้น คนที่ฉันรักจะไม่มีใครเหลียวแล ขอเพียงแค่มีใครสักคนนึงสามารถดูแลรับผิดชอบคุณพ่อของฉันได้ ฉันก็ไม่ได้กลัวความตายขนาดนั้น ดังนั้นฉันเลยเป็นคนเริ่มเอง ฉันจูบเขาไปหนึ่งที ในขณะนั้น ไม่ว่าเหลิ่งหมิงอันจะทำอะไรฉันก็ตาม ฉันก็จะไม่ขัดขืน แต่เขากลับบอกว่ามันน่าเบื่อหน่าย แล้วปล่อยฉันออกทันที เพียงแค่ให้ฉันพยุงเขาขึ้นเขา เขาบอกว่าเท้าของเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ว่าฉันมารู้ทีหลังว่าเขาพูดโกหก จากนั้นเขาเอาโทรศัพท์ออกมา เขาบอกว่าเขาไม่ได้ทิ้งโทรศัพท์ลงเขาหรอก เขาแค่หลอกฉันเท่านั้นเอง เหลิ่งหมิงอันเป็นคนหลอกลวง……เขายังทำให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าฉันเลี้ยงผู้ชายวัยละอ่อน !”

“สิ่งที่คุณบอกว่าคุณเป็นคนเริ่มก่อน เป็นเพราะคุณต้องประนีประนอมต่อหน้าเหลิ่งหมิงอันเมื่อถูกคุกคามเท่านั้นเอง?เหลิ่งหมิงจูบคุณแค่นั้นเองเหรอ?นอกเหนือจากนี้ยังทำอะไรคุณอีกไหม? ”เหลิ่งเซ่าถิงถามคำถามอย่างต่อเนื่อง

เจี่ยนอี๋นั่วสั่งน้ำมูกพร้อมพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เขายังสัมผัสฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันพูดจบ ทันใดนั้นก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดไว้แน่น เจี่ยนอี๋นั่วมักจะถูกเหลิ่งเซ่าถิงกอดอยู่บ่อยๆ แต่ ณ เวลานั้นท่าทางที่สวมกอดเหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดแค่เบาๆ แม้กระทั่งหลับใหลอยู่ในฝันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย และเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเวลาที่เหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดเธออยู่นั้นราวกับว่ากำลังกอดหมอนอยู่เท่านั้นเอง

แต่การสวมกอดในครั้งนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มรู้สึกได้ถึง เหลิ่งเซ่าถิงมองเธอเป็นผู้หญิงคนนึงแล้วสินะ แต่ยังไม่ทันได้คิดอะไรต่อ เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงเรื่องราวคืนนั้น คืนที่อยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอันกันสองต่อสอง ถึงแม้คืนนั้นจะไม่มีเกิดอะไรขึ้นระหว่างเธอและเหลิ่งหมิงอันก็ตาม แต่เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเธอได้เตรียมใจแบบนั้นไว้แล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยลังเลสองจิตสองใจขนาดนี้ เวลาที่เธอรักผู้ชายคนหนึ่ง ในสายตาและในหัวใจจะมีแค่ผู้ชายคนนั้นเท่านั้น ในใจของเจี่ยนอี๋นั่ว สิ่งที่เรียกว่าความรักควรเป็นเช่นนั้น ในสายตาและในหัวใจต้องมีผู้ชายคนนั้นเพียงคนเดียว ถึงเรียกว่านั่นคือความรัก

จริงๆแล้วเธอรักเหลิ่งเซ่าถิง แต่ยังยอมอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอัน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอก็ไม่สามารถทนรับสภาพตัวเองแบบนี้ได้ สภาพของเธอแบบนี้ ไม่สมควรที่จะรักเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึง ณ จุดนี้ในใจก็รู้สึกหวิวๆ ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงสวมกอดเธอแบบนี้ เธออาจจะเขินและหัวใจเต้นแรงเพราะตื่นเต้น แต่เวลานี้ในใจของเธอไม่มีความรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว เพราะว่าเธอไม่มีสิทธิ์เขินไม่มีสิทธิ์หัวใจเต้นแรง และไม่มีสิทธิ์เอยคำว่ารักต่อเหลิ่งเซ่าถิงอีก

เหลิ่งหมิงอันทำหน้าขมวดคิ้วชั่วขณะ ราวกับว่าผ่านการคิดพิจารณาอะไรอย่างงั้น ท้ายสุดค่อยๆพยักหน้าตอบรับ เจี่ยนอี๋นั่วรอไม่ไหวแล้วอยากให้มีคนมาถึงที่นี่เร็วๆ รีบมารับเธอและเหลิ่งหมิงอันไปจากที่นี่ ถ้าทำให้เธอใช้เวลาที่อยู่กับเหลิ่งหมิงอันให้น้อยที่สุด และสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วถือว่าเป็นของขวัญอันล้ำค่าแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบโทรศัพท์ขอความช่วยจากบริษัทอีกสาขาหนึ่ง เธอบอกตำแหน่งที่ตั้งที่อยู่ในตอนนี้ หลังจากที่วางโทรศัพท์เจี่ยนอี๋นั่วได้ถอนหายใจเฮือกออกมาด้วยความโล่งใจสุดๆ เธอยังไม่ทันตั้งตัวเหลิ่งหมิงอันก็คว้าตัวเธอไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา

“คุณจะทำอะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวดพูดขึ้น

เหลิ่งหมิงอันกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้แน่นหัวเราะพร้อมพูดว่า:“พี่ใหญ่รู้ว่าผมจะมาที่นี่ คนอื่นเห็นเราอยู่ด้วยกัน ถ้าหากพี่ใหญ่ใส่ใจต้องรู้เรื่องแน่นอน คุณว่าเขาจะคิดยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด:“เหลิ่งเซ่าถิงไม่คิดอะไรหรอก คุณไม่ต้องไปยั่วโมโหเขา ตอนนี้เขามีหลิ่วจื่อซิงไม่สนใจหรอกว่าฉันจะอยู่กับผู้ชายคนไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบหยุดไปชั่วขณะ ทันใดนั้นทำให้เธอนึกถึงคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยพูดไว้ ในระหว่างที่อาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเธอไม่สามารถคบกับผู้ชายคนอื่น และห้ามไปหลงคารมของชายอื่น ถ้าหากเวลานี้เขาพบว่าเธออยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันจะนับว่าเธออยู่กับชายอื่นหรือไม่นะ?

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามใจเย็น เธอคิดว่าตราบใดที่แสดงให้เหมือนราวกับว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยสนใจเธอเลย เหลิ่งหมิงอันก็จะไม่ทำพฤติกรรมที่ยั่วโมโหเหลิ่งเซ่าถิงอีก เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้สึกได้ว่าพฤติกรรมที่เหลิ่งเซ่าถิงทำนั้นเป็นเพราะต้องการปกป้องเธอทางอ้อม

“ไม่สนใจใยดีใช่ไหม?”เหลิ่งหมิงอันกระซิบข้างหูเจี่ยนอี๋นั่ว:“จะสนใจใยดีจริงหรือไม่นั้น ต้องดูจากอาการที่เขารู้ว่าพวกเราอยู่ด้วยกัน ถ้าหากเขาไม่สนใจใยดีจริงๆ งั้นผมก็จะหยุด แต่ถ้าหากเขาสนใจใยดี และผมก็จะรังควานคุณต่อไปเรื่อยๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วชั่วขณะ เมื่อกี้ในสมองของเธอว้าวุ่นไปหมด ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ตอนนี้ได้ฟังจากสิ่งที่เหลิ่งหมิงอันพูดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พึ่งจะเข้าใจทุกอย่างว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสนใจหรือไม่สนใจนั้น เพียงเพื่อต้องการรู้ว่าเธอเป็นจุดอ่อนของเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่ ถ้าหากเหลิ่งเซ่าถิงแสดงอาการสนใจใยดีเธอ เหลิ่งหมิงอันก็ต้องใช้เธอเป็นเครื่องมือในการข่มขู่เหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน

เธอโดนเหลิ่งหมิงอันรังควานมานานมาก แต่เพราะต้องการพิสูจน์ว่าแท้จริงแล้วความสัมพันธ์ระหว่างเธอและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นพัฒนาถึงขั้นไหนแล้ว เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้ตัวว่าตัวเองนั้นโง่เง่าขนาดไหน เธอประเมินค่าตระกูลเหลิ่งต่ำไป ?ทุกเรื่องในตระกูลเหลิ่งมันต้องเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์เท่านั้น เหลิ่งเซ่าถิงถ้าหากรักเธอจริงๆ ไม่เพียงแค่เธอเท่านั้นที่จะโดนใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรอง อีกทั้งยังมีคุณพ่อของเธอด้วยที่ต้องตกเป็นเครื่องมือ ตลกตัวเองที่โง่มาตลอดและยังไปสารภาพรักต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอีก ถ้าเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำเหล่านี้จะมองเธอยังไง คงคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงโง่รนหาที่ตายเอง

แต่ทำไมเหลิ่งหมิงอันต้องมารังควานเธอแบบนี้ ?ทำไมกลับไม่ไปรังควานหลิ่วจื่อซิงล่ะ?หรือเป็นเพราะว่าหลิ่วจื่อซิงแกล้งคบกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นพวกเดียวกันกับเหลิ่งหมิงอัน?

เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆก็รู้สึกปวดหัวมากและทำหน้าย่นคิ้วขมวดมากขึ้น ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นมือของเหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือมาลูบที่หัวเจี่ยนอี๋นั่ว:“อย่าไปคิดมาก เป็นผู้หญิงก็ควรจะเอนอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายดีๆ อย่าไปคิดเรื่องของผู้ชาย”

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้เพียงแค่อยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันอย่างนิ่งๆ ถึงแม้ทุกครั้งที่เหลิ่งหมิ่งอันสัมผัสโดนตัวเธอ เธอจะรู้สึกอึดอัดมากเพียงใด แต่ก็พยามยามไม่แสดงอาการขัดขืนใดๆ รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันกลับหลงใหลชอบที่จะสัมผัสตัวเธอและยังไม่หยุดที่จะลูบหัวของเธอ แล้วยังตบหลังของเธอเบาๆราวกับว่ากำลังกล่อมเด็กเด็กตัวเล็ก ๆ อย่างไรอย่างนั้น

จนกระทั่งผู้จัดการสาขาย่อยมารับเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่เปิดประตูรถเหลิ่งหมิงอันหัวเราะพร้อมปล่อยตัวเธอ หัวเราะพร้อมพูดกับผู้จัดการว่า:“ขอโทษนะครับ ผมกับเจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถควบคุมความรูสึกของตัวเองได้”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบก็เดินออกจากรถด้วยรอยยิ้ม เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินตามออกจากรถไปด้วย ถึงแม้จะมีคนเห็นฉากที่น่าอับอาย แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกอุ่นใจและรู้สึกปลอดภัยมากกว่า ยังน้อยมีคนอื่นอยู่เหลิ่งหมิงอันก็ไม่กล้าทำอะไรต่อเธออีก

“ครับ งั้น งั้นเชิญคุณสองขึ้นรถเถอะครับ รถคันนี้จะให้โทรเรียกคนมาลากไหมครับ?”ผู้จัดการสาขาย่อยถามด้วยรอยยิ้ม

เหลิ่งหมิงอันตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนคุณหน่อยนะครับ ถ้าจะให้ดีรบกวนช่วยลากกลับไปใจกลางเมืองด้วยนะครับ เพราะว่ารถคันนี้มีความทรงจำที่ดีระหว่างผมกับเจี่ยนอี๋นั่วครับ”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบยิ้มแล้วหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเชิดปากขึ้นพร้อมพูดว่า หมายความว่ายังไงอะไรคือความทรงจำที่ดี? เหลิ่งหมิงอันจงใจที่จะพูดด้วยความจงใจหมายให้คนอื่นเข้าใจผิดเหรอ?

และแล้วผู้จัดการก็เข้าใจผิดกับคำว่า “วันแห่งความสุข”ที่แท้นั้นหมายความว่าอะไร เขาใช้มือบังที่ปากพร้อมน้ำเสียงอะแฮ่ม:“ผมจะไม่นำเรื่องนี้ไปบอกใครแน่นอนครับ คุณทั้งสองโปรดวางใจ”

เหลิ่งหมิงอันจูงมือเจี่ยนอี๋นั่ว:“งั้นไปกันเถอะ คุณเจี่ยนอี๋นั่ว”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินตามหลังเหลิ่งหมิงอันขึ้นรถไป เมื่อรถวิ่งถึงใจกลางเมืองเหลิ่งหมิงอันชี้ไปที่ร้านผับแห่งหนึ่งพูดด้วยรอยยิ้ม:“จอดรถที่นี่ครับ ผมยังต้องไปพบปะกับเพื่อนๆอีกหลายคน อี๋นั่ว ผมขอเงินหน่อย คุณก็รู้ว่าถ้าผู้ชายอยู่นอกบ้านแล้วไม่มีเงินมันดูไร้ศักดิ์ศรี คุณมีเงินมากกว่าผม คุณควรจะเลี้ยงดูผมนะครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วต้องการหลุดพ้นจากเหลิ่งหมิงอันเร็วๆ กระพริบตาชั่วขณะก็รีบหยิบเงินจากกระเป๋าเงินยื่นให้กับเหลิ่งหมิงอัน ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ขอให้คืนนี้ของคุณเป็นคืนแห่งความสุขนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบจองมองไปที่เท้าของเหลิ่งหมิงอันพร้อมพูดว่า:“และอีกอย่าง ทางที่ดีคุณควรไปหาหมอดูอาการหน่อยนะคะ ไม่รู้ขาแพลงเป็นอะไรมากหรือเปล่า?”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นเขาขยับเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วโน้มตัวจูบริมฝีปากเธอกระซิบบอก

:“คุณไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก นั้นคือคำพูดของผมที่หลอกให้คุณสบาย แต่มันทำให้คุณเป็นห่วงผมขนาดนี้ ผมดีใจมากจริงๆ คุณวางใจเถอะ คืนนี้ผมจะเก็บความบริสุทธิ์ไว้อย่างดี ”

“คุณพูดแบบนี้ได้อย่างไรกัน ?คุณรู้ไหมฉันลำบากขนาดไหนที่แบกคุณ?” เจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหตุการณ์ที่แบกเหลิ่งหมิงอันลงเขาต้องให้แรงมหาศาลขนาดไหน ทนไม่ไหวที่จะทำท่าท่างคิ้วขมวด ชี้ไปทางเหลิ่งหมิงอันพร้อมกับตะโกนออกมา

เหลิ่งหมิงอันรีบคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วจูบลงที่ปลายมือเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆแล้วพูดตอบกลับด้วยร้อยยิ้ม:“ที่รัก ผมรับเงินของคุณ คุณก็คือผู้หญิงของผม คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ ผมจะไม่นอกใจคุณหรอก ที่สำคัญผมยังไม่เจอผู้หญิงคนไหนที่น่ารักอย่างคุณเลย ผมไปละ พวกเราเจอกันที่บ้านนะครับ ก่อนไปผมมีเรื่องอยากจะแนะนำคุณ อย่าบังคับตัวเองให้แกล้งเปลี่ยนแปลงตัวเอง คุณไม่สามารถเปลี่ยนนิสัยของตัวเองได้หรอก การแสร้งทำเป็นยอมอ่อนน้อม มันยิ่งจะทำให้ผมอยากรู้จักคุณมากขึ้น”

เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเข้มสองคำ“กลับบ้าน” สิ่งที่เหลิ่งหมิงพูด“เจอกันที่บ้าน”เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจในทันทีความหมายก็คือ “เจอกันที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอาปลายมือที่เหลิ่งอันหมิงจูบเอามือไปซ่อนข้างหลังตัวเอง พร้อมมองเหลิ่งหมิงอันเดินจากไป

หลังจากเหลิ่งหมิงอันเดินจากไป ผู้จัดการสาขาย่อยที่นั่งอยู่ด้านหน้าคนขับได้มองเจี่ยนอี๋นั่วผ่านกระจกมองหลัง มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามามือปิดหน้าผากของตัวเอง เธอไม่กล้าคิดเลยว่าในใจของคนอื่นจะมองเธอเป็นคนยังไงกัน เหลิ่งหมิงอันแสดงพฤติกรรมการขอเงินเมื่อกี้นี้ มันอาจจะทำให้ในสายตาของคนอื่นอาจคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อน ?ยิ่งไปกว่านั้นหน้าตารูปลักษณ์ของเหลิ่งหมิงอันก็ดูดีมาก และแน่นอนหน้าตารูปลักษณ์ของเหลิ่งหมิงอันก็เหมือนผู้ชายละอ่อนจริงๆ

ความลับที่ถูกคนอื่นล่วงรู้ สำหรับบางคนมีศีลธรรมพอที่จะรักษาความลับของผู้อื่น แต่สำหรับคนบางประเภทชอบนินทาเก็บความลับไว้ไม่อยู่ เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อว่าอีกไม่นานทั้งบริษัทต้องรู้ว่าเธอเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อน และอีกไม่นานตระกูลเหลิ่งก็ต้องรู้

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงชั่วครู่พูดกับผู้จัดการสาขาย่อยคนนั้นว่า :“เรื่องนี้ คุณอย่าไปพูดต่อนะคะ เขาเป็นลูกค้าที่สำคัญคนหนึ่งของฉัน และไม่สามารถให้คนอื่นล่วงรู้ได้”

ผู้จัดการหรี่ตาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม:“คุณเจี่ยนโปรดวางใจ ผมไม่พูดแน่นอนครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เธอไม่กล้าที่จะจินตนาการต่อว่าผู้จัดการกำลังคิดอะไรอยู่ในตอนนี้ และคิดไปไกลขนาดไหนแล้ว แต่ได้รับฉายาตำแหน่งประธานบริษัทเลี้ยงดูผู้ชายละอ่อนนั้น เทียบไม่ได้กับการที่เจี่ยนอี๋นั่วจะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับตระกูลเหลิ่งยิ่งทำให้กังวลใจมากกว่าซะอีก ก่อนหน้านี้เธอเคยแอบคิดระยะเวลาที่เธออาศัยอยู่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งน้อยเกินไป ทำให้เวลาที่อยู่ด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิงน้อยลงไปด้วย แต่เวลานี้เธอกลับคิดว่า เธออาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งนานเกินไปแล้ว นานเกินไปที่ทำให้เธอรู้สึกหวาดกลัวและไม่ปลอดภัยเลยสักนิด

ทางที่ดควรโทรหาเหลิ่งเซ่าถิงก่อนดีกว่า เล่าเรื่องทุกอย่างให้เขาฟัง?แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วดูเวลานี่ก็ใกล้จะตีหนึ่งแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงเข้านอนแล้วแน่นอน เวลานี้เล่าให้เขาฟังจะเป็นการรบกวนไหม?ช่างมันเถอะ รอให้ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งก่อนแล้วค่อยเล่าให้เขาฟังทุกอย่างดีกว่า เล่ารายละเอียดทุกอย่างรวมไปถึงพฤติกรรมที่เหลิ่งหมิงอันกระทำต่อเธอด้วย

แทนที่จะปกปิดแล้วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเข้าใจผิดระหว่างที่เธออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอันนั้น ควรบอกความจริงทุกอย่างกับเหลิ่งเซ่าถิงดีกว่า เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนสายลวดเหล็ก เดินไปเดินมาก็ไม่ก็หาทางออกไม่เจอ และเหมือนตัวเองกำลังจะตกลงไปในหน้าผา

ความเป็นจริงนั้นเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่ได้หลับเหมือนอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์ไว้ แต่กลับตรงกันข้ามเขากลับนอนไม่หลับอยู่บนเตียง หรี่ตาจ้องมองโทรศัพท์ในมือ หลังจากที่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไปทำงานต่างจังหวัดก็ไม่เคยสนใจเรื่องนี้เลย เจี่ยนอี๋นั่วจงใจไปทำงานต่างจังหวัดเพื่อต้องการหลบหน้าเขา เรื่องแบบนี้มันเป็นเรื่องปกติแต่เมื่อเขากลับถึงห้อง ในขณะที่เอนตัวลงนอนบนเตียงคนเดียว ทันใดนั้นก็รู้สึกแปลกๆ ก่อนหน้านี้ความรู้สึกแบบนี้เหลิ่งเซ่าถิงก็เคยรู้สึกมาแล้ว

ก่อนที่เขาจะรู้ความจริงว่าการที่เขามีชีวิตอยู่นั้นเป็นได้แค่ตัวแทนของพี่ชายเท่านั้น ตั้งแต่วินาทีที่เขายอมเสียสละเพื่อพี่ชายของเขา เขาหลบในตู้เสื้อผ้าคนเดียว ใช้มือกอดตัวเองไว้แน่น แต่ก็ยังหวาดกลัวและราวกับว่าทั้งโลกนี้เหลือเขาเพียงคนเดียว ถึงแม้ความรู้สึกในครั้งนี้จะสู้ครั้งก่อนไม่ได้ แต่ความรู้สึกที่ว่างเปล่ามันกลับรู้สึกไม่แตกต่างกัน

แต่เมื่อเขาทนรอต่อไปไม่ไหวที่จะโทรไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่รับสาย แล้วกลับปิดเครื่องทันที เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มคิดไปต่างๆนาๆ เกิดอะไรขึ้นกับเจี่ยนอี๋นั่วกันแน่ ทำไมเธอถึงไม่ยอมรับสาย เวลานี้ก็ดึกมากแล้ว มีเหตุผลอะไรทำไมถึงกดสายทิ้ง?

หรือเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นอย่างที่เธอพูดจริงๆ ไปคบกับผู้ชายคนอื่นและไปหลงรักผู้ชายคนอื่นแล้ว?

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงคิดเรื่องราวถึงนี่ก็กำโทรศัพท์ในมือไว้แน่นแล้วหรี่ตาลง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเหลิ่งหมิงสัมผัสโดนเธอ เธอแค่คิ้วขมวดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร พอหายเหนื่อยก็รีบพาเหลิ่งหมิงอันเดินขึ้นตามไหล่เขา เจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่มีแรงเยอะมากพอสมควร แต่ว่าการที่เจี่ยนอี๋นั่วจะแบกผู้ชายอย่างเหลิ่งหมิงอัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

เหลิ่งหมิงอันยังดันจงใจพิงที่หลังของเจี่ยนอี๋นั่วซะงั้น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องใช้แรงมากขึ้นถึงจะพยุงเหลิ่งหมิงอันถึงบนถนน เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งหมิงอันพิงข้างรถแล้วทรงตัวได้ เธอทรุดตัวลงกับพื้นทันทีและถอนหายใจลึกๆอยู่หลายครั้งจนค่อยยังชั่ว

“แรงของคุณหายไปไหนหมด”เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวดหันหน้าเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน เดิมทีอยากเถียงกลับ แต่เป็นเพราะเธอตัดสินใจจะไม่ทำเรื่องอะไรให้เหลิ่งหมิงอันโมโหอีก เจี่ยนอี๋นั่วเก็บความรู้สึกอัดอั้นตันใจไว้เอง พร้อมพยักหน้าตอบรับเหลิ่งหมิงอัน:“คุณพูดถูก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งหมิงอันพยักหน้าตอบกลับ :“ไม่เป็นไร”แล้วก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

อยู่ลับหลังเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วได้แต่ทำหน้าไม่สบอารมณ์ ดูท่าหล่อนควรจะตามใจเหลิ่งเซ่าถิงเพื่อลดปัญหาที่จะเกิดขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติอารมณ์เสร็จแล้วมองดูเวลาก็ผ่านไปสักพักใหญ่ๆแล้ว รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคุณพยาบาลพิเศษที่จ้างมาดูแลคุณพ่อตลอดนั้น แค่กดสายโทรออกไม่นานก็มีคนรับสายทันที

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอ่ยคำขอโทษ:“ขอโทษค่ะ โทรไปช้ากว่าเวลาที่นัดหมายไว้ คุณพ่อท่านหลับแล้วใช่ไหมคะ”

“ไม่เป็นไร ก็ไม่เลยเวลาที่กำหนดเอาไว้เท่าไหร่”เสียงหัวเราะจากปลายสายพูดขึ้นว่า:“ฉันจะวิดิโอคอลให้คุณคุยกับคุณเจี่ยนเดี๋ยวนี้ ซึ่งมันก็แปลกดีนะโดยปกติช่วงเวลานี้คุณเจี่ยนจะเข้านอนแล้ว แต่ว่าวันนี้กลับไม่ยอมหลับเลย ราวกับว่ากำลังรอคุณอยู่”

เจี่ยนอี๋นั่วบีบโทรศัพท์ไว้ทันที กัดริมฝีปากพร้อมพยักหน้าพูดขึ้นว่า:“ดูเหมือนว่าคุณพ่อเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองแล้ว รบกวนคุณให้ฉันได้พูดคุยกับคุณพ่อเร็วหน่อยเถอะ”

พยาบาลพิเศษรีบเชื่อมต่อวิดิโอคอล เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคุณพ่อในโทรศัพท์รีบโบกไม้โบกมือทักทาย:“คุณพ่อคะ นี่อี๋นั่วนะคะ วันนี้คุณพ่อทานอะไรบ้างหรือยังคะ?วันนี้หนูไปเข้าร่วมงานเลี้ยงมาพบเจอเพื่อนสมัยมัธยมด้วยค่ะ หนูรู่ว่าคุณพ่อจะต้องเป็นห่วงหนูอีกแล้ว แต่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ ทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดีค่ะ หนูไม่เคยคาดคิดว่าวันหนึ่งหนูจะสามารถอยู่ร่วมกับพวกเขาได้ คุณพ่อยังจำได้ไหมคะ? เดิมทีคุณพ่อเห็นหนูโดนบูลลี่ก็จะทำเรื่องให้หนูย้ายโรงเรียน แต่เป็นเพราะว่าหนูมีนิสัยที่เอาแต่ใจ ยิ่งพวกเขาคิดจะบูลลี่หนูมากเท่าไหร่ หนูก็จะยิ่งไม่ยอมจากไปไหน จึงทำให้คุณพ่อท่านลำบากใจมานานมาก พอนึกย้อนไปในอดีต ตอนนั้นหนูยังไม่รู้จักโตเลยค่ะ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเล่าเรื่องให้คุณพ่อฟังอย่างละเอียด ฟังแล้วไม่ค่อยเป็นลำดับขั้นตอนในการเล่าเท่าไหร่ บางทีก็พูดเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดในแต่ละวัน บางทีก็พูดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านไปแล้ว ในขณะที่พูดถึงเรื่องราวที่มีความสุขเจี่ยนอี๋นั่วก็จะหัวเราะออกมา และในขณะที่เล่าถึงเหตุการณ์ร้ายเจี่ยนอี๋นั่วก็จะรู้สึกแย่ขึ้นมาทันที

เจี่ยนอี๋นั่วก็เหมือนนักแสดงตัวละครเดียว ที่ต้องเผชิญหน้ากับเจี่ยนฉ่างยุ่นที่เรียกชื่อเธอซ้ำๆอยู่อย่างนั้น และเล่าเรื่องราวที่ผ่านไปอย่างละเอียด เล่าจนเจี่ยนฉางรุ่นหาวนอน เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขึ้นว่า:“คุณพ่อ คุณพ่อเหนื่อยแล้วก็นอนพักก่อนเถอะค่ะ พรุ่งนี้หนูอาจจะเดินทางกลับ ได้ยินว่าที่นี้มีผลไม้อบแห้งที่อร่อยมาก พรุ่งนี้หนูเอาไปให้คุณพ่อชิมดูนะคะ”

เจี่ยนฉางรุ่นมองเจี่ยนอี๋นั่วในวิดิโอคอล ยกมือขึ้นค่อยๆออกเสียงพูดว่า:“ดึกแล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเจี่ยนฉางรุ่นพูดประโยคใหม่ น้ำเสียงสั่นเครือแล้วก้มหน้าลงพร้อมเสียงฮึดฮัดพูดว่า:“หนูรู้คะว่าฟ้ามืดลงแล้ว โรงแรมของพวกเราทั้งหมดอยู่ในแถบชานเมือง อากาศดีมากๆเลยค่ะ……คุณพ่อคะ คุณพ่อเห็นเป็นสถานที่กว้างและไม่มีสิ่งกีดขวางใช่ไหมคะ นี่คือสภาพแวดล้อมที่มีให้บริการในโรงแรมระดับพรีเมียมเท่านั้น โรงแรมที่หนูเข้าพักมีความปลอดภัยสูงมากค่ะ คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูหรอกนะคะ หลังจากที่หนูวิดิโอคอลกับคุณพ่อเสร็จแล้ว หนูก็จะเข้านอนแล้วค่ะ คุณพ่อโปรดวางใจเถอะค่ะ ……”

เจี่ยนฉางรุ่นค่อยๆพยักหน้า หลังจากที่พยักหน้าตอบรับ เจี่ยนฉางยุ่นก็เริ่มเรียกชื่อเจี่ยนอี๋นั่วอีกเช่นเดิมแล้วก็ทำท่าหาวนอน เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเจี่ยนฉางรุ่นพร้อมกล่าวราตรีสวัสดิ์ เวลานี้คุณพยาบาลพิเศษได้เอาโทรศัพท์คืนพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้มว่า:“ดูจากสีหน้าเจี่ยนฉางรุ่นเหมือนง่วงมากแล้ว คุณก็รีบพักผ่อนเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพยักหน้าตอบกลับ:“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณช่วยดูแลคุณพ่อของฉันหน่อยแล้วกันนะคะ ท่านเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งรอบข้างแล้ว แล้วก็รบกวนคุณช่วยพูดและสนทนากับท่านบ่อยๆนะคะ”

คุณพยาบาลพิเศษยิ้มตอบกลับ:“คุณวางใจเถอะ ฉันจะดูแลอย่างเต็มที่”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยโล่งใจหน่อย หลังจากแชทกับคุณพ่อสิ้นสุดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงหัวเราะแทรกเข้ามา เธอรีบหันหน้าไปมองตามเสียงหัวเราะนั้นพบว่าเป็นเหลิ่งหมิ่งอัน เธอเบะปากแล้วเอาโทรศัพท์เก็บ จากนั้นทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“นี่ ฝีมือการพูดโกหกของเธอมันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย พูดซ้ำๆว่าตัวเองพักอยู่ในโรงแรม แต่ความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่ ”เหลิ่งหมิงอันพูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะ

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดครุ่นคิดสักครู่แล้วค่อยตอบกลับ :“ขอบคุณที่คุณเตือนนะคะ ตอนนี้ฉันโทรหาคนมารับพวกเราก่อนดีกว่า ขาของเขาต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าอาการไม่หนักมากแค่ข้อเท้าแพลง แต่ว่าต้องได้รับการวินิจฉัยจากคุณหมอถึงรู้สาเหตุอาการที่แท้จริง”

“ดูเหมือนคุณจะเป็นห่วงเป็นใยผมเหลือเกิน?กลัวผมพิการเหรอ?”เหลิ่งหมิงอันหัวเราะเยาะเบาๆ

ตอนนี้เหลิ่งหมิงอันไม่หลงเหลือความอาฆาตแค้นแล้ว ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งหมิงอันนั้นมีคนอื่นอีกคนที่สวมรอยเป็นเขาอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถลืมภาพอาการหวาดกลัวของเหลิ่งหมิงอันที่ทำต่อหน้าเธอได้ น้ำเสียงเบาลงพยายามเลือกคำพูดที่ทำให้เหลิ่งหมิงอันสบายใจ:“ฉันไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆนะ และฉันเป็นแค่นักแสดงตัวประกอบ ปัญหานี้มันยากเกินกว่าที่ฉันจะรับไหว”

“ ครับ ครับ……”เหลิ่งหมิงอันเอื้อมมือแตะที่ใต้คางเจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“น่ารักจัง ถ้ารู้จะทำตัวน่ารักขนาดนี้แกล้งตั้งนานแล้ว ผมไม่น่าเสียแรงเสียเวลาขนาดนั้นเลย และการที่คุณทำท่าทางอ่อนน้อมแบบนี้ ก็น่ารักไปอีกแบบนะ น่ารักจริงๆ เวลาเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญยิ่งน่ารัก ตอนนี้ท่าทางที่แสดงออกมาว่ากลัวก็น่ารัก……”

ในขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูดอยู่นั้น ก็หยุดพูดทันทีเหมือนมีอะไรมาขัดจังหวะในระหว่างที่เขากำลังพูดอยู่ น้ำเสียงตอบกลับ:“ก็น่ารักเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปรอบๆบริเวณมีบรรยากาศที่เงียบสงัด รู้สึกหวาดกลัวพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาถาม:“นี่ คุณเป็นอะไร?พวกเรากลับไปอยู่ในรถกันเถอะ ตอนนี้เวลาค่ำมากแล้ว คุณก็บาดเจ็บ ถ้าหากพบเจอคนร้าย พวกเราจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมหัวเราะและพยักหน้าตอบรับ:“ได้สิ”

เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบขึ้นรถทันทีไปนั่งอยู่เบาะหลัง จากนั้นเหลิ่งหมิงอันก็ตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นรถไปอีกคน แล้วก็นั่งเบาะหลังเช่นกัน เจี่ยนอี๋นั่วชี้ไปทางด้านหน้า :“คุณ คุณควรจะหน้าด้านหน้ารถนะคะ?”

“ทำไมเหรอครับ?นั่งข้างหลังนี้ไม่ได้เหรอครับ?อากาศก็เริ่มหนาวขึ้นแล้วด้วยพวกเราสามารถกอดกันเพื่อให้ความอบอุ่นซึ่งกันและกันก่อนที่คนอื่นจะมารับพวกเราได้นี่”เหลิ่งหมิงอันพูดจบก็หัวเราะพร้อมยื่นมือไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขยับถอยออกทันที เธอขมวดคิ้วจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน ในก็สุดก็ทนไม่ไหวพูดออกมาว่า :“คุณอย่าทำแบบนี้ได้ไหมคะ?ฉันและเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ ไม่เคยจูบกัน ไม่เคยนอนด้วยกัน คุณอยากเอาชนะเขาเหรอคะ?ฉันเป็นผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการ ผู้หญิงที่เขาไม่ต้องการ คุณมาใกล้ชิดฉันแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อมันก็ไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลยว่าคุณอยู่เหนือกว่าเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาจ้องมองที่คอของเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนชีสขาวๆ แล้วเขาก็ขยับเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“เขาไม่เคยจูบคุณเหรอ?แล้วเขาเคยสัมผัสตัวคุณไหม?เคยเห็นเรือนร่างของคุณหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบร้อนส่ายหัว:“ไม่เคย……”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆขยับเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นก็หัวเราะออกมา:“คุณโกหก เขาต้องเคยเห็นเรือนร่างของคุณใช่ไหม และเขายังเคยสัมผัสคุณ เคยอุ้มคุณ ในสิ่งที่เขาไม่เคยทำแต่ผมเคยทำมันแล้ว และในสิ่งที่เขาเคยทำ ผมก็จะทำมันเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบร้อนถอยออกห่าง พูดอย่างประหม่า:“นี่คุณ คุณจะทำอะไรคะ เรื่องมันจบไปตั้งนานแล้วนะคะ?”

เหลิ่งหมิงอันจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ลมหายใจของเขาค่อยๆแรงขึ้น:“ผมคิดว่ามันจบแล้ว แต่ดูท่าแล้วมันยังไม่จบนะ เมื่อกี้คุณยังตรงเข้ามาให้ผมกอด?ตอนนี้คุณจะหลบผมทำไม?”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาแปบหนึ่งพอลืมตาขึ้นมาหันหน้าจ้องมองเหลิ่งหมิงอันพูดว่า:“ได้สิ งั้นฉันจะเป็นคนถอดเอง มันช่วยไม่ได้ที่ฉันเป็นคนกลัวตายและเป็นเพราะตัวฉันเองเข้าไปพัวพันกับชีวิตของพวกคุณ สมน้ำหน้าตัวเองที่ถูกคนย่ำยีและทำเหมือนฉันเป็นผู้หญิงหากิน สมน้ำหน้าตัวเองที่เป็นเหมือนของเล่นของพวกคุณสองพี่น้อง”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เอามือไปถอดชุดคลุม ในขณะที่เธอกำลังจะถอดสายเสื้อทับออกก็ทนไม่ไหวร้องไห้ออกมาทันที หลังจากเธอเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาของตัวเองและกัดฟันแน่น แล้วถอดสายเสื้อทับอีกครั้ง ทันใดนั้นเหลิ่งหมิงอันก็จับมือเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมขมวดคิ้ว ถอนหายใจเฮือก:“ร้องไห้จะเอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ทำเหมือนผมเป็นคนพาลขนาดนั้น ใครบังคับให้คุณถอดเสื้อผ้าครับ?”

“เมื่อกี้นี้คุณพูดว่าเขาเคยทำเรื่องอะไรไว้ คุณก็จะทำมันเช่นกัน?”เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้พร้อมเสียงสั่งขี้มูกฮึดฮัดพูดว่า

“เขาเคยเห็นเรือนร่างของคุณจริงๆใช่ไหม?”เหลิ่งหมิงอันยักคิ้วหลิ่วตามองเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมถาม

เจี่ยนอี๋นั่วสั่งขี้มูกฮึดฮัดหยุดร้องไห้ ทันใดนั้นเธอรู้สึกเหมือนตัวเองคิดไปไกลเอง เธอเอามือตบไปที่หน้าผากหนึ่งทีพร้อมพูดว่า:“คือว่า……ฉัน……เหลิ่งเซ่าถิงเขา ……”

“แต่เขาไม่เคยจูบคุณ”ทันใดนั้นเหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่วพูดว่า:“ผมเคยจูบคุณหลายครั้งแล้ว ไม่เป็นไร คุณเคยทำอะไรกับเหลิ่งเซ่าถิงไว้บ้างพวกเราก็ค่อยๆทำละกัน เวลานี้ผมก็เคยกอดคุณและผมก็เคยสัมผัสคุณ แต่ว่ายังไม่เคยเรือนร่างของคุณและเขาไม่เคยจูบคุณ ถือว่าผมและเหลิ่งเซ่าถิงเสมอกันแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงเคยเห็นเรือนร่างของคุณ คุณยังรักเขาได้ งั้นผมก็จะทำให้คุณรักผมได้เช่นกัน เพื่อผมคุณยอมถอดเสื้อผ้าตัวเอง แสดงว่าผมเป็นฝ่ายชนะเขาแล้วสิ”

ชาตินี้คุณจะไม่มีวันได้เห็นอีก ฉันจะไม่ยอมถอดเสื้อผ้าให้คุณเห็นอีก

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งหมิงอันตะโกนอยู่ในใจ แต่ว่าอยู่ต่อหน้าเหลิ่งหมิงอัน เธอได้แต่เม้มปากและทำตามในสิ่งที่เขาต้องการ เวลาผ่านไปไม่นานก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เบา:“ตอนนี้ฉันสามารถโทรเรียกคนมารับพวกเราได้หรือยัง?”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆหรี่ตาลงในบรรยากาศที่มืดมิด เขาจ้องเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปสักพักถึงจะหัวเราะออกมา:“คุณนี่กลัวตายจริงๆนะ เมื่อกี้ยังด่าผมอยู่เลย ตอนนี้กลับเชื่อฟังผมทุกอย่าง”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็เข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“แต่จูบของคุณเมื่อกี้ ยังไม่มีความรู้สึกเท่าเมื่อก่อนตอนที่ช่วยผมนะ? ตอนที่คุณช่วยผม หวาดกลัวจริงๆนะ แถมริมฝีปากยังสั่นอีกด้วย ตอนที่คุณเข้าใกล้ผม ผมรู้สึกได้ว่าทั้งตัวคุณสั่น แต่แข็งทื่ออย่างกับตุ๊กตา แถมยังเม้มปากแน่นอีก”

เหลิ่งหมิงอันพูด แล้วยื่นมือไปลูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะหลบ แต่ก็ต้องบังคับตัวเองว่าห้ามหลบ กัดฟันแล้วยอมรับการสัมผัสจากเหลิ่งหมิงอัน

“คุณเป็นแบบนี้ก็ไม่สนุกเลยสิ” เหลิ่งหมิงอันยิ้มเล็กน้อยแล้วพูด:“คุณเหมาะจะด่าคนทุบตีคนมากกว่านะ ไม่เหมาะกับฝืนทนแบบนี้ อารมณ์น่าสงสารแบบนี้ ไม่เหมาะกับคุณเลยจริงๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหลิ่งหมิงอันกลับหัวเราะตลอด มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“แต่พอคุณผ่านครั้งนี้ไป คงจะหมดหวังกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วล่ะสิ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าทำไมเหลิ่งหมิงอันต้องพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอผ่านการสัมผัสของเหลิ่งหมิงอันเมื่อกี้นี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าหลังจากนี้จะไม่มีทางชอบเหลิ่งเซ่าถิงอีก เธอรู้สึกว่าน่ารังเกียจ เธอรังเกียจตัวเอง ทั้งๆที่ชอบเหลิ่งเซ่าถิง แต่กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเหลิ่งหมิงอันก่อนเพื่อเอาชีวิตรอดเนี่ยนะ เธอจะมีสิทธิ์อะไรไปถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าทำไมไม่ชอบเธอ?

อีกอย่างระดับความน่ากลัวของตระกูลเหลิ่ง ก็ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วตกใจกลัว ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแค่คนตระกูลเหลิ่งนั้นอันตรายมาก ตอนนี้เธอรู้สึกได้ว่าพวกเขาน่ากลัวแค่ไหน ขนาดเหลิ่งหมิงอันคนนี้ที่ดูแล้วค่อนข้างเป็นคุณชายร่ำรวยอันเป็นที่รักของทุกคน ยังมีหลายมุมขนาดนี้ แล้วคนอื่นล่ะ? แล้วคุณนายเหลิ่งที่ควบคุมดูแลตระกูลเหลิ่งมาหลายปีล่ะ?

บางครั้งคำพูดที่คุณนายเหลิ่งพูดก็แสดงให้เห็นว่าเธอดูถูกเหยียดหยามกับชีวิตของคนอื่นมากแค่ไหน เธอจะให้ความสำคัญกับชีวิตไปทำไมล่ะ? แล้วไหนจะเหลิ่งเซ่าถิงอีก เขาไม่ได้เป็นคนเหมือนที่เธอคิดไว้ว่าแข็งนอกอ่อนในใช่หรือเปล่า? ตระกูลเหลิ่งทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความน่ากลัว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อยๆพยักหน้า:“ตระกูลเหลิ่งคนอื่นๆของพวกคุณ ฉันคงไม่ไปคิดถึงแล้ว”

“ถ้าคุณไม่เข้ามาร่วม บางทีผมอาจจะปล่อยคุณไป” เหลิ่งหมิงอันยื่นมือออกมา ค่อยๆสัมผัสไปที่บนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว

นิ้วมือของเหลิ่งหมิงอันค่อยๆลูบไล้ที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว เขากดเสียงต่ำพูด:“ถ้าคุณไม่คบกับเขา ผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาพัวพันกับคุณ ของที่เขาต้องการ ผมจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มา ส่วนของที่เขาไม่ต้องการ ผมก็ไม่ต้องการเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะพูด หรือว่าเหลิ่งหมิงอันอิจฉาเหลิ่งเซ่าถิงที่สถานภาพเหนือกว่า? แต่สถานการณ์ตอนนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วอึดอัดมาก เธอไม่กล้าพูดมาก ทำได้แค่เม้มปากปิดไว้ให้สนิท

เหลิ่งหมิงอันสัมผัสริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ แล้วพูด:“คุณอยากจะพูดอะไร? แต่ไม่กล้าพูดต่อหน้าผม กำลังพยายามเก็บไว้ในใจงั้นเหรอ? ถึงเม้มปากสนิทขนาดนี้?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“ฉันกำลังคิด ชีวิตของพวกคุณซับซ้อนเกินไป ฉัน……ฉันตกใจกลัวน่ะ”

“ขี้ขลาดจริงนะ” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะออกมา มือของเขาลูบบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณขี้ขลาดขนาดนี้ ตอนนั้นทำไมถึงเปิดโปงเรื่องคุณครูปีศาจคนนั้นล่ะ? ไม่ใช่เรื่องโกหกใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะพูดกับเหลิ่งหมิงอันต่อจริงๆ ไม่อยากตอบคำถามไม่ว่าคำถามอะไรก็ตามของเขา แต่ถ้าตอนนี้เธอยั่วโมโหเหลิ่งหมิงอันล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วกลัวว่าจะตายด้วยน้ำมือของเหลิ่งหมิงอันเข้าจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ กดเสียงต่ำแล้วพูด:“ตอนนั้นฉันยังเด็ก ไม่มีอะไรให้กังวล อีกอย่างรายงานเรื่องคุณครูคนนั้นแล้ว ไม่มีทางกระทบถึงคนในครอบครัวของฉัน แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน ครอบครัวฉันยังต้องพึ่งพาฉัน ถ้าฉันเกิดอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีใครสามารถดูแลเขาได้”

“ครอบครัวก็เป็นจุดอ่อนได้งั้นเหรอ? แต่พวกเราตระกูลเหลิ่ง ครอบครัวไม่มีทางกลายเป็นจุดอ่อนหรอก” มือของเหลิ่งหมิงอันยังคงลูบที่แก้มของเจี่ยนอี๋นั่ว คล้ายกับว่าหลงใหลในการลูบผิวของเจี่ยนอี๋นั่วจนทำให้เขาไม่อยากวางมือ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พยักหน้าเบาๆ:“เรื่องที่แคร์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน สำหรับฉัน เงินค่อยหาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีครอบครัวแล้ว ทุกอย่างของฉันก็ไม่มีความหมาย”

“มีคนคิดแบบนี้ด้วยเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา:“แต่ครอบครัวผมกลับเลือกเงินแล้วทอดทิ้งผม ต่อให้ผมถูกคนลักพาตัวไป พวกเขาก็คงไม่มีทางเสียผลประโยชน์อะไรสักนิดเดียว หรือเสี่ยงอันตรายที่ผมจะถูกฆ่า ยิงไปที่คนที่ลักพาตัวผมหรอก”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจคำพูดของเหลิ่งหมิงอันหมายความว่ายังไง และเธอก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าคำพูดของเหลิ่งหมิงอันสรุปแล้วหมายถึงอะไรกันแน่ ไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับ เหลิ่งหมิงอันก็หัวเราะกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“จู่ๆผมก็คิดขึ้นมาได้ เมื่อกี้ตอนที่ผมพูดถึงพี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิง คุณไม่ตกใจเลยแม้แต่น้อย? เหลิ่งเซ่าถิงเคยพูดเรื่องพี่ชายกับคุณนี่ใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งสักพัก เธอไม่คิดว่าเหลิ่งหมิงอันจะคาดเดาเรื่องเกี่ยวกับพี่ชายของเหลิ่งเซ่าถิงที่เธอได้ยินมาได้ในเวลาไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วไม่พยักหน้าหรือส่ายหน้าแต่อย่างใด แค่นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เหลิ่งหมิงอันหัวเราะขึ้นมา มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“ทำไม? รู้สึกเหลิ่งเซ่าถิงน่าสงสารมากใช่ไหม? มีพี่ชายที่เก่งขนาดนั้นคอยกดทับอยู่ ไม่ได้รับความสำคัญมาตลอด แต่พอพี่ชายของเขาตาย เขาถึงสามารถกลายเป็นคนรับช่วงต่อของตระกูลเหลิ่งได้ คุณคิดว่าเขาน่าสงสารมาก แต่ถามหน่อยพวกเราตระกูลเหลิ่งมีใครบ้างที่ไม่เคยผ่านอดีตมา?”

เหลิ่งหมิงอันกดเสียงต่ำพูด:“ผมก็เคยมีนะ ในตอนแรกมีบริษัทอยู่ที่หนึ่งแย่งอำนาจกับตระกูลเหลิ่งมาโดยตลอด แต่ว่าพวกเขาก็ล้มเหลว พวกเขาถึงกับจ้างคนมาลักพาตัวเหลิ่งเซ่าถิงเพื่อไม่ให้ตระกูลเหลิ่งรวมเข้าด้วยกัน แต่การลักพาตัวเหลิ่งเซ่าถิงมันง่ายขนาดนั้นซะที่ไหน พวกเขาก็เลยมาลักพาตัวผมแทน ขอแค่ตระกูลเหลิ่งไม่รวมกับบริษัทของพวกเขา พวกเขาก็จะปล่อยผม แต่ก็ถูกตระกูลเหลิ่งปฏิเสธ หลังจากนั้นก็อยากได้หุ้นส่วน แต่ก็ถูกปฏิเสธอีก สุดท้ายอยากได้เงินอีก คุณนายเหลิ่งเห็นด้วย แค่เงินเท่านั้นที่ตระกูลเหลิ่งมีเยอะมาก แต่เงินนั่นก็ให้พ่อผมเป็นคนไปส่ง……”

“คุณคงจะรู้สึกว่าให้พ่อผมไปส่ง ผมจะต้องไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรแน่ๆเลยใช่ไหม? แต่ตอนนั้นพ่อผมได้ชื่อว่าเป็นคุณชายรองตระกูลเหลิ่ง เขาไม่มีอำนาจจริงๆเลยสักนิดด้วยซ้ำ แม้แต่เงินก็น้อยครั้งที่จะได้แตะ เงินนั่นร้อยล้านดอลลาร์ ร้อยล้านดอลลาร์หมายความว่ายังไง? หมายความว่าเป็นกำแพงทางตันที่ทำด้วยเงิน พ่อผมเป็นลูกนอกสมรส ก่อนหน้าที่เขายังไม่ได้เข้าไปในตระกูลเหลิ่ง ชีวิตเขาแต่ละวันลำบากมาก เพราะงั้นตอนที่เขาได้เห็นเงินจำนวนมากขนาดนี้ เขาก็เลยลังเล”

เหลิ่งหมิงอันส่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ:“เขาอยากจะปกป้องเงินนั่นไว้ แล้วก็อยากได้ตัวผมด้วย เพราะงั้นในตอนที่โจรลักพาตัวใช้ปืนจ่อที่หัวผม เขาไม่ได้ส่งเงินไปปกป้องชีวิตผม เขาให้มือปืนซุ่มยิงยิงโจรลักพาตัวนั่น ก่อนหน้าที่โจรลักพาตัวจะตายก็ลั่นไกปืนขึ้นมา กระสุนปืนเฉียดหลังผมไป ตอนนี้ยังมีรอยแผลเป็นอยู่เลย หลังจากที่เรื่องผ่านไปพ่อผมภูมิใจมาก เพราะว่าเขาสามารถปกป้องได้ทั้งเงินก้อนนั้นทั้งชีวิตของผม แต่ผมรู้ ในตอนนั้นสำหรับพ่อผมแล้วเงินก้อนนั้นสำคัญกว่าชีวิตผม เป็นยังไงบ้าง? ประสบการณ์นี้น่าเวทนาหรือเปล่า? คุณคิดว่าผมน่าสงสารไหม? น่าเวทนากว่าเหลิ่งเซ่าถิงใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เรื่องของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้เธอตกใจ เรื่องที่เหลิ่งหมิงอันได้ประสบก็ทำให้เธอตกใจเหมือนกัน หรือว่าลูกหลานของตระกูลเหลิ่งล้วนแต่มีประสบการณ์แบบนี้เหรอ? ภายหลังที่ตระกูลเหลิ่งร่ำรวยมหาศาล ล้วนแต่แลกมาด้วยประสบความเคราะห์ร้ายของทุกคนใช่หรือเปล่า?

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากสักพัก พูดเสียงเบา:“ฉันไม่มีทางให้ลูกของฉันเกิดในตระกูลเหลิ่งแน่นอน”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มเยาะ:“ไม่คิดว่าคุณก็เป็นแม่ที่ดีคนหนึ่งเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น จู่ๆรอบข้างก็มีเสียงสุนัขป่าคำรามดังขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบขดตัว เหลิ่งหมิงอันก็รีบพูดขึ้นมา:“ไปกันเถอะ พวกเราขึ้นไปกัน”

เหลิ่งหมิงอันพูด มือเกาะไปที่บนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหลบ เธอขมวดคิ้วแล้วถาม:“คุณ คุณจะทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดว่า:“ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ตาย แต่ผมก็บาดเจ็บนะ คุณพยุงผมขึ้นไปสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก เธอยังไม่ลืมว่าเธอลงมาเพื่ออะไร เจี่ยนอี๋นั่วกวาดสายตาไปรอบๆอย่างรวดเร็ว เหลิ่งหมิงอันสังเกตว่าเธอกำลังมองรอบๆ ก็หัวเราะแล้วถามเสียงเบา:“คุณกำลังหาโทรศัพท์ใช่ไหม?”

เหลิ่งหมิงอันหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากในกระเป๋าแล้วส่งไปในมือเจี่ยนอี๋นั่ว มือถือที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นนั้นได้ปิดเครื่องไปเรียบร้อยแล้ว เธอรีบเปิดเครื่อง พอเห็นว่านี่เป็นมือถือของตัวเธอเองจริงๆ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง:“คุณไม่ได้โยนโทรศัพท์ของฉันทิ้ง?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มเบาๆ:“ผมจะทำอย่างนั้นได้ยังไง แค่แกล้งคุณเล่นเท่านั้นเอง ไม่คิดว่าปฏิกิริยาตอบกลับของคุณจะเล่นใหญ่ขนาดนั้น ตอนนี้ผมคืนโทรศัพท์ให้คุณแล้ว คุณจะพยุงผมขึ้นไปไหม? ไม่งั้นผมตายอยู่ที่นี่ เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นประโยชน์สำหรับคุณเท่าไหร่เลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“คุณไม่ควรล้อเล่นแบบนี้นะ”

จู่ๆมือของเหลิ่งหมิงอันก็ใช้แรงโอบเจี่ยนอี๋นั่วแน่นขึ้น หัวเราะเบาๆ:“คุณในตอนนี้กำลังดีเลย ดูแล้วไม่ได้กลัวผมขนาดนั้น ทำให้ผม……”

เจี่ยนอี๋นั่วหลบเล็กน้อย เหลิ่งหมิงอันเกือบจะล้มลงบนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบพูดขึ้นมา:“คุณอย่าขยับมั่วสิ ไม่งั้นฉันพยุงไม่ไหว จนทำให้คุณกลิ้งลงไปนะ ถ้าหากคุณเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ได้เกี่ยวโยงถึงฉัน แต่นี่เกี่ยวโยงถึงฉันเต็มๆ”

“ผมเกิดอะไรขึ้นมาคงไม่เป็นไร แต่กลัวว่าจะเกี่ยวโยงไปถึงคุณ?” เหลิ่งหมิงอันพูด:“คุณนี่พอกลับเป็นปกติ ก็พูดจาไม่น่าฟังเลยนะ แต่ว่านะผมชอบคุณในตอนนี้มากกว่า ถ้าคุณอยากให้ผมชอบคุณมากขึ้นไปอีก คุณก็พูดจาไม่น่าฟังนั่นแหละ แบบนั้นจะทำให้ผมยิ่งชอบคุณ บางทีผมอาจจะชอบคุณ ชอบจนกระทั่งต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ต้องการคุณแล้ว ต่อให้คุณไม่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ผมก็ยังจะพัวพันกับคุณอยู่อย่างนั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอสาบาน ต่อไปเธอจะไม่พูดอะไรที่ตรงไปตรงมาต่อหน้าเหลิ่งหมิงอันอีก และจะไม่พูดจาคำไม่น่าฟังพวกนั้น ไม่มีทางให้เหลิ่งหมิงอันเกิดความอยากรู้เกี่ยวกับตัวเธออีกเป็นอันขาด

เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองสีหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วค่อยๆหัวเราะออกมา นิ้วมือของเขาสัมผัสเบาๆตรงผิวหนังของเจี่ยนอี๋นั่วที่โผล่ออกมา ปลายนิ้วสัมผัสกับผิวของเธอที่เนียนละเอียด

เหลิ่งหมิงอันได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็นั่งยองลงข้างๆเธอ ยื่นมืออกไปพยายามที่จะเช็ดน้ำตาให้เจี่ยนอี๋นั่ว แต่เธอก็สะบัดหน้าออก เลี่ยงมือของเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาตัวเอง แล้วเดินไปข้างถนน จับราวที่ยื่นลงไป ค่อยๆเดินลงไปตามเนินเขาในความมืดมิด

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วโมโห ในสมองเธอไม่มีความคิดอื่นใด สิ่งเดี๋ยวที่เธอคิดคือรีบหามือถือให้พบ แล้วโทรเรียกคนให้มารับเธอ หลังจากนั้นก็โทรหาพ่อของตัวเอง แล้วต่อไปแม้แต่สักประโยคก็จะไม่พูดกับเหลิ่งหมิงอันอีก

เจี่ยนอี๋นั่วเดินลงเนินเขาไปด้วย ร้องไห้เช็ดน้ำตาไปด้วย วันนี้เธอได้เจอกับเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ พบว่าเธอมีชีวิตจนถึงตอนนี้นั้นได้ผ่านของดีมาไม่น้อย เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา แต่ตัดสินใจว่าหลังจากที่กลับไป จะต้องไปหาหมอดูเช็คดวงให้ได้ เพื่อให้ข้างกายเธอมีคนบ้าประเภทฉู่หมิงเซวียนหรือไม่ก็เหลิ่งหมิงอันลดน้อยลงบ้าง!

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังนั่งวางแผนในใจนั้น ไม่คิดว่าเหลิ่งหมิงอันก็จับราวแล้วเดินลงมาล่างเนินเขาเหมือนกัน มาที่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“นี่ คุณโกรธจริงๆเหรอ? งั้นผมขอโทษคุณ แล้วช่วยคุณหาดีไหม?”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเจอเหลิ่งหมิงอันเลยสักนิด รีบหันหน้าออก ไม่พูดไม่จาแล้วเดินลงไปล่างเนินเขาคนเดียว เหลิ่งหมิงอันยื่นมือไปรั้งบนไหล่เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“อย่าโกรธไปเลยนะ ผมก็ขอโทษคุณแล้วไง”

“ใครต้องการคำขอโทษของคุณกัน? ฉันแค่อยากให้คุณอยู่ห่างจากฉันไกลๆหน่อย!” เจี่ยนอี๋นั่วพูด แล้วใช้แรงผลักเหลิ่งหมิงอันออกไป

เดิมทีเนินเขาก็ชันอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อยู่ในช่วงโกรธ ทำให้แรงเธอเยอะขึ้นไปอีก เหลิ่งหมิงอันถูกเจี่ยนอี๋นั่วผลักจนร่างเซ เท้าเขาก็ไม่ได้ยืนให้มั่นคง ไม่ได้คิดว่าจะกลิ้งจากข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วลงไปล่างเนินเขา เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันกลิ้งลงเนินเขาไป ก็นิ่งอึ้ง แล้วรีบวิ่งตามลงไป

ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วมาอยู่ข้างๆเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันได้นอนนิ่งอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้มีแสงหริบหรี่ เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นไม่ชัดด้วยซ้ำว่าเหลิ่งหมิงอันเป็นยังไงบ้าง เธอรีบดึงแขนของเหลิ่งหมิงอัน ใช้แรงดึงสักพัก:“เหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันคุณเป็นอะไรไป?”

แต่เหลิ่งหมิงอันไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วดูว่าเหลิ่งหมิงอันยังหายใจอยู่หรือเปล่าอย่างระมัดระวัง พบว่าลมหายใจของเหลิ่งหมิงอันนั้นไม่หายใจแล้ว จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็สมองขาวโพลน ถ้าเกิดเหลิ่งหมิงอันเป็นอะไรขึ้นมาจริงๆ งั้นเธอจะเอาอะไรมาชดใช้ชีวิต? ตระกูลเหลิ่งจะปล่อยเธอไปง่ายๆเหรอ?

ไม่ได้ เหลิ่งหมิงอันตายไม่ได้!

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ตระหนักได้ว่าพละกำลังของเหลิ่งหมิงอันนั้นมีอยู่มากแค่ไหน เธอผลักเหลิ่งหมิงอันไม่ขยับด้วยซ้ำ แต่เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงผลักเหลิ่งหมิงอันไปด้วย พยายามที่จะหลีกเลี่ยงจูบของเหลิ่งหมิงอันไปด้วย ตะโกนด้วยความตื่นตระหนก:“เหลิ่งหมิงอัน คุณอย่าทำอะไรบ้าๆนะ”

เหมือนกับว่าเหลิ่งหมิงอันจะไม่ได้ยิน มือข้างหนึ่งกดไปที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเพิ่มความร้อนแรงของจูบ เหลิ่งหมิงอันกดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ใต้ร่าง ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะผลักจะตียังไง เขาก็ไม่มีวี่แววว่าจะถอยไปด้านหลังเลย

“เหลิ่งหมินอัน ตอนนี้ฉันเป็นพี่สะใภ้ของคุณนะ!” เจี่ยนอี๋นั่วพยายามหลีกเลี่ยงจูบของเหลิ่งหมิงอันไปด้วย ตะโกนเสียงดังไปด้วย

จู่ๆเหลิ่งหมิงอันก็หยุดลง แต่ปากของเขายังคงคาอยู่บนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาค่อยๆหรี่ตาทั้งคู่ลง จ้องเจี่ยนอี๋นั่ว

“แล้วยังไง?” เหลิ่งหมิงอันยิ้มอย่างอันธพาลออกมา:“คุณเข้ามาในอ้อมกอดผมเองนะ”

“เหลิ่งหมิงอัน ถ้าคุณแตะต้องฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด

ไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งหมิงอันก็พูดเสียงแหบพร่าข้างๆหูเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไม? ถ้าผมแตะต้องคุณ คุณจะไปตายเหรอ?”

“คุณยังไม่มีค่าพอให้ฉันทำแบบนั้น!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเย็นชา:“ฉันจะฆ่าคุณ แล้วฉันก็จะไม่แจ้งความ ฉันจะหาทุกวิธีเพื่อฆ่าคุณ คุณชอบผู้หญิงที่ทำตามอำเภอใจไม่ใช่เหรอ? ฉันก็จะตัดอวัยวะสืบพันธุ์ของคุณก่อน แล้วค่อยๆหั่นเนื้อของคุณทีละนิด!”

เหลิ่งหมิงอันนิ่งอึ้งไป แล้วหลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมา:“เป็นวิธีเฉพาะของคุณจริงๆ ผมประเมินคุณต่ำไป”

เจี่ยนอี๋นั่วดิ้นอยู่สักพัก:“คุณรีบปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”

“อย่าดิ้น” เหลิ่งหมิงอันใช้แรงกอดรัดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ เสียงก็แหบพร่ามากขึ้น:“คุณอย่าดิ้นสิ ผมไม่ใช่คนที่มีความอดทนนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเหลิ่งหมิงอันเดาความคิด จู่ๆร่างกายก็แข็งทื่อ แล้วเม้มปากไม่ได้พูดอะไร

“นิสัยก็ไม่เหมือนคนทั่วไป”

เหลิ่งหมิงอันมองลง แล้วจูบเบาๆบนริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว:“มากับผมเถอะ เหลิ่งเซ่าถิงไม่มีทางแต่งงานกับคุณหรอก เขาไม่ยุ่งของของผู้หญิง เขาไม่แคร์ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ที่คุณชอบเขา เขาไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบรับด้วยซ้ำ บางทีต่อให้มีปฏิกิริยา เขาก็จะผลักคุณออก พี่ชายที่ตายไปของเขาเป็นฝันร้ายของเขาตลอดชีวิต ในจิตใต้สำนึกของเขานั้นพยายามที่จะเป็นเหมือนพี่ชายของเขา คนที่เย็นชาสติปัญญาเฉลียวฉลาดแบบนั้น เขาไม่มีทางให้ตัวเองขาดสติอย่างแน่นอน เขาไม่มีทางอนุญาตให้ตัวเองไปชอบใครก็ตาม ตอนที่เขาพบว่าอาจจะเปลี่ยนใจกับคุณ สิ่งแรกที่เขาทำคือการผลักคุณออกอย่างแน่นอน”

เจี่ยนอี๋นั่วยกศีรษะขึ้น ถือโอกาสตอนที่เหลิ่งหมิงอันกำลังพูด ยื่นมือออกไปเงียบๆ ควานหาหินที่อยู่ข้างๆ แต่ตอนที่มือของเธอพึ่งจะได้สัมผัสกับหิน จู่ๆเหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือมากดมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้

“เมื่อกี้ผมพึ่งพูดไปว่าผมไม่ได้เป็นคนที่มีความอดทนนะ ไม่ใช่แค่นิ้วมือ ผมอาจจะทนไม่ไหวทำอะไรคุณขึ้นมาก็ได้”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบาข้างๆหู:“อีกอย่างผมอาจจะทนไม่ไหวแล้วจัดการคุณซะ ตอนแรกเริ่มผมรู้สึกได้ถึงความอันตรายของคุณ แต่การข่มขู่ของคุณเมื่อกี้ได้เตือนผมขึ้นมา ผมสามารถทำอะไรคุณที่นี่แล้วฆ่าคุณซะ หลังจากนั้นก็ฝังศพ ที่นี่เป็นป่าชานเมืองรกร้าง คงไม่มีใครสังเกตเห็นศพของคุณ ต่อให้สังเกตเห็น ก็คงต้องรอประมาณอีกหลายปีเลย ฝั่งหวังเหมี่ยนผมข่มขู่หลอกล่อก็พอแล้ว เขาคงพูดตามที่ผมพูด ส่วนฉู่หมิงเซวียน เขาก็คงหวังให้คุณตายเหมือนกันล่ะมั้ง หลังจากนั้นสาเหตุการตายของคุณก็จะเปลี่ยนเป็นหลังจากที่ตัวเองขับรถออกจากตระกูลหวัง ก็ได้เจอกับคนร้าย หลังจากที่ถูกปล้นเขาก็ฆ่าคุณ ผมไม่ต้องถูกรับโทษด้วยซ้ำ ต่อให้ผมไม่ได้ทำเรื่องพวกนี้ ตระกูลเหลิ่งคงไม่ถูกปรับด้วยข้อหาฆ่าคนหรอก”

ร่างกายของเจี่ยนอี๋นั่วเริ่มสั่นเทา เธอจ้องเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันในตอนนี้ไม่ใช่คุณชายเลินเล่อจากตระกูลร่ำรวยอีกแล้ว บรรยากาศจากร่างเขา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เหลิ่งหมิงอันพูดเขาสามารถทำได้ และเหลิ่งหมิงอันในตอนนี้ที่ใช้น้ำเสียงที่สงบพูดเรื่องโหดเหี้ยมน่ากลัวแบบนี้ คงจะเป็นเหลิ่งหมิงอันตัวจริงสินะ?

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามใช้น้ำเสียงที่สงบถาม:“คุณต้องการอะไร? อย่าฆ่าฉันเลยนะ เมื่อกี้ที่ฉันพูดเป็นเพราะโมโห ฉันไม่แก้แค้นอะไรคุณหรอก ฉันยังต้องเลี้ยงดูพ่อ ฉันไม่มีอำนาจอะไรทั้งสิ้น ถ้าเกิดฉันฆ่าคุณขึ้นมา ตระกูลเหลิ่งไม่มีทางปล่อยฉันแน่”

“แต่ผมอยากจะฆ่าคุณจริงๆนะ” เหลิ่งหมิงอันยื่นมือมาลูบแก้มของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ หรี่ตาแล้วหัวเราะเสียงเบา:“ไม่ได้ล้อเล่นกับคุณนะ ตอนนี้ผมอยากจะฆ่าคุณจริงๆ…”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้น เป็นฝ่ายจูบบนริมฝีปากของเหลิ่งหมิงอัน จู่ๆเหลิ่งหมิงอันก็นิ่งอึ้งไป หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆถอยออกมา เธอขมวดคิ้ว เธอตัดสินใจแล้ว เธอจะไปมีค่าอะไร? ร่างกายเธอจะไปมีค่าอะไร? ขนาดตั้งครรภ์ลูกของเหลิ่งเซ่าถิงเธอยังใช้ร่างกายนี้ทำเพื่อเงินเลย เธอจะไปมีอะไรให้น่านับถืออีก? ถ้าเหลิ่งหมิงอันอยากได้ก็ให้เขาไปเถอะ

เจี่ยนอี๋นั่วกลัวตาย เธอไม่อยากตายอยู่ที่นี่ เธอสามารถรู้สึกได้ว่าเหลิ่งหมิงอันไม่ได้พูดล้อเล่น เขาสามารถฆ่าเธอได้จริงๆ หลังจากที่เธอตาย พ่อเธอจะทำยังไงล่ะ? จะมีใครแก้แค้นฉู่หมิงเซวียนให้? เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางให้ตัวเองมาตายง่ายๆที่นี่อย่างแน่นอน!ชีวิตสำคัญกว่าเรื่องอื่นเสมอ

ในเมื่อคิดแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะสั่นกลัวแล้วก้มหน้าลง ผ่านไปนานพอสมควร เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้รอให้เหลิ่งหมิงอันสั่งให้เธอทำอะไร เธอเงยหน้าขึ้นมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน แล้วประสานกับสายตาของเหลิ่งหมิงอันที่ทั้งโหดเหี้ยมทั้งสว่างอย่างกับสุนัขป่า เหลิ่งหมิงอันเวลานี้ลุคภายนอกของเขาหลุดพ้นจากคุณชายตระกูลร่ำรวยไปหมดแล้ว เผยให้เห็นจิตวิญญาณดังเช่นสุนัขป่า

“เรียกชื่อของผม” เหลิ่งหมิงอันพูดเสียงเบา

“เหลิ่งหมิงอัน……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา หลังจากที่พูดจบก็เว้นวรรคเล็กน้อย มองใบหน้าของเหลิ่งหมิงอัน พูดเสียงเบา:“หมิงอัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ขมวดคิ้วแล้วถาม:“สรุปคุณตามมาเพราะอะไรกันแน่? ฉันไม่เชื่อเรื่องบังเอิญอะไรแบบนี้หรอก ถ้าคุณไม่บอกฉัน ฉันก็ไม่ขึ้นรถหรอก”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย:“ก็เพราะคุณไง เพราะคุณจริงๆ วันนี้คุณไม่ได้อยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่ง ผมก็เลยอยากมาดูว่าคุณกำลังทำอะไรกันแน่ ผมอยากรู้เกี่ยวกับคุณมาก ยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ตอนนี้ของคุณกับเหลิ่งเซ่าถิงยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“เรื่องแค่นี้เนี่ยนะ? อีกอย่างรถคันนี้คุณไม่ได้ใช้เงินเดือนของคุณซื้อใช่ไหม? เหมือนคุณไม่ได้ขับรถมานี่ เวลาเทียบกันแล้วไม่พอแน่นอน ถ้ามาถึงที่นี่แล้วค่อยซื้อ ไม่มีเวลาติดป้ายทะเบียนรถด้วยซ้ำ จะเป็นรถที่คุณซื้อมาได้ยังไง? ทำไมคุณต้องเตรียมรถชำรุดคันนี้?”

“เท่ไง” เหลิ่งหมิงอันยืนพิงรถแล้วยิ้ม:“อีกอย่างแบบนี้คุณจะได้เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับผม”

“เกิดความอยากรู้เกี่ยวกับคุณ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปทางเหลิ่งหมิงอันด้วยความสงสัย:“ความอยากรู้แค่เล็กๆน้อยๆสำคัญกับคุณขนาดนั้นเลย?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมา:“คุณเจี่ยนเคยชอบใครไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วถามเสียงเย็นชา:“ทำไมเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆหุบยิ้มลง แสดงให้เห็นสีหน้าที่จริงจัง:“ถ้าคุณเคยชอบใครก็น่าจะรู้ การที่ชอบคนๆหนึ่ง คุณจะอดไม่ได้ที่จะอยากรู้เรื่องทุกอย่างของเขา”

“พูดอย่างกับว่าเป็นเรื่องจริงงั้นแหละ พวกคนตระกูลเหลิ่งชอบใครเป็นด้วยเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ขมวดคิ้วมองรถที่ชำรุด ลังเลอยู่สักพักแล้วตัดสินใจขึ้นรถไป

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วที่ขึ้นนั่งบนรถแล้ว เขาเองก็ขึ้นรถด้วย ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“พวกคนตระกูลเหลิ่ง? คุณอย่าเหมารวมผมกับคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งสิ ถึงแม้ว่าผมจะแซ่เหลิ่ง แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งนะ เห้ย คุณทำอะไรน่ะ?”

พอเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังรถ ก็พลิกหาแล้วพูดไปด้วย:“ฉันก็กำลังหาเข็มขัดนิรภัยไง ชีวิตของฉันมีค่ามากนะ คงทำแบบคุณไม่ได้หรอก”

“เบาะข้างคนขับมีเข็มขัดนิรภัย” เหลิ่งหมิงอันชี้ไปที่เบาะข้างคนขับข้างๆเขาแล้วยิ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วมองบนให้กับเหลิ่งหมิงอัน:“เบาะข้างคนขับเป็นที่ๆไม่ปลอดภัย ไม่เคยได้ยินเหรอ? เบาะด้านหลังคนขับสิถึงจะเป็นที่ๆปลอดภัยที่สุด”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้ว ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้:“คุณนี่กลัวตายจริงๆนะ”

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็หาเข็มขัดนิรภัยเจอ แล้วรัดเข็มขัดให้ตัวเอง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจยาว:“ฉันสามารถนั่งรถชำรุดคันนี้ได้ แสดงว่าฉันไม่ได้กลัวตายแล้วสินะ รีบไปเถอะ ขับช้าๆนะ รักษาชีวิตด้วย พอถึงถนนใหญ่พวกเราค่อยเรียกแท็กซี่ เห้ย ที่จริงพวกเราสามารถยืมรถของประธานหวังได้นี่ บางที……”

เหลิ่งหมิงอันไม่ได้รอให้เจี่ยนพูดจบ ก็เหยียบคันเร่งทำให้รถเคลื่อนออก ทั้งรถสั่นอย่างบ้าคลั่งอย่างกับเป็นโรคลมบ้าหมู จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดอะไรไม่ออก เธอที่ไม่เคยเมารถ เกือบถูกทำให้อาเจียนออกมา เธอหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยปลอบโยนอวัยวะภายในที่ตกใจจนวิ่งหนีหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองไปที่เหลิ่งหมิงอันตรงที่นั่งคนขับ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความตั้งใจในการขับรถ เธอกลั่นกรองคำพูด พูดกับเหลิ่งหมิงอันในใจ:ตาบ้านี่ บ้าตั้งแต่ต้นจนจบจริงๆ!

เป็นอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์ไว้จริงๆ รถชำรุดคันนี้ที่เหลิ่งหมิงอันขับ ในช่วงที่กำลังขับอยู่บนถนนรอบภูเขาก็พังขึ้นมา รถจอดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจยาวๆ:“ขอบคุณสวรรค์ ในที่สุดมันก็พังแล้ว ถ้ายังขับต่อไปล่ะก็ ฉันคงจะตายที่นี่แน่ๆ”

เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองบริเวณรอบๆ แล้วหันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเธอว่า:“ถ้าคุณดูรอบๆ คุณจะไม่พูดแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองบริเวณรอบๆ เห็นว่ารอบๆนั้นมืดมิด อีกทั้งรกร้างไม่มีร่องรอยของคนเลยสักคน บนถนนก็ไม่มีรถผ่านมาสักคัน เหมือนกับสถานที่ในหนังอเมริกาที่พบเจอกับฆาตกรต่อเนื่อง เจี่ยนอี๋นั่วกุมขมับอย่างจนปัญญา หันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงต่ำ:“คุณตั้งใจใช่ไหม? คุณอยากจะฆ่าฉันที่นี่ แล้วโยนศพใช่ไหม? จะบอกคุณให้นะว่านี่มันทางตันแล้วล่ะ อย่าคิดนะว่าคุณเป็นคุณชายรองตระกูลเหลิ่งแล้วจะสามารถทำเรื่องเลวๆอะไรก็ได้!”

เหลิ่งหมิงอันรีบหัวเราะออกมาเสียงดัง มองแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมชอบนิสัยแบบนี้ของคุณจริงๆ ในสถานการณ์แบบนี้ยังล้อเล่นได้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเยาะ ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้:“ฉันก็ชอบจะตายละ นิสัยที่มักจะเลือกตัวเลือกที่แย่สุดๆของฉันเองเนี่ย เมื่อกี้ฉันควรนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน อย่างมากเขาก็แค่ทำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนสักพัก อีกอย่างคงไม่ใจกล้าที่จะทำให้ฉันตาย หรือไม่ก็หน้าด้านไปขอพักที่ตระกูลหวังสักคืนก็ได้นี่นา ทำไมฉันต้องมานั่งรถชำรุดคันนี้ด้วย!”

“คุณพูดแบบนี้ผมก็เสียใจแย่เลยนะ อย่าเอาผมไปเปรียบเทียบกับฉู่หมิงเซวียนจะได้ไหม? ผมคบหากับผู้หญิง ต่างก็เปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่เคยคบซ้อน และก็ไม่มีทางหักหลังคุณ” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วพิงพนักพิงเบาะหลังอย่างหมดแรง ถามอย่างคนไม่มีแรง:“งั้นคุณอยากเปรียบเทียบกับใคร?”

“กับพี่ชายใหญ่เป็นไง? เปรียบเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิง” เหลิ่งหมิงอันมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ในบรรยากาศที่มืดมิด ตาทั้งสองข้างของเหลิ่งหมิงอันสุกสว่างเป็นพิเศษ

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไป ผ่านไปสักพักถึงจะพูดออกมา:“พวกคุณไม่เหมือนกัน เปรียบเทียบกันไม่ได้หรอก”

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมจะเปรียบเทียบกันไม่ได้? ผมกับเขาหน้าตาก็พอๆกัน ตำแหน่งของเขาถึงแม้ว่าจะสูงศักดิ์กว่าผมเล็กน้อย แต่ผมก็ไม่แย่นะ อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเย็นชา ไม่อ่อนโยนอย่างผมสักหน่อย ทำไมคุณถึงชอบเขา ไม่ชอบผมล่ะ? คุณชอบเขาแล้วยังถูกเขาปฏิเสธอีก ถึงหนีออกมาใช่ไหมล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองนอกรถ แล้วขมวดคิ้ว วันนี้ทั้งวันเธอไม่ได้คิดถึงเหลิ่งเซ่าถิงเลย หลายๆเรื่องมันรุมเร้าเธอ เธอเลยไม่มีกะจิตกะใจจะคิดถึงเหลิ่งเซ่าถิง แต่ในตอนที่ชื่อของเหลิ่งเซ่าถิงปรากฏขึ้นมา เธอก็ยังรู้สึกหวั่นไหว

“ช่างเถอะ ในเมื่อคุณไม่อยากพูด งั้นผมก็ไม่ถามแล้ว” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด:“ยังไงซะไม่ว่าคุณจะชอบเขาด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม สุดท้ายคุณก็ต้องชอบผมอยู่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันมาทางเหลิ่งหมิงอัน:“ฉันล่ะนับถือคุณในเรื่องหลงตัวเองจริงๆ”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา:“ในที่สุดคุณก็พบข้อดีในตัวผมแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันแล้วส่ายหน้า รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันกับเหลิ่งเซ่าถิงสองพี่น้องคู่นี้ต่างกันลิบลับ บทจะเย็นชาก็เย็นชาเกิน บทจะกระตือรือร้นก็น่ารำคาญจริงๆ เวลานี้ เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเจี่ยนอี๋นั่วก็ดังขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วรีบเคาะขมับเบาๆ:“ฉันนี่มันโง่จริงๆ ทำไมถึงลืมโทรเรียกคนให้มารับพวกเรากันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ แต่ก็กดรับโทรศัพท์ไม่ทัน แล้วมองดูว่าใครเป็นคนโทรมาหาเธอ จู่ๆเหลิ่งหมิงอันก็ยื่นมือข้างหนึ่งมา แล้วแย่งโทรศัพท์ในมือของเจี่ยนอี๋นั่วไป กวาดสายตามองที่หน้าจอ เหลิ่งหมิงอันเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วเปิดหน้าต่างรถ หลังจากนั้นก็โยนมือถือทิ้งลงไปที่ล่างเนินเขาด้วยมือข้างเดียว

เจี่ยนอี๋นั่วมองมือถือตัวเองที่ถูกโยนทิ้งไป แล้วรีบตะโกนใส่เหลิ่งหมิงอัน:“คุณบ้าไปแล้วเหรอ?”

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบลงจากรถ วิ่งไปหาตรงทิศทางที่เหลิ่งหมิงอันโยนมือถือทิ้งลงมา แต่บนถนนกลับไม่มี เหลือแค่ต้องไปหาที่ล่างเนินเขา แต่บริเวณรอบๆไม่มีไฟถนน ล่างเนินเขาก็มืดสนิท เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเนินเขามันสูงแค่ไหน มีอันตรายอะไรแฝงอยู่บ้าง

เบ้าตาของเจี่ยนอี๋นั่วแดงก่ำ รีบเดินกลับมาที่ข้างรถ เตะประตูไปทีหนึ่งแล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอันอย่างเสียงดัง:“คุณบ้าหรือเปล่าเนี่ย? ทำไมต้องโยนมือถือฉันทิ้งไปด้วย?”

“ไม่เห็นเป็นไรหนิ รอถึงวันที่สอง เดี๋ยวก็มีรถมาพาพวกเราไปจากที่นี่เองแหละ อีกอย่างประธานใหญ่อย่างคุณ คงไม่ร้องไห้กับแค่มือถือเครื่องเดียวหรอกใช่ไหม” เหลิ่งหมิงอันยืมไฟจากในรถทำให้มองเห็นเบ้าตาของเจี่ยนอี๋นั่วที่แดงก่ำ เขายิ้มแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา:“คุณจะไปเข้าใจอะไร? โทรเรียกคนมาช่วยก็สำคัญไม่น้อยเลยนะ ฉันยังไม่ได้โทรหาพ่อฉันเลย? ฉันบอกพ่อไว้แล้วว่าจะโทรหาเขา ตอนที่เขาป่วย ฉันออกไปทำงานนอกสถานที่ แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่แล้ว ตอนนี้แม้แต่จะโทรหาก็ยังไม่โทร ฉันเป็นลูกสาวประสาอะไรกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบร้องไห้ออกมา ร้องไปด้วยพูดเสียงดังไปด้วย:“เหลิ่งหมิงอัน ฉันทำเรื่องอะไรให้คุณเข้าใจผิดเหรอ? ถึงทำให้คุณก่อกวนฉันขนาดนี้? ถ้าฉันทำผิดตรงไหน ฉันจะแก้โอเคไหม? คุณไม่ต้องก่อกวนฉันแล้ว คุณให้ฉันใช้ชีวิตอย่างสงบๆเถอะ ได้ไหม? ฉันกลุ้มใจมากพอแล้ว มีเรื่องเยอะแยะมากมายพอแล้ว ฉันเล่นเกมของพวกคุณไม่ไหว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูด แล้วนั่งยองลงข้างทางร้องไห้ออกมาเสียงดัง:“ทำไมพวกคุณแต่ละคนเป็นแบบนี้ไปซะหมดอะ ฉันล่ะรำคาญพวกคุณจริงๆ!”

“ฮัลโหล เมื่อกี้ตอนที่คุณอยู่มอปลาย ยังเป็นฮีโร่จับคุณครูปีศาจอยู่เลยนะ? ทำไมตอนนี้ร้องอย่างกับเด็กล่ะเนี่ย? ผมไม่รู้จริงๆว่าคุณจะโทรหาพ่อของคุณ อีกอย่างตอนนี้สมองของพ่อคุณก็ได้รับความเสียหายหนักมาก ไม่มีปฏิกิริยากับโลกภายนอกไม่ใช่เหรอ? คุณจะโทรหรือไม่โทร เขาก็ไม่รู้สึกอะไรหรอก คุณไม่ต้องร้อนใจขนาดนี้ก็ได้” เหลิ่งหมิงอันรีบลงจากรถ เดินไปพูดที่ด้านข้างเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วน้ำตาไหล แล้วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน:“เขารู้ ถ้าฉันได้คุยกับเขาตลอด เขาจะต้องดีขึ้นได้แน่ คุณก็เป็นลูกชาย ความเข้าใจในหัวอกเดียวกันสักนิดไม่มีเลยเหรอ? ถ้าพ่อแม่ของคุณป่วยหนัก แล้วคุณออกมาทำงานนอกสถานที่ จะไม่โทรหาพวกเขาเลยเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย:“ถ้าพ่อแม่ผมเป็นแบบพ่อคุณล่ะก็ ผมไม่โทรหรอก ยังไงซะก็มีพยาบาลนี่? ทำเรื่องแบบนั้นมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด บางทีคุณก็เหมือนผู้ใหญ่คนหนึ่งนะ ทำไมบางทีถึงเหมือนเด็กล่ะเนี่ย? สถานการณ์ที่เหมือนกับพ่อของคุณให้เป็นหน้าที่ของพยาบาลก็พอแล้ว คุณอยู่ข้างเขา เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับอะไรหรอก เดิมทีเวลาของคุณสามารถเอาไปทำได้ตั้งหลายเรื่อง ตอนนี้ก็ถูกทำให้เสียเวลาไปหมดแล้ว คุณก็อายุไม่น้อย ไม่รู้สึกว่าเสียดายหรือไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาบังตา แล้วออกแรงเช็ดน้ำตา พูดด้วยเสียงสะอึกสะอื้น:“ฉันเกือบลืมไป พวกคุณก็คนเหมือนกัน เป็นคนที่เย็นชาเหมือนกันทั้งหมด ไม่ว่าจะท่าทางที่ไม่เรียบร้อยหรือว่าเย็นชา ก็ล้วนแต่เป็นคนที่ไม่มีความรู้สึก พวกคุณไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครอบครัวคืออะไร ความรู้สึกของพวกคุณล้วนแต่วัดได้ คำนวณได้ พวกคุณน่ารังเกียจจริงๆ!”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ ก็กดเสียงต่ำลงแล้วพูด:“เดิมทีฉันก็มีความสุขดีในแต่ละวันอยู่แล้ว ทำไมเธอต้องปรากฏตัวออกมารบกวนฉันด้วย? เธอก็รู้ว่าฉันลำบากแค่ไหนกว่าจะหลุดออกมาจากทุกอย่างก่อนหน้านี้ได้? หวังเหมี่ยนเขายากที่จะไม่ใส่ใจอดีตของฉัน แถมยังสงสารอีก การปรากฏตัวของเธอมันจะทำให้ทุกอย่างพังลง”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หัวเราะเบาๆแล้วส่ายหน้า:“จะเหมือนกับเมื่อก่อนได้ยังไง? เธอวางใจเถอะ ตอนนี้ฉันเป็นคนทำธุรกิจคนหนึ่งเท่านั้น และเธอก็เป็นแค่ภรรยาของคนที่ฉันร่วมทำธุรกิจด้วย ส่วนเรื่องในอดีต ก็เป็นอย่างที่เธอพูดในวันนี้ สามีเธอจะไม่รู้ คนที่เธอควรจะระวังไม่ใช่ฉัน แต่เป็นคนที่ร่วมกันทำเรื่องนั้นกับเธอในตอนแรกต่างหาก ถ้าพวกเขารู้ว่าเธอใช้ชีวิตสุขสบายแบบนี้ล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา เธอน่าจะรู้จักพวกเขาดีกว่าฉันนะว่าพวกเขาทำเรื่องอะไรได้บ้าง ถ้าเธอยังไหว ลงไปด้านล่างกับฉันสิ นี่เป็นงานนัดรวมตัวของเธอ เธอควรจะเผชิญหน้ากับทุกอย่างนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์มองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างไม่แน่ใจ พูดเสียงเบา:“เธอไม่มีทางพูด? เธอไม่แค้นฉันเหรอ? หลังจากที่ผู้อำนวยการโรงเรียนกับคุณครูถูกจับ พวกเราต้องสารภาพหมดเปลือกก็เพราะเธอ พวกเราบีบคั้นเธอ พุ่งเป้าที่ไปที่เธอ เธอไม่แค้นพวกเรางั้นเหรอ?”

“ฉันสงสารพวกเธอ ทั้งๆที่เป็นผู้ถูกกระทำ กลับคิดว่าพอสวมชุดเสื้อผ้าใหม่หรูหราแบบนี้ จะสามารถผ่านไปเหมือนก่อนหน้านี้ได้ พวกเธอไม่ไปโทษคนที่ทำร้ายพวกเธอ แต่กลับโทษคนๆนั้นที่เปิดโปงความจริงเนี่ยนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูด แล้วเดินไป จับมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขึ้นมา ก้มหน้ามองแผลเป็นบนข้อมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ:“อีกอย่างเธอก็ได้รับโทษแล้ว เธอรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำมันผิด กลับคิดโกรธแค้นฉันเพราะไม่มีวิธีที่จะห้ามไว้ได้ ฉันมักจะคิดอยู่ตลอดนะ ถ้าฉันไม่ได้เปิดโปงเรื่องทุกอย่าง เธอจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้สินะ ไม่มีใครรู้เรื่องที่เธอเคยผ่านมา แบบนี้น่าจะมีความสุขมากกว่าหรือเปล่า ไม่ต้องเผชิญหน้ากับคำพูดลับหลังเยอะขนาดนี้ ฉันแนะนำให้เธอไปพบจิตแพทย์นะ อย่าไปจมอยู่กับอดีตคนเดียว อีกอย่างเรื่องที่บีบคั้นกับพุ่งเป้ามาที่ฉันที่พวกเธอทำในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะทำให้ฉันไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้ทำให้ฉันเสียใจมาก อีกอย่างถ้าไม่ใช่เพราะเธอกับหวังเหมี่ยนเชิญฉันมา ฉันก็คงจำเธอไม่ได้แล้ว”

“เธอจำไม่ได้แล้ว? เธอลืมฉัน?” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เบิกตากว้างมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ฉันที่ย้ายโต๊ะเรียนของเธอออกไป ฉันที่เอาสมุดการบ้านเธอไปทิ้ง ฉันที่วางแผนจะถ่ายรูปเธอแก้ผ้า เธอไม่มีความทรงจำอะไรกับฉันเลยเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“ตอนนั้นคนที่ทำเรื่องแบบนี้เยอะจะตายไป ฉันจำไม่ได้หรอกว่าใครเป็นใคร แต่คนที่อยากจะทำให้ฉันลำบากใจ ฉันก็สั่งสอนไปแล้วนี่? เรื่องถ่ายรูปฉันพอจะจำได้ลางๆ ไม่ได้ถ่ายติดอะไรนี่? สำหรับฉันแล้ว เรื่องตอนนั้นคือจบไปแล้ว”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“จบไปแล้ว? อดีตช่วงนั้นไม่มีผลอะไรกับเธอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“หลายๆเรื่องในอดีตของฉัน ทำอะไรฉันไม่ได้จริงๆ อีกอย่างพวกเธอก็ไม่ใช่คนที่ฉันเกลียดที่สุด แค่รู้สึกว่าพวกเธอน่าสงสารน่าโมโหก็เท่านั้น”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลง พูดเสียงเบาซ้ำๆไปมา:“จบไปแล้ว? จบไปแล้วเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ แล้วหมุนร่างเดินออกไป พอออกจากห้องก็เจอกับเหลิ่งหมิงอันกำลังยืนอยู่ข้างประตูด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วรีบดึงแขนของเหลิ่งหมิงอันเอาไว้ ถือโอกาสตอนที่เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ยังไม่เห็น ดึงเหลิ่งหมิงอันเดินมาที่มุมตึก

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา:“แอบฟังผู้หญิงคุยกันไม่ใช่การกระทำของสุภาพบุรุษเลยนะ”

“ที่แท้คนทำผิดถูกจับ ไม่ใช่ตอนจบนี่เอง ฮีโร่ถูกผู้ถูกกระทำบีบคั้นสินะถึงจะเป็นฉากเบื้องหลังของนิทานเรื่องนี้” เหลิ่งหมิงอันกดเสียงต่ำแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วยิ้มเยาะ:“ไม่ใช่ว่าคุณรู้ทุกเรื่องเหรอ? ทำไมต้องแสร้งทำว่าตกใจด้วย? วันนี้คุณมาร่วมงานนัดรวมตัว คุณก็คงรู้เรื่องมาบ้างแล้วล่ะ บางทีคุณแค่ยังไม่แน่ใจ ไม่เข้าใจเหตุการณ์อย่างละเอียด ก็เลยมายืนยันที่งานนัดรวมตัวนี้ อีกอย่างฉันก็ไม่ใช่ฮีโร่ ฉันแค่นิสัยไม่ดีก็เท่านั้น เขากล้าทำกับฉันแบบนั้น ฉันไม่มีทางให้เขาอยู่สงบสุขหรอก แล้วเรื่องหลังจากนั้นอีก พวกเขาไม่ได้ทำอะไรฉัน เรื่องทั้งหมดนี้มันผ่านไปแล้ว”

“คุณรู้จักผมดีจริงๆ” เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆยิ้มออกมา:“แต่คุณกลับปลอบใจคนที่เคยบีบคั้นคุณ พุ่งเป้ามาที่คุณเนี่ยนะ คุณไม่เหมือนคุณที่บอกไว้ว่าเย็นชาเลยนะ”

“ต่างก็เป็นผู้หญิงกันทั้งนั้น ฉันเข้าใจว่าพวกเขาเจ็บปวดแค่ไหน เรื่องที่พวกเขาบีบคั้นฉันแล้วพุ่งเป้ามาที่ฉันในตอนหลังนั้น เทียบกับสิ่งที่พวกเขาโดนทำร้ายมา มันเทียบไม่ได้เลยสักนิด อีกอย่างตอนที่ฉันถูกพวกเขาบีบคั้น เพราะไม่เข้าใจวิธีการของพวกเขา ก็เปิดหนังสือจิตวิทยาดูเหมือนกัน พวกแผลที่สร้างขึ้นมาในภายหลังต่างก็เป็นปฏิกิริยาโต้ตอบนั่นแหละ ไม่ได้ถูกตัวเองควบคุมเลยสักนิด แค่ตอนนั้นฉันไม่ได้เผชิญหน้าด้วย ฉันแค่รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ผิด ก็เลยไม่ได้สนใจพวกเขา ถ้าตอนนั้นฉันโตขึ้นกว่านั้นสักปีสองปี บางทีอาจจะจัดการเรื่องนั้นได้ดีกว่านี้ บางทีฉันอาจจะไม่ต้องใช้สายตาเย็นชามองพวกเขาแต่ละคนที่กำลังรู้สึกผิดและต่อสู้อยู่ในความเกลียดชังเพราะความโกรธแค้น บางทีทุกคนอาจจะมีตอนจบที่สวยงามกว่านี้” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน:“หลังจากที่คุณได้ฟังเรื่องยุ่งยากนี้ทุกอย่างแล้ว ก็อย่าไปพูดกับใครนะ ให้เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เป็นผู้ถูกกระทำที่ได้รับความสงสารไปนั่นแหละ ไม่ต้องพูดเรื่องที่เธอบีบคั้นฉันในภายหลังออกไป ช่วงที่บีบคั้นนั้นนับว่าทรมานจิตใจเธอไม่น้อย แต่สำหรับฉันไม่มีผลอะไรหรอก ถ้าพูดออกไปล่ะก็ คงจะสร้างความลำบากใจให้เธอ”

“โอเค ผมรับปากคุณ” เหลิ่งหมิงอันเข้ามาใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“แต่คุณต้องจูบผมก่อน”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน:“หลังจากที่ได้ฟังเรื่องน่าเวทนาขนาดนี้แล้ว คุณยังมีหน้าจะพูดแบบนี้อีกเหรอ มันเหมาะสมไหม?”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วอีก แล้วกดเสียงต่ำ:“ไม่เหมาะเหรอ? อี๋นั่ว จู่ๆผมก็รู้สึกว่าคุณน่ารักมากเลยอะ ดูภายนอกคิดว่าเย่อหยิ่ง แต่กลับคิดแทนคนด้วย ขนาดคนที่เคยทำร้ายคุณ คุณยังปล่อยวาง……”

“ไม่ ฉันไม่ใช่แบบที่คุณพูดหรอก ตรงกันข้ามเลยต่างหาก แค้นที่ฉันมีก็ต้องชำระ แค่คุณสามารถแยกแยะออกได้ว่าใครคือคู่อริจริงๆของฉัน ใครไม่มีความคิด คนที่เป็นคู่อริจริงๆของฉัน ฉันไม่มีทางให้อภัยหรอก ถ้าคุณไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันไปก่อนนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หมุนร่างเดินออกไป

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองแผนหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆยิ้มออกมา:“น่าสนใจจริงๆ ยิ่งมองยิ่งน่าสนใจ”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับลงมาที่ชั้นล่าง เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็เดินมาที่ชั้นล่างเหมือนกัน สีหน้าเธอดูดีขึ้นเล็กน้อย แค่พยายามหลบเลี่ยงสายตาที่มองเจี่ยนอี๋นั่ว บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนอยู่ เหมือนกับมื้ออาหารที่เคยกินก่อนหน้านี้ พอกินเสร็จ เจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มให้กับเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แล้วพูด:“รสมือของคุณนายหวังดีมากจริงๆ ประธานหวังได้แต่งงานกับภรรยาที่ดีจริงๆนะคะ”

หวังเหมี่ยนยื่นมือไปโอบไหล่ของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ไว้ พูดเสียงเบา:“ภรรยาผมเจอเรื่องไม่ดีมาเยอะ แต่ผมจะดูแลเขาให้ดี”

เบ้าตาของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แดงก่ำ ก้มหน้าลง เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วชี้ไปทางหวังเหมี่ยน พูดหยอกล้อ:“ฉันกับฮุ่ยเอ๋อร์เรานับว่าเป็นญาติกันแล้ว ถ้าต่อไปคุณไม่ดีกับเธอล่ะก็ คุณคงต้องหาคำอธิบายดีๆมาให้ฉันแล้วนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วรีบก้มหน้าลงอีกอย่างรวดเร็ว หวังเหมี่ยนจับมือเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์แน่น แล้วพูด:“ไม่ต้องรออธิบายให้คุณฟังหรอก ผมจะดีกับเขาตลอดนั่นแหละ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก้มหน้าลง จนกระทั่งงานนัดรวมตัวจบลง เจี่ยนอี๋นั่วคิดสักพัก เลยตัดสินใจเดินไปข้างๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ แล้วพูดเบาๆ:“ต่อไปคิดแค่อนาคต ไม่ต้องคิดถึงอดีตอีก ฉันจำคุณไม่ได้แล้ว คุณก็จำฉันไม่ได้เหมือนกัน ต่อไปคุณก็คือคุณนายหวัง ฉันก็คือประธานเจี่ยน”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ร้องไห้สะอึกสะอื้น ร่างกายค่อยๆสั่นเทา กางแขนกอดไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วปล่อยเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็รีบหมุนร่างเดินไปข้างๆหวังเหมี่ยน หวังเหมี่ยนโอบเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เบาๆ พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วอย่างรู้สึกผิด:“ขอโทษนะ ฮุ่ยเอ๋อร์เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ผมคงไปส่งประธานเจี่ยนไม่ได้”

“ไม่เป็นไร ผมไปส่งเอง!”

“ผมไปส่งเอง!”

เสียงของผู้ชายทั้งสองคนที่แตกต่างกันพูดขึ้นมา เหลิ่งหมิงอันกับฉู่หมิงเซวียนประสานสายตากัน หวังเหมี่ยนพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรู้สึกผิด:“งั้นก็รบกวนพวกเขาไปส่งคุณแล้วกันนะ ประธานเจี่ยนเลือกสักคนสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะเลือกทั้งสองคน ถ้าเป็นไปได้ เธออยากจะขับรถกลับโรงแรมเองมากกว่า แต่ตอนนี้เห็นว่าทุกคนต่างก็กลับกันหมดแล้ว เหลือแค่ฉู่หมิงเซวียนกับเหลิ่งหมิงอันสองคน เธอยอมที่จะนั่งเครื่องบินลำเดียวกับฉู่หมิงเซวียนก็เพราะหลบหนีเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอเผชิญหน้ากับฉู่หมิงเซวียนและเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่เหลิ่งหมิงอัน ยิ้มแล้วพูด:“พวกเราไปกันเถอะ”

เหลิ่งหมิงอันรีบยิ้มออกมา:“ได้สิ ไปกัน ผมพาคุณไปหารถผมก่อน”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วไปกับเหลิ่งหมิงอัน ฉู่หมิงเซวียนก็ได้แต่ขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งหมิงอัน พร้อมทั้งกำมือแน่น เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาถึงที่หน้ารถของเหลิ่งหมิงอัน ก็ขมวดคิ้ว เธอสะกิดหางคิ้ว ไม่รู้ว่าเหลิ่งหมิงอันขับรถที่ชำรุดอย่างนี้มาได้ยังไง

“รถคันนี้อายุการใช้งานยี่สิบปีได้แล้วมั้ง ใกล้ได้แจ้งว่าเป็นของชำรุดแล้วใช่หรือเปล่า?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วหันไปมองเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้าไปใกล้รถ:“ผมไม่ใช่คนสิ้นเปลืองแบบนั้น นี่เป็นรถที่ผมใช้เงินตัวเองซื้อเลยนะ รถออดี้มือแปด ขายแค่แสนห้า”

เจี่ยนอี๋นั่วกุมขมับ:“ฉันน่าจะเลือกคนผิดแล้ว ฉันว่าฉันไปนั่งรถของฉู่หมิงเซวียนดีกว่า”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเกลียดฉู่หมิงเซวียน แต่อย่างน้อยรถของฉู่หมิงเซวียนก็น่าจะรักษาชีวิตเธอได้ดีกว่า เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ารับประกันว่าถ้านั่งรถของเหลิ่งหมิงอัน ตัวเองจะสามารถมีชีวิตรอดไปถึงปลายทางหรือเปล่า แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็คิดสักพัก แล้วเธอก็เปลี่ยนคำพูด:“ฉันเรียกรถแท็กซี่สักคันดีกว่า”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจว่าจะนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน จู่ๆก็รู้สึกว่าถ้าเธอนั่งรถของฉู่หมิงเซวียน คงไม่เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอเสียชีวิตแน่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วอาจจะทำให้ตัวเองสะอิดสะเอียดจนตาย เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยตัดสินใจเรียกแท็กซี่ แบบนี้เธอสบายใจกว่า

“เรียกแท็กซี่ในคฤหาสน์แบบนี้เนี่ยนะ? รอให้สว่างคุณก็เรียกไม่ได้สักคันหรอก”

เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าใกล้รถ ยิ้มแล้วพูด:“อีกอย่างคุณให้ผมปิดเรื่องคุณไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ผมเปลี่ยนเงื่อนไขแล้ว ขอแค่คุณยอมขึ้นรถ ผมก็จะรักษาความลับของคุณให้”

เจี่ยนอี๋นั่วออกมาทำงานนอกสถานที่ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงคนตระกูลเหลิ่ง แต่เธอไม่คิดว่าจะเจอกับเหลิ่งหมิงอันที่นี่ เธออดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองหวังเหมี่ยน รู้สึกว่าหวังเหมี่ยนที่ดูแล้วเป็นคนซื่อๆตรงๆก็สุดยอดอยู่เหมือนกัน งานนัดรวมตัวกลับเป็นสถานที่ที่รวบรวมผู้ชายที่เธอไม่อยากเจอที่สุดทั้งสองคน

ถ้าเทียบกับตอนเจอฉู่หมิงเซวียนแล้ว ตอนเจอกับเหลิ่งหมิงอันทำให้เธอร้อนรนมากกว่า เดิมทีเธอเตรียมพร้อมที่จะหลีกเลี่ยงตระกูลเหลิ่งไม่กี่วัน แต่การปรากฏตัวของเหลิ่งหมิงอัน ก็ทำให้เธอนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงที่ทำให้เธอกลุ้มใจคนนั้นอีก

เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูด:“แต่ดูสีหน้าคุณแล้ว เหมือนว่าคุณไม่ได้ตื้นตันใจมากนะ?”

บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยังคงรักษารอยยิ้มไว้ พูดเสียงเบา:“จะเป็นงั้นไปได้ไง? ได้เจอคุณฉันดีใจมากจริงๆ”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะสักพัก แล้วหันหน้าไปทางที่ฉู่หมิงเซวียนยืนอยู่ ยิ้มแล้วพูด:“คุณฉู่ดีใจไหม?”

“คุณแซ่เหลิ่ง?” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วยักไหล่ หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้แล้วพูดต่อ:“ใช่น่ะสิ ผมแซ่เหลิ่ง น่าจะเป็นตระกูลเหลิ่งที่เป็นญาติห่างๆที่เขาลือกัน แต่ว่าเปรียบเทียบกันแล้ว ว่าผมเป็นคนตระกูลเหลิ่งหรือเปล่า เรื่องที่เกิดขึ้นกับอี๋นั่วก่อนหน้านี้มันน่าสนใจมากกว่าไม่ใช่เหรอ ผมล่ะอยากจะรู้จริงๆ”

“ก็ไม่ใช่ว่าจะพูดไม่ได้ อี๋นั่วไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด ในทางกลับกันคนที่ผิดคือพวกเรา”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดเสียงเบา:“เรื่องนี้มันกดทับในใจฉันมานานแล้ว แล้วฉันก็อยากจะพูดออกมานานแล้วด้วย ฉันไม่กลัวที่จะพูดให้คนอื่นฟังหรอกนะ ฉันดีใจมากจริงๆที่วันนี้สามารถเชิญอี๋นั่วมาได้ ฉันรู้สึกว่าในใจตัวเองไม่เคยรู้สึกโล่งเท่านี้มาก่อน”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูด แล้วยกมือขึ้น จัดการผมที่หล่นลงมา เธอเปิดข้อมือของตัวเอง ด้านบนมีรอยกรีดที่เห็นได้ชัด ดูแล้วเป็นรอยแผลเป็นที่เกิดจากการกรีดข้อมือหลายครั้ง

เจี่ยนอี๋นั่วมองหวังเหมี่ยน เห็นว่าหวังเหมี่ยนมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ด้วยความห่วงใย ไม่มีวี่แววว่าจะห้ามเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร

“พวกเรานั่งคุยกันเถอะ” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดเบาๆ

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดแล้วหมุนร่าง เดินกลับไปที่โซฟากับหวังเหมี่ยน เห็นว่าทุกคนนั่งลง เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินมานั่งลงข้างโซฟาด้วย และเหลิ่งหมิงอันเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั่งลง ก็ยิ้มแล้วมานั่งข้างๆเธออีกที หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนเห็นว่าเหลิ่งหมิงอันนั่งลงข้างเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ทำได้แค่นั่งลงตรงข้ามกับโซฟา

เจี่ยนอี๋นั่วระงับความเบื่อที่อยู่ในใจ มองไปทางเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ เธอไม่เข้าใจว่าสถานที่ที่นัดเพื่อนร่วมงานทางธุรกิจมาแบบนี้ เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ต้องการจะทำอะไรกันแน่?

เห็นได้ชัดว่าเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ตื่นเต้นเล็กน้อย ตอนที่มือของเธอถูกหวังเหมี่ยนจับไว้ เธอถึงเงยหน้ามองมาทางเจี่ยนอี๋นั่ว สูดหายใจเข้าสร้างกำลังใจให้ตัวเองแล้วพูดเสียงเบา:“ความจริงแล้วฉันอยากจะเจอเธอมาตลอด แต่ก็ไม่กล้าพอ ตอนนั้นพวกเราทำเรื่องเกินไปจริงๆ พวกเราขี้ขลาดเกินไปจริงๆ ก็เลยทำให้เธอกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรมอยู่หนึ่งปีเต็ม”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลง ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่:“คุณนายหวังพูดเกินจริงไปนะคะ”

“ไม่เลย ไม่ได้เกินจริง” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ส่ายหน้าแล้วพูด:“เธอทำไปเพราะหวังดีกับพวกเราแท้ๆ”

“ตกลงมันเรื่องอะไรกันแน่?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วถาม:“ฟังแล้วผมยิ่งอยากรู้เข้าไปทุกที”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ขมวดคิ้ว เหมือนว่ากำลังย้อนนึกถึงอดีตที่ตัวเองไม่อยากจะนึกถึงเลย เสียงของเธอกดต่ำมาก เหมือนกับว่าบีบออกมาจากกล่องเสียง:“ตอนนั้นพวกเราพึ่งจะขึ้นม.5กัน ครูที่ปรึกษาของพวกเราเป็นวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ระดับความสามารถทางคณิตศาสตร์สูงมาก ขอแค่เป็นนักเรียนในความดูแลของเขา ก็ล้วนแต่ได้เข้ามหาลัยที่ดีๆกันทั้งนั้น เขาเข้มงวดกับนักเรียนมาก แต่จะอ่อนโยนกับผู้หญิง มักจะเรียกนักเรียนผู้หญิงมาติวเพิ่มอยู่บ่อยๆ แต่เขาจะเรียกไปทีละคน……”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ มือก็สั่นแล้วจับเข้าหากัน มือซีดเล็กน้อย:“มองเผินๆเห็นว่าเขาพูดว่าจะติวเพิ่มให้นักเรียนหญิง แต่นักเรียนผู้หญิงที่เข้าไปในห้องทำงานของเขาแล้วต่างก็รู้ว่าเขาทำอะไร”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ตาก็เริ่มแดงขึ้นมา เสียงรอบข้างก็เงียบลง หวังเหมี่ยนรีบจับมือของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ไว้ พูดเสียงเบา:“ไม่เป็นไรนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบส่ายหน้า:“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันอยากจะพูดออกมา ไหนๆเรื่องมันก็เกิดขึ้นแล้ว ฉันไม่อยากจะหนีอีกแล้ว”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูด แล้วชำเลืองมองไปยังคนที่อยู่รอบๆ พูดเสียงเบา:“ในจำนวนนั้นรวมถึงฉันด้วย ผู้หญิงในห้องพวกเราผ่านประสบการณ์มาเกือบจะเหมือนๆกัน แต่ทุกคนต่างก็เลือกที่จะเงียบไว้ เพราะในมือของเขามีรูปที่สามารถขู่พวกเราได้อยู่ อีกอย่างพวกเราต่างก็กลัวเขามาก รู้สึกว่าอับอายมาก มันไม่เหมือนกับการทำลายชีวิตที่สงบเหมือนในตอนแรก เขาดูเข้าใจความคิดของพวกเรา เพิ่มความบุ่มบ่ามเข้าไปอีก แต่ก็รู้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เขาเรียกเจี่ยนอี๋นั่วเข้าไปในห้องทำงาน ก่อนหน้านี้เขาก็เหมือนจะรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วมีคนอยู่เบื้องหลังพอสมควร แต่ไหนแต่ไรมาไม่กล้าจะแตะต้องเธอ แต่ก็ดูออกว่าเขาเล็งเธอมาตลอด หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วกลับแทงเขาจนบาดเจ็บ วิ่งออกมาจากห้องทำงาน แถมยังแจ้งทางโรงเรียนให้ทราบอีก”

“มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วยเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเบาใกล้ๆกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ดูแล้วแสบตั้งแต่เด็กเลยนะ ผมควรจะขอบคุณคุณใช่ไหมที่ตอนนั้นไม่เอามีดแทงผม?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ตอบ แค่ก้มหน้าก้มตาลง ภายนอกดูไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์มองเจี่ยนอี๋นั่วที่ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ ก็ก้มตาลง แล้วพูดเบาๆ:“แต่คุณครูคนนั้นเขามีคนให้ท้ายมากอยู่นะ หลังจากที่ทางโรงเรียนรู้ ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งเรื่องนี้ ในทางกลับกันอยากจะปิดเรื่องนี้ไว้ อีกทั้งลงโทษเจี่ยนอี๋นั่วอีกด้วย พวกเราทุกคนรู้ว่าบ้านของเจี่ยนอี๋นั่วพอมีฐานะอยู่บ้าง ในใจคิดว่าบางทีเธออาจจะย้ายโรงเรียน หรือไม่ก็ย้ายห้อง หรือบางทีอาจจะบอกพ่อของเธอให้จัดการเรื่องนี้ แต่เธอกลับอยู่ต่อ แล้วนับตั้งแต่นั้นมาเธอก็ถูกคุณครูคนนั้นเหน็บแนมบ้างรังแกบ้าง ส่วนพวกเราเป็นเพราะกลัวคุณครูคนนั้น ก็เลยต้องจำใจแกล้งเธอ จนถึงงานเลี้ยงของโรงเรียนตอนปลายปี จนกระทั่งบรรดาผู้ปกครองถูกเชิญมาที่โรงเรียนเพื่อดูการแสดงของนักเรียน รายการเพลงที่เปิดเดิมทีควรจะเป็นดนตรีเต้นรำก็ถูกเปลี่ยน เปลี่ยนเป็นบทสนทนาระหว่างคุณครูคนนั้นกับผู้อำนวยการโรงเรียน ทุกอย่างถูกเผยแพร่ออกมา ที่จริงแล้วผู้อำนวยการโรงเรียนกับคุณครูคนนั้นเขาสมรู้ร่วมคิดกันแกล้งนักเรียนหลายคน”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดถึงตรงนี้ ร่างกายก็ค่อยๆสั่นเทา สะอึกสะอื้นพูดว่า:“เรื่องนี้ถูกเปิดโปงออกมา พวกเราต่างก็รู้ว่าเป็นเจี่ยนอี๋นั่วที่ทำเรื่องนี้ขึ้น เธออดทนมานานก็เพื่อเปิดเผยเรื่องนี้ ผู้ปกครองทุกคนต่างก็โกรธมาก ต้องการคำอธิบายจากโรงเรียน นั่นคือโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองเชียวนะ ผู้ปกครองเขาก็ไม่ได้จ่ายเงินมาเพื่ออะไรแบบนี้ พวกเขาไม่เคยคิดว่าโรงเรียนจะใจกล้าขนาดนี้ ถึงกล้าทำเรื่องแบบนี้กับนักเรียนหญิง ไม่นานผู้อำนวยการโรงเรียนก็ถูกจัดการ คุณครูก็เช่นกัน ทุกอย่างก็เลยกลับเป็นปกติ หลังจากนั้นพวกเราและคนอื่นๆก็เข้าร่วมสอบเอ็นทรานซ์ด้วยกัน เหมือนกับว่าทุกๆคนจำช่วงเวลานั้นไม่ได้แล้ว แต่พวกเราไม่เคยลืม พวกเรายังคงจำได้ ไม่งั้นคงไม่นานขนาดนี้ที่พวกเราไม่ได้เจอกัน ฉัน……ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ฉันจะเป็นผู้ถูกกระทำ แต่ฉันก็ถูกคุณครูคนนั้นกดดันให้ฉันทำเรื่องไม่ดีลงไป ถึงขนาดรวมตัวกับคนอื่นๆช่วยกันบีบคั้นอี๋นั่วของพวกเรา ตอนนี้ฉันก็ยังรู้สึกผิด ขอโทษนะ อี๋นั่ว เธอยกโทษให้ฉันเถอะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดจบ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เงียบลง พวกเขาต่างก็ใช้สายตาสงสารมองไปยังเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หลังจากนั้นก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วก็แค่คนทำธุรกิจทั่วๆไป ในวงการนี้เธอไม่ได้มีอะไรที่พิเศษ เธอมักจะแย่งชิงมาให้สุดความสามารถถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ต่อเธอ เธอไม่มีทางปล่อยโอกาสที่สามารถทำให้บริษัทพัฒนาไปได้หรอก ตอนนี้ในเรื่องที่เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์กำลังเล่านั้น เจี่ยนอี๋นั่วเป็นเหมือนฮีโร่คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความฉลาดและความกล้าหาญ ได้เผชิญหน้ากับความดำมืดของโรงเรียนลำพัง

บางคนก็นับถือเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงขนาดที่ยกแก้วเหล้าขึ้นมาอย่างตื่นเต้น:“มา ให้พวกเราดื่มให้เจี่ยนอี๋นั่วสักแก้ว และหวังว่าคุณนายหวังจะกลับมาสดใสอีกครั้งในเร็ววัน เรื่องในอดีตก็ผ่านไปแล้ว คุณนายหวังก็เป็นผู้ถูกกระทำ ตอนนี้สามารถพูดมันออกมาต่อหน้าทุกคนอย่างไร้กังวลได้ ก็นับว่ากล้าหาญมากแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ หรี่ตาลง ยิ้มแล้วพูด:“ไม่ค่ะ ควรจะเป็นฉันดื่มให้คุณนายหวังก่อน ขอบคุณที่ผ่านไปนานขนาดนี้เธอยังจำฉันได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วยกแก้วเหล้าขึ้น เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รีบยกแก้วเหล้าขึ้นเหมือนกัน แล้วรีบพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“แค่เธอให้อภัยฉัน ฉันก็ดีใจมากแล้ว ขอบคุณนะ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดจบ ก็ดื่มเหล้าหมดแก้ว ใบหน้าของเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็แดงขึ้นทันที แล้วค่อยๆล้มลงบนที่นั่ง พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ขอโทษนะ ฉันไม่ชนะฤทธิ์เหล้า อี๋นั่ว เธอไปส่งฉันขึ้นไปพักผ่อนหน่อยได้ไหม? พวกเราไม่ง่ายเลยกว่าจะได้เจอกัน อยากจะคุยกับเธอหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปากขึ้น ยิ้มแล้วพยักหน้า:“ได้สิ ฉันจะไปส่งเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาที่ข้างๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ พยุงเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์เดินขึ้นไปข้างบน พอเดินมาถึงห้องนอนชั้นบน เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็ผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก หลังจากที่ปิดประตูห้องแล้ว ก็ถอยหลังไปไม่กี่ก้าว ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ทำไมเธอถึงเออออตามฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“เพราะที่เธอพูดเป็นเรื่องจริงจริงๆนี่ แต่พูดแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น”

ริมฝีปากเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์สั่น พูดเสียงเบา:“ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ ฉันจะรู้ได้ไงว่าจะได้เจอเธออีกครั้ง? ฉันไม่รู้ว่าหวังเหมี่ยนจะทำธุรกิจร่วมกับเธอ ฉันแค่ถือโอกาสพูดก่อนที่เธอจะพูดถึงฉันในอดีต คนพูดก่อนมักจะได้เปรียบ แค่ฉันพูดออกมา พวกเขาก็เชื่อคำพูดฉันแล้ว ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรคงไม่มีใครเชื่อเธอหรอก คนอื่นเขาไม่รู้สักหน่อยว่าในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้น……”

“ใช่ ใครจะไปคิดว่าคุณนายหวังที่ภายนอกอ่อนโยนจิตใจดีจะผ่านเรื่องบิดเบือนขนาดนั้นมา เป็นผู้ถูกกระทำ ถ้าเทียบกับคนที่เป็นฝ่ายกระทำแล้ว ทำให้คนสงสารง่ายกว่าเยอะ และทำให้มีชีวิตต่อไปได้ง่ายกว่าจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วหรี่ตาลง

จู่ๆเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้น ใช้สายตาที่โหดเหี้ยมที่ไม่เหมือนกับบุคลิกอ่อนโยนภายนอกโดยสิ้นเชิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมเธอยังเป็นแบบนี้อยู่อีก? เจี่ยนอี๋นั่วทำไมเธอต้องเป็นข้อยกเว้น พวกนักเรียนหญิงต่างก็ถูกเหยียดหยามกัน ทำไมเขาถึงไม่กล้าแตะต้องเธอ? ทำไมพอเขาแตะต้องเธอ เธอต้องต่อต้านด้วย? ทำไมเธอไม่เหมือนพวกเรา? ทำไมเธอต้องทำเรื่องให้มันใหญ่โต? ทำให้พวกเรากลายเป็นตัวตลก? ตอนนี้พวกเราต่างก็มีชีวิตอยู่ในเงามืด ทำไมเธอถึงมีชีวิตอยู่อย่างสง่าผ่าเผยขนาดนั้น? ทำไมต้องเป็นเธอทุกครั้ง? เธอมักจะเป็นกรณีพิเศษงั้นเหรอ?”

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วจัดการเรื่องพ่อของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็โทรหาคุณนายเหลิ่ง แจ้งให้ตระกูลเหลิ่งทราบสักคำ ขณะที่ขึ้นเครื่องบินไป เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะได้นั่ง ฉู่หมิงเซวียนก็มาที่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วนั่งลงข้างเธอ

“ไม่คิดว่าประธานเจี่ยนจะยอมไปทำงานกับผมนอกสถานที่” ฉู่หมิงเซวียนยิ้มเยาะแล้วหันไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพลิกดูนิตยสารในมือสักพัก แล้วพูดเสียงเย็นชา:“ไม่ต้องพูดกับหวัง ถึงแม้ว่าพวกเราจะนั่งเครื่องเที่ยวบินเดียวกัน แต่งานที่ไปทำไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องงาน”

“เห้อ……ประธานเจี่ยนนับวันยิ่งเด็ดขาดขึ้นทุกวันนะ” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามอง ยิ้มแล้วพูด:“ผมยังจำตอนแรกได้ที่คุณมักจะปรับตารางการเดินทาง เพื่อจะได้ไปทำงานด้วยกันกับผม”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางแอร์โฮสเตส ถามเสียงเบา:“ขอโทษนะคะ ขอถามหน่อย มีใครยอมเปลี่ยนที่นั่งกับฉันไหม? ฉันสามารถเปลี่ยนไปชั้นประหยัดได้”

แอร์โฮสเตสเผยรอยยิ้มออกมา:“ของคุณเป็นชั้นเฟิร์สคลาส ถ้าต้องการเปลี่ยนที่นั่ง ทางเราไม่สามารถคืนเงินค่าเสียหายให้คุณได้นะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า:“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่อยากนั่งที่นี่ ช่วยหาที่นั่งให้ฉันด่วนเลยค่ะ”

แอร์โฮสเตสพยักหน้าแล้วยิ้มออกมา:“งั้นโอเคค่ะ”

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองแอร์โฮสเตสที่เดินจากไป ถามน้ำเสียงเย็นชา:“เจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้แม้แต่การจะนั่งด้วยกันกับผม คุณก็ไม่ยอมนั่งแล้วเหรอ? ตอนแรกพวกเรา……”

เจี่ยนอี๋นั่วชำเลืองมองฉู่หมิงเซวียน:“ตอนแรกเป็นเพราะคุณที่ทำร้ายพ่อฉันจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทำร้ายพ่อฉันจนตอนนี้จิตฟุ้งซ่านไปหมดแล้ว แค่ฉันต้องมานั่งเครื่องลำเดียวกับคุณฉันก็รู้สึกน่าสะอิดสะเอียนเต็มที แล้วฉันจะอยากนั่งกับคุณไปทำไม?”

เวลานี้แอร์โฮสเตสเดินมาพอดี ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณผู้หญิงคะ เปลี่ยนที่นั่งให้คุณเรียบร้อยแล้วค่ะ เชิญตามฉันมาค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหมุนร่างเดินตามแอร์โฮสเตสไปที่ชั้นประหยัด นั่งลงตรงที่นั่งที่จัดการไว้เรียบร้อยแล้ว หลังจากที่นั่งลง เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วหลับตาลง ชั้นประหยัดเสียงดังกว่าชั้นเฟิร์สคลาสเล็กน้อย แต่กลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจิตใจสงบ เธอสวมผ้าปิดตาหลับสักงีบ พอช่วงที่เธอลืมตาขึ้นมา เครื่องก็กำลังร่อนลงพอดี

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมจากสนามบิน ก็รีบหารถที่บริษัทย่อยจัดการไว้แล้ว หลังจากที่หาเจอแล้วขึ้นมานั่งบนรถ เจี่ยนอี๋นั่วก็สั่งกับคนขับรถว่า:“ไปบริษัทก่อนค่ะ”

ตอนที่รถขับออกจากสนามบิน เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดหน้าต่างรถ มองไปยังนอกรถ เปลี่ยนทั้งเมืองทั้งสภาพแวดล้อม ความวุ่นวายและเรื่องกลัดกลุ้มใจที่เคยเกิดขึ้นอย่างกับว่าเป็นแค่ความฝันที่เจี่ยนอี๋นั่วฝันเท่านั้น

จุดประสงค์หลักที่เจี่ยนอี๋นั่วออกมาทำงานนอกสถานที่ คือมาทำเรื่องธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับที่นี่ ถึงแม้ว่าบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยจะมีชื่อเสียงในประเทศไม่มาก แต่ถ้าเทียบกับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางนำเข้าล่ะก็ความแตกต่างยังคงไกลอยู่พอสมควร ก่อนหน้านี้ตอนที่เจี่ยนฉางรุ่นเป็นประธานบริหารของบริษัทอี๋เหม่ย วิธีการค่อนข้างเก่าแก่ ให้ความสำคัญในเรื่องเคาท์เตอร์จำหน่ายสินค้าหน้างานซะมากกว่า ไม่ค่อยให้ความสำคัญเกี่ยวกับการขายสินค้าออนไลน์ หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลายเป็นประธานบริหาร ตอนนี้เธอให้ความสนใจกับการขายสินค้าออนไลน์ โดยเฉพาะการขายสินค้าออนไลน์ของเส้นทางสายสามและสายสี่ในเมือง

เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมเอกสารที่บริษัทเสร็จแล้ว ก็รีบไปปรึกษาเรื่องสัญญากับประธานบริษัทธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สัญญาส่วนใหญ่ก็ไม่มีปัญหาอะไรที่ใหญ่มาก ในส่วนปัญหาที่ถกเถียงกันนั้น ฝ่ายตรงข้ามก็ยอมถอยให้เจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดอย่างรอบคอบอีกครั้งก็เซ็นสัญญากับผู้จัดการของบริษัทธุรกิจนั้น

เซ็นสัญญาเสร็จแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ลุกขึ้นยืน ยื่นมือไปจับมือกับประธานที่อยู่ตรงข้าม:“การร่วมงานครั้งนี้ราบรื่นจริงๆค่ะ ได้ร่วมงานกับคุณนับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก”

ประธานแซ่หวัง เรียกชื่อว่าหวังเหมี่ยน อายุประมาณสามสิบปี กำลังมองสัญญาที่พึ่งเซ็นไป หวังเหมี่ยนยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ:“ประธานเจี่ยนยังมีธุระอื่นอีกไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า:“ตอนนี้ยังไม่มีธุระอะไรค่ะ เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะมาสองวัน ไม่คิดว่างานที่นี่จะราบรื่นขนาดนี้ พรุ่งนี้กะว่าจะนั่งเครื่องกลับไป ถ้าคุณรู้สึกว่าในสัญญายังมีจุดที่ต้องปรึกษากัน พวกเราสามารถถกเถียงกันอีกครั้งได้นะคะ”

“ไม่ใช่ปัญหาเรื่องสัญญา แต่วันนี้เป็นวันครบรอบแต่งงานของผมพอดี ผมกับภรรยามีงานนัดรวมตัวกัน ได้เชิญเพื่อนบางคนและเพื่อนร่วมงานทางธุรกิจมาด้วย ตอนที่ภรรยาผมได้ยินว่าผมจะคุยธุรกิจกับคุณ ก็บอกว่าคุณเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอ ต้องเชิญคุณไปให้ได้” หวังเหมี่ยนยิ้มแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางปฏิเสธงานนัดรวมตัวที่ทำให้ความสัมพันธ์ทางธุรกิจสนิทสนมขึ้นแบบนี้หรอก เธอรีบยิ้มแล้วพูด:“ฉันไม่ปฏิเสธแน่นอนค่ะ แต่ไม่ทราบว่าภรรยาของคุณชื่อ……”

หวังเหมี่ยนยิ้มแล้วส่ายหน้า:“ชื่อเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ เคยเรียนด้วยกันกับคุณตอนม.ปลาย คุณน่าจะจำเธอไม่ได้แล้ว แต่เธอจำคุณได้ตลอดนะ บอกว่าตอนที่คุณอ่านหนังสือ คุณดูมีชีวิตชีวามากเลย”

เพื่อนมัธยมปลาย? ตอนที่เธออยู่มัธยมปลายไม่ได้มีความทรงจำที่สวยงามอะไรมากนัก

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เลิกคิ้วเบาๆ ยิ้มแล้วพูด:“ก็ได้ค่ะ ฉันก็อยากเจอเพื่อนร่วมชั้นม.ปลายเหมือนกัน”

หวังเหมี่ยนมองสีหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วรีบปัดป่ายมือ หัวเราะเสียงเบา:“คุณอย่าเข้าใจผิดล่ะ ภรรยาของผมเจตนาดี แล้วเธอก็พูดถึงพวกคุณเมื่อก่อนเยอะมาก ผมถึงยอมที่จะถอยให้สัญญาฉบับนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ฉันจะคิดกับคุณอย่างนั้นได้ยังไงกันคะ? แค่ก่อนหน้านี้ฉันไม่ทราบว่าวันนี้จะเป็นวันพิเศษ แถมยังให้คุณมาเซ็นสัญญาวันนี้อีก รู้สึกเสียใจจริงๆค่ะ”

“งั้นตอนนี้พวกเราก็ไปกันเถอะ ภรรยาของผมคงเตรียมดินเนอร์ไว้เรียบร้อยแล้ว ล้วนแต่เป็นมื้อง่ายๆ หวังว่าคุณจะไม่ถือสานะ” หวังเหมี่ยนพูดแล้วทำท่าทางเชิญเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพยักหน้า ถามหวังเหมี่ยนถึงที่อยู่คฤหาสน์ หลังจากนั้นก็เดินไปด้วยใช้มือถือกดส่งข้อความไปด้วย ให้ผู้จัดการของบริษัทย่อยส่งของขวัญมาหนึ่งชุด แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็พูดคุยยิ้มแย้มกับหวังเหมี่ยนบนรถขณะที่เดินทางไปคฤหาสน์ชานเมือง พอพึ่งได้ลงจากรถ ก็มองเห็นรถยนต์คันสีดำจอดอยู่ข้างๆพวกเขา ฉู่หมิงเซวียนลงมาจากรถ พร้อมหอบดอกไม้มาหนึ่งช่อและกล่องเครื่องประดับหนึ่งกล่อง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าคนที่บริษัทย่อยให้ส่งของขวัญมาเป็นฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็รีบผ่อนคลายลง ไม่ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉู่เหมิงเซวียนจะไม่ดีแค่ไหน แต่ก็ไม่อยากเปิดเผยต่อหน้าเพื่อนร่วมธุรกิจ ฉู่หมิงเซวียนเดินมาทางเจี่ยนอี๋นั่ว ทักทายกับหวังเหมี่ยน แล้วส่งของขวัญกับดอกไม้ไปในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว:“นี่เป็นของขวัญที่ประธานเจี่ยนให้เตรียมครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ทำไมถึงรบกวนให้ผู้จัดการฉู่มาส่งให้ฉันล่ะ?”

ฉู่หมิงเซวียนหันหน้าไปมองหวังเหมี่ยน ยิ้มแล้วพูด:“พอดีว่าผมก็ได้รับเชิญจากประธานหวังให้มาร่วมงานนัดรวมตัวครั้งนี้เหมือนกัน ผมกับประธานหวังรู้จักกันหลายปีแล้วล่ะครับ”

หวังเหมี่ยนยิ้มแล้วพยักหน้า:“ตอนนั้นผมพึ่งจะจัดตั้งบริษัท ก็ได้รู้จักกับหมิงเซวียนแล้ว ตอนนั้นหมิงเซวียนดึงลูกค้ามาให้ไม่น้อยเลยนี่ใช่ไหม?”

หวังเหมี่ยนรู้อดีตของเจี่ยนอี๋นั่วกับฉู่หมิงเซวียนอยู่ไม่เท่าไหร่ ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ทำได้แค่แสร้งว่าไม่รู้เรื่องขัดแย้งระหว่างพวกเขา รีบยื่นมือออกไปแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วและฉู่หมิงเซวียนว่า:“เชิญครับ ยังมีเพื่อนอีกหลายคนที่มาถึงก่อนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วกับฉู่หมิงเซวียนเดินเข้าไปในคฤหาสน์ พอถึงด้านในคฤหาสน์ ก็เห็นว่ามีอยู่ราวๆสิบกว่าคน ทุกคนต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าสบายๆ ทำให้เห็นว่าการแต่งตัวของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นดูสวยหรูเกินไปเลยจริงๆ พอเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้ามา ก็มีผู้หญิงที่ใส่เสื้อผ้าลินินสีครีมหันมาแล้วเดินมาทางเธอ มองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสีหน้าเซอร์ไพร์ส:“อี๋นั่ว เป็นเธอจริงๆเหรอ?”

ดูแล้วนี่น่าจะเป็นเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ภรรยาของหวังเหมี่ยนล่ะนะ

“คุณนายหวังสวัสดีค่ะ……” บนหน้าเจี่ยนอี๋นั่วเผยให้เห็นรอยยิ้มที่เหมาะสม แล้วถือโอกาสยื่นของขวัญของเธอ:“นี่เป็นของขวัญที่ฉันเอามาให้คุณค่ะ หวังว่าคุณจะชอบ”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์รับของขวัญมา แล้วยิ้มเบาๆ:“ดีใจจริงๆที่ได้เจอเธอ”

แต่เจี่ยนอี๋นั่วนึกไม่ออกเลยสักนิดว่าคุณนายหวังที่อยู่ตรงหน้าเธอเป็นใครกันแน่ ภาพจำที่เธอมีต่อเป๋าฮุ่ยเอ๋อร์ก็ไม่มี แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเผยรอยยิ้มตามมารยาทออกมา:“ใช่ ฉันก็ไม่คิดเหมือนกันว่าจะมีเรื่องบังเอิญขนาดนี้ ไม่ได้เจอกันนานนะ ดีใจมากที่ได้เจอเธออีกครั้ง”

ทุกวันเจี่ยนอี๋นั่วเจอคนมานับไม่ถ้วน มีคนมากมายที่เธอไม่สามารถจำได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็เหมือนกับคนทำธุรกิจหลายๆคน เธอผ่านมาเยอะ ถึงแม้ว่าจะจำฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ แต่ก็สามารถทำให้ฝ่ายตรงข้ามคิดว่าเธอใส่ใจอย่างจริงใจได้

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้มออกมา:“ฉันก็ดีใจที่ได้เจอเธอ ไม่คิดว่าเธอจะยังจำฉันได้อยู่ ฉันเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอตอนอยู่ม.5 ตอนนั้น……”

เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดอยู่ แล้วก้มตาต่ำลง พูดเสียงเบา:“ตอนนั้นพวกเราผ่านเรื่องมาเยอะมากจริงๆ จนถึงตอนนี้เพื่อนร่วมชั้นม.ปลายของพวกเราก็ยังไม่เคยนัดรวมตัวกันเลย พวกเราต่างก็มีความผิดกันหมด แต่มีแค่เธออี๋นั่ว เธอทำเรื่องที่ถูกต้อง”

เจี่ยนอี๋นั่วจำใบหน้าไม่ได้ค่อยได้ มันค่อนข้างเลืองลาง เธอหัวเราะเบาๆแล้วพูด:“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องไปรื้อฟื้นอดีตเลย”

“แต่สำหรับฉันแล้ว ไม่เหมือนกัน เธอเปลี่ยนชีวิตของพวกเราหลายๆคน” เป๋าฮุ่ยเอ๋อร์พูดเสียงเบา

“ยังมีเรื่องอะไรของอี๋นั่วที่ผมยังไม่รู้อีกงั้นเหรอ?” จู่ๆก็มีเสียงหยอกล้อแทรกขึ้นมา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรีบเงยหน้าขึ้นมองไปทางเสียงที่พูด

เป็นครั้งแรกของวันนี้ที่ความอ่อนโยนและรอยยิ้มบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วหายไป มองผู้ชายที่กำลังขมวดคิ้วที่จู่ๆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ เหลิ่งหมิงอัน ทำไมเขาถึงโผล่มาที่นี่?

ฉู่หมิงเซวียนก็ขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอันเหมือนกัน เขาถามเร็วกว่าเจี่ยนอี๋นั่วซะอีก:“ทำไมนายถึงอยู่ที่นี่?”

เหลิ่งหมิงอันยักไหล่ ยิ้มแล้วพูด:“หวังเหมี่ยนไม่ได้บอกพวกนายหรือไง? ฉันก็นับว่าเป็นหุ้นส่วนของเขานะ”

“ในช่วงแรกที่บริษัทของพวกเราเริ่มก่อตั้ง ได้รับเงินทุนช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง ตระกูลเหลิ่งนับว่าเป็นหุ้นส่วนรายใหญ่ของบริษัท ความจริงแล้วฉันได้เงินลงทุนก้อนนี้มา หมิงอันก็ช่วยฉันคิดวิธีไม่น้อยนะ ไม่คิดเลยว่าพวกคุณจะรู้จักกัน บังเอิญจริงๆ” หวังเหมี่ยนหัวเราะแล้วพูด

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปากขึ้น ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา ยื่นมือไปหาเหลิ่งหมิงอัน:“ใช่ค่ะ บังเอิญจริงๆ ดีใจที่ได้เจอคุณนะคะ คุณเหลิ่ง”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะเล็กน้อย:“จะบังเอิญได้ยังไง ผมตามคุณมาต่างหาก พอรู้ว่าคุณจะต้องมาทำงานที่นี่ ผมก็ตามคุณมาเลย ผมตั้งใจว่าจะจีบคุณจริงๆนะ อี๋นั่ว มองผมยังไง ตื้นตันใจใช่หรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วกระตุกมุมปาก เม้มปากยิ้มแล้วพูด:“ตื้นตันใจนิดหน่อยค่ะ”

แต่ในใจเจี่ยนอี๋นั่วกลับอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา:เหลิ่งหมิงอันตาบ้านี่ตามฉันมาถึงที่นี่เลยเหรอ ตกลงเขาอยากจะทำอะไรกันแน่?

ผ่านไปนาน เหลิ่งเซ่าถิงถึงจะขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถามเสียงเบา:“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณยังจำเรื่องรับประกันที่เคยพูดได้ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดคือครั้งแรกที่เธออธิบายกับเหลิ่งเซ่าถิง บอกไว้ว่าเธอรับประกันว่าจะไม่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงเป็นอันขาด ตอนนั้นเธอเด็ดขาดมาก เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถแยกแยะความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างชัดเจน เธอไม่มีทางที่จะตกอยู่ในความรู้สึกที่ไม่มีตอนจบนี้ แต่ไม่คิดว่าแค่เหลิ่งเซ่าถิงโบกมือมาทางเธอเบาๆ เธอก็ล้มไม่เป็นท่า ลืมคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ ถึงขนาดว่าเกือบจะทำให้เธอและพ่อของตัวเองตกอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงอันตราย

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ เช็ดน้ำตาที่ไหลลงมา:“ฉันนึกออกแล้ว ฉันรู้ว่าควรจะทำยังไง ฉันขอบคุณคุณที่วันนี้เตือนฉันเรื่องนี้ ต่อไปก็ขอให้คุณทำแบบนี้ ไม่งั้นฉันคงสับสน หลงรักคุณเข้าไปได้ง่ายๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา:“คุณรู้แล้วก็ดี งั้นก็รีบนอนเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามห้ามน้ำตา แล้วถามเสียงเบา:“งั้นฉันสามารถคบหากับผู้ชายคนอื่นได้ไหม?”

“อะไรนะ?” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดน้ำตาที่หางตา:“ฉันรู้สึกว่าถ้าพวกเรายังอยู่กันแบบนี้ มันจะทำให้ฉันเข้าใจผิด เหมือนกับว่าพวกเรามีความสัมพันธ์อะไรกันจริงๆ ก่อนหน้านี้คุณก็ดีกับฉันไม่น้อย แต่พอหลิวจื่อซิงกลับมาคุณก็เปลี่ยนไป เพราะงั้นฉันก็เลยคิดว่า ในเมื่อคุณอยากจะคบกับหลิวจื่อซิง งั้นฉันก็ควรจะคบกับผู้ชายคนอื่นใช่หรือเปล่า สามารถจีบผู้ชายคนอื่นได้ เดทกับผู้ชายคนอื่นได้ พอตอนที่ฉันหลงรักผู้ชายคนอื่นแล้ว ฉันก็จะไม่……”

“ไม่ได้!” เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้รอให้เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็พูดแทรกเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเสียงพูดของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้ตกใจ ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบา:“แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ ฉันก็จะคิดว่าตัวเองเป็นภรรยาของคุณนะ หลังจากนั้นก็จะเกิดการมโนขึ้น บางทีฉันอาจจะชอบคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว มองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาแค่หวังว่าเจี่ยนอี๋นั่วสามารถควบคุมตัวเองได้ รักษาระยะห่างกับเขา แบบนี้จะได้หลีกเลี่ยงให้ตัวเขาเองเปลี่ยนใจได้อีกด้วย แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยคิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะต้องการคบหากับผู้ชายคนอื่นแบบนี้ แต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็คงต้องเกิดขึ้นอยู่ดี ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วออกจากตระกูลเหลิ่ง ว่าตามนิสัยของเธอแล้วคงไม่มีทางจะแชร์เขากับผู้หญิงคนอื่น ไม่มีทางที่จะเกี่ยวพันกับเขาอีกครั้ง และแน่นอนว่าอาจจะคบหากับผู้ชายคนอื่นจริงๆ

ทั้งๆที่รู้ความน่าจะเป็นไปของเรื่อง ทั้งๆที่เขาเป็นคนเริ่มกั้นระยะห่างของเขากับเจี่ยนอี๋นั่วก่อน แต่พอตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี๋ยนอี๋นั่ว กลับรู้สึกโกรธ

“ก็ยังไม่ได้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา:“ผมกับคุณไม่เหมือนกัน ผมคือผู้ว่าจ้าง คุณคือผู้ที่ถูกจ้าง คุณถือเงินของตระกูลเหลิ่งอยู่ แล้วยังจะไปคบหากับผู้ชายข้างนอก? คุณจะให้คนอื่นเขามองผมยังไง มองตระกูลเหลิ่งยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดกดเสียงต่ำ:“แต่ถ้าฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังชอบคุณอีกจะทำยังไงล่ะ?”

น้ำเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วทั้งน้อยใจทั้งสับสน สีหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงผ่อนคลายลงเล็กน้อย แล้วพูดเสียงเบา:“ก็อดทน จนกว่า……จนกว่าคุณจะไปจากที่นี่ แต่ในช่วงเวลาที่คุณยังเป็นคุณหญิงตระกูลเหลิ่งอยู่ คุณไม่สามารถไปคบหากับผู้ชายคนอื่นได้ รวมถึงเหลิ่งหมิงอันและผู้ชายข้างนอก”

“สรุปก็คือ คุณสามารถคบหากับหลิวจื่อซิงได้ ส่วนฉันต้องเป็นเหมือนสุนัขที่มองกระดูกที่ถูกแย่งไปตาปริบๆ? ฉันมองคุณตาปริบๆ แถมยังชอบคุณไม่ได้? ไม่ยุติธรรมจริงๆอะ ฉันก็เป็นคนนะ จะควบคุมความรู้สึกของตัวเองได้ยังไง? แม้แต่โอกาสที่จะเปลี่ยนความรู้สึกก็ถูกห้าม ฉันมักจะมองอยู่ที่คุณ จะไม่ให้ชอบคุณได้ยังไง?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดออกมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น

เหลิ่งเซ่าถิงฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มองเธอที่ก้มหน้าทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความน้อยใจ จู่ๆเขาก็อยากยิ้มขึ้นมา อยากจะไปลูบศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว

แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็อดกลั้นเอาไว้ ใบหน้าพูดอย่างเย็นชา:“ถ้าคุณรับไม่ไหว คุณสามารถออกไปตอนนี้ได้เลย แต่เงินของตระกูลเหลิ่งจะถูกเก็บกลับมา ผมก็จะไม่ปกป้องคุณอีก ตั้งแต่วันนั้นที่คุณเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง แต่งงานกับผม ก็กลายเป็นศัตรูกับอารองและครอบครัวของเขาไปแล้ว คุณว่าพวกเขาจะปล่อยคุณไปไหม? เหลิ่งหมิงอันที่ดูแล้วมักจะแหย่เล่นกับคุณ แต่คุณกับผมก็รู้ดี สีหน้าอารมณ์ของเขาไม่ได้มองง่ายขนาดนั้น ถึงขนาดพูดได้ว่า เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต บางทีอาจจะเป็นเหลิ่งหมิงอันที่ตัดสินใจทำร้ายชีวิตคุณ”

“นี่ไม่ใช่ทางที่ต้องเลือกสักหน่อย ฉันมีแค่ทางเดียว” เสียงอี๋นั่วกดเสียงต่ำพูด:“พรุ่งนี้ฉันจะจัดตารางงานให้ไปทำงานนอกสถานที่สักครั้ง ฉันจะพยายามหลีกเลี่ยงการอยู่ด้วยกันกับคุณ ในเมื่อคุณตัดสินใจว่าจะคบกับหลิวจื่อซิงแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ฉันประเมินคุณหลิวไป ต้องขอโทษคุณด้วย ตอนนั้นฉันยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง คิดไปเองเกินไป ถ้าคุณอยากออกไปพักกับเธอข้างนอก ก็ออกไปเถอะค่ะ พวกเราลดการติดต่อกันลงก็น่าจะดีที่สุด”

เหลิ่งเซ่าถิงหน้านิ่งขรึม วันนี้เขาทำเรื่องไปตั้งมากมาย ก็เพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้ถึงความลำบากแล้วถอยซะ ให้เธอรักษาระยะห่างกับเขา เพื่อหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของพวกเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วถอยหดแบบนี้มันง่ายเกินไป เมื่อครู่ยังร้องไห้น้อยใจอยู่เลย ตอนนี้กลับเป็นคนพูดเรื่องรักษาระยะห่างกับเหลิ่งเซ่าถิงซะเอง จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา เหมือนกับว่าในตอนแรกทั้งๆที่เขาปฏิเสธคำสารภาพของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่พอหลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วแสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะไม่มีทางชอบเขาอีก เหมือนกับความรู้สึกที่อึดอัดใจของเขาเลย

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะพูดเสียงเย็นชาออกมา:“นิสัยที่เจอกับความลำบากแล้วถอยหดของคุณนี่ไปเอามาจากไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง สายตาเต็มไปด้วยความสงสัย:“หรือว่าคุณอยากให้ฉันตามคุณไม่ปล่อย ดึงดันจนกว่าจะชนกำแพงใต้งั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันก็หน้าด้านมากแล้วนะ ต่อให้ไม่ชนกำแพงใต้ ก็คงชนกำแพงเหนือ ตะวันตก ตะวันออกสักกำแพงอะ คุณลองคิดดูปฏิเสธฉันไปแล้วกี่ครั้ง? แล้วยังว่าฉันเจอความลำบากก็ถอยหดอีก คุณไม่ใช่ความลำบากเหรอ? คุณน่ะเป็นหน้าผาที่สูงชันยิ่งกว่าความลำบากซะอีก!อีกอย่างไม่ใช่ว่าคุณมีผู้หญิงคนอื่นเหรอ? ไม่ใช่ว่าคุณอยากจะคบกับหลิวจื่อซิงเหรอ? ทำไมเหมือนกลายเป็นความผิดฉันล่ะ?”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วได้เตือนสติเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกมากุมขมับ พูดเสียงเบา:“คุณพูดมากจัง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วปัดป่ายมือ:“ช่างเถอะ คุณอยากได้แบบไหนก็เอาตามนั้นเลย ขอแค่ไม่เข้าใกล้ผม ไม่เอาความรู้สึกมาพัวพันกับผมก็พอแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็นอนลงบนผ้าห่มที่อยู่บนพื้น แล้วหลับตาลง เจี่ยนอี๋นั่วปวดหัวเล็กน้อย มองไปทางเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดเสียงเบา:“งั้นฉันสามารถไปคบหากับผู้ชายคนอื่นได้แล้วใช่ไหม?”

“เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด!” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วสูดน้ำมูกเข้าไป ค่อยๆขดตัวไปในผ้าห่ม สะอึกสะอื้นเสียงเบาๆ:“งั้นฉันจะพยายามชอบผู้ชายคนอื่นดู น่าจะได้”

“นั่นก็ไม่ได้เหมือนกัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดแทรกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว:“ช่วงนี้คุณห้ามชอบใคร ไม่ว่าจะเป็นผมหรือผู้ชายคนไหนก็ตาม!”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแปลกประหลาด ก็เลยหมุนร่างกลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วถามเสียงเบา:“เหลิ่งเซ่าถิง ทำไมคุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้พูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมา:“เก็บเรื่องที่คุณมโนซะ นอนได้แล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปาก นอนลงบนเตียง ถึงแม้ว่าในใจยังรู้สึกเสียใจอยู่นิดหน่อย แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้น้อยใจขนาดนั้นเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ดูแล้วความชอบใช่ว่าจะแทนกันได้ ขอแค่มีเรื่องอะไรให้ทำ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าตัวเองน่าจะลืมความชอบที่เธอมีต่อเหลิ่งเซ่าถิงไปได้

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วที่นอนอยู่บนเตียง เขายื่นมือมานวดขมับของตัวเองอย่างไม่สบายใจ จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าความรู้สึกของตัวเองไม่ชัดเจน ปฏิบัติต่อเจี่ยนอี๋นั่วยังไง ตอนนี้เขารู้สึกสับสนหมดแล้ว เขาก็รู้ว่าตัวเองไม่มีเหตุผลกับความต้องการของเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เขากลับไม่มีวีธีที่จะระงับมัน

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้จนหลับไป ตอนที่ตื่นมาฟ้าก็สว่างแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ข้างกายเธอ ผ้าห่มที่เขาห่มเมื่อวานอยู่ที่ปลายเตียง เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองสักพักถึงจะลุกขึ้น หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วล้างหน้าแปรงฟันแล้วก็รีบลงมาชั้นล่าง เดินออกจากบ้านตระกูลเหลิ่ง เธอต้องทำงานให้ลืมเหลิ่งเซ่าถิง เพื่อที่จะควบคุมตัวเอง

หลังจากที่มาถึงบริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็ตรวจสอบแผนการทำงาน พอหางานที่ต้องออกไปทำนอกสถานที่เจอ ก็สั่งงานกับเลขา:“เอางานก่อนกำหนดนี่ให้ฉัน ฉันจะไปทำงานนอกสถานที่ตอนนี้”

ไม่นานเลขาก็จัดการงานให้เจี่ยนอี๋นั่วออกไปทำ หลังจากที่ตรวจสอบการเดินทาง ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ประธานเจี่ยน ถ้าปรับตามนี้ ผู้จัดการฉู่จะออกเดินทางไปกับคุณด้วย คุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มตามองพื้น คิดสักพัก แล้วพูดออกมา:“ฉันไม่ถือ รีบไปจัดการเถอะ ฉันจะออกไปคืนนี้”

คบกับฉู่หมิงเซวียน ในใจลึกๆของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเลี่ยนเต็มที แต่ถ้าคบหากับเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป เจี่ยนอี๋นั่วคงทั้งร้อนใจทั้งยุ่งวุ่นวายไปหมด สถานการณ์ตอนนี้ ถ้าต้องเลือกระหว่างฉู่หมิงเซวียนกับเหลิ่งเซ่าถิงสองคนนี้ ต้องเลือกมาหนึ่งคนล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วยอมเลือกฉู่หมิงเซวียนดีกว่า เพราะตอนที่อยู่ต่อหน้าฉู่หมิงเซวียน เธอก็แค่มีแต่ความเกลียด คงไม่มีความรู้สึกอื่นใด ในทางกลับกันในใจก็คงไม่ต้องมีภาระเพิ่มมา

แต่ตอนที่อยู่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง พอเจี่ยนอี๋นั่วนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เธอทั้งสับสนทั้งไม่มีวิธีรับมือ เดินหน้าก็เป็นหน้าผาสูงชัน ถอยหลังก็ปวดใจจนยากจะทน ห่างกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่กี่วัน สำหรับเธอแล้ว สิ่งที่ไม่เคยลองไม่ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีสักเท่าไหร่

เจี่ยนอี๋นั่วจัดการการเดินทางเสร็จเรียบร้อย ก็ไปโรงพยาบาลจัดการเรื่องย้ายโรงพยาบาลของพ่อเธอก่อน ย้ายพ่อไปที่สถานพักฟื้นที่ก่อนหน้านี้ได้ติดต่อไว้ แล้วอยู่เป็นเพื่อนพ่อครึ่งวัน เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดมือให้พ่อของเธอไปด้วย พูดไปด้วย:“พ่อคะ พ่อพักอยู่ที่นี่ก่อนนะ หนูจะออกไปทำงานนอกสถานที่สักสองวัน แต่ว่าหนูจะโทรมาหาพ่อทุกวันแล้วก็วิดีโอคอลด้วย ความจริงแล้วหนูไม่อยากห่างจากพ่อเลย แต่เมื่อวานหนูเกือบจะตัดสินใจผิดพลาดไปแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความผิดพลาดครั้งใหญ่นี้เกิดขึ้น หนูทำได้แค่ต้องห่างจากที่นี่สองวัน แต่หนูจะรีบกลับมานะ กลับมาอยู่ข้างๆพ่อ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เจี่ยนฉางรุ่นกลับพยักหน้า พูดอย่างช้าๆ:“อี๋นั่ว……ดู ท้องฟ้า……สวย”

เจี่ยนฉางรุ่นพูด แล้วยกมือขึ้น ชี้ไปยังท้องฟ้า เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าเจี่ยนฉางรุ่นพูดประโยคใหม่ออกมา ก็รีบยิ้มแล้วเงยหน้าขึ้น มองไปทางที่เจี่ยนฉางรุ่นชี้ แล้วเธอก็เห็นท้องฟ้าที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตาจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆยิ้มออกมา:“ใช่ค่ะ ท้องฟ้าสวยจริงๆ มีท้องฟ้าที่สวยขนาดนี้ กลับไปแสวงหาดอกไม้ที่ไม่ช้าก็เร็วสุดท้ายก็หายไปอยู่ดี โง่งมงายจริงๆเลย”

หลิวจื่อซิงมองเหลิ่งเซ่าถิง หัวเราะเสียงเบาออกมา:“หลังจากที่ฉันกลับประเทศ ก็อยู่แต่ในคอนโด เซ่าถิง คุณอยากดื่มกาแฟที่ฉันชงให้สักแก้วไหม? คุณไม่ได้ชิมกาแฟที่ฉันเป็นคนชงให้คุณนานแล้วนี่?”

หลิวจื่อซิงพูด แล้วเอามือของตัวเองไปวางบนหลังมือของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสนิทสนม เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นมา แล้วปัดมือของหลิวจื่อซิงเบาๆ พูดเสียงเย็นชา:“ขอโทษนะ คืนนี้ผมยังมีธุระต่อ ส่วนกาแฟคุณหาผู้ชายคนอื่นมาดื่มละกัน”

“เซ่าถิง คุณยังโกรธฉันอยู่อีกเหรอ?” หลิวจื่อซิงรีบลุกขึ้นยืน นัยน์ตามีน้ำตาคลออยู่ พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยเสียงอ่อนโยน

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว มองไปทางหลิวจื่อซิงด้วยความประหลาดใจ:“ทำไมคุณพูดแบบนี้?”

หลิวจื่อซิงก้มตาลง พูดเสียงเบา:“เพราะว่าคุณผลักฉันไปให้ผู้ชายคนอื่น ถ้าคุณยินดีคืนดีกับฉันจริงๆ ทำไมถึงต้องผลักฉันไปให้ผู้ชายคนอื่นล่ะ?”

“ผมแค่หวังว่าชีวิตของคุณจะไม่ถูกบังคับ ผมงานยุ่ง คงอยู่กับคุณไม่ได้ คุณหาเพื่อนสักสองสามคนมาอยู่เป็นเพื่อนคุณ ไม่ดีกว่าเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองหลิวจื่อซิง ยิ้มเยาะแล้วพูด:“อีกอย่างผมให้สถานะคู่ควงกับคุณไปแล้ว ถ้าต่อไปคุณเชื่อฟัง ผมยังสามารถให้สถานะคนรักกับคุณได้อีกด้วย สมมุติถ้าคุณได้ความเมตตาจากคุณย่าอีกครั้ง บางทีคุณอาจจะกลายเป็นภรรยาผม คุณยังต้องการอะไรอีก? ถ้าคุณรู้สึกว่าผมทำให้คุณสมหวังไม่ได้ คุณสามารถปฏิเสธที่จะเป็นคู่ควงผมได้นะ……”

“ไม่……” หลิวจื่อซิงส่ายหน้า แล้วคิดสักพัก ถึงจะพูดออกมาเสียงเบา:“ฉันยินดีจะเป็นคู่ควงของคุณ แต่ว่า ตอนนี้ภรรยาของคุณไม่ใช่เจี่ยนอี๋นั่วเหรอ? หรือว่าคุณอยากจะเลิกกับเขา?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะออกมา:“เขาเป็นแค่ภรรยาในนาม ตอนแรกมีเหตุบังเอิญให้เขามีลูกกับผม ไม่สะดวกที่จะให้เขาแยกไป ก็เลยให้มาอยู่ที่ตระกูลเหลิ่ง แต่ตอนนี้ไม่มีลูกแล้ว และผมก็เบื่อผู้หญิงแบบนั้นเต็มที พอผ่านสัญญาหนึ่งปีไป ผมก็จะปล่อยเขาไปเอง เปรียบเทียบกับเขาแล้ว ผมกลับรู้สึกว่าคุณเหมาะที่จะเป็นภรรยาผมมากกว่าเขา”

หลิวจื่อซิงมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยตาสุกสว่าง เธออดไม่ได้ที่จะยิ้มมุมปาก แต่ใบหน้าเธอต้องทำหน้าลำบากใจ:“ถ้าเป็นอย่างนั้น มันไม่ค่อยยุติธรรมกับเจี่ยนอี๋นั่วหรือเปล่า? เขาเกือบจะคลอดลูกให้คุณเลยนะ”

“เขาก็แค่คลอดลูกเพราะเงิน อีกอย่างครั้งนี้ก็นับว่าเขาไม่ได้เข้าตระกูลเหลิ่งมาฟรีๆ ไม่ว่าตอนเริ่มจะลำบากแค่ไหน แต่ก็นับว่าเขาเคยเป็นผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงล่ะนะ ผมจะปกป้องเขาเท่าที่ผมจะทำได้ แต่นี่ก็ไม่กระทบกับผลประโยชน์ของเงื่อนไขแรกหรอกนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเบา

หลิวจื่อซิงซ่อนรอยยิ้มเอาไว้ แล้วถอนหายใจ:“คุณเจี่ยนคนนั้นดูแล้วเป็นคนที่เข้าใจอะไรง่ายๆนะ แค่ครั้งที่แล้วที่ฉันเจอเขา เหมือนว่าเขาจะรู้สึกกับคุณไม่เหมือนคนธรรมดาทั่วไป คุณต้องเตือนเขาหน่อยนะ เขาจะได้ไม่เข้าใจผิด ว่าตัวเองกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งจริงๆ พอถึงเวลาก็ทำให้เขาเสียใจ ฉันคงใจไม่แข็งพอที่จะมองเห็นคนอื่นเสียใจหรอกนะ……ความจริงแล้วว่าตามรูปลักษณ์ของเขา สิ่งที่เขาได้รับมันเยอะมากแล้วนะ ถ้าโลภอีกก็คงเกินไป”

“เรื่องของเขาผมจะจัดการเอง ต่อไปคุณก็พยายามอย่าไปขัดแย้งอะไรกับเขาล่ะ ขัดแย้งกับคนแบบเขามันไม่คุ้ม ผมยังมีธุระที่บริษัทต่อ คุณกินเองเถอะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดน้ำเสียงเย็นชา

เห็นว่าหลิวจื่อซิงพยักหน้า เหลิ่งเซ่าถิงก็หมุนร่างเดินออกไปจากห้องอาหาร เดินออกจากร้านอาหารท่ามกลางสายตาของใครหลายคนที่จับจ้องเขา

หลิวจื่อซิงมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“เหลิ่งเซ่าถิง ฉันรู้อยู่แล้วว่ายังไงคุณก็เป็นของฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถ จนถึงเคาท์เตอร์แบรนด์เครื่องสำอางของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ชี้ไปที่น้ำหอมของผู้หญิงขวดหนึ่งที่มีราคาสูงที่สุดและลิปสติกหนึ่งแท่ง

พนักงานเคาท์เตอร์ไม่คิดว่าพอใกล้จะถึงเวลาเลิกงาน จะมีลูกค้ากระเป๋าหนักมา ก็รีบยิ้มแล้วห่อของให้เหลิ่งเซ่าถิง:“คุณผู้ชาย น้ำหอมแบรนด์นี้เหมาะกับผู้หญิงมาก ลิปสติกก็เลือกได้ดีมากค่ะ เป็นลิปสติกที่ดีที่สุดในร้านของพวกเรา แฟนของคุณต้องชอบอย่างแน่นอนค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไรออกมา แค่ยื่นมือไปบังมือพนักงานตรงเคาท์เตอร์ที่กำลังห่อของ:“ไม่ต้องห่อ เอามาให้ผมเลย”

“ไม่ห่อ? แต่ของขวัญที่ล้ำค่าขนาดนี้……” พนักงานเคาท์เตอร์ยังไม่เคยเจอลูกค้าแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นลูกค้าที่มีฐานะ หรือผู้ชายมาซื้อของพวกนี้ ก็ต้องเป็นของขวัญที่เตรียมไว้ให้แฟนแน่นอน ในเมื่อเป็นของขวัญ ทำไมถึงไม่ห่อล่ะ?

“รูดบัตรเถอะ” เหลิ่งเซ่าถิงล้วงบัตรธนาคารของเขาส่งให้พนักงานเคาท์เตอร์

ตอนที่ซื้อของทั้งสองมาแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงหยิบน้ำหอมขึ้นมา ฉีดไปที่แขนเสื้อและคอเสื้อของตัวเอง หลังจากนั้นก็ใช้ลิปสติกถูเบาๆที่ปกเสื้อ แล้วทิ้งของทั้งสองลงถังขยะ เดินออกมาจากห้างคนเดียว พนักงานเคาท์เตอร์ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเจอคนแบบนี้มาซื้อของมาก่อน อดไม่ได้ที่จะเบิกตากว้าง แล้วกระซิบเสียงเบา:“หน้าตาก็หล่อขนาดนั้น แต่ทำไมถึงเป็นคนแปลกได้ขนาดนี้?”

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถอ้อมอยู่ไม่กี่รอบ ถึงจะกลับมาที่บ้านตระกูลเหลิ่ง ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงกลับไปที่ห้องของเขานั้น พอเปิดประตู ก็เห็นเจี่ยนอี๋นั่วที่นอนอยู่บนเตียงรีบเด้งตัวขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วกำลังรอเขาอยู่

เหลิ่งเซ่าถิงชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว เดินไปที่เตียง แล้วพูดน้ำเสียงเย็นชา:“ต่อไปคุณนอน……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ก็เว้นวรรค เดิมทีเขาก็อยากพูดว่าให้เจี่ยนอี๋นั่วนอนบนพื้น แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าบนพื้นมันค่อนข้างเย็น เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะการแท้งลูกมา ถ้าใครเป็นหวัดแล้วนอนที่พื้น คงต้องป่วยหนักขึ้นอย่างแน่นอน

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว แล้วรีบเปลี่ยนคำพูด:“ต่อไปคุณนอนบนเตียง ผมจะนอนที่พื้น ก่อนที่คุณจะออกไปจากตระกูลเหลิ่ง พวกเราค่อยแบ่งเตียงกันนอน เอาผ้าห่มมาให้ผม……”

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ใกล้กับเจี่ยนอี๋นั่วมาก เจี่ยนอี๋นั่วสามาถได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงจากบนตัวของเหลิ่งเซ่าถิง แถมยังเห็นรอยลิปสติกบนปกเสื้อของเขาลางๆอีกด้วย กลิ่นของน้ำหอมดมแล้วรู้สึกเรียบง่าย ไม่ฉุน เจี่ยนอี๋นั่วรู้จักน้ำหอมแบรนด์นี้ เป็นน้ำหอมที่ผู้หญิงรวยๆชอบใช้กันมากที่สุด สีของลิปสติกดูแล้วเป็นผู้ดี

แค่มองพริบตาเดียว เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ไปใกล้ชิดผู้หญิงมา ผู้หญิงคนนั้นคือหลิวจื่อซิงงั้นเหรอ?

ถ้าถามอีกก็คงเซ้าซี้เกินไป เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าลง กอดผ้าห่มที่อยู่ข้างๆแล้วห่มให้ดี หลังจากนั้นก็กลับไปบนเตียงโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเอาตัวเองเข้าไปในผ่าห่ม ห่อตัวเองเป็นก้อนกลม ตอนนี้เหมือนกับว่าเจี่ยนอี๋นั่วถูกทำให้ตกใจ ขดตัวเป็นวงกลม โผล่ด้านหลังออกมาคล้ายส่วนแหลมคมบนหลังเม่น เหลิ่งเซ่าถิงมองการกระทำของเจี่ยนอี๋นั่ว เขายิ่งขมวดคิ้วเข้าไปอีก ตอนนี้เป้าหมายของเขาสำเร็จแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะหมุนร่างเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นชุดนอน นอนลงบนพื้นแล้วห่มผ้า เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาลง แต่ได้ยินเสียงพลิกบนเตียงของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา สายตามองไปที่ร่างของเจี่ยนอี๋นั่วที่อยู่บนเตียง

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงแอบอยู่ในผ้าห่ม ขดตัวเป็นวงกลม เวลานี้ ก็มีเสียงร้องไห้เบาๆดังออกมาจากในผ้าห่มของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงรีบลุกขึ้นมา แล้วดึงผ้าห่มที่เจี่ยนอี๋นั่วห่อตัวอยู่ออก เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าผ้าห่มถูกดึงออก ก็รีบหมุนร่าง ฟุบหน้าลงบนเตียง แล้วรีบเอาหน้าซ่อนไว้

“คุณ……คุณร้องไห้ทำไม?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงสบายๆอย่างไม่รู้ตัว

เจี่ยนอี๋นั่วปิดหน้าไว้ รู้สึกว่าตัวเองน่าขายหน้าที่สุด จะตอบกลับเหลิ่งเซ่าถิงยังไงดี? เจี่ยนอี๋นั่วเอาหน้าฝังไว้ในหมอน พูดพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น:“ฉันไม่ได้ร้องไห้!คุณมองผิดแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้จริงๆ ก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงจะกลับมา ยังร้องไห้คนเดียวอยู่หลายครั้ง ในใจเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าน้อยใจแปลกๆ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่อธิบายไม่ได้ ทั้งๆที่เธอก็รู้ว่าไม่ควรให้ความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิง ระหว่างพวกเราคงไม่มีอนาคตร่วมกัน แต่พอได้เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงออกไปจากข้างกายเธอแล้ว ไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอก็รู้สึกเสียใจ

เสียใจ จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงกลับมา ถึงกับขนาดคิดว่าบางทีเธออาจจะได้คบกับเหลิ่งเซ่าถิง ในฐานะภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง สำหรับผู้หญิงหลายๆคนนี่คงเป็นเหมือนน้ำผึ้งที่หอมหวาน แต่เจี่ยนอี๋นั่วมองออก ตำแหน่งนี้สามารถทำให้คนฆ่ากันตายได้

แค่เหลิ่งเซ่าถิงตอบรับเธอสักนิด เธอยินดีที่จะเสี่ยงอันตรายเพื่ออยู่ข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง อยู่กับเขาในที่ๆอันตราย ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจแบบนี้ เธอผ่านความทรมานในใจครั้งใหญ่ ตอนนี้เธอเป็นเสาหลักของครอบครัว ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่ต้องไปเสี่ยงอันตรายเพื่อความรักอะไรแบบนั้นอีกแล้ว ถ้าเธอเกิดเป็นอะไรขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าพ่อของเธอจะเป็นยังไงจะเสียใจขนาดไหน

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าวิธีที่ดีที่สุดของตัวเอง คือก่อนที่จะครบสัญญา ต้องจัดการความสัมพันธ์กับคนตระกูลเหลิ่งให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็ออกจากตระกูลเหลิ่งทันที แบบนี้ตระกูลเหลิ่งจะได้รับรู้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง และเธอจะไม่มาสร้างความลำบากให้เหลิ่งเซ่าถิงอีก ถ้าเป็นอย่างที่เหลิ่งเซ่าถิงกับคุณนายเหลิ่งพูดไว้ ที่ว่าปกป้องเธอ งั้นนี่ก็เป็นประโยชน์กับการเลือกของเธอมากที่สุดในสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงตอนนี้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเลือกการตัดสินใจที่ไม่ควรเลือก สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลับเป็นเหลิ่งเซ่าถิงที่มีกลิ่นน้ำหอม และพึ่งผ่านผู้หญิงมา ความจริงแล้วเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่แค่น้อยใจเพราะเสียความรู้สึก แต่เป็นการตัดสินใจที่เห็นแก่ตัวของเธอเมื่อครู่เลยพ่วงมาด้วยความรู้สึกผิด

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้าลงมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วเข้าหากัน ตอนนี้ท่านประธานใหญ่เหลิ่งที่อยู่ชั้นสูง ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี

เขารู้เป้าหมายที่เขาทำมาทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะกลัวว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะชอบเขาต่อไป เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มกังวลว่าตัวเองจะเปลี่ยนใจขึ้นมา ช่วงนี้เขาไม่ค่อยเกรงใจ คิดว่าตัวเองไม่มีทางเปลี่ยนใจ ก็เลยใกล้ชิดกับเจี่ยนอี๋นั่วต่อไป คิดว่าตัวเองไม่มีทางใจสั่น ก็เลยนอนเตียงเดียวกับเจี่ยนอี๋นั่ว

แต่ความเคยชินก็เปลี่ยนเป็นความอาลัยอาวรณ์ ความอาลัยอาวรณ์ก็เปลี่ยนเป็นความรัก

เหลิ่งเซ่าถิงสังเกตว่าตัวเองเริ่มไม่ห้ามไม่ขัดขวางเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เลยทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกลายเป็นดอกไม้ในกระถางที่ไม่สามารถถูกตัดแต่งได้ ตอนที่เธออยู่ข้างๆกายเขาตามอำเภอใจ นั่นเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด สถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงของตระกูลเหลิ่งนี้ ไม่ว่าใครก็เหมือนผู้ควบคุมที่อยู่เบื้องหลัง แต่ความจริงแล้วไม่ว่าใครก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ ทุกคนต่างไม่มีจุดอ่อน ไม่มีใครจะยอมทิ้งผลประโยชน์ของตัวเองเพื่อใครสักคนหรอก

แต่เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มสังเกตเห็น บางทีเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะเป็นจุดอ่อนของเขาที่ทำให้เขาถึงแก่ชีวิต

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถออกมาจากบ้านตระกูลเหลิ่ง พอมาถึงหน้าร้านอาหารที่ตกแต่งสวยงามก็หยุดรถแล้วลงไป หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปในร้านอาหาร ก็เป็นจุดรวมสายตาของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็นชุดที่เหลิ่งเซ่าถิงใส่อยู่หรือกิริยาท่าทางล้วนแต่ทำให้ทุกคนหันมามองเขา สายตานั้นจับจ้องไปเหลิ่งเซ่าถิงตลอดจนกระทั่งเขาเข้าไปในห้องอาหาร ถึงจะหันกลับ

แล้วตามมาด้วยเสียงแอบพูดคุยกันของใครหลายคน คนที่ได้เจอเหลิ่งเซ่าถิงเมื่อครู่เริ่มถกเถียงกันเรื่องฐานะและการงานของเหลิ่งเซ่าถิงโดยไม่ได้นัดหมาย และมีบางคนที่ค้นหารูปของเหลิ่งเซ่าถิงในอินเทอร์เน็ตอีกด้วย ตอนรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงความจริงแล้วคือคนที่ประสบอุบัติเหตุรถชนก่อนหน้านี้จนเลยกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ นอนเป็นผักปลาเคลื่อนไหวไม่ได้ของตระกูลเหลิ่ง หลังจากที่เจ้าของร้านอาหารที่พึ่งได้สติ ก็รีบให้คนที่มีความกล้าพยายามลองเข้าไปในห้องอาหารของเหลิ่งเซ่าถิง

เพราะว่าพนักงานเป็นอุปสรรคในการพูดคุยของพวกเขา พวกคนที่ถูกส่งเข้าไปในห้องอาหารที่เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ก็เลยถูกกั้นไว้ด้านนอก

เสียงเอะอะโวยวายด้านนอก ดังเข้าไปถึงในห้องอาหาร ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว หลิวจื่อซิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเบาๆแล้วรินชาให้เหลิ่งเซ่าถิง พูดเสียงอ่อนโยน:“ขอโทษทีนะ ฉันไม่คิดว่าความอยากรู้ของคนที่นี่จะหนักขนาดนี้ แถมยังใจกล้าขนาดนี้ เป็นเพราะว่าฉันอยู่ที่ต่างประเทศมาตลอดหนึ่งปี ฉันเลยชอบชีวิตแบบเรียบง่ายไปแล้ว ตอนนี้กลับประเทศมาก็ยังคิดว่าคงเหมือนเมื่อก่อนที่แค่ไปกินข้าวที่ร้านอาหารสบายๆเท่านั้น แต่ลืมฐานะของคุณสนิทเลย แค่คุณปรากฏตัวก็ทำให้ผู้คนสนใจได้ขนาดนี้ นี่เหมือนว่าฉันเป็นซินเดอเรลล่าที่แสนจะธรรมดาเลยนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงขรึม:“ก่อนคุณจะไปคุณหยิบสร้อยคอของแม่ผมไปหนึ่งเส้น ตอนนี้คืนมาได้หรือยัง?”

“เซ่าถิง คุณไม่เปลี่ยนไปจริงๆด้วย ยังคงเย็นชาเหมือนเดิม” หลิวจื่อซิงก้มหน้าลง ส่ายหน้าด้วยความเศร้าสร้อย:“คุณอ่อนโยนสักนิดไม่เป็นเลยเหรอ ทั้งๆที่ตอนเด็กๆคุณอบอุ่นใจดีขนาดนั้น ทำไมตอนนี้เปลี่ยนไปแล้วล่ะ?”

หลิวจื่อซิงพูดถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจออกมา:“ตอนนี้คุณเริ่มจะเหมือนพี่ชายของคุณเข้าไปทุกวันแล้วนะ บางครั้งฉันก็คิด พี่ชายของคุณโตขึ้นเขาจะเป็นยังไง ตอนนี้เจอคุณแล้ว ก็เหมือนฉันมองเห็นพี่ชายของคุณ แต่พี่ชายของคุณถึงแม้ว่าจะเย็นชา แต่เขาก็ดีกับฉันมาก ไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรมาก ตอนเด็กๆคุณกับหมิงอันไม่กล้าจะเข้าใกล้พี่ชายคุณ กลับมีแค่ฉันที่สามารถเข้าไปในห้องหนังสือของเขาได้ ส่งขนมให้เขา แม้แต่ก่อนหน้าที่เขาจะเกิดเรื่อง ยังกำชับคุณว่าให้ดูแลฉันดีๆ เขาเด็กขนาดนั้นกลับรอบคอบขนาดนี้ น่าเสียดายจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองหลิวจื่อซิง พูดเสียงเบา:“ฟังดูแล้วเหมือนคุณคิดถึงพี่ชายผมมากนะ? อย่าให้ผมต้องเตือนคุณ ตอนนี้พี่ชายผมเป็นคนที่คุณควรหลีกเลี่ยงของตระกูลเหลิ่ง อย่าพูดถึงเขา โดยเฉพาะต่อหน้าคุณย่า”

หลิวจื่อซิงรีบส่ายหน้า:“คุณเข้าใจฉันผิดอีกแล้ว เซ่าถิง บางครั้งฉันก็แค่คิดถึงเรื่องตอนเด็กๆ อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเยอะหน่อย เมื่อก่อนพวกเราเข้าใจผิดกันเยอะมาก ฉันว่าพวกเราหาเวลาค่อยๆปรับความเข้าใจดีกว่านะ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมุมปากขึ้น เผยให้เห็นว่าเขายิ้มเยาะ:“สรุปอยากจะอธิบายให้ผมฟัง หรือเตือนผมกันแน่? พี่ชายผมเคยกำชับผมว่าให้ดูแลคุณดีๆ? ตอนนั้นก็แค่คำพูดเล่นๆของเด็กเท่านั้น พี่ชายผมเป็นคนที่อายุน้อยแต่พูดจาเหมือนคนคนแก่แบบนั้นนั่นแหละ ตอนแรกที่เขากำชับผมให้ดูแลคุณ ก็เหมือนกับให้ผมเลี้ยงนกแก้วในห้องของเขาให้ดีๆ คุณไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำอย่างกับเป็นสัญญามั่นยังไงอย่างงั้น ต่อให้คุณไม่เตือนผม ผมก็ดูแลคุณอยู่ไม่น้อย เพราะนี่เป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับผม ไม่อย่างนั้น คุณหยิบของที่แม่ผมทิ้งไว้ให้ก่อนตายไป ตอนนี้คงอยู่ในคุกเรียบร้อยไปแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้วมองหลิวจื่อซิง:“หรือว่าคุณจะลองอธิบายก่อนว่าทำไมหยิบของชิ้นนั้นของแม่ผมไปน่าจะดีกว่า ถ้าไม่ใช่เพราะผมต้องรีบไปสนามบินไปเอาสร้อยคอคืน ผมก็คงไม่ต้องโดนรถชน ตอนที่คนที่อยู่ด้านนอกต่างก็คิดว่าเป็นเพราะผมไปพาคุณกลับมาเลยเกิดอุบัติเหตุ ทำไมคุณยังไม่เข้าใจอีก? ผมโดนรถชนจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ไม่มีความรู้สึกอะไร ทำไมคุณไม่กลับมา? ในตอนแรกผมตัดสินใจว่าจะคบกับคุณแล้ว ทำไมคุณต้องไปพัวพันกับเหลิ่งหมิงอันอีก?”

“ฉัน……ฉันไม่รู้จริงๆ……” หลิวจื่อซิงหยิบสร้อยคอออกมาจากกระเป๋าเป้ ส่งให้เหลิ่งเซ่าถิง:“ตอนแรกฉันไม่รู้จริงๆว่านี่เป็นของที่คุณป้าทิ้งไว้ให้ ตอนนั้นในใจฉันมันสับสนไปหมด พวกคุณสองพี่น้องต่างก็……ฉันทั้งรู้สึกผิดทั้งสับสนจริงๆนะ ฉันคิดแค่อยากจะไปจากที่นี่ ฉันกลัวว่าไปจากที่นี่แล้ว จะคิดถึงพวกคุณ เพราะงั้นก็เลยเอาสร้อยคอเส้นนี้ไป หลังจากนั้นฉันไปถึงต่างประเทศ ก็ตัดขาดทุกการติดต่อในประเทศ ฉันไม่รู้เลยสักนิดว่าคุณโดนรถชนเพราะฉัน ยิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคุณเจ็บหนักขนาดนั้น ถ้าฉันรู้ ฉันคงหาทุกวิถีทางเพื่อกลับมาอยู่ข้างๆคุณอย่างแน่นอน……”

เหลิ่งเซ่าถิงหยิบสร้อยคอ มองอยู่สักพัก ถึงจะเก็บใส่ในกระเป๋าเสื้อ หลังจากนั้นก็เตรียมจะลุกขึ้น หลิวจื่อซิงรีบยื่นมือมารั้งเหลิ่งเซ่าถิงไว้ หน้าแดงก่ำ พูดเสียงเบาๆ:“เซ่าถิง คุณยังเข้าใจฉันผิดอยู่ใช่ไหม? ตอนนั้นฉันกับเหลิ่งหมิงอันไม่มีอะไรจริงๆ น่าจะเป็นเพราะโตมาด้วยกัน ทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเราดูแล้วค่อนข้างจะสนิท หลังจากนั้นเขาก็เข้าใจผิดว่าฉันรู้สึกดีกับเขา ถึงทำเรื่องที่ทำให้คุณเข้าใจผิด หมิงอันเขาก็แค่เป็นผู้ชายที่ไม่ซับซ้อน ตอนนี้เขาก็น่าจะไม่อะไรกับฉันแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะยังคิดกับฉัน ฉันก็จะพยายามขีดเส้นความสัมพันธ์ของพวกเราให้ชัดเจน”

“ฉันรู้ว่าตัวเองฐานะทางสังคมไม่ดี แม่ฉันเป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้น ฉันได้เติบโตที่ตระกูลเหลิ่ง ได้เรียนหนังสือพร้อมพวกคุณที่ตระกูลเหลิ่ง ก็นับว่าเป็นบุญคุณที่ตระกูลเหลิ่งให้ฉันแล้ว แล้วฉันยังได้คบกับคุณอีก ก็ยิ่งทำให้ฉันต้องระมัดระวังเข้าไปอีก ถึงแม้ว่าพวกคุณจะดีกับฉันมาก แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกกลัวจนไม่สบายใจ”

หลิวจื่อซิงก้มหน้าลง สะอึกสะอื้นเสียงเบา:“โดยเฉพาะคุณ แม้ว่าคุณจะคบกับฉันแล้ว แต่ฉันก็ไม่เข้าใจว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่? คุณเหมือนไม่สนิทกับฉันเลยสักนิด ถ้าข้างกายฉันไม่มีคนอื่นๆที่สนิทด้วย ฉันก็คงคิดว่าตัวเองเป็นแค่ตัวแทนของใครคนหนึ่งเท่านั้น ตอนที่ฉันอยู่ที่ต่างประเทศ แล้วได้ข่าวว่าคุณฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉันก็พึ่งจะรู้ว่าคุณโดนรถชน ฉันรีบกลับประเทศแต่ก็ไม่คิดว่าคุณจะแต่งงานไปแล้ว นี่คงเรียกว่าชะตาฟ้าลิขิตล่ะมั้ง แต่ว่านะคุณเจี่ยนเขาดูแล้วเป็นคนดีมาก เขาคงดูแลคุณได้ดีมากใช่ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงที่เดิมทีคิดจะออกไปจากห้องอาหาร หันหน้ามามองหลิวจื่อซิง แล้วถามน้ำเสียงเย็นชา:“คุณคิดว่าผมกับเจี่ยนอี๋นั่วคบกันก็ดีแล้ว คุณไม่มีแม้แต่ความอิจฉาหรือไม่ยอมเลยงั้นเหรอ?”

ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงถามมาแบบนี้ ตาของหลิวจื่อซิงก็สว่างขึ้นมาทันที มุมปากอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น เธอรู้อยู่แล้วว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังแคร์ความรู้สึกเธออยู่ ถึงแม้ว่าในใจของหลิวจื่อซิงจะลำพองใจขึ้นมา แต่ก็ต้องรีบปิดรอยยิ้มบนหน้าไว้ เผยให้เห็นความรู้สึกที่อ่อนโยน แล้วส่ายหน้าให้กับเหลิ่งเซ่าถิง:“ฉันจะไม่ยอมได้ยังไง จะอิจฉาได้ยังไง ผู้หญิงที่ร้ายมากและไม่มีความมั่นใจในตัวเองต่างหากถึงมีความคิดแบบนั้น ในทางกลับกันฉันรู้สึกขอบคุณมาก ฉันขอบคุณคุณเจี่ยนที่อยู่ดูแลคุณแทนฉันในช่วงเวลาที่คุณลำบากมากที่สุด แบบนี้ถึงจะทำให้ฉันมีโอกาสได้เห็นว่าคุณแข็งแรงดี พวกเราถึงสามารถนั่งกินข้าวพูดคุยกันได้ วาดแผนอนาคตไง?”

“ขอบคุณ?” เหลิ่งเซ่าถิงนึกถึงเจี่ยนอี๋นั่วที่ตะโกนพูดไม่ขาดปากว่า“อิจฉา” เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

ตอนนี้เขาสามารถหวนคิดถึงฉากนั้นได้อย่างชัดเจน แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วที่ทำปากงุ้มพร้อมท่าทางแล้วพูด:“ผู้หญิงที่มีแผนการคนนั้น เธอมีสิทธิ์อะไร?” ก็โผล่ขึ้นมาในสมองเขาอย่างสมจริง

ในสมองของเหลิ่งเซ่าถิงได้บันทึกผู้คนไว้มากมาย พวกเขาแบ่งประเภทตามศัตรูกับมิตร แต่มีแค่เจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงไม่รู้ว่าจะจัดการเธอยังไง เปรียบเทียบกับคนที่เขาสามารถจัดประเภทได้อย่างสบายๆแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วนับว่าสดใสเกินไป ตรงไปตรงมาเกินไป ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงยากจะสรุปว่าเป็นคนในประเภทไหน

“คุณกำลังยิ้มอะไร?” หลิวจื่อซิงมองรอยยิ้มสบายๆบนหน้าที่น้อยมากที่จะปรากฏขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะถามเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆหุบยิ้มลง มองหลิวจื่อซิง เหตุผลที่เขาคบกับหลิวจื่อซิงง่ายมาก ก็แค่เพราะอายุเขาถึงเวลาที่เหมาะสมแล้ว เขาควรจะมีแฟนอยู่ข้างๆเขาได้แล้ว หลิวจื่อซิงตรงกับสเปคของเขา คบกับหลิวจื่อซิงคนอื่นๆคงไม่แปลกใจ ถึงแม้ว่าฐานะของหลิวจื่อซิงจะไม่ดี แต่ก็เติบโตมาด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง เรื่องนี้ก็คงไม่น่าเกลียดเท่าไหร่

อีกอย่างถึงแม้ว่าหลิวจื่อซิงมีแผนการ แต่ค่อนข้างจัดการง่าย ไม่จำเป็นต้องลงแรงไปทำความรู้จักใหม่ แต่ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงอายุน้อยเกินไป มองข้ามความโลภของจิตใจคน หลิวจื่อซิงไม่เพียงแต่อยากได้เขา แถมยังมีผู้ชายหลายคนที่แวะเวียนมาหาเธอจนหัวกระไดไม่แห้ง เธอไม่เพียงแต่ต้องการตำแหน่งคุณหญิงตระกูลเหลิ่ง แต่ยังต้องการให้ผู้ชายคนอื่นๆมาสยบใต้เสน่ห์ของเธออีกด้วย

สำหรับหลิวจื่อซิงแล้ว เหมือนว่าจะมีผู้ชายหลายคนที่หลงใหลเธอแย่งชิงเธอ นี่เป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกว่ามีเกียรติ จนถึงตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังไม่รู้ว่าเกมแสวงหาที่ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อนั้น มีอะไรที่คุ้มค่าให้เธอลองอีกครั้ง โยงคนอื่นๆให้เล่นเกมนี้ด้วยกันกับเธอ

แต่ถึงแม้ว่าหลิวจื่อซิงจะเป็นแบบนี้ ก็เหมาะกับตระกูลเหลิ่งมากกว่าเจี่ยนอี๋นั่ว ตระกูลเหลิ่งเหมาะกับผู้หญิงแบบหลิวจื่อซิง เสแสร้งมารยา คำนึงถึงผลประโยชน์มากกว่าคุณธรรม แต่ตัวเองนั้นเก่งในเรื่องแสดงละครยิ่งกว่า เจี่ยนอี๋นั่วทุ่มเทกับความรู้สึกง่ายเกินไป แคร์ความรู้สึกมากเกินไป และสามารถถูกคนอื่นชักจูงความรู้สึกได้ง่าย สำหรับคนอื่นแล้วไม่เป็นอะไรหรอก แต่สำหรับตระกูลเหลิ่ง ไม่ว่าจะเขาหรือเจี่ยนอี๋นั่ว ล้วนแต่อันตรายทั้งสิ้น เพราะว่าใบมีดที่คมและดีที่สุดที่คนอื่นจะใช้ในการจัดการคุณก็คือความรู้สึก!

เหลิ่งเซ่าถิงคิดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้ามองมือของตัวเอง ปลายนิ้วของเขาเย็นยะเยือก ไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นอีกต่อไป แต่เขาที่เป็นแบบนี้ถึงจะสามารถมีสติในการจัดการกับปัญหาได้ เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้ามองไปทางหลิวจื่อซิง แล้วพูดเสียงเบา:“ผมกำลังคิด บางทีคุณเหมาะสมกับผมมากกว่าเจี่ยนอี๋นั่ว เพราะงั้นผมถึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา”

หลิวจื่อซิงรีบก้มหน้าลง แล้วพูดเสียงเบา:“เซ่าถิงตอนนี้คุณร้ายเกินไปจริงๆ พูดคำพวกนี้ออกมาให้คนเขาเขินอายเนี่ย”

“ใกล้ถึงวันเกิดคุณย่าแล้ว ครั้งนี้คุณย่าจะจัดงานเลี้ยงหรูหราใหญ่โต คุณสามารถไปเป็นคู่ควงผมได้ไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงมองหลิวจื่อซิง แล้วถามเสียงหนักแน่น

“หา……” หลิวจื่อซิงยื่นมือขึ้นปิดปากเบาๆ แสดงสีหน้าตกใจออกมา:“จริงเหรอ? ฉันยินดี ฉันยินดีจะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป จะไม่แยกจากคุณอีกแล้ว……”

หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนวางสาย ขมวดคิ้วมองไปทางแผนกจำหน่ายสินค้าอย่างเงียบๆ กัดฟันแล้วหมุนร่างออกไปจากบริษัท ฉู่หมิงเซวียนพึ่งจะขับรถออกจากบริษัทได้ไม่นาน ก็มองไปเห็นผู้หญิงวัยรุ่นคนหนึ่งกำลังรอรถอยู่ข้างถนน เพราะว่าผู้หญิงวัยรุ่นคนนั้นมีความคล้ายคลึงกับเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ไม่น้อย แต่ดูไปแล้วน่าจะอายุน้อยกว่า ไม่ระมัดระวังตัวมากกว่า ฉู่หมิงเซวียนก็เลยอดไม่ได้ที่จะมอง

พอตั้งใจมองผู้หญิงคนนั้นอีกที ฉู่หมิงเซวียนก็นึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร เธอคือเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย น้องสาวของเจี่ยนอี๋นั่ว

ฉู่หมิงเซวียนคิดไปสักพัก ก็จอดรถที่ข้างถนน ยื่นหน้าออกไปยิ้มให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยแล้วถาม:“ฮุ่ยฮุ่ยใช่ไหม? จำผมได้ไหม? พวกเราเคยเจอกันไม่กี่ครั้ง”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยขมวดคิ้วมองฉู่หมิงเซวียนสักพัก แล้วพยักหน้าทันที:“อ๋อ? ฉันนึกออกแล้ว พ่อฉันเคยพาคุณมาที่บ้าน คุณคือฉู่หมิงเซวียนที่เกือบทำให้บ้านฉันล้มละลายไม่ใช่หรือไง? คุณนี่มันชั่วร้ายจริงๆ ทำร้ายจนฉันเกือบจะเป็นคนจนอยู่แล้ว!แถมยังทำให้พ่อฉันล้มป่วยตอนนี้อีก ถ้าพ่อฉันอยู่นะ ไม่มีทางให้เจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนั้นกำเริบเสิบสานขนาดนั้นหรอก ตอนนี้เขากลับไม่ให้เงินฉันใช้สักบาท!”

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว เผยสีหน้าที่ไม่คาดคิดออกมา:“อะไรนะ? เจี่ยนอี๋นั่วทำขนาดนั้นเลย? ไม่คิดว่าจิตใจเขาจะอำมหิตขนาดนั้น สาวสวยอย่างคุณ ก็ควรจะใส่ชุดสวยๆ ออกมากจากร้านอาหารหรูๆสิ? ทำไมชีวิตถึงน่ารันทดขนาดนั้น? หรือว่าเขาจะอิจฉาคุณที่คุณสวยกว่าเขากันนะ”

“เหอะ……” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยหัวเราะเหอะ:“ก็ใช่น่ะสิ ฉันก็คิดว่าเขาอิจฉาที่ฉันสวย ไม่งั้นเขาจะโหดกับฉันเหรอ?”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดถึงตรงนี้ ก็เดินมาที่ข้างรถของฉู่หมิงเซวียนแล้วยิ้มให้:“คนเขาพูดกันว่าคุณแย่มาก ทำร้ายพวกเราตระกูลเจี่ยน แต่ที่ฉันเห็นคุณก็ดีอยู่นะ อืม รถก็ไม่เลว ฉันก็ชอบรถหรูๆแบบนี้แหละ แต่ก่อนหน้านี้พ่อฉันไม่อนุญาตให้ฉันขับ บอกว่าฉันอายุน้อย ตอนนี้พ่อฉันกลายเป็นคนโง่แล้ว ในที่สุดก็ยุ่งเรื่องของฉันไม่ได้สักที แต่สุดท้ายก็ไม่มีเงินอยู่ดี แถมยังมีพี่สาวที่ทารุณกับฉันอีก ฉันโคตรซวยจริงๆเลย!”

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“งั้นรถของผมคันนี้คงมีโชคจริงๆ ถึงสามารถทำให้คุณหนูรองตระกูลเจี่ยนชมได้ ไปกันเถอะ คุณอยากจะไปไหน? ผมไปส่ง”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเอียงศีรษะมองไปยังฉู่หมิงเซวียน ยิ้มเอาใจแล้วพูด:“ทำไม? คุณอยากจะคบหากับฉัน? สนุกกับพี่สาวเสร็จ อยากจะสนุกกับน้องสาว คุณนี่เจ้าชู้อยู่นะ? อยากได้ทั้งพี่ทั้งน้องเลยว่างั้น?”

ฉู่หมิงเซวียนยิ้มแล้วมองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“ผมชอบผู้หญิงสวย โดยเฉพาะผู้หญิงสวยที่ยังวัยรุ่นอยู่แบบคุณ ผู้ชายจีบผู้หญิง ไม่ได้ผิดอะไรหนิ? ถ้าคุณไม่มีเรื่องสำคัญอะไรล่ะก็ ผมรู้จักร้านอาหารฝรั่งเศสอยู่ที่หนึ่งไม่เลวเลย ผมจะพาคุณไปชิม”

“ยังนับว่าคุณตาดีนะ ฉันจะให้โอกาสคุณสักครั้งแล้วกัน แต่แค่กินข้าวหนึ่งมื้อยังไงก็จีบฉันไม่ติดหรอก กระเป๋าฉันก็ได้เวลาต้องเปลี่ยนแล้ว คุณคงต้องซื้อกระเป๋าที่ถูกใจฉันให้สักใบ ไม่งั้นฉันไม่ไปกับคุณหรอกนะ” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยิ้มแล้วพูด

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“ถ้าเป็นสาวสวยแบบคุณ ต่อให้วันนี้คุณรูดบัตรธนาคารจนหมดตัว จะเป็นอะไรไป? ไม่เพียงแต่กระเป๋าหนัง คุณจะซื้อเสื้อผ้าด้วยก็ย่อมได้ ฮุ่ยฮุ่ยคุณเกิดมาสวยขนาดนี้ ตอนอายุยังน้อยไม่ใส่เสื้อผ้าสวยๆ มันน่าเสียดายจริงๆนะ”

“เหอะ งั้นฉันคนนี้จะไว้หน้าคุณหน่อยละกัน” เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดแล้วยกศีรษะขึ้น พูดเหอะออกมา:“เจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็แค่โหดกับฉัน ตอนที่เธอเห็นว่าผู้ชายที่เคยทิ้ง วิ่งตามจีบฉันคนนี้ คงจะทำให้เธอโมโหไม่น้อย ให้เธอวางมาดพี่สาวต่อหน้าฉันต่อไปเถอะ ผู้หญิงทำงานเก่งมากแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร? ได้แต่งงานกับสามีดีๆต่างหากที่เป็นความสามารถที่แท้จริง”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบ ก็ขึ้นมานั่งบนรถยนต์ของฉู่หมิงเซวียน พอเห็นว่าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยขึ้นมานั่งตรงเบาะข้างคนขับแล้ว ฉู่หมิงเซวียนถึงค่อยๆยิ้มออกมา เขามองตึกสำนักงานบริษัทอี๋เหม่ยทางกระจกมองหลัง เขาคิดในใจว่า:เจี่ยนอี๋นั่ว เกมของพวกเราพึ่งจะเริ่มขึ้น ถ้าไม่เล่นจนจบ แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผู้ชนะคือคุณแน่ๆ?

วันนี้ทั้งวันที่จิตใจเจี่ยนอี๋นั่วกระสับกระส่าย เพราะงั้นหลังจากทำงาน เวลาที่ไปเยี่ยมพ่อก็เลยนานหน่อย เจี่ยนอี๋นั่วติดต่อสถานพักฟื้นผู้ป่วยแห่งหนึ่งไว้ให้พ่อของตัวเองแล้ว อีกไม่นานก็จะให้พ่อย้ายออกไป สภาพแวดล้อมของสถานพักฟื้นผู้ป่วยนั้นดีกว่าโรงพยาบาล คุณหมอก็สนับสนุนให้รีบย้ายเจี่ยนฉางรุ่นไปสถานพักฟื้นผู้ป่วยเหมือนกัน

เพราะว่าคุณหมอให้เจี่ยนอี๋นั่วมาคุยเล่นกับเจี่ยนฉางรุ่น บางทีอาจจะสามารถกระตุ้นให้เจี่ยนฉางรุ่นฟื้นตัวได้ ถึงแม้ว่าโอกาสในการฟื้นขึ้นมาจะน้อยมากก็ตาม เจี่ยนอี๋นั่วก็อยากจะลองให้สุดความสามารถ เธอคุยกับเจี่ยนฉางรุ่นอย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่เรื่องงาน พอพูดเรื่องงานเสร็จแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิง

“ตั้งแต่หนูเกิดมาหนูไม่เคยเจอผู้ชายแบบนั้นมาก่อน มองภายนอกเย็นชา แต่พอดูดีๆแล้ว ก็สามารถสังเกตได้ว่าความจริงแล้วเขาตั้งใจทำเพื่อหนูและเอาใจใส่มาก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงเหลิ่งเซ่าถิง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“พ่อคะ หนูอยากจะควบคุมความรู้สึก หนูรู้ว่าไม่ควรชอบเขา แต่หนูอดใจไว้ไม่ได้ ถ้าเขาไม่ได้อยู่ในฐานะนั้นก็คงจะดี ถ้าตระกูลของเขาไม่เต็มไปด้วยบรรยากาศเหมือนสังหารในสงครามก็คงจะดี ถ้าเป็นแบบนั้น หนูอาจจะกล้าลองมากกว่านี้ แต่ว่า……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็เว้นวรรคไว้ ยิ้มขึ้นมาแล้วพูด:“พ่อคะ พ่อยังจำได้ไหม? ตอนเด็กๆหนูชอบกินลูกอม แต่พอกินลูกอมหนูก็ปวดฟัน ความจริงแล้วในใจหนูรู้ดีว่าไม่ควรกินลูกอมถ้ากินต่อไปคงต้องเจ็บจนถูกถอนฟันอย่างแน่นอน หนูชอบกินลูกอม แต่หนูก็กลัวเจ็บเหมือนกัน หนูไม่อยากถอนฟัน หมอฟันสำหรับหนูในตอนนั้น เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้วจริงๆ แต่หนูก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ตัวหนูเองอดไม่ได้ที่จะแอบกิน สุดท้ายก็เจ็บจนต้องร้องขอชีวิต แถมยังถูกแม่พาไปโรงพยาบาลอีก ถอนฟันซี่ที่ผุของหนูไป หนูเจ็บไปหลายอาทิตย์เลย ตอนนั้น แม่โมโหด่าหนูยกใหญ่ แต่พ่ออะ พอกลับบ้านมาก็มาบีบปากหนู ตรวจว่าหนูได้แอบกินลูกอมหรือเปล่า หลังจากนั้นก็ไปปลอบแม่ที่กำลังโมโห แล้วปลอบหนูที่โดนแม่ด่าจนร้องไห้ไปด้วย ทั้งครอบครัวถูกหนูที่เห็นแก่กินก่อความวุ่นวายจะยุ่งเหยิงไปหมด……ต่อมาหนูคิดว่าตัวเองโตขึ้นแล้ว เป็นผู้ใหญ่แล้ว สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้แล้ว แต่ตอนนี้หนูพึ่งจะพบว่า……”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลง ก้มหน้าลง ถอนหายใจออกมา:“พึ่งจะพบว่าหนูยังคงเป็นเด็กผู้หญิงคนนั้นที่ทั้งๆที่รู้ว่ากินลูกอมแล้วจะปวดฟัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะแอบกิน แต่แค่ไม่มีคนมาร้อนใจแทนหนู มายุ่งกับหนูบอกว่าอย่าทำเรื่องที่ไม่ควรทำอีกแล้ว”

พอเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ได้ยินพยาบาลเดินเข้ามาในห้องผู้ป่วย มาที่ข้างๆเจี่ยนอี๋นั่วแล้วเตือนเสียงเบาๆ:“คุณเจี่ยน ตอนนี้ก็มืดแล้วนะคะ คุณรีบกลับไปพักผ่อนเถอะ คุณผู้ชายก็ต้องพักผ่อนเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า หลังจากที่พยุงให้พ่อตัวเองนอนลงแล้ว ก็เดินออกมาจากห้องผู้ป่วยของเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนฉางรุ่นที่นอนอยู่บนเตียงพึมพำ พูดเสียงเบา:“อี๋นั่ว……อี๋นั่ว……”

ในตอนแรกยังคงเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่พูดชื่อเจี่ยนอี๋นั่วซ้ำไปซ้ำมา หลังจากที่พยาบาลปิดไฟแล้วออกจากห้องผู้ป่วยของเจี่ยนฉางรุ่นไป เจี่ยนฉางรุ่นอยู่ในความมืดมิด พูดประโยคใหม่ออกมา:“อี๋นั่ว……อย่ากินลูกอมเลย……ฟันจะปวดเอานะ……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงตระกูลเหลิ่ง ทักทายกับคุณแม่เหลิ่งเสร็จ ก็กลับไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิง พอเปิดประตู เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังทำงานอยู่บ้านโต๊ะหนังสือ พอเจี่ยนอี๋นั่วเจอเหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา ช่วงนี้เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงไปมาหาสู่กันได้ดีทีเดียว ถึงแม้ว่าบางครั้งเหลิ่งเซ่าถิงจะดูแล้วเย็นชาไปบ้าง แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงดีกับเธอมากกว่าแต่ก่อนแล้ว อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงยังพูดคุยกับเธอเรื่องในอดีตเยอะมาก เจี่ยนอี๋นั่วกดความคิดของตัวเองไว้ แต่ก็ยังคงเฝ้ารอ เหลิ่งเซ่าถิงปฏิบัติกับเธอไม่เหมือนเดิมหรือเปล่า?

“ฉันกลับมาแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง

แม้แต่มองเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วเลย ยังคงจับจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มอย่างทำตัวไม่ถูก ถอยหลังมาไม่กี่ก้าว แล้วพูดเสียงเบา:“คือ วันนี้ฉันกลับมาดึกนิดหน่อย เพราะว่าไปเยี่ยมพ่อฉันมา คุยเรื่องของฉันตอนเด็กๆ”

“อ๋อ……” เวลานี้เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะมาปฏิกิริยาตอบรับ หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน เดินมาข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเดินตรงไปยังห้องเปลี่ยนชุด เริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า

เจี่ยนอี๋นั่วมองการกระทำของเหลิ่งเซ่าถิงที่ไม่แตกต่างจากเมื่อก่อนเลยสักนิด อีกอย่างเปลี่ยนเป็นเสื้อนอกสบายๆ ทั้งไม่เหมือนออกไปทำงานและก็ไม่เหมือนออกไปออกกำลังกาย หลังจากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงยังเลือกแขนเสื้อที่งานละเอียดอีกด้วย เขาตั้งใจแต่งตัวลักษณะที่สบายๆเป็นพิเศษ ผู้ชายแต่งตัวแบบนี้ ก็คงออกไปเดทแล้วล่ะ

แต่“เดท”คำนี้ใช้กับคนอื่นยังถือว่าใช้ได้อยู่ แต่ถ้าใช้กับเหลิ่งเซ่าถิงล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ามันแปลกนิดหน่อย

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์จะถามเหลิ่งเซ่าถิงว่าจะไปที่ไหน แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม:“วันนี้คุณจะออกไปข้างนอก?”

“อืม หลังจากที่จื่อซิงกลับมา ก็ยังไม่ได้ไปหาเขาเลย วันนี้อยากจะไปกินข้าวกับเขาสักมื้อ ส่วนคุณย่าเธอช่วยปิดให้หน่อยนะ คุณย่าเขารู้สึกว่าเป็นเพราะจื่อซิงผมถึงเปลี่ยนไปเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยรู้สึกไม่ดีกับเขามาตลอด เมื่อวานผมก็เลยไม่ได้สนใจเขาต่อหน้าทุกคน คุณบอกแค่ว่าผมไปกับลูกค้า หรือไม่คุณจะไม่พูดอะไรเลยก็ได้ ยังไงซะคุณก็ไม่ใช่ภรรยาจริงๆของผม เดิมทีก็ไม่มีสิทธิ์จะถามเรื่องพวกนี้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย หยิบเช็คธนาคารออกมาส่งให้เจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วกดความเจ็บในใจไว้ รับเช็คธนาคารมา มองตัวเลขบนเช็คธนาคาร พูดเสียงเบา:“หนึ่งแสน?”

“อืม คิดซะว่าเป็นค่าปิดปากจากผม คืนนี้คุณนอนได้เลยนะ ผมอาจจะไม่กลับมา” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเบาเสร็จ ก็ดึงประตูห้องเปิดออกแล้วเดินออกไป

เจี่ยนอี๋นั่วยืนอึ้งอยู่ที่เดิม ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เธอรู้สึกว่าโง่ไปเลย เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธอถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ ทั้งๆที่เมื่อวานทั้งสองคนยังพูดคุยด้วยกัน แถมเขายังกอดเธอ ทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ล่ะ?

หรือว่าประโยชน์จากการใช้เธอสำหรับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว เป็นกอดที่เหมือนกอดหมอนข้างสบายๆเท่านั้นจริงๆเหรอ? เพราะงั้นเขาก็เลยไม่สนใจความแตกต่างระหว่างชายหญิงที่เขาจับมือเธอ กอดเธอสินะ

หลังจากที่คนรักจริงๆของเขาปรากฏตัวขึ้นมา เขาต้องไปอยู่กับคนรักของตัวเองอย่างแน่นอน เขาจะมาสนใจความรู้สึกของหมอนข้างทำไม?

เจี่ยนอี๋นั่วเบะปาก เดิมทีอยากจะบ่นสักสองสามประโยค แต่พอเห็นว่ามีคนรับใช้เดินมา เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบอดกลั้นสิ่งที่อยู่ในใจเธอ เม้มปากแล้วกลับไปที่ห้องก่อน

เหลิ่งเซ่าถิงมองแผนหลังของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ตลอด หลังจากที่มองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วจนหลับตาไป เขาถึงจะก้มหน้ามองมือของตัวเอง กลางฝ่ามือของเขาเหมือนกับว่ายังเหลืออุณหภูมิของเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะกำมือไว้ แต่ไม่ว่าจะกำยังไง อุณหภูมินั้นก็ยังคงหายไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับว่าอุณหภูมินั้นมันไม่ควรเป็นของเขา เลยกำลังหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

เหมือนกับเจี่ยนอี๋นั่ว ที่ไม่เหมาะที่จะอยู่ในตระกูลเหลิ่ง และอยู่ข้างกายเขาเลยสักนิด

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้รีบเดินกลับห้องของตัวเอง แต่เขาเดินไปทางห้องของคุณนายเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปในห้องของคุณนายเหลิ่ง พูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณย่า เตรียมห้องให้เจี่ยนอี๋นั่วอีกห้องได้ไหมครับ? ถ้าเขายังอยู่ห้องเดียวกันกับผม คงไม่เหมาะเท่าไหร่”

คุณนายเหลิ่งที่กำลังตัดแต่งกิ่งดอกไม้ หันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วพูด:“ทำไมล่ะ? ดูแล้วพวกแกอยู่ร่วมกันได้ดีนี่? วันนี้ตอนเช้าก็ไปวิ่งด้วยกันไม่ใช่เหรอ? ทำไมจู่ๆก็เปลี่ยนไปซะดื้อๆล่ะ อีกอย่างแกให้อยู่ต่อในห้องแก ไม่ใช่เพราะจะปกป้องเขาเหรอ? ทำไม? ไม่อยากปกป้องเขาแล้วเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงกำมือของตัวเองแน่น พูดเสียงขรึม:“เรื่องมันเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยครับ ตอนนี้ผมคิดว่าถ้าเขายังอยู่ในห้องผม มันไม่ดีกับทั้งผมและเขา”

“แกมีใจให้เขาแล้ว? เพราะงั้นเลยไม่อยากอยู่ด้วยกันกับเขาต่อ?” คุณนายเหลิ่งมองไปยังเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วถาม

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า:“ผมเปล่าครับ คุณย่าเคยสอนผม ผมเป็นผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่ง ควรจะรักษาท่าทีที่เงียบขรึม พวกความรัก ต่างก็ไม่เหมาะกับผม อีกอย่างถูกผมรัก ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงคนไหนต่างก็เป็นเรื่องที่อันตราย ผมก็แค่ป้องกันไม่ให้เรื่องพวกนี้เกิดขึ้น……”

คุณนายเหลิ่งถอนหายใจ:“ตอนนี้แกให้เจี่ยนอี๋นั่วออกจากห้องแกไป ก็เหมือนกับการบอกทุกคนว่า แกกับเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่เหมือนกัน แกไม่สามารถรักษาระยะห่างของเขากับแกได้ ก็ไม่ดีทั้งกับแกและกับเขา กฎของเกมในตระกูลเหลิ่งก็อย่างนี้แหละ แกแกล้งเป็นคู่สามีภรรยา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วมั่นใจว่าแกจะปกป้องเขา ให้ความปลอดภัยกับเขา ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าเอาเขามาข่มขู่แกไม่ได้ แตะต้องเขาก็อาจจะทำให้แกโกรธ เพราะงั้นนี่เลยเป็นการรับประกันความปลอดภัยของเขา ถ้าแกอยากจะปกป้องเขาจริงๆ ถ้าไม่เลือกจะผ่านช่วงเวลาไปอย่างมั่นคง แล้วค่อยให้เขาออกจากตระกูลเหลิ่ง ก็เลือกให้เขาเป็นคุณหญิงตระกูลเหลิ่งจริงๆไปเลย ปกป้องเขาจริงๆ แกยอมที่จะแต่งงานกับเขาไหมล่ะ? แกลองคิดดูละกัน”

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว:“คุณย่าคิดว่าผมควรจะแต่งงานกับเขาไหมครับ?”

“ถ้าแกไม่ชอบเขา งั้นให้เขาเปลี่ยนตัวเองสักหน่อย เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมของแกในการเลือกภรรยา แต่ถ้าแกชอบเขาแล้ว งั้นแกก็ไม่ควรเลือกเขา ความรู้สึกหรือความรักสำหรับพวกเราแล้ว มันคือภาระ จะทำให้แกตัดสินใจเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดไม่ได้ ภรรยาที่เหมาะกับแกที่สุด คือคนที่ให้ความร่วมมือกับแก ไม่ใช่ภรรยาของแก” คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ก็เอาก้านดอกไม้ที่ตัดไปวางอีกฝั่ง

คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วมองช่อดอกไม้ที่ตัดลงมา พูดเสียงเบา:“ก็เหมือนกับการตัดแต่งก้านดอกไม้ ถ้าแกชอบดอกไม้จริงๆ กลัวว่าเขาจะเจ็บกังวลว่าเขาจะปวด ดอกไม้กระถางนี้ก็ไม่มีทางที่จะเป็นรูปร่างในแบบที่แกต้องการ จะกลายเป็นจุดด้อยของห้องนี้ ตอนที่แกไม่มีความรู้สึกอะไรกับดอกไม้กระถางนี้แล้ว ก็แค่ใช้เขาเป็นเครื่องมือในการแสดงความสามารถของแกออกมา ถึงจะสามารถกลั้นใจตัดก้านดอกไม้ที่ไร้ประโยชน์ออกไปได้ ทำให้เขากลายเป็นของประดับที่สวยงาม กลายเป็นของประดับตกแต่งที่ดีที่สุดในห้อง ฉันคิดว่าแกจะจัดการเรื่องนี้ได้ดี แกเป็นถึงหลานชายคนเดียวของฉันเลยนะ ไม่มีทางที่จะถูกความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นครอบงำหรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงมองดอกไม้กระถางนั้น พูดเสียงเย็นชา:“ผมรู้แล้วครับ รู้แล้วว่าควรทำยังไง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดแล้วก็ยืนขึ้น เดินออกมาจากห้อง คุณนายเหลิ่งขมวดคิ้วมองดอกไม้กระถางนั้นในมือที่กำลังตัด จู่ๆก็ใช้กรรไกรตัดรากดอกไม้ให้ขาด มองก้านดอกไม้ที่ล้มลงมา คุณนายเหลิ่งวางกรรไกรลง เช็ดมือ แล้วพูดกับตัวเอง:“ถ้ามีคนตัดใจไม่ลงที่จะตัดก้านดอกไม้ทิ้ง แล้วยังให้ดอกไม้ที่ไม่เรียบร้อยอยู่ในห้องต่อละก็ งั้นก็อย่ามาโทษคนอื่นที่อดไม่ได้ที่จะลงมือ ตัดดอกไม้ที่ขวางสายตาล่ะ”

ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมาที่ห้อง เจี่ยนอี๋นั่วได้กินข้าวเรียบร้อยแล้ว กำลังจะเดินออกไปข้างนอก เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงผ่านๆ ทักทายเขา แล้วก็วิ่งออกไปด้านนอก เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว มองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“มองยังไง เธอก็ไม่ใช่ดอกไม้ที่สามารถเพาะเลี้ยงไว้ในห้อง ไม่ว่าใครก็ตัดแต่งกิ่งได้ตามใจชอบสักหน่อย”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วมาถึงบริษัท กำลังอยู่ในลิฟต์ ก็อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง มองฝ่าของตัวเองที่แบออก นึกถึงท่าทางที่เหลิ่งเซ่าถิงที่จับมือเธอไว้ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากขึ้นแล้วค่อยๆยิ้มออกมา

ขณะที่ยิ้มของเธอไม่ทันได้หุบลง เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นฉู่หมิงเซวียนที่ยืนอยู่หน้าประตูลิฟต์ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหุบยิ้มแล้วทำหน้าเย็นชา แล้วเดินผ่านร่างของฉู่หมิงเซวียนไป

จู่ๆฉู่หมิงเซวียนก็พูดออกมา:“เมื่อวานมีลูกน้องผมลาออกแล้ว เรื่องที่คุณทำเริ่มเห็นผลแล้วนะ แผนกของผมเริ่มเหลือน้อยลงแล้ว คนบางกลุ่มที่มีความทะเยอทะยาน หลังจากที่ได้ฟังแผนการของคุณในการประชุมครั้งที่แล้ว ก็รู้ว่าถ้าอยู่กับผมคงไม่มีอนาคตอีกต่อไป ต่างก็ไปตามทางของตัวเอง เตรียมที่จะลาออกจากแผนกผม สมใจอยากคุณแล้ว เจี่ยนอี๋นั่ว!”

เจี่ยนอี๋นั่วเอียงมองฉู่หมิงเซวียน พูดเสียงเย็นชา:“ฉู่หมิงเซวียน ทุกอย่างพึ่งจะเริ่มขึ้น ต่อไปคุณจะเสียไปมากกว่านี้”

“คุณมีความรัก?” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“รอยยิ้มของคุณเมื่อกี้ เป็นรอยยิ้มของคนมีความรัก คุณไม่มีลูกแล้วผู้ชายคนนั้นก็ยังต้องการคุณ? พวกคุณไม่ใช่แค่ความสัมพันธ์ที่แลกเปลี่ยนผลประโยชน์เท่านั้นเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณ”

“ผมคิดอย่างละเอียดแล้ว พวกเรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ!”

จู่ๆฉู่หมิงเซวียนก็พูด:“พวกเราไม่จำเป็นต้องกลายมาเป็นแบบนี้ ต้องได้รับความเสียหายทั้งสองฝ่ายทำไมล่ะ? ผมสามารถให้อภัยคุณที่ไปคบกับผู้ชายคนอื่นได้ ผมสามารถวางความแค้นที่มีต่อพ่อคุณลงได้ ยังไงซะพ่อคุณก็เป็นแบบนั้นแล้ว ก็นับว่าผมแก้แค้นแล้วละกัน ผมจะตัดขาดกับเฉิงซานซาน ต่อไปพวกเราสองคนใสสะอาดแล้ว พวกเรามาเริ่มต้นใหม่กันเถอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามา ขมวดคิ้วมองฉู่หมิงเซวียน:“ฉู่หมิงเซวียน คุณกำลังพูดเรื่องตลกเหรอ? คุณคิดว่าพวกเรายังสามารถเริ่มต้นใหม่ได้? คุณอยากเริ่มต้นใหม่ก็เพราะคุณเสียเปรียบอยู่ คุณทำให้พ่อฉันโกรธจะล้มป่วย ทำให้เขาจำฉันไม่ได้ว่าเป็นใคร คุณคิดว่าคุณแก้แค้นแล้ว ก็ชั่งมันงั้นเหรอ? คุณชั่งได้ แต่ความแค้นของฉันล่ะจะทำยังไง? ความแค้นของลูกฉัน ความแค้นของพ่อฉันล่ะจะทำยังไง? อีกอย่าง ต่อให้ฉันไม่มีความแค้นกับคุณ ฉันเห็นคุณฉันก็รู้สึกสะอิดสะเอียนแล้ว ฉันไม่มีทางคบกับคุณอีกเด็ดขาด!”

“ความแค้นของลูกคุณ?” ฉู่หมิงเซวียนยิ้มเยาะ:“ลูกของคุณคนที่ทำร้ายคือเฉิงซานซานนะ คุณควรจะไปแก้แค้นที่เฉิงซานซานสิ? ทำไมคุณถึงโทษผมล่ะ? อีกอย่างเด็กนั่นไม่มีก็คือไม่มีแล้ว ยังไงซะก็เป็นลูกของคนอื่น ผมไม่รังเกียจที่คุณไม่บริสุทธิ์หรอก พวกเราสามารถมีลูกกันใหม่ได้ คุณยังสามารถเป็นแม่ได้อีกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองฉู่หมิงเซวียน ถ้าบอกว่าฉู่หมิงเซวียนก่อนหน้านี้ทำให้เธอเคียดแค้น งั้นฉู่หมิงเซวียนในตอนนี้ก็คงทำให้เธอรู้สึกสะอิดสะเอียน เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากจะอยู่ด้วยกันกับเขาแม้แต่สักนาทีเดียว เธอออกแรงผลักฉู่หมิงเซวียนออก แล้วเดินตรงออกไป

ฉู่หมิงเซวียนกัดฟันมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาถอยหลังไปไม่กี่ก้าว เกาะกำแพงตรงหน้าเพื่อยืนให้มั่นคง แล้วพูดเสียงสั่น:“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณจะต้องเสียใจกับการตัดสินใจของคุณในวันนี้!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ ก็ปิดตาลง เวลานี้โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้น ฉู่หมิงเซวียนรับโทรศัพท์ ฝั่งปลายสายของโทรศัพท์เป็นเสียงผู้หญิงที่เย็นชาและเหมือนเครื่องจักรกล:“ขอโทษนะคะไม่ทราบว่าใช่ครอบครัวของเฉิงซานซานหรือเปล่าคะ? ตอนนี้มีเรื่องจำเป็นต้องแจ้งให้ทราบค่ะ เฉิงซานซานแท้งแล้ว ต้องการให้คุณมาที่โรงพยาบาล”

“เฉิงซานซานไม่ได้เป็นอะไรกับผม ทำไมผมต้องไปโรงพยาบาลล่ะ?” ฉู่หมิงเซวียนยิ้มเยาะแล้วพูด

ปลายสายนิ่งอึ้งไปสักพัก หลังจากนั้นก็รีบพูด:“แต่เฉิงซานซานบอกว่าคุณคือพ่อของเด็ก”

“ผมไม่ใช่ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเขา ให้เขาแก้ปัญหาเองเถอะ” ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ จู่ๆก็ยิ้มออกมา:“แล้วก็ ถ้าเขาถามว่าทำไม ก็บอกเขาไปว่า ผมถูกผู้หญิงที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่วบังคับให้ทำแบบนี้”

“คุณจะไม่มาจริงๆเหรอคะ? นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนะคะ ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาจริงๆ จะเสียใจก็คงไม่ทันแล้ว ต่อให้คุณไม่ใช่พ่อของเด็ก ในเมื่อเฉิงซานซานระบุชื่อให้คุณมา คุณก็ต้องเป็นคนที่เธอค่อนข้างสนิทด้วยอย่างแน่นอน ตอนนี้สถานการณ์ของเธออันตรายมาก พวกเราหวังว่าคุณจะมาดูสักหน่อยนะคะ” ผู้หญิงปลายสายพูดต่อ

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด:“อันตราย? ถึงตายไหม? งั้นก่อนตายช่วยบอกเขาหน่อย เจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนทำร้ายจนเขากลายเป็นแบบนั้น ให้เขากลายเป็นผี แล้วตามไปหลอกหลอนเจี่ยนอี๋นั่วซะ!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบประโยค ก็วางสายโทรศัพท์ แล้วพ่นคำด่าออกมา:“เป็นผู้หญิงโง่ที่ชอบก่อเรื่องวุ่นวายจริงๆ”

เฉิงซานซานนอนบนเตียงผ่าตัด มองผู้ควบคุมที่กลับมาจากโทรศัพท์ไปหาฉู่หมิงเซวียน ก็รีบเงยหน้าขึ้น ใช้แรงที่เหลือน้อยนิดพูดออกมา:“เป็นไงบ้าง? เขาจะมาเมื่อไหร่? ได้บอกเขาหรือเปล่าว่าไม่ต้องรีบ ขับรถช้าๆ? คุณพูดกับเขาว่า ที่ฉันปกป้องลูกของพวกเราไว้ไม่ได้คือฉันไม่ได้ตั้งใจ ทั้งหมดเป็นเพราะเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าไม่ใช่เพราะเขาทำร้ายฉัน ให้ฉันมาที่นี่ ลูกของพวกเราก็คงไม่ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

ผู้ควบคุมขมวดคิ้ว พูดเสียงขรึม:“เขาบอกเขาจะไม่มา……”

“อะไรนะ?” เฉิงซานซานเงยหน้าขึ้น มองไปทางผู้ควบคุม:“อะไรคือเขาจะไม่มา? ลูกของพวกเราไม่มีแล้วนะ ทำไมเขาถึงไม่สนใจล่ะ?”

ผู้ควบคุมนึกถึงคำพูดของฉู่หมิงเซวียน แล้วพูดกับเฉิงซานซาน:“เมื่อกี้เขาพูดถึงคนที่ชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว บอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะเธอ เขาถึงมาไม่ได้ ที่จริงแล้วผู้ชายคนนี้ฟังดูไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่……”

คำพูดของผู้ควบคุมยังไม่ทันได้พูดจบ เฉิงซานซานก็ร้องไห้ออกมา ร้องไปด้วยตะโกนไปด้วย:“เจี่ยนอี๋นั่ว!แกทำร้ายฉันจนฉันกลายเป็นแบบนี้ ฉันไม่มีทางปล่อยแกไปแน่”

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นมา เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งจะลุกขึ้น ยากนักที่เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงจะตื่นพร้อมกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ตื่นพร้อมกันบ่อยๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ดีว่าทุกเช้าเหลิ่งเซ่าถิงจะตื่นไปวิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตาแล้วลุกขึ้น ถึงแม้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอยังคืนสภาพได้ไม่เต็มที่ แต่ถ้าตอนเช้าแบบนี้ลงไปเดินสักรอบก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าในเมื่อไม่มีลูกแล้ว ก็ควรจะกลับไปสู่ชีวิตเดิมที่ปกติ ตอนนี้การออกกำลังกายแบบไม่ใช้แรงมากเหมาะกับเธอที่กำลังฟื้นฟูร่างกาย ทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ควรถูกลืม แต่ก็ไม่ควรจมอยู่กับความเจ็บปวดในอดีต ไม่งั้นคนเราก็ไม่สามารถมีชีวิตต่อได้ ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนที่ไม่ทำอะไรเลยเวลาเศร้าโศกเสียใจ ฉู่หมิงเซวียนยังใช้ชีวิตได้อย่างอิสระ ร่างกายของพ่อเธอตอนนี้ยังไม่คืนสภาพ เธอมีสิทธิ์อะไรจะไปจมอยู่กับความเจ็บปวดล่ะ?

พอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วลงจากเตียง เหลิ่งเซ่าถิงก็ชำเลืองมองเธอ พูดเสียงเย็นชา:“คุณตื่นเช้าขนาดนี้จะไปทำอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าห้องน้ำไป แล้วตอบไปด้วย:“ฉันก็จะไปออกกำลังกายเหมือนกัน”

“ร่างกายคุณตอนนี้เนี่ยนะ?” เหลิ่งเซ่าถิงย่นคิ้วถามเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ร่างกายฉันไม่เป็นไรแล้ว ออกกำลังกายที่เหมาะสมก็คงไม่มีปัญหา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เข้าไปเปลี่ยนชุดในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าหลังจากที่เธอออกมา เหลิ่งเซ่าถิงที่เปลี่ยนชุดเสร็จก็คงออกไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องแล้วค่อยๆผูกเชือกรองเท้า

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วใส่รองเท้าวิ่งเสร็จแล้ว ทำไมตอนนี้ยังไม่ได้ผูกเชือกรองเท้าล่ะ เขาคงไม่ได้รอเธอหรอกใช่ไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วคิดถึงตรงนี้ เธอก็รีบส่ายหน้า เตือนตัวเองว่าอย่าคิดต่อ อย่าสร้างภาพมโน สภาพของเธอตอนนี้นั้นแย่มากพออยู่แล้ว ไปอิจฉาผู้หญิงข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง ไปซบเหลิ่งเซ่าถิงตอนนอน ถ้ายังให้เธอคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้สึกดีกับเธอเล็กๆน้อยๆอีกล่ะก็ เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆว่าตัวเองจะเข้าไปพัวพันกับเหลิ่งเซ่าถิง

ถ้าว่ากันตามเหตุผล ตระกูลเหลิ่งไม่เหมาะกับเธอเลยสักนิด เธอไม่ได้รู้จักตระกูลเหลิ่งดี คิดว่าตระกูลเหลิ่งเป็นแค่การต่อสู้ของพวกตระกูลไฮโซธรรมดาทั่วไป แต่ตอนนี้เธอพึ่งจะรู้ว่าการต่อสู้ของตระกูลเหลิ่งนั้นโหดเหี้ยมมากแค่ไหน เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ชีวิตที่เหลือของตัวเองตกอยู่สงครามต่อสู้ของวงศ์ตระกูล และไม่อยากให้ครอบครัวของตัวเองเข้ามาพัวพันกับตระกูลเหลิ่งที่อันตรายขนาดนี้เพราะความรู้สึกของเธอที่ยุ่งเหยิงชั่วขณะ

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามควบคุมสถานการณ์ที่ไม่เหมือนจริงของตัวเอง ขณะที่เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง ก็ยิ้มแล้วถามเสียงเบา:“ไปพร้อมกันไหม?”

“ไหนๆคุณก็เปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว ผมจะทำไงได้ล่ะ?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินลงไปด้านล่างพร้อมเจี่ยนอี๋นั่ว แสงอาทิตย์ในยามเช้าเย็นเล็กน้อย ถ้าเป็นวันในฤดูหนาว ตอนนี้แสงอาทิตย์คงเบาบาง แต่เพราะตอนนี้เป็นฤดูร้อน แสงอาทิตย์ที่เย็นแบบนี้ในทางกลับกันยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเย็นสบายมากขึ้นไปอีก

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นก็เป่าออกมายาวๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าได้เอาเรื่องราวของตัวเองที่แย่มากๆและความเคียดแค้นในใจออกไปจากตัวเองแล้ว

“มาเดินทางนี้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงจนเดินมาถึงมุมหนึ่งของสวนในคฤหาสน์ ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เดินที่สวนในคฤหาสน์ของตระกูลเหลิ่งอะไรมากมายนัก ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพาเจี่ยนอี๋นั่วมาที่มุมของสวนในคฤหาสน์นี้ เจี่ยนอี๋นั่วถึงจะพบว่าที่แท้ตระกูลเหลิ่งก็ซ่อนสนามกีฬาขนาดใหญ่ไว้นี่เอง มีวงรอบสำหรับวิ่ง ตรงกลางมีสนามเทนนิส ขนาดเหมือนสนามกีฬาของมัธยมปลาย

แค่ที่นี่นอกจากคนงานไม่กี่คนที่กำลังซ่อมแซมพื้นหญ้าแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอยู่เลย ทำให้รู้สึกเงียบสงัด

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้าง:“นี่มันฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว”

การวิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไว้ ก็แค่วิ่งๆไปที่ไหนสักที่ของสวนในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเพื่อให้ร่างกายขยับบ้างก็เท่านั้น ไม่เคยแม้แต่จะคิดว่าตระกูลเหลิ่งจะมีสนามกีฬาเพื่อใช้เฉพาะทางแบบนี้

“เป็นอะไร?” เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆส่ายหน้า:“ไฮโซก็คือไฮโซ ตอนที่ฉันจินตนาการถึงเรื่องรูปแบบของกฎเกณฑ์ มันก็มักจะถือโอกาสมาทำให้ฉันตกใจอยู่บ่อยๆ บอกให้ฉันรู้ว่าฉันขี้งกมากแค่ไหนล่ะมั้ง ดูบ้านนอกมากเลยอะ”

“งั้นสาวบ้านนอกก็รีบวอร์มร่างกายได้แล้ว” มุมปากของเหลิ่งเซ่าถิงกระตุกยิ้มขึ้นมา แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาอยู่

เจี่ยนอี๋นั่ววอร์มร่างกายอย่างช้าๆ หลังจากที่รอเธอวอร์มร่างกายเสร็จ เหลิ่งเซ่าถิงก็วิ่งไปแล้ว ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินช้าๆไปครึ่งรอบนั้น เหลิ่งเซ่าถิงได้วิ่งเสร็จไปแล้วสองรอบ ขณะที่วิ่งผ่านเจี่ยนอี๋นั่ว เขายังยกมือขึ้นมาตบเบาๆที่ศีรษะของเธออีกด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาปิดศีรษะของตัวเอง อดไม่ได้ที่จะตะโกนไล่หลังเหลิ่งเซ่าถิงไป:“เห้ยๆ ประธานใหญ่เหลิ่ง นี่มันหัวฉันนะ ไม่ใช่เครื่องนับรอบวิ่ง”

“ความสัมพันธ์ของคุณกับพี่ใหญ่นี่ยิ่งนับวันก็ยิ่งดีขึ้นจริงๆ” จู่ๆเสียงของเหลิ่งหมิงอันดังขึ้นข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเร็วไปด้วย แล้วหันมองเหลิ่งหมิงอันไปด้วย:“ทำไมฉันต้องเจอคุณอยู่ทุกที่เลย?”

“นี่เป็นสถานที่ของตระกูลเหลิ่ง และผมก็แซ่เหลิ่ง ผมวิ่งที่นี่มายี่สิบกว่าปีแล้ว คนนอกอย่างคุณจู่ๆก็โผล่มา ยังจะกล้ามาโทษผม?” เหลิ่งหมิงอันพูดไปด้วย หันหน้ามองฝั่งของเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย

เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงจู่ๆก็หยุดวิ่ง และมองมาทางเขาเหมือนกัน เหลิ่งหมิงอันค่อยๆยิ้มออกมา ยกมือขึ้นตบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนที่เหลิ่งเซ่าถิงทำ ยิ้มแล้วพูด:“คุณพูดมาตามตรง วันนี้คุณตามมาวิ่งกับพี่ใหญ่เป็นพิเศษ เพราะอยากจะเจอผมใช่ไหมล่ะ? คุณรู้อยู่แล้วใช่หรือเปล่าว่าผมกับพี่ใหญ่เราวิ่งด้วยกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วปัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก:“ถ้ารู้ว่าคุณอยู่ที่นี่ ฉันก็คงไม่มาหรอก”

“นี่ อย่าทำเหมือนพี่ใหญ่ ที่เปลี่ยนไปเย็นชาขนาดนั้นสิ……” เหลิ่งหมิงอันยื่นมือมาจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้

แต่เหลิ่งหมิงอันพึ่งจะได้แตะข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่ว มือของเหลิ่งหมิงอันก็ถูกกดไว้ เหลิ่งเซ่าถิงที่รีบวิ่งมายังคงหายใจหอบ มือของเขากดข้อมือของเหลิ่งหมิงอันไว้ อีกข้างดึงเจี่ยนอี๋นั่วไปด้านหลัง ขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“ทางที่ดีแกอย่าลืมคำที่ฉันเตือนดีกว่านะ”

“ไม่ได้ลืม แต่มันช่วยไม่ได้ ความรู้สึกมันควบคุมกันไม่ได้จริงๆนะ……” เหลิ่งหมิงอันพูด แล้วเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเหลิ่งเซ่าถิงบังไว้ข้างหลัง เขาหัวเราะแล้วพูดต่อ:“ผมก็แค่ชอบเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วยไม่ได้นะ พี่ใหญ่ ยังไงซะหลิวจื่อซิงก็กลับมาแล้ว พี่ไปคบกับเธอเถอะ แล้วยกเจี่ยนอี๋นั่วให้ผม แบ่งแบบนี้ดีกว่าอีกนะ?”

“คนของฉัน ไม่จำเป็นต้องแบ่งให้แก” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน

คนของฉัน?

เจี่ยนอี๋นั่วพอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ ใจก็เต้นรัวขึ้นมา นี่เธอเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว? แต่พอตัวเองคิดว่า เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดชัดขนาดนั้น ว่าเธอเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงหรือหลิวจื่อซิงเป็นคนของเหลิ่งเซ่าถิงกันแน่ ในใจเจี่ยนอี๋นั่วควบคุมความสุขที่แอบคิดไม่ได้ ก็เลยรีบทำให้หายไป

เหลิ่งหมิงอันได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็หัวเราะออกมา:“งั้นก็คงต้องรอวันที่พี่มีความสามารถพอที่จะไล่ผมออกจากตระกูลเหลิ่งแล้วล่ะ”

“วางใจเถอะ จะไม่ทำให้แกผิดหวัง แกได้มีวันนั้นแน่” เหลิ่งเซ่าถิงมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงเย็นชา

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็หันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“ผมเดินเป็นเพื่อนคุณเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วกวาดสายตามองเหลิ่งหมิงอัน:“หรือไม่เราก็กลับกันเถอะ”

“ไม่ควรจะเป็นเราที่ถอยให้” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็จับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ แล้วเดินไปข้างหน้าช้าๆ

แต่เหลิ่งหมิงอันก็ไม่ได้ออกไป เขาเดินไปด้วยกันกับพวกเขาด้วยซ้ำ แต่แค่เหลิ่งหมิงอันไม่ได้พูดอะไรต่อ ใช้แค่สายตาสังเกตเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่ว สายตาหยุดอยู่ที่มือของเจี่ยนอี๋นั่วที่เหลิ่งเซ่าถิงจับไว้นานพอสมควร แล้วค่อยๆเบนออก

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ค่อยจะรู้ความรู้สึกตอนนี้ของเหลิ่งหมิงอันกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้เธอแค่รับรู้ได้ถึงความอึดอัด พอเดินไปสองรอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิง:“ฉันเริ่มเหนื่อยแล้ว ฉันกลับแล้วนะ”

“ผมกลับพร้อมคุณ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเบา

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เดินออกจากสนามกีฬาพร้อมกับเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งหมิงอันมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงจากด้านหลัง ไม่ได้ตามออกมา เจี่ยนอี๋นั่วที่เดินใกล้ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง พึ่งจะพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงจับมือเธออยู่ มือของเขาไม่ได้หยาบเหมือนผู้ชายคนอื่นๆ พอได้สัมผัสเหมือนกับหยกที่พิถีพิถันและเยือกเย็น

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคงอยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิงได้ไม่นาน เธออดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ความเห็นแก่ตัวเล็กๆน้อยๆของเธอทำงาน เพื่อให้เธอสามารถจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงได้นานขึ้น

“ผมลืมปล่อยมือคุณ ในเมื่อคุณรู้สึกตัวแล้ว ทำไมยังจับมือผมไม่ปล่อย?” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามา ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วปล่อยมือกะทันหัน

หน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแดงก่ำ เม้มริมฝีปากแน่น แล้วพูดเสียงเบา:“ฉัน ฉัน ความจริงแล้วไม่ทันได้ระวัง”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ เธอก็ใจฝ่อ กระแอมสองครั้ง แล้วเบนสายตาออกพูดอย่างร้อนรน:“ฉันเข้าไปก่อนนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว จู่ๆก็พูดออกมา:“คุณอย่าลืมคำพูดที่ผมเคยพูดกับคุณนะ อย่าคาดหวังอะไรจากผมให้มากเกินไป ไม่งั้นคนที่เสียใจคือตัวคุณเอง”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดลง แล้วค่อยๆพยักหน้า:“ฉันรู้”

เธอรู้ แต่ต่อให้รู้ เธอก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ ยังไงซะเหลือเวลาอยู่สองร้อยกว่าวัน หลังจากนั้นก็อาจจะไม่ได้เจอกับเหลิ่งเซ่าถิงอีกแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยไปตามใจของตัวเอง

แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าที่ทำให้สถานการณ์เป็นแบบนี้ไม่ใช่เป็นเพราะเธอคนเดียว ไม่ใช่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงทั้งกอดทั้งสัมผัสเธอเหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายคนนี้เรียกร้องมากเกินไปจริงๆ ทั้งๆที่รู้ว่าเธอรู้สึกดีกับเขา ยังให้นอนด้วยกันอีก แล้วยังกอดเธอ แถมยังไม่อนุญาตให้เธอชอบเขา มันจะเป็นไปได้ยังไง?

สำหรับเหลิ่งเซ่าถิง เธอเป็นหมอนข้างที่ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยจริงๆงั้นเหรอ?

ในใจเจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะแอบเปรียบเทียบระหว่างตัวเธอเองกับหลิวจื่อซิง แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็มองไม่ออกว่าหลิวจื่อซิงผู้หญิงคนนั้นดีกว่าเธอตรงไหน? ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงชอบหลิวจื่อซิง แต่กลับเย็นชากับเธอ?

ถ้าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงที่อ่อนโยนจิตใจดีจริงๆก็ว่าไปอย่าง เจี่ยนอี๋นั่วคงยอมแพ้ด้วยความเต็มใจ แต่หลิวจื่อซิงจงใจสร้างสถานการณ์นั่นด้วยซ้ำ เป็นผู้หญิงเจ้าแผนการที่ใจคิดอีกอย่างปากพูดอีกอย่างจริงๆ ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงในอนาคตจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนยันว่าเหลิ่งเซ่าถิงกับหลิวจื่อซิงคบกันจริงๆ ในใจก็ยังรู้สึกเศร้า

เธอมีสิทธิ์อะไร? ไม่ใช่คนดีอะไรขนาดนั้นซะหน่อย

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็นิ่งไปสักพัก เธอรู้สึกว่าความคิดของเธอในตอนนี้เหมือนกับนางร้ายตัวประกอบในละครจริงๆ ที่เห็นนางเอกที่อ่อนโยนกับพระเอกรักกัน แล้วอดไม่ได้ที่จะอิจฉานางเอก สุดท้ายก็ใช้วิธีสกปรกทำร้ายนางเอก

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าการอิจฉาคนอื่นความรู้สึกมันเป็นยังไง ตอนนี้เธอได้ลิ้มรสแล้วจริงๆ ถึงรู้สึกว่ารสชาติความอิจฉานี้ไม่ได้ทำให้สบายใจเลย ความอิจฉาทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเอามากๆ ถามตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อนว่าทำไม หลิวจื่อซิงนั่นมีสิทธิ์อะไรได้รับสิ่งนั้น ตัวเองกลับไม่ได้รับ หลังจากนั้นบางทีความอิจฉาก็เกิดความชั่วร้ายขึ้นมา จนทำเรื่องไม่ดีลงไป

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก ในชีวิตของเจี่ยนอี๋นั่วก็เจอผู้คนมาเยอะ เช่นฉู่หมิงเซวียนกับเฉิงซานซาน เธอเคยรังเกียจพวกเขามาก แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเบื่อตัวเองมากกว่า เธอที่ในตอนนี้กำลังหลงใหลกับการอิจฉาริษยา เห็นได้ชัดว่าทำให้ผู้คนสามารถรังเกียจเธอได้จริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ยับยั้งความรู้สึกอิจฉาไว้ในใจ แล้วเม้มริมฝีปาก

“คิดอะไร?” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ถามขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าพูดว่าเธอกำลังยับยั้งความอิจฉาของตัวเองอยู่ออกไป เธอขมวดคิ้วแล้วพูด:“ฟังบทสนทนาระหว่างคุณกับเขาแล้ว รู้สึกเหมือนว่าคุณมีของอะไรที่อยู่กับเขา อีกอย่างคบหาก็คือคบหา ไม่เคยคบหาก็คือไม่เคยคบหา ทำไมคุณถึงตอบคำถามได้แปลกขนาดนั้น? อะไรคือก็คงใช่มั้ง? สายตาที่เขามองคุณมันคือยังมีเยื่อใย เขายังสนใจในตัวคุณอยู่ชัดๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ชำเลืองมองเหลิ่งเซ่าถิง:“แล้วก็นะ ตอนที่คุณกลายเป็นคนไม่รับรู้ความรู้สึกนั้น เขาไม่กลับมา ต้องรอให้คุณหายเป็นปกติก่อน เขาถึงจะกลับ ผู้หญิงแบบนี้เชื่อถือไม่ได้หรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเบา:“คุณนี่ก็ใจร้ายอยู่นะ นินทาคนอื่นลับหลัง กับคนอื่นคุณไม่เป็นแบบนี้นี่ ผู้หญิงแบบเขาเชื่อถือไม่ได้ แล้วผู้หญิงแบบไหนเชื่อถือได้? แบบคุณเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลง กัดริมฝีปาก เธอไม่อยากซ่อนความรู้สึกอิจฉาไว้ในใจ เธอกลัวจริงๆว่าถ้าซ่อนความรู้สึกอิจฉานั้นลงไปในความมืดนานเกินไป จะกลายเป็นความชั่วร้าย เจี่ยนอี๋นั่วยอมถูกเหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะเธอเยาะเย้ยเธออีกสักครั้ง ดีกว่ากลายเป็นผู้หญิงที่ตัวเธอเองรังเกียจ

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆพยักหน้า:“ฉันคิดว่าฉันน่าเชื่อถือกว่าเขานิดหน่อย ฉัน ฉันไม่ยอมหรอกนะ คุณฉลาดขนาดนั้น ก็น่าจะมองออกว่าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงแบบไหน ทำไมคุณถึงคบกับเขาได้ ตอนที่ฉันเผยออกมาว่ารู้สึกดีกับคุณ คุณกลับเยาะเย้ยกับฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว เขาถอดเสื้อผ้า อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้มมุมปากไปด้วย ผ่านไปสักพัก เหลิ่งเซ่าถิงก็กลั้นยิ้มบนใบหน้าไว้ แล้วเอียงศีรษะเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วที่มองเขาจากด้านหลังผ่านกระจกในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ก้มหน้าลงแล้วแคะนิ้วมือของตัวเอง ท่าทางกลุ้มใจอย่างสุดขีด

“หรือว่าคุณอิจฉา?” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตา กลั้นยิ้ม แล้วกดเสียงต่ำถามออกไป

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วค่อยๆพยักหน้า:“อืม ใช่ ฉันอิจฉา แล้วก็ไม่ยอมด้วย ถ้าเขาเป็นนางฟ้าที่จิตใจอ่อนโยนจริงก็ว่าไปอย่าง แต่เขาไม่ใช่ เขาเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการ ฉันก็มีข้อเสียเยอะ แต่ต้องแพ้ให้กับผู้หญิงแบบนั้น ฉันไม่ยอมจริงๆ”

“ถ้าคนที่ผมคบหาเป็นนางฟ้าจิตใจอ่อนโยนจริง คุณจะยอมจริงเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแล้วถาม

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วก้มหน้าแคะนิ้วมือของตัวเอง คิดสักพักแล้วพูดเสียงเบา:“ที่จริงแล้ว……ก็ยังคงไม่ยอม คุณอยากจะหัวเราะเยาะก็หัวเราะเถอะ ยังไงซะฉันก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกหัวเราะเยาะสักหน่อย จริงสิ ตอนนี้ฉันยังรู้สึกดีกับคุณอยู่ พอเจอผู้หญิงที่คุณเคยคบหาก็เลยอิจฉา ก็เลยรู้สึกไม่สบายใจ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดออกมาทั้งหมด กลับกันรู้สึกว่าโล่งใจกว่าเยอะเลย เลยถือโอกาสพูดออกไปตามตรง:“ฉันไม่ได้แย่กว่าผู้หญิงคนอื่นสักหน่อย คุณมีสิทธิ์อะไรชอบคนอื่น แต่ไม่ชอบฉัน? ฉันไม่ยอม”

“งั้นผมจะบอกคุณให้ว่าเพราะอะไร?” หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนชุดนอนเสร็จ ก็เดินมาข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว ก้มหน้าลงเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว:“เพราะว่าเขาไม่พูดนินทาคนอื่นลับหลัง แต่คุณ……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดอยู่ แล้วตบเบาๆที่ศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงต่ำพูด:“ถ้าคิดให้ดี ผู้หญิงอย่างคุณมีแต่ข้อเสีย นิสัยแข็งกระด้าง เห็นแก่เงินอีก บางทีก็ใจร้อน ตอนนี้ยังเพิ่มข้อเสียอย่างขี้อิจฉาเข้าไปอีก อ้อ ยังมีอีก เวลาคุณนอนก็นอนร้าย เอาเวลาที่อิจฉาคนอื่นมาเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นไม่ดีกว่าเหรอ มีแค่คนอ่อนแอเท่านั้นล่ะที่อิจฉาคนอื่น ตอนนี้ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอน แล้วเข้านอนซะ”

“ก็ได้……” เจี่ยนอี๋นั่วตอบรับอย่างไม่สบายใจ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ตอนที่เปลี่ยนชุดนอนเสร็จแล้วเดินออกมา เจี่ยนอี๋นั่วใช้ไฟฉายที่เตรียมไว้ล่วงหน้า เธอคลำไปที่เตียงตามแสงไฟที่ส่อง หลังจากนั้นก็หดตัวไปบนเตียง

ตอนนอนบนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะบ่น:“ประธานเหลิ่ง ต่อไปคุณอย่าปิดไฟเร็วขนาดนั้นจะได้ไหม ถ้าฉันไม่ได้เตรียมไฟฉายมาล่วงหน้า ฉันคงต้องคลำหาเตียงทั้งมืดๆอีก”

“คุณนี่ยิ่งพูดมากขึ้นทุกทีนะ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชามาจากเตียงอีกฝั่ง

เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเวลาที่ตัวเองอยู่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงก็เริ่มที่จะกล้าพูดมากขึ้นแล้ว ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ท่าทางกลัวจนหัวหด อีกอย่างตอนนี้เวลาที่เธออยู่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงกับเวลาปกติทั่วไปของเธอก็ไม่ค่อยเหมือนกันสักเท่าไหร่ เวลาที่เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ที่บริษัทจะเป็นนักรบในชุดเกราะ อยู่ที่บ้านก็จะเป็นเสาหลักของครอบครัว เธอต้องรับมือกับฉู่หมิงเซวียน เธอต้องดูแลครอบครัว เธอต้องรับมือกับคุณนายเหลิ่ง แถมเธอยังต้องคุ้มครองน้องสาวตัวเองกับแม่เลี้ยงอีก

เจี่ยนอี๋นั่วเกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองคือใคร เธอคือประธานบริษัท คือลูกสาว มันนานมากแล้วที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เป็นตัวของตัวเอง

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนกัน เขาแกร่งพอ พอที่จะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าอยู่ต่อหน้าคนที่แกร่งแบบนี้ สามารถเผยความอ่อนแอออกมาได้ เขาฉลาดพอ พอที่จะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่ายังไงซะเธอก็ปิดบังเขาไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาซ่อนเรื่องราวที่อยู่ในใจ เธอคิดว่าพูดเรื่องที่ควรพูดออกมาดีกว่า เพราะงั้นตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอออกมาต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง

เธอไม่ต้องเสแสร้ง ไม่ต้องเข้มแข็ง เพราะเดิมทีเธอก็ไม่มีทางที่จะแอบซ่อน และก็ไม่ต้องไปปกป้องใคร

ความรู้สึกแบบนี้ มันผ่อนคลายอย่างน่าประหลาดใจ!

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังใจลอยนั้น เธอรับรู้ได้ถึงมือของเหลิ่งเซ่าถิงที่ค่อยๆโอบมาบนไหล่ของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็นิ่งอึ้งไป:“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงคิดไม่ถึงว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่หลับ เขาเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้พูดอะไรออกมาอยู่พักใหญ่ คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วหลับไปแล้ว เดิมทีเขาอยากจะโอบเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด

เหลิ่งเซ่าถิงรีบหดมือกลับ แล้วพูดเสียงขรึม:“ผมกำลังดูว่าคุณอิจฉาจนนอนไม่หลับหรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูด:“ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าไม่สบายใจ แต่พอหลังจากที่พูดความคิดของฉันให้คุณฟังแล้ว ก็สบายใจขึ้นมา บางทีความอิจฉายิ่งซ่อนมัน ก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นความโหดร้ายได้อย่างง่ายๆ แต่พอเผชิญกับมันตรงๆ กลับไม่มีอะไรเลย สามารถพูดออกมาได้ว่าฉันอิจฉาจริงๆนั่นแหละ คงจะดีกว่าภายนอกแสร้งว่าไม่สนใจ แต่ในใจเกลียดเข้ากระดูก เห้อ คุณไม่เคยรู้สึกอิจฉาเลยหรือไง?”

เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาหลับตาลง ไม่ได้ตอบอะไรกลับ ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าคงไม่ได้คำตอบอะไรกลับมาจากเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็เลยเตรียมที่จะนอน

จู่ๆก็ได้ยินเสียงเหลิ่งเซ่าถิงพูดออกมา:“เคยอิจฉาสิ ผมเคยอิจฉาพี่ชายของผม ทำไมคนอื่นต่างก็ชื่นชมเขา ตอนเด็กๆผมคิดว่าเครื่องบินกระดาษของตัวเองพับได้ดีมาก ดูแล้วน่าสนใจกว่าข้อสอบคณิตศาสตร์ที่น่าเบื่อพวกนั้นเป็นไหนๆ ทำไมคนอื่นถึงมองเห็นพรสวรรค์ทางคณิตศาสตร์ของพี่ชายผม แต่กลับไม่เห็นพรสวรรค์ของผมที่พับเครื่องบินกระดาษ? ทำไมเขาจำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ผมกลับมีชีวิตก็ได้ไม่มีก็ได้? ทำไมผมต้องตายแทนเขา ต้องเป็นผู้สืบทอดแทนเขา? แล้วก็อิจฉาคนอื่น อิจฉาคนอื่นที่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสบายๆ อิจฉาคนอื่นที่มีแสงสว่างในชีวิต”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเหล่านี้จากเหลิ่งเซ่าถิง เธออดไม่ได้ที่จะเข้าใกล้เหลิ่งเซ่าถิง มือค่อยๆโอบไปบนไหล่ของเขา เธออยากพูดปลอบใจเหลิ่งเซ่าถิงสักหน่อย แต่ก็พบว่าไม่ว่าคำปลอบใจแบบไหนต่างก็ดูไร้พลังเมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องราวของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่กุมมือของเหลิ่งเซ่าถิงไว้อย่างระมัดระวัง ค่อยๆให้ความอบอุ่นปลายนิ้วที่เย็นยะเยือกของเหลิ่งเซ่าถิง

การกระทำที่ใจกล้าแบบนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วนับว่าเสี่ยงอันตรายพอสมควร เธอได้เตรียมพร้อมสำหรับการถูกเหลิ่งเซ่าถิงตำหนิแล้ว เธอรีบหดมือกลับ แล้วพาตัวเองกลิ้งไปที่มุมเตียง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ไม่ได้ทำอะไรด้วย ขนาดยกมือออกเพื่อที่จะปฏิเสธก็ไม่ได้ทำ

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเบาๆ ครั้งนี้เลยวางใจจับมือของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วปิดตาลง หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วหลับไป ค่อยๆเข้าใกล้ไหล่ของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงเลยยื่นมือ ค่อยๆโอบเจี่ยนอี๋นั่ว เพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วมานอนชิดกับอกของเขา

“วันนี้ผมอิจฉาคุณอยู่ไม่น้อยนะ” เหลิ่งเซ่าถิงก้มมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“ความคิดพวกนั้นทั้งๆที่ควรจะเก็บเอาไว้ ทำไมคุณถึงพูดมันออกมาตรงๆล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วที่หลับพิงอกของเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆคลอเคลีย และได้ขับไล่ความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงออกไป

จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความคิดแปลกๆขึ้นมา ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นแมวจริงๆก็คงจะดี เขาสามารถเลี้ยงไว้ข้างกายตัวเองได้ แต่ทำไมเธอถึงต้องเป็นคนล่ะ? เป็นคนที่มีความปรารถนาแถมไม่สามารถควบคุมได้อีก จะวางใจเลี้ยงไว้ข้างกายได้ยังไง?

เจี่ยนอี๋นั่วมองหลิวจื่อซิง เธอยิ้มเบาๆ:“ไม่เป็นไร ของพวกนี้ที่คุณส่งให้ ต่อไปฉันคงได้ใช้ ฉันยังต้องมีลูกอีกอย่างแน่นอน ขอบคุณคุณมากนะ ทำให้ลำบากแล้ว”

หลิวจื่อซิงเห็นว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแต่ไม่โกรธคำพูดที่เธอพูด ในทางกลับกันยังตอบโต้เธออย่างชาญฉลาดอีก รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอแข็งอยู่สักพัก แล้วค่อยๆกลับมายิ้มใหม่อีกครั้ง ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูด:“งั้นก็ดีเลย ถึงแม้ว่าเซ่าถิงจะดูแล้วเย็นชา แต่ความจริงเขาเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมาก เขาชอบเด็กมาก แถมยังเคยพูดกับฉัน ถ้าในอนาคตได้แต่งงาน เขาจะมีลูกจนสามารถตั้งทีมฟุตบอลได้ ทำเอาฉันตกใจแทบแย่”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหลิวจื่อซิง อดไม่ได้ที่จะยิ้มเบาๆ ก่อนหน้านี้ที่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่เคยเจอกับหลิวจื่อซิงยังพอมีความอยากรู้อยู่บ้าง เพราะเธอไม่รู้ว่าหลิวจื่อซิงแท้จริงแล้วเป็นคนยังไง ทำไมถึงพัวพันกับตระกูลเหลิ่งเยอะขนาดนั้น ตอนนี้ดูแล้วก็แค่ผู้หญิงทั่วไปที่เจ้าแผนการ

อีกอย่างหลิวจื่อซิงคนนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความไม่สบายใจ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าไม่ว่าความสัมพันธ์ที่แท้จริงระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้จะเป็นยังไง ยังไงซะเธอก็นับว่าเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ท่าทางของหลิวจื่อซิงที่เธอจงใจบ่งบอกว่ารู้จักผู้ชายดีกว่าภรรยาของเขา ก็เพื่อจะสร้างความลำบากใจให้ฝ่ายตรงข้าม เจี่ยนอี๋นั่วเกลียดวิธีแบบนี้ที่สุด โดยเฉพาะผู้หญิงประเภทนี้

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากยอมแพ้ต่อหน้าหลิวจื่อซิง เธอยิ้มแล้วพูดโกหกสักหน่อย:“งั้นเหรอ? ดูแล้วคุณหลิวไม่ได้ติดต่อกับเซ่าถิงนานแล้วนะ เขามักจะพูดกับฉันว่ามีลูกสักคนสองคนก็พอแล้ว เกิดลูกเยอะขนาดนั้น คงไม่มีทางได้สั่งสอนอย่างเต็มที่ ไม่มีประโยชน์ทั้งต่อเด็กและต่อผู้ใหญ่ อีกอย่างเกิดลูกเยอะขนาดนั้น เขาคิดว่ามันไม่ดีต่อร่างกายฉันที่จะเสียหายไปมากกว่านี้……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ก้มหน้าจิบชา เจี่ยนอี๋นั่วมองรอยยิ้มของหลิวจื่อซิงที่แข็งไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ถึงความสบายใจที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เวลาต่อมา เธอก็เห็นนัยน์ตาของหลิวจื่อซิงส่องสว่างขึ้นมา มองไปยังด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเผยรอยยิ้มที่สวยหวานใหม่อีกครั้ง

จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็มีลางสังหรณ์ที่ไม่ดีเอาซะเลย เธอค่อยๆกลืนชาลงไป แล้วหันหน้าไปด้านหลัง หลังจากนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็เจอกับใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วนิ่งอึ้งไปในทันที เธอขมวดคิ้ว ใจเริ่มเต้นรัวขึ้น เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินที่เธอพูดเมื่อกี้ไปเท่าไหร่กันแน่ จะเปิดโปงคำโกหกของเธอต่อหน้าทุกคนหรือเปล่า จู่ๆเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่านิสัยของเธอมันน่ารังเกียจจริงๆ ทำไมถึงอดทนไว้ไม่ได้ เพราะมองหลิวจื่อซิงแล้วขัดตา ไม่อยากแพ้ให้กับหลิวจื่อซิง ก็เลยพูดโกหกคำพวกนั้นเนี่ยนะ? ถ้าถูกเหลิ่งเซ่าถิงเปิดโปง ไม่ใช่ว่าเธอจะยิ่งเสียหน้าเหรอ?

อีกอย่างก่อนหน้านี้เธอไม่ได้มีจิตใจที่อยากจะเอาชนะนี่? จะเผชิญหน้ากับหลิวจื่อซิงยังไง ได้ฟังคำพูดของหลิวจื่อซิงเมื่อกี้ เธอรู้สึกว่าต้องชนะหลิวจื่อซิงให้ได้ ถึงขนาดไม่สนใจว่าจะพูดโกหก หรือเธอจะจินตนาการถึงเหลิ่งเซ่าถิงไว้จริงๆ? เพราะงั้นตอนที่อยู่ต่อหน้าหลิวจื่อซิง ในใจเธอถึงมีสิ่งที่เรียกว่าส่วนได้ส่วนเสียอยู่?

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ถึงจุดนี้ เธอโกรธเคืองตัวเองนิดหน่อย เธอเป็นอะไรไป? ทำไมต้องจินตนาการถึงเรื่องที่ทั้งๆที่รู้ว่าไม่มีหวังด้วย? ทำไมรู้ว่าทั้งๆที่ไม่มีความเป็นไปได้ แต่ยังจะมีความอยากเอาชนะอะไรนั่น?

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะต้องเปิดโปงคำโกหกของเธอต่อหน้าทุกคนแน่นอน เหลิ่งเซ่าถิงจะคำนึงถึงการเสียหน้าของเธอได้ยังไง อีกอย่างยังมีผู้หญิงที่เขาลือกันว่าเป็นอดีตของเขาอย่างหลิวจื่อซิงอีก

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมตัวที่จะเสียหน้าเรียบร้อยแล้วนั้น หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองหลิวจื่อซิงอย่างผ่านๆ กลับพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงเย็นชา:“ร่างกายคุณยังไม่หายดี กลับไปพักผ่อนที่ห้องเถอะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็พยุงเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตัวเองพูดผิดไป พอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงตามน้ำคำโกหกของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบลุกขึ้นยืน ยิ้มแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง:“ได้สิ ฉันจะกลับห้องเดี๋ยวนี้แหละ”

“เซ่าถิง……” หลิวจื่อซิงมองเหลิ่งเซ่าถิง ค่อยๆลุกขึ้นยืน:“แม้แต่พูดนายยังไม่อยากจะพูดกับฉันสักคำเลยเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองหลิวจื่อซิง พยักหน้าเบาๆ:“สวัสดีครับคุณหลิว คุณมาครั้งนี้ จะมาคืนของของผมเหรอ? ผมจำได้ว่าคุณมีของที่ยังไม่ได้คืนผม”

หลิวจื่อซิงยิ้มเจื่อนๆ ทำเสียงเศร้า:“สรุปนายก็โทษฉันอยู่ดี”

เดิมทีหลิวจื่อซิงโตขึ้นมาด้วยภาพลักษณ์อ่อนโยนใสสะอาด เธอพูดจบประโยค ก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย อยากจะร้องแต่ก็ไม่ร้อง หางตาเริ่มมีน้ำตา ทำเหมือนว่ายั่วให้คนเป็นห่วง

ในใจเจี่ยนอี๋นั่วแอบนับถือ มิน่าล่ะหลิวจื่อซิงถึงได้ไปมาหาสู่ระหว่างผู้ชายทั้งสองคนในตระกูลเหลิ่ง การแสดงฉากนี้นับว่าหาได้ยาก ต่อให้หลิวจื่อซิงไม่ได้ไปมาหาสู่ในตระกูลเหลิ่ง เข้าไปในวงการบันเทิง ความสามารถในการแสดงแบบนี้ก็คงได้งานเกี่ยวกับแสดงอะไรบ้างล่ะ

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหลิวจื่อซิง อารมณ์บนใบหน้าไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แค่หันกลับมาพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“พวกเราไปกันเถอะ”

“พี่ใหญ่ทำไมถึงรีบไปนักล่ะ คุยกับหลิวจื่อซิงสักหน่อยสิ เธอกลับประเทศมาเพื่อนายเลยนะ” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้ามาพูด

สายตาของหลิวจื่อซิงมองไปที่เหลิ่งหมิงอัน กลับยิ้มเจื่อนแล้วส่ายหน้า พูดกับเหลิ่งหมิงอัน:“หมิงอัน นายไม่ต้องพูดแล้ว เซ่าถิงคงจะเหนื่อยมากแล้ว วันนี้ฉันมาไม่ได้จังหวะ คุณนายเหลิ่งบอกว่าไม่ค่อยสบาย ไม่ต้องการเจอฉัน เซ่าถิงนายก็เป็นแบบนี้อีก งั้นฉันค่อยมาใหม่วันหน้าแล้วกัน ถ้ามีเวลาฉันจะทำขนมที่นายชอบมาให้ แล้วจะมาหานายใหม่”

หลิวจื่อซิงพูดจบ ก็ก้มหน้าเล็กน้อย แล้วเหลือบขึ้นมองตาของเหลิ่งเซ่าถิง พูดกับสุยเฉิงจิ้ง:“คุณน้าคะ หนูกลับก่อนนะคะ”

หลังจากนั้นเธอก็กวาดสายตามองเหลิ่งหมิงอัน ถึงจะเดินออกมาจากประตูใหญ่ของคฤหาสน์ สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของหลิวจื่อซิง แล้วถอนหายใจออกมายาวๆ:“น่าสงสารจริงๆ มาเยี่ยมคุณนายเหลิ่งตาปริบๆ คุณนายเหลิ่งก็ป่วยไม่ยอมเจอเขา เขาก็ยังรอเซ่าถิงอยู่ตลอด แต่เซ่าถิง ไม่ใช่ว่าอาสะใภ้รองจะว่าอะไรแกหรอกนะ แกอย่าไปใส่ใจเรื่องในอดีตให้มันมากนักเลย จื่อซิงเขาก็เป็นแค่เด็กผู้หญิง ทำไมไม่เห็นแก่หน้าเขาสักหน่อยล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองสุยเฉิงจิ้งด้วยสายตาเยือกเย็น พูดอย่างเย็นชา:“ฝันดีครับอาสะใภ้รอง ผมไปพักผ่อนก่อนนะครับ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ กวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเดินมาที่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง แล้วกลับห้องด้วยกันกับเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วหายใจเข้าลึกๆ:“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆเลย ทำไมถึงยังใจเย็นได้อีก เหลิ่งเซ่าถิงเย็นชาแบบนั้นก็ว่าจะไม่อะไรแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วที่พาเข้ามาก็เย็นชาอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงกับหลิวจื่อซิงเข้ากันได้ดีจะตาย ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงแม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากจะมองหลิวจื่อซิงเลยสักนิด”

สุยเฉิงจิ้งพูดถึงตรงนี้ พูดกับเหลิ่งหมิงอัน:“เป็นเพราะแกเลยเด็กบ้าที่ตอนนั้นก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ว่าช้าหรือเร็วเหลิ่งเซ่าถิงก็ต้องแต่งงาน หลิวจื่อซิงยังพอเคารพฉันอยู่บ้าง ดีกว่าเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้เป็นไหนๆ แต่ตอนนั้นแกก็จะเข้าไปก่อกวนระหว่างพวกเขาให้ได้ เลยได้เจี่ยนอี๋นั่วเด็กบ้านั่นมาแทน”

เหลิ่งหมิงอันยังคงมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิงกับเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปนานมากถึงจะพูดออกมา:“น่าสนใจดีนี่”

“อะไรน่าสนใจ?” สุยเฉิงจิ้งไม่เข้าใจว่าเหลิ่งหมิงอันหมายถึงอะไรกันแน่ เลยรีบถาม

เหลิ่งหมิงอันเม้มมุมปากแล้วยิ้มออกมา ค่อยๆส่ายหน้า มือของเขาโอบอยู่บนไหล่ของสุยเฉิงจิ้ง ยิ้มแล้วถาม:“แม่ แม่ว่าผมกับเจี่ยนอี๋นั่วเหมาะสมกันไหม?”

“อะไรนะ? แกจะก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ?” สุยเฉิงจิ้งขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“ผู้หญิงของเหลิ่งเซ่าถิงมีอะไรดี ทำไมแกต้องจ้องจะจับผู้หญิงที่เขาเคยใช้? เจี่ยนอี๋นั่วดีไม่เท่าหลิวจื่อซิงหรอก เจี่ยนอี๋นั่วเคยมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงมาแล้วนะ!”

พอเห็นอารมณ์ของสุยเฉิงจิ้งขึ้นๆลงๆ เหลิ่งหมิงอันก็หัวเราะออกมาเบาๆ:“แม่ แม่รู้เรื่องนี้แล้วตื่นเต้นขนาดนี้เลย แค่จินตนาการเอาก็รู้แล้ว ถ้าผมแต่งงานกับเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ งั้นเหลิ่งเซ่าถิงจะคิดยังไง? ผู้หญิงที่เคยเกือบจะคลอดลูกของเขากลายเป็นน้องสะใภ้ของเขา เขาก็เป็นผู้ชายเหมือนกัน คงจะทนไม่ไหวเหมือนกันล่ะมั้ง?”

“ทนไม่ไหวก่อนเขาก็ฉันนี่แหละ!” สุยเฉิงจิ้งขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“แกอย่าก่อเรื่องอีกเลย”

“ผมไม่ก่อเรื่องแน่นอน” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด หลังจากนั้นก็หันร่างเดินออกไป

สุยเฉิงจิ้งมองแผ่นหลังของเหลิ่งหมิงอัน แล้วถอนหายใจยาวๆ:“ทำไมต้องเป็นแบบนี้ทุกทีเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินตามเหลิ่งเซ่าถิงกลับมาที่ห้อง พอปิดประตู ก็รีบพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงเสียงเบา:“ฉัน ฉันพูดโกหกไป คุณไม่เคยพูดแบบนั้นกับฉันเลยสักนิด ฉันสร้างเรื่องเอาเอง ขอบคุณคุณมากนะที่เมื่อกี้ด้านล่างไม่ได้เปิดโปงฉัน ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จริงๆว่าควรจะทำยังไง”

“อืม ต่อไปอย่าพูดอะไรออกไปมั่วซั่วอีก” เหลิ่งเซ่าถิงตอบรับเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบตามองเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่คิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปอย่างเงียบเชียบแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะสังเกตเหลิ่งเซ่าถิง มองเหลิ่งเซ่าถิงที่เย็นชา เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงจริงๆว่าเขาจะเกิดความรักขึ้นกับผู้หญิงสักคน อีกอย่างยังเกิดกับหลิวจื่อซิงผู้หญิงที่ชอบการแสดงคนนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วคิดมาตลอดว่าเหลิ่งเซ่าถิงฉลาดมาก ทำไมเธอที่มองออกว่าหลิวจื่อซิงเป็นผู้หญิงเจ้าแผนการที่ชอบแสดงเป็นคนอ่อนแอ แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับมองไม่ออกกันนะ?

หรือว่าผู้ชายเหมือนกันหมด ขอแค่ได้เห็นน้ำตาของผู้หญิงร่วงลงมา พูดอย่างอ่อนแอออกมาไม่กี่ประโยค ก็คิดว่าผู้หญิงคนนั้นอ่อนแอจิตใจดีจริงๆ?

“คุณอยากถามอะไรก็ถามมาเลย อย่าใช้สายตาที่สังเกตแบบนั้นมองผม” เหลิ่งเซ่าถิงชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา แล้วพูดเสียงเบา:“งั้นฉันจะถามแล้วนะ เมื่อก่อนคุณเคยคบกับหลิวจื่อซิง?”

“ก็คงใช่มั้ง” เหลิ่งเซ่าถิงถอดเสื้อผ้าไปด้วยตอบเสียงเย็นชาไปด้วย

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้เรื่องนี้จากเหลิ่งหมิงอันนานแล้ว แต่ตอนนี้ได้ยินการยืนยันจากเหลิ่งเซ่าถิง กลับเหมือนว่าพึ่งจะรู้เรื่องนี้ แล้วก็นิ่งอึ้งไป ความปวดค่อยๆคืบคลานไปที่ก้นบึ้งจิตใจของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเคยประสบกับการหักหลัง ตอนนั้นเธอทั้งโกรธทั้งเกลียด ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นกับเธอ

ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับเด็กน้อย ไม่ง่ายเลยกว่าจะเก็บเงินไปซื้อของเล่นที่ใจอยากได้ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าของเล่นชิ้นนั้นกลับถูกคนอื่นซื้อไปตั้งนานแล้ว เธอทำได้แค่มองคนอื่นเล่นตาปริบๆ แม้แต่สิทธิ์ที่จะแตะต้องเธอก็ไม่มี ทั้งๆที่ไม่ใช่ของๆเธอ เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะบ่นในใจ:ทำไมคนนั้นเขาได้เล่น แต่ฉันไม่ได้เล่นล่ะ?

ฉู่หมิงเซวียนหยิบจดหมายที่เจี่ยนอี๋นั่วโยนให้เขาขึ้นมา หรี่ตาแล้วหัวเราะออกมา:“ขอบคุณประธานเจี่ยนที่คิดได้รอบคอบขนาดนี้ ถึงขนาดเตรียมจดหมายลาออกให้ผมแล้วด้วย ในเมื่อประธานเจี่ยนคิดเผื่อลูกน้องขนาดนี้ ผมคงออกจากบริษัทไม่ได้แล้วจริงๆ ประธานใหญ่ที่คิดเผื่อลูกน้องอย่างประธานเจี่ยน ผมจะไปหาที่ไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด:“ขอบคุณผู้จัดการฉู่ที่ชม ในเมื่อไม่อยากลาออก ก็ทำงานให้สุดความสามารถละกัน ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอผู้จัดการฉู่สร้างผลงานที่เหนือความคาดหมายให้งานของพวกเรา”

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้วางแผนว่าจะให้ฉู่หมิงเซวียนลาออกตอนนี้ ยังไงซะฉู่หมิงเซวียนก็ทำงานให้กับบริษัทมานานมาก เข้าใจสถานการณ์ของลูกค้าในบริษัทไม่น้อย ถ้าให้ฉู่หมิงเซวียนลาออกตอนนี้ คงจะกระทบถึงภายในบริษัท แต่ถ้าให้ฉู่หมิงเซวียนอยู่ต่อไป ฉู่หมิงเซวียนก็จะรวมกลุ่มกับคนอื่นๆภายในบริษัท เพื่อมาข่มขู่เธอ

เจี่ยนอี๋นั่วต้องการเวลา เพราะงั้นเธอถึงได้เตรียมจดหมายลาออกของฉู่หมิงเซวียนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อกระตุ้นเขา จากประสบการณ์ที่ได้คบค้าสมาคมกับฉู่หมิงเซวียน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้จักนิสัยของฉู่หมิงเซวียนอยู่ไม่น้อย ฉู่หมิงเซวียนทั้งคิดว่าตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้ทั้งถือดี ไม่มีทางอนุญาตให้ตัวเองถูกบริษัทไล่ออกไปทั้งอย่างนี้แน่นอน

แต่ฉู่หมิงเซวียนยิ่งต่อสู้ในบริษัทนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งสะดวกกับเจี่ยนอี๋นั่วที่จะรับงานในมือของฉู่หมิงเซวียนตอนนี้มากเท่านั้น หลังจากนั้นตอนที่ไล่เขาออกจากบริษัทอีกครั้ง ก็จะไม่มีทางกระทบอะไรกับบริษัทแล้ว

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ผ่านไปนานพอสมควรถึงจะเผยรอยยิ้ม:“ผมก็ตั้งหน้าตั้งตารอประธานเจี่ยนนำพาพวกเราไปสู่ขั้นบันไดใหม่เหมือนกันนะ”

“ผู้จัดการฉู่วางใจเถอะ ฉันต้องทำได้อย่างแน่นอน” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ยิ้มแล้วยืนขึ้น เดินออกจากห้องประชุมไป

ฉู่หมิงเซวียนมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว มือของเขากำหมัดแน่น แล้วออกแรงทุบไปที่โต๊ะทำงานของห้องประชุม ถึงแม้ว่าเมื่อกี้เขาจะพูดด้วยความรู้สึกส่วนตัวเพราะโมโห แต่ฉู่หมิงเซวียนก็รู้ว่าอยู่ที่บริษัทอี๋เหม่ยต่อ เขามีแต่จะเสียผลประโยชน์ ตอนนี้คนที่อยู่เบื้องหลังของเจี่ยนอี๋นั่วมีแต่คนที่ร้ายกาจสนับสนุนอยู่ อีกอย่างเดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วก็เป็นประธานบริหาร เธอมีเงินทุนของตระกูลเหลิ่ง

ก่อนหน้านี้ฉู่หมิงเซวียนได้ถือโอกาสตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วตั้งท้อง แอบสมคบกับผู้ถือหุ้นบางส่วน แต่หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วกลับมา เธอก็ยึดทุกอย่างไป สิ่งที่เขาทำไปทุกอย่างไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ผู้ถือหุ้นที่เขาเคยมีสัมพันธไมตรีด้วยพวกนั้นก็รีบไปฝั่งเจี่ยนอี๋นั่วทันที แต่ฉู่หมิงเซวียนไม่มีวิธีที่จะออกไปทั้งแบบนี้ เทียบกับผลสุดท้ายว่าเป็นอย่างไร ฉู่หมิงเซวียนยิ่งไม่อยากคิดว่าต้องยอมแพ้ต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วทั้งแบบนี้!

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว หายใจเข้าลึกๆ ในใจแอบแค้นเจี่ยนอี๋นั่วอย่างมาก ทั้งๆที่เคยเป็นผู้หญิงที่น่ารักต่อหน้าเขาแท้ๆ ทำไมพอพลิกดูหน้าอีกด้านถึงเผยให้เห็นแต่กรงเล็บและฟันที่แหลมคมล่ะ? ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถเปลี่ยนไปได้เร็วขนาดนี้เชียวหรือ?

ต้องเป็นเพราะผู้ชายที่อยู่เบื้องหลังเจี่ยนอี๋นั่วยุยงเป็นแน่ ฉู่หมิงเซวียนคิดถึงตรงนี้ก็ขมวดคิ้ว ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ!ไม่งั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางลงมือกับเขาโหดเหี้ยมขนาดนี้หรอก!

เวลานี้ จู่ๆมือถือของฉู่หมิงเซวียนก็ดังขึ้น ฉู่หมิงเซวียนรีบกดรับโทรศัพท์ บนโทรศัพท์เป็นเบอร์ของคนที่ไม่รู้จัก ในช่วงที่กดรับโทรศัพท์แล้วนั้น เสียงของเฉิงซานซานก็ได้ดังออกมา เฉิงซานซานในสายร้องไห้ด้วยความน้อยใจ:“หมิงเซวียนคุณรีบมาดูฉันเร็ว ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? ท้องของฉันปวดอยู่ตลอดเลย ฉันกลัวมาก คุณมาหาฉันหน่อยนะ……”

“งั้นเหรอ? คุณปวดท้องมาก?” ฉู่หมิงเซวียนกระตุกมุมปากเบาๆ:“นั่นมันร้ายแรงมากเลยนะ อีกสักพักผมจะไปหาคุณ คุณต้องรอผมนะ……”

“หมิงเซวียนคุณรีบมานะ ตั้งแต่ที่เจี่ยนอี๋นั่วมาดูฉัน ฉันก็กลัวอยู่ตลอดเลย ฉันกลัวว่าเขาจะคิดไม่ดีกับลูกของเรา คุณไม่เคยเห็นสายตาของเขา นัยน์ตาเขาอิจฉาฉัน อย่างกับว่าจะจับฉันกิน ฉันกลัวว่าเขาจะลงมือกับลูกของฉันจริงๆนะ!” เฉิงซานซานพูดอย่างลุกลี้ลุกลน

“วางใจเถอะ ผมจะปกป้องลูกของเราเอง” ฉู่หมิงเซวียนยิ้มแล้วพูดจบ ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าทางเฉิงซานซานได้พูดจบหรือเปล่า ก็รีบวางสายทันที

ฉู่หมิงเซวียนรู้ว่าทำไมเฉิงซานซานถึงปวดท้อง เพราะว่าซุปที่เขาส่งไปให้เฉิงซานซานข้างในใส่ยาทำแท้งไว้ ฉู่หมิงเซวียนคิดว่าเฉิงซานซานตายโง่ไป ทำไมเธอถึงยังเชื่อว่าเขายังต้องการเธออยู่อีกล่ะ? ผู้หญิงคนหนึ่งที่เคยเข้าคุก เขาจะแต่งเข้าบ้านได้ยังไง? แล้วอีกอย่างเขาจะยอมให้ลูกของตัวเองเกิดในคุกได้ยังไง?

ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆกระตุกมุมปาก ยิ้มแล้วพูดเสียงเบา:“ผู้หญิงพวกนี้ โง่จนน่าขำสิ้นดี แต่พวกที่ฉลาด……ที่ฉลาด……”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ ก็นึกถึงเจี่ยนอี๋นั่วที่แค้นมาก เขาเม้มปากแน่น กดเสียงต่ำพูดออกมา:“ที่ฉลาด กลับน่าจงเกลียดจงชัง……น่า……”

ฉู่หมิงเซวียนหายใจเข้าลึกๆ กัดริมฝีปากแน่น ชื่อนั่นที่กดทับส่วนลึกในใจเขา เขาไม่มีทางยอมรับ และไม่มีทางจะพูดออกมา!

เจี่ยนอี๋นั่วจัดการเรื่องในบริษัทเสร็จก็รีบไปโรงพยาบาลทันที ในห้องพักผู้ป่วยยังคงมีแค่พยาบาลที่ดูแลเจี่ยนฉางรุ่นอยู่ เฮ่อเยี่ยนหงกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ที่ไหนตั้งนานแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเปิดดูผลการตรวจสอบของเจี่ยนฉางรุ่น คิ้วย่นเข้าหากัน สถานการณ์ของพ่อเธอแย่กว่าที่เธอคิดซะอีก ไม่เหมือนที่คาดการณ์ไว้เลย

“อี๋นั่ว……” เจี่ยนฉางรุ่นพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วมองไปยังหน้าต่างบานเล็กๆ

“พ่อ หนูอยู่นี่ค่ะ” ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่าเจี่ยนฉางรุ่นพูดออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เธอก็ยังพยายามที่จะตอบเจี่ยนฉางรุ่น เธอหวังว่าจะมีสักวันที่พ่อของตัวเองจะมีปฏิกิริยาตอบโต้กับคำตอบของเธอ อีกอย่างเธอก็ไม่อยากให้ไม่มีคนสนใจพ่อของเธอ ไม่ตอบคำถามของพ่อเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรจะดูแลคนแก่ที่บกพร่องทางสติปัญญายังไง แต่เจี่ยนอี๋นั่วความคิดที่ยึดมั่นอยู่ ขอแค่เธอตั้งใจตอบทุกประโยคของพ่อ ไม่ให้พ่อคิดว่าคำที่เขาพูดไม่มีคนตอบรับ น่าจะมีส่วนช่วยอาการของพ่อให้ดีขึ้นอยู่บ้าง

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบหวีแล้วเดินไปที่ด้านหลังของเจี่ยนฉางรุ่น ค่อยๆหวีผมให้เจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนฉางรุ่นอายุยังไม่ถึงหกสิบปี แต่ผมนั้นมีสีขาวบ้างแล้ว เทียบกับประธานคนอื่นๆที่มีข่าวซุบซิบ บางทีชีวิตของเจี่ยนฉางรุ่นดูไร้รสชาติไปเลย เขาแค่ชอบทำงาน ไม่ยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิง เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อเรื่องนี้ เพราะเธอเจอผู้หญิงที่ท่านประธานเลี้ยงไว้เยอะมาก ราวกับว่ากลายเป็นเรื่องปกติอย่างหนึ่งไปแล้ว

พอรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาที่บริษัท ถึงจะยืนยันได้ว่าพ่อของเธอทำเป็นอยู่อย่างเดียวจริงๆ ในสายตาของเขามีแค่การทำงาน เป้าหมายเดียวคือให้คนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ผู้ชายแบบนี้ในสังคมที่ความต้องการสามารถสนองได้ทุกที่ แสดงให้เห็นว่าไม่เข้าพวก ส่วนบนโต๊ะเหล้านั้น คนอย่างเขาถูกหัวเราะเยาะกลายเป็น“ตาแก่คร่ำครึ”、“ผู้ชายซื่อบื้อ” มีผู้ชายรวยที่ไหนกันที่คิดถึงแต่เรื่องงาน ไม่คิดจะยุ่งเรื่องอื่น?

พ่อของเธอยิ้มอย่างซื่อๆตรงๆ ขนาดจะโต้แย้งก็ยังไม่ทำ ทำได้แค่ยิ้มแล้วพูด:“ความฝันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบให้คนอื่นใช้ความคิดที่กำหนดมาแล้วมองเจี่ยนฉางรุ่น ไม่ชอบให้คนอื่นหัวเราะเยาะที่เขานิ่งเฉยที่เขาซื่อบื้อ แต่ทุกครั้งที่เธออยากจะระเบิด กลับถูกพ่อของเธอห้ามเอาไว้

“อย่าโกรธไปเลย พวกเขาแค่ล้อเล่น อีกอย่างนี่ก็ลูกค้าทั้งนั้น เทพแห่งทรัพย์ที่ส่งเงินมา ถูกพวกเขาหัวเราะเยาะแล้วจะทำอย่างไรได้?” เจี่ยนฉางรุ่นยิ้มไปด้วย ปลอบใจเธอไปด้วย

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วหวนกลับไปนึกถึง รู้สึกได้ว่าช่วงเวลานั้นมันมีค่ามากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วหวังจริงๆว่าในเวลานั้นพ่อเธอจะปลอบใจเธอนานกว่านี้หน่อย ให้ความทรงจำของเธอมีภาพความทรงจำให้หวนคืนเยอะขึ้นมาหน่อย

หวีผมเบาๆที่ผมขาวปนดำของเจี่ยนฉางรุ่นเสร็จ เจี่ยนอี๋นั่วก็ล้างมือล้างเท้าให้กับเจี่ยนฉางรุ่น หลังจากนั้นค่อยๆป้อนโจ๊กถ้วยเล็กทีละคำให้เจี่ยนฉางรุ่น แล้วพูดกับเจี่ยนฉางรุ่นว่า:“พ่อคะ ฝันดีค่ะ พรุ่งนี้หนูจะมาหาใหม่”

เจี่ยนฉางรุ่นไม่ได้มีปฏิกิริยาโต้ตอบเลยสักนิด แค่นั่งบนเตียง ยิ้มแล้วมองข้างหน้า ส่งเสียง“เฮ้ เฮ้” มีเสียงเรียกออกมาไม่ค่อยชัด:“ฮุ่ยฮุ่ย อี๋นั่ว กินข้าว……”

เจี่ยนอี๋นั่วกลั้นน้ำตาเอาไว้ แล้วบอกฝันดีกับเจี่ยนฉางรุ่นอีกครั้ง ถึงจะรีบออกจากห้องพักผู้ป่วยของเจี่ยนฉางรุ่นอย่างรวดเร็ว เธอเดินไปด้วยหายใจเข้าลึกๆไปด้วย พูดกับตัวเองว่า:“ไม่เป็นไร พ่อยังอยู่นี่? ทุกอย่างจะดีขึ้น ฉันจะต้องทำให้พ่อหายให้ได้ จะต้อง……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่หางตา เม้มปากแน่น เธอขึ้นรถที่จะกลับตระกูลเหลิ่ง พอเข้ามาในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่ไม่เหมือนใคร ถึงแม้ว่าคนรับใช้ในตระกูลเหลิ่งต่างก็เคารพกฎเกณฑ์กัน แต่สายตาที่พวกเขาเผลอแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัวนั้นมันไม่มีทางที่จะปกปิดได้ สายตาแบบนี้ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ถึงบรรยากาศรอบๆได้อย่างฉับไว บรรยากาศแบบว่า“ชมความสนุก”

เจี่ยนอี๋นั่วพอจะเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะงั้นตอนที่เธอเดินเข้าไปในห้องรับแขกใหญ่ ตอนที่มองเห็นผู้หญิงที่ทั้งอ่อนโยนและสวยงามนั่งอยู่บนโซฟาห้องรับแขก เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้แปลกใจแต่อย่างใด อีกอย่างเจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถเดาได้ว่าคนๆนี้คือใคร เธอคงเป็นหลิวจื่อซิงที่เหลิ่งหมิงอันพูดถึงไม่หยุด ที่ได้ชื่อว่าเป็นรักแรกของเหลิ่งเซ่าถิง และได้ชื่อว่าเป็นแฟนเก่า

หลิวจื่อซิงดูแล้วเป็นคนที่ผู้คนชื่นชอบกัน เธอมีผิวขาวเนียน มีตาที่สวยงาม จมูกสวย ปากเป็นกระจับ เวลาที่ยิ้ม ใบหน้าเธอจะมีลักยิ้มที่หวานมากอยู่ด้วย ดูแล้วเหมือนเยลลี่ที่อร่อยถูกปาก เป็นผู้หญิงที่ยากที่จะทำให้คนที่มองเห็นครั้งแรกรังเกียจจริงๆ

สุยเฉิงจิ้งที่นั่งอยู่ข้างหลิวจื่อซิง ก็รีบยืนขึ้น ยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“อ้าว อี๋นั่วกลับมาแล้ว รีบมาดูเร็ว นี่คือจื่อซิง เธอเป็นผู้หญิงที่เซ่าถิงชอบก่อนหน้านี้……”

สุยเฉิงจิ้งพูดถึงตรงนี้ แล้วต่อด้วยเผยรอยยิ้ม“ชมความสนุก”ที่ว่า แล้วรีบพูดต่อ:“ดูฉันสิ ฉันนี่แก่แล้วจริงๆ พูดผิดไปหมด พูดต่อหน้าอี๋นั่วว่าจื่อซิงเป็นผู้หญิงที่เซ่าถิงชอบได้ยังไง? อี๋นั่ว เธอไม่ถือสาใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า ยิ้มแล้วพูด:“ฉันไม่ถือสาค่ะ เรื่องของคุณหลิวกับเซ่าถิงก่อนหน้านี้ ฉันรู้หมดแล้ว ฉันรู้ว่าคุณหลิวเป็นผู้หญิงที่น่ารักมาก ไม่เพียงแต่เซ่าถิงที่ชอบเขา ขนาดเหลิ่งหมิงอันก็ยังชอบเขามาก วันนี้ตอนเช้า ฉันยังได้ยินเหลิ่งหมิงอันพูดถึงคุณหลิวอยู่เลยค่ะ คำพูดคำจาน่ารักมาก บอกว่าพวกเขาสองพี่น้องชอบคุณหลิวเหมือนกัน ทำให้คุณหลิวทำตัวไม่ถูก จนคุณหลิวต้องไปต่างประเทศ ฉันได้ยิน ก็รู้สึกว่าสถานการณ์ของคุณหลิวในตอนนั้นลำบากมากจริงๆ”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ทำให้สุยเฉิงจิ้งที่อยากเห็นเรื่องน่าขำของเจี่ยนอี๋นั่วต้องเปลี่ยนสีหน้า สุยเฉิงจิ้งเดิมทีอยากใช้หลิวจื่อซิงสร้างความลำบากให้เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะดึงเหลิ่งหมิงอันเข้ามาเกี่ยวด้วย เรื่องนี้ทำให้สุยเฉิงจิ้งคิดถึงเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แล้วปล่อยมือหลิวจื่อซิงที่จับไว้แน่นเมื่อสักครู่ ใช้หลิวจื่อซิงมารับมือกับเจี่ยนอี๋นั่วยังพอได้ แต่สุยเฉิงจิ้งไม่มีทางให้หลิวจื่อซิงไปเกี่ยวข้องอยู่กับเหลิ่งหมิงอันอีกเป็นอันขาด

สุยเฉิงจิ้งพูดเสียงเย็นชา:“ตอนนั้นหมิงอันยังเด็ก ก็แค่ก่อเรื่องเฉยๆ ใครๆก็รู้ว่าจื่อซิงกับเซ่าถิงคู่กัน”

“คุณน้าคะ เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว อย่าพูดถึงอีกเลยค่ะ” เดิมทีหลิวจื่อซิงที่เหมือนอยู่ตรงกลางพายุไม่ได้เผยหน้าที่ให้ความรู้สึกอึดอัดออกมาเลยสักนิด ในทางกลับกันยิ้มแล้วปลอบใจสุยเฉิงจิ้ง

หลิวจื่อซิงพูดจบ ก็มองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มหวานออกมา:“ครั้งนี้เจอคุณครั้งแรก ไม่รู้ว่าคุณชอบอะไร ได้ยินมาว่าคุณกับเซ่าถิงมีลูกแล้ว ฉันอยากจะส่งของที่เด็กต้องใช้ น่าจะทำให้คุณดีใจนะ ฉันซื้อของเล่นมาด้วยจากต่างประเทศ ข้างในมีรถของเล่น แล้วก็จิ๊กซอว์……เซ่าถิงตอนเด็กๆเขาชอบต่อจิ๊กซอว์มาก พ่อลูกน่าจะชอบของเหมือนๆกันเนอะ”

“ไอ้หยา เธอไม่รู้เหรอ? อี๋นั่วเขาแท้งลูกแล้ว” สุยเฉิงจิ้งเพิ่มระดับเสียงให้ดังขึ้น

หลิวจื่อซิงรีบปิดปากไว้ แล้วรีบขอโทษเจี่ยนอี๋นั่ว:“ขอโทษนะ ฉันไม่รู้ ฉันพึ่งกลับมาจากต่างประเทศ ฉันไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ฉันคงให้ของผิด……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองหลิวจื่อซิง ถึงแม้ว่าดูแล้วหลิวจื่อซิงจะอ่อนโยนใจกว้าง ไม่มีพิรุธเลยสักนิด แต่ลางสังหรณ์ของผู้หญิงบอกเจี่ยนอี๋นั่วว่า หลิวจื่อซิงคนนี้จงใจพูดเรื่องที่เธอแท้งขึ้นมาอย่างแน่นอน

 

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เอาสิ งั้นก็แล้วแต่เธอ ถ้าเธอไม่เต๊าะฉันก่อน ฉันก็จะไม่เป็นฝ่ายเต๊าะเธอ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ทำไมเธอถึงคิดว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้เป็นการเต๊าะเธออยู่นะ?

แต่เขาไม่รีรอให้เจี่ยนอี๋นั่วมีปฏิกิริยาตอบโต้ เจี่ยนซวงที่เดินอยู่ข้างหน้าเจี่ยนซวงกับเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามามา แล้วพูดเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ! หม่าม้า! รีบมาเร็วค่ะ! ถ้ายังไม่มา หนูจะไปกับพี่สองคนแล้วนะ”

“ครับ พ่อกับหม่าม้าจะไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงตอบเจี่ยนซวงเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะรีบเอาวีลแชร์จากบันไดชั้นสองลงมาชั้นล่าง แล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “มาค่ะ คุณมานั่งบนนี้เลยค่ะ เดี๋ยวออกไปด้วยกัน”

เมื่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มแลเวยื่นมือไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว พอเธอพยุงเขาให้นั่งวีลแชร์เรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข็นวีลแชร์ออกมาจากคฤหาสน์ทันที

เมื่ออกมาจากคฤหาสน์ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเจ็บขาอยู่ จึงต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นขับรถแทน เจี่ยนอี๋นั่วขับรถไปตามที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นสนามหญ้าอันกว้างขวาง ในท่ามกลางของทุ่งหญ้านี้ก็มีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ และมีเด็กสองสามคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสถานที่นี้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยแล้วก็หันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า : “เด็กๆพวกนี้มันยังไงกันคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบังเอิญขนาดที่ว่าสถานที่ที่พวกเขามานั้นจะมีเด็กมาวิ่งเล่นอยู่แบบนี้ แลเวอีกอย่างก็ไม่มีผู้ปกครองคอยดูอยู่ข้างๆด้วย จะมีเด็กมาเล่นกันแบบนี้ได้ยังไง

เหลิ่งเซ่าถิงเข้ามาใกล้ใบหูของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สามารถได้ยินเพียงเขาและเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินออกไปด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ต้องหาเพื่อนเอาไว้ให้ลูกๆเล่นด้วยก่อนแล้วสิ ตอนที่เรากำลังมา ผมให้คนคัดเอาไว้แล้วน่ะ ตอนแรกอยากให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อน ก่อนจะพาซวงซวงออกมาข้างนอก แต่ไม่คิดว่าซวงซวงจะขี้เล่นจนอยากออกมาข้างนอกไวขนาดนี้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า : “คนพวกนี้เป็นคนที่จัดเตรียมมา ถึงแม้ว่าเด็กพวกนี้จะไม่รู้จักเด็กๆของตระกูลเหลิ่งก็ตาม แต่ก็คงต้องให้เป็นไปแบบนั้น ถ้าเกิดเล่นกับเด็กที่อื่นล่ะก็กลัวว่าเด็กๆจะเล่นกันอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องบอกพวกเขานะ ปล่อยให้เจี่ยนซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กธรรมดาๆที่เหมือนกันพวกเขานั้นแหละ รอให้พวกเขาโตเด็กพวกนี้ก็เป็นผู้ช่วยของพวกเขาได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยสบายใจ และรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเป็นการตบตา แต่ถ้าจากสถานะของเด็กๆในตอนนี้แล้ว มันก็ทำได้เพียงเท่านี้

“ฉันเข้าใจค่ะ” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็บิดตัวไปเปิดประตูรถ ก่อนจะพูดกับเด็กๆทั้งสองคนว่า : “เด็กๆลงรถกันค่ะ ออกไปเล่นกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งพูดจบ เจี่ยนซวงก็รีบกระโดดลงจากรถทันที พร้อมกับตะโกนออกมา “ว้าว! ในที่สุดก็ได้ออกมาเล่นแล้ว!” พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปหาเด็กๆกลุ่มนั้น

เพียงผ่านไปได้ไม่นานเจี่ยนซวงก็สนิทสนมกับเด็กๆเหล่านั้น พวกเขาเล่นด้วยกัน ส่วนลั่วหยางนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขาเพียงยืนขมวดคิ้วอยู่ไกลๆแล้วมองเด็กๆที่กำลังเล่นด้วยกัน

เจี่ยนอี๋นั่วพาเหลิ่งเซ่าถิงออกจากรถ พร้อมกับมองลั่วหยางแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ถ้าหนูไม่อยากไปเล่น เดี๋ยวหม่าม้าเอาร่มกันแดดกับเก้าอี้มาให้นะคะ ให้หนูนั่งอ่านหนังสือ ดีมั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า : “หม่าม้าไม่อยากให้พวกผมเล่นด้วยกันหรอครับ? ไม่คิดว่าผมควรจะร่าเริง มีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆคนอื่นบ้างหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองลั่วหยางก่อนจะส่ายหน้า : “ใครบอกว่าเด็กๆทุกคนจะเป็นแบบนั้นล่ะคะ? หม่าม้าหวังว่าหนูจะทำตามที่หนูพอใจที่จะทำ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสบายๆ บางคนเขาก็ร่าเริงมากๆ อย่างเช่นเจี่ยนซวง ไม่ให้ซวงซวงไปเล่นกับเพื่อน ซวงซวงก็จะเศร้า บางคนก็ชอบที่คนอื่นไม่มารบกวนตัวเอง คิดว่าการอยู่เงียบๆคนเดียวมันผ่อนคลายที่สุดไงคะ”

ลั่วหยางพยักหน้า : “ผมชอบความเงียบครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นมันก็แค่คนเราไม่เหมือนกันค่ะ จะเงียบหรือร่าเริง ก็เลือกตามที่ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว ไม่มีใครตั้งกฎไว้นี่คะว่าเราต้องร่าเริง แล้วก็ไม่มีใครที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น เรื่องที่ทุกข์ที่สุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงียบหรือร่าเริงนะคะ แต่มันอยู่ที่หนูชอบความเงียบ แล้วหนูก็จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนร่าเริงเพื่อเข้ากันกับคนอื่น ความบ้มเหลวที่เจ็บปวดที่สุดคือการที่หนูบังคับตัวเองไม่ให้เป็นคนเงียบๆเพื่อคนอื่นนะคะ”

ลั่วหยางกระพริบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “หม่าม้ากับพวกเขาสอนผมไม่เหมือนกันเลยครับ”

“พวกเขาหรอคะ? หนูหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมหนูหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

ลั่วหยางพยักหน้า : “พวกเขาคาดหวังให้ผมเติบโตขึ้นไวๆเพื่อไปรู้จักกับคนอื่นๆมากขึ้น กลายเป็นคนที่เพอร์เฟคมากกว่าเดิม พวกเขาสอนผมผิดหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลั่วหยางคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของลั่วหยางนั้นผิด เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “พวกเขาไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเขาเพียงแค่แนะนำให้หนู พ่อยท์คือหนูจะเลือกทางไหน? ยอมรับนำแนะนำของเขามั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นว่า : “ผมไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเขาครับหม่าม้า ผมอยากอ่านหนังสือเงียบๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะพูดแล้วยิ้ม : “โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้ากางร่มกันแดดให้หนูนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบไปเอาร่มกันแดดออกมากางทันที เขามองคนเป็นแม่เอาร่มมากางพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า : “เด็กๆพวกนี้คือคนที่หม่าม้ากับคุณพ่อเลือกมาหรอครับ? ให้มาเล่นกับซวงซวง?”

เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะมองไปที่ลั่วหยางอย่างสงสัยแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า : “หนูรู้ได้ยังไงคะ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ในย่านนี้ปกติจะมีเด็กทุกช่วงอายุไงครับ แต่ว่าเด็กๆที่มาเล่นตรงนี้รุ่นราวคราวเดียวกันเลย อีกอย่างสำเนียงก็แปลกมาก ต้องเป็นเด็กที่มาจากที่อื่นแน่ๆ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็จำนวนเท่ากัน ไม่มีผู้ปกครองมาคอยเฝ้า ดังนั้นต้องเป็นคนที่ถูกเลือกมาเล่นกับพวกเราแน่ๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังที่ลั่วหยางพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็อึ้งไปชั่วขณะ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าลั่วหยางที่อายุแค่นี้แต่ฉลาดหลักแหลมมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวลั่วหยาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เก่งมากค่ะที่เดาออก งั้นหนูจะบอกหรือไม่บอกซวงซวงมั้ยก็แล้วแต่หนูจะคิดเลยนะคะ เดี๋ยวหม่าม้าเข็นคุณพ่อไปทางนู้นก่อน…..”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้ม : “ไปค่ะ คุณผู้ชายเหลิ่ง นานๆคุณจะได้ออกมาทีนึง เดี๋ยวฉันพาไปทางโน้นนะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เอาสิ”

ลั่วหยางเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินห่างออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองเบาๆ อุณหภูมิอุ่นๆที่เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเขายังคงอยู่ ผมของเขาก็โดนเจี่ยนอี๋นั่วยีจนยุ่งเล็กน้อย จนปรอยผมของเขานั้นบังการมองเห็นของเขา แต่ลั่วหยางก็ไม่ได้จัดทรงผมของเขาใหม่ เพียงแค่นั่งแล้วเอนตัวไปกับเก้าอี้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเดินห่างไปไกลแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออก เหลิ่งเซ่าถิงเห็นการกระทำระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและลั่วหยาง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วเขาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้ม : “เป็นอะไรไป? รู้สึกไม่ดีหรอ? เพราะว่าฉันเป็นพ่อเด็กหรอ ลูกเลยต้องมาเล่นกับเพื่อนปลอมๆแบบนี้ เธอรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนะคะ ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขานี่คะ? นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งจะต้องพบเจออยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ? คุณเองก็เคยผ่านแบบนี้มาไม่ใช่หรอ? แล้วก็……”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเขาก็ขมวดคิ้วแล้วก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เป็นอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “เมื่อกี้ฉันนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของคุณน่ะค่ะ คุณน่าจะจำได้ว่าพี่ขายของคุณเป็นคนฆ่าพ่อของฉัน ฉันไม่เคยมีโอกาสถามคุณเลย ตอนนี้ฉันอยากรู้คุณหาเขาเจอมั้ยคะว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

ถึงแม้ว่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะตายไปนานมากแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเสียใจที่ฆาตรกรยังไม่ได้รับโทษ เหลิ่งอวิ๋นเซียวกับเหลิ่งหมิงอัน พวกเขาทั้งสองคนคงคิดว่าเรื่องที่เขาทำไปแล้วนั้นสามารถเข้าใจได้

เหลิ่งเซ่าถิงพมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยความสงบ : “เธอไม่ต้องตามหาให้เขามารับโทษแล้วล่ะ พวกเขาตายไปแล้ว แม้แต่ศพฉันยังไม่เจอเลย”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพยักหน้าของเขาขึ้นลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของฉัน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของเขา เธอน่าจะรู้นะ ความสัมพันธ์ของเขากับฉันถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตายแบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้เขาตายไปแล้ว สำหรับฉันมันก็วางใจได้แล้วล่ะ เธอเชื่อฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้นเป็นคู่ต่อสู้แบบถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตาย ถ้าหากไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เหลิ่งอวิ๋นเซียวฆ่าพ่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอจะยังกลับมาคบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ?

เจี่ยนอี๋นั่ส่ายหน้า : “ฉันก็ไม่ได้ไม่เขื่อคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณโกหกฉันเยอะมากไป มันทำให้ฉันคิดสงสัยคุณอยู่น่ะค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วทำยังไงเธอถึงจะเชื่อฉันล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า : “อืม……เว้นแต่คุณจะไม่โกหกฉันอีก ถ้าคุณมีอะไรปิดบังกันอีก ฉันจะโกรธคุณจริงๆนะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองขาข้างขวาของเขา ก่อนจะขมวดคิ้ว ไม่กล้าตอบเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเบิกตามองเหลิ่งเซ่าถิง : “นี่คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่หรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ฉันแค่กำลังคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออีกมั้ย แต่คิดไม่ออก”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วยักคิ้วขึ้น ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือของตัวเองวางลงบนขาเขาของ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แน่นอนสิว่าจริง”

 

เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเย็นเฉียบ ไฟผ่าตัดแสบตาทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาไม่ขึ้น เธอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ถึงได้เห็นเงาสีขาวพร่ามัวของบุคลากรทางการแพทย์รอบๆ ได้อย่างชัดเจน

“คุณเจี่ยน ฉันคือหมอที่รับผิดชอบคุณ รู้ไหมว่าคุณกำลังผ่าตัดอะไร? ” เสียงคุณหมอเย็นชาไม่มีความอบอุ่นสักนิด

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นอย่างทื่อๆ และมึนชา “รู้ค่ะ ฉันกำลังทำการย้ายตัวอ่อน ย้ายทารกที่โตเต็มที่ในหลอดแก้วเข้าไปในมดลูกของฉัน หลังจากการผ่าตัดนี้สำเร็จ กระบวนการบ่มเพาะเด็กหลอดแก้วทั้งหมดจะจบลงอย่างเป็นทางการ จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา ในมดลูกของฉันก็จะให้กำเนิดลูกของเหลิ่งเซ่าถิง”

คุณหมอพูดด้วยเสียงเย็นชา “เด็กคนนี้มีความสำคัญต่อตระกูลเหลิ่งมาก ดังนั้นในกระบวนการถัดไปคุณห้ามขยับตามอำเภอใจ ถ้าล้มเหลวเพราะการดิ้นของคุณ คุณจะไม่สามารถรับผิดชอบภาระนี้ได้ เนื่องจากห้ามใช้ยาชา มันจะเจ็บบ้าง คุณต้องอดทนนะ”

“ฉันรู้ ฉันทนได้ค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วตอบเสียงเบา

เมื่ออุปกรณ์เย็นสัมผัสเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงคุณหมอก็กระเพื่อมขึ้นลงนิดหน่อย เขาพูดเสียงทุ้ม “คุณ……คุณ คุณยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนเหรอ? ไม่คิดว่าคุณจะยัง……”

“ฉันรู้……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขัดจังหวะคุณหมอเสียงทุ้ม “ฉันรู้สภาพร่างกายตัวเองดี ได้โปรดดำเนินต่อเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ขมวดคิ้วหลับตา กระบวนการทั้งหมดไม่ใช่แค่เจ็บปวด แต่ยังมีความอัปยศที่ไม่สามารถพรรณนาได้ของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำสิ่งที่เหลวไหลและน่าขำ เธอกำลังให้กำเนิดลูกของชายคนที่เคยเจอแค่ครั้งเดียว และชายคนนี้ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอเลย แค่อาศัยเครื่องมือเย็นเฉียบเหล่านี้และคุณหมอในชุดกาวน์กลุ่มหนึ่ง เธอก็กลายเป็นแม่ของลูกเขาแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่เธอเจอกับเหลิ่งเซ่าถิงครั้งเดียว เป็นการรวมตัวทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก รูปลักษณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงโดดเด่นอย่างมากในหมู่ผู้ชาย และเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่งด้วย เขายืนท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นจุดสนใจหนึ่งเดียว แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะมองซ้ำ และเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความสามารถมาก แค่เป็นคนหยิ่งเย็นชา มีนิสัยหยิ่งเย็นชา และไม่สามารถหยุดเหล่าผู้หญิงที่จะเข้าหาเขาได้ เขาเป็นผู้ชายที่โสดและรวยระดับและมีผู้หญิงมากมายอยากแต่งงานกับเขา

แต่นั่นก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์ และกลายเป็นผัก

เหลิ่งเซ่าถิงที่มีหน้ามีตาในวันเก่ากลายเป็นผัก จะมีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากแต่งงานกับเขา? แต่มีผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับคนตายที่มีชีวิตเพื่อรักษาทรัพย์สินของพ่อตัวเองไว้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้แค่ ตราบใดที่เธอมีลูกชายให้เหลิ่งเซ่าถิง ตระกูลเหลิ่งจะช่วยฟื้นคืนตระกูลเจี่ยนอีกครั้ง รักษาทรัพย์สินที่พ่อเธอทำงานหนักมาทั้งชีวิต

ผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเจ็บปวดไปทั้งร่างจนไม่มีแรง คุณหมอกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “การผ่าตัดของคุณเจี่ยนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่คุณต้องระวังอย่างออกกำลังหนักๆ ห้ามนอนกับผู้ชาย ห้ามทานของเย็น”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า กัดปากแน่น หันหน้าไปถาม “ฉันจะเจอคุณนายเหลิ่งได้เมื่อไรคะ? ”

คุณหมอตอบด้วยเสียงเย็นชา “คุณนายเหลิ่งสั่งไว้ว่า พรุ่งนี้ให้คุณเจี่ยนไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ก็สามารถเจอเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เดินลงจากเตียงผ่าตัดไป ในตอนนี้มีพยาบาลเข้ามาช่วยเธอ เธอส่ายหน้า “ฉันเดินเองได้ค่ะ”

พูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ผลักพยาบาลออก ขบฟันเดินทีละก้าวออกไปจากประตูใหญ่ห้องผ่าตัด ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปจากห้องผ่าตัด เธอก็ได้ยินพยาบาลและหมอกระซิบด้านหลังเธอ

“เธอดูเป็นคนมีภูมิฐานมาก น่าจะเป็นลูกคุณหนูที่ยังโสดจากตระกูลผู้ดีได้รับการศึกษาสูง ผู้หญิงแบบนี้ จะเป็นภรรยาคลอดลูกให้กับคนที่เป็นผักเพื่อเงินเหรอ? ” พยาบาลพูดเสียงเบา

คุณหมอทำเสียงฮึดฮัด แล้วกดเสียงทุ้มต่ำ “เพื่อเงิน บางคนสามารถทำสิ่งที่คุณนึกไม่ถึงได้ เธอยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ก็มาเป็นเครื่องสืบพันธุ์ให้กับตระกูลเหลิ่งแล้ว รู้ไหม? ถึงแม้ตอนนี้เธอจะบอกว่าแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง นั่นก็แค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็เซ็นสัญญากองโต เธอก็เป็นแค่มดลูกเทียมตามกฎหมาย ใครจะรู้ว่าเธอเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง? จนถึงตอนนี้การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว ถึงได้มีโอกาสไปเจอคุณนายเหลิ่งเป็นครั้งแรก แต่ยังไงเข้าตระกูลเหลิ่งไปก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเป็นตระกูลรวยอันดับต้นๆ ”

“จึ๊ๆ ……เป็นผู้หญิงแบบนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคนคิดว่าผู้หญิงเป็นวัตถุนิยม ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเสียหน้าจริงๆ ” พยาบาลพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

เจี่ยนอี๋นั่วชะงักฝีเท้า ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เธอหยิ่งผยองขนาดนั้น ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ในระดับตกต่ำจนเป็นขี้ปากคนอื่นแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เธอเลือกเอง?

ตั้งแต่วันนั้นที่เธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง สมัครใจแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มทำทายาทให้เหลิ่งเซ่าถิง ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่คนอีกต่อไป

ต่ำช้า?

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ หัวเราะทั้งน้ำตา เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับคำนี้ เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คำนี้จะกลายเป็นคำที่ติดตัวเธอไปตลอดชีวิต

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องผ่าตัดอย่างมึนงง จนถึงนั่งบนรถ เธอพิงเบาะรถ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง กลั้นน้ำตาที่จะไหลลงมา เจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนหยิ่งผยองและดื้อรั้น ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ตกต่ำถึงขั้นขายมดลูกและเป็นเครื่องมือสืบพันธุ์ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่นานเธอต้องกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่น

แต่มันสำคัญอะไร? ตราบใดที่คุณพ่อฟื้นขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วทำให้เขาเห็นว่าตระกูลเจี่ยนยังอยู่ ทุกอย่างที่ตัวเองทำก็คุ้มแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เสียพลังงานไปกับความเศร้ามากนัก เธอหายใจเข้าลึกๆ รีบหันหัวรถกลับและขับไปที่โรงพยาบาลอีกแห่งทันที เข้าไปที่ห้องคนไข้ของคุณพ่อเธอเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแม่เลี้ยงของตัวเองเฮ่อเยี่ยนหงกำลังโทรศัพท์อยู่ หางตาเฮ่อเยี่ยนหงเต็มไปด้วยความยั่วยวน

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วห้าขวบ คุณแม่แท้ๆ ก็เสียชีวิต เพื่อเลี้ยงดูเธอ คุณพ่อเธอจึงแต่งงานกับเฮ่อเยี่ยนหงและเป็นแม่เลี้ยงของเธอ

เฮ่อเยี่ยนหงยังโอเคในช่วงแรกสุด แต่เมื่อเธอคลอดลูกสาวของตัวเองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เฮ่อเยี่ยนหงก็เมินเฉยต่อเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงใจร้ายประเภทที่ทำร้ายลูกติดเหมือนในนิทาน อย่างไรแล้วเจี่ยนฉางรุ่นที่รักเจี่ยนอี๋นั่วมาตลอด และเจี่ยนอี๋นั่วที่มีนิสัยดื้อรั้น ก็ไม่ยอมให้เฮ่อเยี่ยนหงกำเริบเสิบสานอยู่แล้ว

เฮ่อเยี่ยนหงไม่กล้าทำอะไรแปลกๆ กับเจี่ยนอี๋นั่ว เธอถึงขนาดกลัวเจี่ยนอี๋นั่วด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้ามาในห้องคนไข้ เฮ่อเยี่ยนหงก็รีบยืนขึ้นอย่างประหม่า วางโทรศัพท์ไป แล้วพูดเสียงเบา “อี๋นั่ว วันนี้สภาพคุณพ่อเธอโอเคมาก แต่ยังไม่ฟื้น”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองพ่อที่นอนบนเตียงคนไข้ แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “คุณคุยโทรศัพท์กับใครคะ? ”

เฮ่อเยี่ยนหงพูดตะกุกตะกัก “ม-ไม่ได้คุยกับใครนะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาไปมองเฮ่อเยี่ยนหง “ถ้าอยากหาครอบครัว ก็ไม่ต้องรีบขนาดนี้ พ่อฉันยังมีชีวิตอยู่นะคะ ตระกูลเจี่ยนยังไม่ล่มสลาย คุณไม่จำเป็นต้องรีบหาผู้ชายคนอื่นขนาดนี้”

“ฉ-ฉันเปล่า……นั่นประธานหลิวน่ะ ช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันก็เลยเป็นห่วงเขา” เฮ่อเยี่ยนหงพูดจบ ก็รู้ว่าตัวเองพูดผิด รีบปิดปากทันที

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยเสียงเย็นชา “พ่อฉันหมดสติมาหนึ่งเดือนแล้ว คุณไม่มาห่วงสามีตัวเอง ยังไปห่วงประธานหลิวอะไรนั่น คุณยังมีความเป็นภรรยาอยู่ไหม? ”

เฮ่อเยี่ยนหงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง พูดเสียงเบา “อี๋นั่วอ่า จริงๆ แล้วสภาพตระกูลเจี่ยนในตอนนี้ ก็โทษฉันไม่ได้นะ ถ้าฉันหาคนรวยๆ มาช่วยเราได้มันก็ดีมากไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างเธอมีสิทธิอะไรมาตำหนิฉันน่ะ คนที่ทำร้ายตระกูลเจี่ยนของเราจนกำลังจะล้มละลายอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่คู่หมั้นของเธอฉู่หมิงเซวียนเหรอ? จริงๆ เลย ควบคุมผู้ชายตัวเองไม่ได้ จะมีสิทธิมาควบคุมฉันเหรอ? ”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เฮ่อเยี่ยนหงก็มีความมั่นใจทันที ถึงขนาดพูดเสียงสูงและเสียงดัง “ตอนนี้เราเป็นทุกข์เพราะเธอ ฉันได้ยินมาแล้วว่าตระกูลเจี่ยนแล้วจบแล้ว ล้มละลายจนไม่เหลืออะไรเลย หรือชะตากรรมของเรา ถ้าไม่มีเงินอัดฉีดเข้ามา เป็นไปได้อย่างมากว่าเราจะไม่ใช่แค่ล้มละลาย แต่ยังเป็นหนี้เกือบร้อยล้าน ทางที่ดีที่สุดเราหาทางของเราเองเถอะ เรามาคุยเรื่องนี้กันก่อน ในแง่ของหนี้สิน ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยจะไม่รับผิดชอบ คฤหาสน์ก็ยังเป็นของพวกเรา คงไม่ให้ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยไม่มีที่อยู่หรอกใช่ไหม? เธอกับพ่อเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมากไม่ใช่เหรอ? งั้นพ่อเธอก็เป็นของเธอ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเฮ่อเยี่ยนหง แล้วพูดเสียงเย็นชา “พวกคุณมีความสุขกับความมั่งคั่งตระกูลเจี่ยนมาหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้อยากจะหนีออกไปจากตระกูลเจี่ยนอย่างสบายใจแบบนี้ เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันรู้เรื่องธุรกิจมากกว่าคุณกับฮุ่ยฮุ่ย ฉันมีปัญญาแบกหนี้สินทั้งหมด ความผิดฉัน ฉันรับผิดชอบเอง แต่ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้พ่อฉันฟัง คุณไม่ควรปรากฏตัวต่อหน้าฉันเหมือนเหยื่อ ถ้าคุณอยากทิ้งพ่อฉันก็ทำได้ แต่ต้องรอให้ตระกูลเจี่ยนของเราฟื้นคืนมาอีกครั้ง รอให้พ่อฉันฟื้นขึ้นมาก่อน ถึงตอนนั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่คุณ แต่ตอนนี้คุณทิ้งพ่อฉันไปไม่ได้! อีกอย่างฉันกับฉู่หมิงเซวียนเราเลิกกันแล้ว อย่าพูดว่าเขาเป็นคู่หมั้นฉันอีก!”

เฮ่อเยี่ยนหงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วโกรธมาก ก็รีบก้มหน้าอย่างขี้ขลาด พึมพำเสียงเบา “ถ้าตระกูลเจี่ยนกลับมารวยอีกครั้ง ใครจะไปกันล่ะ? ”

“ตระกูลเจี่ยนต้องฟื้นคืนมาอีกครั้งแน่” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็เดินไปข้างๆ เจี่ยนฉางรุ่น หยิบสำลีขึ้นมาซับน้ำเล็กน้อย แล้วเช็ดปากเจี่ยนฉางรุ่นเบาๆ

ตอนนี้สุขภาพของเจี่ยนฉางรุ่นไม่ดี ไม่สามารถดื่มน้ำได้ตรงๆ ทำได้แค่ใช้สำลีซับน้ำ แล้วเช็ดริมฝีปากทีละนิด เพื่อคลายความกระหายน้ำชั่วคราว แต่เฮ่อเยี่ยนหงไม่ใส่ใจเจี่ยนฉางรุ่นเลย ให้เจี่ยนฉางรุ่นกระหายน้ำจนริมฝีปากแห้ง และไม่ทำให้ริมฝีปากเขาชุ่มชื้น

จริงๆ แล้วเจี่ยนฉางรุ่นก็ไม่ใช่คุณพ่อที่เก่งกาจ ถึงเขาจะรักเจี่ยนอี๋นั่วมาก พยายามทำทุกอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการ แต่เพราะเจี่ยนฉางรุ่นยุ่งกับงานตลอด ไม่มีเวลาอยู่กับเจี่ยนอี๋นั่ว และเจี่ยนฉางรุ่นมองผู้หญิงไม่ออกเท่าไร เฮ่อเยี่ยนหงที่หามาก็เป็นผู้หญิงที่ภายนอกนุ่มนวลแต่มีความเจ้าเล่ห์ภายใน ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย ก็อาจจะเหมือนครอบครัวจริยธรรมพวกนั้นในละคร ถูกแม่เลี้ยงเฮ่อเยี่ยนหงคนนี้ทำร้ายจนตายไปแล้ว

แต่พ่อแบบนี้ก็เป็นญาติคนสุดท้ายของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าเจี่ยนฉางรุ่นตายไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จะกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยกลัวอะไรมาก่อนจริงๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆ คือเธอกลัวเจี่ยนฉางรุ่นจากไป เอกลัวว่าตัวเองจะไม่มีความกังวลใดๆ อีกแล้ว

เธอมีทางเลือกอื่นอะไรอีก? ตระกูลเจี่ยน เธอต้องการรักษาไว้ คุณพ่อ เธอต้องการเลี้ยงดู

ถ้าตอนนี้ตระกูลเจี่ยนล้มละลาย จากนั้นทุกคนในตระกูลเจี่ยนต้องแบกรับหนี้หลายร้อยล้าน ถึงพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมา เห็นว่าตระกูลเจี่ยนล้มละลาย เป็นไปได้อย่างมากว่าจะล้มป่วยอีกครั้งเพราะการโจมตีนี้

ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนจะล้มละลายหรือไม่ มันเชื่อมโยงกับชีวิตของพ่อเธอ ตราบใดที่เธอช่วยครอบครัวกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ให้จ่ายเท่าไรเธอก็ยอม

ถึงจะกลายเป็นผู้หญิงต่ำช้าในขี้ปากคนอื่น เธอก็ไม่สนใจ!

เฮ่อเยี่ยนหงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “เธอมีทางช่วยตระกูลเจี่ยนเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วจดทะเบียนสมรสกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว และกำลังทำเด็กหลอดแก้ว ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้เรื่อง เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่รู้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากบอกเธอ เกียรติของตัวเองที่น่าสมเพชที่เหลือน้อยนิดเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะเก็บมันไว้สักพัก

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่พูดเสียงเย็นชา “ฉันเคยบอกว่าฉันสามารถรักษาตระกูลเจี่ยนไว้ได้ ก็ต้องทำได้ ดังนั้นคุณช่วยเป็นภรรยาของพ่อฉันให้ดี อย่าสองจิตสองใจ”

ในตอนนี้ จู่ๆ พยาบาลก็ตะโกนขึ้นมาที่ประตู “ครอบครัวของคนไข้เตียง 712 ถึงเวลาที่คุณต้องจ่ายค่ารักษาแล้ว พวกคุณยืดเยื้อมานานมากแล้ว ดูเหมือนเป็นคนดีมาก ทำไมถึงค้างค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล? ”

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินเสียงพยาบาล ก็รีบหดตัว พูดเสียงเบา “ฉัน……ฉันไม่มีเงิน และนี่มันก็น่าอายเกินไป ฉันเลยไม่กล้าไปขอใคร อี๋นั่ว เธอมีเงินไหม? ”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีเงินสด เธอขมวดคิ้ว ยืนขึ้นหันหน้าไปพูดเสียงทุ้มกับเฮ่อเยี่ยนหง “คุณดูแลพ่อให้ดี ฉันจะไปคุยกับพวกเขาสักหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินไปที่ชำระเงินของโรงพยาบาล หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมา “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นครอบครัวของคนไข้เตียง 712 คืองี้นะคะ ค่ารักษาพ่อของฉันรออีกสองสามวันได้ไหม ตอนนี้ฉันยังจ่ายค่ารักษาให้ไม่ได้ แต่อีกไม่กี่วันฉันจะจ่ายเงินทั้งหมดอย่างแน่นอน”

เจ้าหน้าที่กลอกตาใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ทำเสียงฮึดฮัด “พวกคุณไม่จ่ายค่ารักษา แล้วมาอยู่โรงพยาบาลทำไม? ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเถอะ มีเงินพอเมื่อไรแล้วค่อยมาอยู่”

“เดี๋ยวก่อน……” เจี่ยนอี๋นั่วถอดนาฬิกาข้อมือออก แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ รีบพูดขึ้น “นาฬิกาเรือนนี้คุณเอาไปจำนองได้ นี่เป็นของขวัญวันเกิดฉันที่พ่อให้มา ฉันจะไม่เบี้ยวเด็ดขาด”

เจ้าหน้าที่หันหน้าไปมองนาฬิกา ยิ้มขึ้นมา “อุ๊ยตาย นี่แบรนด์เนมนี่หน่า? คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาอย่างคุณ ไม่คิดว่าจะใส่นาฬิกาแบรนด์เนมนะ? ของปลอมหรือเปล่า? สินค้าของปลอมแบบนี้ ฉันใช้เงินร้อยหยวนซื้อมันได้ยี่สิบเรือน”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า พูดอธิบาย “ไม่ มันคือของแท้ คุณเอาไปตรวจดูก็ได้ ด้านหลังเรือนนี้มันมีรหัสอยู่ คุณค้นหาข้อมูลทั้งหมดของนาฬิกาเรือนนี้ได้ คนที่ซื้อนาฬิกาคือพ่อของฉันเจี่ยนฉางรุ่น”

“ฉันยืนยันได้ว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นของแท้……” ทันใดนั้นเสียงอันบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงนั้นอันคุ้นเคย ก็อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วทันที เอานาฬิกานั้นคืนมา แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำกับเจ้าหน้าที่ “ฉันจะไปคิดหาวิธีอีกที ขอโทษนะ เมื่อกี้รบกวนคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันตัวไป เตรียมจะเดินจากไป แต่เธอยังไม่ทันได้ออกไป ก็ถูกผู้หญิงคนนั้นจับแขนเอาไว้ ผู้หญิงคนนั้นเอียงศีรษะแล้วยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดขึ้น “อี๋นั่ว เธอจะไปไหน? ทำไมเหรอ? ขาดเงินหรือไง? น่าสมเพชจริงๆ ไม่มีแม้แต่ปัญญาจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาล นี่คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนผู้มีชื่อเสียงของเราเหรอ? แย่กว่าขอทานข้างถนนอีกนะ ฉันเห็นแล้วเสียใจจริงๆ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไป มองตามเสียงผู้หญิงคนนั้นพูด เธอเห็นสองคนกำลังคลอเคลียกัน คนหนึ่งคืออดีตคู่หมั้นที่ทำให้ตระกูลเจี่ยนล้มละลายฉู่หมิงเซวียน อีกคนหนึ่งคือเฉิงซานซานคนที่เธอเคยเรียกว่าเพื่อนสนิท เฉิงซานซานมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ และฉู่หมิงเซวียนมีใบหน้าเย็นชา มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วมองเฉิงซานซานอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าตอนนี้เธอจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าฉัน เพราะฉันจับได้ว่าพวกเธอนอนบนเตียงด้วยกันไม่ใช่เหรอ? แค่เห็นพวกเธอ ฉันก็นึกถึงสภาพพวกเธอไม่ใส่เสื้อผ้า ฉันรู้สึกขยะแขยง”

“เธอ! เจี่ยนอี๋นั่วเธอตกต่ำมาถึงจุดนี้ ยังกล้ากำเริบเสิบสานอีกเหรอ? ” เฉิงซานซานดวงตาแอปริคอทคว่ำลง ตะโกนเสียงดังใส่เจี่ยนอี๋นั่ว

ต่อมา เฉิงซานซานก็ไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉู่หมิงเซวียนทันที พูดกับฉู่หมิงเซวียนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หมิงเซวียนคุณดูสิคะ อี๋นั่วยังเกลียดฉันอยู่ ถ้าให้เธอรู้ว่าฉันมีลูกของคุณ แถมมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์ ไม่รู้เธอจะเกลียดฉันยังไง”

เฉิงซานซานพูดจบก็หันหน้าไปทำเสียงร้องไห้เบาๆ ใส่เจี่ยนอี๋นั่ว “อี๋นั่ว เธออย่าโทษพวกเราเลยนะ เรารักกันจริงๆ ต้องโทษที่เธอไม่อ่อนโยนและใส่ใจมากพอ เลยทำให้หมิงเซวียนตกหลุมรักฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเฉิงซานซานอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงเย็นชาใส่ฉู่หมิงเซวียน “ฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกเธอจะรักกันจริงไหม ฉันแค่สนใจว่าพวกเธอทำอะไรกับตระกูลเจี่ยนพวกเราไว้บ้าง ฉันไปต่างประเทศแค่สองเดือน พ่อฉันล้มป่วยเพราะโกรธพวกเธอ และบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยของเรา ทำไมมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน? มันเป็นการชักใยมาจากใคร ฉันจำมันได้อย่างชัดเจน”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเยาะขึ้นมา “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะตกต่ำถึงจุดนี้ แล้วยังหยิ่งผยองได้ขนาดนี้ ทำไมไม่ถามหน่อยล่ะว่าฉันกับซานซานคบกันตั้งแต่เมื่อไร? หืม? คู่หมั้นของฉัน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยเสียงเย็นชา “อย่ามาใช้คำว่า ‘คู่หมั้น’ ให้ฉันขยะแขยงหน่อยเลย ระหว่างเรามันจบไปตั้งนานแล้ว แค่ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าพวกเธออยากคบกัน ทำไมต้องทำลายบริษัทอี๋เหม่ยด้วย? พ่อฉันดีไม่พอสำหรับพวกเธอเหรอ? เลื่อนขั้นนายจากพนักงานธรรมดาให้เป็นผู้จัดการแผนก ทำไมนายทำกับเขาแบบนี้? ”

“เราจบแล้วเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา จู่ๆ ก็เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงทุ้มพูดขึ้น “คุณเจี่ยนไร้ความรู้สึกอย่างที่คิดไว้ เหมือนกับพ่อเธอเลย! เธอถามฉันเหรอว่าทำไมต้องทำลายบริษัทอี๋เหม่ย? งั้นคุณเจี่ยนจำคนที่ชื่อฉู่หลีเหอได้ไหม? ฉู่หลีเหอคนที่เป็นเพื่อนสนิทพ่อเธอในตอนแรก ตอนที่เขาจะล้มละลาย คุกเข่าที่หน้าประตูใหญ่ตระกูลเจี่ยน ขอร้องให้พ่อเธอช่วยเขา ไม่คิดว่าพ่อเธอจะไล่เขาออกไป คนเลือดเย็นอย่างพ่อของเธอ? หรือว่าไม่ควรโดนแก้แค้นแบบนี้เหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองฉู่หมิงเซวียน “เขาเป็นพ่อนายเหรอ? ”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้า ยิ้มขึ้นมา “คุณเจี่ยนฉลาดจริง พอเดาก็เดาถูกเลย ฉู่หลีเหอเป็นพ่อฉัน เพราะตระกูลเจี่ยนพวกเธอไม่ช่วยเขา บังคับให้เขากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ตายต่อหน้าฉัน! เธอคิดว่าฉันจะปล่อยพวกเธอตระกูลเจี่ยนไปได้ยังไง? ฉันเข้าหาพวกเธอ ก็เพื่อแก้แค้นพวกเธอ ฉันอยากให้พวกเธอสัมผัสรสชาติบ้านแตกสาแหรกขาด! ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยเกิดปัญหา ฉันเป็นคนทำเอง และเป็นฉันเองที่ติดต่อผู้ถือหุ้นบังคับให้พ่อเธอออกจากคณะกรรมการ แต่แล้วยังไง? ถ้าพวกเธอตระกูลเจี่ยนไม่รีบหาเงินมาอัดฉีดให้เร็วที่สุด ไม่กู้คืนชื่อเสียงกลับมาให้เร็วที่สุด พวกเธอก็จบสิ้นแล้ว! แต่สองอย่างนี้ คุณเจี่ยนเธอทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่เหรอ? คุณไม่มีอำนาจควบคุมข่าวสารในเชิงลบได้ และไม่มีอำนาจในด้านเงินทุน”

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะขึ้นมา “เพราะเหตุผลนั้นเหรอ? ฉู่หมิงเซวียน นายก็เป็นผู้ใหญ่ แถมยังอยู่ในวงการธุรกิจมานาน ไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าสนามธุรกิจคือสนามรบเหรอ? พ่อนายธุรกิจล้มเหลวฆ่าตัวตาย นายควรหาคนที่จัดการพ่อนายในตอนแรกสิ ไม่ใช่ตระกูลเจี่ยนที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยเหลือพวกนาย และในตอนนั้นตระกูลเจี่ยนก็แย่มาก ถ้าตระกูลเจี่ยนช่วยเหลือครอบครัวนาย ก็จะไม่มีทางดำเนินต่อไปได้ นายคิดว่าทำไมพ่อฉันถึงเลือกนายมาฝึกงาน? นายมีความสามารถมากเหรอ? มีพรสวรรค์เหรอ? พ่อฉันเคยบอกว่า เพราะนายนามสกุลฉู่? ตอนนี้ฉันเพิ่งเข้าใจ เพราะพ่อของนาย พ่อฉันเลยต้องการฝึกฝนนายล่ะมั้ง? เขาถึงขนาดจับคู่ฉันกับนาย ตอนนี้พ่อฉันใจดีที่เลี้ยงหมาป่า!”

เฉิงซานซานพิงข้างกายฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยเสียงอ้อน “หมิงเซวียน คุณดูสิ ฉันเคยพูดตั้งนานแล้ว อี๋นั่วไม่ชอบคุณเลยสักนิด ที่คบกับคุณก็เพราะพ่อเธอขอ เธอก็เลยคบกับคุณ”

ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา ยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ฉันเห็นแล้ว คุณเจี่ยนนี่เย็นชาจริงๆ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน กัดฟันพูดขึ้น “ใช่แล้ว ฉันเป็นคนเย็นชา ฉันโชคดีมากที่ตัวเองไม่เคยชอบนาย ฉู่หมิงเซวียน ตระกูลเจี่ยนของเราจะไม่จบแบบนี้หรอก ครั้งนี้โดนนายทำร้ายจนมาถึงจุดนี้ เพราะฉันระวังไม่มากพอ แต่มันจะไม่มีครั้งต่อไป ต่อไปเรายังมีเวลาที่จะสู้กันในอนาคตอย่างช้าๆ ! บริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยคือทรัพย์สมบัติตระกูลเจี่ยนของเรา ฉันไม่ปล่อยให้มันพังเด็ดขาด! และไม่ยอมให้นายมาแย่งไปด้วย!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็จ้องเขม็งเฉิงซานซานและฉู่หมิงเซวียน หันตัวเตรียมเดินออกไป แต่ข้อมือเจี่ยนอี๋นั่วถูกฉู่หมิงเซวียนจับเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอคิดจะช่วยตระกูลเจี่ยนแบบนี้ ใครจะช่วยเธอ เธอจะทำยังไง? ต้องการขายอะไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือฉู่หมิงเซวียนออก “ขายในสิ่งที่พวกเธอไม่มี”

ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่ว มีความตื่นตระหนกเล็กน้อย “อะไร? เจี่ยนอี๋นั่ว อย่าลืมนะว่าเธอยังเป็นคู่หมั้นของฉัน!”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “นายทำให้ครอบครัวฉันจะล้มละลาย ทำให้พ่อฉันโกรธจนเข้าโรงพยาบาล แถมยังพาผู้หญิงคนอื่นมาตรวจครรภ์ ตอนนี้นายยังบอกฉันว่าฉันยังเป็นคู่หมั้นนายเหรอ? ฉู่หมิงเซวียน นายคิดว่ามันน่าขำไหม? ”

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถามขึ้นอย่างดื้อดึง “เธอจะขายอะไรกันแน่? ถึงจะช่วยตระกูลเจี่ยนไว้ได้? ”

“หัวใจ” เจี่ยนอี๋นั่วจิ้มไปที่หน้าอกตัวเอง พูดเสียงทุ้ม “พวกเธอไม่มีจิตสำนึก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอขายไม่ใช่แค่มดลูก แต่ต้องเผชิญกับจิตสำนึกที่มีต่อเด็กในท้อง ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเด็กในมดลูกเธออย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรอธิบายกับเขาอย่างไรว่าทำไมถึงเกิดมา เขาเกิดมาเพียงเพราะผลประโยชน์ แค่เพื่อช่วยตระกูลเจี่ยน เพื่อสืบทอดการดำรงอยู่ของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตัวเองพยายามทำหน้าที่ลูกสาวให้ดีที่สุด แต่ต้องแทนที่ด้วยราคาของจิตสำนึกของความเป็นแม่

เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดความเจ็บปวดในใจ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ หันตัวไปทันที เดินออกไปจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

เฉิงซานซานมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว รีบแนบชิดฉู่หมิงเซวียนทันที พูดเสียงทุ้ม “หมิงเซวียน คุณเห็นแล้วใช่ไหม เจี่ยนอี๋นั่วตกต่ำมาถึงจุดนี้ แต่ก็ยังด่าเราอีก เธอกำลังเยาะเย้ยที่พวกเราไม่มีจิตสำนึก และเธอก็ไม่ชอบคุณจริงๆ ฉันเคยบอกแล้วว่าเจี่ยนอี๋นั่วคนแบบนี้น่ะ เป็นคนที่ใจแข็งมาก แค่ชอบธุรกิจเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นผู้หญิง เธอไม่สามารถรักผู้ชายคนไหนได้อย่างแท้จริง คุณน่ะ โดนเธอหลอกแล้ว”

“พอแล้ว!” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วขัดคำพูดเฉิงซานซาน พูดเสียงทุ้ม “ฉันรู้แล้ว”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ก็หันตัวผลักเฉิงซานซานออกอย่างแรง

เฉิงซานซานมองแผ่นหลังฉู่หมิงเซวียน ก็รีบตามไป “หมิงเซวียนคุณฟังฉันพูดสิ……”

เจี่ยนอี๋นั่วดินเร็วไม่กี่ก้าว ก็ซ่อนตัวอยู่มุมมืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น หลับตาอย่างแรง ตอนนี้น้ำตาเจี่ยนอี๋นั่วไหลลงมาอย่างอดไม่ได้ แค่อยู่เพียงลำพัง เจี่ยนอี๋นั่งถึงจะลบการเสแสร้งอันแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองได้

จะง่ายแบบที่เธอพูดได้อย่างไร จะไม่สนใจได้อย่างไร? เธอไม่เคยชอบฉู่หมิงเซวียนได้อย่างไร?

เจี่ยนอี๋นั่วมีนิสัยดื้อรั้น ถ้าไม่ชอบฉู่หมิงเซวียนจริงๆ ไม่ว่าใครจะจับคู่อย่างไร เธอก็ไม่คบกับเขาหรอก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอเขาก็ชอบเขาแล้ว เขาอ่อนโยนและเอาใจใส่เธอด้วยความพยายามของเขา เธอจะไม่ชอบเขาได้อย่างไร? เธอคบกับเขามาสามปีแล้ว จะไม่ชอบได้อย่างไร? ถ้าไม่ชอบ หลังจากที่เธอรู้ความจริง ยังจำถามฉู่หมิงเซวียนทำไมว่าเกิดอะไรขึ้น? เธอเหมือนผู้หญิงโง่ๆ ทุกคน ที่ต้องเห็นฉู่หมิงเซวียนกับเฉิงซานซานนอนเตียงเดียวกัน ถึงจะเชื่อว่าพวกเขาคบกันจริงๆ และเชื่อว่าฉู่หมิงเซวียนหลอกใช้เธอจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถึงขนาดเคยจินตนาการว่าต่อไปจะใช้ชีวิตกับฉู่หมิงเซวียนอย่างไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งหมดเป็นแค่ความปรารถนาที่เพ้อเจ้อของเธอ เพราะทั้งหมดมันคือการหลอกลวง เนื่องจากความรู้สึกของฉู่หมิงเซวียนที่มีต่อเธอเป็นของปลอม หลอกใช้เธอเพื่อจัดการตระกูลเจี่ยน ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำได้แค่พูดโกหกว่าไม่เคยชอบฉู่หมิงเซวียนมาก่อน เพื่อเก็บรักษาเกียรติของตัวเองที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดของเธอ!

สุดท้ายเจี่ยนอี๋นั่วก็ออกมาจากโรงพยาบาล มาที่โรงรับจำนำ นำนาฬิกาของเธอมาจำนำ เพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของพ่อ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วชำระค่าใช้จ่ายหมดแล้ว หลังจากกลับไปที่ห้องคนไข้ ก็พบว่าเฮ่อเยี่ยนหงไปไหนแล้วก็ไม่รู้

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ จู่ๆ ก็ไม่มีแรงไปสืบว่าเฮ่อเยี่ยนหงไปไหนกันแน่ เธอนั่งอยู่ข้างเตียงเจี่ยนฉางรุ่น ยกมือของเจี่ยนฉางรุ่นขึ้นมา แล้ววางบนหน้าเธอ

มืออุ่นของเจี่ยนฉางรุ่น สุดท้ายก็ให้ความอบอุ่นแก่เจี่ยนอี๋นั่วเล็กน้อย

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้อง พูดเสียงทุ้ม “พ่อ ฉันเหนื่อยมากเลย พ่อรีบฟื้นขึ้นมาได้ไหม มาคุยกับฉัน ให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้สู้อยู่คนเดียว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะเห็นด้วยกับวิธีของฉันไหม แต่ฉันไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ลูบท้องน้อยตัวเองเบาๆ แล้วพูดสะอึกสะอื้นกับเจี่ยนฉางรุ่น “ฉันมีแค่วิธีนี้ หวังว่าพ่อจะไม่โกรธฉันนะ อย่าดูถูกฉันเหมือนคนอื่นๆ ฉันเป็นลูกสาวพ่อ พ่อดุฉันได้ ตีฉันได้ แต่พ่ออย่าดูถูกฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้ากลั้นน้ำตา แล้วก้มหน้ายิ้มกับเจี่ยนฉางรุ่น “ดูฉันสิ พูดเรื่องที่ไม่มีความสุข……ฉันควรมีความสุขสิ พรุ่งนี้ฉันจะได้เจอคุณนายเหลิ่งแล้ว เธอจะทำตามสัญญาที่ว่าจะช่วยตระกูลเจี่ยนของเรา ทุกอย่างต้องดีขึ้น รอพ่อฟื้นขึ้นมา ฉันจะให้พ่อเห็นตระกูลเจี่ยนที่ยิ่งใหญ่……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เอนตัวนอนข้างเตียงเจี่ยนฉางรุ่น ถอนหายใจออกมายาวเหยียด หลับตาลง ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตระกูลเหลิ่งส่งรถเตรียมมารับเจี่ยนอี๋นั่ว ไปคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง เมื่อรถขับเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ถึงเจี่ยนอี๋นั่วจะถือว่าเป็นคนที่เห็นโลกมาแล้ว แต่ระดับความหรูหราของตระกูลเหลิ่งก็ยังทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหลาดใจมาก

เข้าไปในตระกูลเหลิ่ง สิ่งแรกที่เห็นพื้นที่คฤหาสน์ที่ใหญ่โตมาก พื้นที่คฤหาสน์หลังนี้ตกแต่งแปลกตาผสมผสานระหว่างสไตล์จีนและตะวันตก ดูเหมือนในสวนจะมีบรรยากาศงดงามสไตล์ตะวันตก และเสน่ห์อันหรูหราสไตล์จีน เมื่อผ่านพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งไป ก็เห็นคฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่ง เมื่อเทียบกับพื้นที่คฤหาสน์ที่ผสมผสานระหว่างสไตล์จีนและตะวันตก คฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่งเป็นสไตล์จีนมากกว่า ดูแปลกตาและเรียบง่าย และดูค่อนข้างเก่าแก่ คฤหาสน์หลักเก่าแก่แบบนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการสะสมความมั่งคั่งของครอบครัวมาหลายชั่วคนอายุ

พื้นที่คฤหาสน์ที่น่าเกรงขามแบบนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ต้องหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะคลายความประหม่าได้เล็กน้อย ก่อนจงจากรถ

“คุณเจี่ยน คุณนายรออยู่ด้านใด รบกวนเดินมาครับ” คนที่เหมือนเป็นพ่อบ้านเดินมาข้างๆ เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ตอบกลับเสียงทุ้ม “งั้นรบกวนคุณด้วยค่ะ”

เข้ามาในตระกูลเหลิ่ง เห็นการตกแต่งห้องที่เรียบง่ายและเป็นกันเอง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วผ่อนคลายลงเล็กน้อย ถึงแม้การตกแต่งคฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่งไม่ได้ดูหรูหราแบบในบ้านเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้เรื่องของเก่าบ้างนิดหน่อย รู้แม้กระทั่งแจกันดอกไม้ที่วางไว้ตามอำเภอใจล้วนเป็นของเก่าแก่ เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์บ้านเธอได้สิบหลัง ถึงแม้การตกแต่งทั้งหมดจะดูตามอำเภอใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามีการใส่ใจอยู่เบื้องหลัง

ระหว่างทาง เจี่ยนอี๋นั่วต้องหลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์และของเก่าราคาแพงเหล่านั้น เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นหญิงชราผมขาวนั่งโซฟาอยู่ ข้างกายหญิงชรามีหญิงวัยกลางคนสวมชุดกี่เพ้าธรรมดานั่งอยู่

เจี่ยนอี๋นั่งไม่เคยเห็นหญิงชราผมขาวมาก่อน แต่เธอเคยเห็นหญิงวัยกลางคนคนนั้นหนึ่งครั้ง ผู้หญิงคนนี้ชื่อสุยเฉิงจิ้ง คือคุณนายรองตระกูลเหลิ่ง

ตระกูลเหลิ่งมีลูกชายสองคน คนที่ใหญ่สุดคือเหลิ่งเซ่าถิง แต่เพราะพ่อแม่ของเหลิ่งเซ่าถิงเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน เสียชีวิตไปหมดแล้ว เหลือแค่เหลิ่งเซ่าถิงคนเดียว คนรองคือเหลิ่งเฉิงอวี่ เหลิ่งเฉิงอวี่เป็นอารองของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณนายเหลิ่ง เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่คุณท่านเหลิ่งทิ้งไว้ข้างนอก

หลังจากคุณท่านเหลิ่งเสียชีวิต เหลิ่งเฉิงอวี่ก็ถูกคุณนายเหลิ่งพากลับมา ถึงแม้จะได้สถานะสืบสกุลตระกูลเหลิ่ง แต่เหลิ่งเฉิงอวี่ก็ไม่สนใจตระกูลเหลิ่ง ภรรยาของเหลิ่งเฉิงอวี่คือสุยเฉิงจิ้ง ได้ยินว่าพวกเขามีลูกชายคนหนึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่งจะไม่เคยเห็นหญิงชราคนนี้มาก่อน แต่เห็นคุณนายรองตระกูลเหลิ่งสุยเฉิงจิ้งนั่งข้างเธอด้วยใบหน้าเคารพและระมัดระวัง ก็เดาได้ว่าหญิงชราคนนี้ก็คือคุณนายตระกูลเหลิ่งในตำนาน

คุณนายตระกูลเหลิ่งคนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วแค่เคยได้ยินว่าเธอนามสกุลอู๋ เธอเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง สนับสนุนทั้งตระกูลเหลิ่งขึ้นมา และจากนั้นก็สูญเสียลูกชายตอนวัยกลางคน แต่เธอก็รอด ไม่ทำให้ทรัพย์สินตระกูลเหลิ่งตกอยู่ในมือคนอื่น คุณนายเหลิ่งทำอะไรนุ่มนวลและเข้มงวด ทำให้ผู้ชายหลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งธุรกิจอยู่ในกำมือเธอ เป็นคนในตำนาน

จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ใหญ่ คุณนายเหลิ่งถึงได้กระจายอำนาจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วเจอคุณนายเหลิ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วก้มตัวเล็กน้อยให้กับคุณนายตระกูลเหลิ่ง แล้วพูดเสียงทุ้ม “สวัสดีค่ะคุณนาย”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปพูดเสียงทุ้มกับสุยเฉิงจิ้ง “สวัสดีค่ะคุณนายรอง”

คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมพูดขึ้นทันที “เห็นไหม เคยบอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดมีไหวพริบ ดูสิ ไม่ต้องแนะนำเลย เธอก็รู้ว่าฉันคือใคร”

สุยเฉิงจิ้งยิ้มและพยักหน้า ยิ้มอ่อนโยนและพูดขึ้น “คุณนายดูคนแม่นมาตลอดเลยนะคะ”

พูดจบ สุยเฉิงจิ้งก็หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตามองสังเกตเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้สุยเฉิงจิ้งผิวเผินจะดูอ่อนโยนสง่างาม แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าสุยเฉิงจิ้งคนนี้เต็มไปด้วยปฏิปักษ์ต่อเธอ

คุณนายเหลิ่งก็มองเจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน ยิ้มแล้วถามขึ้น “คุณเจี่ยน เธอรู้ไหมว่าเราให้เธอมาทำไม? ”

เจี่ยนอี๋นั่งลูบท้องตัวเองเบาๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เพราะเด็กคนนี้ในท้องของฉัน คงเพราะ……คงเพราะมีสัญญาบางอย่างต้องการให้ฉันเซ็น”

ตระกูลเหลิ่งทำอะไรระมัดระวังอย่างมาก ตั้งแต่ที่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใกล้ตระกูลเหลิ่งจนถึงตอนนี้ ก็ได้เซ็นสัญญาการรักษาความลับและสัญญารับรองทรัพย์สินไปหลายฉบับแล้ว

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว พยักหน้าช้าๆ “ฉันยิ่งชอบเธอขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ถึงแม้หลานชายฉันจะดีขึ้น ฉันก็จะเลือกเธอให้เป็นหลานสะใภ้ฉัน หญิงสาวหน้าตาสวยมีมากมาย หญิงสาวที่ฉลาดก็มีไม่น้อย แต่หญิงสาวที่ทั้งสวยและฉลาดมีไม่มาก ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้เจอเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วผลุบตาลง ในรอยยิ้มมีความขมขื่นเล็กน้อย “ได้เจอคุณนายเหลิ่งก็เป็นเรื่องโชคดีของฉันเหมือนกันค่ะ”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่วพลางหรี่ตา “เหมือนกับสัญญาที่เซ็นกับเธอก่อนแต่งงาน เรามีสัญญาบางอย่างที่ต้องให้เธอเซ็น มีข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับสิทธิของเธอ แต่ก็มีเงื่อนไขมากมายที่ดีสำหรับเธอ เธอลองดูก่อน……”

คุณนายพูดจบก็โบกมือ มีคนนำสัญญาสองสามกองมาให้ เจี่ยนอี๋นั่วอ่านสัญญาอย่างละเอียดก่อนเซ็นชื่อ เมื่อสัญญาทั้งหมดเสร็จสิ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้เนื้อหาคร่าวๆ ของสัญญาเป็นการควบคุมจำกัดสิทธิเธอที่มีต่อสมบัติตระกูลเหลิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เธอใช้เด็กในท้องโอนย้ายสมบัติตระกูลเหลิ่งไป แต่ในสัญญาการช่วยเหลือของตระกูลเหลิ่งที่มีต่อตระกูลเจี่ยนนั้นเอื้อเฟื้อมาก ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง ไม่เพียงแต่รักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ แต่ยังทำให้ตระกูลเจี่ยนแข็งแกร่งขึ้นด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดจะยักยอกสมบัติตระกูลเหลิ่งอยู่แล้ว แค่อยากรักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ จึงไม่ลังเลเลย

เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเซ็นสัญญาเสร็จแล้ว คุณนายเหลิ่งก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่า เธอไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่งได้ยินคุณนายเหลิ่งพูดแบบนี้ หน้าก็ซีด ใบหน้าแสดงความกระอักกระอ่วนอย่างอดไม่ได้

คุณนายเหลิ่งมองท่าทางเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ไม่ได้พูดต่อ ยกมือขึ้นลูบแก้มเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ “เป็นเด็กดีจริงๆ ”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงยังมีความรู้สึกสงสารนิดหน่อย แต่เพราะความสงสารที่คุณนายเหลิ่งมอบให้จึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงหัวเราะเยาะตัวเองอย่างขมขื่น

คุณนายเหลิ่งเห็นสีหน้าเจี่ยนอี๋นั่วซีดเซียว ก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปเจอเซ่าถิง ได้เจอแล้วเธอจะเข้าใจ ผู้ชายที่โดดเด่นขนาดนี้ คุ้มค่าที่เธอจะมีลูกให้เขา คุ้มค่าความพยายามที่เธอจะเป็นภรรยาของเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดเสียงทุ้ม “ฉันเคยเห็นเขาแล้วค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้ม “เคยเห็นจากไกลๆ ไม่ใช่เหรอ? ระยะทางไกลขนาดนั้น มองเห็นไม่ชัดหรอก จะบอกว่าเคยเห็นได้ยังไง? ตอนนี้เขาเป็นสามีเธอแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เขายังไม่ฟื้นก็เถอะ……”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็มืดลง “แถมยังเป็นผัก แต่เธอก็ควรคุ้นชินกับเขา ยังไงแล้วอนาคตเธอก็ต้องดูแลเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก แต่ก็ยังพยักหน้า ยืนขึ้นตามคุณนายเหลิ่ง สุยเฉิงจิ้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยยืนขึ้น อยากขึ้นข้างบนตามคุณนายเหลิ่งไป แต่คุณนายเหลิ่งหันหน้ากลับมามองสุยเฉิงจิ้ง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คุณนายรอง เธอไม่ต้องตามขึ้นมา เรื่องนี้คุณไม่ต้องใส่ใจ”

สุยเฉิงจิ้งกัดฟันเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มทันที ยิ้มกับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นลูกสะใภ้จะเข้าครัวไปดูอาหารเย็นนะคะ”

คุณนายเหลิ่งพยักหน้า “เธอก็ยังรู้จักพอประมาณ”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่ไม่รู้ว่าคุณเจี่ยน……อ่อ ตอนนี้ฉันควรเรียกว่าหลานสะใภ้สินะ เธอมีอาหารอะไรที่ไม่ชอบทานไหม? ในบ้านนี้เธอคือหลานสะใภ้คนโต ธุรกิจครอบครัวที่ฉันถืออยู่ทั้งหมดเก็บไว้ให้ลูกในท้องเธอ นอกจากฉันและเซ่าถิง เธอสามารถสั่งใครก็ได้ในตระกูลเหลิ่ง ชอบทานอะไร ไม่ชอบทานอะไร สั่งอาสะใภ้รองของเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองสุยเฉิงจิ้งที่เปลี่ยนจากยิ้มเป็นแข็งทื่อ รู้ว่าคุณนายเหลิ่งใช้เธอตั้งกฎกับสุยเฉิงจิ้ง วางกลอุบายท่ามกลางตระกูลร่ำรวย เริ่มตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง

เดิมทีหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์กลายเป็นผัก ก็ควรเป็นเหลิ่งเฉิงอวี่ลูกชายคนรองที่สืบทอดสมบัติตระกูลเหลิ่ง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เหลิ่งเฉิงอวี่ดูแลทรัพย์สินตระกูลเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งก็คิดหาคนมาผสมเทียมให้เหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตราบใดที่เธอคลอดลูกออกมา คุณนายเหลิ่งจะสนับสนุนเด็กคนนี้ให้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเหลิ่ง และรู้ว่าการปรากฏตัวของเธอ เทียบเท่ากับการทำลายโอกาสที่ดีที่สุดของเหลิ่งเฉิงอวี่ในการดูแลตระกูลเหลิ่ง ไม่แปลกใจที่สุยเฉิงจิ้งจะเต็มไปด้วยการปฏิปักษ์ต่อเธอ

แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในวังวนแล้ว ก็ไม่ลังเลถอยกลับอีก การต่อสู้ในครอบครัวคนรวยก็เหมือนต่อสู้ในสนามธุรกิจ ถอยออกมาทีละก้าว สุดท้ายก็ถอยไปสู่ความสิ้นหวัง ตัวเองถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ และถูกล้อเลียนหัวเราะเยาะว่าเป็น “ไอ้โง่”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ หันหน้าไปหัวเราะเบาๆ กับสุยเฉิงจิ้งแล้วพูดว่า “อาสะใภ้รอง ฉันไม่ชอบทานผักชีค่ะ ต่อไปอย่าใส่ผักชีในการทำอาหารอีก”

รอยยิ้มบนใบหน้าสุยเฉิงจิ้งหายไปอย่างสมบูรณ์ มองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตาและหัวเราะเยาะ “ฉันจะจำไว้ แล้วจะไปสั่งที่ครัวให้นะ หลานสะใภ้ของฉัน”

คุณนายเหลิ่งเห็นการแสดงออกของเจี่ยนอี๋นั่วในสายตา ถึงจะเป็นการปะทะกันไม่กี่คำ แต่คุณนายเหลิ่งก็มองออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนขี้อาย สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอสามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้นที่สุด เลือกที่จะยืนข้างคุณนายเหลิ่ง

บนใบหน้าคุณนายเหลิ่งเผยรอยยิ้มพึงพอใจ จับมือเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “หลานสะใภ้ ตามฉันมาเถอะ”

คุณนายเหลิ่งพาเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปห้องในสุดชั้นสอง คุณนายเหลิ่งก็ปล่อยมือเจี่ยนอี๋นั่ว และผลักประตูห้องใหญ่

เมื่อประตูใหญ่เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังนอนบนเตียงคนไข้ขนาดใหญ่

คุณนายเหลิ่งมองผู้ชายคนนั้น แล้วพูดเสียงทุ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่คือเซ่าถิง ต่อไปเขาคือสามีของเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ค่อยๆ เดินไปข้างเตียง เธอเห็นชายหนุ่มรูปหล่อนอนบนเตียงคนไข้ ดวงตาชายคนนั้นปิดสนิท จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบาง นอกจากเพราะว่าอยู่ป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ผิวพรรณจึงซีดเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงที่นอนหลับอยู่ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกับคนปกติ

เขาดูเหมือนเป็นคนตายทั้งเป็นอย่างสมบูรณ์ นี่คือเหลิ่งเซ่าถิงที่กลายเป็นผักแล้ว

ชายที่หล่ออย่างเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วที่ไม่ใช่คนโลภมากก็อดไม่ได้ที่จะมองอีก ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างละเอียด จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงปิดประตู เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรีบหันกลับไป เธอเห็นว่าประตูห้องปิดลงแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบวิ่งไปที่ประตูห้อง เคาะประตูห้องอย่างแรง “เปิดประตู ปิดประตูทำไมคะ? พวกคุณอย่าขังฉันไว้ที่นี่นะ!”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งยืนอยู่นอกประตู เธอยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วผ่านประตู “คืนนี้อยู่ดูแลเซ่าถิงเถอะ ถือเป็นการทำความคุ้นเคยสักหน่อย ยังไงแล้วพวกเธอก็เป็นสามีภรรยากัน เธอก็ไม่ต้องอาย รอให้เธอคลอดลูกให้เซ่าถิง ฉันจะจัดงานแต่งงานอันงดงามให้กับเธออย่างแน่นอน ให้ทุกคนได้รู้ว่า เจี่ยนอี๋นั่วเป็นหลานสะใภ้ตระกูลเหลิ่งของพวกเราแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว “แต่ฉันต้องกลับบ้านะคะ พ่อและบริษัทยังต้องการฉันกลับไป……”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูด “เธอไม่ต้องเป็นห่วง เธออยู่ดูแลเซ่าถิงหนึ่งคืน พรุ่งนี้เธอจะพบว่าข่าวด้านลบเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนหายไปหมดเลย ฉันจะรีบจัดการอัดฉีดทุนให้ตระกูลเจี่ยน ว่ายังไง? เงื่อนไขนี้โอเคไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ก็ค่อยๆ ชักมือกลับมา พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะ”

เพื่อสามารถช่วยตระกูลเจี่ยนไว้เจี่ยนอี๋นั่วได้จ่ายไปเยอะมาก ตอนนี้จะปฏิเสธถอยหลังได้อย่างไร?

คุณนายเหลิ่งยิ้มยิ่งอ่อนโยนขึ้น “ดึกแล้ว เธออยู่เป็นเพื่อนเซ่าถิงให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวอีกสักพัก ฉันจะให้คนนำอาหารเย็นมาให้เธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว จึงเดินมาข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง เธอขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็หันหน้าไปมองรอบๆ พบว่ารอบๆ ไม่มีโซฟาและเตียงเสริมอื่นๆ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่นั่งข้างเตียงอย่างระมัดระวัง

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง จริงๆ แล้วคนที่สมบูรณ์แบบและมาจากครอบครัวร่ำรวยอย่างเหลิ่งเซ่าถิง คงไม่ได้เตรียมการโชคชะตากลายเป็นผักโดยไม่รู้ตัว แล้วเธอจะบ่นอะไรได้อีก? อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ตัดสินชะตากรรมของตัวเองได้ ไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิง ปล่อยให้คนอื่นมาบงการ ให้เขาแต่งงานก็ต้องแต่ง ให้เขามีลูกก็ต้องมี เพื่อเงินเธอกลายเป็นเครื่องมือสืบพันธุ์ แต่เหลิ่งเซ่าถิงแม้แต่โอกาสที่จะลังเลก็ไม่มีเลย

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น รู้สึกว่าเธอน่าขำจริงๆ ตอนนี้เธอมีความสุขมากกว่าผักเหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพลางหลับตาอย่างแรง บางทีอาจจะเพราะเหนื่อยเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วจึงเผลอหลับไปข้างเตียงจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ขณะที่เธอรู้สึกรางๆ ว่ามีคนสัมผัสเธอเบาๆ เธอถึงลืมตาขึ้น

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตา เธอก็สบตาเรียวฟินิกซ์คู่หนึ่งที่เงยขึ้นเล็กน้อย เธอตกใจร้องเสียงดังอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบซ่อนตัวไปด้านหลัง เพราะเจี่ยนอี๋นั่วหลับข้างเตียง พอเธอซ่อนตัวไปด้านหลัง ก็แทบจะตกเตียง

มือข้างหนึ่งโอบเอวเธอ กระซิบเสียงทุ้มข้างหูเธอ “เธอเป็นใคร? ทำไมมานอนบนเตียงฉัน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างเล็กน้อย มองผู้ชายหล่อเหลา จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบางตรงหน้านี้ นี่เหลิ่งเซ่าถิงเหรอ? เขาตื่นขึ้นมาโดยไม่คาดคิด?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เหลิ่งเซ่าถิงก็หรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้พูดอะไร เวลาหยุดลงชั่วขณะ ผ่านไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ตอบสนอง เธอรีบผลักเหลิ่งเซ่าถิง รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ากลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ พลางเคาะประตูที่ปิดสนิทอย่างแรง แล้วตะโกนเสียงดัง “รีบเปิดประตูเร็วเข้าสิ! รีบเปิดประตู”

หลังจากประตูห้องเปิดออก ไม่คิดว่าสุยเฉิงจิ้งจะเดินมาก่อน สุยเฉิงจิ้งยืนอยู่หน้าประตูห้อง มีท่าทางตรงกันข้ามเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายเหลิ่ง พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงยากที่จะเข้าใจ “ทำไมเหรอ? หลานสะใภ้? อยู่กับคนตายทั้งเป็นทนไม่ได้เหรอ? ตอนนี้โวยวายอยากจะออกมาแล้วเหรอ? ถึงจะอยากไป ก็ไม่ต้องตะโกนเรียกร้องขนาดนี้ก็ได้นี่? ลูกสาวของพวกเศรษฐีใหม่เขาไม่มีกฎอะไรเลยเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ปรับอารมณ์ตื่นตระหนกของเธอ แล้วพูดกับสุยเฉิงจิ้งอย่างใจเย็น “เหลิ่งเซ่าถิง เขา……เขาฟื้นแล้ว……”

สุยเฉิงจิ้งหน้าซีดทันที ราวกับได้ยินข่าวร้ายอะไรบางอย่าง ตะโกนเสียงดัง “ป-เป็นไปไม่ได้ คุณหมอบอกว่ามันยากมากที่เขาจะฟื้นขึ้นมา เขาต้องกลายเป็นผักตลอดชีวิต!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองสุยเฉิงจิ้ง รีบหันตัวไปพูดกับคนใช้ที่อยู่ตรงประตู “เธอรีบไปบอกคุณนาย……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นคุณนายเหลิ่งเดินขึ้นมาจากด้านล่าง คุณนายเหลิ่งเดินมาพร้อมยิ้มแล้วถามขึ้น “ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ตะโกนเสียงดังกันทำไม? ฉันอยู่ลานบ้านด้านหน้ายังได้ยินเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองคุณนายเหลิ่ง แล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณนาย……”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะทุ้มต่ำแล้วเอ่ยเตือน “ควรเรียกว่าคุณย่าสิ เคยอยู่ร่วมห้องกันแล้ว ไม่ใช่เหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากล่าง รีบพูดขึ้น “คุณย่า เหลิ่งเซ่าถิงเขาฟื้นแล้วค่ะ”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว เบิกตากว้าง “อะไรนะ? เธอกำลังพูดอะไร? เซ่าถิงเขาฟื้นแล้วเหรอ? จริงหรือหลอก? ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “จริงๆ นะคะ ฉันจะกล้าหลอกคุณนายได้ยังไง? ”

“จริงเหรอ? ได้ยังไง……” คำพูดของคุณนายเหลิ่งยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ก็นิ่งไป

คุณนายเหลิ่งมองผ่านเจี่ยนอี๋นั่วไปทางห้องเหลิ่งเซ่าถิง เธอเบิกตากว้าง แม้แต่ร่างกายก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางที่คุณนายเหลิ่งจ้อง ไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะยันกำแพงแล้วค่อยๆ เดินมาที่ประตูห้อง

เหลิ่งเซ่าถิงยืนย้อนแสงอยู่ที่หน้าประตูห้อง ยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “คุณย่า อรุณสวัสดิ์ครับ”

แสงแดดอ่อนกระทบที่ร่างกายเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิงดูอบอุ่นขึ้นมาก

คุณนายเหลิ่งจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง ผ่านไปสักพักเธอถึงได้เบิกตากว้าง ยกมือขึ้นเปิดปาก น้ำตาไหลลงมาทันที

จากนั้นคุณนายเหลิ่งก็วิ่งโซเซไปหาเหลิ่งเซ่าถิง พูดอย่างสะอึกสะอื้น “เซ่าถิง? เซ่าถิงใช่หลานจริงๆ ใช่ไหม? หลานฟื้นขึ้นมาจริงๆ เหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ผมเอง คุณย่า ผมเหมือนนอนหลับไปนานมาก……”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งก็ตีเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ ร้องไห้พร้อมพูดตะโกนเสียงดัง “เจ้าเด็กนี่ ทำไมเพิ่งฟื้นขึ้นตอนนี้? หลานรู้ไหมว่าปีนี้ฉันใช้ชีวิตยังไง? ฉัน……ฉันอยู่ก็เหมือนตาย! ทุกวันฉันคิดว่าฉันมีชีวิตนานเกินไปหรือเปล่า แย่งเอาโชคดีของหลานกับพ่อของหลานไป เลยทำให้พ่อของหลานตายตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วทำให้หลานเจอกับเรื่องแบบนี้อีก ฉันรู้สึกว่าเป็นความผิดของฉัน……”

คุณนายเหลิ่งร้องไห้ขณะที่พูดถึงตรงนี้ ยกมือขึ้นจับเหลิ่งเซ่าถิงไว้ ปากก็ยังร้องไห้และดุด่า “เจ้าเด็กแสบ ฉันเป็นญาติคนเดียวของหลาน ไม่คิดว่าหลานจะประสบอุบัติเหตุรถยนต์เพราะผู้หญิงคนเดียว แล้วหลับไปนานขนาดนี้! มันทำให้ฉันเสียใจเกินไปจริงๆ !”

เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มมีร่องรอยความว่างเปล่าในดวงตา แต่จากนั้นก็เหมือนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยกมือขึ้นกอดคุณนายเหลิ่งที่ตัวเตี้ยกว่าเขามาก แล้วพูดเสียงทุ้มแหบพร่า “ขอโทษครับ คุณย่า ที่ทำให้ย่าเป็นห่วง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณย่า ตอนผมตื่นขึ้นมา มีหลายเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ในห้องผมได้ยังไง? ”

คุณนายเหลิ่งเช็ดน้ำตา ร้องไห้ขณะที่พูดขึ้น “ย่าจะบอกหลานให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ควรไปหาหมอเช็กหลานก่อน ให้ร่างกายหลานไม่มีปัญหาอะไร ย่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้หลานฟังอย่างละเอียด”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นก็มองผ่านกลุ่มคนไปยังเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเบียดจนอยู่ในมุม แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะอ่อนโยนมากต่อหน้าคุณนายเหลิ่ง แต่เมื่อเขามองคนอื่นๆ ดวงตาเขาเย็นชาผิดปกติ

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่หยิ่งผยองและเย็นชา แต่เมื่อได้สัมผัสกับดวงตาเย็นชาของเขาจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าสายตานั้นเย็นชามากแค่ไหน ทำให้ในใจเธอรู้สึกขี้ขลาดเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง เมื่อเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง

ไม่นานคุณหมอก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง หลังจากตรวจเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็ตอบกลับคุณนายเหลิ่ง “คุณชายใหญ่เหลิ่งนอกจากเพราะให้น้ำเกลือบำรุงร่างกายเป็นระยะเวลานาน ก็มีการขาดสารอาหารเล็กน้อย ตัวบ่งชี้อื่นๆ เป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ใส่ใจพักผ่อนและเสริมอาหารบำรุง ผ่านไปสักพักก็จะฟื้นฟูร่างกาย พรุ่งนี้ฉันจะมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง”

หลังจากคุณนายเหลิ่งได้ยิน ก็ถอนหายใจ หันไปพูดกับคนรอบข้างด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเธอออกไปเถอะ ฉันกับเซ่าถิงจะคุยกันสักพัก……”

“แม่……ฉัน……” สุยเฉิงจิ้งกำลังจะพูด แต่ถูกคุณนายเหลิ่งมองอย่างเย็นชา ก็ทำได้แค่อดกลั้นสิ่งที่จะพูดออกไป

สุยเฉิงจิ้งถอยหนึ่งก้าว ยิ้มแข็งกระด้างให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นฉันไปแจ้งญาติๆ บอกให้พวกเขาทราบข่าวดีนะคะ”

คุณนายเหลิ่งโบกมือ ยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องแจ้งพวกเขาหรอก สำหรับพวกเขามันไม่ใช่ข่าวดี เธอไปทำตามคำแนะนำของคุณหมอ ไปต้มพวก……ไม่……อี๋นั่ว เธอไปต้มโจ๊กตามคำแนะนำของคุณหมอมา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหากับการทานอาหารของเซ่าถิง”

“แม่ ฉันก็ทำได้นะ ในเมื่อเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณเจี่ยนยังต้องอยู่ตระกูลเหลิ่งพวกเราต่อเหรอ? ” สุยเฉิงจิ้งรีบพูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว มองสุยเฉิงจิ้ง ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเร็วมากเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาได้ เธอก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน

“อี๋นั่ว เธอไม่ฟังคำพูดฉันเหรอ? ” คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ตอบรับเสียงทุ้ม “คุณนายเหลิ่ง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันตัวเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งกัดฟัน และเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง

ปิดประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งก็หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มเยาะแล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณเจี่ยน เพิ่งกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง รู้สึกยังไงที่จะโดนขับไล่ออกจากตระกูลเหลิ่ง? ฉันจะบอกเธอให้นะ คุณนายของเราเป็นคนที่เลือดเย็น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ่งเป็นคนเลือดเย็น ตอนแรกที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต เขาไม่มีน้ำตาสักหยด เครื่องมืออย่างเธอ ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียง เธอมีลูกเขาอยู่ในท้อง ก็อาจจะกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งได้ แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว สำหรับเขา เธอเป็นแค่พยานของประสบการณ์อันน่าอับอายของเขา เธอพิสูจน์แล้วว่าเขาต้องพึ่งพาเงินเพื่อให้ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกให้เขา เธอคิดว่าเขาอยากให้เธออยู่ตระกูลเหลิ่งต่อไหมล่ะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองสุยเฉิงจิ้ง หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “ได้ยินอาสะใภ้รองพูดแบบนี้ สถานการณ์ของฉันในตอนนี้อันตรายมากจริงๆ เลยนะคะ แต่ไม่ว่าฉันจะเผชิญกับผลลัพธ์อะไร ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ฉันเชื่อว่าคุณนายเหลิ่งจะจัดเตรียมสิ่งที่น่าพอใจให้กับฉัน”

สุยเฉิงจิ้งเม้มปากยิ้มขึ้นมา “เธอกำลังคาดหวังว่าคุณนายเหลิ่งที่เห็นหลานชายกลายเป็นผัก ใช้เงินจ้างผู้หญิงคนอื่นเพื่อคลอดลูกให้หลานชายเธอ เพื่อรักษามรดกตระกูลเหลิ่งของพวกเขาเอาไว้ จะจัดเตรียมสิ่งที่น่าพอใจให้กับเธอเหรอ? เธอคิดเรียบง่ายจริงๆ นะ คุณเจี่ยน ทำไมคุณไม่ร่วมมือกับฉัน บางทีฉันอาจจะช่วยคุณได้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแข็งทื่อทันที แต่จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “อาสะใภ้รอง คุณเป็นห่วงตัวเองให้มากๆ เถอะค่ะ อย่างมากที่สุดฉันก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งได้ แต่อาสะใภ้รองคุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดต่อ แค่ส่ายหน้าเบาๆ เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว ทายาทตระกูลเหลิ่งก็คือเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ว่าสุยเฉิงจิ้งจะเคยทำแผนการอะไร ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์ และจากท่าทีของคุณนายเหลิ่ง จากนี้ไปคุณนายเหลิ่งไม่มีทางปล่อยให้เหลิ่งเฉิงอวี่ที่เกือบทำให้ตระกูลเหลิ่งตกต่ำใช้ชีวิตดีได้

ถึงแม้สุยเฉิงจิ้งจะเป็นคุณนายรองของตระกูลเหลิ่ง แต่พวกเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยสักนิดในตระกูลเหลิ่ง ในเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจว่าจะยืนข้างคุณนายเหลิ่งแล้ว ก็ไม่หวั่นกับการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

นอกจากนี้เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณนายเหลิ่งให้เธอไปจัดการอาหารของเหลิ่งเซ่าถิง หมายความว่าคุณนายเหลิ่งยังอยากให้เธออยู่เคียงข้างเหลิ่งเซ่าถิงต่อ เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตัวเอง

สุยเฉิงจิ้งจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว เปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะ “เป็นคนที่ยายแก่เลือกจริงๆ ไม่รู้จักยืดหยุ่นเหมือนกัน”

สุยเฉิงจิ้งพูดจบ ก็เดินผ่านตัวเจี่ยนอี๋นั่วไปทันที

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วเดินลงมาข้างล่าง หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วบอกสาวใช้ให้ต้มโจ๊กแล้ว คุณนายเหลิ่งก็ส่งคนมาเรียกเธอขึ้นไป เดินมาถึงหน้าห้องเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ

ได้ยินเสียงตอบด้านใน “เข้ามาสิ!”

เจี่ยนอี๋นั่วผลักประตูห้อง เดินเข้าไปในห้อง ประตูเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงก่อน เหลิ่งเซ่าถิงสวมเสื้อกันหนาวสีดำตัวบาง ร่างกายเปล่งออร่าความเย็น ดวงตาเรียวฟินิกซ์ค่อยๆ เงยขึ้น ใช้สายตานั้นกวาดมองเจี่ยนอี๋นั่ว สายตานั้นเย็นชาและเหยียดหยาม ดูเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเล็กน้อยมองไปที่คุณนายเหลิ่ง พูดขึ้นเสียงเบา “คุณตามหาฉันเหรอคะ? ”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งก็ลุกขึ้น ถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว “เธอปิดประตูซะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหันไปปิดประตูห้อง คุณนายเหลิ่งก็มองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามขึ้นเสียงทุ้ม “เธอยังอยากเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งของพวกเราไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วกำมือแน่น ก้มหน้ามองท้องน้อยของตัวเอง เทียบกับการที่ตระกูลเจี่ยนจะดำเนินต่อไปได้ไหมต้องได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงเด็กในท้องมากกว่า ตระกูลเจี่ยนไม่ได้รับการช่วยเหลือ นั่นเพราะเธอโชคร้าย เธอยอมรับโชคชะตา! แต่เด็กคนนี้น่าสงสารจริงๆ มีอยู่เพราะผลประโยชน์ ตอนนี้ต้องตายเพราะพ่อของเขาฟื้นขึ้นมาเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ตอบคำถามคุณนายเหลิ่งโดยตรง แค่พูดเสียงทุ้ม “ตอนนี้ฉันเป็นแม่คนแล้ว ถ้าฉันไม่เป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง เด็กคนนี้ก็ต้องเอาออกเหรอคะ? ฉันเก็บเขาไว้ได้ไหม? ”

เหลิ่งเซ่าถิงใช้น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับ “เธอมีลูกเพื่อเงินได้ ก็เอาเด็กออกเพื่อเงินได้เหมือนกัน และไม่มีเด็กคนนี้ เธอก็จะลำบากน้อยลงไม่ใช่เหรอ? ฉันก็ไม่อยากให้ผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นภรรยาฉัน มาเป็นแม่ของลูกฉันเหมือนกัน ฉันจะจัดเตรียมเวลาผ่าตัดเธอให้เร็วที่สุด ให้เธอเอาเด็กออก จากนั้นก็จัดเตรียมเวลาให้เราหย่ากัน ฉันหวังว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามพูดเรื่องเธอกับตระกูลเหลิ่งออกไป”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่แปลกใจที่เหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอ ผู้หญิงที่มีลูกให้ผู้ชายเพื่อเงิน ใครจะไม่ดูถูกบ้าง? บางครั้งเธอก็ดูถูกตัวเองเหมือนกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าถ้าไม่มีเด็กคนนี้ เธอจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่การเอาเด็กออก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองน่าขยะแขยง ถ้าเธอทำแบบนั้น ยังเป็นคนได้อีกไหม? มีลูกเพื่อเงิน? แล้วเอาเด็กออกเพื่อเงินอีก?

คุณนายเหลิ่งหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เซ่าถิง อี๋นั่วเธอยากลำบาก ในเมื่อฉันเป็นคนให้เธอแต่งเข้ามา ฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก เธอปรากฏตัวขึ้นตอนที่เรายากลำบากมากที่สุด ยอมมีลูกเพื่อหลาน และเธอเพิ่งอยู่ห้องเดียวกับหลาน ก็ทำให้หลานฟื้นขึ้นมา เธอเป็นดาวนำโชคของหลานนะ!”

“ดาวนำโชคอะไร? คุณย่า ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ถึงเธอจะไม่ได้มาอยู่ข้างผม ผมก็จะฟื้นอยู่ดี” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วพูดขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรังเกียจ ถูกเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายหล่อเหลาแบบนี้ ใช้สายตามองอย่างรังเกียจ ไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีกับผู้หญิงคนไหนเลย

คุณนายเหลิ่งเพิ่มระดับเสียง ตะโกนเสียงดังใส่เหลิ่งเซ่าถิง “บังเอิญเหรอ? แต่ฉันรอมาหนึ่งปีเต็ม หลานไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งปี! คนพวกนั้นในตระกูลเหลิ่งขอให้ฉันเอาทรัพย์สินให้อารองของหลาน ฉันยื้อมาโดยตลอด ฉันกำลังรอให้หลานฟื้นขึ้นมา แต่หลานก็หลับอยู่ตลอด ตอนนั้นทำไมไม่บังเอิญล่ะ? ฉันไม่มีทางเลือก เลยให้เธอมีลูกให้กับหลาน อี๋นั่วเธอเพิ่งนอนในห้องหลาน หลานก็ฟื้นเลย ถ้าเธอไม่ใช่ดาวนำโชคของหลานแล้วเธอคืออะไร? ก่อนหน้านี้ฉันไม่เชื่อเรื่องผีหรือเทพเจ้ามมาก่อน แต่เพื่อหลาน ผีและเทพเจ้าฉันก็บูชาหมด! ไม่มีอะไรที่ฉันไม่เชื่อ แค่หลานปลอดภัย ฉันยอมคุกเข่าให้เทพเจ้าและพระพุทธเจ้า! ถ้ามีพรหมลิขิตในนั้น เธอก็เป็นคนที่นำโชคมาให้หลาน พวกเธอห้ามหย่ากัน!”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ร่างกายก็สั่นเล็กน้อย เกือบล้มลงพื้น

เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปพยุงคุณนายเหลิ่งทันที ขมวดคิ้วถามอย่างเป็นห่วง “คุณย่า คุณเป็นอะไร? ”

คุณนายเหลิ่งกุมหน้าอก ส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันเป็นอะไรเหรอ? ฉันโกรธหลานไงล่ะ? งานแต่งอี๋นั่วกับหลาน ฉันจะจัดเอง ตอนนี้ในท้องเธอมีเหลนฉันอยู่ หลานคิดว่าเด็กคนนี้มายากแค่ไหน? เซ่าถิง หลานทำให้ฉันเป็นห่วงมาปีกว่าแล้ว หลานดูสิผมฉันหงอกไปหมด ฉันขอร้องหลานเป็นครั้งสุดท้าย ให้คบกับอี๋นั่วไม่ได้เหรอ? ฉันรู้สึกว่าอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่ดี หลานต้องชอบเธอแน่ๆ ”

“ชอบเธอเหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วหัวเราะเยาะ

เจี่ยนอี๋นั่วโดนสายตาเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงมองสำรวจ ถึงจะรู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ไม่พูดอะไร แค่เบี่ยงหน้าไปเล็กน้อย ไม่สบตากับเหลิ่งเซ่าถิง

คุณนายเหลิ่งเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ยังรู้สึกดูถูกเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วยืนขึ้น “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันไม่สนแล้ว ฉันมีข้อกำหนดเพียงสองข้อสำหรับพวกเธอ หนึ่งคือห้ามหย่า อีกหนึ่งคือต่อไปพวกเธอต้องนอนห้องเดียวกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ก็เงยหน้ามองคุณนายเหลิ่งทันที เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้พูด เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดด้วยเสียงเย็นชาก่อน “คุณย่า ผมสัญญากับย่าได้ว่าตอนนี้ผมยังไม่หย่ากับผู้หญิงคนนี้ แต่ผมจะไม่มีทางนอนกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด”

คุณนายเหลิ่งกุมหน้าอก ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “อย่าคิดว่าหลานเพิ่งฟื้น แล้วย่าจะเอาอกเอาใจหลานนะ ข้อกำหนดสองข้อนี้ของย่า ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น พวกเธอต้องอยู่ด้วยกัน! ฉันออกไปก่อนนะ!”

คุณนายเหลิ่งหันตัวเตรียมออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็โค้งตัวให้คุณนายเหลิ่งเล็กน้อย แล้วพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าข้อกำหนดสองข้อที่คุณนายเหลิ่งกล่าวมา ข้อกำหนดแรกอาจจะทำเพื่อให้ตระกูลเหลิ่งคงที่ แต่ข้อกำหนดข้อที่สองก็คือเพื่อเธอ เพื่อให้เธอได้รับข่าวลือในตระกูลเหลิ่งน้อยลง

เธอเข้าตระกูลเหลิ่งเพื่อมีลูกให้เหลิ่งเซ่าถิง ถ้าหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงฟื้นแล้ว แยกห้องนอนกับเหลิ่งเซ่าถิง ก็แสดงว่าตระกูลเหลิ่งไม่ยอมรับในตัวตนของเธอ ต่อไปเธอจะยิ่งอยู่ยากในตระกูลเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้ม “ถ้าเธอรู้เจตนาของฉันได้ ก็แสดงว่าความคิดฉันไม่ได้ไร้ประโยชน์ ถึงเซ่าถิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็เป็นคนจริงใจมาก พวกเธอค่อยๆ อยู่ด้วยกัน ก็จะพบว่าเข้ากันได้ดี”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็ผลักประตูเดินออกไป แค่ทิ้งเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงไว้ในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดเสียงทุ้ม “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเย็นชา “ฉันรู้แล้วว่าเธอคือใคร เธอไม่ต้องแนะนำตัวกับฉันอีก คุณเจี่ยน ฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ประหลาดใจมากที่สุดก็คือเธอ ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์และไม่มีเส้นตายแบบเธอมาก่อน ฉันไม่รู้นะว่าเธอทำยังไงให้คุณย่าพอใจกับเธอได้แบบนี้ แต่ฉันไม่ชอบเธอมากๆ ธุรกิจครอบครัวเกิดปัญหา นั่นเพราะเธอไม่มีความสามารถ เลยขายมดลูกเพื่อมีลูกให้ฉัน นั่นเพราะเธอไม่มีเส้นตาย ตอนนี้ยังอยู่ตระกูลเหลิ่งไม่ยอมไปอีก เธอไม่มีความไร้ยางอายเลยเหรอ”

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดประโยคนี้ออกมา เสียงก็ไม่มีการผันผวนเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การตำหนิของเหลิ่งเซ่าถิงที่มีต่อเธอ แต่เป็นการตัดสินสุดท้ายกับเธอ ในความคิดของเหลิ่งเซ่าถิงเจี่ยนอี๋นั่วคือผู้หญิงที่ไม่มีความสามารถไร้ยางอายและไม่มีเส้นตายแบบนี้ แต่สิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดไม่มีอะไรผิด

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขมขื่น กัดริมฝีปาก เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง “การประเมินของคุณดีมาก ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไม่มีอำนาจในการปฏิเสธคำขอของคุณนายเหลิ่ง คุณก็ไม่มีทางปฏิเสธคุณนายเหลิ่งไม่ใช่เหรอ? ไม่งั้นเรามาอยู่ด้วยกันดีๆ ดีกว่านะ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ ฉันแค่อยากให้คุณช่วยฉันรักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ ตอนที่คุณรู้สึกว่าฉันไปได้แล้ว แค่คุณปรึกษากับคุณนายเหลิ่งแล้ว ฉันก็จะไปทันที”

“หนึ่งปีแล้วกัน” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “เรารักษาความสัมพันธ์สามีภรรยาหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว เธอคลอดเด็กในท้อง แล้วก็ออกไปจากตระกูลเหลิ่งทันที ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ห้ามแสดงตัวเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งอยู่ข้างนอก ห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์ของเธอกับฉัน ต่อไปเด็กในท้องเธอ ตระกูลเหลิ่งของเราจะเลี้ยงดูเอง เธอห้ามพบเด็กคนนี้อีก”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องตัวเอง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจนิดหน่อย “ฉันห้ามเจอเด็กคนนี้อีกเหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมุมปากหัวเราะขึ้นมา “เธอประหลาดใจมากเหรอ? ตอนที่เธอตัดสินใจขายมดลูก ก็ควรคิดถึงวันนี้แล้วไหม? ตอนแรกคุณย่าฉันก็อยากได้เด็กคนนี้ ส่วนแม่จะเป็นใคร ตระกูลเหลิ่งของเราไม่สนใจ สิ่งที่เธอขายมันคุ้มมาก ฉันเพิ่งดูงบการเงินของตระกูลเจี่ยนของพวกเธอเมื่อกี้ เพื่อช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนของพวกเธอ ตระกูลเหลิ่งของเราต้องลงทุนอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านหยวน แค่ไม่ได้เจอเด็กมันเป็นปัญหาใหญ่เหรอ? ในเมื่อเธอคลอดเด็กคนนี้ได้เพื่อเงิน งั้นก็ทิ้งเด็กคนนี้ได้เพื่อเงินสิ? เธอคงไม่เหมือนผู้หญิงที่เป็นศัตรูกับตระกูลเหลิ่งของพวกเราเพื่อเด็กหรอกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น ร่างกายสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าเธอจะได้รับคำสบประมาทแค่ไหน เธอก็พยายามอดทน แต่คำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงครั้งนี้ มันเหมือนเอามีดแทงหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเหมือนไม่ใช่คนจริงๆ มดลูกก็ซื้อขายได้ เด็กก็ซื้อขายได้ เธอมีอะไรที่ขายไม่ได้อีก?

“เฮอะ……” เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตาแรงๆ กลั้นน้ำตาไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พูดถูกแล้ว เพื่อเงิน มีอะไรที่ฉันทิ้งไม่ได้บ้าง? ”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินไปหาเธอ บีบแก้มเธอแล้วกระซิบเสียงทุ้มต่ำข้างหูเธอ “อย่าเผยท่าทางน้อยแบบนี้ต่อหน้าฉัน เหมือนกับว่าเธอเสียดายเด็กมาก? สำหรับเธอ เด็กคนนี้ก็คือธุรกิจ ทำไมต้องทำท่าทางน่าสงสารแบบนี้? ”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปากอย่างแรง กลั้นน้ำตาไว้ แล้วพยักหน้าให้กับเหลิ่งเซ่าถิง “คุณพูดถูก”

เหลิ่งเซ่าถิงชะงัก แล้วปล่อยมือ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงทุ้ม “ต่อไปอย่าร้องไห้ต่อหน้าฉัน ฉันเกลียดผู้หญิงร้องไห้มากที่สุด ฉันยอมทำตามคำขอคุณย่า เพราะความกตัญญูที่มีต่อคุณย่าฉัน แต่ถ้าเธอทำให้ฉันไม่พอใจจริงๆ ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเธอ คุณย่าก็จะไม่ตำหนิฉัน”

“รู้ ต่อไปฉันจะไม่ร้องไห้อีก ฉันจะยิ้มต่อหน้าคุณเท่านั้น” หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลง ก็พยายามเผยรอยยิ้มออกมาให้เหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่หันหลังกลับไปข้างเตียง เปิดโน้ตบุ๊ก เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ยินว่าเหลิ่งเซ่าถิงสั่งให้เธอออกไป จึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

จนกระทั่งคนรับใช้เอาโจ๊กมาให้ เหลิ่งเซ่าถิงจึงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอไปเถอะ ฉันไม่ต้องการให้เธอดูแลที่นี่”

น้ำเสียงเย็นชา ราวกับสั่งคนรับใช้ เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าแล้วหันหลังออกจากห้องเหลิ่งเซ่าถิงไป เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว จนกระทั่งแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่วหายไปต่อหน้าเขาแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ากลับมามองโน้ตบุ๊กต่อ

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง ก็ไปบอกลาคุณนายเหลิ่งก่อน คุณนายเหลิ่งเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มขึ้นมา “ทำไม? มีธุระต้องออกไปเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ฉันต้องไปบริษัทสักครั้งค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้ม “อืม ควรไปบริษัทสักครั้งนั่นแหละ ฉันส่งคนไปคุยเรื่องอัดฉีดทุนกับเธอแล้ว ทางเซ่าถิงเป็นยังไงบ้าง? เขาก็คงมีคำขอกับเธอใช่ไหม? ให้ฉันเดานะ สั่งให้เธออย่าพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเซ่าถิงใช่ไหม? สั่งให้เธอคลอดลูกแล้วอย่าอยู่ที่ตระกูลเหลิ่ง? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก พยักหน้าอีกครั้ง “คุณเดาถูกหมดเลยค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น “ตามนิสัยของเขา เขาคงยื่นคำขอพวกนี้กับเธอ เธอต้องอดทน ค่อยๆ อยู่กับเขาไป เซ่าถิงดีทุกเรื่อง แต่ปากร้ายเกินไป จิตใจเย็นชาเกินไป เธอเป็นคนจิตใจอบอุ่น จะกลายเป็นภรรยาที่ดีของเขา”

คนจิตใจอบอุ่นเหรอ? เธอไม่ใช่คนเลือดเย็นเหรอ เป็นผู้หญิงที่ขายอะไรก็ได้เพื่อเงิน? เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามองตรงไหนว่าเธอเป็นคนจิตใจอบอุ่น?

และต่อจากนี้เธอจะกลายเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เหรอ?

มือของเจี่ยนอี๋นั่วกำหมัดแน่น ก่อนหน้านี้ตอนเธอตกลงว่าจะมีลูกให้เหลิ่งเซ่าถิง ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นภรรยาเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าชีวิตที่เหลือของตัวเองจะต้องอยู่กับผัก หวังเพียงรักษาทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยนเอาไว้ และสามารถเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เติบโตได้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้ เรื่องนี้ทำให้แผนการในอนาคตของเจี่ยนอี๋นั่วยุ่งเหยิงไปหมด ตอนนี้เธอได้ยินสิ่งที่คุณนายเหลิ่งขอกับเธอ ได้ยินสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงขอกับเธอ สมองเธอก็ยุ่งเหยิง เจี่ยนอี๋นั่วที่ฉลาดมีความสามารถในสายตาใครหลายๆ คน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในอนาคต

คุณนายเหลิ่งหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยกมือขึ้นจับมือเย็นเฉียบเล็กน้อยของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องกลัว ตระกูลเหลิ่งไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น การได้แต่งงานกับเซ่าถิง เป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน ตอนนี้เธอได้แต่งงานกับเขาแล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนใครอิจฉามากแค่ไหน และตอนนี้เขาหายดีเป็นปกติแล้ว ต่อไปพวกเธอก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันชอบเธอมาก ถึงเซ่าถิงจะสุขภาพแข็งแรงขึ้นมา ฉันก็จะเลือกเธอเป็นหลานสะใภ้ของฉัน เซ่าถิงก็จะพบข้อดีของเธอ……”

“ขอบคุณค่ะคุณนาย……อ่อ ไม่สิ คุณย่า” เจี่ยนอี๋นั่งพูดเสียงทุ้มกับคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งหรี่ตายิ้ม พยักหน้า “เธอไปทำธุระของเธอเถอะ ตอนเย็นอย่าลืมกลับมา ฉันให้คนเตรียมงานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว วันนี้เป็นวันที่มีความสุข ตอนเย็นทุกคนจะทานอาหารด้วยกัน เธอยังไม่มีรถพิเศษเฉพาะใช่ไหม? ไปที่โรงรถแล้วนั่งรถฉันก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณย่า ตอนเย็นฉันจะกลับมาให้ตรงเวลา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันหลังเดินไปที่โรงรถ เมื่อรถค่อยๆ ขับออกจากตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วหน้ากลับไปมองพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งที่ห่างเธอขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ตอนนี้จิตใจเธอสับสนวุ่นวาย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไร้สาระอยู่ เดิมทีมีลูกเพื่อผักคนหนึ่ง มันก็ไร้สาระมากแล้ว ตอนนี้ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาฉับพลัน จากการเป็นภรรยาในนามของผัก กลายเป็นภรรยาตามสัญญาของเหลิ่งเซ่าถิง

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ฟื้นขึ้นมา อย่างน้อยเหลิ่งเซ่าถิงในฐานะผัก ก็จะไม่พูดแดกดันใคร อยู่ด้วยกันคงไม่อยากมากขนาดนั้น แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตกับเขาอย่างไร เหลิ่งเซ่าถิงดูหมิ่นเธอถึงขีดสุด แค่นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็จะถูกเตือนหนึ่งครั้งว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในฐานะที่เหลืออดแค่ไหน

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ย คนที่ตระกูลเหลิ่งส่งมาก็รอเจี่ยนอี๋นั่วมานานมากแล้ว เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว คนคนนั้นก็ยิ้มแล้วยื่นสัญญาให้ทันที “คุณเจี่ยนเซ็นชื่อ เงินของตระกูลเหลิ่งจะนำมาใช้ได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วกวาดตามองสัญญาแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไป เห็นคนคนนั้นออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วกำลังเดินไป ก็ได้ยินเสียงใครบางคนปรบมือด้านหลังเธอ จากนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นด้านหลังเธอ “ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้เธอหยิ่งผยองขนาดนั้น? ที่แท้ก็เพื่อประจบสอพลอตระกูลเหลิ่ง? ฉันนับถือจริงๆ เลยนะ? ไปประจบสอพลอใครในตระกูลเหลิ่งมาล่ะ? ได้ยินว่าตอนนี้ตระกูลเหลิ่งมีแค่เหลิ่งเฉิงอวี่ผู้ชายคนเดียว ผู้ชายที่เหลือก็ป่วย หายตัวไป ยังไง? ประจบสอพลอเหลิ่งเฉิงอวี่เหรอ? หลังจากเหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นผัก ก็ว่ากันว่าเหลิ่งเฉิงอวี่คุณชายรองตระกูลเหลิ่งคนนี้ จะเป็นผู้ดูแลตระกูลเหลิ่ง แต่น่าเสียดายเขาอายุมากแล้ว เป็นพ่อเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงเย็นชานั้น ก็รู้ว่าเป็นฉู่หมิงเซวียน เธอขมวดคิ้วเดินไปหน้าลิฟต์ทันที กดปุ่มลิฟต์ลงชั้นล่าง แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันจะเป็นยังไง มันเกี่ยวอะไรกับคุณฉู่? ”

ฉู่หมิงเซวียนเดินมาหาเธอ จับข้อมือเธอไว้ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วล่ะ ฉันเป็นคู่หมั้นของเธอ ถึงฉันจะไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็ห้ามไปอยู่กับชายแก่พวกนั้นเพราะเงิน”

ถึงแม้ฉู่หมิงเซวียนยังเดาความสัมพันธ์ของเจี่ยนอี๋นั่วและตระกูลเหลิ่งได้ตอนนี้ แต่คนของตระกูลเหลิ่งจู่ๆ ก็มาที่บริษัทอี๋เหม่ย และยังนำเงินจำนวนมากมาด้วย ก็ปิดไม่มิดหรอกว่าเงินนี้มาจากตระกูลเหลิ่ง

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือฉู่หมิงเซวียนออก เธอก็ไม่อยากเถียงสักนิด เพราะถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะบอกว่าเธอขายมดลูกมีลูกให้ผักคนหนึ่งเพื่อเงินช่วยเหลือ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการคาดเดาของฉู่หมิงเซวียนเท่าไรนัก

และเหลิ่งเซ่าถิงก็เคยพูดกับเธอว่าไม่ให้เธอพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลเหลิ่ง ห้ามพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าคนอื่น นอกจากนี้ ทำไมเธอต้องอธิบายให้ฉู่หมิงเซวียนฟังด้วย? ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนจะมองเธออย่างไร มันก็ไม่สำคัญสำหรับเธอ

“นายไม่มีสิทธิมาถามเรื่องพวกนี้กับฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ น้ำเย็นแก้วหนึ่งก็สาดใบหน้าเธอทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเช็ดดวงตา จากนั้นก็ได้ยินเสียงแหลมของเฉิงซานซานดังขึ้นข้างหูเธอ เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอไม่อายเหรอ? เธอไม่รู้เหรอว่าตอนนี้หมิงเซวียนเป็นแฟนของฉัน? เธอไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ฉันมีลูกกับหมิงเซวียนแล้ว? ทำไมเธอยังกล้าเข้าใกล้เขาอีก? อย่าคิดว่าเธอเคยเป็นคู่หมั้นของหมิงเซวียนแล้วจะยุ่งกับเขาต่อได้นะ? ”

“พอแล้ว! เธอจะวุ่นวายทำไม? ” ฉู่หมิงเซวียนหันไปตะโกนเสียงทุ้มใส่เฉิงซานซาน

เฉิงซานซานสูดจมูก ร้องไห้แล้วพูดขึ้น “คุณดุฉันเหรอ? หมิงเซวียนคุณดุฉันงั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันท้องลูกคุณอยู่นะ? ไม่คิดว่าคุณจะดุฉันเพราะผู้หญิงคนนี้? ”

“ผู้หญิงคนนี้? ” เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า หันหน้าไปทางเฉิงซานซาน

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ยกมือขึ้นตบเฉิงซานซานแล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนไหน ตอนนี้ฉันเป็นประธานบริหารบริษัทอี๋เหม่ยแทนพ่อฉัน ถ้าเธอไม่สุภาพกับฉันแบบนี้ ฉันไล่เธอออกได้ทุกเมื่อ”

“ล้อเล่นอะไร? ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนจะจบเห่แล้ว รักษาสิทธิหุ้นของตระกูลเจี่ยนไว้ไม่ได้เลย? คราวก่อนผู้ถือหุ้นพวกนั้นบอกว่าจะให้หมิงเซวียนของเราเป็นประธาน……”

เฉิงซานซานพูดถึงตรงนี้ ก็กุมหน้าหันไปมองฉู่หมิงเซวียน ร้องไห้อย่างน้อยใจแล้วพูดขึ้น “หมิงเซวียน คุณดูสิ เธอกล้าตบฉัน!”

ฉู่หมิงเซวียนตะโกนใส่เฉิงซานซาน “เธออย่าพูดไร้สาระได้ไหม!”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปยิ้มให้เฉิงซานซาน “ทำไม? ผู้จัดการฉู่ยังไม่ได้บอกเธอเหรอ? ฉันเห็นผู้จัดการฉู่มาแสดงความยินดีกับฉัน ฉันคิดว่าเขาบอกเธอแล้วซะอีก ฉันได้เงินมาแล้วล่ะ ตระกูลเจี่ยนของเรายังมีสิทธิผู้ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยเหมือนเดิม พ่อฉันก็ยังเป็นประธานเหมือนเดิม ในช่วงที่พ่อฉันป่วยอยู่ ฉันจะทำหน้าที่แทนพ่อของฉัน เป็นประธานบริษัทอี๋เหม่ยชั่วคราว”

เฉิงซานซานเบิกตากว้างทันที ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่? นี่มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมเธอได้เงินเร็วขนาดนี้? ใครช่วยเธอ? ”

ฉู่หมิงเซวียนกัดฟันมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “ตระกูลเหลิ่ง”

“ว่าไงนะ? ตระกูลเหลิ่ง? ” เฉิงซานซานปิดปากด้วยความประหลาดใจ มองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความหวาดกลัว “เธอ เธอมีปัญญารู้จักกับตระกูลเหลิ่งได้ยังไง? ”

“ขายเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “คุณหนูใหญ่เจี่ยนเป็นหญิงแกร่งนักธุรกิจ เพื่อรักษาสมบัติตระกูลเจี่ยนเอาไว้ น่าจะขายอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงขนาดอยู่กับชายแก่ได้!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “ใช่แล้ว ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาทรัพย์สินตระกูลเจี่ยนเอาไว้ นายคอยดูเถอะ ฉันไม่ขี้ขลาดเหมือนนาย ไม่กล้าเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง ลงมือกับผู้บริสุทธิ์ ฉันจะจัดการนายเป็นอย่างดี! ฉู่หมิงเซวียน ทุกอย่างของนายในตอนนี้ตระกูลเจี่ยนเป็นคนมอบให้ ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไร ฉันจะค่อยๆ เอาของพวกนั้นคืนมาจากนายเหมือนกัน ตอนแรกนายไม่มีอะไรเลย ดังนั้นฉันก็จะให้นายไม่มีอะไรต่อไป!”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เห็นประตูลิฟต์เปิดขึ้น ก็เดินเข้าไปในลิฟต์ทันที กดปุ่มเพื่อปิดประตูลิฟต์ เห็นประตูใหญ่ของลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลับตาลง พิงมุมลิฟต์ ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งต่อหน้าศัตรูแค่ไหน มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอรู้สึกผิดมากแค่ไหนเมื่อเธอพูดประโยคเมื่อครู่ออกไป

เพราะตระกูลเหลิ่งสามารถสนับสนุนให้เธอเดินไปได้ไกลแค่ไหน เธอก็ไม่แน่ใจ เพื่อได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเหลิ่ง เธอต้องจ่ายไปมากแค่ไหน เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลย เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เดินหนึ่งก้าว ดูหนึ่งก้าว พยายามคลานไปสู่เป้าหมายของตัวเองเหมือนหอยทากที่แบกรับน้ำหนัก

มาถึงหน้าประตูใหญ่บริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นว่าด้านนอกฝนตก ละอองฝนตกลงมาเหมือนเส้นเลือด เจี่ยนอี๋นั่วเคยชอบฝนมากๆ เพราะครั้งแรกที่เธอเจอฉู่หมิงเซวียนคือระหว่างที่ฝนตก ตอนนั้นเธอไปพบลูกค้าคนหนึ่งแล้วลืมเอาร่มไป เขาเป็นคนถือร่มให้เธอเพื่อกันฝน

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ชินกับการเข้าใกล้ผู้ชาย ยังคงรักษาระยะห่างกับฉู่หมิงเซวียน แต่ร่มมันเล็กเกินไป เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าครึ่งตัวของฉู่หมิงเซวียนโดนฝน เสื้อผ้าเปียกไปหมด

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ชอบฉู่หมิงเซวียนแล้ว เธอรู้สึกว่าผู้ชายที่ดูแลเธออย่างระมัดระวังแบบนี้จะต้องรักเธอแน่ๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าทุกอย่างมันปลอมมาตั้งแต่แรก ตอนนี้นึกขึ้นมา การเจอกันครั้งนั้นก็อาจจะเป็นแผนการที่ฉู่หมิงเซวียนจงใจก็ได้ เธอก็ไร้เดียงสาจริงๆ คาดหวังว่าจะมีผู้ชายมาดูแลเธอจริงๆ เหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเธอ สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก คนอื่นบอกว่าเธอเป็นเด็กดื้อ สมควรอยู่คนเดียวตลอดไป ตอนแรกคิดว่าแต่งงานกับผักคนหนึ่ง ก็คงเป็นคำตัดสินชีวิตที่เงียบเหงานั้น ไม่คิดว่าชีวิตเรียบง่ายที่สุดของหญิงม่าย ตอนนี้ก็ยังไม่เต็มใจจะให้เธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเยาะตัวเอง หลับตาอย่างแรง และเดินลุยฝนเพียงลำพัง

“ฝนตกเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองสายฝนที่ตกบนหน้าต่าง แล้วพูดเสียงทุ้ม

เฉิงซานซานพยักหน้า “น่าจะใช่นะ? พยากรณ์อากาศตอนเช้าบอกว่าวันนี้จะมีฝน หมิงเซวียน วันฝนตกแบบนี้ควรกินอาหารญี่ปุ่นมากที่สุด เราไปกิน……”

เฉิงซานซานยังพูดไม่จบ ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนรีบหยิบร่มที่วางข้างๆ ขึ้นมาแล้วลงลิฟต์ไป เมื่อฉู่หมิงเซวียนถือร่มเดินไปที่หน้าประตูใหญ่บริษัท ก็ไม่เห็นแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่วอีกต่อไป

ในตอนนี้มีพนักงานบริษัทเข้ามาใกล้ฉู่หมิงเซวียน ถามขึ้นเสียงทุ้ม “ผู้จัดการฉู่ คุณกำลังหาใคร? ”

ฉู่หมิงเซวียนมองสายฝนและหมอกตรงหน้าอย่างว่างเปล่า ผ่านไปนานสักพักก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “เปล่า ไม่ได้หาใคร จู่ๆ ฉันแค่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้……”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันตัวเดินกลับไปที่บริษัท เหลือเพียงพนักงานบริษัทที่เกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นกับผู้จัดการฉู่นะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาถึงลานจอดรถ หารถที่เธอจอดไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้ พบว่ารถเธอน้ำมันหมด เจี่ยนอี๋นั่วกุมขยับส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น ถึงตระกูลเหลิ่งจะให้เงินสนับสนุนเธอมากมาย แต่ใช้มันในการดำเนินงานของบริษัท ตอนนี้เธอไม่มีเงินค่าน้ำมันด้วยซ้ำ

ถึงแม้ตระกูลเหลิ่งจะส่งเธอมาทำงาน แต่เธอไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆ ในการให้ตระกูลเหลิ่งมารับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ? ฉันมีรถคันหนึ่งต้องการจะขาย”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด ก็หันไปมองรถคันนั้น พูดขึ้นเสียงทุ้ม “อืม เป็นรถที่ไม่เลว ฟังก์ชันดีมากทุกด้าน ฉันอยากขายให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ฉันต้องการเงินมาก โอเคค่ะ อีกสองสามวันตอนคุณมาดูรถให้ติดต่อฉันอีกทีนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็วางสายไป เดินออกไปจากโรงรถ เมื่อเดินออกมาจากโรงรถแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าฝนตกหนักขึ้น เธอรีบกุมท้องวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทาง หลังจากวิ่งไปถึงป้ายรถประจำทางแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ปิดท้องเล็กน้อย หายใจยาวๆ ไม่ว่าจะกลายเป็นแม่ด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะปกป้องท้องตัวเองเป็นพิเศษ ถึงฝนจะตก แต่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เป็นหวัดเลยสักนิด

เมื่อหายใจรวยริน เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดกระเป๋าขึ้นมา ต้องการหาเงินสำหรับแท็กซี่ แต่ค้นหาในกระเป๋าแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเจอแค่เหรียญเดียวเท่านั้น

เพิ่งเอาเหรียญออกมา มือเจี่ยนอี๋นั่วก็แข็งเล็กน้อยเพราะโดนฝน ไม่คิดว่าถือเหรียญไว้ไม่ได้ ปล่อยมันหลุดออกจากมือ เห็นมันกลิ้งอยู่บนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วก้มหยิบมันโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้หยิบเหรียญ เหรียญมันก็กลิ้งหล่นท่อน้ำทิ้งไป

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองเหรียญที่อยู่ในท่อระบายน้ำ เธอรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว ชีวิตแย่ขนาดนี้ได้ยังไงนะ?

เธอจ้องมองเหรียญนั้น ยิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้า “ฉันโดนดูถูกไม่เป็นไร ทำไมแม้แต่เหรียญอย่างแกก็เล็งเป้ามาที่ฉันด้วยล่ะ? ฉันแค่อยากใช้แกขึ้นรถเมล์เองนะ คนสร้างแกขึ้นมาเพื่อให้ใช้จ่าย แต่ดูแกสิ! ทิ้งคุณค่าของตัวเอง แกจบเห่แล้ว แกไม่สมควรเป็นเงิน!”

“พรืด……” ทันใดนั้นมีผู้ชายหลุดขำออกมาจากด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว “ถึงเธอจะสั่งสอนมันแบบนี้ มันก็ไม่คลานออกมาจากท่อน้ำทิ้งหรอกนะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองด้านหลัง ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนกำลังยืนด้านหลังเธอ เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ชัด เพราะหน้าเขาโดนหมวกแก๊ปบังไปครึ่งหนึ่ง และถูกเคราบังไปครึ่งหนึ่ง ดูแล้วเหมือนคนจรจัด

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เว้นระยะห่างกับผู้ชายคนนั้นนิดหน่อย แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “คุณคะ ได้โปรดหลีกไป นี่มันเรื่องของฉัน……”

“ผู้หญิงเจอกับปัญหา ก็ควรรู้จักหาวิธีช่วยเหลือสิ” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะ นั่งยองๆ ข้างท่อน้ำ คายหมากฝรั่งออกจากปาก หนีบแท่งไม้ยื่นเข้าไปในปากท่อ

เจี่ยนอี๋นั่วมองพฤติกรรมของชายคนนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าจะใช้วิธีนี้หยิบเหรียญออกมาได้

ชายคนนั้นเอาเหรียญมาพร้อมโยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนอี๋นั่ว “ใส่ไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเสื้อแจ็กเกตยีน อย่างไรก็ใส่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเหตุผลนะ แค่เธอไม่ชินกับการสวมเสื้อผ้าของผู้ชายแปลกหน้า

ผู้ชายคนนั้นหันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำไม? องค์หญิงน้อย? เธอกลัวสกปรกมีกลิ่นเหม็นเหรอ? ”

เสียงผู้ชายคนนั้นดูดีกว่ารูปลักษณ์เขามาก ฟังแล้วทุ้มต่ำมีความแหบเล็กน้อย เป็นเสียงที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนใจเต้น

ตั้งแต่เล็กจนโต เจี่ยนอี๋นั่วถูกเฮ่อเยี่ยนหงเรียกเธอลับหลังว่า “แม่มดน้อย” ถูกลูกน้องเคยเรียกว่า “ปีศาจกระดูกขาว” ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียกว่า “เด็กเนิร์ด” ไม่เคยมีใครเรียกเธอว่า “องค์หญิงน้อย” อะไรนี่มาก่อน นี่มันคำเรียกอะไร? แม้แต่พ่อของเธอเจี่ยนฉางรุ่นก็ไม่เคยเรียกเธอแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างสงสัย “น-นายเรียกฉันเหรอ? ”

ผู้ชายคนนั้นมองสังเกตเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วก่อนพยักหน้า “อืม ใช่ ไม่เคยมีใครบอกเธอเหรอว่าเธอเหมือนองค์หญิงผู้สูงส่งจริงๆ? ”

เจี่ยนอี๋นั่งทำหน้าเย็นชา ยืนขึ้นมาทันที แล้วพูดเสียงทุ้ม “ไม่มีองค์หญิงที่ไหนนั่งข้างท่อระบายน้ำเพื่อหยิบเหรียญหรอก ช่างเถอะ ฉันไม่ต้องการเงินนั้นแล้ว”

“โกรธเหรอ? อย่าโกรธเลยหน่า……” ผู้ชายคนนั้นยืนขึ้นพร้อมยื่นมือมาจับแขนเจี่ยนอี๋นั่ว มืออีกข้างของเขาก็กางออกต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ดูสิ เก็บเหรียญได้แล้ว”

“ขอบคุณค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือไปรับเหรียญนั้นทันที

แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้สัมผัสเหรียญ ผู้ชายคนนั้นก็ซ่อนเหรียญไว้ด้านหลัง ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “ยอมรับก่อนว่าเธอเป็นองค์หญิง แล้วฉันจะให้เหรียญเธอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองผู้ชายคนนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างหมดหนทาง เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเธอทำไมตกต่ำมาถึงจุดนี้ได้? เพื่อเงิน สามารถมีลูกให้ชายแปลกหน้าได้ เพื่อเงิน สามารถเป็นภรรยาตามสัญญาของเหลิ่งเซ่าถิงต่อ ตอนนี้มีคนจรจัดแปลกหน้ายังใช้เงินหนึ่งหยวนมาข่มขู่เธออีก ให้เธอยอมรับว่าเป็น “องค์หญิง” อะไรนั่น

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า หัวเราะเยาะใส่ผู้ชายคนนั้น “ราคาของฉันแพงมาก อยากให้ฉันยินยอมปฏิบัติตามนาย หนึ่งหยวนไม่พอหรอก และเงินหนึ่งหยวนนี้ก็เป็นของฉัน!”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้น ก็ดึงแขนผู้ชายคนนั้นอย่างแรง แย่งหนึ่งหยวนนั้นมาจากผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็รีบเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมเลิกยุ่งกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “หนึ่งหยวนไม่พอ งั้นต้องการเท่าไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น ไม่อยากพูดอะไรกับผู้ชายคนนี้อีก แต่ผู้ชายคนนั้นยังคงถามเสียงทุ้ม “หนึ่งหมื่น? หนึ่งล้าน? สิบล้าน? พันล้าน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองผู้ชายคนนั้น ยกโทรศัพท์ออกมาทันทีแล้วกดเบอร์ 110 แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ฮัลโหล 110 ใช่ไหมคะ? ฉันอยากแจ้งความ มีคนมารังควานฉัน!”

“OK ฉันยอมรับผิดแล้ว อย่าแจ้งตำรวจเลย ฉันไม่พูดแล้ว” ผู้ชายคนนั้นยกสองมือขึ้นด้วยท่าทางยอมจำนน ยิ้มขณะที่ถอยหลังไปสองสามก้าว

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองมากเกินไป ตอนนี้กว่าข่าวด้านลบของตระกูลเจี่ยนจะถูกควบคุม เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ข่าวด้านลบตระกูลเจี่ยนปรากฏในหัวข้อข่าวเพราะเธอ หลังจากเธอเห็นชายคนนั้นถอยหลัง ก็รีบวางสายทันที ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่ววางสาย ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาจูบมุมปากเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วผลักผู้ชายคนนั้นทันที เช็ดปากแล้วตะโกนเสียงดัง “นายทำอะไร? ”

ผู้ชายคนนั้นยิ้มแล้วหันตัวไป ขี่จักรยานยนต์ที่พิงไว้ข้างถนน ขี่จักรยานยนต์มาหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “จูบเธอไง ฉันชอบเธอมาก มากับฉันสิ บ้านฉันอยู่ละแวกนี้ เราไปดื่มกาแฟกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาฟาดผู้ชายคนนั้น “นายป่วยเหรอ? นายเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารังแกใช่ไหม? ถึงกล้าหยอกล้อฉันแบบนี้? นายทำเกินไปแล้ว! นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไง? ฉันไม่ใช่คนที่พวกนายคิดจะรังแกตามอำเภอใจนะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนอยู่ตรงนี้ จู่ๆ ก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา เธออดกลั้นความรู้สึกด้านลบทั้งหมดไว้ในใจมาชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดตอนนี้ระเบิดออกมาอย่างทนไม่ไหวแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วตีผู้ชายคนนั้นพลางร้องไห้ตะโกนไปด้วย “ฉันรู้ว่าพวกนายดูถูกฉัน พวกนายกำลังดูความครึกครื้นของฉัน แต่ฉันทำอะไรได้? ฉันไม่มีทางเลือก ฉันเห็นเลือดเนื้อของพ่อสูญเปล่าไม่ได้ พวกนายทำได้แค่หัวเราะเยาะฉันอย่างเย็นชา บอกว่าฉันไร้ยางอาย บอกว่าฉันหน้าด้าน แต่ถ้าพวกนายตกต่ำเหมือนฉันจริงๆ พวกนายจะทำกันยังไง? เห็นเลือดเนื้อของพ่อหายไป เห็นพ่อนอนโรงพยาบาลโดยไม่มีค่าผ่าตัด มีไม่กี่คนหรอกที่โชคดีขนาดนั้น ที่สามารถมีศักดิ์ศรีและหยิ่งผยองได้ตลอด!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็นั่งยองๆ บนพื้น กอดตัวเองแล้วร้องไห้ขึ้นมา “ฉันไม่ได้ทำร้ายใคร ทำไมเหมือนฉันไปทำเรื่องร้ายแรง ทำไม? ทำไมใครๆ ก็มารังแกฉัน คนอื่นรังแกช่างมัน แม้แต่นายที่เป็นชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่มาก็ยังหลอกล้อฉันอีกเหรอ! ฉันแค่ไม่อยากให้พ่อฉันผิดหวัง ฉันจะทำยังไงได้บ้าง? ”

“คือ……” ผู้ชายคนนั้นเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว สะกิดศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดเสียงทุ้ม “ฉันเหมือนรังควานเธอเหรอ เธออย่าโกรธเลยนะ? และฉันไม่ได้หยอกล้อเธอจริงๆ ฉันชอบเธอมากจริงๆ อีกอย่างผู้หญิงดุๆ แบบเธอ จะถูกคนอื่นรังแกเหรอ? คนที่รังแกเธอเป็นใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองผู้ชายคนนั้น ย่อตัวลงด้วยความฉุนเฉียว “ฉันไม่อยากให้นายมายุ่ง!”

ชายคนนั้นนั่งยองๆ ตรงหน้าเธอ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เด็กผู้หญิงอย่างเธอ เป็นอะไรไม่พอใจ? ”

“ไม่เกี่ยวกับนาย! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับผู้ชายคนนั้นอย่างฉุนเฉียวต่อ

“ดุมากอ่ะ! เด็กผู้หญิงดุๆ แบบเธอ ระวังหาสามีไม่ได้นะ” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสนใจอีก

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งยองๆ อยู่ที่เดิม มองผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็ฝังศีรษะบนแขน ไม่มองผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นค่อยๆ เข้าไปใกล้ กดเสียงทุ้มต่ำ ถามขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “เธอเป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ? ถ้าไม่สบาย ฉันไปส่งเธอโรงพยาบาลได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น มองผู้ชายคนนั้น ทันใดนั้นก็หยิบสเปรย์กันแดดในกระเป๋าเมื่อครู่ออกมา แล้วฉีดเข้าไปในดวงตาผู้ชายคนนั้นอย่างแรง

ผู้ชายคนนั้นร้องตะโกนและปิดตา “อ๊าก……เธอฉีด นี่มันอะไร? สเปรย์พริกไทยเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วยืนขึ้นมา พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “จัดการนายไม่ต้องใช้สเปรย์พริกไทยหรอก แค่สเปรย์กันแดดก็พอ คราวหน้าถ้าอยากจีบสาว ทางที่ดีก็ดูอารมณ์ของเธอก่อนนะ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนแค่ได้ยินนายพูดไม่กี่ประโยค นายก็จะทำอะไรเธอได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เตะชายคนนั้นอย่างแรง อ้อมตัวชายคนนั้น เดินไปที่รถประจำทางที่เพิ่งขับมา

“เฮ้……เธอจะไปแล้วเหรอ……” ผู้ชายคนนั้นปิดตายืนขึ้นมา กลับเห็นแค่แผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว

ผู้ชายคนนั้นขยี้ตาพลางหัวเราะขมขื่น “สเปรย์กันแดดเหรอ? ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ !”

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งรถประจำทาง เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของผู้ชายคนนั้นผ่านหน้าต่างรถ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างสบายใจ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ใส่สเปรย์กันแดดไว้ในกระเป๋าเป้อย่างระมัดระวัง แล้วพึมพำเสียงเบา “จริงๆ เลย เสียสเปรย์กันแดดไปกับเขาซะเยอะเลย นี่เป็นแบรนด์เนมด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีเงินซื้อได้อีก……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็เม้มปาก อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มทุกข์ใจกับสิ่งของเหล่านี้แล้วเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มอย่างหมดหนทางแล้วส่ายหน้า เธอต้องใส่ใจกับการประหยัดเครื่องสำอาง แม้แต่ตอนขึ้นรถเมื่อครู่นี้ เพราะเธอมีแค่หนึ่งหยวน ไม่มีทางไปโรงพยาบาลได้ เลือกที่จะกลับบ้านตระกูลเหลิ่งก่อน เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสถึง “ความจน” ครั้งหนึ่งเธอเคยสงสัยว่าทำไมคนที่ภูมิหลังครอบครัวไม่ดีส่วนมากจะรู้สึกต่ำต้อย ที่แท้ “ความจน” คำนี้มันทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของทุกคนไป คนจนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว เพื่อเลี่ยงในการตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน เพราะพวกเขาไม่มีการป้องกันใดๆ เลย

แบบนี้จะรักษาความหยิ่งในศักดิ์ศรีได้อย่างไร? ค่าใช้จ่ายในตอนทานอาหาร เข้าสังคม การเดินทางมันไม่มีทางรับประกันได้เลย จะรักษาความทรงเกียรติของตัวเองได้อย่างไร? ความทรงเกียรติมากมายมันถูกสร้างด้วยเงิน ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วนับถือคนที่พึงพอใจกับความยากจนการหยิ่งในศักดิ์ศรีและรักตัวเอง ในที่สุดเธอก็รู้ว่านั่นต้องใช้ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน แค่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจเหตุผลนี้ ดังนั้นราคาที่จ่ายจึงสูงเกินไป

ป้ายรถประจำทางจอดอยู่ห่างกับพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งอยู่บ้าง เจี่ยนอี๋นั่วเดินสิบกว่านาทีก็ถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง บอดี้การ์ดหน้าประตูบ้านตระกูลเหลิ่งเห็นเจี่ยนอี๋นั่วสักพัก ก็จำสถานะของเจี่ยนอี๋นั่วได้ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหญิง ผมจะเรียกรถไปส่งคุณ”

พูดจบ ไม่รอให้แสดงท่าที บอดี้การ์ดก็เรียกรถคันหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก ก่อนจะนั่งรถ เพราะพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งใหญ่เกินไป ถ้าไม่มีรถ เจี่ยนอี๋นั่งเดินเข้าไปคฤหาสน์หลัก ไม่รู้ว่าต้องเดินนานแค่ไหน เทียบกับครั้งแรกที่พบกับความไม่คุ้นเคยของพื้นที่คฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วค่อนข้างคุ้นเคยกับตระกูลเหลิ่งบ้างแล้ว ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตระกูลเหลิ่งเลย

คนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งมีมารยาทดีเป็นพิเศษ ปกติแต่ละคนจะเหมือนมนุษย์ล่องหน ความรู้สึกของการมีอยู่ต่ำมาก แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาทันทีแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า “เสื้อผ้าคุณหญิงเปียกแล้ว ต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมคะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยังปรับตัวไม่ได้กับชื่อเรียกนี้ ได้ยินคำพูดของคนรับใช้ตระกูลเหลิ่ง ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามขึ้นเสียงเบา “คุณพูดกับฉันหรือเปล่าคะ? ”

คนรับใช้ตระกูลเหลิ่งพยักหน้า “ค่ะ คุณหญิง คุณเปียกฝนมาใช่ไหมคะ? ฉันจะไปเติมน้ำให้คุณ หลังจากคุณออกไปในตอนเช้า คุณนายก็ซื้อเสื้อผ้าตามขนาดตัวคุณมา สั่งฉันไว้เป็นพิเศษว่าถ้าคุณกลับมา ให้ขึ้นไปลองข้างบน หวังว่ามันจะพอดีตัวคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับคนรับใช้ หลังจากเดินขึ้นไปถึงข้างบน เจี่ยนอี๋นั่วก็ลังเลนิดหน่อย เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรไปที่ไหน? ควรไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงไหม? ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วลังเล ประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิงก็เปิดออกทันที

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกมาจากในห้อง เขาเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นสูทสั่งตัด เหมาะกับตัวเป็นพิเศษ สีหน้าเขาไม่ได้ซีดเซียวขนาดนั้นแล้ว เปล่งประกายด้วยแสงสวย ดูไม่เหมือนผักที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเลย

เขาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว มุมปากเม้มเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณย่าให้เธออยู่กับฉัน เธอเข้าไปสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “แต่……ฉัน……ฉันต้องอาบน้ำ……และต้องเปลี่ยนชุด”

เหลิ่งเซ่าถิงติดกระดุมปลายแขนพลางพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงเย็นชา “เธอใช้ห้องน้ำได้”

“โอ……โอเค” เจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลงเหลิ่งเซ่าถิงทันที หยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

คนรับใช้เข้าไปในห้องน้ำก่อน ใส่น้ำร้อนให้เจี่ยนอี๋นั่วเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนรับใช้ออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปิดประตูห้องน้ำทันที เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายคนนี้ยังอยู่ข้างนอก จึงล็อกประตูห้องน้ำ

แค่เพิ่งบิดลูกบิดประตู เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นเสียงทุ้มด้านนอกประตู “เธอไม่ต้องกังวล ฉันไม่กล้าสนใจร่างกายเธอหรอก คงไม่จู่ๆ ก็บุกเข้าไปดูเธออาบน้ำ เธอไม่ต้องล็อกประตู”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตาอย่างรวดเร็ว หายใจเข้าลึกๆ เธอไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะหูดีขนาดนี้ แม้แต่เสียงล็อกประตูก็ยังได้ยิน ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่เห็นเธอ แต่เธอก็หน้าแดงอย่างกระอักกระอ่วน อธิบายขึ้นเสียงเบา “ฉ-ฉันแค่จะดูว่าตัวล็อกประตูทำงานได้ไหม ไม่ได้อยากล็อกประตู……”

เพิ่งพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ประโยคนี้ของเธอ ทำไมมันยิ่งรู้สึกแปลกๆ ล่ะ? อะไรคือไม่อยากล็อกประตู? แบบนี้เธอเหมือนผู้หญิงที่มีกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับเลย

อย่างที่คิดไว้ เธอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงทำเสียงฮึดฮัดอยู่นอกประตู เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าตอนนี้สีหน้าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูถูกมากแค่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด

“ช่างเถอะ ยังไงเขาก็เหยียดหยามฉันมาตลอด โดนเขาดูถูกต่อไป มันจะเป็นอะไรไป? ” เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำเสียงเบา เปิดฝักบัวและอาบน้ำ

เมื่อเธออาบน้ำแล้ว เป่าผมเรียบร้อยแล้ว สวมชุดนอนที่วางอยู่ข้างๆ ขณะที่เตรียมเดินออกจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถอนหายใจ ถึงจะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเหยียดหยามเธอ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าใครที่โดนเหยียดหยามมาตลอด โดนคนดูถูก ก็จะรู้สึกอึดอัดใช่ไหมล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟัน ขมวดคิ้ว เดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องน้ำ สิ่งแรกที่เห็นก่อนคือเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานข้างๆ ครั้งแรกที่มาถึงห้องนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแค่ห้องนอนของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าในห้องนี้ยังมีห้องทำงานซ่อนอยู่

เหลิ่งเซ่าถิงสวมแว่นขอบดำ เห็นเจี่ยนอี๋นั่วออกมา ก็พูดเสียงทุ้ม “ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเด็กคนนี้ ฝนตกร่มก็ไม่พก? อยากกำจัดเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุด แล้วทำไมต้องทำท่าทางปกป้องเด็กคนนี้ต่อหน้าฉันล่ะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่งเพิ่งเป็นคุณแม่ และท้องด้วยวิธีการที่มนุษย์สร้างขึ้น แม้ว่าจะมีความตระหนักของการเป็นแม่อยู่บ้าง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังแปลกกับการทำหน้าที่แม่ เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจปัญหาเรื่องฝนตกจริงๆ ตอนแรกที่เธอเจอกับผู้ชายบ้าบิ่น แถมยังมารบกวนอารมณ์ของเธอ ทำให้เธอลืมปกป้องลูกของตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดขึ้นมา ก้มหน้าพูดเสียงเบา “ฉันลืมไป ขอโทษ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเสียใจมากจริงๆ เธอไม่ได้รู้สึกผิดต่อเหลิ่งเซ่าถิง แต่รู้สึกผิดต่อเด็กในท้องนิดหน่อย รู้สึกว่าเธอยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในฐานะแม่ จึงรู้สึกผิด

“ขอโทษ? ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงทุ้ม “ไม่ต้องรู้สึกขอโทษฉันหรอก เพราะฉันก็อยากให้เด็กในท้องหายไปเหมือนกัน ถ้าเสียเด็กคนนี้ไปเพราะความผิดพลาดของเธอ ฉันกับคุณย่าก็จะเลี่ยงความช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนได้ และลดปัญหาไปได้เยอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เม้มปาก ก้มหน้า ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจู่ๆ ก็ยืนขึ้นเดินมาหาเธอ เจี่ยนอี๋นั่วถอยหลังไปไม่กี่ก้าวอย่างระวังตัว แต่เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไป หยิบแก้วบนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา

หลังจากดื่มไปหนึ่งอึก เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงทุ้ม “คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ? เธออย่าเข้าใจฉันผิดตลอดเวลา ฉันไม่ชอบผู้หญิงแบบเธอสักนิด เพราะการเตรียมการของคุณย่า ห้องนี้ใช้ได้ เตียงนี้เธอนอนได้ แต่เธอต้องจำสถานะของเธอไว้ตลอด เธอก็แค่เครื่องมือในการมีเด็กคนนี้เท่านั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ตอบรับ “ฉันรู้แล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา พูดเสียงทุ้ม “จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ขณะสวมเนกไทก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย “ใส่เดรสสีดำตัวนั้นในตู้เสื้อผ้า จะได้เข้ากับชุดสูทสีดำของฉัน คืนนี้อารองก็กลับมาแล้ว อาสะใภ้รองต้องเรียกญาติหลายคนมาแน่ๆ พวกเขาจะฉวยโอกาสตอนที่ฉันยังฟื้นตัวไม่เต็มที่มาดูว่าฉันเสี่ยงมากแค่ไหน อาสะใภ้รองของฉันสุยเฉิงจิ้ง เธอเคยเจอแล้ว หล่อนไม่ได้มีบทบาททรงพลังอะไร แค่มีแผนการเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็อาจทำให้เธอแย่ได้ แต่จะไม่ทำร้ายเธอจริงๆ ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วต่อ “คนที่ต้องระวังคืออารองของฉันเหลิ่งเฉิงอวี่ เขาดูเหมือนอบอุ่นมาก ทำให้เธอไม่ได้ระวังตัว บางครั้งเธอก็จะรู้สึกว่าเขาคือคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เธอจะรู้สึกว่าเขาใจดีมาก เป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น แต่บางครั้งก็ต้องระวัง เขานั่นแหละเป็นคนที่จะฆ่าเธอ”

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็ม้วนแขนเสื้อ เผยรอยแผลเป็นที่แขน แล้วพูดเสียงทุ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว “ตอนสิบเอ็ดขวบ ฉันตกลงไปในสระว่ายน้ำ เขาเห็นฉันตกลงไปกับตา แต่ไม่ได้ช่วยชีวิตฉันแต่กลับเหยียบฉัน รอยแผลนี้เกิดขึ้นตอนที่ฉันดิ้นในสระว่ายน้ำ ข่วนจนเป็นแผล ฉันเกือบจมน้ำตาย โชคดีมีคนรับใช้ผ่านมา ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คนที่ตระกูลเจี่ยนของพวกเธอควรขอร้องคืออารองของฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิง ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดประสบการณ์ในอดีตของเขาอย่างใจเย็นแบบนี้ ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเคยเจอคนโหดเหี้ยมมากมายในวงการธุรกิจ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีคนสามารถฆ่าคนเพื่อเงินจริงๆ และเป็นญาติของตัวเองด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วขยับริมฝีปาก พูดขึ้นเสียงทุ้ม “งั้นก็……”

“ก็แจ้งตำรวจได้เหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะขึ้นมา “ความยุ่งเหยิงภายในตระกูลหนักเกินไป ตระกูลเหลิ่งพัฒนามาถึงในวันนี้ ผลประโยชน์ ความยุ่งเหยิง ความซับซ้อน ไม่ใช่ว่าเธออยากทำอะไรก็สามารถทำได้ คนในตระกูลเหลิ่งมากมายมีสิทธิถือหุ้นไม่มากก็น้อย ถ้าจัดการไม่เหมาะสม ถึงเธอจะเป็นทายาทตระกูลเหลิ่งแล้วมันยังไง? ก็โดนกำจัดสิทธิสำคัญในตระกูลเหลิ่งได้เหมือนกัน พวกเขาไม่ยอมให้ฉันเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว พยายามสนับสนุนอารองของฉัน ต้องปกป้องเขาอย่างเต็มที่ เพราะเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ยืนข้างๆ ฝูงหมาป่าเสือสองตัวต้องเป็นพวกเดียวกัน แต่ถ้าเหลือเสือตัวเดียวอย่างฉัน ต้องจัดการฝูงหมาป่าพวกเขา ผลประโยชน์ของพวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย ความสัมพันธ์มันละเอียดอ่อนแบบนี้ ที่บอกเธอเรื่องพวกนี้ เพื่อไม่ให้เธอรั้งขาฉันไว้ ถ้าตำแหน่งในตระกูลเหลิ่งของฉันได้รับผลกระทบเพราะเธอ คุณย่าก็รักษาเธอไว้ไม่ได้เหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกรอบกายเย็นเฉียบ ตอนนี้เธอรู้สึกภายในตระกูลเหลิ่งทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นหวาดกลัวจริงๆ ถึงเธอจะเคยเจอผู้ชายชั่วๆ อย่างฉู่หมิงเซวียนมาแล้ว แม่เลี้ยงของเธอเฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอกังวลใจ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดมาก่อนว่าภายใต้ชายคาเดียวกัน ต้องระวังญาติมาเอาชีวิตตัวเองด้วย

“กลัวเหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะขณะที่มองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอเลยไม่ควรมาตระกูลเหลิ่งไง พวกเธอล้มละลายไปก็เสียแค่เงินทอง แต่ตอนนี้เธอเข้ามาแทรกแซงเรื่องของตระกูลเหลิ่งแล้ว มันอาจจะถึงชีวิตได้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น พูดเสียงทุ้ม “คุณก็รอดแล้วไม่ใช่เหรอ? ”

“หืม? ” เหลิ่งเซ่าถิงเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหลาดใจนิดหน่อย “เธอกำลังพูดอะไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง รวบรวมความกล้าพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณก็มีชีวิตรอดไม่ใช่เหรอ? ฉันกลัวตายมาก ฉันยังอายุน้อยขนาดนี้ ฉันมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ แต่เทียบกับการตายแล้ว ฉันกลัวตอนพ่อฉันฟื้นขึ้นมาแล้วพบแววตาผิดหวังที่ตระกูลเจี่ยนล้มละลายมากกว่า ในเมื่อคุณยังมีชีวิตรอดในตระกูลเหลิ่งได้ ฉันเองก็ทำได้ ถึงฉันจะมีความสามารถไม่เท่าคุณ แต่คงไม่แย่ไปกว่าคุณมากหรอก ไม่ใช่ว่าคุณเป็นผู้นำตระกูลเหลิ่งได้ แล้วฉันจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ก้มหน้าอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเป็นอะไร เธอมีความแข็งแกร่งต่อหน้าคนอื่นๆ แต่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เธอกลับขี้ขลาดตาขาวเป็นพิเศษ เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมองเหลิ่งเซ่าถิง แต่เมื่อสบตากับเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังตรวจสอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็หัวใจเต้นอีกครั้ง

น่าจะเป็นการจ้องมองแบบนี้ล่ะมั้ง มีความรู้สึกตรวจสอบอย่างเย็นชา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว กลัวเหลิ่งเซ่าถิงจะดูถูกดูแคลนเธออีก เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงทำการตัดสินเจี่ยนอี๋นั่ว มันจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่านี่คือเหลิ่งเซ่าถิงผ่านการครุ่นคิดแล้ว เป็นการตัดสินเธอครั้งสุดท้าย เธอเหมือนจะเป็นคนแบบนั้นที่เหลิ่งเซ่าถิงประเมิน

เหลิ่งเซ่าถิงมีนิสัยเฉพาะตัว สิ่งที่เขาพูดเหมือนคำพิพากษาสุดท้าย ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะทำตัวโดดเด่นขึ้นมาต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่ดีขึ้น

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไรเลย ผ่านไปนานมากก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดนั้น และอย่าคิดว่าศัตรูโง่ขนาดนั้น ชีวิตมันไม่ให้โชคเธอมากเกินไป อารองกับอาสะใภ้รองของฉันเธอก็รู้แล้ว พวกเขายังมีลูกชายคนหนึ่ง เธอต้องรู้ว่าลูกชายของพวกเขา และเป็นน้องชายฉัน ชื่อเหลิ่งหมิงอัน เขาคนนี้เธอก็ระวังหน่อยจะดีที่สุด……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถามขึ้น “ทำไม เขาอันตรายมากเหรอ? หรือว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมมาก? เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะในฐานะคนตระกูลเหลิ่งเลย หรือว่าแอบมีบทบาทร้ายกาจอะไรซ่อนอยู่? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา เขาส่ายหน้า “ไม่ เพราะเธอเป็นผู้หญิง เลยต้องระวังเขา เหลิ่งหมิงอันเขาโดนใจเด็กผู้หญิงมาก……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาเล็กน้อย หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงของฉัน ฉันไม่อยากให้มีข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นในตระกูลเหลิ่งอีก เช่นกับอากับสะใภ้……”

เกิดขึ้นอีก? หรือว่าเมื่อก่อนเคยเกิดขึ้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา การศึกษาหรือภูมิหลังครอบครัว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก แต่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงทิ้งเหลิ่งเซ่าถิงแล้วไปชอบน้องชายของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเหลิ่งหมิงอัน?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นไปได้ ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะมีสภาพภายนอกที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็เย็นชาเกินไป และเวลาพูดก็ไร้ความปรานีอย่างมาก ไม่ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหนก็คงมีวันที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะมีการศึกษาดีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ชีวิตกลายเป็นน่าสนใจ ดูเหมือนภูมิหลังครอบครัวที่สมบูรณ์ เบื้องหลังจะมีวิกฤติมากมายซ่อนอยู่

ทุกอย่างดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่ทุกอย่างก็ไม่สามารถทนได้

ถึงจะเป็นเจี่ยนอี๋นั่ว ครั้งหนึ่งเธอก็เคยหลงรูปลักษณ์ภายนอกของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ตอนนี้เพราะอารมณ์ของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ไม่มีความรู้สึกดีกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอยด้วยความกลัว

“เธอกำลังมองอะไร? ” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงอยู่นานมากแล้ว เธอรีบกดเสียงทุ้มต่ำ หาข้ออ้าง “ค-คือ วันนี้คุณตรวจสุขภาพอย่างละเอียดแล้วหรือยัง เป็นยังไงบ้าง ต่อไปเรื่องมื้ออาหารต้องระวังอะไรบ้าง? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ผูกเนกไทอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสุขภาพแข็งแรงดี แต่ถึงฉันจะเป็นอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ ตราบใดที่เด็กในท้องเธอยังอยู่ สัญญาก็ยังมีผลต่อไป พูดถึงสัญญา เธอยังไม่ได้บอกคนนอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันใช่ไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า “แต่คืนนี้ตอนกินข้าว คนอื่นๆ ก็จะรู้ไม่ใช่เหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ วันนี้จะมีบางคนรู้ว่าเธอเป็นภรรยาตามกฎหมายของฉัน คำขอของฉันขอแค่เธอคนเดียว คุณย่าเก็บเธอไว้ ก็เหมือนเก็บความยุ่งยากไว้ ภายในครอบครัวมีสถานะให้เธอ เพื่อเอาอกเอาใจญาติ ถ้าสำหรับภายนอก ก็พยายามซ่อนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันเอาไว้ หรือไม่ก็ยกย่องว่าเป็นความสัมพันธ์ที่โรแมนติก ฉันไม่อยากเป็นคนรักของเธอในสายตาคนนอก เลยให้เธอปกปิดไว้ เธอกับเด็กในท้องของเธออยู่เคียงข้างฉันต่อ ก็เหมือนกับบอกคนอื่นอยู่ตลอดเวลาว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นผักที่ต้องใช้เงินจ้างคนเพื่อมีลูก เธอไม่ควรอยู่ต่อ ไม่ใช่แค่เพราะฉันเกลียดเธอ แต่ยังต้องพิจารณารอบด้าน……”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ รู้สึกถึงตำแหน่งของเหลิ่งเซ่าถิง จริงๆ การจากไปของเธอนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดกับเหลิ่งเซ่าถิง

“แต่ คุณย่าชอบเธอ” เหลิ่งเซ่าถิงผลุบตาลงมองเจี่ยนอี๋นั่ว “ไม่สิ หล่อนชอบเธอมากๆ เธอคาดเดาปัญหาเหล่านั้น โดยไม่สนใจความรู้สึกของฉันด้วยซ้ำ ยินยอมที่จะเก็บเธอไว้ หล่อนชอบเธอมากจริงๆ ฉันเลยสงสัยมาก เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมีอะไรพิเศษกันแน่ ถึงทำให้คุณย่ารู้สึกว่าสามารถอยู่กับฉันตลอดไปได้?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ขณะที่มองเหลิ่งเซ่าถิงก็ก้มหน้า เธอก็ไม่รู้ว่าควรตอบเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าวิธีที่ดีที่สุดคือแยกจากเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าตระกูลเหลิ่งยินยอมที่จะช่วยเหลือเธอต่อได้ จากนั้นก็ให้เธอคลอดลูกเลี้ยงดูจนโตได้นั่นก็จะดีมากที่สุดแล้ว

ในตอนนี้คนรับใช้ก็มาเคาะประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิง พูดขึ้นเสียงเบา “คุณชายใหญ่ คุณหญิง คุณชายกลับมาแล้วค่ะ……”

“คุณชาย? ” เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ถามขึ้นอย่างสงสัย

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะขึ้นมา “น่าจะเป็นอารองของฉัน แต่ก่อนเป็นการเรียกพ่อฉัน หลังจากพ่อฉันตาย เขาก็กลายเป็น ‘คุณชาย’ ของในบ้านตระกูลเหลิ่งแล้ว ถึงแม้เขาจะดูเหมือนไม่มีอำนาจตลอดเวลา แต่ไม่เคยหยุดนิ่งความคิดที่จะควบคุมตระกูลเหลิ่ง แตะต้องอำนาจหลักไม่ได้ก็เริ่มต้นจากชื่อเรียก เมื่อก่อนเขาไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนมันเลย แต่……”

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดชะงักเล็กน้อย หรี่ตาแล้วพูดเสียงทุ้ม “อาจจะเพราะหลังจากฉันป่วย ทำให้อำนาจเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนชื่อเรียกได้แล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เชิดคางเล็กน้อยชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เราจะลงไปข้างล่างกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่เหรอ? ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง?

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว หันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่วช้าๆ แล้วพูดเสียงเย็นชา “ฉันไม่สนใจร่างกายเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ และฉันให้เวลาแต่งหน้าสิบนาที”

เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังเหลิ่งเซ่าถิง เม้มปากก่อนจะถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดรสสีดำในตู้เสื้อผ้า แต่เดรสตัวนี้เพราะว่ามันซื้อใหม่ ถึงแม้จะใส่ได้พอดีตัว แต่ซิปด้านหลังยืดหยุ่นไม่พอ มือเจี่ยนอี๋นั่วดึงซิปด้านหลังขึ้น ทำให้ซิปที่ไม่ยืดหยุ่นพอพันเข้ากับผมเธอ

“ซี้ด……” ผมของเธอพันเข้ากับซิป เจี่ยนอี๋นั่วพอดึงซิปก็ดึงผมเธอด้วย ทำให้เธอร้องเจ็บออกมาอย่างอดไม่ได้

“เป็นอะไร? ” เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว ถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชาอย่างใจร้อน “แม้แต่เสื้อผ้าเธอก็ใส่ได้ไม่ดีเหรอ? ”

“เปล่า เดี๋ยวจะใส่เสร็จแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าเธอไร้ความสามารถเกินไป แม้แต่เสื้อผ้าก็ใส่ได้ไม่ดี รีบดึงซิปอย่างแรง ผลลัพธ์คือทำให้ซิปพันเข้ากับผมแน่นขึ้น เจ็บจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้เธอกลั้นไม่ร้องเจ็บออกมาอีก

“มีใครที่โง่กว่าเธออีกไหม? ” จู่ๆ เสียงเหลิ่งเซ่าถิงก็ดังขึ้นด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เมื่อครู่เจี่ยนอี๋นั่วง่วนกับการดึงซิปตลอดเวลา ไม่ได้สังเกตเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงหันตัวเดินมาหาเธอ เพราะซิปด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่วยังดึงไม่หมด ตอนนี้เธอเผยทั้งแผ่นหลัง ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง เจี่ยนอี๋นั่วหันตัวทันที เอาหลังพิงกำแพง ปิดหน้าอกแล้วตะโกนเสียงดัง “คุณเดินมาทำไม? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “ถ้าฉันไม่เดินมาดู ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอโง่แบบนี้ หันมา!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง “ฉ-ฉัน……ค-คุณ ฉันกับคุณเป็นผู้ชายผู้หญิงนะ ด้านหลังฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตา “คนที่มีลูกให้กับชายแปลกหน้าเพราะเงิน มีความละอายด้วยเหรอ? คืนนี้เราอาจจะต้องนอนเตียงเดียวกัน ตอนนี้เธอแกล้งทำท่าแบบนี้ มันน่าสนใจมากเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงพูดว่าคืนนี้เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะได้นอนเตียงเดียวกัน เพราะสถานการณ์ในตระกูลเหลิ่งตอนนี้ซับซ้อน ถ้าเพิ่มเตียงเสริมในห้องเหลิ่งเซ่าถิง เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีคนอื่นรู้เข้าว่าพวกเขาไม่ได้นอนเตียงเดียวกันเลย และมันไม่เป็นผลดีสำหรับเธอและสำหรับเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปาก ค่อยๆ หันหลังยืนนิ่งๆ ให้เหลิ่งเซ่าถิง เพราะไม่เห็นเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสไวต่อสัมผัสเหลิ่งเซ่าถิงมากเป็นพิเศษ เธอรู้สึกได้ถึงเหลิ่งเซ่าถิงเอาผมเธอขึ้น นิ้วเย็นเฉียบของเขาลูบที่คอเธอเล็กน้อย จากนั้นมือเขาก็แตะแผ่นหลังเธอ

ปลายนิ้วของเหลิ่งเซ่าถิงเย็นมาก เมื่อแตะผิวแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว บางทีอาจจะเพราะเป็นสัมผัสจากเพศตรงข้าม บางทีอาจจะเพราะนิ้วเหลิ่งเซ่าถิงเย็นเกินไป มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหลบหลีกอย่างประหม่า

“เฮอะ……” เหลิ่งเซ่าถิงที่รู้สึกถึงการหลบหลีกของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา

เหลิ่งเซ่าถิงราวกับหัวเราะเยาะเจี่ยนอี๋นั่วที่ตอนนี้แสร้งทำเป็นสงวนตัว แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถควบคุมอารมณ์ประหม่าของตัวเองได้ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายสัมผัสใกล้ชิดแบบนี้ แล้วไม่มีอารมณ์ประหม่าสักนิดสิถึงจะแปลก

“เสร็จหรือยัง? ” เจี่ยนอี๋นั่วถามเสียงเบา

เธอได้ยินเสียงเหลิ่งเซ่าถิงกำลังดึงซิป แต่เห็นได้ชัดว่าปัญหาของซิปก็เกิดขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิงเช่นกัน เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าเธอไม่ได้โง่แบบนั้น ถ้าไม่ดึงซิปพันผมขึ้นมา มันก็ไม่แย่แบบนี้หรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็ออกแรงดึง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงกระโปรงฉีกทันที เธออดไม่ได้ที่จะหันตัวไป แต่ขณะที่เธอหันตัวไป เดรสบนตัวเธอเนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงฉีกจนเป็นรูใหญ่ ไม่คิดว่ามันจะหลุดออกจากร่างกายเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้ เหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดสูทเรียบร้อย ใบหน้าเย็นชา แต่เจี่ยนอี๋นั่วสวมแค่เสื้อในและกางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว พร้อมใบหน้ามึนงง

“ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ……” เจี่ยนอี๋นั่วกลัวคำพูดเย้ยหยันของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ปกปิดไม่ได้ อธิบายความจริงให้กับเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงมองร่างกายเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วหุ่นดีมาก เพราะเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนที่เข้มงวดกับตัวเองมาก ถ้ามีเวลา เจี่ยนอี๋นั่วก็จะไปออกกำลังกาย

เจี่ยนอี๋นั่วมึนงงอยู่นานสักพักก่อนจะตอบสนอง เธอรีบยกมือขึ้นปิดร่างกายตัวเอง รีบถอยไปที่มุม เจี่ยนอี๋นั่วปิดหน้าอกตัวเอง ทั้งอายทั้งร้อนรนใจ หน้าแดงก่ำจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วที่ปกติสงบนิ่งและมีความสามารถในตอนนี้สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดหรือทำอะไร

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วหรี่ตาลง จากนั้นก็หันไปหยิบเดรสสีดำตัวหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า โยนให้เจี่ยนอี๋นั่ว “ใส่ตัวนี้สิ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบเสื้อผ้ามาแล้วรีบใส่ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมจะดึงซิป มือเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงสะบัดออกทันที

“ทำไม? ” เจี่ยนอี๋นั่วยังคงหน้าแดง ถามขึ้นเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธออยากทำลายเสื้อผ้าตัวที่สองเหรอ? ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าไม่มีเดรสสีดำแล้วนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็ไม่สนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะมีการตอบสนองอะไร ยกผมเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมาแล้วดึงซิปด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ถอยหลังสองสามก้าว

รู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงออกไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เสียงหอบหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ากลับไปมองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขามองเจี่ยนอี๋นั่วในกระจก

เมื่อครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วประสบเหตุการณ์น่าอาย ตอนนี้กำลังจัดทรงผมอย่างจริงจัง พยายามทำให้อารมณ์ตัวเองสงบลง ไม่ได้สนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังมองมาทางเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ถือว่าหน้าตาสวย เมื่อพูดถึงสิ่งเดียวที่ควรยกย่องคือผิวขาวกระจ่างใสตามธรรมชาติ แต่เธอพยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือรูปลักษณ์ของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อว่าทุกคนบนโลกสนใจแต่รูปลักษณ์ภายนอก สามารถทำให้คนประทับใจรูปลักษณ์ภายนอกได้ก็จะสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแต่ออกกำลังกายบ่อย แม้แต่เส้นผมก็บำรุงดีมาก ไม่ผ่านความร้อนและไม่ย้อมสีมาตลอด สระผมและบำรุงด้วยสูตรยาจีน ตอนที่เส้นผมคลายออก มันดำขลับชุ่มชื้น ขับให้ผิวเธอขาวกระจ่างใสขึ้น

ภายใต้การโจมตีของวิสัยทัศน์ขาวดำ มันยากที่จะทำให้คนไม่สังเกตเห็นความงามของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นเจี่ยนอี๋นั่วดีมาก ถึงจะเป็นแค่เดรสสีดำเรียบๆ แต่เมื่อห่อด้วยหุ่นวิจิตรงดงามของเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว และเดรสมีส่วนโค้งเว้าสง่างามเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิง ทำให้กระโปรงที่เดิมทีดูธรรมดา เปล่งประกายเสน่ห์ของผู้หญิงออกมา เจี่ยนอี๋นั่วที่หน้าตาค่อนข้างธรรมดา ก็ดูสดใสและมีสีสันขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนเพิ่งรู้จักเจี่ยนอี๋นั่วเลย มองเจี่ยนอี๋นั่วนานสักพัก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ากลับมา เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้าทันที ไปหยิบสร้อยเพชรธรรมดาออกมาจากกล่องเครื่องประดับ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธอยังมีเวลาแต่งหน้าสิบนาที”

เวลาจำกัดแบบนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบหยิบสร้อยจากมือเหลิ่งเซ่าถิงมา รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วแต่งหน้าเรียบๆ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ แค่ยื่นมือออกไปแล้วพูดเสียงทุ้ม “ควงแขนฉัน เราจะลงข้างล่างกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปควงแขนเหลิ่งเซ่าถิง ตามเหลิ่งเซ่าถิงออกไปจากห้องด้วยกัน ตั้งแต่เดินออกจากห้องเหลิ่งเซ่าถิงมา เดินลงไปยังชั้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริง เสียงหัวเราะนั้นตรงข้ามกับบรรยากาศปากหวานก้นเปรี้ยวในตระกูลเหลิ่ง มันดูตรงไปตรงมาและเป็นมิตร

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นลูบหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดขึ้นเสียงทุ้ม “อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง คนที่หัวเราะคืออารองของฉันเหลิ่งเฉิงอวี่ ตอนคุยกับเขาก็ระวังหน่อยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะมองไปทางห้องโถงใหญ่อย่างสงสัยเล็กน้อย ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างค่อนข้างท้วมเตี้ยกำลังยิ้มและพูดคุยกับคุณนายเหลิ่งในห้องโถงใหญ่ ต่างกับเหลิ่งเซ่าถิงที่มีรูปลักษณ์งดงามไม่เหมือนมนุษย์ ชายวัยกลางคนร่างท้วมเตี้ยคนนี้ดูธรรมดามากเกินไป ธรรมดาจนเหมือนคุณอาที่ถือพัดเล่นหมากรุกและคุยโวในลานกว้างของชุมชน

คนที่ดูอ่อนโยนและใจดีมากแบบนี้ คืออารองเหลิ่งเฉิงอวี่ที่สามารถมองเหลิ่งเซ่าถิงเกือบจมน้ำตายในสระว่ายน้ำโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเห็นเหลิ่งเฉิงอวี่ ถ้าก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เตือนเรื่องเหลิ่งเฉิงอวี่กับเธอก่อน เธอจะคิดว่าเหลิ่งเฉิงอวี่ตรงหน้าเธอจะเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตได้อย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง รู้สึกว่าเธอก็ถือว่าได้รับการประจบสอพลอมาเช่นกัน แต่เธอมองใบหน้าที่แท้จริงเหลิ่งเฉิงอวี่ไม่ออกเลย เหลิ่งเซ่าถิงในเยาว์วัย เขามองเหลิ่งเฉิงอวี่ออกทีละขั้นได้อย่างไร? แล้วต้องผ่านเรื่องโหดร้ายและเย็นชามามากแค่ไหน?

เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ถึงสายตาเจี่ยนอี๋นั่ว เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “รีบทักทายอารองสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วถึงพบว่าพวกเขาเดินมาตรงหน้าเหลิ่งเฉิงอวี่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบยิ้มให้เหลิ่งเฉิงอวี่และพูดขึ้น “อารอง สวัสดีค่ะ ฉันเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งเฉิงอวี่ยิ้มจริงใจและพยักหน้าให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่หลานสะใภ้เหรอ? สวัสดีๆ สำหรับฉันเธอไม่ต้องสนใจกฎมารยาทอะไรพวกนั้นหรอก ฉันน่ะไม่ใช่คุณนาย ฉันเข้าประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่งั้นฉันจะกล้าใช้นามสกุลเหลิ่งที่ไหน? ฉันระลึกถึงพระคุณของคุณนายเหลิ่งมาตลอด เธอปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นคนรับใช้ธรรมดาได้เลย! ไม่ต้องกังวล!”

คุณนายเหลิ่งเดินเข้ามา หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เฉิงอวี่ คุณทำไม่ถูก กฎก็คือกฎ คุณเป็นอารองของเซ่าถิงและอี๋นั่ว คุณไม่ควรเป็นผู้นำแหกกฎ อีกอย่างถึงฉันจะไม่ได้คลอดคุณมา แต่คุณก็เป็นลูกหลานตระกูลเหลิ่ง จะเปรียบเทียบกับคนรับใช้ธรรมดาได้ยังไง? ”

เหลิ่งเฉิงอวี่หัวเราะ “ฮ่าๆ ” อย่างจริงใจ “คุณนายพูดถูก”

ขณะที่เหลิ่งเฉิงอวี่พูด ก็หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ตาแดงทันที แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น “หลานชายของฉัน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว พอฉันได้ยินข่าวว่าคุณฟื้น ฉันก็รีบกลับประเทศทันที ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ในที่สุดคุณก็ฟื้นขึ้นมา ถ้าคุณไม่ฟื้น ตระกูลเหลิ่งจะทำยังไง? ”

ยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหลิ่งเซ่าถิงช้าๆ “ตระกูลเหลิ่งมีอารองอยู่ จะเกิดเรื่องได้ยังไง? ”

เหลิ่งเฉิงอวี่เช็ดน้ำตาที่มุมตา ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ฉันรู้สถานะตัวเองดี มีหลายเรื่องที่ฉันช่วยไม่ได้ ช่วยน้อยมันก็ไม่ได้ผล ช่วยมากฉันก็กลัวว่าพวกคุณจะสงสัยว่าฉันมีเจตนาไม่ดีจริงๆ ฉันจะทำอะไรได้? ได้อยู่ในตระกูลเหลิ่งก็เป็นความปรารถนาอันสูงสุดของฉันแล้ว แต่ตอนนี้มีคนเจตนาร้ายคอยปลุกปั่นความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่ตลอดเวลา ฉันกลัวว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดจริงๆ ”

“ไม่เข้าใจผิดหรอก ฉันเชื่อใจอารอง” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆ ขณะที่พูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากและหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ในใจเธอเย็นชา นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว บทสนทนาระหว่างเหลิ่งเฉิงอวี่และเหลิ่งเซ่าถิงดูมีความสุขมาก แต่เบื้องหลังกลับมีเจตนาฆ่า

ใบหน้าเหลิ่งเฉิงอวี่เผยรอยยิ้มจริงใจอีกครั้ง ยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้น “จริงสิ คุณอาใหญ่กับคุณป้าเล็ก พวกเขาได้ยินว่าคุณฟื้นขึ้นมาก็ดีใจมาก พวกเขาอยากมาเยี่ยม ทุกคนเป็นห่วงคุณนะ เมื่อกี้คุณป้าเล็กโทรมาบอกว่ากลัวว่าร่างกายคุณจะฟื้นตัวได้ยากหลังจากประสบหายนะครั้งนี้……”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มมุมปากขึ้นมา “พวกคุณไม่ต้องคิดมาก วันนี้คุณหมอตรวจฉันครบทุกด้านแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

“งั้นเหรอ สุขภาพพี่ใหญ่เซ่าถิงดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเดิมนะ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายก็ดังขึ้น

เสียงผู้ชายคนนั้นทุ้มต่ำแหบพร่าแบบที่ผู้หญิงชอบ เจี่ยนอี๋นั่วฟังแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองตามเสียงนั้น เมื่อเห็นชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่สวมชุดลำลองกึ่งเก่าเดินมา

หน้าตาผู้ชายคนนี้หล่อมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเลย แต่นิสัยกลับแตกต่างกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาเหลิ่งเซ่าถิงเรียวแหลมเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบาง นิสัยเย็นชา แต่ผู้ชายคนนี้มีดวงตาเจ้าชู้เย้ายวน ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูมีนิสัยที่ทะเยอทะยานด้วย

ถ้าใช้ฤดูกาลเปรียบเทียบ เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนฤดูหนาวที่หนาวเย็น ผู้ชายคนนี้คงเป็นฤดูร้อนที่รุ่งเรืองร้อนแรง

บางคนอาจจะชอบฤดูร้อน แต่เจี่ยนอี๋นั่วชอบฤดูหนาวมากกว่า เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกฤดูหนาวเหมือนจะเย็น แต่ก็มีหิมะนุ่ม ฤดูร้อนดูเหมือนจะร้อนแรง แต่ฝนตกในฤดูร้อนมันระห่ำรุนแรง และภายในใจเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าฤดูหนาว เกล็ดหิมะลอยอยู่ด้านนอก ตัวเองสามารถนอนอยู่บนโซฟาในบ้าน ดื่มกาแฟร้อนๆ หนึ่งแก้ว ทานของหวาน ดูละครคุณภาพต่ำ ไม่ต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน ก็รู้สึกมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

เช่นเดียวกับผู้ชาย ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะดูเย็นชาและโหดเหี้ยม บางครั้งพูดจาร้ายกาจ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วค่อนข้างหวาดกลัวเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วเกลียดผู้ชายสำมะเลเทเมาและไม่เจียมตัวมากกว่า โดยเฉพาะผู้ชายที่หน้าตาหล่อแบบนี้ เธอยิ่งเกลียด แทบจะมีอคติด้วยซ้ำ เมื่อเธอเห็นผู้ชายแบบนั้น ก็จะคิดว่าผู้ชายแบบนี้ใช้รูปลักษณ์งดงามของตัวเองล่อลวงผู้หญิงไปแล้วไม่รู้กี่คน

ดังนั้นเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว รักษาภาพลักษณ์สง่างามและมีคุณธรรมเอาไว้

เหลิ่งเฉิงอวี่หันหน้าไปมองผู้ชายคนนั้น เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “หมิงอัน ลูกกลับมาแล้วเหรอ? ทำไมไม่บอกพวกเรา? เราจะได้ส่งคนไปรับ!”

ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เหลิ่งเฉิงอวี่แล้วพูดขึ้น “พ่อ ฉันคิดถึงบ้าน เลยกลับมา พ่อก็รู้ว่าฉันเกลียดการผูกมัดและกฎพวกนี้ ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”

จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “สุขภาพคุณนายก็ยังดูแข็งแรงมาก”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพยักหน้า “หมิงอันก็ยังปากหวานนะ”

จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มให้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ได้เห็นสุขภาพพี่ฟื้นตัว ดีจังเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่มา ทักทายเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งเฉิงอวี่ ก็เข้าใจสถานะของผู้ชายคนนี้ เขาต้องเป็นน้องชายของเหลิ่งเซ่าถิงที่ชื่อเหลิ่งหมิงอันแน่ๆ

มองดูอย่างรอบคอบ เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าจริงๆ แล้วโครงหน้าเหลิ่งหมิงอันคล้ายกับเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่เนื่องจากทั้งคู่มีนิสัยเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สังเกตเมื่อครู่นี้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองสังเกตเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันก็หันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว “คนนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่เหรอ? ดูเหมือนองค์หญิงคนหนึ่งจริงๆ ……”

ก่อนหน้านี้เสียงเหลิ่งหมิงอันแค่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ประโยคนี้ของเหลิ่งหมิงอันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วจำเหลิ่งหมิงอันคนนี้ได้ทันที นี่มันคนจรจัดที่รังควานเธอตรงป้ายรถประจำทาง โลกนี้มันกลมจริงๆ ! แต่คุณชายรองตระกูลเหลิ่งผู้ทรงเกียรติ ทำไมใส่ชุดเลอะเทอะไปยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงตามอำเภอใจแบบนั้น? เหลิ่งหมิงอันคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่?

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะปกปิดสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ทันที แต่ก็ยังโดนสังเกตได้ เหลิ่งเฉิงอวี่หรี่ตา ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามขึ้น “ทำไม? หลานสะใภ้กับหมิงอันรู้จักกันอยู่แล้วเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีแล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันครั้งหนึ่ง ไม่ถือว่ารู้จักหรอกค่ะ ตอนแรกเลยจำไม่ได้”

“ฮะ? ” เหลิ่งเฉิงอวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เคยเจอกันครั้งหนึ่ง? งั้นพวกเธอก็มีวาสนาต่อกันสินะ ลูกชายคนนี้ของฉันสองสามวันนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศเลย ปกติจะไปต่างประเทศ”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ: เหลิ่งเฉิงอวี่หมายความว่ายังไง? ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงนะ ทำไมบอกว่าฉันกับเหลิ่งหมิงอันมีวาสนาต่อกัน? เหมือนอย่างที่เหลิ่งเซ่าถิงว่าจริงๆ อารองเหลิ่งเฉิงอวี่คนนี้ถึงจะดูใจดี แต่ทุกประโยคของเขามีกับดักจริงๆ ถึงขนาดใช้ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองมายั่วยุความสัมพันธ์ของคนอื่น

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขึ้นมาทันทีแล้วพูดขึ้น “ฉันมีวาสนาต่อตระกูลเหลิ่ง แค่เดินไปตามถนนก็เจอคนของตระกูลเหลิ่งได้ ดูเหมือนฉันกับเซ่าถิงจะมีวาสนาต่อกัน เป็นพรหมลิขิตจริงๆ ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันไปยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว “พรหมลิขิตแน่นอน ไม่งั้นเธอคงไม่ปลุกฉันหรอก”

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องคุยเล่นกันแล้ว ญาติๆ ที่ถูกเชิญมาใกล้จะมาถึงแล้ว เรารีบนั่งกันดีกว่า” คุณนายเหลิ่งหรี่ตายิ้มอย่างใจดีแล้วพูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงพาเข้าไปนั่ง เพิ่งนั่งลงก็ได้ยินเสียงญาติในครอบครัวเข้ามา เหลิ่งเซ่าถิงและคุณนายเหลิ่งก็ลุกขึ้นทักทาย เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนขึ้น ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเหลิ่งหมิงอันเดินมาจากด้านหลังเธอ พิงแผ่นหลังเธอแล้วพูดเสียงทุ้มแหบพร่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ตาฉันเกือบบอดเพราะเธอ ปฏิบัติกับฉันเผ็ดแสบขนาดนั้น ทำไมกลายเป็นสะใภ้ตัวน้อยที่แสนดีต่อหน้าพี่ชายฉันล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถลึงตาใส่เหลิ่งหมิงอัน แต่ทว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดึงมือของเธอเอาไว้เสียก่อน และได้ห้ามพฤติกรรมของเธอเอาไว้ ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงแฝงไปด้วยรอยบางๆ แต่ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อย และออกแรงนิดหน่อย ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสงบลงได้ในชั่วพริบตา

ใช่แล้ว ตอนนี้ถ้าตอบโต้อะไรเหลิ่งหมิงอันไป ก็จะไม่ดีกับเจี่ยนอี๋นั่ว ต่อหน้าผู้คน เธอกับน้องชายของสามีส่งสายตากันไปมา แบบนี้แล้วเธอจะยังยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งแล้ว จะไปช่วยตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร?

ดังนั้นถึงแม้จะเห็นได้ว่าเหลิ่งหมิงอันมองมาทางเธอตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงพยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่แสนเย็นชาของเหลิ่งหมิงอัน มองเพียงแต่เหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น พยายามที่จะทำเหมือนว่าในสายตามีแต่สามีของภรรยา

งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ราวกับว่าเป็นสนามรบ คนในตระกูลเหลิ่งทยอยเข้ามาลองหยั่งเชิงเหลิ่งเซ่าถิงกันอย่างต่อเนื่อง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ ราวกับว่าเค้าไม่เคยได้รับอุบัติเหตุทางรถ แล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทรามาก่อน เขาเกือบจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในระยะหนึ่งปีนี้ได้ทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนกระทั้งเรื่องอื้อฉาวของดารา เขาก็เข้าใจดีทั้งหมด การดำเนินการของเครือค่ายของตระกูลเหลิ่งและการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เขาก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับว่าเขาแค่ออกไปเทียวไม่กี่วัน และเพิ่งกลับมาที่ตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้นเอง

ตอนนี้เองที่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งได้รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดูข้อมูลจากโน้ตบุ้ค เพียงแต่เธอนั้นรู้สึกตะลึงกับความจำอันทรงพลังของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าเวลาสั้นๆแค่วันเดียว เหลิ่งเซ่าถิงที่เพิ่งจะฟื้นก็สามารถจำข้อมูลและความเป็นไปของบริษัทตลอดหนึ่งปีได้อย่างชัดเจนและไม่มีข้อบกพน่องใดๆ เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงดูถูกเธอ ถ้าเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ความขยันและควาสามารถของเธอนั้นยังคงห่างจากเขาอีกเยอะ

เมื่องานเลี้ยงจบลง ผู้คนที่เห็นเหลิ่งเซ่าถิงฟื้นตัวเป็นแกติแล้วนั้น ต่างก็ครุ่นคิดอยู่ในใจและแยกย้ายกันไป เหลิ่งถึงแม้ว่าเซ่าถิงและเหลิ่งเฉิงอวี๋จะมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และเดินไปส่งแขก

คุณนายเหลิ่งที่เพิ่งจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็หันไปมองเจียนอี๋นั่ว:“อี๋นั่วไปที่ห้องของฉัน ฉันมีเนื่องที่อยากจะคุยด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล้กน้อย และเดินตามคุณนายเหลิ่งเข้าห้องไป

เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องคุณนายเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบอธิบายขึ้นทันที:“ฉันเคยเจอเหลิ่งหมิงอันแค่ครั้งเดียวจริงๆนะคะ วันนี้ตอนบ่ายเงินของฉันตกลงไปในท่อระบายน้ำและเขาก็เป็นคนเก็บมันขึ้นมาให้ฉัน ท่าทางเขาด฿เหมือนคนจรจัด มีแค่นี้จริงๆนะคะ! ”

คืนนี้สายตาของเหลิ่งหมิงอันมองดูเธออย่างเปิดเผย เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นต้องเห็นอย่างแน่นอน ยิ่งถูกคุณนายเหลิ่งซักถามแบบนี้แล้ว สู้เธอเป็นคนบอกก่อนยังจะดีกว่า และจริงแล้วก่อนหน้านี้เธอกับเหลิ่งหมิงอันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง

คุณนายเหลิ่งที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดนั้น กลับหัวเราะออกมา:“เธอคิดว่าที่ฉันเรียกเธอมา เพื่อที่จะถามเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งหมิงอันงั้นหรอ?”

ก่อนหน้านี้เจี่ยวอี๋นั่วคิดว่าเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่ได้ยินคุณนายเหลิ่งถามขึ้นมาแบบนั้นแล้ว ก็กลับไม่มั่นใจแล้ว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่คุณนายเหลิ่งอย่างสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“ก่อนที่เธอจะเข้ามาในตระกูล ก็ได้ทำการตรวจสอบเธอมาก่อนแล้ว ถ้าหากเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งหมิงอันจริๆ ฉันคงไม่ให้เธอมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงหรอก เหลิ่งหมิงอันเป็นคนเจ้าชู้ ถ้าเขาจะรู้สึกประหลาดใจและก็รู้สึกดีกับเธอ ฉันก็คงไม่แปลกใจ เธอฉลาดมาก ฉันเชื่อว่าเธอรู้ขอบเขตดี เธอคงจะเข้าใจดีว่าควรรักษาระยะห่างกับเหลิ่งหมิงอันยังไง ที่ฉันเรียกเธอมา ก็เพระาได้ยินมาว่าวันนี้เธอตากฝน แถมยังนั่งรถประจำทางมาอีก เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอคือคนท้อง?”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่คุณนายหลิ่งจะรู้เรื่องพวกนี้ บอดี้การ์ดและคนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งคงไม่เก็บเป็นความลับให้เธออย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“วันนี้ตอนบ่าย ฉันลืมหยิบร่มไปน่ะค่ะ และฉันก็ไม่มีเงินเติมน้ำมัน แล้วก็ก็ไม่มีเงินนั่งรถแท็กซี่ด้วย…….ฉัน…..”

“เธอโทรเรียกใช้รถของตระกูลเหลิ่งได้ เธอควรที่จะใช้ของของตระกูลเหลิ่งให้คุ้นชิน แน่นอนว่าเป็นของที่อยู่ในอำนาจและขอบเขตของเธอ” เมื่อคุณนายเหลิ่งหัวเราะและพูดถึงตรงนี้ เธอก็หันไปหยิบเงินจำนวนหนึ่งที่ตู้หนังสือ แล้วยื่นให้ในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นเงินเยอะขนาดนั้น ก็รีบถามขึ้นว่า:“คุณท่านนี่คือจะทำอะไรคะ?”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“นี่เป็นเงินค่าขนมของทุกคนในตระกูลเหลิ่ง อย่างเธอ เดือนนึงก็สามหมื่นหยวน เงินของเดือนนี้ ฉันให้เธอก่อน เดือนถัดไป จะมีคนรับใช้เอาไปให้ที่ห้องของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง”

“แต่ คุณนายเหลิ่ง ฉันไม่ได้……”เจี่ยนอี๋นั่วอยากที่จะพูดว่าเธอยังไม่ใช่ภรรยาอย่างจริงๆจังของเหลิ่งเซ่าถิงสักหน่อย

คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้าพรางหัวเราะและตัดบทของเจี่ยนอี๋นั่วทันที จากนั้นก้พูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“ไม่ เธอเป็น ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อไหร่ที่เธอไปจากตระกูลเหลิ่งแล้ว และไม่มีพันธะอะไรกับตระกูลเหลิ่งอีก ถึงตอนนั้นแล้วค่อยปฏิเสธเงินก้อนนี้ แต่ฉันหวังว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น นี่เป็นแค่เงินค่าขนม เพียงแค่เธอได้กลายเป็ฯสัญลักษณ์หนึ่งของตระกูลเหลิ่งแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย และกำเงินก้อนโตเอาไว้แน่น พรางกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ ตอนนี้เธอต้องการเงินจริงๆ ไม่เพียงแต่เงินที่ตระกูลเหลิ่งมอบให้เพื่อช่วยเหลือบริษัท และยังเป็นเงินที่ต้องเลี้ยงดูทั้งตระกูลเจี่ยน เธอต้องการทั้งหมด วันที่ยากลำบากและน่าอับอาย ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นเปลือยเปล่าและวิ่งล่อนจ้อนไปทั่วท้องถนนในทุกๆวัน เธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่คนอื่นมองมาที่เธอ ก็เห็นถึงความอึดอัดใจของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบาว่า:“คุณนาย…..เอ่อ ไม่สิ่ คุณย่า ขอบคุณนะคะ ”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพยักหน้า:“ฉันก็ขอบคุณเธอนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ คราวหลังต้องอย่าลืมนะว่าเธอน่ะเป็นคนท้อง ไม่ว่าจะอะไรลูกก็ต้องมาก่อน ได้ชิงคลอดลูกให้เซ่าถิงได้ก่อนเหลิ่งหมิงอัน ก็ถือว่าเธอได้ช่วยเซ่าถิงเหมือนกัน”

“งั้นฝันดีนะคะคุณย่า” เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า จึงจะเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่ง

เมื่อเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งได้ไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็ฯเหลิ่งหมิงอันที่ยืนพิงราวบันได ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวให้เหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเหลิ่งหมิงอันไป

เหลิ่งหมิงอันใช้มือข้างหนึ่งดึงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ และใช้นิ้วของมืออีกข้างชี้ตรงที่ตาของตัวเอง:“พี่สะใภ้จะรีบเดินอะไรขนาดนั้น?ไม่ห่วงตาของผมหน่อยหรอ?อีกนิดเดียวตาของผมก็เกือบจะบอดแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ช่วยระวังคำพูดของตัวเองด้วย

ในเมื่อเรียกฉันว่าพี่สะไภ้ ก็ควรจะเคารพฉันบ้าง อย่ามายุ่มย่ามกับฉัน ”

“ยุ่มย่าม?วันนี้ฉันยังจูบเธออยู่เลย” เหลิ่งหมิงอันไม่เพียงแต่จะไม่ถอย แต่ยังเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วอีกหนึ่งก้าว และพูดด้วยเสียงที่เบาจนเจี่ยนอี๋นั่วกับเขาได้ยินกันแค่สองคนว่า:“จริงๆล้ว ฉันชอบที่เธอดุดุดันในวันนี้มากกว่าตอนที่เธอต้อนรับแขกพวกนั้นด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งกว่าอีก ท่าทางที่ดุดันของเธอน่ารักกว่าตั้งเยอะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะหัวเราะออกมา:“ฉันว่าการแต่งตัวแบบคนจรจัดเหมาะกับนายมากกว่า

คนที่ไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้จักเคารพคนอื่นอย่างนาย สวมเสื้อผ้าแบบนี้ ช่างเปลืองวัตถุดิบดีๆจริงๆเลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เหล่มองเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชายเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากเหลิ่งหมิงอันไป

เหลิ่งหมิงอันไม่ได้ยื่นมือมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วอีก เขาเพียงแต่เอียงศีรษะเล็กน้อย และหัวเราะพรางพูดตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เฮ่ เก่งเหมือนกันนี่ ฉันหวังดีกับเธอนะ ถึงแม้เธออยากจะเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่งทั้งใจ แต่ว่าในใจของเขาไม่เคยมีเธออยู่เลยนะ เธอจะเป็นคุณนายไปได้อีกนานแค่ไหน?ในใจของเขามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง คือหลิวจื่อซิง ในใจของพี่ใหญ่น่ะไม่มีใครอยู่สูงกว่าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว”

หลิวจื่อซิง?ผู้หญิงที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยชอบคือหลิวจื่อซิง?

ย่างก้าวของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆช้าลง แต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไป และก้าวเดินต่อไป เดิมทีเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าในใจของเหลิ่งเซ่าถิงจะมีผู้หญิงคนไหน และเธอก็ไม่ได้อยากที่จะเข้าไปอยู่ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่แล้ว เธอแค่เพียงต้องการเงินช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้น และเรื่องอื่นๆเธอก็ไม่เคยที่จะไปคิดอะไรอยู่แล้ว

เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วโดยที่ไม่หันหลังไปเช่นกัน และค่อยๆหัวเราะขึ้น พรางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า:“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ต้องอยู่บ้านให้นานขึ้นสักหน่อยแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าคนที่น่าสนุกขนาดนี้ในที่สุดจะมาถึงตระกูลเหลิ่งจนได้ น่าเสียดายจริงๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงห้องของตัวเองนั้น ก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้อยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เธอลังเลอยู่เล็กน้อย จึงจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“วันนี้ฉันแสดงออกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขอโทษด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าการแสดงออกของเธอในวันนี้แย่มาก และเธอไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้คนได้เลย เหลิ่งเซ่าถิงปลดกระดุมพราง หันศีรษะไปทางอี๋นั่วเล็กน้อย พรางพูดขึ้นว่า:“เธอก็รู้นิ่ว่าทำได้ไม่ดีพอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“ฉันแสดงออกได้ลนลานเกินไป แถมระหว่างเหลิ่งหมิงอัน อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตาไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอรู้ตัวก็ดีแล้ว คราวหลังห้ามทำผิดพลาดแบบนี้อีก เข้านอนเถอะ”

“หืม?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้หยิบชุดนอนออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเริ่มถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนของเขา หลับใหลไปตั้งหนึ่งปี เหลิ่งเซ่าถิงยังคงมีกล้ามเนื้อที่สวยงามขนาดนีี้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังไปในทันที และอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่เธอไม่ได้สมเสื้อผ้าต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เพียงแค่นึกถึงตอนนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หน้าแดงมากขึ้นไปอีก

เหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดนอนสีดำทั้งตัวและเดินมาทางเจี่ยนอี่นั่ว และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้ยเสียงทุ้มๆว่า:“ดึกมากแล้ว

เธอยังมีเวาอีกสิบห้านาทีในการเปลี่ยนชุด เช็ดเครื่องสำอาง อย่าทำให้ฉันเสียเวลาในการพักผ่อน ฉันเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาเอง ต้องการพักผ่อนให้เพียงพอ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเครื่องสำอาง ล้างหน้า และแปลงฟัน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนบนเตียง เหลิ่งเซ่าถิงก็ดับไฟตรงหัวเตียงพอดี ในความมืดนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆขยับตัวช้าๆ เมื่อกี้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้

ตอนนี้เธอได้นอนเตียงเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจริงๆ และก็ไม่ใช่เจ้าชายนิทราที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่เป็นเหลิ่งเซ่าถิงตัวเป็นๆที่แสนเย็นชาและเย่อหยิ่ง ที่พูดถากถาง พูดแดกดัน และยังขยันตั้งใจมากๆแถมยังวางแผนกลอุบายได้อีก และในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะเห็นเธอที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกต่างหาก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกๆ

“ถ้าถอยอีกจะตกเตียงแล้วนะ” เสียงเย็นชาของเซ่าถิงดังขึ้นท่ามกลางความมืด

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขดตัวทันที ราวกับเป็นกระต่ายน้อยที่รู้สึกตกใจแล้วเริ่มทำเป็นแกล้งตาย และไม่กล้าที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสักวันนึงเธอจะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับผู้ชายคนนึงได้มากขนาดนี้ อาจะเป็นเพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วที่มีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอดนั้นรู้สึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อย ก็เลยกลัวเขาเป็นพิเศษ ไม่สิ่ ที่พูดว่ากลัวเขา พูดว่ากลัวการดูถูกของเขาส่ะดีกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆผ่อนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหลับตาลง จากนั้นก็พยายามกล่อมตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น เธอไม่ได้นอนข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็จะไม่แตะต้องตัวเหลิ่งเซ่าถิงโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำให้เขาดูถูกเยาะเย้ยเธอได้

เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอในตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น และเมื่อตื่นจากฝัน เธอก็ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยน แต่ไม่ใช่เพระาว่าเรื่องเงินเธอถึงยอมรับการผสมเทียม และยอมที่จะเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป

อนาคตจะเป็นยังไง เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่กล้าที่จะนึกคิด เธอเพียงแค่หวังว่าค่ำคืนนี้จะผ่านไปได้โดยเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วขดตัวอยู่ตรงมุมอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงหลบหนีสัญชาตญานของเหลิ่งเซ่าถิง และค่อยๆขัยบตัวอย่างช้าตรงขอบเตียง ในขณะที่เธอกำลังจะตกจากเตียงนั้น จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือออกมา แล้วโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ จากนั้นก็ดึงเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาและพิงลงตรงอกแกร่งของเหลิ่งเซ่าถิง ลมหายใจอุ่นๆของเธอนั้นรดลงตรงอกแกร่งของเหลิ่งเซ่าถิง มือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นวางลงตรงเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว และสัมผัสได้ถึงผิวที่อ่อนนุ่มของเจี่ยนอี๋นั่ว

เอวของเธอบางมาก!

นี่เป็นช่วงเวลาที่ชุดเดรสของเจี่ยนอี๋นั่วหลุดออก เป็นความคิดนึงที่ผุดขึ้นมาในหัวของเหลิ่งเซ่าถิง และก็เป็นความคิดเดียวที่ผุดขึ้นในหัวในตอนนี้ เอวบางขนาดนี้ ราวกับว่าเมื่อเอามือทั้งสองข้างมาชนกันก็สามารถโอบเอาไว้ได้แล้ว เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะขยับนิ้วมือ และค่อยวัดรอบเอวของเธออย่างช้าๆ

มันบางจริงๆ ผู้หญิงที่มีเอวบางได้ขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่ตั้งใจรักษารูปร่างของตัวเองมากแน่ๆ แต่ตอนนี้กลับยอมมีลูกให้เขา?เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยเอามากๆ หลับสนิทขนาดนี้ ยังตอบสนองต่อการสัมผัสของเขา เธอหลับสนิทจนราวกับเป็นแมวน้อย แก้มของเธอนั้นพิงลงตรงอกของเขาอย่างเบาๆ

แต่ผู้หญิงคนนี้ใช้วิธีที่ไร้ยางอายในช่วงเวลาที่เขาลำบากที่สุด กลายมาเป็นแม่ของลูกของเขา?ภรรยาตามสัญญาของเขา?เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และเผยใบหน้าที่งงงวยอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นมาก่อน ภายใต้แสงจันทร์ เขานั้นหรี่ตามองและพิจารณาเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอเจี่ยนอี๋นั่วตรงขอบเตียง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเธอนั้นยึดพื้นที่ทั้งหมดของเตียงขนาดใหญ่ และเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้อยู่ข้างๆเธอแล้ว!พระเจ้า เมื่อคืนเธอนั้นนอนตรงขอบเตียงนี่หน่า ทำไมไปนอนตรงกลางเตียงได้ล่ะ?เมื่อคืนเธอคงจะไม่ได้ดิ้นไปดิ้นมามากเกินไป จนทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโกรธหรอกนะ?

บ้าจริง!รู้อยู่นานแล้วว่าการที่ผู้ชายกับผู้หญิงนอนด้วยกันแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เหลวไหล!

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นทันที เมื่อลงจากเตียงก็สวมรองเท้าแตะ เมื่อกำลังสวมรองเท้าแตะนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

เขาเห็นสายตาที่ร้อนรนของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นว่า:“เดี๋ยวจะมีคนรับใช้เอาอาหารเช้ามาให้ คุณย่าจัดรถเอาไว้ให้เธอแล้ว เบอร์ของคนขับรถวางอยู่บนโต๊ะ เธอไปดูเองสิ่”

“เอ่อ เมื่อคืนฉันไม่ได้รบกวนนายใช่หรอกใช่มั้ย” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปาก และไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถามขึ้นว่า:“หือ?แล้วเธอคิดว่าตัวเองได้รบกวนฉันหรือเปล่าล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองสีหน้าท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อย และก้มหน้าลงอย่างๆช้าพรางพูดหยั่งเชิงขึ้น:“ฉันนอนได้ไม่สะเปะสะปะมากๆ อาจจะไปรบกวนนายก็ได้……ฉัน……”

“รบกวนฉัน?คุณหนูเจี่ยนรู้สึกถึงข้อนี้ด้วย มันไม่สายไปหน่อยหรอ ตอนที่ฉันเป็นเจ้าชายนิทรา เธอก็ควรจะรู้ได้แล้ว ในวันที่ฉันฟื้นขึ้นมา การที่เธอยังอยู่เป็นสิ่งที่รบกวนฉันมากที่สุด” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พรางเม้มมุมปากและอยากที่จะอธิบาย แต่กับเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้แล้ว คำพูดที่เธออยากจะอธิบายก็กลับพูดไม่ออก ในคดีทั้งหมดนี้ บางทีเหลิ่งเซ่าถิงก็อาจจะเป็นผู้บริษุทธิ์ก็ได้ ตอนที่เขาเป็นเจ้าชายนิทราหลัใหลไม่ได้สติ แต่กลับถูกคนอื่นจัดแจงภรรยามาให้แล้ว แม่ของลุกของเขา หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมา เขาก็ถูกบังคับให้รับเรื่องเหล่านี้ให้ได้ เจี่ยนอี๋นั่วลองคิดว่าถ้าเธอเป็นเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้สึกยังไง เธอรู้สึกว่าเธอเองก็คงรัลเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ

“ขอโทษนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้ามองดูเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็พยักหน้าช้า:“เธอก็มีข้อดีอยู่นิ่ อย่างความสามารถในการขอโทษของเธอนั้นดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพรางมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นจึงก้มหน้าลง ในใจก็อดที่จะบ่นพึมพัมไม่ได้:เหลิ่งเซ่าถิงนี่เป้นอะไรของเขานะ?ทำไมฉันทำอะไรก็ดูเหมือนไม่เคยทำให้เขาพอใจได้เลย ทั้งๆที่ฉันก็คิดเผื่อเขาตลอดนี่หน่า?เป็นคนที่เข้าถึงได้ยากจริงๆ!ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นบอกว่าเขาเย่อหยิ่งแล้วก็เย็นชา!ช่างเย่อหยิ่ง!เย็นชาจริงๆ!

“คิดอะไรอยู่น่ะ?” เหลิ่งเซ่าถิงที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วที่ก้มหน้าอยู่นั้น ก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งเซ่าถิง จาหนั้นก็รีบก้มหน้าลงทันที แน่นอนว่าเธอนั้นไม่สามารถพูดคำที่เธอกำลังบนอยู่ในใจออกมาได้ จึงทำได้เพียงพูดพึมพัมว่า:“ฉันกำลังคิดว่า ตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับนายแล้ว ถ้าหากเขาพูดเรื่องนี้ออกไป หรือฉันกับพวกเขาบังเอิญเจอกัน แล้วแันควรจะทำยังไงล่ะ?”

“ฉันมีเงื่อนไขแค่กับเธอ ไม่ใช่กับคนอื่น” เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่ห้องหนังสือ แล้วเปิดโน้ตบุ้คขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเล้กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นเบาๆว่า:“งั้น ที่ไม่ให้ฉันพูดเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับนาย เป็นแค่เงื่อนไขของฉันคนเดียว?ฟังดู…..เป็นสัญญาที่ยุติธรรมดีนะ”

“หิม?เธอพูดอะไรอยู่น่ะ?”เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว พรางรีบส่ายหน้าไปมาและพูดขึ้นว่า:“ฉัน ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่เห็นว่าตอนนี้ก็สายแล้ว ฉันควรจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปได้แล้ว”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงที่เห็นแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มลงไปจิบน้ำชา ทุกนาทีที่ได้สนทนากับเหลิ่งเซ่าถิงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลา เธอรีบล้างหน้าแปลงฟัน แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าและทานอาหารเช้าด้วยความรวดเร็ว และเตรียมที่จะออกจากห้องไป

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นว่า:“รอเดี๋ยว!”

“หืม?มีอะไรหรอ?”เจี่ยนอี๋นั๋วรีบหันกลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงเดินมาตรงประตู และเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างลนลาน:“ฉัน ฉันทำไมหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกมา และหยิบบัตรออกมาวางในมือเจี่ยนอี๋นั่ว พรางพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“เธอลิมหยิบเบอร์ของคนขับรถไปน่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกำบัตรเอาไว้แน่น พรางพยักหน้าอย่างลุกลี้ลุกรน จึงพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณนะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เดินลงไปชั้นล่าง หลังจากที่ออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง และขึ้รถแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังจากที่ถอนหายใจแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือมาทุบๆที่หัวของตัวเองเบาๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์มากๆ ทำไมตอนที่เผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิง เธอถึงต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนตลอดเลยล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเจอหมาป่าที่หิวโซนั้น เธอก็ไม่ลังเลที่จะแยกเขี้ยวโชว์กรงเล็บของเธอเพื่อที่แสดงให้เห็นว่าเะธอนั้นดุร้ายมากแค่ไหน แต่เมื่อเธอนั้นได้เจอกับราชาเสือที่น่าเกรงขามแล้ว ความรู้สึกของเธอทั้งหมดที่ว่อนอยู่ก็ถูกเปิดเผยออกมา!

“โถ่เอ้ย ทำไมถึงไร้อนาคตขนาดนั้น…..”เจี่ยนอี๋นั่วตำหนิตนเอง พรางยกมือขึ้นมาทุบหัวของตัวเองอย่างหงุดหงิด

ทำให้คนขับรถหน้าซื่อๆที่นั่งอยู่ด้านหน้ามองไปข้างหลังไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก และสงบลงอีกครั้ง จากนั้นก็รีบใช้เสียงที่สุขุมสั่งคนขับรถ:“คุณช่วยไปส่งฉันที่บริษัทอี๋เหม่ยด้วย ขอบคุณค่ะ”

คนขับรถพยักหน้าเล็กน้อย แต่การที่เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนสีหน้าท่าทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย ตลอดทาง เขาคอยมองเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่างานคนขับรถนี้ คุณนายเหลิ่งต้องจัดคนที่ไส้ใจได้มาให้เธออย่างแน่นอน ในเมื่อในท้องของเธอก็มีลูกของลี่ถิงเซียวอยู่ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่กลัวว่าคนขับรถจะเป็นอันตรายกับเธอ

เมื่อถึงบริษัทอี๋เหม่ย สีหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วถึงจะกลับมาสุขุมและดูช่ำชองอย่างเดิม เธอเดินเข้าไปในบริษัท เธอก็สั่งให้เลขาเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นทันที เมื่อผู้ถือหุ้นมารวมตัวกันเจี่ยนอี๋นั่วก็มองไปที่ผู้ถือหุ้นเหล่านั้น และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ฉันคิดว่าทุกๆท่านคงจะรู้แล้วว่า ฉันได้รับเงินทุนจากตระกูลเหลิ่งแล้ว และข่าวที่เสียๆหายๆของบริษัทอี๋เหม่ยก็ได้ถูกชี้แจงไปแล้ว ตอนนี้ประธานของบริษัทอี๋เหม่ยก็ยังเป็นของพอฉันเจี่ยนฉางรุ่น ฉันในฐานะที่เป็นผู้รักษาการแทน ก่อนที่พ่อของฉันจะฟื้นขึ้นมา ฉันจะทำหน้าที่แทนเขา มีใครสงสัยอะไรไหม?”

เหล่าผู้ถือหุ้นต่างส่ายหน้าไปมาพรางหัวเราะขึ้น:“ประธานเจี่ยน คุณสามารถเอาเงินทุนมาจากตระกูลเหลิ่งได้ พวกเราจะมีข้อสงสัยอะไรอีกล่ะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ่ ตระกูลเหลิ่งให้เงินช่วยเหลือมาขนาดนี้ ก็แสดงว่าพวกเราคงพัฒนาได้ดีกว่า คงต้องรบกวนอี๋นั่วแล้วล่ะ”

“นั่นสิ่นะ ที่สุดแล้วก็เป็นประธานเจี่ยน ที่มีความสามารถมากขนาดนี้!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหล่าผู้ถือหุ้นที่พูดยอเธออยู่ จากนั้นก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เธอยังจำได้ว่าหลังจากที่พ่อของเธอล้มป่วยนั้น ผู้ถือหุ้นพวกนี้ถ้าดึงตระกูลเจี่ยนของเธอลงนรกไม่ได้ ก็จะไม่ยอมรามือ แต่ว่าเธอก็ยังต้องอดทนเอาไว้ เธอจำเป็นจะต้องทำให้สถานการณ์ของบริษัทมั่นคงเสียก่อน แล้วค่อยไล่ผู้ถือหุ้นพวกนี้ออกจากบริษัทไปทีละคน

“ใช่แล้ว ประธานเจี่ยนมีความสามารถที่ดีมาก ที่ในที่สุดก็สามารถมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหลิ่งได้" ฉู่หมิงเซวียนนหัวเราะพรางเดินเข้ามาในห้องประชุม:"ฉันจะไปกล้ามีข้อสงสัยได้ยังไง?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่แม้แต่จะมองฉู่หมิงเซวียนแม้แต่น้อย เธอแค่ลุกขึ้นมา พรางหัวเราะและพูดกับเหล่าผู้ถือหุ้นว่า:"ในเมื่อไม่มีข้อสงสัยแล้ว งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันได้แล้ว"

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:"เดี๋ยวก่อน ฉันก๋เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้นะ ทำไมมีประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นแล้วไม่รายงานฉัน?"

ครั้งนี้เจี่ยนอี๋นั่วจึงจะหันไปมองฉู่หมิงเซวียน และพูดด้วยเสียงเบาๆว่า:"กฎของการประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ ประธานไม่ต้องรายงานให้ผู้ถือหุ้นผู้นั้นทราบ น่าเสียดาย ที่หุ้นของฉู่หมิงเซวียนมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์พอดี"

ฉู๋หมิงเซวียนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พรางกัดฟันแล้วหัวเราะออกมา:"คุณหนูเจี่ยน เธอนี่ช่างเก่งจริงๆ ตอนนี้ก็เข้าถึงตระกูลเหลิ่งได้แล้ว ก็คิดที่จะกำจัดฉันหรอ? เธอคิดหรอว่าเหลิ่งเฉิงอวี๋จะคุ้มหัวเธอไปได้ตลอดชีวิต? ที่เธอขายตัวเพื่อเอาเงินทุนกลับมาได้ ฉันอยากจะรู้จริงๆเลยว่าถ้าพ่อของเธอฟื้นขึ้นมา จะรู้สึกภูมิใจ หรือว่าอับอายขายหน้ากันแน่?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองดูฉู่หมิงเซวียน จากนั้นจึงหรี่ตาและหัวเราะขึ้น:“ฉันเคยคบกับนายนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้พ่อของฉันรู้สึกอับอายมากที่สุด ฉันไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องอื่นที่มันน่าอับอายมากไปกว่านี้แล้ว แล้วอย่าเที่ยวไปป่าวประกาศเรื่องของฉันกับคุณเหลิ่งอีก ฉันคิดว่าข่าวน่าอายแบบนี้ ตระกูลเหลิ่งคงรับรู้ได้ไม่ยาก”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเธอก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เธอไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ถ้าหากเขาน่าอับอายของเธอกับเหลิ่งเฉิงอวี๋ถูกเผยแพร่ต่อไป มันจะทำให้ตระกูลเหลิ่งนั้นโกรธขึ้นมาได้ ในเมื่อตอนนี้เหลิ่งเฉิงอวี๋ก็ถือได้ว่าเป็นอารองของเธอ ที่เจี่ยนอี๋นั่วเตือนฉู่หมิงเซวียนไม่ใช่เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของเค้า แต่เธอเองก็ไม่ชอบที่จะทำให้คนอื่นยิ่งรู้สึกรังเกียจเธอในเรื่องข่าวฉาวพวกนี้มากขึ้นไปอีก

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ทุกคนก็เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทกันทั้งนั้น ต้องสามัคคีกันไว้สิเถียงกันไปมาให้พนักงานเห็นมันก็ไม่ดีนะ อี๋นั่วเธอก็ควรจะใจกว้างบ้างสิ่ เธอน่ะเป็นผู้หญิงนะ อวดเก่งและบ้าอำนาจแบบนี้ก็ไม่ดีต่อชื่อเสียงของเธอเท่าไหร่ เอาละพวกเธอคืนดีกันได้แล้ว เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ออกจะดี ตอนนี้ทะเลาะกันอย่างกับอะไรดี“ ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะและบอกให้คืนดีกันดังขึ้นมาจากพวกผู้ถือหุ้น

เจี่ยนอี๋นั่วมองดูพวกผู้ถือหุ้นแวบหนึ่ง เธอรู้ว่าเขาและฉู่หมิงเซวียนนั้นสนิทสนมกันมาโดยตลอด ตอนนี้ที่เขาบอกให้คืนดีกัน ก็เพื่อที่จะไม่ให้ฉู่หมิงเซวียนนั้นรู้สึกอับอาย ถ้าหากเขานั้นอยากที่จะคืนดีกันจริงๆ ทำไมเมื่อกี้ที่เจี่ยนอี๋นั่วดูถูกฉู่หมิงเซวียน เขาไม่ออกมาพูดอะไรหน่อยล่ะ?ดันออกมาพูดตอนที่ฉู่หมิงเซวียนถูกเจี่ยนอี๋นั่วเตือนซะงั้น?

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขึ้น และใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวาน พูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า:“ฉันกับฉู่หมิงเซวียนไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้ตลอดไป ฉันจะไม่มีวันที่จะใจกว้างกับฉู่หมิงเซวียน จากวันนี้เป็นต้นไป มีฉันก็ต้องไม่มีเขา!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ผู้คนที่อยู่รอบๆก็สงบลง ทุกคนรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเคยคบหากับฉู่หมิงเซวียนมาก่อน เธอเกลียดฉู่หมิงเซวียนขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เจี่ยนอี๋นั่วกวางสายตาไปที่ผู้คนรอบๆ จึงจะเดินออกจากห้องประชุม เมื่อเดินออกจากห้องประชุมได้ไม่นาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก้มมองเบอร์โทรศัพท์ที่แสดงขึ้นบนหน้าจอ นี่มันเบอร์คนแปลกหน้านิ่

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงจะรับโทรศัพท์ เมื่อรับโทรศัพท์แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงของคุณนายเหลิ่งผ่านสาย:“อี๋นั่ว ที่ฉันโทรหาเธอ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่า อย่าตากฝนเหมือนเมื่อวานอีก เด็กในท้องของเธอน่ะไม่เหมือนกับเด็กอื่นๆ เขาค่อนข้างจะอ่อนแอ ต้องการการดูแลจากเธอเป็นพิเศษ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไปตรงมุมตึก และพูดเสียงเบาๆว่า:“ท่านวางใจเถอะค่ะ ฉันจะดูแลลูกเป็นอย่างดี จะไม่เกิดเรื่องแบบเมื่อวานขึ้นอีกแน่นอน ท่านสบายใจได้ค่ะ ฉันจะทะนุถนอมเด็กคนเหมือนกัน……”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดอยู่นั้น เธอก็ยกมึกขึ้นมาลูบไปที่ท้องของเธอเบาๆ พรางหัวเราะและพูดขึ้นว่า:“เขาไม่เพียงแต่จะเป็นลูกของตระกูลเหลิ่ง เขายังเป็นลูกคนแรกของฉันอีกด้วย”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะขึ้น:“อย่างนั้นก็ดี ฉันนี่ก็เป็นคนแก่แล้วจริงๆ อดไม่ได้ที่จะบ่นจู้จี้จุกจิก เมื่อก่อนฉันเห็นว่าคนแก่คนอื่นๆก็มักจะกวนพวกเด็กอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรืองแต่งงาน การงานหรือว่าเรื่องตั้งท้อง ก็ต้องเข้าไปยุ่งอยู่เสมอ เธออย่าเพิ่งเกลียดคนแก่ๆอย่างฉันเลยนะ”

คุณนายเหลิ่งนั้นก็มีความสามารถแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องต่างๆในชีวิตของเธอ แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญ เจี่ยนอี๋นั่วเม้มมุมปาก พรางหัวเราะขึ้น:“จะเกลียดได้ยังไงล่ะคะ?วางใจเถอะค่ะ ฉันจะพยายามดูแลลูกให้ดีที่สุด”

“ตัวของเธอเองก็ด้วย ต้องดูแลให้ดี เอาล่ะ เธอทำธุระของเธอต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนเธอแล้วล่ะ” เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดจบ จึงจะวางสายไป

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มบางๆพรางเก็บโทรศัพท์ เก็บโทรศัพท์ได้ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงที่เย้นชาของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ:“ที่แท้เธอก็มีลูกกับผู้ชายของตระกูลเหลิ่ง?ตอนนี้ตระกูลเหลิ่งมีผู้ชายอยู่สามคน คนนึงก็ไม่รู้ว่าไปเสเพลอยู่ตรงมุมไหนของโลก คนนึงก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ส่วนอีกคนก็เหลิ่งเฉิงอวี๋ เํธอท้องลูกคนเหลิ่งเฉิงอวี๋?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังไปมองฉู่หมิงเซวียนที่อยู่ด้านหลังของเธอ ตอนนี้ข่าวที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้วนั้น มีเพียงแค่คนในตระกูลเหลิ่งไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ และยังไม่ได้เปิดเผยออกไป ในแวดวงคนรวยก็คงมีคนมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ อย่างฉู่หมิงเซวียนที่เดิมที่ก็เข้าไม่ถึงคนของตระกูลเหลิ่งอยู่แล้วนั้น ก็คงจะตามไม่ทันเป็นธรรมดา เขาไม่มีทางคาดเดาถึงเหลิ่งเซ่าถิงได้อยู่แล้ว และฉู่หมิงเซวียนก็รู้ดีว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเป็นคนเย่อหยิ่งมาก คงไม่มีทางที่จะมีลูกให้คนที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราได้อย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“ฉันรู้ว่านายเป็นคนไร้ยางอาย แต่ฉันคิดไม่ถึงว่ามรรยาทขั้นพื้นฐานของนายก็ไม่มี มาแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ ฉู่หมิงเซวียน นายนี่มันไร้ยางอายหน้าด้านที่สุด”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ จากนั้นจึงเดินผ่านฉู่หมิงเววียนไป ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือไปดึงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ในทันที ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด เขากัดฟันและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ฉันถามเธอว่า เธอท้องลูกของเหลิ่งเฉิงอวี๋ใช่ไหม?”

“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย!ปล่อยฉันนะ!”เจี่ยนอี๋นั่วขึ้นเสียง

ดวงตาของฉู่หมิงเซวียนแดงก่ำ เขาถลึงตาใส่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“เจี่ยนอี๋นั่ว!เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?เธอเป็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งมากขนาดไหน แต่ตอนนี้เธอขายตัว!ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปแบบนี้?”

“เพี๊ยะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือของฉู่หมิงเซวียนออก และตบฉู่หมิงเซวียนอย่างแรง และชี้หน้าฉู่หมิงเซวียนและพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า:“ฉู่หมิงเซวียน นายไม่มีสิทธิ์มาตำหนิฉัน!ตอนที่นายเริ่มให้ร้ายตระกูลเหลิ่ง แล้วก็อยู่กับเฉิงซานซาน นายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันอีก ฉันจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักนิด !แต่เพื่อไม่ให้นายพูดอะไรแย่ๆแบบนี้อีก ฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันกับเหลิ่งเฉิงอวี๋ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบที่นายคิด เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินไปที่ลิฟต์ทันที เธอกดเปิดลิฟต์ จากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟต์ทันที ภายในลิฟต์ไม่มีใครอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วมองดูลิฟต์ที่ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่ทว่าประตูลิฟต์ยังทันจะปิดสนิท ก็มีมือคู่หนึ่งมาขวางประตูเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนนั่นเองที่เอามือมาง้างประตูลิฟต์ออก และแทรกตัวเข้าไปข้างใน และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงทุ้มว่า:“ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้เป็นของใคร?ถ้าไม่ใช่ของเหลิ่งเฉิงอวี๋แล้วจะเป็นของใคร?ใครจะดีพอที่จะให้เธอมีลูกให้กับเขา?จริงๆแล้วเะอมีผู้ชายคนอื่นมาตั้งนานแล้วใช่ไหม?ไม่อย่างนั้นเวลาสั้นๆขนาดนี้ เธอก็มีลูกกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง?ตอนที่เธออยู่กับฉัน…..ฉันรอนานมาก ถึงจะได้จูบจากเธอ……แต่ผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ใช้เวลาไม่นานก็ได้เธอไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วถอยหลบไปตรงมุมของลิฟต์ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธมากๆ เธอไม่เข้าใจเลยทั้งๆที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นคนหักหลังเธอแท้ๆ ทำร้ายเธอจนเธอต้องขายเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วทำไมท่าทีของฉู่หมิงเซวียนในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอเป็นคนหักหลังฉู่หมิงเซวียนล่ะ?แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากที่จะทะเลาะกันตอนที่เธออยู่กับฉู่หมิงเซวียนตามลำพัง มันไม่ดีกับตัวเธอเอามากๆ แถมในท้องของเธอก็มีทารกที่อ่อนแออยู่อีกด้วย

“ตอนนี้นายก็มีเฉิงซานซานอยู่แล้ว เธอมีลูกให้นาย นายก็ควรจะเอาใจใส่เธอ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นด้วยเสียงที่สุขุม เธอเงยหน้ามองแผงหน้าจอของลิฟต์ที่แสดงชั้นต่างๆ เมื่อเห็นว่าลิฟต์เริ่มลงไปชั้นล่าง เจี่ยนอี๋นั่วก็โล่งใจได้ในที่สุด

ราวกับว่าฉู่หมิงเซวียนนั้นไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว ตาแดงก่ำ พรางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า:“เธอ……ตอนนี้ในท้องของเธอ

เป็นลูกของเธอกับผู้ชายคนนั้นหรอ?ผู้ชายคนที่ได้ตัวเธอไป?ในเมื่อเธอยอมที่จะมีลูกกับผู้ชายที่เธอก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยได้?แล้วทำไมในตอนนั้นเธอถึงไม่ยอมให้ฉันนอนกับเธอ?ทำไมเธอไม่ยอมให้ฉันกับเธอใกล้ชิดกันมากขึ้น?จริงๆแล้วเธอไม่เคยเห็นค่าฉันเลยไช่ไหมล่ะ?ก็เหมือนกับพ่อของเธอนั่นแหละ”

ทำไมถึงไม่อยากใกล้ชิดกับฉู่หมิงเซวียนมากขึ้นนน่ะหรอ?ก็เพราะเธออยากที่จะเก็บมันเอาไว้ในคืนวันแต่งงานน่ะสิ่

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาปี๋ จากนั้นก็ลืมตามองตัวเลขของชั้นต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ พรางเม้มปาก และกำกระเป๋าในมือไว้แน่น

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอกำลังเครียดอยู่หรอ?กลัวฉันหรอ?ตอนแรกเธอเหมือนแมวน้อยที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของฉัน ตอนหน้าคนอื่นเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ อยู่ต่อหน้าฉันเธอก็เหมือนแมวน้อยที่ขี้โมโห ถึงแม้บางครั้งจะเอาแต่ใจ กวนโมโห

แต่เมือนึกถึงตอนที่เธอเอาแต่ใจและหงุดหงิด ก็เป็นของฉันทั้งหมด ที่คนอื่นเห็นก็มีแค่ความแข็งแกร่งและเย็นชาของเธอ ฉันรู้สึกว่าอารมณ์ที่เอาแต่ใจและก็ความหงุดหงิดพวกนั้นเป็นสิ่งที่เธอมอบให้!แต่ตอนนี้เธอกลับยอมมีลูกกับคนอื่น!”

ฉู่หมิงเซวียนรีบเดินเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอจะชดใช้ฉันได้หรอ?”

“จริงๆแล้วนายรักฉัน?ถึงแม้ว่านายจะแก้แค้นพ่อของฉัน แต่นายรักฉัน?”เจี่ยนอี๋นั่วมองดูชั้นที่ค่อยๆเลื่อนลง เพื่อมไม่ให้ฉู่หมิงเซวียนเข้าใกล้เธอ เธอจึงทำได้เพียงพูดรบกวนเขา

ฉู่หมิงเซวียนที่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที และพูดขึ้นด้วยเสียงที่เย็นชาว่า:“เธอกำลังพูดอะไรอยู่?”

เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นฉู่หมิงเซวียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก็ค่อยโล่งใจหน่อย พรางพูดขึ้นเบาๆว่า:“ฉันพูดว่า ถึงแม้ว่านายจะพยายามล้างแค่ฉันและพ่อ จริงๆแล้วนายก็ชอบฉัน นายอยู่กับเฉิงซานซาน เป็นเพระานายไม่เชื่อมั้นในตัวเองมากพอ นายคิดว่านายไม่คู่ควรกับฉัน!นายไม่เคยมั้นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีฉันได้!”

ปากของฉู่หมิงเซวียนสั่นระริก ใบหน้านั้นซีดเผือด เขายกมุมปากขึ้น และแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว:“ฉันรักเธอ?ฉันคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ?เธอล้อเล่นอะไรอยู่น่ะ?พ่อของเธอใส่ร้ายพ่อของฉัน!พวกเราคือคู่แค้น!และฉันก็เป็นคนทิ้งเธอ?ตอนที่เธอเห็นฉันกับเฉิงซานซานอยู่บนเตียง ไม่ว่าเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วหรอกหรอ?ท่าทางที่น่าอับอายของเธอ อยากให้ฉันพูดให้ฟังไหมล่ะ?”

จริงๆแล้วเจี่ยนอี๋นั่วไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าฉู่หมิงเซวียนจะมีความรู้สึกยังไงต่อเธอ ที่เธอพูดออกไปแบบนี้ เพียงแค่อยากเบี่ยงเบนความสนใจของฉู่หมิงเซวียนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอที่ได้ฟังฉู่หมิงเซวียนพูดถึงเรื่องในอดีต ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก และหัวเราะออกมา:“ตอนนั้นฉันโง่เอง”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็มองไปที่ลิฟต์ที่ได้ถึงชั้นหนึ่งแล้ว ประตูลิฟต์ก็ค่อยๆเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบผลักฉู่หมิงเซวียนออกและเดินออกไป ฉู่หมิงเซวียนก็รีบเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไป และดึงเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ พรางพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า:“เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าเด็กในท้องของเธอคือลูกของใคร!เธอต้องบอกฉัน!”

ฉู่หมิงเซวียนจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้แน่น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“นายปล่อมมือฉันเดี่ยวนี้นะ!”

“ฉันไม่ปล่อย!”ฉู่หมิงเซวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห

“ฉันแนะนำให้นายปล่อยมือเธอจะดีกว่านะ!”จู่ๆเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น:“ไม่อย่างนั้นถ้าเธอโมโหขึ้นมา คงจะใช้เสปร์ยกันแดด พ่นใส่ตาของนายแน่”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปตามเสียงพูด เห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังพิงกำแพงและเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “ไม่เจอกันนานเลยนะ คิดถึงฉันไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างเล็กน้อย เธอคิดว่าเหลิ่งหมิงอันบ้าไปแล้วเหรอ? หรือเขาไม่รู้สถานะเธอในตอนนี้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นความสัมพันธ์แบบสัญญา หรือเป็นคนรักกันจริงๆ ตอนนี้เธอก็เป็นพี่สะใภ้ของเหลิ่งหมิงอันไม่ใช่เหรอ? ผลที่ตามมาคือตอนนี้ไม่คิดว่าเหลิ่งหมิงอันจะกล้ามาหาเธอที่บริษัทจริงๆ? แถมยังพูดจาไร้สาระอีก เหลิ่งหมิงอันไม่รู้เหรอว่าหลักจริยธรรมคืออะไร?

“นายเป็นใคร?” ฉู่หมิงเซวียนมองเหลิ่งหมิงอันแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินไป ยกมือขึ้นวางบนไหล่เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันคือผู้พิทักษ์ของอี๋นั่วในตอนนี้ อ่อ ฉันถือเป็นคนในครอบครัวอี๋นั่วมั้ง? ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา”

เหลิ่งหมิงอันที่ปรากฏตัวขึ้นฉับพลันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเวียนศีรษะนิดหน่อย เธอกัดฟันเบาๆ เธอขมวดคิ้วมองฉู่หมิงเซวียน ในใจด่าหนึ่งประโยค: ไอ้ห่วย!

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปมองเหลิ่งหมิงอัน ในใจด่าหนึ่งประโยค: ไอ้บ้า!

และในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง สถานการณ์วุ่นวายเมื่อคืน เพราะเหลิ่งเซ่าถิงอยู่เคียงข้างเธอ เธอจึงเผชิญมันได้อย่างสงบ ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะเย็นชาปากร้าย แต่เขาก็เป็นคนเชื่อถือได้จริงๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น

แต่ฉู่หมิงเซวียนไอ้ห่วยคนนี้ไม่ต้องการให้เธอมีชีวิตที่สงบสุขอย่างเห็นได้ชัด และเหลิ่งหมิงอันคนที่กลัวโลกจะไม่วุ่นวาย! มีพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าสถานการณ์อะไรก็กลายเป็นเละเทะ!

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าจะนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ? เหลิ่งเซ่าถิงที่เอาแต่เยาะเย้ยเหยียดหยามเธอ เหยียบความนับถือตนของเธอไว้ใต้เท้าน่ะนะ? เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธอกลายเป็นผู้ป่วยมาโซคิสม์แล้ว

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังตกตะลึง ฉู่หมิงเซวียนก็จ้องมือเหลิ่งหมิงอันที่วางบนไหล่เจี่ยนอี๋นั่วตลอดเวลา

“เอามือนายออกไป” ฉู่หมิงเซวียนพูดอย่างเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันยกมุมปากยิ้มขึ้น “ทำไมต้องเอาออก? นายเป็นอะไรกับเธอ? แต่ไม่ว่านายจะเป็นอะไรกับเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเหมือนฉันกับเธอแน่ๆ ……”

เหลิ่งหมิงอันยังพูดไม่จบ หมัดฉู่หมิงเซวียนก็เหวี่ยงออกไปยังเหลิ่งหมิงอันอย่างแรง แต่มือเหลิ่งหมิงอันยกขึ้นมาจับข้อมือฉู่หมิงเซวียนเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนถือว่าเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แต่ตอนที่ข้อมือเขาโดนเหลิ่งหมิงอันจับเอาไว้ ก็รู้สึกไม่มีแรงจะดิ้นหลุดเลยสักนิด

เหลิ่งหมิงอันออกแรงจับข้อมือฉู่หมิงเซวียน แล้วพูดอย่างเย็นชา “วิธีการของนาย อยากทะเลาะกับคนอื่น? ประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า?”

ขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูด ก็หันไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าเธอบอกว่าเขาเคยเป็นแฟนเธอ ฉันคงต้องประเมินเสน่ห์ของเธอใหม่แล้วล่ะ ไม่คิดว่าเธอเคยมีแฟนที่แย่แบบนี้ ถ้าฉันชอบเธอต่อ ไม่ใช่ว่ายังต้องคุยกับเขาเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็เห็นยืนอยู่มุมกำแพงหน้าซีด เธอกัดปากที่ไร้สีเลือด กลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เหลิ่งหมิงอันหุบยิ้มทันที ผลักฉู่หมิงเซวียน แล้วเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ถามเสียงทุ้มต่ำ “เธอเป็นอะไร?”

เป็นอะไร? ปวดท้องมาก!

ปวดจนเจี่ยนอี๋นั่วพูดไม่ออก เทียบกับความเจ็บปวดแล้ว สิ่งที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแย่คือความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว เด็กที่เธอยังไม่คุ้นเคย ใช้ความเจ็บปวดนี้ใส่แม่อย่างเธอ ประกาศการมีอยู่ของตน! และความล้มเหลวในการทำหน้าที่ของเธอ!

“ฉันปวดมาก ช่วยฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ตอนนี้มีแค่เหลิ่งหมิงอันและฉู่หมิงเซวียน ถ้าให้เลือกใครสักคนเพื่อช่วยเหลือ เธอยอมเลือกเหลิ่งหมิงอันดีกว่า

เหลิ่งหมิงอันรีบเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว อุ้มเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วพยายามกลั้นความรู้สึกไม่เหมาะสมที่ถูกผู้ชายอุ้มขึ้นมา ไม่ได้ดิ้นรน แค่จับคอเสื้อของเหลิ่งหมิงอันเอาไว้แล้วกำชับเสียงทุ้ม “เดินไปด้านหลัง คนขับรถของฉันจอดรถไว้ลานจอดรถด้านหน้า ละแวกนี้มีโรงพยาบาลสตรีและเด็กอยู่ ไปที่นั่น! ห้ามบอกใครตอนนี้ รบกวนคุณด้วย!”

ตอนนี้สมองเจี่ยนอี๋นั่วสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อครู่นี้เผชิญกับฉู่หมิงเซวียนรู้สึกตกใจกลัว และโกรธหงุดหงิดเมื่อเห็นเหลิ่งหมิงอันปรากฏตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีการโทษตัวเองและความตื่นตระหนก อาการปวดท้องที่ทำให้เธอตื่นตระหนก ตอนนี้เธอไม่สามารถคิดถึงเรื่องต่างๆ ได้มากเกินไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่คิดออกคือพยายามซ่อนตัวจากคนอื่นๆ แล้วรีบไปโรงพยาบาล!

“เงียบซะ! รู้สึกแย่ก็อย่าพูดซี้ซั้ว! ฉันจัดการเรื่องพวกนี้เอง!” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วพูดขึ้นเสียงทุ้มจบ ก็อุ้มเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเดินออกไปจากโรงพยาบาลทันที

ฉู่หมิงเซวียนเห็นแผ่นหลังเหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่ว สองมือก็กำหมัดช้าๆ หัวเราะเสียงทุ้มแล้วพูดขึ้น “เจี่ยนอี๋นั่ว นี่เธอเหน็บแนมฉันเหรอ? ไม่คิดว่าเธอจะเอาผู้ชายแบบนี้มาให้ฉันเห็น รักเธอเหรอ? น่าขำ? ฉันจะรักลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่นได้ยังไง? น่าขำ!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ หมัดเขาก็ยิ่งกำแน่นขึ้น เหมือนกำลังจับบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้

เหลิ่งหมิงอันอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากประตูหลังบริษัท รีบไปที่โรงพยาบาลสตรีและเด็กที่เจี่ยนอี๋นั่วบอก หลังจากถึงโรงพยาบาลแล้ว เหลิ่งหมิงอันก็วางเจี่ยนอี๋นั่วบนเตียงฉุกเฉิน เดิมทีอยากไปห้องฉุกเฉินกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อมาถึงประตูก็ถูกคุณหมอกั้นเอาไว้ “สวัสดีครับ คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหม?”

“ผม……” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียงทุ้ม “ผมเป็นเพื่อนเธอ”

คุณหมอเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงทุ้ม “ถ้าคุณเป็นเพื่อนเธอ ก็ไม่มีสิทธิเข้าไปนะครับ”

พูดจบ คุณหมอก็ปิดประตูห้องฉุกเฉิน เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิท กลับไปนั่งที่เก้าอี้ยาว เขารู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะ ก้มหน้ามองไปก็เห็นคราบเลือดสีแดงเข้มที่มือ เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วอย่างช้าๆ นี่เจี่ยนอี๋นั่วเลือดไหลเหรอ? ลูกเธอรอดไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบห้องผ่าตัด ขณะที่นอนบนเตียงผ่าตัด จ้องมองไปที่แสงสว่างก็ขมวดคิ้ว “คุณหมอ ลูกของฉัน……”

“กี่เดือนแล้ว?” คุณหมอถามเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงเล็กน้อย “น่าจะแค่ไม่กี่วัน ฉันตั้งครรภ์แบบผสมเทียมน่ะค่ะ”

“รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์แบบผสมเทียมก็ยังไม่ระวังเหรอ? เดิมทีการตั้งครรภ์แบบผสมเทียมจะแท้งง่ายกว่าแบบธรรมชาติอยู่แล้ว กว่าจะมีลูกได้ ทำไมยังประมาทอีก? โชคดีที่ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้เลือดตกมากและปวดท้อง ถึงตอนนี้จะไม่มีปัญหา แต่อนาคตก็อาจจะรักษาไว้ยากมาก” คุณหมอตรวจร่างกายเจี่ยนอี๋นั่วเสร็จแล้ว ก็ถอดหน้ากากอนามัยออก

“รักษาไว้ไม่ได้เหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วเอามือวางท้องน้อยตัวเอง พยาบาลพยุงให้ค่อยๆ นั่งขึ้นมา เธอถามอย่างตื่นตระหนก “ถ้าต่อไปฉันไม่ทำอะไรเลย แค่นอนบนเตียงล่ะคะ? ฉันจะไม่เดินไปไหนอีกแล้ว พยายามพูดให้เบาที่สุด เด็กคนนี้ยังจะรอดไหมคะ?”

“เฮ้อ……จะพูดยังไงกับพวกเธอดีนะ? เป็นแม่ตั้งแต่ยังอายุน้อย ยังเป็นเด็กอยู่เลย? จะรู้จักปกป้องลูกได้ยังไง?”

คุณหมอส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น “ทารกในการตั้งครรภ์แบบผสมเทียมนี้จะพัฒนายากกว่าทารกในครรภ์ปกติ ทำไมไม่ระวังให้มากๆ? ต่อไปต้องระวังความมั่นคงทางอารมณ์ ห้ามโมโห ห้ามวิ่ง ตอนนี้เธอเป็นแม่แล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ในการเป็นแม่ คือเธอสามารถเสียสละเพื่อลูกได้ แต่ในฐานะคุณหมอ ฉันโอเคที่เธอจะเสียลูกไป เธอยังสาว ยังสามารถลองวิธีอื่นในการมีลูกได้อีก บางทีเด็กอาจจะแข็งแรงกว่าเดิมก็ได้นะ? ถ้าเธอเป็นแบบนี้ต่อไป รอครบเดือนแล้วเกิดปัญหาขึ้นอีก มันจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างกายเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วผลุบตาลง ส่ายหน้า “ไม่ ฉันจะไม่ทิ้งเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากทิ้งเด็กคนนี้ ตอนนี้ไม่ได้สนใจผลประโยชน์เลย เธอรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงของเด็กคนนี้กับเธอ เธออาจจะไม่ได้เป็นแม่ที่ดี แต่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเธอเริ่มอยากเป็นแม่ที่ดี

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนไหนไหมที่เริ่มเป็นแม่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ตั้งครรภ์เลย เธอรู้ว่าเธอยังไม่มีความรอบคอบมากพอ แต่จะให้เธอทิ้งเด็กคนนี้ เธอทำไม่ได้จริงๆ เธอเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นแม่ก่อนทุกสิ่งอย่าง

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปากเบาๆ พูดเสียงทุ้ม “ฉันเลือดออก ฉันไม่ได้แท้ง หมายความว่าเด็กคนนี้ยังสามารถพัฒนาได้ และอาจจะเก็บไว้ได้ ไม่ใช่เหรอคะ? เขายังต้องการให้ฉันเป็นแม่เขาต่อ เขามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก ฉันจะทิ้งเขาไปได้ยังไง? ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเด็กคนนี้เอาไว้”

คุณหมอหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถอนหายใจเบาๆ “งั้นก็ได้ ฉันจะให้พยาบาลเขียนบันทึกข้อควรระวังให้เธอ คุณกลับไปอ่าน จากนั้นก็ทำการตรวจสุขภาพตามปกติ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เอามือลูบท้องเบาๆ แล้วพยักหน้า “ฉันจะจำไว้ และฉันจะทำตามทุกอย่างอย่างแน่นอนค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนั่งรถเข็นแล้วถูกเข็นออกมานอกห้องฉุกเฉิน เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังนั่งเก้าอี้ยาว ใบหน้าเหลิ่งหมิงอันไม่มีรอยยิ้มชั่วร้ายเหยียดหยาม เขาขมวดคิ้วจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เดินมาหาเจี่ยนอี๋นั่วทันที แล้วถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธอ……ลูกของเธอ……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนขับรถของเธอ “ฮัลโหล ฉันอยู่โรงพยาบาลสตรีและเด็กแถวบ้านนาย นายมารับฉันหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสายไป มองเหลิ่งหมิงอันแล้วพูดเสียงทุ้ม “ถ้านายอยากให้คนขับรถมาเห็นฉันอยู่กับนาย นายก็อยู่ที่นี่ต่อไป แล้วก็ไปอธิบายให้กับคุณนายเหลิ่งฟัง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามรักษาอารมณ์ให้คงที่เพื่อประโยชน์ของทารกในครรภ์ ในขณะที่อดไม่ได้ที่จะบ่นใส่เหลิ่งหมิงอัน ถึงเธอจะไม่ใช่แม่ที่ดี ดูแลทารกในท้องได้ไม่ดี แต่เหลิ่งหมิงอันผู้ชายคนนี้ก็ไม่สามารถหลีกหนีความรับผิดชอบได้ ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหงุดหงิดครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ

“เด็กเป็นยังไงบ้าง?” เหลิ่งหมิงอันน้อยครั้งที่จะขมวดคิ้วอย่างจริงจังแล้วถามขึ้นด้วยเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วกลอกตาใส่เหลิ่งหมิงอัน เบนหน้าหนีไปอีกทาง “เกี่ยวอะไรกับนาย?”

“ถ้าพี่ใหญ่ฉันไม่มีเด็ก ก็ไม่ต้องการเธอแล้ว ฉันต้องการเธอ!” จู่ๆ เหลิ่งหมิงอันก็พูดขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันพูด ก็หันไปหาเหลิ่งหมิงอัน เธอระงับความโกรธของตัวเอง แล้วพูดเสียงทุ้ม “นายกำลังพูดอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำอย่างจริงจัง “ฉันยินดีที่จะรับผิดชอบเธอ!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน อยากจะด่าเหลิ่งหมิงอันเสียงดัง “นายมันบ้านายมันป่วย!”

แต่ตอนนี้นึกถึงเด็กในท้อง เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องเบาๆ แล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอันเสียงทุ้ม “คุณเหลิ่งหมิงอัน แผนกจิตเวชอยู่ชั้นสอง ฉันแนะนำให้นายไปดูสักหน่อย ความเย่อหยิ่งและหลงตัวเองก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ในฐานะพี่สะใภ้ของนาย ฉันเป็นห่วงนายมากจริงๆ นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ ลูกของฉัน ฉันจะดูแลเป็นอย่างดี และจะตั้งใจเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตกับพี่ใหญ่ของนาย”

“เด็กไม่เป็นอะไรเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “แต่ในละครแค่เลือดตกก็ต้องแท้งแน่”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เขาพึมพำเสียงทุ้ม “เธอยังมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงในท้องอยู่? งั้นฉันก็ไม่มีทางรับผิดชอบเธอแล้วสิ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างแรง หันไปทางเหลิ่งหมิงอัน “ก่อนที่คนขับรถจะมา นายหายไปจะดีกว่านะ อย่าให้คุณนายเหลิ่งเห็นเราอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกันเลย?”

เหลิ่งหมิงอันถอนหายใจ เผยรอยยิ้มเย่อหยิ่งอีกครั้ง “ฉันกลัวอะไร? เธอเป็นคนดึงเสื้อผ้าฉันไม่ปล่อย ให้ฉันมาส่งเธอที่โรงพยาบาลนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น มองเหลิ่งหมิงอัน “นายมาก่อกวนฉันที่บริษัทก่อน”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตา ถอยหลังไม่กี่ก้าวแล้วพยักหน้า “อ่า พูดถูก ฉันเกือบลืม งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้าวันไหนพี่ใหญ่ไม่ต้องการเธอแล้ว ฉันยินยอมต้องการเธอจริงๆ เอาล่ะ เรื่องที่ฉันมาส่งเธอที่โรงพยาบาล ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคนแล้วกัน ลาก่อน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆ หัวเราะเสียงทุ้มให้เหลิ่งหมิงอันแล้วพูดขึ้น “ลาก่อน”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพยักหน้า หันหลังเดินไป เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังเหลิ่งหมิงอัน หายใจเข้าลึกๆ เขาดูเป็นคุณชายเสเพล เหมือนไม่สนใจทุกเรื่องของตระกูลเหลิ่ง แต่เธอเข้าตระกูลเหลิ่งมาไม่กี่วัน ก็พบว่าไม่มีคนไหนในตระกูลเหลิ่งที่เรียบง่าย คนที่อันดับต่ำสุดอย่างสุยเฉิงจิ้งก็แสดงออกอย่างช่วยร้าย เหลิ่งหมิงอันก็มีเหลิ่งเฉิงอวี่ที่หน้าตาใจดีแต่จิตใจชั่วร้ายเป็นพ่อ มีสุยเฉิงจิ้งที่ในใจมีแต่แผนการร้ายเป็นแม่ เขาจะเรียบง่ายได้อย่างไร?

ทันทีที่คิดได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็จับศีรษะส่ายทันที ให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องพวกนี้ เธอคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว แผนการร้ายทั้งหมด ก่อนที่เธอจะปกป้องเด็กคนนี้ให้แข็งแรงปลอดภัย มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่จัดการเรื่องอื่นก่อน เธอโทรหาบริษัทตัวแทนรถ ขายรถของเธอไปแล้ว จากนั้นก็โทรหาเลขา ให้เลขาจ้างพยาบาลดูแลเจี่ยนฉางรุ่น สุดท้าย เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพักก่อนโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง ถามอาการของเจี่ยนฉางรุ่นพ่อของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ไปหาพ่อเธอมาสองวัน ตั้งแต่เจี่ยนฉางรุ่นป่วย เจี่ยนอี๋นั่วจะยุ่งแค่ไหนก็ไปเยี่ยมเขาทุกวัน เธอไม่เคยหยุดไปเยี่ยมพ่อของตัวเองนานขนาดนี้

หลังจากโทรติดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงวุ่นวายในโทรศัพท์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงการเล่นไพ่นกกระจอก ดูเหมือนเฮ่อเยี่ยนหงจะไปเล่นไพ่คนเดียว เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ กลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วพูดกับเฮ่อเยี่ยนหงด้วยเสียงเย็นชา “พ่อฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบวิ่งออกมายังสถานที่เงียบๆ ทันที แล้วพูดเสียงทุ้ม “อี๋นั่วอ่า เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อของเธอสบายดีมาก แค่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา สองวันนี้เธอไปไหนมา? ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยไม่มีเงินใช้จ่ายเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงทุ้ม “ฉันมีธุระ อาจจะกลับบ้านไม่ได้นานสักพัก ฉันจ้างพยาบาลมาดูแลพ่อหนึ่งคนแล้ว เดี๋ยวฉันจะโอนเงินไปบัตรคุณหนึ่งหมื่นหยวน ให้ค่าครองชีพคุณกับฮุ่ยฮุ่ย……”

“ว่าไงนะ? มีเงินแล้วเหรอ?” เฮ่อเยี่ยนหงเพิ่มระดับเสียงทันที “อี๋นั่ว เรายังเป็นคนรวยอยู่ไหม?”

“ช่วงนี้คุณดูแลฮุ่ยฮุ่ยกับพ่อให้ดี ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่คุณไม่ต้องกังวล ฉันไม่อยากกลับไปแล้วเห็นพ่อกับฮุ่ยฮุ่ยเป็นอะไร” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยเสียงเย็นชา

เฮ่อเยี่ยนหงรีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “โอ๊ย เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี แต่เธอจะเสียเงินจ้างพยาบาลมาดูแลทำไม? เธอเอาเงินจ้างพยาบาลให้ฉันก็ได้นะ? จะได้ประหยัดเงินในครอบครัว”

เจี่ยนอี๋นั่วกดเสียงต่ำพูดขึ้น “เอาให้คุณไปเล่นไพ่เหรอ?”

“นี่……เธอรู้ได้ยังไง?” เฮ่อเยี่ยนหงถามด้วยความประหลาดใจและตื่นตระหนก

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขึ้นมา “คุณทำอะไรฉันก็รู้หมด ดังนั้นอย่าหลอกฉัน ดูแลพ่อกับฮุ่ยฮุ่ยให้ดี”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบพูดขึ้น “อืม ฉันต้องดูแลพวกเขาให้ดีอย่าแน่นอน เธอไม่ต้องเป็นห่วง แต่เงินนั้น เธอต้องโอนให้ตรงเวลานะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อใจเฮ่อเยี่ยนหง เธอไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าเฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลพ่อเธอเป็นอย่างดี เธอหวังแค่เฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกับเจี่ยนอี๋นั่วความสัมพันธ์ไม่ดีอยู่ตลอด ไม่ยอมรับเจี่ยนอี๋นั่วในฐานะพี่สาว แต่เจี่ยนฉางรุ่นรักเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาก เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าหลังพ่อตัวเองฟื้นขึ้นมา จะเห็นว่าทุกอย่างยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่ววางสายไป ก็เห็นคนขับรถรีบมองหา คนจับรถเดินมาหาเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “คุณหญิง คุณเป็นอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร นายส่งฉันกลับก่อนเถอะ ฉันจะบอกคุณนายเอง”

ตอนแรกสุดเจี่ยนอี๋นั่วอยากปกปิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้สงบลงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าเรื่องนี้เธอปกปิดไม่ได้ ถ้ารักษาเด็กไว้ไม่ได้จริงๆ ตระกูลเหลิ่งต้องรู้แน่ๆ และต้องบ่นว่าเธอจงใจปกปิด โกหกเรื่องที่ไม่สามารถปกปิดได้เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย และเธอก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณนายเหลิ่ง ตระกูลเหลิ่งคงมีคุณหมอเก่งๆ สามารถช่วยเธอรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้

กลับถึงตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วนำรายงานการตรวจให้คุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉันไม่ได้ทำตามความรับผิดชอบในฐานะแม่อย่างเต็มที่ เด็กเกือบหลุด”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถอนหายใจ “ยังไงเธอก็ยังสาว เพิ่งท้อง มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่โทษเธอหรอก แต่ต่อไปต้องระวังให้มากๆ แต่ฉันก็ยังดีใจมาก เพราะเธอไม่ได้ปกปิดเรื่องนี้กับฉัน พรุ่งนี้ฉันจะให้คุณหมอมา ทางที่ดีช่วงนี้เธอต้องเลื่อนงานไปก่อน ฉันจะเตรียมคนไปช่วยเธอ”

“ตระกูลเหลิ่งช่วยฉันไว้มากแล้ว ถ้าส่งคนไปอีก ฉันกลัวว่าจะมีคนเดาความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับตระกูลเหลิ่งออก” เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูด

คุณนายเหลิ่งยิ้มขึ้นมา “เพราะเซ่าถิงเจ้าเด็กคนนั้นจงใจทำให้เธอลำบากใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเหลิ่งจะปกปิดได้ยังไง? แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะให้คนที่ช่วยเธอปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหลิ่ง ส่วนจะปกปิดได้นานแค่ไหนก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

จริงๆ แล้วเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางทิ้งงานในมือได้ ตอนนี้กว่าจะได้การช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วควรฉวยโอกาสขับไล่ฉู่หมิงเซวียนและคนที่ก่อเรื่องออกไปให้หมด ตอนนี้เธอวางมือ ไม่ว่าตระกูลเหลิ่งจะส่งใครไปควบคุมงานของเธอ ต้องคุ้นเคยนานมากกว่าจะรับงานได้ เท่ากับเป็นการให้โอกาสฉู่หมิงเซวียนและคนอื่นๆ

แต่เจี่ยนอี๋นั่วเอามือกุมท้อง สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันฟังคุณนาย ถ้าเด็กในท้องมั่นคงแล้ว ฉันค่อยจัดการธุระในบริษัท”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูด “ฉันรู้ความยากลำบากของเธอ ฉันก็เคยมาจากสถานการณ์แบบเธอ เธอสามารถเสียสละเพื่อลูกจนมาถึงจุดนี้ได้ก็ยากลำบากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปก็นอนพักผ่อนให้เยอะๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพยักหน้า หันตัวเดินออกไปจากห้องคุณนายเหลิ่ง ลังเลสักพักก่อนจะขึ้นไปชั้นบน เดินไปถึงห้องเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ ผลักประตูออก ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยังคงดูโน้ตบุ๊กอยู่ในห้องทำงาน

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง หันหลังให้เหลิ่งเซ่าถิง หยิบชุดนอนออกมา

“ลับๆ ล่อๆ? ทำอะไรผิดมาอีกใช่ไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วชะงักเล็กน้อยแล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดเสียงทุ้ม “วันนี้ เกือบเสียเด็กไปแล้ว ขอ……”

“ไม่ต้องพูดขอโทษอีก ฉันฟังมามากพอแล้ว และถ้าเธอไม่มีเด็ก คุณย่าก็จะไล่เธอออกจากตระกูลเหลิ่งโดยเร็วที่สุด ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับฉัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยเสียงเย็นชาจบ ก็ก้มหน้าทำงานต่อ

ท่าทีของเหลิ่งเซ่าถิง เหมือนเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยจริงๆ เลือดเย็นจริงๆ เลย ถึงเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่าเด็กคนนี้ในท้องเธอ เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากยอมรับเขาว่านั่นเป็นเลือดเนื้อของเขาเลยสักนิด แต่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังรู้สึกผิดหวัง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอบ้าไปแล้ว วันนี้ยังคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เชื่อถือได้อยู่เลย คนที่เลือดเย็นแบบนี้จะน่าเชื่อถือได้อย่างไร?

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้าลูบท้องเบาๆ พึมพำเสียงเบา “ลูก ลูกไม่ต้องเสียใจนะ แม่อยากให้หนูได้เติบโตและอยู่เคียงข้างแม่ได้”

แม่เหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงัก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายเธอก็ปรับตัวกับสถานะแม่ได้แล้ว และเริ่มตั้งตารอคอยการเกิดมาของเด็กคนนี้

“เจี่ยนอี๋นั่วมีลูกกับคนอื่นเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนนั่งในห้องทำงานคนเดียว พูดเสียงทุ้มต่ำซ้ำๆ

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ห้องทำงานฉู่หมิงเซวียนก็เปิดออก เฉิงซานซานเข้ามาจากนอกประตู ตะโกนเสียงดังใส่ฉู่หมิงเซวียน “ได้ยินว่าวันนี้เจี่ยนอี๋นั่วจงใจมาทำให้คุณลำบากใจเหรอ? เธอทำเกินไปแล้วจริงๆ นะ? ทำแบบนี้กับเราได้ยังไง? ผู้หญิงที่ดุร้ายแบบเธอ สมควรแล้วที่จะไม่แต่งงานตลอดไป……”

“เจี่ยนอี๋นั่วท้องแล้ว” ฉู่หมิงเซวียนเงยหน้ามองเฉิงซานซาน แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม

เฉิงซานซานอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็รีบถามขึ้น “ว่าไงนะ? ไม่คิดว่ามีคนจะเอาเธอ? เป็นลูกของใคร?”

ฉู่หมิงเซวียนลังเลสักพัก จากนั้นก็เงยหน้ามองเฉิงซานซาน ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อาจจะเป็นลูกของฉัน”

เฉิงซานซานตกตะลึงทันที “เป็นไปได้ยังไง? คุณเคยนอนกับเธอเหรอ?”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้าเบาๆ “ครั้งนั้นฉันดื่มค่อนข้างเมา คิดว่าหล่อนเป็นเธอ ถึงหล่อนจะปฏิเสธคัดค้านหัวชนฝา แต่ตอนนั้นน่าจะเป็นลูกของฉัน ตอนแรกฉันไม่อยากก้าวก่ายเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แล้ว ยังไงก็มีลูกของฉัน นั่นเป็นเลือดเนื้อของฉัน”

เฉิงซานซานขมวดคิ้ว “ฉันก็ท้องเลือดเนื้อของคุณนะ หรือของฉันไม่ใช่เหรอ?”

ฉู่หมิงเซวียนมองเฉิงซานซานแล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีทางเลือก ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนมีอำนาจ ถ้าเธอมีลูกของฉันจริงๆ ฉันต้องรับผิดชอบเธอ และด้วยนิสัยของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็รู้ หล่อนต้องไม่ปล่อยโอกาสในการทรมานเราแน่ๆ เด็กคนหนึ่งสามารถทรมานเราได้ตลอดชีวิตเลยนะ เฮ้อ ยุ่งยากเกินไปจริงๆ ถ้าหล่อนไม่มีเด็กคนนี้ก็ดี ฉันอยากฆ่าเด็กในท้องหล่อนจริงๆ ต่อไปชีวิตเธอกับฉันจะได้สงบสุขหน่อย”

“ฆ่าเด็กในท้องเธอเหรอ? ฆ่ายังไง?” เฉิงซานซานกุมท้องเบาๆ ถามขึ้นเสียงเบา

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว คิดอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เช่นตอนเธอเดินอยู่ตรงบันได ก็ออกแรงผลักเธอ ให้เธอตกบันได แบบนี้เด็กก็จะหลุดแน่ๆ แล้วก็ตัวอย่างเช่น ใส่ยาทำแท้งลงในแก้วน้ำของเธอ แต่ก็แค่คิดเท่านั้น ฉันจะฆ่าลูกตัวเองลงได้ยังไง?”

เฉิงซานซานหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “หมิงเซวียน เราจะแต่งงานกันเมื่อไร ถ้ายืดเยื้อต่อไป ท้องฉันจะโตขึ้น สวมชุดแต่งงานไม่สวยแล้วนะ ฉันคิดว่าเรากำหนดงานแต่งกันสัปดาห์หน้าเลยได้ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนกวาดตามองเฉิงซานซาน ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “ขอโทษ ซานซาน เกรงว่าตอนนี้ฉันยังแต่งงานกับเธอไม่ได้ ฉันต้องคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอสักหน่อย”

“เพราะเจี่ยนอี๋นั่วท้อง เราเลยแต่งงานกันไม่ได้เหรอ? ฉันรู้ในใจคุณยังมีเธอ ตอนกลางคืนคุณนอนก็เรียกชื่อเธอ!” เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง

“ทางที่ดีเธอต้องรู้นะว่าเธอกำลังพูดอะไร เฉิงซานซาน! ฉันจะเรียกชื่อหล่อนได้ยังไง? เธอเป็นลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่น!” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา เข้าใกล้เฉิงซานซานทีละก้าว

เฉิงซานซานรู้ว่าตัวเองพูดผิด รีบเม้มปากแน่น พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉ-ฉันพูดผิด คุณไม่ได้เรียกชื่อเธอ ฉันฟังผิดเอง”

ฉู่หมิงเซวียนยกมือขึ้นบีบแก้มเฉิงซานซานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ดูแลเด็กในท้องให้ดี ฉันอยากจะดูว่าเธอกับเจี่ยนอี๋นั่ว ใครจะคลอดลูกให้ฉันก่อนกัน บางทีอาจจะรอไม่กี่เดือน แต่ถ้าพวกเธอไม่มีลูกแล้ว ฉันก็จะไม่รอ หวังจริงๆ ว่าฉันจะเลือกเธอได้……”

“คุณจะเลือกผู้หญิงที่มีลูกให้คุณเหรอ?” เฉิงซานซานขมวดคิ้วถาม

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเบาๆ “ฉันจะเลือกผู้หญิงที่ไม่มีลูกให้ฉันเหรอ?”

เฉิงซานซานยกมือขึ้นจับแขนฉู่หมิงเซวียน รีบถามขึ้น “ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีลูกแล้ว คุณจะไม่ยุ่งกับเธออีกใช่ไหม?”

ในที่สุดฉู่หมิงเซวียนก็ได้ยินสิ่งที่น่าพึงพอใจจากปากเฉิงซานซาน เขายิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มเฉิงซานซานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าเธอมีลูกให้ฉัน ฉันก็จะปฏิบัติต่อเธอด้วยใจจริง”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน เฉิงซานซานลูบท้องตัวเอง พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่มีทางให้เธอคลอดลูกของหมิงเซวียนเด็ดขาด!”

ฉู่หมิงเซวียนยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินคำพูดของเฉิงซานซาน ในที่สุดมุมปากก็ยกขึ้นเผยยิ้มสบายใจ ไม่ว่าเด็กของเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นของใคร เขาอยากให้เด็กคนนั้นหายไป ฉู่หมิงเซวียนไม่อยากคิดว่าที่เขาทำแบบนี้ ทำไปเพื่ออะไร เขาแค่รู้ว่าตั้งแต่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วมีลูกของผู้ชายคนอื่น เขารู้สึกเหมือนหน้าอกมีก้อนหินก้อนใหญ่มาทับ มันทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาต้องกำจัดเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงจะโล่งใจได้

และเฉิงซานซานคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา แค่โกหกว่าเจี่ยนอี๋นั่วท้องลูกของเขา เฉิงซานซานก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง ฉู่หมิงเซวียนถอนหายใจออกมาในที่สุด ยิ้มแล้วเดินออกจากบริษัท

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงตระกูลเหลิ่ง ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมาก ทำตามคำแนะนำของคุณหมอ แทบจะไม่ลุกจากเตียงเลย จนถึงตอนกลางคืน เหลิ่งเซ่าถิงขึ้นเตียงมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ขยับไปอีกข้างของเตียงอย่างประหม่า

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ช่วงนี้เธอคิดจะนอนบนเตียงตลอดเวลาเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา “คุณหมอบอกว่านอนอยู่บนเตียงจะดีที่สุด ภายในเดือนสองเดือนอย่าขยับ”

“งั้นฉันต้องเผชิญหน้ากับเธอในห้องนี้เป็นเวลาเดือนสองเดือนเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยเสียงเย็นชา

“หืม?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ประหม่าขึ้นมาทันที “คุณก็ฟื้นตัวแล้ว ทำไมไม่ไปบริษัทล่ะ?”

“เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนทำไม?” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะพูดขึ้น “ฉันอยากรอให้พวกเขาโกลาหลสักพัก ฉันเข้าใจสถานการณ์บริษัทอย่างถ่องแท้ก่อนค่อยไปบริษัท น่าจะรอไม่กี่เดือน”

“คุณไม่ได้เข้าใจสถานการณ์บริษัทแล้วเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่างานเลี้ยงเมื่อวาน เหลิ่งเซ่าถิงคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายในบริษัทเป็นอย่างดี

“มันต่างกับการเข้าใจสถานการณ์จริงๆ อย่างสิ้นเชิง ฉันต้องการ……” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย จู่ๆ ก็หยุดพูดแล้วพูดเสียงทุ้ม “เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็ไม่พูดอีก หยิบหนังสือหนึ่งเล่มที่วางบนหัวเตียงขึ้นมาแล้วเริ่มเปิด เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดอะไรอีกก็ปิดปากแน่น หดตัวข้างเตียงแล้วหลับตา

ถึงแม้วันนี้เจี่ยนอี๋นั่วพักผ่อนเพียงพอแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นหญิงตั้งครรภ์จึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาก็หลับไปอีกครั้ง ได้ยินเสียงหายใจเธอเริ่มกลายเป็นหนักขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ย้ายตัวเจี่ยนอี๋นั่วที่หดไปข้างเตียงมายังข้างกายเขาอีกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วที่หลับปุ๋ย ยกมือขึ้นปิดโคมไฟข้างเตียง

เห็นไฟในห้องเหลิ่งเซ่าถิงมืดลง เหลิ่งหมิงอันที่ยืนอยู่กลางลานบ้านก็ยิ้มแล้วก้มหน้า หันไปยิ้มให้กับเหลิ่งเฉิงอวี่ที่ยืนด้านหลังเขาแล้วพูดขึ้น “พ่อ พ่อจัดตำแหน่งงานในบริษัทเหลิ่งซื่อให้ผมหน่อยได้ไหม?”

เหลิ่งเฉิงอวี่ขมวดคิ้ว “เร็วเกินไปมั้ง เหลิ่งเซ่าถิงกับคุณนายไม่ได้ระวังลูกมาตลอดเพราะลูกไม่ได้มีตำแหน่งในบริษัท ถ้าตอนนี้ลูกทำงานในบริษัท จะทำให้พวกเขาระวังลูกหรือเปล่า?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มขึ้นมา “พ่อคิดว่าผมอยู่ต่างประเทศหลายปีขนาดนี้ พวกเขาไม่เคยระวังผมเหรอ? ตอนนี้มีตัวแปรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง บางทีเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะเป็นไพ่ที่ดี”

“เจี่ยนอี๋นั่ว?” เหลิ่งเฉิงอวี่มองเหลิ่งหมิงอัน “ลูกใช้เธอทำให้เหลิ่งเซ่าถิงขายหน้า โจมตีบารมีของเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ หรือลูกคิดจริงๆ ว่าจะใช้เธอควบคุมเหลิ่งเซ่าถิงได้? เธอเป็นผู้หญิงคนเดียว จะทำอะไรได้? เธอเก่งไม่เท่าหลิวจื่อซิง ตอนแรกหลิวจื่อซิงทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผักได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วจะทำอะไรได้? ลูกอย่าแยกแยะไม่ออก แล้วรู้สึกดีกับเจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนั้น แค่ผู้หญิงคนเดียว เมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ของตระกูลเหลิ่ง มันไม่คุ้มที่จะกล่าวถึงเลย”

“ผมรู้ ผมจะใจเต้นกับผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงล่ะ บนโลกนี้ ผู้หญิงที่ทำให้ผมละทิ้งธุรกิจตระกูลเหลิ่งได้ยังไม่เกิด”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วมองหน้าต่างห้องเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พ่อยังจำที่ผมเคยถามพ่อได้ไหมว่าทำไมผมนามสกุลเหลิ่ง แต่ไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเลย เรียกคุณนายว่าคุณย่า? ทำไมทั้งๆ ที่ผมก็ทำอะไรดีเลิศมาก แต่ในสายตาคนอื่นมีแค่เหลิ่งเซ่าถิงคนเดียวที่เป็นคุณชายตระกูลเหลิ่ง?”

เหลิ่งเฉิงอวี่หรี่ตาพูดเสียงทุ้ม “จำได้ ฉันจะลืมได้ยังไง? ตอนนั้นลูกอายุแค่เจ็ดขวบ ฉันพาลูกมาที่นี่ ชี้ไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดกับลูกว่า เมื่อลูกเข้าไปในห้องนั้น เมื่อลูกกลายเป็นเจ้าของตระกูลเหลิ่ง ในสายตาทุกคนจะมีแค่ลูก ลูกก็จะเป็นคุณชายเพียงคนเดียวของตระกูลเหลิ่ง……”

รอยยิ้มเหลิ่งหมิงอันค่อยๆ หุบลง ใบหน้าเผยสีหน้าอาฆาต “น่าเสียดาย อุบัติเหตุครั้งนั้นเหลิ่งเซ่าถิงมันไม่ตาย!”

“แต่ไม่เป็นไร……”

เหลิ่งหมิงอันหันไปหาเหลิ่งเฉิงอวี่ เผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “นี่มันทำให้เกมน่าสนใจมากขึ้น ตั้งแต่เจ็ดขวบ ผมก็เล่นเกมนี้มาโดยตลอด ตอนนี้มีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมด้วย กลายเป็นน่าสนใจขึ้นแล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังหลับสนิท ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง พึมพำเสียงเบา “ลูกของฉัน……”

เธอขมวดคิ้วแน่น นอนขดตัวเหมือนแมว เธอจมอยู่ในฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ความมืดมิดในฝันร้ายโอบกอดเธอไว้ ทำให้เธอไม่มีทางหลบหนี

จู่ๆ มือเย็นข้างหนึ่งกำลังลูบหลังเธอเบาๆ มือนั้นเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึก แต่กลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสบายใจอย่างลึกลับ เจี่ยนอี๋นั่วยื่นถอนหายใจ ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝ่ามือนั้น หลับลงไปอีกครั้งอย่างสบายใจ

เจี่ยนอี๋นั่วในฐานะหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป หลับจนกระทั่งตื่นโดยธรรมชาติ เมื่อตื่นขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วลืมตามองไปทางห้องทำงาน ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งจ้องโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ขยับ หรี่ตาครึ่งหนึ่งมองเหลิ่งเซ่าถิงตลอดเวลา ตอนนี้ฟ้าสว่างมากแล้ว แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างมาบนหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้โครงหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิงยิ่งเด่นชัด เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งที่หล่อได้ถึงขนาดนี้ ราวกับถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แม้แต่เส้นคิ้วยังสวยงามเมื่อมันขมวดขึ้นมา

เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายที่หล่อคนหนึ่ง แต่เธอไม่เคยคิดว่าคนหล่ออย่างเหลิ่งเซ่าถิงจะติดต่อกับเธอ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วมีจิตสำนึกในฐานะแม่ ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มนึกหน้าตาของลูกตัวเอง เชื่อมโยงระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง

ความเสียใจที่สุดของเจี่ยนอี๋นั่วคือหน้าตาธรรมดาเกินไป เมื่อยืนกับผู้หญิงสวยๆ ก็มักจะดูด้อยกว่ามาก แต่ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะมีอารมณ์ร้ายมาก แต่รูปลักษณ์เขาไร้ที่ติมากจริงๆ ถ้าหนึ่งในนั้นสามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมให้ลูกในท้องเธอได้ ก็จะสามารถเติบโตเป็นคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นได้

ถ้าคลอดลูกสาว ว่ากันว่าลูกสาวจะเหมือนพ่อ ถ้าอย่างนั้นลูกสาวของเธอก็จะเป็นสาวสวยผู้เย็นชา

ถ้าคลอดลูกชาย ก็คงได้รับพันธุกรรมจากเหลิ่งเซ่าถิงส่วนหนึ่ง เป็นผู้ชายหน้าตาหล่อนิสัยเย็นชา

นึกถึงลูกในอนาคต อาจจะมีหน้าตาแบบเหลิ่งเซ่าถิงตอนเด็กๆ เรียกเธอว่าแม่ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มขึ้นมา

“เธอจ้องฉันมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ……” จู่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้น “ดูดีมากไหม?”

“อืม ดูดีมาก” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หน้าแดงทันที

นี่เธอกำลังพูดอะไร? ทำไมพูดจาแบบนี้กับเหลิ่งเซ่าถิงได้?

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว “หืม? เธอก็คิดว่าดูดีมากจริงๆ เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วส่ายหน้า “ฉ-ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันจะบอกว่า……บอกว่า……”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร เธอขมวดคิ้วอย่างหมดหนทาง คิดว่าต้องโทษที่เธอเพิ่งตื่นเลยรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทำไมถึงพูดอะไรไร้สาระ? พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่าดูดีอะไรกัน เธอบ้าไปแล้วเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน จากนั้นเธอก็เลือกที่จะหลับตาลง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หดตัวเป็นลูกบอลในผ้าห่มแล้วแกล้งหลับ

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วที่โป่งนูนเหมือนลูกบอลในผ้าห่ม ก็เม้มปากเบาๆ เสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เธออุดอู้ในผ้าห่ม อากาศไม่ถ่ายเท ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีต่อลูกในท้องเธอนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถึงค่อยๆ ชะโงกศีรษะออกมา หลับตาและนอนอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อคุณนายเหลิ่งเรียกเจี่ยนอี๋นั่วให้ออกมาให้คุณหมอตรวจร่างกาย เธอถึงได้ลงจากเตียง ผลการตรวจใกล้เคียงกับที่เจี่ยนอี๋นั่วไปพบคุณหมอ ให้เจี่ยนอี๋นั่วให้ความสำคัญในการพักผ่อน ทางที่ดีก็นอนบนเตียงนานๆ

ในบ้านตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คุณนายเหลิ่งเป็นห่วงเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วมาก ได้ยินคุณหมอพูดแบบนี้ก็รีบให้เจี่ยนอี๋นั่วกลับห้องไปพักผ่อน

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก พูดเสียงทุ้ม “คุณย่า ฉันรบกวนคุณหนึ่งเรื่องได้ไหม ฉันเปลี่ยนห้องได้ไหมคะ? ฉันไม่อยากนอนกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อ……”

“รู้สึกอึดอัดเหรอ? เขารังแกเธอเหรอ?” คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วถามขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าช้าๆ “เขาไม่ได้รังแกฉันค่ะ แต่เวลาฉันอยู่กับเขา ฉันมักรู้สึกประหม่า ฉัน……ฉันค่อนข้างกลัวเขา ฉันกลัวว่าถ้าอยู่กับเขาต่อ มันจะไม่ดีกับลูกของฉัน ดังนั้น……”

คุณนายเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “กลัวเขาเหรอ? ปกติมากเลย คนที่เจอเขา มีไม่กี่คนหรอกที่ไม่กลัวเขา เขาดูเย็นชามาก ปากก็ร้ายมาก มีความต้องการกับตัวเองและคนอื่นๆ มาก แต่เธออยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้จะทำให้เธอประหม่า แต่ถ้าอยู่ห่างกับเขา มันจะทำให้เธออันตรายมากนะ”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ก็กดเสียงพูดทุ้มต่ำ “ในบ้านตระกูลเหลิ่งมีคนจับตาดูเธอกับเซ่าถิงมากมาย ไม่ว่าเซ่าถิงจะไม่พอใจเธอมากแค่ไหน แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายเธอกับลูกของเธอ แต่คนอื่นๆ ไม่เหมือนกัน พวกเขาอยากให้เด็กในท้องเธอหายไป ถ้าอยู่ห่างเซ่าถิง หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอมากนัก แม้ว่าเด็กจะหายไป เราก็ไม่สนใจ แบบนั้นเธอคิดว่าพวกเขาจะไม่ลงมือกับเธอเหรอ? กลับไปนอนพักผ่อนข้างๆ เซ่าถิงเถอะ ถ้าเขาพูดอะไรไม่น่าฟังจริงๆ ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างช้าๆ “ฉันรู้แล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ทำตามคำสั่งคุณนายเหลิ่ง กลับไปที่ห้องเหลิ่งเซ่าถิง เพิ่งเดินเข้าไปในห้องเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงกำลังคุยโทรศัพท์ เหลิ่งเซ่าถิงพูดกับในโทรศัพท์ด้วยเสียงเย็นชา “งั้นก็ได้ ในเมื่อเขาอยากเข้าบริษัท งั้นก็ให้เขามาเถอะ เขาอยากได้ตำแหน่งอะไรก็ให้เขาไป ทำทุกอย่างตามที่เขาขอ ฉันไม่รีบร้อน มาดูกันหน่อยว่าพวกเขาสองพ่อลูกต้องการจะทำอะไร”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็วางสาย เมื่อเขาหันหน้ามาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “กลับมาทำไมอีก? คุณย่าไม่ยอมให้เปลี่ยนห้องเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิง อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ค-คุณรู้ได้ยังไง?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “เธออยู่ในห้องคุณย่านานขนาดนั้น แล้วทำหน้าหดหู่กลับมาอีก มันยังไม่ชัดเจนมากพอเหรอ? เธอไม่อยากนอนกับฉันมากเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ขมวดคิ้ว ทำไมรู้สึกว่าคำถามนี้ของเหลิ่งเซ่าถิงมันแปลกๆ อะไรที่เรียกว่าไม่อยากนอนกับเขามากเหรอ? พวกเขาแค่นอนเตียงด้วยกันเอง ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ฟังแล้วแปลกๆ?

“ฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วอ้าปาก แต่ไม่ว่าเธอจะตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ก็ดูแปลกมากทั้งนั้น

“ฉันไปพักผ่อนก่อนนะ” เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจไม่ตอบคำถามนี้ที่ทำให้เธอกระอักกระอ่วน หันหน้าปีนขึ้นเตียงไปแล้วนอนอย่างถูกต้องเหมาะสม

เจี่ยนอี๋นั่วนอนบนเตียงดีแล้ว เพราะกังวลว่าจะมีรังสีพลังงานไม่อยากรับกวนเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ แค่นอนอ่านนิตยสารบนเตียง แต่นิตยสารในห้องเหลิ่งเซ่าถิงล้วนเป็นนิตยสารวิทยาศาสตร์และธุรกิจ หนาแน่นไปด้วยความรู้วิทยาศาสตร์ เห็นแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็แทบไม่รู้จักภาษาจีนเลย เจี่ยนอี๋นั่วพลิกนิตยสาร ขมวดคิ้ว จู่ๆ ตอนนี้ก็มีหนังสือส่งมาตรงหน้าเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นหน้าปก มันเป็นนิยายกำลังภายใน! ภายในห้องเหลิ่งเซ่าถิงที่แยกตัวจากฝูงชนทั่วไป เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าจะเห็นนิยายกำลังภายในจริงๆ เหมือนเห็นเต้าหู้เหม็นทอดในภัตตาคารระดับห้าดาว

เหลิ่งเซ่าถิงยัดในมือเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงเย็นชาและแข็งกระด้าง “เธอเอาไปอ่านสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองนิยายเล่มนั้น ถามขึ้นเสียงเบาด้วยความสงสัย “คุณก็อ่านนิยายกำลังภายในประเภทนี้เหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยเสียงเย็นชา “เธอคิดว่าฉันโตมาเป็นแบบนี้ทันทีเหรอ? ฉันก็มีตอนเป็นเด็กนะ ก็เคยเล่นอะไรยุ่งเหยิงเหมือนกัน”

“ยุ่งเหยิงเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ในใจคิด: เหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนวัยรุ่นหลายๆ คน ที่เคยแอบดูหนังหื่นๆ เลย

“ของพวกนั้นที่อยู่ในหัวเธอ ฉันไม่เคยดูมาก่อน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เธอเคยเจอคนมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่ทำให้เธอประหลาดใจเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเลย เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนอ่านความคิดเธอออกทุกอย่าง ความสงบนิ่งและความสามารถของเธอหายไปต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอย่างหมดจด เธอเหมือนเด็กผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มทำงาน ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วมองกลับไปที่โต๊ะทำงานของเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่งถึงได้หยิบนิยายกำลังภายในเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ขณะที่อ่านเจี่ยนอี๋นั่วก็แอบมองเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย เธอรู้สึกแปลกๆ กับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ และกลัวเขาด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้จักเขามากขึ้นเพราะความสงสัย

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงกำลังทำงาน สวมแว่นตาขอบดำทำให้ดูอ่อนโยนและสงบนิ่ง แขนเสื้อเขาถูกดึงขึ้นมาเล็กน้อย เผยต้นแขนแข็งแกร่ง นิ้วแตะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว นิ้วเขาสะอาดและเรียวยาว ข้อต่อชัดเจน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าสองมือนั่นเย็นเล็กน้อย มีกลิ่นหอมสะอาด

บางครั้งเขาก็ขมวดคิ้ว หายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเรียวหรี่เล็กน้อย นิ้วมือไขว้บนหน้าอก จ้องมองจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เขาบังเอิญมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหน้าหนี มองไปที่นิยายกำลังภายในเล่มนี้ที่อยู่ในมือเธอ

เหมือนจะเป็นนิยายเล่มใหม่ เปิดไปแค่ไม่กี่หน้า มีแค่หน้าสุดท้าย มีสามคำเขียนไว้อย่างไร้เดียงสาว่า: เหลิ่งเซ่าถิง แสดงไว้ว่านี่เป็นของของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เธอมองเหลิ่งเซ่าถิงที่ตอนนี้เย็นชาและเย่อหยิ่ง ในอดีตไร้เดียงสา เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อน

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขณะที่อ่านนิยายอย่างละเอียด เธอพบว่านิยายเล่มนี้เล่าเรื่องได้น่าสนใจมากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วอ่านทั้งช่วงเช้าโดยไม่รู้ตัว ทานอาหารกลางวันแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็กอดนิยายหลับไป ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่อยู่ห้องเดียวกัน อย่าว่าแต่พูดคุยกัน แม้แต่สบตาก็น้อยมาก

จนท้องฟ้าจะมืดลง เหลิ่งเซ่าถิงถึงได้เงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ง เขาเดินไปข้างเตียง ขยับศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วที่เอียงให้ตั้งตรง เอานิยายและของว่างที่วางข้างๆ เจี่ยนอี๋นั่วออก

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เข้าห้องน้ำไปล้างมือ เปลี่ยนเป็นชุดกีฬาแล้วออกไปวิ่ง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงวิ่งเสร็จแล้วกลับห้องมา เห็นเจี่ยนอี๋นั่วยังหลับเหมือนเดิม ท่าเธอยุ่งเหยิงอีกครั้ง พันกับผ้าห่มเหมือนปลาหมึก

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขาหัวเราะขณะที่สายตาจ้องไปยังท้องน้อยเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงหุบยิ้ม ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเดินไปที่เตียงยกมือขึ้น วางมือบนท้องน้อยเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งนั้น

ตรงนี้มีชีวิตหนึ่งจริงๆ เหรอ? และเป็นชีวิตที่เขาและผู้หญิงคนนี้สร้างมาด้วยกัน? กับผู้หญิงคนนี้ที่ทะนงตัวประจบสอพลอ ขายตัวเองเพื่อผลประโยชน์ ภายนอกดูมีความสามารถและเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับซ่อนความเป็นเด็กเอาไว้น่ะเหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงลูบท้องเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ จู่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขยับ เหลิ่งเซ่าถิงรีบชักมือกลับ ซ่อนมือไว้ด้านหลัง เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตา เห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งข้างๆ เธอก็ตกใจถอยหลัง ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ค-คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “ก็เธอไม่ขยับเลย ฉันคิดว่าเธอตายแล้ว ถึงฉันจะอยากให้เธอออกไปจากชีวิตฉัน แต่ถ้าเธอตายในห้องฉัน มันก็ไม่ดีสำหรับฉันน่ะสิ อีกอย่างนี่เป็นห้องของฉัน ฉันมีสิทธิจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในห้องนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก รู้สึกว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงมันบาดหูมาก เธอถอยไปด้านหลังนิดหน่อย แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันยังมีชีวิตอยู่ แค่หลับเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว “น้อยคนมากที่จะทำเหมือนเธอ นอนหลับเหมือนศพเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำ “ใครนอนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ จะเหมือนศพได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วกล้าแค่พึมพำออกมา ไม่กล้าพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงตรงๆ หรอก ตอนแรกที่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผักก็นอนเหมือนคนตายจริงๆ และเหมือนคนตายทั้งเป็นอย่างสมบูรณ์แบบ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าวันเวลาต่อจากนี้ที่อยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงจะยากลำบาก แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่สนใจจะพูดกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว ถึงจะน่าเบื่อมาก ก็ไม่มีอะไรยากลำบาก ไม่กี่เดือนต่อมา เด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วก็มั่งคงขึ้น บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในท้อง

การตรวจครรภ์ครั้งล่าสุด คุณหมอก็โล่งใจในที่สุด บอกว่าเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วมั่งคงแล้ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินการเต้นหัวใจของเด็กในท้อง ร่างกายเธอก็สั่นเล็กน้อย ในร่างกายเธอมีหัวใจสองดวงเต้นอยู่ น่ามหัศจรรย์จริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ไหนระรื่นหูไปมากกว่านี้แล้ว เธอหรี่ตา คอยฟังอัตราการเต้นหัวใจของเด็กในท้องที่แสดงอยู่บนเครื่องมือ หยิบเครื่องมือขึ้นมาฟังไม่หยุด

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น “เอาเครื่องมือกลับห้องให้เซ่าถิงฟังด้วยสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว “ให้เขาฟังเหรอคะ? ทำไม?”

คุณนายเหลิ่งพูดเสียงเบา “เธอต้องให้เขารู้ว่าเขาเป็นพ่อคนแล้ว อี๋นั่ว ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงให้เธออยู่ต่อ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเด็กแล้ว เขาต้องเข้าใจได้บ้าง”

อย่าว่าแต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนายเหลิ่งถึงอยากให้เธออยู่ต่อ แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนายเหลิ่งยืนกรานให้เธออยู่ต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไปคิดมา ก็มีแค่เหตุผลเดียว เธอจึงพูดเสียงทุ้ม “คุณย่า คุณให้ฉันอยู่ต่อเพราะฉันท้องเหรอคะ?”

คุณนายเหลิ่งยิ้มขึ้นมา “แค่เป็นหนึ่งในเหตุผล และนิสัยของเธอ เธอเต็มใจเสียสละเพื่อครอบครัว ฉันเชื่อว่าหลังจากเธอได้อยู่กับเซ่าถิงแล้ว เธอต้องยินยอมปกป้องเซ่าถิงเมื่อเซ่าถิงตกอยู่ในอันตรายที่สุดอย่างแน่นอน คุณนายอย่างฉันคนนี้เหลือหลานชายคนเดียว คนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับฉันเลย ฉันคิดถึงแค่หลานชายคนนี้ ฉันอยากให้คนที่ดีที่สุดกับเขา และเธอก็เป็นคนที่ดีที่สุดที่ฉันเลือก ฉันเคยเห็นเด็กผู้หญิงมามากมาย เธอเป็นคนที่ดีที่สุดคนนั้น ฉันไม่เก็บเธอไว้เป็นภรรยาเซ่าถิง แล้วจะเก็บใครไว้ล่ะ?”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็ยิ้มหรี่ตา เธอมองเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับมองหาของขวัญที่เธอชอบ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่ดีที่สุดเหรอ?

เธอจะเป็นคนที่ดีที่สุดได้อย่างไร นิสัยไม่ได้อ่อนโยน รูปลักษณ์ก็ไม่ได้ดีเลิศ เทียบกับคุณหนูร่ำรวยหลายๆ คน ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนยังต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเหลิ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอในตอนนี้ก็ไม่ได้ “ดีที่สุด” นะ?

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มขณะที่พูดขึ้น “เอาล่ะ เธอไปพักผ่อนเถอะ ถึงแม้เด็กในท้องจะมั่นคงแล้ว แต่ก็ต้องระวังให้มากๆ ช่วงนี้ต้องลำบากเธอจริงๆ มันทรมานลำบากมากใช่ไหม? ต่อไปก็เดินได้นิดหน่อยแล้วนะ ตอนนี้ดอกไม้ในสวนก็บานหมดแล้ว เธอมีเวลาก็ออกมาเดินชมได้นะ อุดอู้อยู่แต่ในห้องมันก็ไม่ดีเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วอึดอัดจริงๆ ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ในตระกูลเหลิ่งจะมีกินมีใช้ แต่อยู่บนเตียงเวลานานไม่ขยับไปไหน ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วมันคุ้มค่า เพราะในที่สุดเธอก็มีลูกเป็นของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นประคองท้องเล็กน้อย ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “คุณย่า งั้นฉันกลับห้องก่อนนะคะ”

กลับไปถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเดินไปหาเหลิ่งเซ่าถิง พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยเสียงทุ้ม “คุณย่าบอกว่าให้ฉันเอาเสียงหัวใจเด็กเต้นมาให้คุณฟัง”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมองเธอ ก่อนจะรับหูฟังในมือเธอมา ขมวดคิ้วแล้วฟังมัน

ได้ยินเสียงหัวใจเต้นในหูฟัง เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นเสียงทุ้ม “นี่คือการเต้นหัวใจของเด็กเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “คุณหมอบอกว่าเด็กในท้องมีพัฒนาการที่ดีมาก”

เหลิ่งเซ่าถิงมองท้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “เป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะสามารถคลอดเด็กคนนี้ได้อย่างปลอดภัยนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ไม่ใช่ดูเหมือน ฉันต้องปกป้องเด็กคนนี้ได้แน่ๆ คลอดเขาออกมาอย่างปลอดภัย”

เจี่ยนอี๋นั่วมีความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นที่หาได้ยากต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ใช่เอาแต่สัญญากับเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ แต่เป็นเจี่ยนอี๋นั่วที่มีความสามารถและดุดันนิดหน่อย

เหลิ่งเซ่าถิงวางหูฟังลง กวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “เอาล่ะ เธออย่ารบกวนฉัน ฉันยังต้องทำงานต่อ ต่อไปหัวใจเต้นของเด็กหรืออะไรอื่นๆ ก็ไม่ต้องเอามาให้ฉันฟัง อย่าลืมล่ะ เรามีสัญญาแค่หนึ่งปี เด็กคนนี้หลังจากคลอดแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป เธอยังจำได้ไหม? เธอเคยพูดว่า เธอทิ้งได้ทุกอย่างเพื่อเงิน”

เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องทันที “แต่ฉันจะไม่ให้เด็กคนนี้กับคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “ยังไง ตอนนี้อยากกลับคำเหรอ? เธออย่าลืมนะ เธอเป็นแค่เครื่องมืออุ้มเด็กเท่านั้น ถึงเด็กคนนี้ฉันจะไม่ต้องการ แต่ในเมื่อเป็นเลือดเนื้อของฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอพรากไป”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างแรง ตอนนี้ถึงแม้เธอไม่ได้สนิทกับเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้น แต่ก็ไม่มีความขัดแย้งอะไร ช่วงนี้เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงแต่ลูก ลืมว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนมากแค่ไหน

เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิง ไม่กล้าพูดความคิดเธอออกไปตรงๆ แต่ประเด็นของลูก ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ยอมแพ้ เธอยากลำบากในการผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะมีชีวิตน้อยๆ นี้ได้ เธอนอนบนเตียงทรมานมานานขนาดนี้ กว่าจะปกป้องเด็กคนนี้ไว้ได้ ตอนนี้อยากให้เธอคลอดเด็กคนนี้แล้วสั่งให้เธอไม่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้อีกต่อไป เธอทำไม่ลง

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันจะไม่ทิ้งเด็กคนนี้ ฉันเป็นแม่ของเขา ฉันจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปจนเติบโต ที่ฉันเคยพูดว่าฉันทิ้งเขาได้ เพราะตอนนั้นฉันยังไม่รู้วิธีการเป็นแม่คน ฉันสัญญาไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ตอนนี้ฉันไม่ทิ้งเขาเด็ดขาด แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงอย่างคุณจะมีอำนาจแค่ไหน ก็ไม่สามารถบังคับให้ฉันทิ้งลูกแท้ๆ ของตัวเองได้!”

เพื่อช่วยเหลือตระกูลเจี่ยน เจี่ยนอี๋นั่วสามารถกลายเป็นคนขี้ขลาดต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงได้ เพื่อปกป้องลูกของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถแข็งแกร่งกับเหลิ่งเซ่าถิงได้เช่นกัน เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันตัวรีบเดินไปไม่กี่ก้าวออกจากห้องไป

เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วขึ้นมาช้าๆ หรี่ตามองเสียงหัวใจเต้นของทารกบนโต๊ะ เขายกมือขึ้นสัมผัสมันเบาๆ เหมือนยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ทรงพลังนั้นของเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วอยู่

เขามีลูกแล้วจริงๆ เหรอ?

หลังจากได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยอมรับในที่สุดว่าเขามีลูกคนหนึ่งแล้ว มือเหลิ่งเซ่าถิงรวบเข้าหากันเล็กน้อยแล้วกระซิบกับตัวเอง “แต่ทำไมดันเป็นผู้หญิงแบบนั้นที่ให้กำเนิดลูกของฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ปฏิเสธการติดต่อเจี่ยนอี๋นั่วในช่วงนี้ บางครั้งเขาก็จะดูแลเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นแค่การดูแลของผู้ชายต่อผู้หญิงเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไร เจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนี้คลอดลูกให้ชายแปลกหน้าได้เพราะเงิน มันก็มากพอที่จะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอไปตลอดชีวิตแล้ว แต่ผู้หญิงแบบนี้ดันมีลูกของเขา และเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินลงไปข้างล่าง เดินไปยังพื้นที่คฤหาสน์ ตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วมาที่ตระกูลเหลิ่ง ก็ไม่เคยไปเยี่ยมชมพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเลย ช่วงนี้เธอดูแลลูกในท้องตลอดเวลา แม้กระทั่งห้องก็ไม่ได้เดินออกมาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เดินเล่นในพื้นที่คฤหาสน์เลย แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อ เธออดไม่ได้ที่จะโกรธเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ลูกในท้องเธอมั่นคงแล้ว ไม่สามารถทำให้อารมณ์แปรปรวนมากเกินไปได้

และความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงมันแข็งทื่อเกินไป มันไม่มีตัวช่วยสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเดินไปยังจุดที่แตกหักกับเหลิ่งเซ่าถิง

เดินมาถึงกลางพื้นที่คฤหาสน์ ดมกลิ่นหอมของดอกหญ้าและดอกไม้เป็นเวลานาน ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมา

“เอ๋……พี่สะใภ้ใหญ่เหรอ? ในที่สุดก็เดินออกมาจากห้องแล้วเหรอ?” เป็นเสียงทุ้มต่ำและติดแหบเล็กน้อยของผู้ชาย

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไป เดิมทีคิดว่าเธอจะเห็นเหลิ่งหมิงอันที่สวมเสื้อผ้ามอมแมมท่าทางเสเพล แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมอง กลับเห็นผู้ชายสวมชุดสูทเรียบร้อยคนหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา ใช้เวลาสักพักก่อนจะจำได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างสงสัย “น-นายเป็นอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะยิ้ม หรี่ดวงตาเจ้าชู้เย้ายวนอย่างมีความสุข เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉัน? ช่วงนี้ฉันทำงานที่บริษัทเหลิ่งซื่อตลอด แน่นอนว่าต้องสวมชุดสูทเรียบร้อย แต่ชุดสูทนี้มันอึดอัดจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่ใหญ่กับพ่อทนไปได้ยังไง จริงๆ ฉันอยากถามว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นยังไงบ้าง? ตอนแรกเป็นคนสวยน่ารัก ซ่อนตัวอยู่ในห้องหลายเดือน กลายเป็นหญิงท้องโตแล้ว ดูหน้ากลมของเธอสิ ฉันไม่กล้านึกย้อนเลยจริงๆ ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยจูบเธอ ผู้หญิงเป็นแม่คน ไม่น่ารักเลยสักนิดจริงๆ”

ขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูดก็เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เจี่ยนอี๋นั่วคลุมท้องเบาๆ รีบถอยหลังหนึ่งก้าว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ถ้านายยังพูดพล่อยๆ ฉันจะกลับห้องแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันรีบยื่นมือไปขวางเจี่ยนอี๋นั่วทันที ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำไม? กลับห้องไปเตรียมชุดราตรีเหรอ? เพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงช่วงนี้?”

“งานเลี้ยง?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใช่ งานเลี้ยงน่ะ หรือว่าเธอไม่รู้เหรอ? เพื่อฉลองการฟื้นตัวของพี่ใหญ่ ครอบครัวเหลิ่งของเราเตรียมจัดงานเลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงนี้ เกือบทุกคนที่มีบารมีจะเข้าร่วม พี่ใหญ่บอกว่ายุ่งกับเรื่องนี้ตลอดเวลา เธออยู่ห้องเดียวกับเขาตลอด เธอไม่รู้เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “ในเมื่อรู้ว่าฉันกับพี่ใหญ่นายอยู่ด้วยกันตลอด ก็อย่ามารังควานฉันต่อ”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันหวังดีกับเธอนะ รักแรกของพี่ใหญ่ชื่อหลิวจื่อซิงก็กลับมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย เธอคงไม่รู้สินะ? เหตุผลที่พี่ใหญ่กลายเป็นผักก็เพราะหลิวจื่อซิงเลิกกับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ขับรถไปพาเธอกลับมาเลยเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว เธอจะอยู่กับพี่ใหญ่ได้อีกนานแค่ไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายนะ เหลิ่งหมิงอันทางที่ดีนายจัดการตัวเองดีกว่า ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันตัวกลับเข้าไปในบ้านตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอันจับแขนเธอ มองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น หัวเราะเสียงทุ้มแล้วพูดว่า “ยังดุดันเหมือนเดิมนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินจากในห้องโถงใหญ่กลับไปที่ห้องเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งก็กำลังเดินลงไปชั้นล่างพอดี เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อุ๊ยตาย หลานสะใภ้นี่? ในที่สุดก็ออกจากห้องได้แล้วเหรอ? กล้าเจอคนแล้วเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีอารมณ์จะเถียงกับสุยเฉิงจิ้ง เธอหัวเราะเบาๆ เดินผ่านสุยเฉิงจิ้งไป สุยเฉิงจิ้งมองเจี่ยนอี๋นั่วก็ทำเสียงฮึดฮัด พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไม่มีมารยาทจริงๆ นะ เหมาะกับคนเย็นชาอย่างเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ โชคดีที่หมิงอันของเราไม่เจอผู้หญิงไร้มารยาทแบบนี้มาเป็นลูกสะใภ้”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินกลับห้อง ก่อนจะถอนหายใจออกมา เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? เมื่อได้ยินเหลิ่งหมิงอันบอกว่าตระกูลเหลิ่งเตรียมจัดงานเลี้ยง แต่เธอไม่รู้อะไรเลยสักนิด เธอรู้สึกโกรธนิดหน่อยจริงๆ ความโกรธนี้ไม่มีเหตุผล เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่างานเลี้ยงฉลองที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นฟูร่างกายไม่จำเป็นต้องให้เธอรู้ เธอไม่มีสิทธิโกรธเลยสักนิด

แต่ถึงเธอจะรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิโกรธ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ บางครั้งอารมณ์ก็ไม่สามารถควบคุมด้วยเหตุผลได้เลย

บางทีอาจจะเพราะตอนนี้เธอตั้งครรภ์อยู่ ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้อารมณ์เธอไม่คงที่มากพอ และบางทีอาจจะเพราะเด็กในท้องคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีการเชื่อมโยงกับเหลิ่งเซ่าถิงอยู่บ้าง บางทีอาจจะเพราะเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ห้องเดียวกันมานานมาก เผชิญหน้ากันมาหลายเดือนแล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดถึงงานเลี้ยงเลยแม้แต่ประโยคเดียว มันทำให้เธอรู้สึกถูกเพิกเฉย

สรุปแล้ว บรรยากาศหงุดหงิดที่บรรยายไม่ได้ในใจเจี่ยนอี๋นั่ว มันถึงขนาดมีความน้อยใจเล็กน้อย ในเมื่อมีคนจำนวนมากได้รับเชิญ เป็นไปได้อย่างมากว่าตระกูลเจี่ยนก็อยู่ในขอบเขตการรับเชิญ มันไม่ใช่ความลับอะไร ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงไม่บอกเธอตรงๆ? หรือเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเธอเป็นคนไม่มีตัวตนจริงๆ เหรอ? หรือเธอต้องรอจนกว่าตระกูลเจี่ยนได้รับบัตรเชิญก่อน เธอถึงจะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ห้องเดียวกับเธอวางแผนจะจัดงานเลี้ยง?

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปข้างเตียง เบนสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยังทำงานอยู่ เธอเม้มปากอย่างแรง นอนบนเตียงหลับตา แต่เมื่อหลับตา เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงตอนที่ตระกูลเหลิ่งจัดงานเลี้ยงแล้วเธอก็โง่รู้เป็นคนสุดท้าย ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม……คือ เมื่อกี้ฉันบังเอิญเจอเหลิ่งหมิงอันมา” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเสียงเบา เบนสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง

ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็ชะงักนิ้วที่แตะแป้นพิมพ์ มองเจี่ยนอี๋นั่ว “เขาพูดอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก “เขาบอกว่าคุณกำลังจะจัดงานเลี้ยง ฉันอยากรู้……”

“ตระกูลเจี่ยนอยู่ในขอบเขตการเชิญ ฉันส่งคำเชิญไปที่ห้องทำงานเธอแล้ว พรุ่งนี้เลขาเธอน่าจะโทรหา เธอหาเวลาไปเลือกชุดราตรีได้เลย แน่นอนว่าทางที่ดีเธอไม่ควรเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่งั้นเธอต้องอธิบายให้ทุกคนฟังว่าทำไมท้องถึงใหญ่” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ยกแก้วชาที่วางข้างๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งอึก

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา พูดเสียงทุ้ม “แต่ฉันอยู่ตรงหน้าคุณ อยู่ห้องเดียวกับคุณ คุณบอกฉันตรงๆ ก็ได้นี่”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “อ่อ ที่แท้เธอก็อยู่ห้องฉันเหมือนกันเหรอ?”

ประโยคนี้ร้ายกาจมาก! เพิกเฉยเธออย่างสิ้นเชิง!

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหาเหลิ่งเซ่าถิง หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เหลิ่งเซ่าถิง ฉันชื่นชมคุณนะ คุณมีความสามารถจริงๆ ฉันกลัวคุณมากเหมือนกัน เพราะตอนนี้ในตระกูลเหลิ่งคุณเป็นคนที่มีอำนาจรองจากคุณนายเหลิ่ง คุณยกมือขึ้นทำให้ฉันตายได้ ฉันรู้ว่าการโต้เถียงกับคุณมันไม่ดีต่อตัวฉัน แต่ตอนนี้ฉันอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ ฉันอยากบอกคุณว่า คุณเคารพฉันสักนิดได้ไหม? ปฏิบัติกับฉันเป็นมนุษย์หน่อยได้ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงเบนสายตาขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว “แค่เครื่องมือสืบพันธุ์เอง? อยากให้ฉันปฏิบัติเธอเหมือนมนุษย์เหรอ? เธอเห็นตัวเองเป็นมนุษย์หรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วริมฝีปากสั่นเล็กน้อย มองเหลิ่งเซ่าถิง หัวเราะอย่างหมดหนทางก่อนจะเม้มปาก พูดขึ้นเสียงทุ้ม “แล้วถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์แบบฉัน คุณจะทำยังไง? เหลิ่งเซ่าถิงผู้ทรงเกียรติ เพราะคุณมีทุกอย่าง ฉันมีลูกให้คุณเพราะเงิน แต่ตอนนั้นคุณก็ต้องใช้เงินเพื่อให้ผู้หญิงมีลูกให้ไม่เหรอ? คุณเป็นคนซื้อ ฉันเป็นคนขาย เราต่างเป็นนักธุรกิจ ในธุรกิจ คนซื้อคนขายมีการแยกชนชั้นต่ำสูงด้วยเหรอ? คุณมีสิทธิอะไรมาดูถูกฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง แล้วพูดเสียงทุ้ม “พวกคุณมีสิทธิอะไรมาดูถูกฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “อยากให้ฉันไม่ดูถูกเธอ ตอนนี้ก็ทำแท้งแล้วจากไปสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง “ฉันจะไม่ทำแบบนั้น นี่เป็นลูกของฉัน ฉันจะไม่ทิ้ง! แต่คุณมันเลือดเย็นและโหดเหี้ยมจริงๆ!”

“อ่อ การประเมินของเธอที่มีต่อฉันนี่ตรงจริงๆ” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่เคยเจอคนแบบเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อนจริงๆ นี่มันผู้ชายที่ทำให้คนเป็นบ้าแต่ไม่สามารถจัดการกับเขาได้ ในใจเจี่ยนอี๋นั่วสงสัยว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยมีแฟนจริงๆ ไหม? คนที่เรียกว่ารักแรกของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ถูกสร้างเรื่องขึ้นมาใช่ไหม คนที่พูดจาร้ายกาจ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เย็นชาและไร้ความปรานีอย่างเหลิ่งเซ่าถิงจะชอบคนคนหนึ่งจริงๆ เหรอ? และเพื่อไปตามผู้หญิงคนนั้นกลับมาจึงประสบอุบัติเหตุรถยนต์? เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มสงสัยจริงๆ หลิวจื่อซิงคนนั้นเป็นเทพธิดาสมบูรณ์แบบอย่างไรกัน ถึงทำให้เหลิ่งเซ่าถิงทำไปถึงจุดนั้นได้

“ถ้ามีใครสักคนทำให้คุณรู้สึกเสียใจได้ ฉันอยากเจอเธอจริงๆ!” เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันตัวกลับไปที่เตียงจากนั้นก็นอนลง

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตานอนอยู่นานมาก กว่าจะปรับอารมณ์ให้คงที่ หลังจากตื่นขึ้นมาจากอารมณ์หงุดหงิด เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกเสียใจ เมื่อครู่นี้เธอทำอะไรไม่มีเหตุผลและหุนหันพลันแล่น เหมือนผู้หญิงปากร้ายที่หาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล และเธอไม่รู้ว่าทำไมถึงโกรธขนาดนั้น

เมื่อข้างเตียงเธอจมลงเล็กน้อย ผ้าห่มถูกยกขึ้น ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงนอนข้างกายเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็เอ่ยขึ้นมาเสียงทุ้ม “ขอโทษ เมื่อกี้ฉันหุนหันพลันแล่นเกินไป ฉันไม่มีสิทธิพูดแบบนั้นกับคุณ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดต่อด้วยเสียงทุ้ม “ฉันนอนเตียงเดียวในห้องเดียวกับคุณ ถึงช่วงนี้เราจะไม่ได้สื่อสารกันเยอะ แต่ก็ให้ความเท่าเทียมกับฉันด้วย ฉันมีภาพลวงตากับคุณต่างจากคนอื่น ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบฟังคำขอโทษ ฉันก็จะไม่พูดอีก นี่เป็นครั้งสุดท้าย ข้อตกลงก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่ทำตาม เด็กคนนี้ฉันจะไม่ทิ้งเขา ฉันจะไม่ยอมให้คุณพรากเขาไปจากฉัน”

ผ่านไปนานมาก เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดหนึ่งประโยคด้วยเสียงเย็นชา “พวกผู้หญิงนี่ยุ่งยากจริงๆ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้ยินคำพูดอื่นจากเหลิ่งเซ่าถิงอีก และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเหลิ่งเซ่าถิงหมายความว่าอะไร อนุญาตให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้จริงๆ หรือเปล่า เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากยุ่งมากเกินไป ถ้าคุยกับเหลิ่งเซ่าถิงไปเรื่อยๆ แบบนั้นจะยิ่งหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล เพราะเมื่อครู่นี้คุยกับเหลิ่งเซ่าถิงเยอะมาก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกระหายน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่รบกวนเหลิ่งเซ่าถิงที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว เธอก็ค่อยๆ ขยับไปข้างเตียง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเตรียมลงจากเตียง จู่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือโอบเอวเธอไว้ดึงเธอไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังเธอเบาๆ เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นเสียงทุ้มด้วยน้ำเสียงหมดหนทางเล็กน้อย “ทะเลาะกันแรงจริงๆ มีพัฒนาการมาก ทำไมยังไม่นอนดีๆ อีก?”

การเคลื่อนไหวของเหลิ่งเซ่าถิงมีความชำนาญมาก เหมือนเคยทำมาแล้วหลายครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงทันที เธอถึงขนาดไม่กล้าขยับ กลัวเหลิ่งเซ่าถิงพบว่าเธอยังไม่หลับ แต่ยังตื่นอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ หรือว่าช่วงนี้เธอนอนแบบนี้ตลอดเลยเหรอ? หลังจากเธอหลับไปแล้ว ก็จะถูกเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดในอ้อมแขนแบบนี้?

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น หลับตาเล็กน้อย เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงมือเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ระหว่างเอวเธอ ข้างหูได้ยินเสียงหัวใจและลมหายใจของเหลิ่งเซ่าถิง ช่วงนี้เนื่องจากเธอตั้งครรภ์ ร่างกายจึงค่อนข้างเหนื่อยล้าตลอดเวลา จึงหลับค่อนข้างลึกมาก เธอยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าหลังจากที่เธอหลับไป ยังคงนอนรักษาระยะห่างกับเหลิ่งเซ่าถิง เพราะในใจเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่คงไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้ จะให้เธอนอนแนบชิดเขาได้อย่างไร?

ถึงแม้บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมาแล้วจะครองทั้งเตียง เธอก็คิดว่าหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงตื่นแล้ว เธอคงบังอาจครอบครองทั้งเตียง เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอโดนเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดทั้งคืน

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้นมา แม้แต่การหายใจก็กลายเป็นค่อนข้างถี่ หัวใจเธอเต้นเร็วมาก จู่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้แล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้เธอถึงโกรธ เพราะเธอสนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะแคร์เธอไหม เมื่อเธอพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่แคร์เธอ ถึงขนาดเพิกเฉยเธอ เธอก็โกรธผิดปกติ เธอเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเธอเกิดความรู้สึกดีๆ กับเหลิ่งเซ่าถิง หรือจะบอกว่าชอบ?

เริ่มตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มตั้งแต่เธออยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิง นอนเตียงเดียวกันเหรอ? หรือเริ่มตั้งแต่พวกเขามีลูกด้วยกัน? หรือเริ่มตั้งแต่ตอนที่เธอคิดว่าหน้าตาของลูกจะเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่? หรือตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอเหลิ่งเซ่าถิง เขาที่เป็นจุดสนใจในฝูงชน ก็เริ่มชอบเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเหรอ?

แต่ทั้งๆ ที่เขาเย็นชาขนาดนั้น พูดถากถางและดูถูกเธอขนาดนั้น? เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า? ทำไมถึงได้ชอบเหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วมีหมื่นเหตุผลที่ไม่ควรชอบเหลิ่งเซ่าถิง แต่หมื่นเหตุผลนี้ไม่สามารถป้องกันให้เธอหยุดหัวใจเต้นเร็วได้ หัวใจเธอเหมือนจะกระโดดออกมา เธอถึงขนาดเริ่มจินตนาการไร้สาระเกี่ยวกับอนาคตเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มปลอบใจตัวเองจริงๆ ว่าในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดเธอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็รู้สึกดีกับเธอด้วยหรือเปล่า? จะมีผลกับอนาคตของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วนอนในอ้อมแขนเหลิ่งเซ่าถิง การเต้นของหัวใจเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในหัวสมองวุ่นวาย ไม่กล้าขยับเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว เมื่ออยู่กับฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วยังหาเหตุผลชอบเขาได้ เพราะตอนแรกฉู่หมิงเซวียนอ่อนโยนและเอาใจใส่เธอจริงๆ แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ปฏิบัติกับเธอแย่มากขนาดนั้น ทำไมเธอถึงชอบเหลิ่งเซ่าถิงล่ะ?

และเหลิ่งเซ่าถิงชอบเธอไหม? ชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจจะพูดจาถากถางและไม่ใส่ใจเขาเหรอ? ถึงแม้ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจะแสดงความอ่อนโยนกับเธอเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงชอบเธอ ดังนั้นตอนนี้เธอแอบรักข้างเดียวเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง พยายามปลอบตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ภาพลวงตาของความผิดปกติฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่หัวใจเต้นไม่สามารถสงบลงได้ทั้งคืน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องยอมรับความจริงว่าเธอชอบเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ แต่ความรู้สึกแบบนี้เมื่อเทียบกับตอนอยู่กับฉู่หมิงเซวียนแล้ว มันรุนแรงกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วง่วงนอนทั้งคืน เมื่อแสงแดดยามเข้าสาดส่องเข้ามา กลายเป็นยิ่งง่วง ถึงเธอจะนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ก็ยังหลับตาอยู่ ทำท่าเหมือนยังนอนหลับ เพราะเธอไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร ไม่รู้ว่าควรต่อสู้กับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร ยังต้องเก็บความรักที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเอาไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็ตื่นแล้วเช่นกัน เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยเธอ จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ ห่มผ้าห่มให้เธอแล้วลงจากเตียง การเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนไม่เหมือนการเคลื่อนไหวที่เหลิ่งเซ่าถิงทำออกมาได้ มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนสาวๆ หลายคนที่ตกหลุมรักข้างเดียว จมอยู่ในการต่อสู้กับคำถามที่ว่าเขารักฉันหรือเขาไม่รักฉัน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงถือแก้วชาเดินไปข้างหน้าต่าง จิบมันเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ด้านหลังเหลิ่งเซ่าถิง เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเหลิ่งเซ่าถิง แสงแดดยามเช้าตกกระทบใบหน้าเขา ทำให้โครงหน้าเขาอ่อนโยนลงมาก ผมเขายุ่งเล็กน้อย สวมชุดลำลอง ดูเหมือนหนุ่มหล่อสะอาดสะอ้าน

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจในพริบตาเดียวว่าทำไมเธอถึงชอบเหลิ่งเซ่าถิง เพราะเหลิ่งเซ่าถิงแค่ยืนตรงนั้น เขาก็กลายเป็นภาพวาด เจี่ยนอี๋นั่วก็เป็นคนธรรมดา เธอมองสิ่งสวยงามเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชอบมัน ยิ่งไปกว่านั้นเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้ก็ยังเป็นสามีเธออีกด้วย และถือว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องเธอ เธอจะไม่ชอบได้อย่างไร?

เหลิ่งเซ่าถิงยกแก้วชาหันตัวกลับไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ “วันนี้เธอตื่นเช้าจังนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้า พูดขึ้นเสียงเบา “ฉัน……ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ก้มหน้า เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่เคยนอนข้างเธอ ก็พูดเสียงทุ้ม “เมื่อกี้ตอนฉันตื่น เหมือนรู้สึกว่าคุณกอดฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา “อืม ต้องโทษที่เธอนอนไม่ถูกวิธี ตอนนี้เธอท้องอยู่ ถึงฉันจะเลือดเย็น ก็ไม่อยากเห็นเธอหล่นพื้นไปแท้งลูกไปต่อหน้าหรอกนะ ถึงจะอยากให้เด็กคนนี้หายไป ก็ควรให้หมอทำ ไม่ควรปล่อยให้ฉันทำต่อหน้า และฉันก็ไม่ชอบเห็นเลือดด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง “แค่เพราะคุณไม่อยากเห็นเลือดเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มเยาะแล้วถามขึ้น “แล้วเธอคิดว่าเหตุผลอะไร? คุณเจี่ยนอย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฉันไม่เกิดความรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด นอนเตียงเดียวกับเธอ มันเลี่ยงสัมผัสทางร่างกายไม่ได้ เธออย่าคิดมากเกินไป ถ้าฉันมีความรู้สึกกับเธอจริงๆ ฉันไม่แค่กอดเธอหรอก ฉันจะจูบเธอ สัมผัสเธอ แล้วก็นอนกับเธอ ถึงแม้เธอจะท้องอยู่ ฉันก็ควบคุมความปรารถนาของตัวเองไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้เธอนอนหลับไม่น่าไว้วางใจเกินไป จะหล่นพื้นตลอดเวลา ฉันแค่กอดเธอเอาไว้ มันไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเยาะตัวเอง “ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันรู้สถานะฉันดี และรู้ว่าคุณชายใหญ่เหลิ่งไม่ชอบผู้หญิงอย่างฉันหรอกค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ฉันก็ไม่อยากให้เธอชอบฉันเหมือนกัน ความรู้สึกไร้ประโยชน์นั้นมันไม่ดีกับเธอและกับฉัน และอาจจะเพราะเด็กในท้องเธอทำให้เธอรู้สึกว่าเธอกับฉันมีการเชื่อมโยงอะไรบางอย่างที่พิเศษ แต่เธอมีสติหน่อย เธอต้องจำว่าเด็กคนนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ไม่อย่างนั้นเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจมาก พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเพิ่มเตียงเสริม ให้เธอใช้บำรุงครรภ์ คุณย่าคงไม่ออกความเห็นอะไร ต่อไปเราจะนอนแยกเตียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง หัวเธอเหมือนจะระเบิดโดยทันที เหลิ่งเซ่าถิงรู้อะไรงั้นเหรอ? เขารู้ว่าเธอชอบเขาเหรอ? ไม่อย่างนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้อย่างไร? แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามออกไปไม่ได้ ถ้าถามออกไปจริงๆ มันจะทำให้เธออึดอัดใจมากเกินไป

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากถาม แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ทิ้งความรู้สึกใดๆ แก่เจี่ยนอี๋นั่วเลย เขาขมวดคิ้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉันรู้เมื่อคืนเธอไม่ได้หลับ เสียงหัวใจเธอเต้นเร็ว ฉันคิดว่าหัวใจเธอจะกระโดดออกมาแล้ว ผู้หญิงที่ชอบฉันเยอะมาก ฉันรู้ว่าเวลาผู้หญิงชอบผู้ชายมันเป็นยังไง ผู้หญิงคนอื่นจะคิดยังไงฉันไม่สนใจ แต่เธอไม่เหมือนกัน สถานะและลูกในท้องของเธอ ทำให้เธอมีภาพลวงตาว่าสามารถอยู่กับฉันได้นานๆ นี่มันเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น มองเหลิ่งเซ่าถิง หายใจเข้าลึกๆ ร่างกายสั่นเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าในชีวิตเธอยังมีประสบการณ์อันน่าอับอายมากกว่านี้หรือไม่ แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงผลุบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ดูเหมือนฉันต้องปฏิเสธเธอจริงๆ จังๆ สักครั้ง ฉันไม่อาจชอบผู้หญิงแบบเธอได้ ฉันยอมรับว่ารูปร่างเธอดี เด็กในท้องเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องปกป้องเธอ แต่ความรู้สึกนี้ฉันมีให้เด็กในท้อง เมื่อเธอคลอดลูกออกมา ฉันกับเธอก็จะเป็นแปลกหน้ากัน ฉันคงไม่เกิดความรู้สึกอยากปกป้องเธออีก เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันชอบแน่ๆ ตรงกันข้าม เธอมีหลายอย่างที่ฉันเกลียดมาก เธอมีประโยชน์แต่มีอำนาจและเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป ฉันชอบเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสามากกว่า และไม่ใช่ผู้หญิงแบบเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปาก ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา นี่เธอเป็นอะไร? ความรู้สึกดีที่เพิ่งงอกขึ้นมา ถูกเหลิ่งเซ่าถิงเหยียบย่ำในพริบตาเดียว แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่โทษเหลิ่งเซ่าถิงหรอกนะ เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอ เธอยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้ลง ต่ำต้อยเกินไปจริงๆ เธอควรโดนด่า นี่ทำให้เธอมีสติขึ้นมาหน่อย สามารถตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตาในการชื่นชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้

“คำพูดของคุณชายเหลิ่ง ฉันจำมันได้แล้ว ฉันชอบคุณจริงๆ เมื่อกี้เพิ่งรู้ ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมเป็นแบบนี้ และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบคุณ บางทีอาจจะเพราะคุณรวย บางทีอาจจะเพราะคุณหน้าตาดี และบางทีอาจจะเพราะตอนคุณกอดฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังปกป้องฉัน เกิดภาพลวงตาว่าฉันชอบคุณได้ แต่ต่อไปนี้ไม่แล้วล่ะ ฉันจะระงับความรู้สึกนี้เอาไว้ กำจัดมันคลุมมันเอาไว้ ทำให้มันหายไปตลอดกาล”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขณะที่ยิ้มแล้วยืนขึ้น พูดเสียงทุ้มกับเหลิ่งเซ่าถิง “ฉันขอบคุณคุณมากนะ ที่ปฏิเสธฉันตรงๆ แบบนี้ ทำให้ฉันมีสติขึ้นมาอีกครั้ง ไม่งั้นถ้าฉันชอบคุณมากขึ้น จุดจบของฉันจะต้องยิ่งอึดอัดใจมากแน่ๆ ฉันยอมรับว่าฉันชอบคุณ แต่เรื่องที่ชอบคุณ ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะยอมรับตรงๆ เขาตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เธอคิดอย่างดีได้ก็ดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก ประคองท้อง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “งั้นฉันลงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ก่อนนะ ถ้าต่อจากนี้ฉันทำอะไรที่ทำให้คุณคิดว่าฉันชอบคุณ ก็หวังว่าคุณจะเตือนฉัน ฉันจะรีบแก้ไขมันทันที และหวังว่าต่อจากนี้ตอนคุณกอดฉัน ห่มผ้าให้ฉัน ก็บอกฉันว่าที่คุณทำไปทั้งหมดมันเพราะฉันหรือเด็กในท้อง หรือต้องการแสดงให้คนอื่นเห็น ฉันจะได้ไม่เข้าใจผิด”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันตัวเดินออกไปจากห้อง เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้ว เขายกมือขึ้นนวดขมับ จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด เขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้หลับ จริงๆ แล้วตื่นตลอดเวลา เขาเห็นความเหนียมอายของเจี่ยนอี๋นั่วตอนถามเบาๆ ว่าทำไมเขาถึงกอดเธอ เขาแน่ใจว่าจะไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่มีทางยอมรับภรรยาของตนที่น่าอับอายตั้งแต่แรก

การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เธอตัดใจ มันก็ดีกับเขา และยิ่งดีกับเธอด้วย ครั้งหนึ่งเหลิ่งเซ่าถิงเคยปฏิเสธผู้หญิงมามากมาย ถึงขนาดบางครั้งแม้แต่การปฏิเสธก็ขี้เกียจจะพูด แค่ส่งสายตาเย็นชาออกไป ก็ทำให้ผู้หญิงคนนี้พ้นไปจากสายตาเขาได้

แต่อาจจะเพราะเจี่ยนอี๋นั่วยอมรับอย่างง่ายดายเกินไป ตกลงเด็ดขาดเกินไป ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเกิดความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนที่โดนปฏิเสธคือเขา

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองไปที่เตียง มองตำแหน่งที่นอนของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วขึ้นมาช้าๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่นอกประตู ยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่าเธอขายขี้หน้าเกินไปแล้วจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วเคยคบกับแฟนแค่ฉู่หมิงเซวียนคนเดียว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันค่อนข้างราบรื่นมากในตอนแรก เธอไม่เคยมีประสบการณ์แอบชอบผู้ชายในช่วงวัยรุ่น

เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนแรกที่เธอตกหลุมรักก่อน แต่เป็นผู้ชายที่ปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี ที่น่าขำที่สุดก็คือ เธอไม่ทันได้สารภาพรัก ไม่ทันได้ซ่อนตัวด้วยซ้ำ ก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธอย่างไร้ความปรานีเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่าสาวงามคนใดจะสามารถทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ รู้สึกว่านั่นเป็นพระราชาที่ไร้ความรับผิดชอบ

แต่ตอนนี้เธอรู้สึกจริงๆ ว่าถ้ามีใครสักคนหน้าตาระดับเหลิ่งเซ่าถิง ก็อาจจะมีพระราชายินยอมที่จะจุดสัญญาณไฟหยอกล้อเจ้าแห่งรัฐจริงๆ ก็ได้ อย่างไรแล้วเธอที่ปกติสามารถควบคุมได้ ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับใบหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ทำอะไรโง่ๆ มากมายออกไปด้วยความสับสน

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องและไม่มีที่ไป ก็เดินถึงสวนดอกไม้ นั่งหลบในมุมแถวๆนั้น ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่มีที่จะอยู่ คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ในคฤหาสน์มีห้องเยอะมาก เจี่ยนอี๋นั่วกลับหาไม่เจอมุมที่ตัวเองอยู่คนเดียวได้ เธออยากกลับบ้านมากและอยากอยู่ในห้องของตัวเอง และอยากอยู่เงียบๆคนเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาไม่กี่วันที่ทำให้เธอไม่ต้องพบเจอหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับเธอแล้ว

แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วก้มมองไปที่ท้องน้อยของตัวเอง สภาพของเธอในตอนนี้สามารถกลับบ้านของตัวเองได้เหรอ อย่างน้อยควรรอให้เธอคลอดลูกก่อนถึงจะกลับบ้านได้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าตัวเองปรากฏตัวต่อหน้าเฮ่อเยี่ยนหงและคนอื่นๆจะเกิดอะไรขึ้น ต้องเจอกับคำพูดดูถูกเยาะเย้ยขนาดไหน

เธอพบเจอกับคำพูดดูถูกเยาะเย้ยมามากเพียงพอแล้ว เกินขอบเขตที่เธอจะรับได้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกลัวว่าจากการที่ถูกดูถูกและเยาะเย้ยครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับเธอในวันนั้น มันจะครอบงำจิตใจของเธอทั้งหมด และเธออาจจะคุมสติของตัวเองไม่อยู่ อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้

เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จึงกลับถึงห้องของเหลิ่งเซ่าถิง พอเดินกลับถึงในห้องพบว่าด้านข้างเตียงใหญ่มีเตียงเล็กๆหนึ่งเตียง เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เผอิญว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็กำลังมองหน้าเธออยู่ เจี๋ยนอี๋นั่วจ้องมองไปทางเตียงเล็กๆพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“เตียงนี้สำหรับฉันใช่ไหมคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า “เตียงนี้ไม่สูง ถึงเธอจะตกจากเตียงก็คงไม่เป็นอะไร”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วยพร้อมกับมองสำรวจเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่มองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับขมวดคิ้วและหันกลับไปมองที่โน๊ตบุ๊ค

“อืม ฉันจะพักผ่อนแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กๆเตียงนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วแสดงท่าทางปกติ ปกปิดความรู้สึกอึดอัดใจไว้ข้างใน ทำเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ในห้องกลับมาเงียบสงบดั่งเดิม เงียบสงบจนเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วจากระยะไกล

ณ เวลานี้ เจี๋ยนอี๋นั่วได้นอนหันข้าง เพราะว่ากำลังตั้งครรภ์และอายุครรภ์ก็มากแล้ว เธอไม่ได้เหมือนผู้หญิงทั่วไปแล้ว แต่เธอกลับอ่อนโยนมากขึ้นเพราะว่ามีก้อนเนื้ออยู่ในท้อง เดิมเธอมีหน้าตาที่จิ้มลิ้มตอนนี้กลับดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ในเวลาที่เธอนอน ริมฝีปากของเธอจะทำท่าปากจู๋โดยที่เธอไม่รู้ตัว ริมฝีปากอวบอิ่มและอ่อนโยนเหมือนกับเด็กน้อย

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าขมวดคิ้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วซึ่งเธอก็ไม่รู้ตัว เหลิ่งเซ่าถิงทนไม่ไหวพร้อมบิดที่นิ้วของเธอเบาๆ ราวกับว่ากำลังลูบที่ริมฝีปากของเจี๋ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ตื่นจากความฝัน รีบหันหน้าไปทางอื่นและไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วอีกเลย

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วนอนหลับอยู่นั้น เหลิ่งเซ่าถิงยังคงจ้องมองเธออยู่ ตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้าห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ความรู้สึกของเธอก็ถูกปิดกั้น ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกเหมือนท่อนไม้ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถทำใจให้นอนห้องเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วจะตื่นเฉพาะเวลาที่กินข้าวหรือเวลาที่ต้องตรวจร่างกายเท่านั้น ช่วงเวลาที่เหลือเธอก็จะนอนที่เตียงเล็กๆนั้นโดยที่ไม่อยากลืมตาด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปจนค่ำ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนชุดนอน ระหว่างที่เอนตัวลงนอนบนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงเล็กๆเตียงนั้น ยังคงปิดตานอนหลับอยู่เหมือนเดิม

ในที่สุดก็สามารถนอนบนเตียงคนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องกังวลกับผู้หญิงโง่ๆที่อยู่ๆตกจากเตียงแล้วแท้ง ทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดหนึ่งศพสองชีวิต เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าเขาคงนอนหลับได้ทันที แต่ว่าเมื่อเขาหลับตาลงก็ไม่สามารถนอนหลับได้

ฝ่ามือของเขาเย็นยะเยือกและดูเหมือนสัมผัสที่อบอุ่นจะขาดหายไป หน้าอกของเขาว่างเปล่า ดูเหมือนว่าควรจะมีบางอย่างวางอยู่บนหน้าอกของเขา และเขาก็สูดลมหายใจอุ่นๆ ออกมาเบา ๆ

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วกลิ้งไปมาสองสามครั้ง และในที่สุดก็ลืมตาขึ้นจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ดูเหมือนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะหลับแล้วจริงๆ ลมหายใจของเธอเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และเธอจะพูดพึมพำพึมพำอย่างคลุมเครือในความฝัน ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็โกรธมาก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน

แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่า คนที่ควรนอนหลับสบายควรจะเป็นเขามากกว่า คนที่นอนไม่หลับควรจะเป็นเจี่ยนอี๋นั่วซะมากกว่า ดูเหมือนว่าเรื่องราวกลับพลิกผันไปหมด ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นเขาที่ถูกปฏิเสธ และเจี่ยนอี๋นั่วต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะ เหลิ่งเซ่าถิงเกลียดท่าทางไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วเอามากๆ

เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นแล้วนั่งข้างเตียง เขาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วนานสักพัก ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือไปวางที่หน้าท้องส่วนล่างของเจี่ยนอี๋นั่ว และรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ของเจี่ยนอี๋นั่วเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงหายใจออกเบาๆด้วยความโล่งอก และอารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่หงุดหงิดอีกต่อไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมากับการหาวมันเป็นเช้าวันใหม่แล้ว ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ห้องเปลี่ยนชุดประตูไม่ได้ปิดไว้ เป็นเหตุทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสามารถมองเห็นด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงสวมใส่ชุดสูทสีเงิน

ใช่ว่าใครๆก็สามารถสวมใส่ชุดสูทสีเงินนี้ได้ ผู้ชายบางคนสวมใส่สูทสีเงินทำให้ดูไม่สง่า แต่ว่าเมื่อสวมใส่อยู่บนตัวของเหลิ่งเซ่าถิงกลับดูเหมาะสมมาก สีเงินหรูหราเข้ากับเหลิ่งเซ่าถิงมากๆ และสีเสื้อก็ไม่มืดทึบเท่าสีดำ แต่กลับทำให้เหลิ่งเซ่าถิงดูอ่อนโยนมากขึ้น

แม้ว่าเมื่อวานพี่งจะถูกเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธด้วยท่าทีที่ไม่แยแส เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่พบเจอผู้ชายมา ยังไม่มีผู้ชายคนไหนที่ใส่สูทเหมาะสมและดูดีขนาดนี้ ถึงแม้ผู้ชายบางคนใส่แล้วดูดีแต่ก็ไม่มีใครเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้สักคน ก็เหมือนกับฉู่หมิงเซวียนที่เป็นผู้ชายที่ดูดีแต่ไม่มีความมั่นใจเท่าเหลิ่งเซ่าถิง มีเพียงเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้นที่ใสสูทดูแล้วสง่างามที่สุด

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วต้องการหันหน้าหนี แต่คิดได้ว่าถ้าเธอหันหน้าหนีก็ยิ่งจะทำให้หล่อนดูรู้สึกผิดมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่หันหน้าหนี เธอถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “งานเลี้ยงจัดขึ้นในวันนี้เหรอคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดว่า: “ทำไมเหรอ คุณก็อยากไปด้วยเหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วสักครู่ หลังจากนั้นใช้มือจับท้องตัวเองพร้อมกับพยักหน้า:“คุณคงไม่อยากไปพร้อมกับฉันหรอก ฉันก็ไม่ได้อยากไป ฉันจะรออยู่ตรงนี้และดูแลลูกในครรภ์ของฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ทางเลือกของคุณถูกต้องแล้ว คุณไม่เหมาะกับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในคฤหาสน์แห่งนั้น และคนรับใช้ในบ้านจะให้ไปช่วยงานบางส่วน ฉันอาจจะกลับมาดึกหน่อย คุณดูแลตัวเองดีดีนะ……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็หยุดทันทีพร้อมขมวดคิ้วและหยุดพูด ราวกับว่าเขากำลังซ่อนอะไรไว้อยู่และรีบหยิบเนคไทออกจากห้องแต่งตัวพร้อมผูกไทให้กับตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ประโยคสุดท้ายที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดแฝงไว้ด้วยความหมายอะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธเธอขนาดนั้น เธอก็จะพยายามที่ไม่รักเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไป และจะไม่สนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสนใจหรือชอบเธอหรือไม่

ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เธอรู้ว่าสักวันเหลิ่งเซ่าถิงต้องออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่งแน่นอน ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งใจพร้อมกับรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้า ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงผูกเน็กไทไปด้วยพร้อมมองเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วยนั้น เขามองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วหลังจากที่เขาพูดว่าเขาอาจจะกลับมาช้ามาก ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งขมวดคิ้ว เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ด้วยอารมณ์ที่หดหู่ ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงก็สุขุมลงไม่กี่นาที เมื่อเขาเดินออกจากห้องไป ทันใดนั้นหน้าตาของเขาก็ดูน่ากลัวเอามากๆ

แต่ว่าในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไป ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาได้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ในห้องนี้แม้แต่อากาศในห้องก็น่าดมมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดไปด้วยพลางยิ้มขณะลูบท้องไปด้วย ไม่รู้จริงๆว่าเธอจะชอบคนที่อารมณ์ร้ายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่ารูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาภายนอกของเขาเท่านั้นเองหรือ?

“หลงใหลแค่รูปลักษณ์ภายนอกจนหัวปักหัวปำ ช่างไม่เอาไหนเลยจริงๆ……”เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมด่าตัวเอง รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น

เนื่องจากมีการเตรียมงานเลี้ยงและจัดงานเลี้ยงเร็ว คนรับใช้กว่าครึ่งหนึ่งในบ้านไปช่วยงาน แม้แต่คุณนายเหลิ่งก็เดินทางไปแต่เช้า ก่อนออกเดินทาง คุณนายเหลิ่งได้จับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดว่า: “ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ไม่ไปร่วมงานเลี้ยงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สถานที่ที่เราจัดงานเลี้ยงก็ไม่ได้ไกลห่างจากคฤหาสน์ของเรามากนัก บางทีเธออาจจะมองเห็นการแสดงดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นในงานเลี้ยง”

“ฉันทราบค่ะ……”เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมก้มหัวลงมองคุณนายเหลิ่งเดินจากไปก็ย้อนกลับคฤหาสน์เหลิ่งอีกครั้ง

ถึงแม้ว่ามีการคัดเลือกคนรับใช้ไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากคฤหาสน์เหลิ่งนั้นใหญ่โตมาก แม้ว่าจะมีคนอยู่แต่ก็ดูกว้างมาก เจี่ยนอี๋นั่วนั้นดูเป็นตัวของตัวเองมาก หลังจากนั้นฟ้าก็มืดลง เจี่ยนอี๋นั่วได้ชงนมร้อนหนึ่งแก้วก็เดินไปถึงสวนดอกไม้ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า เธอชอบดูการแสดงดอกไม้ไฟมาก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะรู้ดีว่าดอกไม้ไฟนั้นอยู่ได้ไม่นาน ไม่มีประโยชน์ที่จะชอบดอกไม้ไฟเลย หลังจากที่ชื่นชมความงดงามของมัน มีแต่จะทำให้เศร้าโศกและเหงา แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

เธอยังคงถูกความงามของดอกไม้ไฟดึงดูด เมื่อเธอได้ยินว่าจะมีการจุดแสดงดอกไม้ไฟ เธอก็อดไม่ได้ที่ใช้สองมือกุมแก้วนมพร้อมกับนั่งรอบนเก้าอี้โยกนั้น

โดยทั่วไปนั้นงานเลี้ยงจะจัดขึ้นตอนเวลาสองทุ่ม ดอกไม้ไฟจะจุดขึ้นในเวลาสามทุ่มหรือประมาณสี่ทุ่ม เพราะว่าคุณนายเหลิ่งอายุมากแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงได้คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของคุณนายเหลิ่ง ต้องจุดดอกไม้ไฟก่อนเวลาแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์เวลาที่จะแสดงดอกไม้ไฟ เวลาล่วงเลยไปจนถึงสามทุ่ม ทันใดนั้นบนฟ้ามีการแสดงดอกไม้ไฟขึ้นตามเวลาที่กำหนด ความงามของดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายสวยงามอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงสวยงามระยับบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ชมความงามของดอกไม้ไฟพร้อมรอยยิ้มพูดว่า: “สุขสันต์วันเกิดนะ”

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วจำไม่ได้ว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง หลังจากที่คนในคฤหาสน์ออกไปกันหมดเธอถึงจำได้ว่าวันนี้วันเกิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอฉลองวันเกิดด้วยตัวเองแบบนี้ เมื่อก่อนคุณพ่อจะฉลองวันเกิดด้วยกันกับเธอเสมอ แต่ว่า ณ เวลานี้คนที่จะจำวันเกิดของเธอได้นั้น ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้แล้ว และไม่สามารถย้ำเตือนเธอได้อีก:อี๋นั่ว วันนี้เป็นวันเกิดของลูก กลับบ้านเช้าหน่อยนะ พ่อซื้อเค้กวันเกิดเตรียมไว้รอหนูที่บ้านแล้วนะ

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหรี่ตาลงและแหงนมองขึ้นไปดูท้องฟ้า เมื่อดอกไม้ไฟดับลงทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความมืดมิดเหมือนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงอย่างยากลำบาก

นี่ คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ มานอนอยู่ที่นี้ได้อย่างไรกัน มันไม่ดีต่อทารกในครรภ์รู้ไหม "เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับน้ำเสียงหัวเราะเยาะเบา ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลืมตาขึ้นทีนที หันหน้าไปทางต้นเสียง อาศัยแสงอันน้อยนิดสอดส่องมาจากดวงจันทร์ เจี่ยนอี๋นั่วมองข้างๆกายตัวเองนั้น ที่แท้คือ เหลิ่งหมิงอัน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากพูดคุยกับเหลิ่งหมิงอัน เธอลุกขึ้นยืนทันที และเตรียมจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ เหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอัน เธอทำได้เพียงพยายามหลีกเลี่ยงและออกห่างจากเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันรีบเดินตามหลังไปข้างตัวเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมเหรอ? ไม่ชอบที่เจอฉันเหรอ? นี่เป็นเพราะเธอนะ ฉันถึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ฉันตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอโดยเฉพาะเลยนะ ถูกทิ้งให้อยู่คฤหาสน์คนเดียวในใจคงอึดอัดไม่น้อยสินะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งหมิงอันด้วยสายตาที่เย็นชา และไม่สนใจใยดีกับคำพูดของเหลิ่งหมิง พร้อมเดินตรงไปทันที

“เธอนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่เอาใจยากเสียจริงๆ “ เหลิ่งหมิงอันยกมือแล้วคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันควับกลับไปพร้อมตะโกนออกไปว่า “ปล่อย!”

แต่ว่าทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดจบ ก็ต้องตกตะลึงทันที เธอมองแขนของเหลิ่งหมิงอันข้างนึงจับแขนของเธอไว้ แต่ว่าอีกข้างหนึ่งถือเค้กชิ้นหนึ่งใหญ่เท่าฝ่ามือ เหลิ่งหมิงอันยิ้มเบาๆเมื่อมองหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วปล่อยมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมจุดดอกไม้ไฟเล็กๆในมือของเขา

หลังจากจุดดอกไม้ไฟชิ้นหนึ่ง เหลิ่งหมิงอันยิ้มและยื่นไปที่มือของเจี่ยนอี๋นั่ว ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วถูกย้อมไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟ เจี่ยนอี๋นั่วมองดอกไม้ไฟในมือของตัวเอง ขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า: นี่คุณกำลังทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มพร้อมพูดว่า:”สุขสันต์วันเกิดนะเจี่ยนอี๋นั่ว”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดเช่นเดิม:”คุณรู้ได้อย่างไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้ม:”นี่เป็นความลับอะไรเหรอ?สืบหาหน่อยก็รู้ละ สำหรับต่อหน้าคนที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างมันไม่มีหรอกความลับ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มลงมองเค้กที่มือของเหลิ่งหมิงอัน พร้อมกระซิบกล่าว:”ขอบคุณเบาๆ”

“โอ้ ……เป็นโอกาสยากมากที่จะได้ฟังคำพูดดีๆจากปากของคุณ “เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”ต้องการขอบคุณฉัน งั้นจูบฉันสักทีสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินถอยหลัง:”คุณอย่าพูดล้อเล่น จงอย่าพยายามสร้างสถานการณ์ทำให้ฉันลำบากใจมากขึ้น? คุณเติบโตที่ตระกูลเหลิ่ง คุณก็คงไม่ใช่องค์ชายที่เที่ยวเตร่ไปวันๆหรอก และฉันไม่เชื่อว่าการที่คุณเข้าใกล้ฉันคุณจะไม่มีจุดประสงค์อะไรแฝงไว้ ไม่ว่ายังคุณเข้าใกล้ฉันด้วยจุดประสงค์อะไรฉันก็ไม่มีวันที่จะร่วมมือกับคุณหรอกนะ ต่อไปนี้หวังว่าคุณจะรักษาระยะห่างระหว่างคุณกับฉัน ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ขอบคุณคุณมากๆสำหรับเค้กที่คุณซื้อให้ฉัน และสำหรับการแสดงดอกไม้ไฟ ฉันขอบคุณคุณมากจริงๆ……”

ระหว่างที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น ได้เอื้อมมือไปตักเค้กบนมือของเหลิ่งหมิงอันหนึ่งช้อนเบาๆ ป้อนเข้าปากของตัวเอง พร้อมพูดว่า:”รสชาติเค้กก็ไม่เลวนะ น้ำใจที่คุณให้ฉันในครั้งนี้ฉันรับมันไว้แล้ว ตอนนี้เวลาดึกแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

เหลิ่งหมิงอันเก็บรอยยิ้มเหลาะแหละของเขา ทำตาหรี่ๆมองเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:” คุณพูดว่าผมไม่ใช่คนที่ดี?หรือคุณกลัวว่าผมจะผสมอะไรลงไปในเค้กให้คนตั้งครรภ์ทานเหรอ?”

“ไม่ได้กลัว”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน :”คุณไม่โง่เขลาขนาดนั้นหรอก การที่คุณเข้าใกล้ฉันเพื่ออยากให้ฉันเป็นพวกเดียวกับคุณ ไม่เช่นนั้นคุณก็คงไม่ทำแบบนี้ การที่ฉันสามารถอยู่ใกล้เหลิ่งเซ่าถิงเหตุผลเป็นเพราะว่าฉันตั้งครรภ์ลูกคนนี้ ถ้าฉันเสียลูกคนนี้ไป เพราะเหตุผลใดยังต้องอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิง?มันจะหลอกใช้ได้อีกงั้นหรือ?ความคิดที่คุณคิดไว้กับฉันมันไม่ศูนย์เปล่าหรอกเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: “ในใจของคุณคิดว่าผมเป็นคนที่ฉลาดมากงั้นเหรอ ในเมื่อคุณไม่รู้สึกต้องระวังคนอย่างผมแล้วทำไมต้องคอยหลบอยู่แต่ในห้องด้วยล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า:”คุณต้องการจะหลอกใช้ฉัน มันไม่ได้หมายความว่าคนรอบข้างของคุณทุกคนก็ต้องการจะหลอกใช้ฉัน บางคนมองลูกในท้องของฉันไม่ได้เป็นดั่งตัวหมากรุกที่สามารถหลอกใช้ได้ แต่กลับเป็นหนามยอกอก”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มพร้อมส่ายหน้า:”สมมติฐานของคุณพูดเหมือนผมเป็นคนที่เลวทราม ผมเสียใจมากๆที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆพูดว่า:”ฉันเต็มใจและกล้าที่จะพูดเปิดเผยกับคุณทุกอย่าง แล้วทำไมคุณยังต้องแสดงละครอีก?ฉัน……”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น ทันใดนั้นแสงดอกไม้ไฟที่อยู่ในมือก็ตกลงมาที่หลังมือของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วหายใจด้วยความเจ็บปวด

“ทำไมถึงไม่รู้จักระมัดระวัง?” เหลิ่งหมิงอันรีบคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพาเจี่ยนอี๋นั่วไปที่น้ำพุในสวนดอกไม้ทันที แล้วล้างหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเย็น

เมื่อเห็นว่าหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วแดงไปทั้งมือ เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวดพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วน้ำเสียงเบาๆ:”ผมจะไปเอาน้ำมันยามาทาให้คุณ……”

“ไม่ต้อง”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือพร้อมพูดว่า:”ฉันไม่จำเป็นต้องทาน้ำมันยา น้ำมันยามีผลกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ตอนนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์มันส่งผลไม่ดีต่อเด็ก ฉันอดทนแปบๆเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

“ถ้าคุณไม่ทาน้ำมันยานี้มันจะเป็นรอยแผลเป็นนะ “ เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวด”

ถ้าอย่างงั้นก็ให้มันเป็นรอยแผลเป็นละกัน”ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะ:ถ้าหากเป็นเพราะว่ากลัวเป็นรอยแผลเป็น ฉันก็อาจจะทำเรื่องร้ายบางอย่างเกี่ยวกับครรภ์ของฉัน ถ้าอย่างนั้นคนอย่างฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นแม่คนได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพลันเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน:”ขอบคุณ ที่ยังอุส่าฉลองวันเกิดให้กับฉัน แต่ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอย่าทำแบบนี้อีก ฉันอยู่ตระกูลเหลิ่งอยู่ในฐานะเป็นพี่สะใภ้ของคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันหลังกลับคฤหาสน์ เหลิ่งหมิงอันคิ้วหมวดมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เขารีบเดินไปประกบพร้อมคว้าตัวเจี่ยนอี๋นั่ว จูบลงที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เหลิ่งหมิงอันใช้แรงในการจูบมากจนเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความเจ็บปวด และดูเหมือนว่าถูกเหลิ่งหมิงอันกัดจนเป็นแผล

เจี่ยนอี๋นั่วรีบผลักตัวเหลิ่งหมิงอันออก แต่ว่าแรงของเธอไม่สามารถสู้เหลิ่งหมิงอันได้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าขัดขืนมากนักเพราะกลัวลูกในครรภ์จะได้รับอันตราย ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงไม่สามารถผลักเหลิ่งหมิงอันออกได้

สุดท้ายเหลิ่งหมิงอันก็เป็นคนที่ปล่อยตัวเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเลยหลุดพ้นออกมาได้ ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะเดินจากไปก็ง้างมือไปตบที่หน้าเหลิ่งหมิงอันทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”ฉันหวังว่าต่อไปคุณจะไม่คุกคามฉันอีก!”

“ขอโทษ เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจ” เหลิ่งหมิงอันกล่าวด้วยร้อยยิ้มพลันลูบแก้มของตัวเองพร้อมพูดว่า

เหลิ่งหมิงอันกล่าวเช่นนั้นก็หยุดเล็กน้อย พูดด้วยร้อยยิ้ม:”ครั้งนี้ถึงจะตั้งใจทำจริงๆ…..”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ก็ดึงตัวเจี่ยมอี๋นั่วเข้าไปสวมกอดอีกครั้งและจูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่ารอบนี้อ่อนโยนกว่าก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วระมัดระวังท้องของเธอไปด้วย และใช้แรงดิ้นไปด้วย จนกระทั้งเหลิ่งหมิงอันปล่อยเธออีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วน้ำตาซึมพร้อมเอื้อมมือตบหน้าเหลิ่งหมิงอัน

“หวานจัง!”เหลิ่งหมิงอันยกมือกุมมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:”ครั้งนี้ผมได้ลิ้มรสชาติความหวาน มันช่างวิเศษจริงๆ เป็นผู้หญิงของผมเถอะ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผมจะจงใจยุ่งกับคุณ หรือว่าตอนนี้คุณคิดว่าผมจงใจจะเข้าหาคุณ ต้องการหลอกใช้คุณ จากนี้เป็นต้นไปผมตั้งใจและจริงจังกับคุณจริงๆ! ผมจะทำทุกอย่างและทำได้ดีกว่าเหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน เขามีอะไรดีถึงขั้นที่คุณต้องปฏิเสธผมตลอด หรือแท้ที่จริงแล้วคุณชอบเขาเข้าแล้วใช่ไหม?”

“คนบ้า! ฉันจะชอบหรือไม่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ! “ เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังควับก็ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งแล้วรีบเร่งเดินเข้าไปในห้องทันที

เหลิ่งหมิงอันยกมุมปากขึ้นยิ้มเบาๆ:”ดูเหมือนคงจะชอบจริงๆสักแล้วสิ”

หลังจากที่เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้มพร้อมเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าที่โหดร้าย หัวเราะเยาะอย่างเย็นชาพูดว่า:”เจี่ยนอี๋นั่วคุณปฏิเสธผมอีกครั้งเป็นเพราะคุณมีใจให้กับเหลิ่งเซ่าถิงเข้าแล้วจริงๆ งานนี้สนุกแน่……”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้องรีบเข้าห้องน้ำ เธอเอาน้ำอุ่นล้างหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นริมฝีปากของหล่อนโดนเหลิ่งหมิงอันกัดจนเป็นแผล และไม่สามารถที่จะปกปิดแผลนั้นได้ ดูก็รู้ทันทีว่าแผลนี้เกิดจากขณะที่โดนผู้ชายจูบ

“เหลิ่งหมิงอันเป็นผู้ชายที่กวนประสาทมากจริง” เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นลูบที่ริมฝีปากของเธอหลายครั้ง ปากก็ด่าเหลิ่งหมิงอัน พร้อมเดินออกจากห้องน้ำไป

ทันทีที่เดินออกจากห้องน้ำ ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ จองมองเธออยู่เจี่ยนอี๋นั่วสะดุ้งตกใจกับการปรากฏตัวของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก้าวถอยหลังทันที:”ทำไมคุณกลับมาแล้วล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถงจ้องมองไปริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วจนผ่านไปสักครู่ก็หันหลังกลับเพราะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”งานเลี้ยงจบลงแล้วผมจึงเลยกลับมา”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาตอบกลับว่า:”อ้อ งั้นคุณใช้ห้องน้ำเถอะ ฉันจะไปพักผ่อนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินผ่านข้างตัวเหลิ่งเซ่าถิง เดินจนถึงตรงหน้าเตียงนอนของตัวเองแล้วล้มตัวลงนอนพร้อมหลับตาลงทันที ท่ามกลางความมืดเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเดินผ่านเตียงของตัวเองไปพร้อมล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมาที่ทั้งสองก็เงียบไม่พูดคุยกัน แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอากาศในตอนนี้เย็น ยะเยือกขึ้นกว่าเดิม ทำให้เธออดไม่ไหวที่จะมุดตัวในใต้ผ้าห่ม

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ที่สุดแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนใจออกมาพูดขึ้นว่า:เมื่อกี้เหลิ่งหมิงอันจูบฉันโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันโดนเขาจูบ จูบแล้วสองครั้ง……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิงเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเข้าลึกๆพร้อมพูดต่อว่า:”เขาตั้งใจให้มันมีร่องรอยเหลือไว้ อาจเป็นเพราะว่าอยากทำให้เราแยกออกจากกัน คงอยากใช้โอกาสนี้ให้ฉันหลงกลแล้วหลอกใช้ฉัน แต่ว่าฉันไม่อยากโดนหลอกใช้เลยสักนิด ฉันยอมพูดความจริงตอนนี้ดีกว่าคุณรู้เองทีหลังแล้วสงสัยในความสัมพันธ์ของฉันและเขาอีก แล้วยังสงสัยว่าฉันจะเป็นสายลับให้กับเขาอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงน่าจะนอนหลับแล้วก็พึมพำคนเดียว ”ฉันก็มีส่วนผิด ไม่ควรเดินไปที่สวนคนเดียว แต่ว่าเขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเหลิ่ง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพบเจอกับเขา เขาเป็นผู้ชายและฉันก็ไม่สามารถต้านทานแรงของเขาได้ ถึงแม้ว่าฉันก็มีส่วนผิด แต่ฉันผิดแค่นิดเดียวเอง……”

“อือ “ ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับอย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่หลับ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก:”คุณได้ฟังในสิ่งที่ฉันได้อธิบายก็ดีแล้ว การที่ฉันอธิบายนั้นไม่ได้แปลว่าฉันคิดไปเอง ดังนั้นไม่อยากให้คุณเข้าใจฉันผิด ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่าฉันไม่ใช่พวกเดียวกันกับเหลิ่งหมิงอัน ฉันไม่ชอบมีส่วนร่วมเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายและการต่อสู้ของพวกคุณ เอาล่ะ ในส่วนที่ฉันควรพูดฉันก็พูดหมดแล้ว ฉันขอตัวนอนก่อนแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หลับตาลง เหลิ่งเซ่าถิงก็พึ่งลืมตาแล้วมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว มองที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆหรี่ตาลง

รอยแผลที่เหลิ่งหมิงอันกัดไว้บนฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วนั้น พอในวันรุ่งขึ้นรอยแผลนั้นก็ยังไม่จางลง มิหนำซ้ำยิ่งร้ายแรงมากขึ้น รอบๆริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วบวมออกอย่างเห็นได้ชัด และอาการรอยบาดแผลเห็นชัดเจนมากขึ้น

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังส่องกระจกอยู่นั้น รู้สึกกังวลใจจนคิ้วขมวดจากนั้นยกมือไปถูบริเวณริมฝีปาก พูดพึมพำว่า:”ให้ตายสิ ไอ้หมาบ้า แล้วนี่ฉันจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไรกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้จะไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร เมื่อเช้าเธอเจอคนรับใช้ยังต้องใช้มือปิดปากของตัวเอง แล้วถ้าเจอคุณนายเหลิ่งและเธอคงไม่สามารถปิดปากไว้ได้ตลอดเวลาหรอกนะ?

“คุณจะส่องกระจกอีกนานไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วในขณะที่เปลี่ยนชุดสูท

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เอามือบังริมฝีปากตัวเองกระซิบเบาๆ:”ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงพูด: “เข้ามา”

ประตูห้องถูกเปิดยังไม่ทันไร คุณนายเหลิ่งก็เดินเข้ามาในห้องพูดกับทั้งสองคนว่า:” ย่าพึ่งได้ข่าวมา เมื่อวานเป็นวันเกิดของเจี่ยนอี๋นั่ว ย่าลืมสนิทเลย เป็นความผิดของย่าเองที่มองข้ามเรื่องนี้ไป วันนี้คุณนายเหลิ่งเข้าครัวด้วยตัวเองเพื่อตุ๋นรังนก อี๋นั่วถือซะว่าชดเชยวันเกิดย้อนหลังให้ละกันนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงเอียงหัวแล้วชายตามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ : วันเกิดของเธอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นรีบพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:”เกรงใจมากค่ะที่ต้องรบกวนคุณนายเหลิ่งฉันลืมสนิทเลยค่ะว่าเป็นวันเกิดของฉัน ยังจะทำให้คุณนายลำบากจำมันอีก”

“ไม่รบกวน ไม่รบกวน เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว ยังจะรบกวนอะไรอีก คุณนายเหลิ่งหัวเราะมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับหยุดชะงัก

คุณนานเหลิ่งเลิกยิ้มทันทีแล้วนิ้วก็ชี้ไปทางริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วถาม:”อี๋นั่ว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากของตัวเองอย่างเร็ว ไม่รู้จะอธิบายกับคุณนายเหลิ่งยังไง เจี่ยนอี๋นั่วกล้าพูดความจริงกับเหลิ่งเซ่าถิงเพราะเหลิ่งเซ่าถิงตั้งใจจะเป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย อีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงยังเป็นหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับความรักของชายหญิงน่าจะยอมรับได้มากกว่า เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าที่พูดความจริงกับเขาทุกอย่างและอธิบายให้ชัดเจนนั้น เป็นวิธีที่สามารถหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดได้มากที่สุด

แต่คุณนายเหลิ่งมีความตั้งใจที่อยากให้เธอเป็นหลานสะใภ้จริงๆ อย่างไรเสียคุณนายเหลิ่งอายุก็มากแล้วเรื่องราวที่เกี่ยวกับระหว่างหนุ่มสาว ท่านน่าจะค่อนข้างหัวโบราณ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถ้าหากคุณนายเหลิ่งรู้ความจริงว่า รอยแผลที่เกิดขึ้นบนริมฝีปากของเธอนั้น แท้จริงแล้วนั้นเหลิ่งหมิงอันเป็นคนกระทำมัน คาดการณ์ไว้ว่าคุณนายเหลิ่งอาจคิดเกินเลยเถิดระหว่างความสัมพันธ์เหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่ว แม้แต่เงินช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนก็คงโดนระงับ

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังขมวดคิ้วนั้น กระวนกระวายใจจนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงจากเหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นว่า:คุณย่าครับ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับอี๋นั่ว คุณย่าก็เลิกถามเถอะครับ อี๋นั่วเริ่มเขินอายแล้วครับ

คุณนายเหลิ่งรีบมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นเอามือปิดปากหัวเราะออกมา:”ย่ากำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย มันต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ตอนนี้เป็นดั่งที่ย่าคิดไว้จริงๆใช่ไหมละ?เอาเถอะมันเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว ย่าจะไม่ถามอีกละ พวกเธอค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันเถอะ”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็สั่งคนรับใช้เอารังนกวางลง จากนั้นหันหลังกลับด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์อยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักเธอก็รู้สึกตัวอีกครั้ง จึงหันไปมองทางเหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นมันทำให้คุณย่าเข้าใจผิด? ความเป็นจริงแล้วคุณไม่ได้เป็นคนจูบฉันสักหน่อย แต่เป็นเหลิ่งหมิงอัน……

“เป็นเพราะเมื่อคืนคุณซื่อสัตย์มาก” เหลิ่งเซ่าถิงผูกเนคไทไปด้วย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาไปด้วย:”นี่คือรางวัล”

“รางวัล?” เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด

เหลิ่งเซ่าถิงผูกเนคไทเสร็จ ยกมือขึ้นพร้อมแตะไปบนหน้าผากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”อย่าคิดไปไกล นี่เป็นเพียงรางวัลไม่ได้แฝงความรู้สึกอะไรไว้ การที่ปกป้องคุณ คุณไม่ควรชอบผม และผมไม่ควรชอบคุณ คุณโปรดจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้าตอบรับทันที:”ฉันจำได้ ฉันอยากขอบคุณคุณมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ควรจะเผชิญสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ถ้าหากคุณนายเหลิ่งรู้สึกว่าพฤติกรรมของฉันเหมือนออกนอกลู่นอกทาง ท่านจะหยุดให้ความช่วยเหลือด้านการเงินตระกูลเจี่ยนแน่นอน และฉันก็ไม่รู้ควรจะทำยังไงแล้ว ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:”คุณไม่ต้องกังวลความช่วยเหลือด้านการเงินตระกูลเจี่ยนไม่ว่าอย่างไรก็ตามขอเพียงเด็กที่อยู่ในท้องของคุณปลอดภัย คุณก็คือแม่ของลูกผม ผมไม่ให้ตระกูลเจี่ยนเดือดร้อนแน่

“จริงเหรอคะ? “ เจี่ยนอี๋นั่วอดใจไม่ไหวที่จะจับแขนเสื้อของเหลิ่งเซ่าถิง ประหลาดใจดีใจจนทำท่าตาโตมองเหลิ่งเซ่าถิง ในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้น หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมที่จะซัพพอร์ตตระกูลเจี่ยนจริงๆเหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดทันที เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว: “ปล่อยมือของคุณเดี๋ยวนี้ คุณคิดว่าผมไม่รักษาสัญญาเช่นคุณเหรอ? เดี๋ยวก็เป็นเพราะเงินไม่เอาลูก เดี๋ยวก็ต้องการลูกเป็นเพราะว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูก เดี๋ยวก็พูดว่าชอบผม เดี๋ยวก็กัดฟันพูดว่าไม่มีวันชอบผมตลอดไป ด้านหนึ่งก็ทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับเหลิ่งหมิงอัน อีกด้านหนึ่งกลางคืนก็นอนข้างเตียงผม……”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและยืนอยู่ที่มุมกำแพง เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้น พูดไม่ผิดเลยสักนิด ระยะนี้เธอทำอะไรดูค่อนข้างยุ่งเหยิงพูดกลับไปกลับมา แต่ทำไมเธอฟังคำบ่นของเหลิ่งเซ่าถิงมันฟังดูทะแม่งๆนะ? ทำไมฟังแล้วมันแปลกๆ? รู้สึกคิดหยุมหยิมอะไรมากมายเหมือนกำลังหึงเลย?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้แค่นี้ก็ถึงกับส่ายหัว เธอรู้สึกตัวเองไม่ควรคิดแบบนี้ อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ปฏิเสธเธออย่างเด็ดขาดแล้ว เธอยังจะฝันความรักลมๆแล้งๆอีก? คงเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่พอใจเธอมากๆ อาจเป็นเพราะว่าเธอท้องลูกของเขา เขาไม่อยากให้ลูกของเขามีแม่ที่ตกระกำลำบาก

“ฉันสำนึกผิดแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดสำนึกผิดด้วยเสียงเบาๆ และสภาพคอตก

“คุณ……” เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงยังอยากจะพูด คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกหลายคำ แต่มองเจี่ยนอี๋นั่วที่ยืนเท้าเปล่าพิงอยู่ที่กำแพง สภาพคอตกดูแล้วน่าเวทนามาก

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “คุณรีบไปดื่มรังนกเถอะ อย่าทำให้คุณย่าผิดหวังในน้ำใจครั้งนี้

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินออกจากห้อง จนเดินไปถึงหน้าประตูห้อง เหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆหยุดชะงักพูดขึ้นว่า” ในวันนี้ฉันจะไปทำงานอย่างเป็นทางการ คุณสามารถอยู่ในห้องคนเดียวได้อย่างสบายใจ

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ เหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูห้อง ทันทีที่เธอหันหลังกลับมาในห้องก็ดูว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่เอาไหนเลยจริงๆ ทันทีที่เหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูนั้น หัวใจของเธอก็ดูว่างเปล่าเจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย ต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงมีหน้าตาที่หล่อเหลาแค่ไหน ครั้งนี้เธอตกหลุมลึกเกินไปแล้ว

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองก็เหมือนหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาพยายามขับไสไล่ส่ง ก็ยังดันทุรังเกาะติดเขาตลอด

เหลิ่งเซ่าถิงเดินลงไปชั้นล่าง เจอเหลิ่งหมิงอันเดินมาถึงห้องโถง พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ: “ วันนี้ฉันก็ไปบริษัท ฉันส่งแกที่ทำงานเอง”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะแล้วพูดว่า: “ผมก็มีรถ ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ครับ”

“นั่งรถของฉันเถอะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาแก” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เดินออกจากประตูไปก่อน

เหลิ่งหมิงอันมองตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินตามไป เหลิ่งเซ่าถิงขับรถด้วยตัวเอง หลังจากขึ้นรถฝั่งคนขับ แล้วพยักหน้าเชิญชวนให้เหลิ่งหมิงอันขึ้นรถ เหลิ่งหมิงอันถึงจะยอมขึ้นรถของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งหมิงอันนั่งหลังคนขับ หัวเราะแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง: “ ผมไม่ชอบนั่งหลังคนขับ แต่ว่าพอได้นั่งข้างหลังนี้เหมือนพี่ชายใหญ่เป็นคนขับรถของผม ว่าแต่พี่คงไม่ถือสาใช่ไหม?”

“ไม่ถือสาหรอก แค่เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันยิ่งชอบเวลาที่ชะตาชีวิตใครคนหนึ่งอยู่ในกำมือของตัวเอง ใครจะไปคิดว่าคนขับรถที่เชื่อใจ จนวันหนึ่งทำตัวผิดปกติ และจงใจขับรถชนรถบรรทุกขนาดใหญ่?”เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“อะไรนะ?” เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวด: “แท้จริงแล้วสาเหตุที่พี่ชายใหญ่ประสบอุบัติเหตุเพราะแบบนี้นี่เองหรือ?”ผมก็พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมนึกว่าพี่ชายใหญ่ไล่ตามหลิวจื่อซิง และนึกว่าในขณะที่ขับรถไล่ตามขับเร็วเกินไปจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ คาดไม่ถึงจริงๆเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเกิดจากคนขับรถคนนั้น ถ้ารู้ความจริงก่อนหน้านี้ตระกูลเหลิ่งไม่ควรจ่ายเงินชดเชยมากมายขนาดนั้นให้เขาเลย

“สาเหตุมันไม่ได้เกิดจากที่ตัวเขาหรอก ให้เงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไร อย่าให้คนอื่นรู้สึกว่าตระกูลเหลิ่งของพวกเราแซ่เหลิ่ง แต่จิตใจกลับเย็นชาเหมือนแซ่จริงๆ แม้แต่ชีวิตคนก็ไม่สนใจ” ในระหว่างที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็มองเหลิ่งหมิงอันผ่านกระจกมองหลัง จากนั้นสตาร์ทรถ

เมื่อรถค่อยๆขับออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งไปนั้น เหลิ่งหมิงอันพูดขึ้นว่า: “พี่ใหญ่พี่อยากหารืออะไรกับผมงั้นหรือ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถไปจอดในซอยเปลี่ยว หลังจากนั้นรีบจอดรถ เปิดประตูรถแล้วเดินลงจากรถ พูดกับเหลิ่งหมิงอันว่า: “ลงจากรถเดี๋ยวนี้ ฉันค่อยคุยกับแก”

“พี่มีเรื่องอะไรจะพูดกับผมกันแน่?” เหลิ่งหมิงอันเปิดประตู ลงจากรถ

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเหลิ่งหมิงอันลงจากรถ รีบคว้าคอเสื้อของเหลิ่งหมิงอัน แล้วชกไปตรงหน้าของเหลิ่งหมิงอัน เ หลิ่งเซ่าถิงต่อยออกไปด้วยความเร็วจนเหลิ่งหมิวอันไม่ทันตั้งตัว จะโดนต่อยที่หน้าอีกเป็นหมัดที่สอง แต่ว่าเหลิ่งหมิงอันป้องกันได้ทัน ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงเตรียมจะชกเหลิ่งหมิงอันอีกครั้ง ในที่สุดเหลิ่งหมิงอันก็สามารถหลบหมัดของเหลิ่งเซ่าถิงได้

“เหลิ่งเซ่าถิงอย่าหลงคิดว่าตัวเองเป็นองค์ชายใหญ่ของตระกูลเหลิ่งผมไม่กล้าเอาคืนนะ! “ เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาพร้อมกัดฟันมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงเก็บกำปั้นคืนพูดกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”ถึงแกจะสู้ยังไง ยังไงแกก็สู้ฉันไม่ได้หรอก ตอนนี้สู้ไม่ได้ยังไง ต่อไปก็สู้ไม่ได้อย่างงั้น หลังจากนี้เป็นต้นไปช่วยวางตัวดีๆ พึงรู้ไว้ฐานะของตัวเอง อย่าบังอาจมายุ่งกับคนของฉัน!”

“คนที่ไม่ควรยุ่ง?หลิวจื่อซิงเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: “หรือว่าเจี่ยนอี๋นั่ว? ทีหลิวจื่อซิงพี่ยังไม่ลงมือกับผมแบบนี้เลย? ดูท่าทางพี่ไม่สนใจใยดีผู้หญิงคนนั้น แต่มันกลับตรงกันข้ามนะ!”

“ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉันและเป็นแม่ของลูกฉัน ฉันจะไม่ยอมให้แกเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอ ตอนนี้ฉันแค่สั่งสอนแกเพื่อตักเตือนแก ฉันหวังว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก” เหลิงเซ่าถิงหรี่ตามองหน้าเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เดินเข้าไปใกล้เหลิ่งหมิงอัน จัดคอเสื้อให้เหลิ่งหมิงอัน ค่อยๆยกมุมปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ขึ้นรถเถอะน้องรอง พี่ยังต้องส่งแกไปบริษัทนะ”

เหลิ่งหมิงอันถูปากของตัวเอง ถุยเลือดออกมาแล้วยิ้มอย่างดุร้าย: “ได้สิ พี่ชายใหญ่เป็นคนขับรถส่งผมไปทำงานทั้งที โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ผมจะปฏิเสธมันได้อย่างไรกัน?”

เจียนอี๋นั่วอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าได้สักพัก พึ่งนึกขึ้นจึงได้โทรหาพยาบาลของเจี่ยนฉางรุ่น เธอไม่วางใจและไม่เชื่อว่าเฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลคุณพ่อของตัวเองได้ ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจะโทรหาพยาบาลคนใหม่ที่ดูแลคุณพ่อโดยตรง โดยปกติเธอจะโทรหาพยาบาลคนนี้แทบทุกวัน ฟังอาการของคุณพ่อเสร็จ เธอถึงจะโทรเข้าบริษัท

บริษัทของเจี่ยนอี๋นั่วถึงแม้ว่าจะมีคนที่คุณนายเหลิ่งได้จัดส่งไปดูแลแล้วนั้น แต่เป็นเพราะว่าคนใหม่ที่จัดส่งไปนั้นยังไม่สามารถเข้าใจบริบทของบริษัท ก็ยังคงพยายามดำเนินการแบบถูๆไถๆ เจี่ยนอี๋นั่วได้รับรายงานจากคนคนนั้นหน้าเธอก็คิ้วขมวดทันที เหมือนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด หลังจากที่เธอออกจากบริษัทไป ฉู่หมิงเซวียนนานวันยิ่งเหิมเกริมหว่านล้อมหุ้นส่วนในบริษัทให้เป็นพวกเดียวกันกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะด้านการเงินของตระกูลเหลิ่งเลยสร้างสถานการณ์ด้านดีๆต่อเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด

เจี่ยนอี๋นั่ววางสายโทรศัพท์ ทนไม่ไหวที่จะทำหน้าคิ้วขมวด ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเธอต้องดูแลลูกในครรภ์และห่างหายจากบริษัทนานเกินไป เธอไม่มีวันให้ฉู่หมิงเซวียนตั้งตัวได้ใหม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งคิดได้จึงเอื้อมมือไปจับท้องของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ลูกแม่อย่ารู้สึกเสียใจไปเลย แม่อาจจะรู้สึกเสียดาย แต่ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน การมาของลูกในตอนนี้ สำคัญกว่าการแก่งแย่งชิงดีเหล่านั้นมากมายนัก”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วมีความรู้สึกเป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้ลูกยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกก็เถอะ แต่ในใจของเธอคิดเสมอว่าลูกที่อยู่ในท้องของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกถึงความสุข ความโกธร และความโศกเศร้าแล้ว แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังมีเรื่องที่ทำให้เครียดกลัดกลุ้มใจอีกมากมาย แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลูบไปที่ท้องของเธอเบาๆ เธอก็หยุดไม่ได้ที่จะคิดเพ้อฝันไปต่างๆนาๆควรจะเลี้ยงลูกคนนี้ยังไง ความกลัดกลุ้มใจเหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหวังไว้จะสามารถให้กำเนิดเป็นลูกสาว เธอจะให้ลูกสาวของเธอใส่กระโปรงสีชมพู ดูแลลูกให้น่ารักน่าเอ็นดู เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลูกสาวนิสัยเอาแต่ใจเหมือนกับเธอ อยากให้ลูกสาวของเธอเป็นคนที่น่ารักและอ่อนโยนสักมากกว่า

ก่อนเข้านอน เธอก็จะโอบลูกสาวไว้ในอ้อมกอด ผิวของลูกสาวนั้นต้องมีผิวสีขาวเนียน มีกลิ่นหอมของน้ำนม ลูกน้อยก็พิงบนอกของเธอ เสียงที่ไร้เดียงสาเรียกเธอว่า: “คุณแม่……”

เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้ารอวันที่จะได้พบเจอหน้าลูกน้อย เจี่ยนอี้นั่วอยู่ในห้องจนกระทั้งเวลาผ่านไปแล้วครึ่งวัน หลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ คุณนายเหลิ่งก็เรียกให้เธอออกจากห้อง คุณนายเหลิงกำลังเริ่มออกแบบห้องนอนของทารกน้อย หยิบตัวอย่างออกแบบโครงการให้เจี่ยนอี๋นั่วดู2-3แผ่น

“ห้องทารกน้อย มันเร็วเกินไปไหมคะ?” ตอนนี้กำหนดการคลอดของเจี่ยนอี๋นั่วยังอีกหลายเดือน เธอยังไม่ทันคิดก็ดำเนินการออกแบบห้องทารกน้อยแล้ว

คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมพยักหน้า: “ เร็วยังไง? รอห้องต่อเติมเสร็จยังต้องใช้เวลาพักใหญ่ ห้องที่ต่อเติมเสร็จใหม่ๆเด็กทารกจะสามารถเข้าไปอยู่ทันทีได้อย่างไรกัน? โครงการออกแบบเหล่านี้เธอเอาไปศึกษาดู เลือกเสร็จแล้วค่อยบอกฉัน ฉันจะให้ช่างเริ่มต่อเติมห้องทารกน้อยเลย และอีกอย่างนะชุดของทารกน้อยก็ออกแบบเรียบร้อยแล้ว เธอเอาแบบไปดูว่าต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงตรงไหนบ้าง

คุณนายเหลิ่งหยิบชุดทารกน้อยออกมา 2ชุด ชุดนึงคือสีชมพูฟ้าและอีกชุดคือสีชมพูแดง ชุดเล็กๆน่ารักมากทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นชุดเด็กทารกนี้รู้สึกเหมือนมีเด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เจี่ยนอี้นั่วรีบรับชุดทารกน้อยทั้งสองมาทันที ชุดของเด็กทารกมันช่างอ่อนนุ่มละมุนจับแล้วรู้สึกดีมากเลย

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า: “รู้สึกชุดไหนออกแบบได้ดีกว่า? ฉันจะให้พวกเราไปตัดทันที”

เจี่ยนอี้นั่วสัมผัสชุดอย่างละเอียด: “ฉันชอบทั้งหมดเลยค่ะ ฉันโลภมากไปไหมคะ?”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า:” ไม่โลภมากหรอก ถ้าหากเธอชอบ ฉันจะสั่งให้พวกเขาตัดเย็บทั้งหมดเลยเสื้อผ้าของลูกหลานตระกูลเรา ก่อนอายุ7 ขวบจำเป็นต้องสั่งตัดเย็บด้วยคนงานตระกูลของเราเอง แม้กระทั่งด้ายผ้าไหม ขนสัตว์ต้องนำออกมาจากฟาร์มของตัวเอง เธอดูอาจจะเหมือนแบบทั่วๆไป แต่ว่าบนโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้จะต้องเสียเวลานาน เวลาใช้คุณภาพวางใจได้”

“รบกวนคุณย่าอีกแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วถือชุดทารกน้อยไว้ในมือด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดว่า เมื่อเวลาที่เธอนำชุดทารกน้อยแนบท้อง ทันใดนั้นในท้องมีการเคลื่อนไหว ราวกับว่าทารกในท้องของเธอก็ตอบสนองว่าชอบชุดนี้อย่างมาก

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า: “ พูดอะไรอย่างนั้น? ลูกของเธอเป็นเหลนของฉันนะ ฉันจะไม่ใส่ใจได้อย่างไร? ถ้าหากเธอชอบมันทั้งสองชุด ก็เก็บไว้ก่อนเถอะ เธอลองเช็คให้ละเอียดนะ ยังมีจุดไหนที่ต้องการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงบ้าง เ ธอต้องบอกฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ห้องคุณนายเหลิ่งได้ไม่นานนัก ก็ถูกคุณนายเหลิ่งกำชับให้รีบกลับไปพักผ่อนต่อ เจี่ยนอี๋นั่วถือชุดทารกน้อยไว้ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก้มมองไปด้วย เดินออกจากห้องคุณนายเหลิ่งไปด้วย

กระทั่งเจี่ยนอี๋นั่วเดินถึงบันได กำลังจะกลับห้อง ก็เห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังเดินเข้ามา เหลิ่งหมิงอันเหมือนไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา มุมปากโดนชกเหมือนเป็นแผล ใต้ตาเหมือนมีรอยช้ำ

สุยเฉิงจิ้งเห็นสภาพของเหลิ่งหมิงอันร้องไห้รีบวิ่งไปหา “ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ บาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ? นี่โดนใครทำร้ายมากันแน่? ใครกันช่างกล้าขนาดนี้ ถึงกล้าลงมือทำร้ายคุณ?”

เหลิ่งหมิงอันปัดมือสุยเฉิงจิ้งทิ้ง เงยหน้ามองไปทางบันไดตรงที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เป็นเพราะว่าช่วงนี้ผมกำลังตามจีบหญิงที่มีครอบครัวแล้วครับ แล้วก็โดนสามีของผู้หญิงคนนั้นต่อยไปไม่กี่หมัดเท่านั้นเองครับ

“แล้วมันคือใคร? มันน่านัก ไม่ยอมดูแลผู้หญิงของตัวเองดีๆ ยังกล้าดีมาทำร้ายลูกอีกนะ? ไม่เข้าท่าเลยสักนิด ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้เลยเหรอว่าลูกแค่เล่นๆ? ทำไมถึงไม่อธิบายให้สามีตัวเองเข้าใจชัดเจนนะ? แต่ลูกสามารถเล่นๆได้ ในอนาคตห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงไม่ได้เรื่องแบบนั้น แต่ต้องหาผู้หญิงที่บริสุทธิ์เป็นผู้ดีมีตระกูล” สุยเฉิงจิ่งไม่สนใจว่าลูกชายตัวเองจะทำอะไรที่ผิดศีลธรรม ปกป้องเพียงเหลิ่งหมิงเท่านั้น

สุยเฉิงจิ่งพูดจบ รู้สึกได้ว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังจองมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว สุยเฉิงจิ่งก็มองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:” โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีลูกให้ผู้ชายอย่างง่ายดาย ยิ่งเอาไม่ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสุยเฉิงจิ่งโยนพยายามประกาศสงครามกับเธอ เธอทำเพียงยิ้มพยักหน้าเล็กน้อยให้กับสุยเฉิงจิ่ง ก็เดินกลับเข้าห้องไป สุยเฉิงจิ่งก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าสุยเฉิงจิ่งจะพูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เคยสนใจ ไม่ว่าคำพูดนั้นจะพูดแทงใจดำขนาดไหน เจี่ยนอี๋นั่วก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน

สุยเฉิงจิ่งพึ่งรู้ว่า เจี่ยนอี๋นั่วพูดประชดตอบกลับมาสักสองสามคำก็คงดีกว่าที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจใยดีแบบนี้ ยังรู้สึกสบายใจกว่า ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจใยดีสุยเฉิงจิ่ง ทำให้ข้างในสุยเฉิงจิ่งมันอัดอั้นเหมือนลุกเป็นไฟและเธอทรมานใจมาก

“ผู้หญิงที่เหมือนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วร้ายกาจมาก เอาไม่ได้จริงๆ “ สุยเฉิงจิ่งเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว หันหลังแล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆหรี่ตาพูดขึ้นว่า: “ ถ้าอยากเด็ดดอกกุหลาบ ก็ต้องทนกับหนามของเธอก่อน เพียงแค่เด็ดเธอออก ซ่อนไว้ในห้อง เธอก็ไม่สามารถตำใครได้อีก

“โดนทำร้ายจนประสาทแล้วเหรอ?พูดอะไรอยู่เนี่ย? สุยเฉิงจิ่งฟังจบก็ไม่เข้าใจเหลิ่งหมิงอันกำลังพูดอะไรอยู่ คิ้วขมวดสงสัยมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน

เจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้อง ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา เธอไม่ค่อยชอบเหลิ่งหมิงอันที่ชอบก่อกวนวุ่นวายเธอตลอดตั้งแต่แรกแล้ว เหลิ่งหมิงอันชอบทำให้ชีวิตที่อยู่อย่างสงบของหล่อนยุ่งเหยิ่งวุ่นวาย ชอบทำให้เธอเจอแต่สถานการณ์ที่อึดอัด ยังชอบทำตัวไม่สุภาพต่อเธอ ตอนนี้มีคนที่จะสั่งสอนเหลิ่งหมิงอันแทนเธอ เสมือนเอาคืนแทนเธอ

รอยยิ้มบนหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มจนเหลิ่งเซ่าถิงกลับมา ยังไม่หยุดยิ้ม เหลิ่งเซ่าถิงกลับถึงห้อง เห็นใบหน้าอันมีความสุขของเจี่ยนอี๋นั่ว คิ้วขมวดถาม:” เป็นอะไร? อยู่ในห้องคนเดียว มีความสุขมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เปล่า เป็นเพราะว่า……” เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก เธอไม่ว่าจะอธิบายกับเหลิ่งเซ่าถิงยังไง เหตุผลที่เธอมีความสุขเป็นเพราะว่าเหลิ่งหมิงอันถูกทำร้าย ไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่สมควร

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ เก็บอาการแล้วเก็บอาการอีก ก็เก็บไม่อยู่พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “ เป็นเพราะว่าเหลิ่งหมิงอันโดนทำร้าย ไม่รู้โดนใครทำร้ายมา จัดการศัตรูให้จริงๆเลยนะเนี่ย คุณไม่รู้สภาพเขาน่าเวทนาขนาดไหน ยังพูดว่าไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีครอบครัวจึงถูกทำร้าย ผู้ชายอย่างเขาหลงระเริงเหมือนนกยูงตัวผู้พึ่งจะโดนทำร้ายตอนนี้ ถือว่าคนอื่นใจกว้างต่อเขามากๆแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังพูดต่อเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มมุมปากเบาๆ แสดงรอยยิ้มจางๆ แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม: “นกยูงตัวผู้?”

“อืม! “ เจี่ยนอี๋นั่วกินของว่างที่วางอยู่ข้างๆตัวเองพยักหน้าแรงๆ: “คุณไม่คิดว่าเขาเหมือนคนที่ทำตัวเว่อร์เกินไปเปิดรับผู้หญิงทั้งหมดเหมือนนกยูงตัวผู้ล่ะ? เหมือนเขาทำดีกับผู้หญิงหน่อยเดียว ผู้หญิงก็ต้องชอบเขาอย่างนั้น เจ้าเล่ห์และหลงตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำตัวน่ารำคาญแค่ไหน หึหึ ยังคิดว่าตัวเองมีคนหลงมากมาย!”

“ ฮ่าๆ……” เหลิ่งเซ่าถิงเก็บอาการไม่อยู่หัวเราะออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงหัวเราะของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่เชื่อหูตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะต่อหน้าหล่อน? เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักใช้สายตาแอบเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง ใช้แรงกลืนของว่างลงคอ ค่อยๆระวังถาม:” คือว่า ฉันพูดได้น่าหัวเราะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลัง รอยยิ้มบนมุมปากไม่สามารถปกปิดได้ มองเจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆพูดว่า: “ มีผู้หญิงมากมายที่ชอบผู้ชายอย่างเหลิ่งหมิงอัน น่าสนใจ ปลอบผู้หญิงเก่ง แต่คุณแปลกมาก ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยกับเล่ห์เหลี่ยมของเขา

“เขาไม่ใช่ผู้ชายในสเปคของฉัน ฉันชอบ…..” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงประโยคนี้ รีบปิดปากหยุดพูดต่อทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว เลิกยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ คุณชอบอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก จากนั้นยิ้มออกมา: “ ฉันชอบผู้ชายประเภทที่อ่อนโยนและใจดี ที่ไม่หยิ่งผยองหลงตัวเองหรือหลงใหล ไม่เฉยเมยเย็นชา ไม่บังอาจ ทั้งไม่เย็นชาและกัดไม่ปล่อย ไม่ใช่ผู้ชายภูเขา และไม่ใช่ผู้ชายนกยูง ก็คือผู้ชายคบแล้วสบายใจและอ่อนโยน ทุกอย่างเป็นไปอย่างพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป

เหลิ่งเซ่าถิงได้ฟังคำอธิบายของเจี่ยนอี๋นั่ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ความชอบของคุณเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เธอไม่เข้าใจเหลิ่งเซ่าถิงเลย เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย เจี่ยนอี๋นั่วแอบๆเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วห่มผ้า เธอค่อยๆจับชุดทารกน้อยที่คุณนายเหลิ่งมอบให้ คิดไปต่างๆนาๆถ้าลูกในท้องของเธอสวมใส่ชุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

กำลังจะเข้านอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วดูโทรศัพท์ สายเรียกเข้าคือคุณพยาบาลโทรมาจากโรงพยาบาล เธอก็รีบรับสายทันที: “ฮาโหล สวัสดีค่ะ โทรมาตอนดึกมีอะไรหรือเปล่าคะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อหรือเปล่าคะ?”

“สวัดีคะคุณเจี่ยน ฉันมีข่าวดีจะบอกคุณค่ะ คุณเจี่ยนฟื้นแล้วค่ะ ” น้ำเสียงปลายสายจากพยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและดีใจ

“อะไรนะ?” เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้น รีบร้อนเดินไปถึงหน้าประตูห้อง:“ ฉันจะเดินทางไปเดี๋ยวนี้ พวกคุณรอฉันด้วยคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังเตรียมจะวิ่งออกจากห้อง แขนของเธอโดนเหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงจ้อง

มองเจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดถามด้วยความสงสัย: “เกิดอะไรขึ้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วด้านหนึ่งดันมือเหลิ่งเซ่าถิงออก อีกด้านหนึ่งสำลักพร้อมพูดว่า:“คุณพ่อของฉันท่านฟื้นแล้ว ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันต้องการรู้อาการของท่านหลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นมา คุณปล่อยฉัน ให้ฉันไปเดี๋ยวนี้”

“จะไปก็ควรใส่เสื้อผ้าและรองเท้า จากนั้นให้คนขับรถส่งคุณไป” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ จูงมือเจี่ยนอี๋นั่วไปถึงห้องแต่งตัว เอาเสื้อโยนไปที่ร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว

“นี่เป็นชุดที่ค่อนข้างโปรงใหญ่ คุณใส่แล้วมันทำให้ดูไม่ออกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ คุณเปลี่ยนชุดก่อน ผมจะโทรบอกคนขับรถ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วก็รับหันหลังไปโทรศัพท์

ณ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มมีสติมากขึ้น เธอก้มมองเท้าเปล่าและชุดนอนที่ใส่ไว้บนตัว เธอรู้ว่าสภาพแบบนี้ของเธอมันไม่เหมาะที่จะออกไปจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วรีบเปลี่ยนชุดที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดเตรียมไว้ให้ สวมใส่รองเท้าเสร็จก็รีบวิ่งลงไป ถอนหายออกมาด้วยความโล่งอก

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งนึกขึ้นได้ เมื่อกี้เธอรีบร้อนวิ่งออกมา เหมือนจะลืมกล่าวคำขอบคุณกับเหลิ่งเซ่าถิง ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหลิ่งเซ่าถิงในความคิดเธอแวบขึ้นมาแปบหนึ่ง ณ เวลานี้ในสมองของเธอเต็มไปด้วยเรื่องของคุณพ่อ

เจี่ยนอี๋นั่วดีใจมากที่คุณพ่อของตนเองฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ก็กังวลมากเมื่อหล่อนปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าคุณพ่อ จะทำให้คุณพ่อท่านผิดหวังไหม อารมณ์ที่ทั้งวิตกและกระวนกระวาย ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ถึงโรงพยาบาลที่คุณพ่อรักษาตัวอยู่ เธอรีบเดินเข้าไปในโรงพยาบาล กั้นลิฟต์ที่กำลังจะปิดแล้วรีบเดินเข้าไป

เมื่อเดินเข้าลิฟต์ไปนั้น เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที ในลิฟต์นั้นมีฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซาน ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าลิฟต์นั้น ฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซานรีบมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเหลือบมองที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือบังตรงท้องของตัวเองอย่างคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กำลังจะเดินออกจากลิฟต์ เป็นเพราะว่าเจี่ยนอี๋นั่วอยากเจอหน้าคุณพ่อของตัวเองมาก แต่ว่าเธอก็ไม่อยากอยู่ในห้องแคบ ๆกับฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซานแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจะก้าวออกจากลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดแล้ว

“เจี่ยนอี๋นั่วนี่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่จริงๆเหรอเนี่ย ไร้ซึ่งยางอายสิ้นดี!” เฉิงซางซางจ้องมองที่ท้อง ที่นูนขึ้นมาของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอพูดแสดงท่าทางอย่างเกลียดชัง

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะใส่ชุดหลวมใหญ่ขนาดไหนเพื่อปกปิดไม่ให้เห็นท้อง แต่ว่าเฉิงซางซางก็ตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้ เธอก็ดูออกได้ทันทีว่าที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่วนูนออกมานั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วอีกอย่างอายุครรภ์ก็หลายเดือนแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วดูสถานการณ์แล้วไม่สามารถออกจากลิฟต์ได้ ก็กุมท้องของตัวเองแล้วยืนตรงมุมลิฟต์ กดไปชั้นที่คุณพ่อนอนรักษาตัวอยู่ ตอนนี้เธอมีความรู้สึกของการที่จะได้เป็นแม่คนแล้ว เพื่อไม่ให้ลูกน้อยในท้องของตัวเองได้รับอันตราย เธอก็ยอมที่จะอดทนไว้ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับเฉิงซางซาง ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่โต้ตอบใดๆ ทำเพียงมองไปด้านหน้า จ้องไปที่ประตูลิฟต์

แต่ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ตอบสนองต่อการยั่วยุและการดูถูกของเฉิงซางซาง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาที่เย็นชาจ้องมองมาที่ท้องของเธอตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองท้องของเธอนั้นไม่ใช่เฉิงซางซาง หล่อนค่อยๆเอียงหัวไปเล็กน้อยแล้วเห็นสายตาของฉู่หมิงเซวียนกำลังจ้องมองท้องของเธอพอดี

เจี่ยนอี๋นั่วอาศัยอยู่กับฉู่หมิงเซวียนก็หลายปีแล้ว เธอเคยเห็นความร้ายกาจของฉู่หมิงเซวียน แต่ว่าไม่เคยเห็นสายตาอาฆาตของฉู่หมิงเซวียน สายตานั้นเหมือนมีดปลายแหลมที่แหลมคม ราวกับว่าฉู่หมิงเซวียนจะควักลูกของเธอออกมา

ถึงแม้ว่าเฉิงซางซางพูดจายั่วยุดูถูก แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าสายตาของฉู่หมิงเซวียนที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ กลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเกรงกลัวจนตัวสั่น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง ก้าวไปถึงมุมภายในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วรีบออกไปอย่างเร็ว

“หมิงเซวียน เธอตั้งครรภ์แล้วจริงๆ ไม่มียางอายจริง ๆ !” เฉิงซางซางจ้องตามเจี่ยนอี๋นั่ว ทนไม่ไหวที่ร้องตะโกนออกมา

“ใช่สิ เจี่ยนอี๋นั่วตั้งครรภ์แล้วนะ ดูสิอายุครรภ์พอๆกันกับของเธอเลย ไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะคลอดลูกชายออกมาก่อน หรือว่าเธอจะคลอดลูกชายให้ฉันก่อนนะ ไปกันเถอะ พวกเราไปเยี่ยมคุณเจี่ยนกันก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาอายุยืนจริงๆเลยนะ นี่ขนาดเป็นอัมพาตแล้วนะ ยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้!” ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะในขณะที่พูดกับเฉิงซางซาง

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพร้อมเดินออกจากลิฟต์ สายตาจ้องมองฉู่หมิงเซวียนเดินออกจากลิฟต์ เฉิงซางซางก็หรี่ตาทันที กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ :“ เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่มีวันปล่อยให้หล่อนคลอดลูกคนนี้ออกมา”

เฉิงซางซางพูดเสร็จก็รีบเดินตามหลังฉู่หมิงเซวียนไป เจี่ยนอี๋นั่วรีบเร่งเดินไปที่ห้องคนไข้ห้องของเจี่ยนฉางรุ่น แต่ก็ไม่มีโอกาสพบหน้าเจี่ยนฉางรุ่น เพราะเจี่ยนฉางรุ่นถูกส่งตัวไปตรวจร่างกายแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดรอไปสักพัก ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซางซางเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“พวกคุณต้องการคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพร้อมพูดว่า:“แน่นอนว่าต้องมาเยี่ยมคุณลุงนะสิ ฉันอยากรู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อก่อนฉันได้ยินมาว่ามีโอกาสน้อยมากที่เขาจะฟื้นขึ้นมา หรือเป็นเพราะดังสำนวนที่ว่าเป็นคนดีมีอายุไม่ยืนยาว แต่คนเลวกลับมีอายุยืน? ทำให้เขาสามารถฟื้นคืนมา!”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองฉู่หมิงเซวียน เธอขยับริมฝีปาก สุดท้ายเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งกันก็อดทนและพยายามไม่โมโห หล่อนไม่อยากให้เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเกิดทะเลาะกับฉู่หมิงเซวียน เดี๋ยวมีผลกระทบกับทารกในครรภ์ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดหันหลังเดินจากไปทันที เดินไปหาเจี่ยนฉางรุ่นที่แผนกตรวจร่างกาย

เพราะว่าแผนกตรวจร่างกายอยู่ชั้นล่าง เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังจะเดินลงบันไดไป พึ่งจะเดินถึงหน้าบันได เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินน้ำเสียงที่แปลก ๆ กำลังเรียกชื่อเธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบจับราวบันได คิ้วขมวดหันหลังกลับไป แต่ยังไม่ทันมองชัดเจนคนที่เรียกชื่อเธอนั้นเป็นใคร เธอก็โดนคนผลักอย่างแรง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเร่งจับราวบันได แต่ก็ไม่สามารถประคองตัวได้ หล่อนล้มไปประมาณสองสามก้าว ขาก้าวผิดก็กลิ้งลงบันได ทันใดนั้นในสมองของเจี่ยนอี๋นั่วคิดเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือต้องรักษาลูกในครรภ์ของเธอไว้ให้ได้ เธอพยายามขดตัว ใช้มือกุมท้องของตัวเองไว้ แต่ว่าเมื่อเธอกลิ้งลงถึงด้านล่างบันได ท้องของเธอได้รับแรงกระแทกอย่างแรง ทำให้เธอปวดท้องอย่างรุนแรง

“โอ๊ย……ลูกของฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องตัวเองไปด้วย พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบนไปด้วย แม้ว่าจะมีไฟ แต่ไฟตรงบันไดค่อนข้างสลัว เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นไม่ชัดว่าคนที่เรียกเธอนั่นก็คือเฉิงซางซาง น้ำเสียงที่แปลกประหลาดเมื่อกี้นี้ เป็นเพราะว่าเฉิงซางซางจงใจดัดเสียง จึงทำให้หล่อนฟังไม่ออกคนที่เรียกชื่อเธอที่แท้คือเฉิงซางซาง

เฉิงซางซางรีบเร่งเดินถอยหลัง แล้วเดินหายไปจากแถวบันไดทันที เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องอย่างเจ็บปวดพร้อมพยุงตัวเองลุกขึ้น ท้องของเธอเจ็บปวดจนราวกับว่ามีคนเอามีดมากรีดเนื้อของเธอ และบนร่างกายเริ่มมีเลือดไหลออกมา เจี่ยนอี๋นั่วพิงอยู่ที่มุมกำแพง ก้มแล้วเหลือบมอง ก็สังเกตเห็นเสื้อผ้าของเธอเต็มไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ

“ลูกของฉัน……ช่วยด้วย……ช่วยลูกของฉันด้วย……” เจี่ยนอี๋นั่วพยุงท้องของตัวเอง ใช้ฟันกัดที่ริมฝีปาก พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

แต่ว่าบันไดฝั่งนี้ค่อนข้างเงียบห่างไกลผู้คน เจี่ยนอี้นั่วไม่มีแรงพอที่เปล่งเสียงออกมาขอความช่วยเหลือ ในขณะที่หล่อนกลิ้งตกลงบันได มือถือของเธอตกอยู่กลางทาง เธอร้องขอความช่วยเหลือสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันที่จะรอคนมาช่วย เจี่ยนอี๋นั่วพยายามหลับตาแปบหนึ่ง เธอจะรอช้าไม่ได้ ถ้าหากยังล่าช้าต่อไป เธอและลูกน้อยอาจจะไม่รอด

ลูกของเธอน่าจะเป็นลูกสาว มีผิวขาวที่นุ่มเนียนและมีน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาที่สุด ยังสามารถยื่นมือเล็ก ๆที่อ้วนออกแล้วเรียก “แม่คะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วตั้งใจปกป้องลูกของตัวเอง และไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้น! เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้ถึงนี่ ก็ฝืนความเจ็บปวด ค่อย ๆจับที่กำแพงผยุงตัวเองนั่ง ในขณะที่เธอกำลังจะนั่งลงนั้น เธอรู้สึกเลือดของเธอไหลออกมาเยอะกว่าเดิม

ลูกจ๋า อดทนอีกนิดนะ อย่าทิ้งแม่ไป แม่พึ่งจะรู้จักกับคำว่าแม่คน แม่ยังไม่ทันตั้งชื่อให้หนูเลย หนูอยากจากแม่ไปนะ! แม่ขอร้องล่ะ อยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน! แม่ยังไม่ทันตั้งชื่อให้หนู ขอร้องอย่าจากแม่ไป!

เจี่ยนอี๋นั่วเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว แต่ว่าก็ยังกัดฟันสู้ ค่อย ๆ ขยับตัวเองลุกขึ้น ในระหว่างที่ขยับตัว เดิมทีระยะห่างบันไดถือว่าไม่ไกลมากนัก แต่สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรู้สึกมันห่างไกลแสนไกล เธอมองไปที่แสงสว่างที่ด้านบนสุดของบันได หลังจากที่เธอกัดฟันพร้อมขยับตัว ท้องของเธอปวดรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าเธออาจจะไม่สามารถเก็บเด็กคนนี้ไว้ แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ใช้แรงที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายปีนขึ้นไปด้านบน เธอเพียงแต่พยายามขยับอีกนิด ลูกของเธอก็มีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น

เหลืออีกแค่ห้าขั้นบันไดแล้ว……สี่ขั้น……สามขั้น……สองขั้น……

ในที่สุดนิ้วมือของเจี่ยนอี๋นั่วก็สัมผัสกับแสงสว่างทางเดินของโรงพยาบาล เธอตะโกนเบา ๆ ด้วยกำลังทั้งหมดของเธอ:“ช่วยด้วยค่ะ……ช่วยลูกของฉันด้วยค่ะ……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนคำนั้นออกมาแล้ว ก็สลบไปในทันที ในขณะที่เจี๋ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมานั้น เธอสะลึมสะลือรู้สึกว่ามีคนกำลังเดินมาทางเธอ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามมองดูว่าใครกำลังเดินมา แต่เธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าพร้อมหลับตาลง

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังหลับไปในความฝัน ในความฝันที่มันมืดสนิท ท่ามกลางในความมืดนั้นเธอเห็นแสงสว่างนิดๆ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะเดินตามแสงนั้นไป จากนั้นแสงสว่างก็กลายเป็นห้องห้องหนึ่ง มือของเจี่ยนอี๋นั่ววางอยู่บนประตู มือค่อยๆขยับลูกบิด ใจเธอเต้นแรงมาก เหมือนราวกับว่ามีอะไรกำลังเฝ้าคอยเธออยู่

ประตูห้องถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้อง ห้องที่ว่างเปล่ามีเพียงแค่เปลนอนตั้งอยู่ ในเปลนอนมีเด็กน้อยคนหนึ่ง ทารกน้อยสวมใส่ชุดสีชมพู แววตาของทารกน้อยนั้นเหมือนองุ่นสีดำ มีผิวที่นุ่มนวล ในขณะที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปใกล้นั้น ทารกน้อยก็ยื่นมือออกมา น้ำเสียงที่ไร้เดียงสาร้องเรียกเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“แม่คะ……อุ้ม………”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตัวเองคลอดลูกออกมาตั้งแต่ตอนไหน ทันทีที่เห็นเด็กคนนี้ ก็รู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วเร่งรีบเดินไปหา แต่ว่าทันทีที่เธอสัมผัสทารกน้อยนั้น กลับสัมผัสเจอแต่ความว่างเปล่า เด็กน้อยหายไปทันที เหลือไว้เพียงเปลนอนอันว่างเปล่า

“ไม่นะ ลูกของฉันล่ะ?ลูกของฉัน……”เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ตะโกนออกมา

หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายไปหมด เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง

“ลูกของฉัน……”ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา พี่งรู้ตัวว่าเธอนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงคนไข้ เรื่องราวเมื่อกี้นั้นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอันน่ากลัว เธอรีบร้อนยกมือไปกุมที่ท้องของตัวเอง จากนั้นเธอร้อนรนเบิกตากว้าง ค่อยๆก้มหัวลง สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนท้องของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วกระวนกระวายรีบลูบไล้ท้องของตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง

เจี่ยนอี๋นั่วกุมหน้าท้องแบนราบแล้วร้องไห้พร้อมพูดว่า "แม่ …… ท้องของฉัน …… เด็กที่อยู่ในท้องของฉันล่ะ?มีใครอยู่ไหมคะ เด็กที่อยู่ในท้องฉันไม่มีอีกแล้ว มีใครอยู่ไหมคะ? รีบเอาลูกของดิฉันคือมา!”

เวลานี้พยาบาลเดินเข้ามาจากนอกห้อง เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังกุมท้องของตัวเองอยู่ รีบตอบกลับ:“ คุณฟื้นแล้วเหรอคะ ถือว่าคุณโชคดีมากๆเลยนะคะ เจอสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้แต่มดลูกของคุณกลับไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงใดๆเลย คุณรู้ไหมคะ?คุณเกือบจะได้ตัดมดลูกทิ้ง แต่โชคยังดีที่สามีของคุณมาได้ทันเวลา เขาจึงเลือกตัดสินใจเอาเด็กออกค่ะ”

“อะไรนะ?สามีใคร?ลูกของฉันล่ะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองไปทางพยาบาล ร้องไห้พร้อมถาม

พยาบาลหน้าแดงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“สามีของคุณเป็นผู้ชายหล่อมากๆคะ ฉันยังไม่เคยพบเคยเจอคนไหนที่หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ คุณมีสามีที่หล่อเหลา ใส่ใจดูแลคุณ ถึงแม้ตอนนี้จะเสียลูกไปแต่ก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ เพราะรอร่างกายของคุณกลับมาแข็งแรงเมื่อไหร่ คุณยังสามารถมีลูกได้อีกค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตาขึ้น จ้องมองพยาบาล ถามด้วยน้ำเสียงแหบว่า:“ลูกของฉันเสียแล้ว?”

พยาบาลพยักหน้าตอบรับพร้อมหน้าตาที่หดหู่ พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“ใช่ค่ะ ในขณะนั้นคุณเสียเลือดมาก ทำให้คุณแท้งแล้วค่ะ ทางเลือกเดียวคือต้องเอาเด็กออกค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือกุมที่ท้องของตัวเอง ร้องไห้พร้อมใส่หัว:“ไม่ พวกคุณจะได้ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เขาเป็นลูกของฉัน พวกคุณมีสิทธิ์อะไรทำไมถึงตัดสินใจฆ่าเธอ”

“ผมเป็นคนตัดสินใจเอง”ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้ามา

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าใจทำไมพยาบาลจึงเอ่ยถึงสามีแล้ว ที่แท้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่หน้าห้องคนไข้ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง :“คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง?คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจเอาลูกออก?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังเหลือบไปมองพยาบาลคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณออกไปก่อนเถอะครับ”

ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาต่อพยาบาลคนนั้น แต่ว่าเมื่อพยาบาลสาวพบหน้าเหลิ่งเซ่าถิงถึงกับหน้าแดงทันที จากนั้นเธอก็รีบเดินออกไปจากห้องคนไข้ทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วที่ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตา คิ้วขมวด:“ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรออย่าร้องไห้ต่อหน้าผมอีก?”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือปาดน้ำตาบนใบหน้า รีบร้อนพูดว่า:“ฉันไม่ร้อง ฉันไม่ร้องแล้ว ฉันขอร้องคุณ ได้โปรดบอกฉันเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับลูกของฉันกันแน่”

“ลูกของคุณ……”เหลิ่งเซ่าถิงพูดได้แค่นี้ค่อยๆหยุด จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ลูกของคุณ เขาตายแล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักอึ้งไปในทันที เธอแทบหยุดหายใจและสั่นไปทั้งตัว

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เมื่อคืนหลังจากที่คุณออกไป คุณย่าเป็นห่วงคุณมาก ท่านก็สั่งให้ผมตามคุณมาด้วย พอผมถึงโรงพยาบาล ก็พบว่าคุณสลบอยู่ตรงบันได จากนั้นก็เรียกคุณหมอ ถ้าหากปล่อยไว้นานเกินไป ร่างกายของคุณก็อาจจะได้รับอันตรายมากกว่านี้ ถึงแม้ฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ก็หยุดพูดทันที ค่อยๆหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ถึงผมจะรู้สึกเบื่อคุณ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะใจไม้ไส้ระกำ เห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ตอนนี้ผมคือสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ดังนั้นการผ่าตัดในครั้งนี้ ผมจึงสามารถตัดสินใจแทนคุณได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าร้องไห้พูดขึ้นว่า:“ฉันไม่เชื่อ ลูกของฉันยังมีชีวิตอยู่……คุณตั้งใจให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยชอบเด็ก คุณไม่พร้อมที่จะมีลูก ตอนนี้ลูกตายแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงสาสมแก่ใจคุณหรือยังคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจียนอี๋นั่วอย่างเย็นชา:“ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการมีลูก แต่ว่านั้นมันก็คือสายเลือดของฉัน ฉันไม่โหดร้ายพอที่จะใช้วิธีนี้ทำให้เขาจากไป คุณกลับไปคิดทบทวนดีๆจะดีกว่า ว่าใครกันแน่ที่ทำร้ายคุณ ที่คุณกลิ้งตกจากบันได ปกติคุณเป็นคนที่ระมัดระวังมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีคนจงใจที่จะผลักคุณ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะกลิ้งตกลงจากบันไดเอง เด็กคนนี้เป็นสายเลือดตระกูลเหลิ่ง ผมเป็นคนกำหนดเองว่าเขาจะอยู่หรือจะไป ผมยังไม่ได้ลงมือกำจัดเขาด้วยมือของผมเลย ถ้าหากมีคนนอกคนไหนกล้าทำร้ายเขา ผมไม่มีวันปล่อยคนๆนั้นไปแน่”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากจนแน่นพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ: คิดออกแล้ว เงาที่อยู่ในมุมสลัวๆนั้น คนที่ปองร้ายฉัน?คือเฉิงซานซาน?”

“เฉิงซานซาน คนรักของฉู่เหมิงเซวียน?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น รีบเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง :“คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

“เวลานี้คุณคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม ผมจะไม่รู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณได้อย่างไรกัน ?”เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้น:“เรื่องนี้ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมจะทำให้มันได้ชดใช้ ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันจะไปด้วย ฉันจะถามกับเธอว่า เธอก็จะเป็นแม่คนแล้ว เธอทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้ ฆ่าลูกของฉันได้ลงคอ!”

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะลงจากเตียง ทันใดนั้นขาอ่อนหมดแรงล้มลงไป

เหลิ่งเซ่าถิงรีบเอามือไปพยุงเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ตอนนี้ร่างกายของคุณต้องการฟักฟื้นไม่เหมาะที่ขยับตัวมากนัก ตอนนี้คุณเอาเวลาไปคิดคำตอบดีกว่าว่าจะตอบคุณย่ายังไง?ตอนนี้ไม่มีลูกแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วหนังตาตก ขนตาขยับนิดๆเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรีบปล่อยมือทันที และไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วอีก

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องคนไข้ หันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขามองลงไปและมองไปที่เลือดที่เปื้อนบนมือของเขา เหตุการณ์นื้เขาใช้มือข้างนี้เซ็นชื่อของตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงเซ็นชื่อของตัวเองมาทั้งชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน เซ็นหนังสือสัญญาหลักหลายร้อยล้านก็เคยเซ็นมาแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย จนเหตุการณ์ในครั้งนี้แค่ลายเซ็นของเขาแค่ลายเซ็นเดียว มันเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตายของผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กน้อยอีกคนหนึ่ง ในขณะที่เขาเซ็นชื่อไปด้วยมือของเขาก็สั่นไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งเหม่อลอยอยู่เป็นเตียงคนไข้ ช่วงเวลาที่เธอตั้งครรภ์ยอยู่แสนยากลำบากมาก ไม่เพียงแต่นอนพักฟื้นขยับไม่ได้ยังไม่พอ ระยะเวลาที่ตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้อาเจียนหล่อนต้องทนทุกข์ทรมานกับผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ แล้วยังต้องรับประทานอาหารที่ไม่อร่อยสำหรับคนตั้งครรภ์โดยเฉพาะ เพื่อให้สัมผัสกับรังสีให้น้อยที่สุด แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่ค่อยได้ใช้ และแม้แต่โทรทัศน์ก็ไม่ค่อยได้ดู

ถึงแม้ว่าเธอ……จะพยายามมามากมายขนาดไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถเก็บลูกคนนี้ไว้ได้

“ถึงเวลาทำแผลใหม่แล้วค่ะ ”พยาบาลเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพร้อมพูดกับพยาบาลว่าด้วยน้ำเสียงเบา :“ฉันอยากเจอลูกของฉัน”

พยาบาลคิ้วขมวด ตอบอย่างลำบากใจ:“คุณผู้หญิงคะ เวลานี้สภาพจิตใจของคุณยังไม่ปกติ คงยังไม่เหมาะที่จะไปดูเด็กคนนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วตาแดงจ้องมองไปที่พยาบาลคนนั้น:“ฉันอยากเห็นสภาพของเด็กคนนั้น เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”

“ถ้าอย่างนั้น ได้ค่ะ”พยาบาลหันหลังเดินออกไป จากนั้นคิ้วขมวดกลับมาถึงห้องคนไข้ หยิบขวดแก้วใบหนึ่งออกมา ในขวดแก้วนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด มีเด็กทารกน้อยที่นอนเสียชีวิตอยู่ในขวดแก้วนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือจับขวดแก้วใบนั้นอย่างเบาๆ เธอจ้องมองทารกน้อยที่อยู่ในขวดใบนั้น ทารกน้อยพัฒนาเป็นรูปร่างอย่างชัดเจน มีใบหน้ารูปร่างเป็นคนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือถาม:“เด็กคนนี้ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง สามารถมองออกหรือยังคะ?”

“เป็น……เด็กผู้หญิงคะ”พยาบาลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบา

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ออกมาทันที :“เด็กผู้หญิง?เธอเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆเหรอเนี่ย?ลูกของฉันเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสที่ขวดแก้วตลอดเวลา แต่ว่าสัมผัสได้แต่ความหนาวเย็น ลูกน้อยของเธอทำไมต้องมานอนหลับอยู่ในที่ที่เย็นขนาดนี้?ลูกน้อยของเธอควรนอนอยู่ในครรภ์ของหล่อนมิใช่หรือ หัวใจยังคงเต้นแรง บางครั้งยังขยับไปมาในท้อง ลูกน้อยของเธอควรจะค่อยๆเติบโตขึ้น รอเวลาที่ถึงกำหนดคลอด ก็ได้พบหน้ากัน

“ขอโทษ……”เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือโอบกอดขวดใบนั้น พูดซ้ำๆว่า:“ขอโทษ……ที่แม่ไม่สามารถปกป้องลูกได้……”

แต่คนที่ทำร้ายหนู มันจะได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม!

เฉิงซานซานเทน้ำร้อนให้ตัวเองอย่างร้อนรน เธอถือแก้วน้ำไว้จิบน้ำไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ตื่นตระหนกแล้วลุกขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เฉิงซานซานมองไปทางประตูด้วยอาการที่ตื่นตระหนกตกใจจนทำตัวไม่ถูก ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนเดินจากประตูเข้ามา เฉินซานซานรีบหลบทันที สำลักพร้อมพูดขึ้นว่า:“หมิงเซวียน คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ฉันคิดว่าคุณจะอยู่โรงพยาบาลนานกว่านี้สักอีก”

ฉู่หมิงเซวียนยิ้มและจับที่ไหล่ของเฉินซานซาน พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่เจอเจี่ยนฉางรุ่น ผมจะรอต่ออีกไปทำไม?คุณนั่นแหละ ทำไมถึงรีบร้อนกลับมา ผมเดินหาคุณไปทั่วแต่ก็หาไม่เจอ!”

เฉินซานซานรีบคิ้วขมวด ตื่นตระหนกพร้อมพยักหน้าตอบกลับ :“ฉัน ฉันมีธุระด่วนเลยรีบกลับมาก่อนค่ะ……”

“โอ้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่คุณไม่ได้เห็นเรื่องราวดีๆ ”ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเยาะ:“คุณรู้อะไรไหม?ลูกของเจี่ยนอั่วเสียชีวิตแล้ว……”

เฉินซานซานคิ้วขมวดจ้องมองฉู่หมิงเซวียน ในที่สุดใบหน้าก็แสดงออกด้วยความประหลาดใจและดีใจ:“อะไรนะ?ลูกของเจี่ยนอี๋นั่วเสียแล้วเหรอคะ?”

“เสียแล้วจริงๆ。”ฉู่หมิงเซวียนตอบกลับ

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันมองไปทางเฉินซานซานพร้อมค่อยๆหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ทำไมคุณถึงต้องประหลาดใจและดีใจขนาดนั้นด้วย?”

เฉินซานซานขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเดินถอยหลังหนึ่งก้าว:“ฉัน ฉันดูดีใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้า เอื้อมมือไปจับที่คางของเฉินซานซานหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ท่าทางไม่เพียงแต่ประหลาดใจและดีใจเท่านั้น แต่คุณยังตื่นตระหนกอีกด้วย คุณไปทำอะไรมาหรือเปล่า?”

เฉินซานซานกัดที่ริมฝีปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ:“หมิงเซวียน ณ เวลานี้คุณเหลือแค่ฉันแล้ว และในตอนนี้ลูกในท้องของฉันก็คือสายเลือดเดียวที่เหลืออยู่ของคุณ คุณต้องปกป้องฉันจริงไหม?คุณไม่อยากให้ลูกของเราเกิดในคุกใช่ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตาเหลือบมองเฉินซานซานพูดขึ้นว่า:“ก็ต้องดูว่าคุณไปทำอะไรมา ทางที่ดีคุณควรเล่าเรื่องทั้งหมดในสิ่งที่คุณทำลงไปให้ผมฟัง ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็ไม่สามารถปกป้องคุณได้”

เฉินซานซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยท่าทางตื่นตระหนกและเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ:“ฉัน……ฉัน……ฉันเป็นคนทำเอง ฉันเป็นคนผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันไดเอง ฉันได้ยินมาว่าเธอมีลูกกับคุณ ฉันจะทนรับได้อย่างไร?ฉันต้องการให้เธอหายสาบสูญไปพร้อมกับลูกในท้อง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ฉันต้องการให้ลูกของเธอตาย ต้องทำแบบนี้ลูกของฉันจะได้เป็นลูกของคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด?ถ้าจะโทษมันก็ต้องโทษเจี่ยนอี๋นั่วคนเดียวที่ทำตัวไม่เหมาะสม ทั้งๆที่เธอไม่ได้รักคุณ แล้วทำไมต้องมีความสัมพันธ์กับคุณด้วยล่ะ?หล่อนมีลูกกับคุณ ก็ต้องมาบีบบังคับคุณ ยุ่งกับคุณไม่เลิก ฉันทำเพื่อคุณนะคะ?ดังนั้น……ก็เลยผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันได”

ใบหน้าของฉู่หมิงเซวียนยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นหรี่ตามองไปด้านเฉินซานซานพูดขึ้นว่า

:“คุณผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันได?ทำให้ลูกของเธอเสียชีวิต?ถึงว่าล่ะหลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินจากไป คุณก็เดินตามหลังออกไปไปทันที”

เฉินซานซานตื่นตระหนกตกใจพร้อมกับพยักหน้า:“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนลงมือเอง”

“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะ?”ฉู่หมิงเซวียนแอบยิ้มด้วยความสะใจไปด้วย พร้อมขมวดคิ้วโทษเฉินซานซานที่ทำแบบนั้นไปด้วย:“ฉันแค่เพียงสงสัยเด็กคนนั้นคือลูกของฉัน คุณไม่กลัวติดคุกเหรอ?คุณเป็นแบบนี้ผมรู้สึกเป็นห่วงคุณมากจริงๆ”

เฉินซานซานรีบคว้าแขนของฉู่หมิงเซวียน อาการที่ตื่นตระหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน:“ถ้าอย่างงั้น ควรจะทำยังไงต่อไปดี?ฉันเป็นผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ พวกเขาจะมาจับฉันไหมคะ อย่าให้ลูกของเราต้องเกิดในคุกในตารางนะคะ!”

ฉู่หมิงเซวียนถอนหายใจออกมา:“แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ?หล่อนไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ใจกว้างขนาดนั้น คุณทำร้ายเธอจนเธอแท้งลูก หล่อนต้องเอาคืนคุณให้ถึงตายแน่ๆ”

“หล่อนอาจจะมองไม่เห็นฉัน!ฉันอยู่หลบอยู่ในที่มืดแล้วยังแกล้งดัดเสียง ฉัน……”เฉินซานซานพูดด้วยท่าท่างที่ตื่นตระหนก

แต่ว่าเฉินซานซานยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกฉู่หมิงเซวียนตัดบท ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า:“คุณกล้ายืนยันไหมว่าเธอไม่ได้เห็นหน้าของคุณ?เธอฉลาดขนาดนั้น แค่เงาของคุณก็สามารถดูออกแล้ว จากนั้นก็จะค้นหาหลักฐานอย่างจริงจัง ในโรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิดมากมาย คุณจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่มีกล้องวงจรปิดจับภาพคุณไว้ได้ล่ะ?คุณทำไมถึงโง่แบบนี้?ทำไมต้องลงมือทำเรื่องนี้ในโรงพยาบาลด้วยล่ะ?มันไม่สามารถปกปิดไว้ได้หรอก”

เฉินซานซานคิ้วขมวดพร้อมพยักหน้า แต่ก็ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นเดิม“ถ้าอย่างงั้น ถ้าอย่างงั้นฉันควรทำยังไรดีล่ะ?หมิงเซวียนได้โปรดช่วยฉันด้วย ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะ ฉันจะถูกจับเข้าคุกไม่ได้นะ ฉันต้องทำคลอดในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ฉันยังต้องจัดงานเลี้ยงฉลองในวันที่ลูกเกิดมาลืมตาดูโลก ถ้าหากว่าฉันโดนจับติดคุก แล้วลูกของฉันจะทำอย่างไร?เวลานี้เขาเป็นลูกคนเดียวของคุณ ได้โปรดช่วยฉันได้เถอะ……”

“ฉันจะไม่ให้ความช่วยเหลือคุณได้อย่างไรกัน?”ฉู่หมิงเซวียนคิ้วขมวดเอื้อมมือสวมกอดเฉินซานซานพูดว่า:“ณ เวลานี้สิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้คือไปมอบตัวซะ ตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์ รวมไปถึงถ้าคุณเข้าไปมอบตัวเอง น่าจะโดนติดคุกแค่ไม่กี่ปี เมื่อถึงเวลานั้นผมค่อยหาทางมาช่วยคุณ คุณก็สามารถทำเรื่องเพื่อคลอดลูกในโรงพยาบาลได้ นอกจากนี้เรายังสามารถคลอดลูกของเราในโรงพยาบาลเอกชน และยังสามารถจัดงานเลี้ยงที่หรูหราใหญ่โตได้ รอคุณออกมา พวกเราก็แต่งงานกัน

เฉินซานซานร้องไห้ออกมาทันที:“ไม่ ไม่ ฉันไม่อยากติดคุก ฉันไม่อยากติดคุกจริงๆนะ……ทำไมฉันถึงผลักเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เป็นเพราะคุณพูดกับฉันว่าลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นลูกของคุณ?ตอนนี้คุณกลับมาพูดว่าลูกในท้องอาจจะไม่ใช่ลูกของคุณ เพื่อต้องการให้ฉันลงมือทำร้ายลูกของเจี่ยนอี๋นั่ว?

ตอนนี้คุณมาบอกให้ฉันเข้ามอบตัว ต้องการตัดความสัมพันธ์ระหว่างเราใช่ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือไปจับคางของเฉินซานซานขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า“ซานซาน คุณอย่าโง่ไปหน่อยเลย ตอนนี้คุณมีเพียงผมคนเดียวที่ช่วยเหลือคุณได้ คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมเสียใจมากจริงๆ คุณจะให้ผมช่วยเหลือคุณอีกได้อย่างไง?

ผมคิดว่าลูกที่อยู่ในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นลูกของผมจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่แบบนี้ผมจะเป็นห่วงเป็นใยลูกของเจี่ยนอี๋นั่วทำไมล่ะ?เจี่ยนอี๋นั่วท้องลูกของใคร มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม การเข้ามอบตัวเป็นทางเลือกเดียวที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ หลังเข้ามอบตัวควรจะให้การยังไง คุณก็ควรรู้ อย่าคิดว่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะเป็นผลดีกับคุณ ถ้าหากผมก็โดนจับ ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคุณได้อีกแล้ว”

“ฉัน……ฉัน……ฉันโดนปรับปรำ ……”เฉินซานซานทนไม่ไหวที่จะร้องไห้เสียงดังออกมากทันที:“ฉันโดนปรับปรำ ฉันแค่ผลักเธอเบาๆเอง เพราะอะไร……”

เฉินซานซานร้องไห้อยู่ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ให้เธอหยุดร้องไห้ เฉินซานซานสะดุ้งตกใจรีบไปหลบอยู่อ้อมอกของฉู่หมิงเซวียน:“นี่ นี่ใครคะ?”

ฉู่หมิงเซวียนตบหลังเฉินซานซานหรี่ตาพร้อมพูดว่า:“ตำรวจไม่น่าจะมาได้เร็วขนาดนี้?เป็นไปไม่ได้ที่เจี่ยนอี๋นั่วจะทำได้ขนาดนี้ ใครอยู่เบื้องหลังเธอกันแน่?”

“ตำรวจ?เป็นตำรวจจริงๆเหรอคะ?แล้วฉันควรทำอย่างไรดีคะ?”เฉินซานซานปิดปากพร้อมร้องไห้เสียงดังออกมา

ฉู่หมิงเซวียนรีบดึงไหล่ของเฉินซานซาน พร้อมพูดกับเฉินซานซานว่า:“เวลานี้คุณต้องใจเย็นๆ ข้อที่หนึ่งต้องยอมรับว่าคุณได้ผลักเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ข้อสองคุณต้องอธิบายว่าคุณจะเข้ามอบตัวตั้งแต่แรก ข้อสาม……และข้อสามต้องจำให้ดีอย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าหากผมโดนจับ ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้อีก

เฉินซานซานอาการตื่นตระหนกพร้อมพยักหน้า:“ค่ะ,ได้ค่ะ ฉันจะไม่ลากให้คุณมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ว่าคุณต้องช่วยฉันนะ ฉันเป็นผู้หญิงของคุณ ในท้องของฉันยังมีลูกของคุณอยู่ คุณจะทิ้งฉันไม่ได้นะ”

ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือสวมกอดเฉินซานซานพร้อมพูดว่า:“ผมจะทิ้งคุณได้อย่างไรกัน?คุณวางใจเถอะ ผมจะช่วยเหลือคุณให้ออกมาอย่างสุดความสามารถ”

มุมที่เฉินซานซานมองไม่เห็น ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆแสดงรอยยิ้มออกมา ในความเป็นจริงตอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้น ฉู่หมิงเซวียนเห็นเฉินซานซานเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไป ฉู่หมิงเซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเฉินซานซานต้องการจะทำอะไร ระยะนี้ฉู่หมิงเซวียนจะเป่าหูเฉินซานซานตลอดเวลา ทำให้เฉินซานซานรู้สึกว่าถ้าเธอไม่กำจัดลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเขาจะไม่สามรถแต่งงานกับเฉินซานซานได้ แล้วก็ไม่ยอมรับลูกในท้องของเฉินซานซานอีกด้วย

เมื่อสังเกตเห็นเฉินซานซานยังไม่กลับมา ฉู่หมิงเซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว ลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว ใครจะไปรู้ว่าเป็นลูกของผู้ชายคนไหน ในที่สุดก็กำจัดมันออกไปได้แล้ว

ฉู่หมิงเซวียนสืบบันทึกการผ่าตัดในโรงพยาบาลคร่าวๆ หลังจากที่ยืนยันชัดเจนลูกของเจี่ยนอี๋นั่วได้ตายจากไปแล้วจริงๆ ค่อยกลับมาหาเฉินซานซาน เขาต้องรับประกันได้ว่าเฉินซานซานไม่โง่พอที่จะลากเขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ผมไปเปิดประตูแล้วนะ อะไรที่ต้องเผชิญก็ควรต้องเผชิญ”ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆผลักเฉินซานซานออก แล้วจึงไปเปิดประตู

ด้านนอกประตูมีตำรวจสองนายยืนอยู่ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆไม่มีผิด ทันทีที่พวกเขาเห็นเฉินซานซานก็พูดว่า :“ใช่คุณเฉินซานซานไหมครับ?เชิญไปให้ปากคำกับพวกเราที่สถานีตำรวจหน่อยครับ”

เฉินซานซานหดตัวลง รีบถอยหลังไปหลบอยู่ด้านหลังฉู่หมิงเซวียนทันที ตื่นตระหนกตกใจพร้อมพูดว่า:“ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป……ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด……”

ฉู่หมิงเซวียนรีบดึงเฉินซานซานออกมาจากด้านหลังของตัวเองพร้อมพูดว่า:“ซานซานคุณอย่าดื้อสิ ไปพร้อมกับคุณตำรวจเถอะ ถ้าหากคุณดื้อไม่เชื่อฟัง ผมก็ไม่รู้จะช่วยเหลือคุณได้อย่างไร ผมจะรอและให้การช่วยเหลือคุณตลอดไป ถึงแม้ว่าคุณจะทำผิดพลาด แต่ว่าอย่าทำให้โอกาสครั้งสุดท้ายก็ไม่เหลือไว้ให้กับตัวเอง ”

“คุณต้องรอฉันใช่ไหม?”เฉินซานซานตื่นตระหนกกุมมือฉู่หมิงเซวียนไว้แน่น

ฉู่หมิงเซวียนหยิบแหวนในกระเป๋าออกมาหนึ่งวงแล้วสวมใส่ให้บนนิ้วมือของเฉินซานซาน ยิ้มและพยักหน้า :“อืม รอคุณออกมา พวกเราจะแต่งงานกัน!”

เฉินซานซานมองแหวนบนนิ้วมือของหล่อน ดีใจจนรีบพยักหน้า:“ได้ค่ะ ฉันจะดูแลลูกของเราอย่างดี รอฉันออกมา พวกเราก็จะแต่งงานกัน

เฉินซานซานพูดจบ แล้วจึงหันหลังมองไปทางด้านตำรวจทั้งสองนาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก:“ฉัน ฉันก็คือเฉินซานซาน พวกเราไปกันเถอะ”

เฉินซานซานพูดจบ จากนั้นหันหลังมองฉู่หมิงเซวียนอีกครั้ง แล้วหล่อนก็ค่อยๆเดินออกจากห้องไป

ฉู่หมิงเซวียนมองตามแล้วค่อยๆปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆแสดงออกมา เขาต้องขอบคุณที่เขาพบเจอผู้หญิงที่ทั้งโง่เขลาทั้งหลงใหลในลาภยศเงินทอง ผู้หญิงแบบนี้เป็นผู้หญิงที่ง่ายต่อการเป็นเครื่องมือหลอกใช้ สามารถควบคุมเธอได้ง่ายดายมาก ตอนนี้เฉินซานซานได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการทำทั้งหมด อีกทั้งยังไม่สามารถลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และนี่ทำให้ฉู่หมิงเซวียนเริ่มรู้สึกว่า ผู้หญิงที่โง่เขลาง่ายต่อการใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกใช้มากจริงๆ

ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดก็จัดการสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นกังวลคิดไม่ตก นั่นก็คือคนที่เซ็นชื่อให้กับเจี่ยนอี๋นั่วระหว่างที่ผ่าตัดอยู่นั้นเป็นใคร แล้วอีกอย่างคนที่ยืนด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่วนั่นใช่คนเดียวกันหรือไม่ อีกทั้งยังทำให้ตำรวจตามหาเฉินซานซานพบได้เร็วขนาดนี้

เป็นไปได้ไหมว่าคน ๆนั้นเป็นพ่อของลูกในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว?เป็นเหลิ่งเฉิงอวี่เหรอ?ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเขาก็ไม่สามารถหาตำตอบได้?

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ก็รีบกำหมัดแน่นคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ผมต้องสืบให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ผมไม่ยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในอ้อมกอดชายคนอื่นได้เร็วขนาดนี้แน่ เธอทรยศผมไม่ได้ และไปหลงรักผู้ชายคนอื่นไม่ได้ เธอจะมีลูกกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ !เธอจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ !ไม่ได้เด็ดขาด!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ได้กำหมัดแน่น ต่อยไปทางด้านกำแพง ฉู่หมิงเซวียนเกิดรอยแผลขึ้นมาทันที แต่ว่าฉู่หมิงเซวียนกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาหรี่ตาแล้วค่อยๆหัวเราะออกมาก เป็นครั้งแรกที่เขาพูดความรู้สึกความปรารถนาจากข้างในจิตใจออกมา:“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณเป็นของผม!”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินข่าวเฉินซานซานโดนตำรวจจับแล้ว ก็ปล่อยขวดแก้วในอ้อมกอด ค่อยๆวางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปลี่ยนชุดคนไข้ออกแล้วใส่ชุดของหล่อนเองแล้วเดินออกห้องคนไข้ เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆตื่นจากอาการโศกเศร้าจากการแท้งลูก ก็นึกถึงเรื่องราววันที่ได้ข่าวว่าคุณพ่อของหล่อนฟื้นขึ้นมาแล้วทันที

ถึงแม้ว่าหล่อนจะเจ็บปวดที่สูญเสียลูกไป แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้ เพราะว่าหล่อนยังต้องดูแลคุณพ่อ คุณพ่อของหล่อนพึ่งฟื้นขึ้นมา หล่อนยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องคุยกับคุณพ่อ

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากฝืนทนความเจ็บแล้วค่อยๆเดินไปทางห้องคนไข้ ห้องของเจี่ยนฉางยุ่น หล่อนเหมือนวิญญาณพเนจรและเหมือนร่างกายที่ไร้ชีวิต เป้าหมายเพื่อต้องการพบหน้าคุณพ่อให้เร็วกว่านี้ จึงค่อยๆขยับตัวอย่างยากลำบาก

เจี่ยนอี๋นั่วในใจคิดเพียงว่าขอแค่ได้เจอหน้าคุณพ่อพอแล้ว รอให้คุณพ่อแข็งแรงขึ้น สิ่งที่หล่อนทำมาทั้งหมดมันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

มันไม่ง่ายเลยที่เดินมาถึงหน้าห้องเจี่ยนฉางยุ่น เจี่ยนอี๋นั่วเห็นพยาบาลพิเศษที่ดูแลคุณพ่อกำลังเดินออกจากห้องมา

พยาบาลพิเศษเห็นเจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“ในที่สุดคุณก็มาแล้ว ฉันรอคุณมาตลอด ก่อนหน้านี้โทรหาคุณ แต่ว่าคุณไม่รับสาย ทำไมสีหน้าของคุณ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูก สีหน้าซีดเซียว หล่อนต้องคอยใช้มือยันกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม รีบส่ายหัว:“ฉันไม่เป็นอะไรมาก คุณพ่อของฉันตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะ?”

พยาบาลพิเศษคิ้วขมวดพูดด้วยความลำบากใจว่า:“เมื่อวานพึ่งได้รับการตรวจ คุณพ่อของคุณ……ร่างกายของเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ”

“ผิดปกติยังไง?”เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกถามกลับ

พยาบาลพิเศษพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หลังจากที่ได้ทำการการตรวจและวินิจฉัยพบว่าคุณพ่อของคุณสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ตอนนี้สติปัญญาได้รับความเสียหาย กลัวว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปได้อีก ……”

“อะไรนะ?”เจี่ยนอี๋นั่วสั่นไปทั้งตัว จากนั้นใช้มือยันกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม :“อะไรคือสติปัญญาได้รับการกระทบกระเทือนคะ?”

พยาบาลพิเศษรีบไปพยุงเจี่ยนอี๋นั่ว รีบร้อนพูดตอบกลับ:“เป็นเพราะว่าคุณพ่อของคุณเลือดคั่งในสมอง เลือดคั่งเยอะมาก ทำให้เนื้อเยื้อในสมองได้รับการความเสียหายอย่างรุนแรง อาการมันต่างจากอัลไซเมอร์ คุณพ่อของคุณความจำได้รับความเสียหายอย่างถาวร ตอนนี้เขาจำได้เพียงแค่ ……”

“จำได้เพียงอะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองพี่เลี้ยงถามด้วยตาที่แดงก่ำ

พยาบาลพิเศษพูดว่า:“จำได้เพียงคุณและน้องสาวของคุณ เขาเรียกหา‘อี๋นั่ว’และ ‘ฮุ่ยฮุ่ย’ตลอด ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลับตาลง น้ำตาของหล่อนไหลออกมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ:“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?ฉันตั้งใจรอให้คุณพ่อฟื้นขึ้นมาทำไมถึงเป็นแบบนี้?”

“คุณอย่าพึ่งคิดมากไปเลย คุณหมอบอกว่ายังต้องทำการตรวจและวินิจฉัยอีกขั้นหนึ่ง คุณรีบเข้าไปดูคุณพ่อของคุณก่อนเถอะ เผื่อคุณพ่อได้เห็นหน้าคุณ ท่านอาจจะนึกเรื่องราวอะไรขึ้นมาได้”พยาบาลพิเศษพูดปลอบใจเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงกัดไปที่ริมฝีปากหนึ่งที ยกมือปาดน้ำตาของตัวเอง เปิดประตูแล้วค่อยๆเดินเข้าไป พึ่งจะเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคุณพ่อของตัวเองนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ ท่านหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ นั่งเหม่อลอยมองไปทางหน้าต่าง

เจี่ยนอี๋นั่วยันกำแพงเบาๆ ค่อยๆเดินเข้าไปหาทีละก้าว การก้าวเดินแต่ละก้าว หล่อนต้องใช้แรงอย่างมาก เดินไปจนถึงด้านหลังเจี่ยนฉางยุ่น เจี่ยนอี๋นั่วก็เรียก:“คุณพ่อ……”

เจี่ยนฉางยุ่นไม่ได้หันหลังกลับมามอง เขายังคงเงยหน้ามองไปทางหน้าต่างตลอด สายตาของเขาว่างเปล่าจ้องมองที่หน้าต่าง พูดโดยไม่รู้ตัว :“อี๋นั่ว กินเค้กลูก ……ฮุ่ยฮุ่ยต้องเชื่อฟังพี่สาวนะ……”

“คุณพ่อคะ คุณพ่อมองหน้าหนูสิคะ หนูคืออี๋นั่ว หนูมาเยี่ยมคุณพ่อแล้วนะคะ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปหาและกุมมือของเจี่ยนฉางยุ่นทันที

แต่ว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่ตอบสนองใดๆ ยังคงจ้องมองไปทางหน้าต่างบานนั้น พูดซ้ำโดยไม่รู้สึกตัว:“อี๋นั่ว กลับมากินข้าวที่บ้านได้แล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆคุกเข่าลงข้างเตียง ปิดปากพร้อมร้องไห้ออกมา:“คุณพ่อคะ……คุณพ่อคะ……คุณพ่อมองหน้าหนูสิคะ หนูคืออี่นั่ว หนูมาหาคุณพ่อแล้วค่ะ คุณพ่อมองหนูสิคะ คุณพ่ออย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมคะ หนูตั้งใจรอคุณพ่อฟื้นขึ้นมา คุณพ่ออย่าไม่สนใจหนูแบบนี่สิคะ หนูไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้วค่ะ ลูกก็เสียแล้ว ศักดิ์ศรีก็ไม่มีแล้ว คุณพ่ออย่าเป็นแบบนี้สิคะสนใจหนูหน่อยสิคะ”

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเรียกยังไง เจี่ยนฉางยุ่นก็ไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วเรียกเลยสักนิด เจี่ยนฉางยุ่นไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนเดิม เพียงแต่จ้องมองไปทางหน้าต่างพูดซ้ำๆด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“อี๋นั่ว……ฮุ่ยฮุ่ย……พวกหนูต้องเป็นเด็กดีนะลูก ……”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเจี่ยนฉางยุ่นส่ายหัวไปมาไม่หยุด หล่อนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คุณพ่อของหล่อนต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสิ ไม่ใช่ต้องมาเป็นคนไข้ติดเตียงแบบนี้ จ้องมองไปทางด้านหน้าต่างอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี

เจี่ยนอี่นั่วร้องไห้พร้อมพูดว่า:“คุณพ่อ หนูคืออี๋นั่ว หนูต้องการคุณพ่อมากนะคะ หนูต้องการให้คุณอยู่เคียงข้างหนูในวันที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ อย่าไม่สนใจหนูแบบนี้สิคะ ถ้าหากคุณพ่อโกธรหนูแล้ว คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ หนูจะปรับปรุงแก้ไข หนูจะปรับปรุงตัวเอง หนูจะปรับปรุงตัวเองจริงๆนะคะ คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ……”

แต่ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดอะไร เจี่ยนฉางยุ่นทำเพียงแค่จ้องมองไปหน้าต่างบานนั้น แววตาเหม่อลอย เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ

“โอ้พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”เฮ่อเยี่ยนหงตะโกนไปด้วยพร้อมกับวิ่งเข้าห้องคนไข้ไปด้วย

เฮ่อเยี่ยนหงแกล้งแสดงอาการร้องไห้ออกมาแล้วก็วิ่งไปข้างๆเจี่ยนฉางยุ่น :“คุณเจี่ยน ในที่สุดคุณก็ฟื้น?ระยะเวาลานี้พวกเราใช้ชีวิตกันยังคุณรู้บ้างไหม?คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเราพวกด้วยนะคะ เจี่ยนอี๋นั่วหล่อนมีเงินทองมากมายขนาดนั้น ก็ไม่ยอมแบ่งให้พวกเราใช้กันบ้างเลยคะ……”

ในขณะที่เฮ่อเยี่ยนหงกำลังพูดก็หันหน้าตะโกนออกไปนอกห้อง:“ฮุ่ยๆรีบเข้ามาลูก รีบมาดูอาการของคุณพ่อ”

“พอได้แล้วค่ะ พอได้แล้วค่ะ หนูยังต้องเล่นเกมส์อยู่นะคะ อย่าทำให้หนูเสียเวลา ฟื้นก็ฟื้นแล้วสิคะจะอะไรกันนักกันหนา?”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดพร้อมเดินเข้าห้องคนไข้ด้วย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและเจี่ยนอี๋นั่วมีคิ้วที่คล้ายคลึงกัน แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถในการทำงานและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกลับเป็นผู้หญิง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่1 หล่อนจะสวมใส่แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมและทาเล็บหลากสี กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นแต่มือถือ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเล่นมือถือไปด้วยพร้อมหัวเราะไปด้วย:“ฮ่าฮ่า ไอ้โง่เอ้ย เล่นแพ้ฉันอีกแล้ว สมน้ำหน้า!”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ค่อยๆปาดน้ำตาหันหน้ามองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดขึ้นว่า:“เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย คุณพ่อเรียกหาชื่อเธอตลอด เธอเดินมาดูคุณพ่อหน่อยได้ไหม?ตอนนี้คุณพ่อได้รับการกระทบกระเทือนสมองอย่างรุนแรง จำได้เพียงแค่ฉันและเธอแล้ว ……”

เฮ่อเยี่ยนหงก็รู้สึกว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่เหมือนเดิม หล่อนคิ้วขมวดทันทีตะคอกใส่เจี่ยนฉางยุ่นสองสามคำ ปรากฏว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่มีการตอบสนองใดๆ จากนั้นค่อยหันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมฉันตะโกนเรียนชื่อพ่อเธอ เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ?เกิดอะไรกับเขากันแน่?”

เจี่ยนอี๋นั่วสำลักพร้อมพูดว่า:“คุณพ่อได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองอย่างรุนแรง สติปัญญาของคุณพ่อได้รับความเสียหาย”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบตอบกลับ:“ถ้าอย่างนั้น ……”

เฮ่อเยี่ยนหงยังไม่ทันพูดจบ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็รีบตะโกนออกมาว่า:“ถ้าอย่างนั้นก็กลายเป็นคนบ้าแล้วสิ ถ้าให้เพื่อนนักเรียนของหนูรู้ว่าคุณพ่อเป็นคนบ้า หนูจะขายขี้หน้าขนาดไหนกัน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินจากห้องคนไข้

“เธอจำไว้ให้ดีนะ!”เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนพูดกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบแล้วปาดน้ำตาพร้อมลุกขึ้น หันหน้าตะโกนใส่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย!เธอกล้าพูดประโยคเมื่อกี้กล้าพูดอีกครั้งไหม?เขาคือคุณพ่อของเธอ!คนที่มอบความสุขความสบายในชีวิตให้กับเธอ เธอพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

“ฉันทำอะไร?ก็เป็นคนบ้าจริงๆนี่ ……”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังเถียงไม่หยุด

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปหา ยกมือขึ้นตบหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปหนึ่งทีแล้วกัดฟันพูดว่า:“ตอนนี้

ตอนนี้เกิดเรื่องกับคุณพ่อและในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวคนโต ฉันก็ควรที่จะสั่งสอนเธอได้ ให้เธอได้รู้ว่าอะไรควรพูดหรืออะไรไม่ควรพูด ในฐานะลูกสาวควรจำทำตัวยังไง!คุณพ่อท่านรักและเอ็นดูเธอมาตลอด ตอนนี้ถึงแม้ว่าสมองของท่านจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จำได้เพียงแค่เธอและฉันเท่านั้น ทำไมเธอถึงอกตัญญูเช่นนี้?”

“คุณแม่คะ คุณแม่ดูหล่อนสิคะ หล่อนกลับตบหนู!”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบไปซบข้างกายเฮ่อเยี่ยนหง

เฮ่อเยี่ยนหงเอาตัวมาบังให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เห็นเจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองหล่อนด้วยหน้าตาที่เย็นชาดุร้าย เฮ่อเยี่ยนหงที่กลัวเจี่ยนอี๋นั่วอยู่แล้วก็เกิดสะดุ้ง กล้าพูดเพียงแค่ว่า:“ลูก เมื่อกี้ลูกก็พูดเกินไป พูดมั่วๆแบบนี้ได้ยังไง?”

“ฮึม พวกคุณก็ปกป้องแต่เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่มีใครอยู่ข้างหนูสักคน พวกคุณไม่เคยแคร์ความรู้สึกของหนู หนูจะหนีออกจากบ้านเดี๋ยวนี้แล้วก็จะไม่กลับมาอีกแล้ว”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยร้องไห้พร้อมพูดตะโกน

“ถ้าเธอกล้าก้าวออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว บัตรเครดิตของเธอทั้งหมดจะโดนระงับ และฉันจะไม่ให้เธอใช้แม้แต่สลึงเดียว!”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เธอ……”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ร้องไห้พร้อมพูดขึ้นว่า:“ทำไมเธอถึงไม่มีเหตุผลขนาดนี้นะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูก เมื่อกี้อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เกือบยืนต่อไปไม่ไหว ต้องยึดจับตู้ข้างกำแพงไว้ถึงสามารถทรงตัวยืนอยู่ได้ แต่ว่าหล่อนกัดริมฝีปากแน่นพูดกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ฉันจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คุณพ่อป่วยท่านเรียกหาแต่ชื่อของเธอและฉัน

ไม่ว่าเธอจะรังเกลียดพี่สาวอย่างฉันคนนี้มากแค่ไหน คุณพ่อดีต่อเธอมากแค่ไหน เธอไม่สมควรที่จะพูดจาแบบนี้กับท่าน!นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอต้องอยู่ดูแลปกป้องตระกูลเจี่ยนและดูแลคุณพ่อของเราไปด้วยกัน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบเอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา:“ฉันไม่สน ฉันไม่อยากดูแลใครทั้งนั้น ฉันยังสาวและสวย ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบเธอ มีผู้ชายมากมายที่เต็มใจให้เงินฉันใช้ ฉันไม่ต้องการเหมือนหล่อน เป็นแม่หม้ายที่ถูกทอดทิ้ง และไม่ต้องการดูแลคนป่วย ในวัยที่สดใสของฉันไม่ควรต้องมานั่งดูแลคนชราแบบนี้หรอก !”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบรีบหันหลังวิ่งออกไป เฮ่อเยี่ยนหงรีบวิ่งตามออกไป:“ฮุ่ยฮุ่ย ลูกคนนี้นี่ ลูกอย่าวิ่งสิ ถ้าหากลูกวิ่งออกจากห้องคนไข้นี้ไป ลูกจะไม่ได้เงินใช้อีกนะ คนอย่างหล่อนพูดจริงแล้วก็ทำจริงๆนะ!”

เฮ่อเยี่ยนหงพูดจบมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“อี๋นั่ว เธอจะหยุดให้เงินฮุ่ยฮุ่ยใช้ไม่ได้นะ หล่อนเป็นน้องสาวแท้ๆของเธอนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสีหน้าเฉยเมยกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันไม่มีน้องสาวที่อกตัญญูแม้แต่คุณพ่อของตัวเองแท้ๆยังรังเกียจได้ลงคอ หล่อนไม่มีเหตุผล ก็ควรได้รับในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้

!”

เดินเข้าไปในสถานกักขังที่เย็นวาบ เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นเฉิงซานซาน แต่ว่านะไม่ได้เจอกันสองวัน เฉิงซานซานนั้นดูซูบลงไปเยอะเลย พอเธอมองมาที่เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบหันร่าง เตรียมที่จะเดินออกไป:“ฉันไม่อยากเจอเขา ฉันไม่อยาก!”

แต่เจ้าหน้าที่กดไหล่ของเฉิงซานซานเอาไว้:“นั่งลง เธอคิดว่านี่ที่เป็นที่อะไร? ที่ๆเธอสามารถอยากเจอก็ได้เจอ ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจองั้นเหรอ?”

เฉิงซานซานก็เลยนั่งลง เธอจ้องเจี่ยนอี๋นั่วอย่างโหดเหี้ยม:“แกมาทำไม? แกอยากแก้แค้นฉันใช่ไหม? ฉันจะบอกแกให้นะ แกไม่ต้องคิดว่าจะทำร้ายฉันหรอก ลูกของแกก็ไม่มีแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่แกสมควรจะได้รับ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก ถ้าแกไม่มาพัวพันฉันกับหมิงเซวียน ฉันก็คงไม่อยากจะเอาเด็กในท้องแกออกไปหรอก แล้วฉันก็ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่!ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอยื่นมือออกไปกลางอากาศลูบเบาๆที่ท้องของเฉิงซานซาน พูดเสียงเบา:“ลูกของฉันก็พอๆกับลูกของเธอนะ ทำไมลูกของฉันถึงถูกฆ่าตาย แต่ลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”

เฉิงซานซานรีบปิดท้องไว้ พูดอย่างกังวล:“แก……แกหมายความว่าไง? แกจะทำอะไรกับลูกฉัน? ฉันจะบอกแกให้นะ นี่เป็นสายเลือดแท้ๆของฉู่หมิงเซวียน แต่ลูกของแกมันไม่ใช่!ที่จริงแกไม่มีลูกแล้ว แกก็ไม่ควรมาหาฉันนะ แกควรจะดูว่าสรุปแล้วตัวเองทำอะไรลงไปกันแน่ ฉันกับหมิงเซวียนใช้ชีวิตกันสุขสบายดี ทำไมแกต้องมารบกวนพวกเราอีก? ทำไมแกไม่หายไป? ทำไมแกต้องพัวพันกับพวกเรา? ถ้าหลังจากที่ตระกูลเจี่ยนของพวกแกล้มละลาย แล้วไม่มาให้ฉันกับหมิงเซวียนเห็นหน้า เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นถูกไหม?”

“เหอะๆ……” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอหัวเราะเสียงดัง

สีหน้าเฉิงซานซานก็เปลี่ยนขึ้นมาทันที เธอจ้องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามอย่างร้อนรน:“แก แกหัวเราะอะไร? แกหัวเราะอะไรเนี่ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือโบกไปมา ปิดที่ท้องแล้วพูดว่า:“ฉันกำลังหัวเราะตัวเอง ฉันถึงกับถ่อมาที่นี่เพื่อถามเธอว่าทำไมต้องทำร้ายฉัน? สำหรับคนแบบพวกเธอแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เป็นข้ออ้างในการทำชั่วได้ทั้งนั้น ฉันจะไปขอคำตอบอะไรจากเธอกันนะ? ฉันนี่มันไร้เดียงสาจริงๆเลย ตลกจัง ฮ่าๆๆ……”

เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง:“แก แกกำลังดูถูกฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเฉิงซานซาน อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูด:“เปล่า ฉันไม่ได้กำลังดูถูกเธอ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ฉันกำลังขำตัวเองจากใจจริงๆ”

เฉิงซานซานตัวสั่นแล้วเม้มปากแน่น ตะโกนเสียงดัง:“ไม่ว่าแกจะคิดยังไง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก แกไม่ควรมาพัวพันกับหมิงเซวียน ฉันไม่สนใจแกตั้งนานแล้ว แต่แกกลับโผล่มารอบตัวหมิงเซวียนอยู่ตลอด แกยังมีหน้ามาบอกว่าแกไม่ได้อยากจะคืนดีกับเขา? แกทำให้เขาลำบากใจเพื่อจะเรียกร้องความสนใจจากเขาล่ะสิ แล้วลูกที่แกมี สรุปแล้วเป็นลูกของใครกันแน่แกก็ไม่พูดให้ชัดเจน ให้ฉันคิดเองว่าลูกของแกเป็นลูกของหมิงเซวียน แกมีลูกของหมิงเซวียน แล้วลูกของฉันจะทำยังไง? แกต้องคิดวิธีที่จะทำให้มีผลกระทบกับหมิงเซวียนแน่ๆ ฉันเลยต้องทำแบบนี้……”

“ทั้งหมดเป็นความผิดของคนอื่น ใช่ไหม?” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเฉิงซานซานแล้วถามเสียงเย็นชา:“ตอนแรกฉันควรยกทั้งฉู่หมิงเซวียนและสมบัติของตระกูลเจี่ยนให้พวกเธอ แล้วอวยพรให้พวกเธอรักกันนานๆถึงจะดีใช่ไหม ไม่งั้นฉันจะกลายเป็นคนผิด ฉันนี่แหละเป็นคนผิด!เธอฆ่าลูกฉันตายมันก็สมควรแล้ว!พวกเธอหักหลังได้ พวกเธอวางแผนลอบทำร้ายคนได้ ถ้าคนอื่นเขาจะตอบโต้ ก็ล้วนผิดทั้งนั้น บนโลกนี้อนุญาตให้พวกเธอเสพสุข อนุญาตให้พวกเธอมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข คนอื่นควรตายไปให้หมด!ใช่ไหม? นี่เป็นตรรกะของเธอ?”

เฉิงซานซานหายใจเข้าลึกๆ เธอพูดไม่ออกสักคำ คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วคือสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจทั้งหมด แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ปกติกันนะ ถ้าเธอยอมรับ ก็เหมือนว่าจะไม่ถูก

เฉิงซานซานไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วพึมพำเสียงเบา:“ยังไงซะ……ยังไงซะก็เป็นความผิดของแก……”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“งั้นฉู่หมิงเซวียนก็คิดว่าเป็นความผิดของฉันเหรอ? เพราะงั้นเขาถึงบอกเธอให้ผลักฉันลงมา? ไม่ ฉู่หมิงเซวียนไม่โง่ขนาดนั้นหรอก เขาต้องบอกเป็นนัยให้เธอ เขาจะพยายามส่งซิกให้เธอ บอกเธอ ว่าฉันคืออำนาจที่จะคุกคามเธอ ถ้ากำจัดฉัน เธอก็จะมีชีวิตที่สบาย เขาก็จะแต่งงานกับเธอ เขาดูแลคนเก่ง เขาจะยอมรับเธอและลูกของเขา ใช่ไหม?”

“แกรู้ได้ยัง……” เฉิงซานซานเบิกตากว้างมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเดาออกทุกอย่าง เธอไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเดาความคิดของฉู่หมิงเซวียนได้ขนาดนี้ เธอก็เลยอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคนี้ออกมา

หลังจากที่เฉิงซานซานพูดประโยคนั้นออกมา ก็นึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป เลยรีบส่ายหน้าแล้วพูด:“ไม่ แกพูดมั่วซั่ว ไม่ใช่แบบที่แกคิดเลยสักนิด เพราะฉันคิดว่าแกเป็นอุปสรรคต่ออนาคตลูกของฉันต่างหาก ฉันก็เลยต้องผลักแกลงไป……”

“เขาบอกเธอ ห้ามเธอพูดถึงเขาออกมาล่ะสิ? เขาบอกเขาจะช่วยเธอฟ้องร้องคดีอยู่ด้านนอก รอเธอออกไป” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเฉิงซานซาน:“ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอฝันไปเถอะ ของเธอคือเจตนาทำร้ายร่างกาย ทนายของพวกเราคงให้เธอติดคุกสิบปีขึ้นไปนู่น อีกอย่างไม่มีทางให้เธอได้ประกันตัวหรอก”

“เป็นไปได้ยังไง? ฉันตั้งท้องอยู่นะ อีกอย่างนี่ไม่นับว่าเป็นคดีใหญ่สักหน่อย จะตัดสินลงโทษหนักขนาดนั้นได้ยังไง ฉันตั้งท้องอยู่ พวกเขาควรจะมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างสิ คงไม่มีทางให้ฉันคลอดลูกในคุกหรอก แกไม่ต้องมายุยงเลยนะ หมิงเซวียนเคยบอกว่าเขาจะช่วยฉัน เขาก็จะต้องช่วยฉันแน่ เขา……เขาไม่มีทางโกหกฉัน……” เฉิงซานซานส่ายหน้าอย่างร้อนรน พูดเสียงดัง

“ยัยผู้หญิงโง่ แล้วเธอก็เชื่อคำพูดเขาเนี่ยนะ” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเฉิงซานซานแล้วส่ายหน้า

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากสถานกักขัง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยืนยันเรื่องที่ฉู่หมิงเซวียนอยู่เบื้องหลังควบคุมเฉิงซานซานให้ฆ่าลูกของเธอตายจากปากของเฉิงซานซานแล้ว ขอแค่รู้ตรงจุดนี้ก็พอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ขอให้เฉิงซานซานเป็นพยานบุคคลชี้ตัวฉู่หมิงเซวียนด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เฉิงซานซานชี้ตัวฉู่หมิงเซวียน แต่ฉู่หมิงเซวียนก็เป็นแค่คนส่งซิกให้กับเฉิงซานซานเท่านั้น ใช้เป็นหลักฐานว่าฉู่หมิงเซวียนมีความผิดไม่ได้เลยสักนิด ถึงแม้ว่ากฎหมายจะลงโทษอะไรฉู่หมิงเซวียนไม่ได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วสามารถทำได้!

พอเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากประตูใหญ่ของสถานกักขัง ก็เห็นว่าฉู่หมิงเซวียนจอดรถไว้ข้างทาง หิ้วกล่องเก็บความร้อนเดินมาทางเธอ สายตาของฉู่หมิงเซวียนมองลงมาที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว มองท้องของเจี่ยนอี๋นั่วที่ราบเรียบ ฉู่หมิงเซวียนก็เผยรอยยิ้มออกมา:“คุณหนูใหญ่เจี่ยนยังคงรักษาหุ่นได้ดีเหมือนเดิม อย่างนี้สิถึงจะสวยที่สุด คุณไม่เหมาะกับหุ่นที่ตั้งครรภ์จนท้องป่องแบบนั้นหรอก”

ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วสั่นเล็กน้อย ตอนนี้เธอมองฉู่หมิงเซวียนก็เหมือนกับมองศพของลูกเธอ ต่อให้ฉู่หมิงเซวียนคิดว่าพ่อของเธอมีอะไรต้องชำระกับเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจ ทำไมฉู่หมิงเซวียนต้องทำร้ายเธอขนาดนี้? เธอจะมีลูกกับใครเกี่ยวอะไรกับฉู่หมิงเซวียน? ทำไมฉู่หมิงเซวียนถึงยอมให้ลูกแท้ๆของเขาเองเกิดในคุก แล้วบงการเฉิงซานซานให้ผลักเธอลงมา?

“ทำแบบนั้นทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วถามเสียงเย็นชา

“อะไรเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเบาๆ มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้ม:“คุณเจี่ยนหมายถึงอะไรเหรอ? ทำแบบนั้นทำไม? ทำไมผมฟังไม่เข้าใจ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วตะโกน:“ทำไมต้องให้เฉิงซานซานฆ่าลูกของฉัน?”

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา ค่อยๆส่ายหน้า:“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น ผมไม่ได้ทำนะ อี๋นั่ว ตอนแรกคุณคบกับผม ใช่ว่าจะใส่ร้ายคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ได้นะ ใครเป็นคนสอนให้คุณนิสัยไม่ดีแบบนี้เนี่ย? คนๆนั้นเป็นใคร? หรือว่าเขาลึกลับเกินไปใช่หรือเปล่า? เขาหลบๆซ่อนๆไม่กล้าเจอคนแบบนี้ หน้าตาอัปลักษณ์มากใช่หรือเปล่า หรือว่าพิการกันนะ?”

สองวันนี้ฉู่หมิงเซวียนสืบอยู่ตลอดว่าคนที่อยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วคือใครกันแน่ แต่ไม่ว่าเขาจะสืบยังไงก็ไม่เจอสักที สิ่งเดียวที่เขารู้คือมีผู้ชายคนหนึ่งเซ็นหนังสือยินยอมรับการผ่าตัดให้เจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ทั้งหมดไม่ใช่การคิดเพ้อเจ้อของเขา เบื้องหลังของเจี่ยนอี๋นั่วมีผู้ชายลึกลับจริงๆ

แต่การสืบก็จบอยู่ตรงนี้ ฉู่หมิงเซวียนอยากจะสืบต่อถึงสถานะของผู้ชายคนนั้น กลับสืบอย่างเปิดเผยไม่ได้ พยาบาลที่เคยเจอผู้ชายคนนั้นถูกจัดการแล้ว เอกสารที่ผู้ชายคนนั้นเซ็นชื่อก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ที่เดิมทีลอยโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ก็ต้องดำลงไปจนสุดทางอีกเพื่อเก็บทุกอย่างไว้ด้านหลัง แค่ฉู่หมิงเซวียนคิดไปถึงว่ามีผู้ชายแบบนี้คบหากับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ไม่สบายใจแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองฉู่หมิงเซวียน พูดเสียงเบา:“ไม่ว่าเขาจะหน้าตาอัปลักษณ์ หรือพิการ เขาก็ดีกว่าคุณเยอะเลย”

“คุณชอบเขา?” ฉู่หมิงเซวียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วกัดฟันพูด:“คุณชอบผู้ชายคนอื่นได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายอมรับต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงว่าเธอชอบเขา เพราะประโยคนี้ถ้าได้พูดออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จะต้องเผชิญกับการหัวเราะเยาะของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายืนยันว่าตอนนี้เธอยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงอยู่หรือเปล่า

แต่เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะพูดประโยคที่ว่าเธอชอบผู้ชายคนอื่นแล้วต่อหน้าฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยค่อยยิ้มออกมา แล้วพูดเสียงเบา:“ถูกต้อง ฉันชอบเขาแล้ว ที่จริงเขาไม่ได้อัปลักษณ์เลย เขาหล่อมาก หล่อจนคุณไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย และเขาก็ไม่ได้พิการ เขาแข็งแรงมาก ร่างกายเขามีแต่ลายเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม บางครั้งเขาก็เย็นชา บางครั้งกลับเผยให้เห็นความอ่อนโยนที่อยู่ภายใต้ความเย็นชานั้น คนอื่นต่างก็แบกรูปลักษณ์ความอ่อนโยนซ่อนจิตใจที่ชั่วร้าย แต่เขาไม่ใช่ ไม่ใช่เลยจริงๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจริงๆ:“ฉันมักจะรู้สึกว่าเขากำลังใช้รูปลักษณ์ที่เย็นชา ซ่อนความอ่อนโยนของเขาไว้ เพราะงั้นฉันเลยชอบเขาล่ะมั้ง ไม่ใช่เพราะเขาหล่อ แต่เป็นเพราะฉันรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆออกมา เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตลกมากจริงๆ เธอคิดนานมากว่าสาเหตุที่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงคืออะไร กลับมารู้ตอนที่อยู่ต่อหน้าฉู่หมิงเซวียน!

“ไม่ คุณโกหก!” ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยตาแดงก่ำ ตะโกนออกมา:“ไม่ คุณโกหก!คุณไม่มีทางชอบผู้ชายคนอื่น!”

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าคำพูดของคุณนายเหลิ่งมันช่างดูแปลกเหลือเกิน เธอจำได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยพูดกับเธอไว้ว่า เป็นเพราะคุณนายเหลิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ จึงให้เหลิ่งเซ่าถิงตามเธอออกไป แต่ฟังจากที่คุณนายเหลิ่งพูด คุณนายเหลิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอออกจากบ้านไป หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดโกหก?

เหลิ่งเซ่าถิงทำไมต้องพูดโกหกด้วยล่ะ?เขาต้องการทำอะไร?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องราวถึงนี่ ก็หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยท่าทางคิ้วขมวด ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเจี่ยนอี๋นั่วพอดีเช่นกัน เขาเม้นปากอย่างแรงแต่กลับไม่พูดอะไรเลย

“เอาล่ะเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบสาวอะไรอีกแล้ว เธอก็ดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง ฉันคิดว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม รินน้ำชาแล้วดื่ม

เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตามองไปทางคุณนายเหลิ่ง จากที่เธอมองคุณนายเหลิ่งดูออกได้ทันทีว่าคุณนายเหลิ่งรู้สึกโมโหแล้วจริงๆ แต่ว่าคุณนายเหลิ่งก็เก็บอาการโมโหเอาไว้ และไม่ได้พูดอะไรเลย อาการยังเหมือนเดิมทุกอย่าง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“คุณนายเหลิ่งคะ ฉัน ……”เจี่ยนอี๋นั่วเรียกด้วยน้ำเสียงที่เบา

คุณนายเหลิ่งทำท่าโบกมือขึ้นเพื่อตัดบทในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูด:“เธอไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ถึงแม้เธอจะเสียลูกไป แต่เหลิ่งเซ่าถิงยังยินยอมให้เธออาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งอีกหนึ่งปี ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก แต่ว่าอี๋นั่ว เธอทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่แยกแยะได้ แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าลูกนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าขมวดคิ้ว:“แต่ว่าคุณพ่อของฉันท่านพึ่งฟื้น”

“ลูกหลานตระกูลเหลิ่งสำคัญน้อยกว่าคุณพ่อของเธอเหรอ?อย่าพูดว่าคุณพ่อของเธอพึ่งฟื้น แม้ว่าคุณพ่อเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ เธอค่อยไปวันถัดไปมันจะเป็นอะไรไหม?สำหรับเธอสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกในท้อง ไม่ใช่คุณพ่อที่ไร้ประโยชน์คนนั้น แค่นี้ยังลำดับความสำคัญไม่ได้เลยหรือ ?”คุณนายเหลิ่งตัดบทในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูด

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปในทันที เธอเหมือนกันไม่เคยรู้จักคุณนายเหลิ่งมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณนายเป็นห่วงเป็นใยแค่ลูกในท้องของเธอเท่านั้น

เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดว่ากับเธอตรงๆไหมว่าต้องการให้เธอเป็นผู้หญิงแค่เครื่องทำลูกเท่านั้นเหรอ สำหรับคุณนายเหลิ่งคงคิดแบบนี้จริงๆ แต่เป็นเพียงเพราะว่าคุณนายเหลิ่งใช้ความเมตตาและการกระทำมาปิดบังความจริงที่โหดร้ายเท่านั้น

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้คำตอบทำไมคุณนายเหลิ่งถึงเก็บเธอไว้ เป็นเพียงเพราะต้องการให้เธอตั้งครรภ์เท่านั้นเอง และที่สำคัญในใจคุณนายเหลิ่งรู้ว่า“ตอนไหนควรเข้าหา ตอนไหนควรถอยห่าง”เป็นคนที่หวังเพียงผลประโยชน์ ตระกูลเหลิ่งแท้ที่จริงแล้วทั้งโหดร้ายทั้งเลือดเย็นมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดกลัวคนตระกูลเหลิ่ง หวาดกลัวอำนาจของตระกูลเหลิ่ง และไม่กล้าที่จะทำเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่สำหรับตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกดูถูกรังเกียจตระกูลเหลิ่ง อย่างนี้ความรวยที่มีก็เป็นได้แค่เปลือก อีกทั้งยังเป็นคนที่เยือกเย็นทั้งตระกูล

“สำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือคุณพ่อของฉันมันก็สำคัญเท่าๆกัน ”เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับคุณนายเหลิ่งด้วยท่าทางที่เย็นชา

คุณนายเหลิ่งหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะออกมาทันที :“ฉันดูเธอผิดไปจริงๆนะเนี่ย คุณเจี่ยน ฉันคิดว่าเธอจะเป็นคุณหนูที่รู้จักอะไรสมควรพูดหรือไม่สมควรพูด แต่คาดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะมีนิสัยที่ป่าเถื่อนและไม่รู้จักตอนไหนควรเข้าหา ตอนไหนควรถอยห่าง ดูท่าแล้วเธอคงยังไม่เข้าใจ สำหรับเธอแล้ว อะไรล่ะที่สำคัญที่สุด?”

“ถ้าหากการที่ให้ฉันดูหมิ่นคุณพ่อของตัวเอง ก็คือคนที่รู้จักถอย ถ้าอย่างงั้นฉันทำไม่ได้ค่ะ คุณพ่อของฉันฟื้นขึ้นมา ฉันไปเยี่ยมท่านมันคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ฉันผิดก็คือไม่ได้ระมัดระวัง และไม่รู้จักป้องกันคนที่คิดจะปองร้ายฉัน”เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเงยหน้าพูดกับคุณนายเหลิ่งเบาๆ

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดเบามาก แต่กลับมีท่าทางที่หนักแน่นมาก ไม่ใช่คนเดิมคนที่เคยเป็นฝ่ายที่ต้องตามใจทุกอย่างและยอมอีกต่อไป

คุณนายเหลิ่งหรี่ตากำลังจะพูด ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกขึ้นยืนพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณย่าครับ คุณย่าพักผ่อนเถอะครับ ผมจะพาเธอออกไปแล้ว”

คุณนายเหลิ่ง น้ำเสียง ฮึ่ม เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง :“ฉันเริ่มรู้สึกการที่เธอเลือกไม่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ตั้งแต่แรกเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ขอเพียงแค่เธอพูดมาคำเดียว พวกเราก็จะไล่ผู้หญิงคนนี้ไปจากตระกูลเหลิ่งเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าสึกการที่ได้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่เคียงข้างเธอ แล้วทำให้เธอกลับมาเป็นคนเดิม มันเป็นเรื่องที่โชคดี แต่ดูท่าแล้วนิสัยของผู้หญิงคนนี้ก้าวร้าวมาก ไม่เหมาะกับตระกูลเหลิ่งของพวกเรา”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“ผมเคยสัญญากับเธอ ว่าจะให้เธออาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งหนึ่งปีครับ และผมจะต้องไม่ทำผิดสัญญาครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนคนแปลกหน้าที่กำลังฟังเหลิ่งเซ่าถิงและคุณนายเหลิ่งหารือกันว่าจะให้เธออยู่หรือไป แต่เพราะเวลานี้ความคิดเห็นของคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นคิดแตกต่างกัน เหลิ่งเซ่าถิงกลับกลายเป็นคนที่อยากให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ต่อ แต่คุณนายเหลิ่งกลับอยากให้เจี่ยนอี๋นั่วไปจากตระกูลเหลิ่ง

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกมันไร้สาระ ก่อนหน้านี้หล่อนอยากได้เงินทุนจากตระกูลเหลิ่งเลยไม่ไปจากตระกูลเหลิ่ง แต่เวลานี้หล่อนกลับอยากไปจากตระกูลเหลิ่งแล้ว คฤหาสน์ที่เยือกเย็น เธอไม่อยากอยู่ต่อเลยสักนิดเดียว

“ฉันเต็มใจที่จะไปจากตระกูลเหลิ่งเอง”เจี่ยนอี๋นั่วพูดออกมาทันที:“ฉันไม่มีประโยชน์อะไรต่อตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว ……”

“คุณหยุดพูด!”เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปทางเจี่ยนอี๋นั่วและตะโกนพูดว่า:“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณจะตัดสินใจ”

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า :“อี๋นั่ว ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยพอใจเธอเท่าไหร่ แต่ยังไงฉันก็รู้ว่าเธอเก่งกว่าผู้หญิงคนอื่นๆมากนัก ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงและเธอมีข้อตกลงกันหนึ่งปี ฉันก็ยอมให้เวลาอีกหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปี เธอสามารถทำให้ฉันพอใจได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรับเธอเป็นภรรยาจริงๆ ถึงตอนนั้นเธอจะได้เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเหลิ่งจริงๆ ไม่ใช่ใครก็จะได้รับโอกาสแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดและส่ายหัว เธอรังเกียจตระกูลเหลิ่งที่ทำตัวอยู่เหนือคนอื่นและตัดสินใจแทนเธอทุกอย่างแบบนี้แล้ว เจี่ยนอี๋นี่วไม่อยากอาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งแล้วจริงๆ แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เหลิ่งเซ่าถิงก็คว้าข้อมือของเธอ แล้วพาออกจากห้องไป

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงคว้าข้อมือกลับไปห้องของพวกเขา พอถึงห้องเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยมือ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“เหลิ่งเซ่าถิง คุณต้องการทำอะไร?เดิมทีคุณเป็นคนที่พูดตลอดให้ฉันเอาเด็กออก แล้วไสหัวออกจากตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คุณจะเก็บฉันไว้ทำไม?”

เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยมือ คิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว สภาพของเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ซีดเซียวเหมือนตอนที่นอนสลบอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด ต่างกันแค่ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาไว้อยู่ เป็นเพราะร่างกายเสียเลือดมากเกินไป เหลิ่งเซ่าถิงรู้จักเจี่ยนอี๋นั๋วดี เขาจะสามารถทนอยู่ห้องเดียวกันกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักดีพอได้อย่างไรกัน ยิ่งเป็นผู้หญิงที่คนอื่นยัดเยียดถึงในห้องนอนของเขา ถึงแม้จะเป็นคุณย่าก็เถอะ เขาก็ไม่สามารถวางใจได้

แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ไม่สามารถเทียบได้กับเลือดกองนั้น เขาพึ่งรู้ครั้งแรกว่า ลายเซ็นครั้งแรกของเขา สามารถตัดสินให้คนมีชีวิตและตายได้ จริงๆแล้วเลือดของเขาก็สามารถช่วยชีวิตคนได้ เหลิ่งเซ่าถิงรู้ว่าเขามีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาคาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาจะบริจาคเลือดให้กับผู้หญิงที่เขาไม่ชอบด้วยซ้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเป็นเพราะเธอแท้งลูกจึงทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจอย่างมากคือ เจี่ยนอี๋นั่วทำให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนบริจาคเลือดให้เธอ ถ้าเทียบกับเหลนที่ยังไม่เกิดนั้น มันเทียบไม่ได้กับหลานแท้ๆอย่างเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นความหวังเดียวของคุณนายเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงกลับช่วยชีวิตเจี่ยนอี๋นั่วทำให้ร่างกายตัวเองอ่อนแอลง บริจาคเลือด!เป็นเหตุผลหลักที่คุณนายเหลิ่งทนไม่ได้

“ไปจากตระกูลเหลิ่ง เธอก็จะไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว!”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ตอนนี้อารมณ์ของเธอยังไม่นิ่งพอที่จะตัดสินใจ ผมอยากเตือนคุณ เป็นเพราะคุณต้องการเงินทุนช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งจึงยอมมีลูกกับผม ถ้าคุณไปจากที่นี่ตอนนี้ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดมันไม่เสียแรงเปล่าหรือ ตระกูลเจี่ยนอาจล้มละลาย เวลานี้คุณพ่อของคุณต้องการคนดูแลใช่ไหม?ถึงเวลานั้นแม้แต่เงินที่เลี้ยงตัวเองยังไม่มี จะดูแลคุณพ่อได้อย่างไรกันล่ะ?”

“นี่……ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของฉัน ……”สภาพร่างกายเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่แข็งแรงดี เธอมีเริ่มมีอาการหน้ามืดจนบางทียืนไม่ไหวมีโอกาสจะล้มลง

“แต่ว่าคำมั่นสัญญาที่ผมเคยให้ไว้กับคุณ ผมเคยสัญญาจะอยู่กินกับคุณในฐานะสามีภรรยาหนึ่งปี ตอนนี้ยังเหลืออีก 246 วัน เมื่อถึงเวลานั้น ผมก็จะปล่อยให้คุณเป็นอิสระ”เหลิ่งเซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“พวกคุณตระกูลเหลิ่งเป็นบ้ากันไปหมดแล้วเหรอ ”เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าคิ้วขมวดและส่ายหัว:“เดิมทีคนที่ให้ฉันไสหัวออกจากตระกูลเหลิ่งไม่ใช่คุณเหรอ?คุณเป็นคนต้องการอยากให้ฉันไปจากที่นี่ ตอนนี้คุณจะมาพูดถึงสัญญาทำไม ฉันยังมีค่าอะไรที่คุณจะรั้งไว้อีกเหรอ ฉันยังมีประโยชน์อะไรอีกหรือ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความรู้สึกอะไรต่อเธอ ก่อนหน้าของวันนี้ เจี่ยนอี๋นั๋วคิดว่าตระกูลเหลิ่งอย่างน้อยยังมีคุณนายเหลิ่งเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้ว่าเธอคิดผิด เธอไม่ควรใช้แค่ความรู้สึกมาประเมินค่าคนของตระกูลเหลิ่ง เป็นเพียงพวกที่ทำตัวอยู่เหนือกว่าคนอื่น มีเพียงแค่วัดค่าของคนที่ผลประโยชน์เท่านั้น

เหลิ่งเซ่าถิงก้มมองในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วตะโกน จนบนคอเห็นรอยเส้นเอ็นชัดเจน เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาคิดเพียงว่า เป็นเพราะว่าเลือดของเขาที่อยู่ในร่างเจี่ยนอี๋นั่ว และเป็นเพราะว่าเลือดของเขาทำให้เจี่ยนอี๋นั่วมีพลังมากขึ้น เขาทนไม่ไหวจึงเอื้อมมือไปจับที่คอของเจี่ยนอี๋นั่ว จากที่สัมผัสเขารู้สึกถึงชีพจรที่เต้นอย่างรุนแรง

มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ชีพจรที่คอของเจี่ยนอี๋นั่วเต้นช้ามาก ทำให้เขาจับวัดชีพจรไม่เจอ

“คุณทำอะไร?คุณเป็นอะไร?”เจี่ยนอี๋นั่วรีบคว้ามือเหลิ่งเซ่าถิงมาดู

เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังพูดอยู่กับเขา เขาเริ่มขมวดคิ้ว เขาเป็นอะไร ?เหลิ่งเซ่าถิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร?ทำไมเมื่อคืนเขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วออกไป ก็รีบตามเจี่ยนอี๋นั่วออกไปทันที ทำไมต้องปิดบังความจริงด้วย ทำไมต้องบอกเจี่ยนอี๋นั่วด้วยว่าคุณนายเหลิ่งสั่งให้เขาตามเจี่ยนอี๋นั่วไป เขาจึงทำตามคำสั่งเท่านั้น?ทำไมเขาต้องบริจาคเลือดให้เจี่ยนอี๋นั่วด้วย?

ทำไมในขณะที่เขาพบเจี่ยนอี๋นั่วนอนจมกองเลือดนั้น หัวใจเขาเหมือนหยุดเต้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอถอยหลังไปเล็กน้อย วันนี้ทั้งวัน เจี่ยนอี๋นั่วผ่านอะไรมาเยอะมาก ตอนนี้ในที่สุดเธอก็แบกรับไม่ค่อยไหวแล้ว ตรงหน้าเริ่มมืด แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็วูบไป ในระยะเวลาอันสั้นที่เจี่ยนอี๋นั่วล้มลงไป เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยื่นมือมาทางเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่เป็นความคิดเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดก่อนจะล้มลง

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ของเหลิ่งเซ่าถิง ผ้าม่านในห้องถูกดึงให้ปิดไว้ ทำให้ภายในห้องมืดมิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เธอรีบลุกขึ้น พยายามจะนั่งขึ้นมา เวลานี้เธอพึ่งจะรู้สึกถึงแขนที่ล้อมรอบบนเอวของเธอ หลังจากนั้นเธอก็หันไปดูเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังกอดเธออยู่

เหลิ่งเซ่าถิงหลับลึกมาก ผมของเขายุ่งเล็กน้อย ใบหน้าอย่างกับถูกแกะสลักอยู่ที่ตรงหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วงไม่กี่วันนี้เจี่ยนอี๋นั่วผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก แต่ตอนที่เจอเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ใกล้กับใบหน้าของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแข็งทื่อเล็กน้อย มีความรู้สึกว่าเธอใจลอย เฉื่อยชาได้สิ้นเปลืองมาก

เธอค่อยๆกะพริบตา พอปรับสายตาได้ก็ได้สติ นี่เธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงกอดอยู่? เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธออีกแล้ว?

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจี่ยนอี๋นั่วคงจะใจเต้น หน้าแดงกับสิ่งนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ได้ใช้ความรู้สึกที่เกินขีดจำกัดทั้งหมดในเวลาไม่นานมานี้ไปแล้ว เธอแค่รู้สึกว่าแปลกใจ เธอยื่นมือขึ้นไปผลักเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อย แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงหลับลึกอยู่เหมือนเดิม

“คุณชายใหญ่เหลิ่ง……” เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเรียกไปด้วย ยื่นมือผลักเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ค่อยๆลืมตาขึ้น เขามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาพร่ามัว ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา นึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปล่อยเธอ แล้วเยาะเย้ยเธอสักสองสามประโยคนั้น เหลิ่งเซ่าถิงกลับกอดเธอไว้อีกครั้ง เหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมลุกจากเตียงกอดตุ๊กตาหมีของเขา แถมยังกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกด้วย

“คุณเป็นอะไรไป?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะดิ้น ใช้แรงผลักเหลิ่งเซ่าถิง

ครั้งนี้เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าพึ่งจะตื่นขึ้นมา จู่ๆก็ลุกขึ้น ปัดผ้าห่มออกแล้วเดินลงมาจากเตียง เดินพุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ ท่าทางของเขาต่างกับเขาที่ติดเตียงเมื่อกี้ลิบลับ

เหลือเจี่ยนอี๋นั่วอยู่บนเตียงคนเดียว เธอขมวดคิ้ว ใจลอยเล็กน้อย ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงพึ่งตื่นงั้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วถูกการกระทำของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้อึ้งไป เธอนั่งนิ่งอยู่สักพัก จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงออกมาเธอถึงเริ่มเอ่ยปาก แต่ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะเอ่ยปากถาม เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหลังให้เธอ แล้วพูดเสียงเย็นชา:“คุณอย่าเข้าใจผิดล่ะ เมื่อคืนคุณเป็นลมล้มไป คุณกอดผมไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยต้องให้คุณมานอนบนเตียงผม”

“ฉันกอดคุณไม่ยอมปล่อย?” เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก เธอเป็นลมล้มไป ไม่ได้เมาสักหน่อย เป็นลมก็เท่ากับว่าไม่มีสติ ไม่มีทางทำเรื่องที่ว่าได้อย่างแน่นอนนี่?

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้หันกลับมา เขายังคงหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่หายใจเฮือกใหญ่ ก็พูดเสียงเย็นชา:“หรือคุณคิดว่าผมโกหกคุณหรือไง? โกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? ผมยังหวังว่าคุณจะไม่เข้าใจผิดอยู่เลย อย่าคิดว่าผมอยู่กับคุณ แถมอนุญาตให้คุณนอนบนเตียงผม แล้วคุณจะมีโอกาสอยู่ข้างกายผมตลอดไปนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ถอดชุดนอนเพื่อจะเปลี่ยนชุดไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ร่างกายของเธอยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ การตอบสนองต่างก็เฉื่อยชา จนกระทั่งตอนที่เธอรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ตลอด เธอจ้องไหล่กว้างๆเอวเล็กๆนั่นของเหลิ่งเซ่าถิงนานเกินไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเบนสายตา:“คุณวางใจเถอะ ฉันเห็นฉากโหดเหี้ยมขนาดนี้ของตระกูลเหลิ่ง ไม่มีทางคิดอะไรกับคุณหรอก ฉันหวังว่าจะไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลเหลิ่งอีก ไม่มีทางที่จะชอบคุณอีกครั้งแน่นอน เมื่อก่อนฉันคิดว่าคุณเย็นชามาก ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณให้ฉันเอาเด็กออก แล้วรีบออกจากตระกูลเหลิ่ง มันไม่ใช่เป็นการเตือนฉันเลยแม้แต่นิด ตระกูลเหลิ่งไม่ควรค่าให้อยู่ต่อจริงๆ!”

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มือที่กำลังติดกระดุมข้อมือก็หยุดชะงักลง หลังจากนั้นก็หันหน้ามากวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเข้าใจแบบนี้ก็ดี แล้วอย่าลืมความคิดที่ว่าจะไม่มีทางชอบผมล่ะ ผมดีใจจริงๆที่คุณคิดได้ แต่ผมไม่ได้เตือนคุณอย่างแน่นอน ผมไม่ชอบที่คุณอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อต่างหาก แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ในเมื่อผมเป็นคนให้สัญญากับคุณ ผมก็จะทำลายสัญญานั่นเอง ตอนนี้คุณก็ได้สติแล้ว ควรจะรู้ว่าต้องทำยังไงแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงโหดร้ายกับเธอมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขาได้ช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่งจริงๆ ถ้าเกิดว่าเธอขัดแย้งกับคุณนายเหลิ่งแล้วออกจากตระกูลเหลิ่งไปเลยแบบนี้ งั้นสิ่งที่เธอทุ่มเททำไปก่อนหน้านี้ก็เสียเปล่าน่ะสิ ตระกูลเหลิ่งคงยึดเงินกลับจากเจี่ยนอี๋นั่วอย่างแน่นอน อีกอย่างด้วยสาเหตุที่ว่าเธอล่วงเกินตระกูลเหลิ่ง แถมยังทำให้ตระกูลเจี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่พลิกกลับมาไม่ได้อีกด้วย

เธอทำลงไปมากขนาดนี้ ถ้าไม่ถือโอกาสนี้ทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นพันธมิตรกับเธอล่ะก็ ที่เธอเข้ามาเหยียบตระกูลเหลิ่งครั้งนี้ก็คงเสียเปล่า ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องการออกจากตระกูลเหลิ่ง ก็ต้องทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นที่พึ่งของเธอตลอดไป ไม่ใช่ศัตรู ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่ผสมปนเปกันเมื่อวาน คุณนายเหลิ่งก็คงดูถูกพ่อของเธออีก เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับความขัดแย้งแบบนั้นคงต้องมีแต่ต้องอดทน ไม่มีทางสานต่ออย่างแน่นอน

“เละไปหมดจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยความหงุดหงิดแล้วกุมขมับ

ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งแล้ว แต่ก็มีเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน เธอควรจะกู้สถานการณ์ยังไงให้เธอสามารถนำการสนับสนุนของคุณนายเหลิ่งออกจากตระกูลเหลิ่งล่ะ?

“รู้หรือยังว่าคุณผิดตรงไหน?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา

“ความผิดของฉัน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ฉันไม่ควรทะเลาะวิวาทกับคุณนายเหลิ่ง”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า พูดเสียงเย็นชา:“ไม่ คุณไม่ควรเพ้อฝันกับคุณย่า เป็นเพราะว่าคุณทำเหมือนคุณย่าเป็นญาติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงโมโหขนาดนั้น ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณย่าไม่ได้เป็นเพียงแค่คุณหญิงที่เมตตากรุณา ท่านยังเคยเป็นคนที่คุมอำนาจเพิ่มผลประโยชน์ให้ตัวเองได้มากที่สุดของตระกูลเหลิ่งอีกด้วย คุณก็คงไม่ต้องตกอยู่ในเรื่องเพ้อฝันแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วรู้สึกแปลกใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีความรู้สึกไม่สนิทกับคุณนายเหลิ่งอยู่กันนะ? ตั้งแต่ที่เธอมาที่ตระกูลเหลิ่ง ที่เห็นก็มีแต่คุณนายเหลิ่งที่รักและเอ็นดูเหลิ่งเซ่าถิงมาก ต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนพิการ ไม่มีความรู้สึก ท่านก็ไม่ทอดทิ้งสภาพของเขา

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูดเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา:“เพราะผมเกือบถูกคุณย่าทอดทิ้งน่ะสิ พ่อแม่ของผมท่านเสียไปแล้ว คุณก็น่าจะรู้นะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า มองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบิน”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มสายตาลง พูดเสียงขรึม:“น่าจะไม่มีใครเคยบอกคุณ บนเครื่องบินยังมีเด็กอีกหนึ่งคน นั่นคือพี่ชายแท้ๆของผมเอง ผมกับเขาหน้าตาเหมือนกัน แต่เขาเพอร์เฟคกว่าผม เขาฉลาดมาก ฉลาดเกินปกติ ถึงขนาดว่าไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป เขาเป็นหลานที่คุณย่ารักและเอ็นดูที่สุด แต่เขาสุขภาพไม่ดี จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ พวกเขาหาเด็กมาเยอะมาก แต่ก็จับคู่ไม่สำเร็จ ครั้งนั้นที่เขานั่งเครื่อง ก็เพราะต้องบินไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจนี่แหละ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“จับคู่ยังไง? นั่นคือหัวใจเลยนะ ถ้าผ่าตัดเอาออกแล้วตายไปล่ะ? ไม่ใช่ว่าควรมีอวัยวะที่จะผ่าตัดก่อน ถึงจะทำการเปลี่ยนอวัยวะเหรอ?”

“นั่นมันวิธีของคนอื่น วิธีของตระกูลเหลิ่งคือหาคนที่จับคู่เข้ากันได้ หลังจากนั้นก็ซื้อเขามา แล้วทำการปลูกถ่ายอวัยวะ พี่ชายต้องทำการเปลี่ยนหัวใจ ทำได้แค่ต้องหาเด็กอายุรุ่นเดียวกันที่สามารถจับคู่ได้พอดีกัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูด

เจี่ยนอี๋นั่วสั่นอยู่สักพัก ขมวดคิ้ว:“นั่นเท่ากับว่าฆ่าคนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วใครจะยอมส่งลูกของตัวเองไปตายล่ะ?”

“นั่นเป็นความคิดของคุณ บนโลกนี้มีพ่อแม่ที่ยอมแลกชีวิตลูกกับเงินอยู่เยอะมาก มีเด็กผู้หญิงเยอะมาก อายุแค่เจ็ดแปดปีก็ถูกขายมาที่สถานบันเทิงแล้ว สิบล้านดอลลาร์ ทำให้หลายต่อหลายคนแย่งกันส่งลูกของตัวเองมาขึ้นเตียงผ่าตัด เพื่อต่อชีวิตให้พี่ชายผม” เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ยื่นมือเลือกเนคไทเส้นสีดำไปด้วย แล้วผูกให้ตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเหมือนกับไม่มีทางเชื่อ แล้วถามเสียงเบา:“งั้นเกี่ยวอะไรกับคุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“นั่นเป็นพี่ชายฝาแฝดของผม บนโลกนี้มีแค่ผมกับเขาที่จับคู่ได้เหมาะสมที่สุด ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่น เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ไปอ่านนิยายกำลังภายใน ชอบการ์ตูน ถ้าเทียบกับพี่ชายผมที่มีพรสวรรค์ ผมแตกต่างมากเกินไป”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รอให้เหลิ่งเซ่าถิงพูดเรื่องทั้งหมดออกมา ก็พอเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เธอรีบปิดปากไว้ ส่ายหน้าแล้วพูด:“พวกเขาคงไม่โหดเหี้ยมขนาดนั้น คุณเป็นลูกของตระกูลเหลิ่งนะ คุณคือเหลิ่งเซ่าถิงคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง จะมีคนคิดแบบนั้นได้ยังไง?”

“คนที่เพียบพร้อมถึงจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง คนที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องเป็นตัวเลือกสำรองในการเพาะเลี้ยงอวัยวะ ผมได้ยินเป็นบางครั้ง คุณย่าพูดกับพ่อของผม ถามว่าถ้าครั้งนี้จับคู่ไม่สำเร็จจะทำยังไง? คุณย่ากลับพูดเรื่องที่ให้ผมเปลี่ยนหัวใจให้พี่ชายออกมา พ่อก็ไม่ได้ปฏิเสธ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาลง ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าเขากำลังร้องไห้ เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงโตมายังไง ด้านหนึ่งก็นึกถึงคุณย่าและพ่อเรื่องหัวใจของเขา อีกด้านหนึ่งก็คุณลุงที่มองเขาจมลงโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย? มิน่าล่ะเหลิ่งเซ่าถิงถึงเย็นชาขนาดนี้ เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่นไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็คงบีบบังคับจนคนๆนั้นเย็นชาโหดเหี้ยมใช่ไหม?

“แต่ภายหลังคุณนายเหลิ่งก็ดีกับคุณมากนะ” เจี่ยนอี๋นั่วยังจำตอนที่คุณนายเหลิ่งตื่นเต้นที่เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้สติฟื้นขึ้นมาได้

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า พูดเสียงขรึม:“นั่นก็เพราะว่า เขามีแค่ผมคนเดียวแล้วที่เป็นหลานชาย ไม่ว่ายังไงเขาก็แพ้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าผมจะได้ยินคำพูดพวกนั้น คุณย่าก็ยังคงเป็นญาติที่ผมเหลืออยู่บนโลกนี้ ผมก็ได้แค่ทำหน้าที่หลานชายที่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจอกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มสังเกตเหลิ่งเซ่าถิงอย่างละเอียดอีกครั้ง เหมือนกับว่าเธอมองเห็นเด็กคนหนึ่ง แอบอยู่ในมุมมืดกำลังร้องไห้ไม่หยุด เขาจะกลัวทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขามากแค่ไหนกันนะ

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจู่ๆก็ยื่นมือออกไป กอดเขาเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วแล้วถาม:“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าคุณเหมือนต้องการใครสักคนกอดคุณไว้ คุณไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่มีทางชอบคุณหรอก แค่กอดเฉยๆเท่านั้น ตอนนี้ฉันมีเรื่องน่าปวดหัวเยอะมาก สิ่งที่สามารถให้คุณได้ก็คงมีแค่กอดนี่แหละ ถ้าคุณยังพูดมากอีก ฉันจะไม่กอดคุณแล้ว”

ประโยคสุดท้าย ไม่นับว่าเป็นการข่มขู่ ใครจะหวงกอดของเจี่ยนอี๋นั่วกันล่ะ? กอดของเธอจะไปสำคัญอะไร? จะไปใช้ข่มขู่คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่งผู้สูงส่งอย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง?

แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก้มหน้ามองบนศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่ได้ขยับแม้แต่นิด จู่ๆเขาก็นึกถึงช่วงหลังจากที่เขาได้ยินคุณย่ากับพ่อคุยกัน เขาก็ไปแอบข้างในตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางหวาดกลัว เขาแอบอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ไม่มีใครรู้สึกได้ถึงการหายตัวไปของเขา

เขาถูกพบว่าอยู่ในตู้เสื้อผ้า พอเขาออกมาสิ่งที่เขาเผชิญหน้าเป็นอันดับแรกคือศพของพ่อตัวเอง แต่พี่ชายของเขานั้นยิ่งกว่า ถูกระเบิดจนเหลือแค่ร่างกายที่แยกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เวลานั้น เขาไม่ใช่ของแทนที่พี่ชายอีกต่อไป ไม่ใช่อวัยวะที่ใช้ต่อชีวิตของพี่ชายอีกต่อไป เขาคือเหลิ่งเซ่าถิงหลานคนเดียวที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดโดยตรงของตระกูลเหลิ่ง และพี่ชายของเขาก็ถูกกำจัดออกไปโดยสิ้นเชิง ตระกูลเหลิ่งไม่อยากให้ใครก็ตามรู้เรื่องที่ว่าตระกูลเหลิ่งเพื่อช่วยลูกหลานของตัวเองแล้ว สามารถทำได้แม้กระทั่งนำหัวใจของคนเป็นๆมาใช้งานแทน

ความจริงแล้วตอนที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ถึงความโหดร้ายที่แท้จริงของตระกูลเหลิ่งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คุณย่ากับพ่อปรึกษากันว่าจะเปลี่ยนหัวใจเขาให้กับพี่ชาย แต่เป็นตอนที่พี่ชายของเขาถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก ภาพความทรงจำในตอนนั้นมันสับสนวุ่นวายไปหมด ถึงขนาดชื่อของพี่ชายตัวเองเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังลืม หลังจากนั้นตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้พูดถึงเด็กคนนี้ที่หายไปอีก ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่

มีแค่เหลิ่งเซ่าถิงที่บางครั้งก็ฝันถึง ตอนที่เขาอายุยังน้อยกำลังเล่นเครื่องบินกระดาษ แล้ววิ่งผ่านหน้าหน้าต่าง พี่ชายก็จะเปิดหน้าต่างออกด้วยสีหน้านิ่ง พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิง นายเสียงดังรบกวนมาถึงฉันแล้วนะ นายช่วยออกไปให้ห่างจากบริเวณห้องหนังสือของฉันด้วย”

พี่ชายของเขาทั้งซูบผอมและดูไร้เรี่ยวแรง แต่กลับได้รับการชื่นชมจากตระกูลเหลิ่ง เขาฉลาดมาก ส่วนเหลิ่งเซ่าถิงที่ถูกอบรมให้เป็นผู้สืบทอดต่อจากตระกูลเหลิ่งนั้นได้เกิดขึ้นในภายหลัง แต่พี่ชายของเขานั้นได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่งตั้งแต่กำเนิด แต่ทว่าคนๆหนึ่งที่เคยได้รับการชื่นชมและการเอ็นดู ตอนที่ต้องกำจัดการมีตัวตนของเขาในตระกูลเหลิ่งนั้น กลับไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเหลิ่งเซ่าถิงสักพัก ไม่ได้ยินเสียงที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ดันเธอออก ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดค่อยๆคืบคลานมา เธอเคยชอบเหลิ่งเซ่าถิง เคยมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิงอีก ตอนนี้รอบๆตัวเธอเงียบมาก เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเหม่อลอย ดูยังไงก็ยังรู้สึกว่าประหลาด

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้อีกว่าจะปล่อยเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ลังเลอยู่สักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามขึ้นมา:“ทำไมคุณต้องบอกฉันเรื่องนี้ล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้น แล้วใช้นิ้วมือที่เรียวยาวผลักศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เพราะกลัวว่าคุณจะถ่วงผมน่ะสิ คุณเชื่อคนง่ายจะตาย ไม่ว่าใครในตระกูลเหลิ่งก็ห้ามเชื่อ รวมถึงผมด้วย แล้วก็ห้ามเกิดความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นกับผม ผมคือผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่ง ผมโชคดีกว่าใครหลายคน ความสงสารสำหรับผมแล้วมันเป็นการดูถูกประเภทหนึ่ง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็ยื่นมือผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปล่อยมือ ยืนอยู่ด้านนอกของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วถามเสียงเบา:“งั้นต่อไปฉันต้องทำยังไง? ควรจะทำยังไงถึงจะไม่ถ่วงคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว:“กินข้าว ดูแลร่างกายให้ดี แล้วลงไปข้างล่างยอมรับผิดกับคุณย่าซะ หลังจากนั้น……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หันหน้ามาชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“หลังจากนั้นคุณไม่อยากไปเจอผู้หญิงคนนั้นที่ทำร้ายคุณจนแท้งหน่อยเหรอ?”

“เฉิงซานซาน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“ฉันอยากจะเจอเขาจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงติดกระดุมเม็ดสุดท้ายของชุดสูท แล้วพูดว่า:“ตอนนี้เขาถูกจับกุมตัวแล้ว นี่เป็นเรื่องเดียวและเรื่องสุดท้ายที่ผมทำเพื่อลูกของเราได้”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้ว แล้วหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดว่า“ลูกของเรา” เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วต่างก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนได้ผูกมัดกันเพราะเรื่องของลูกที่เสียไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้า ตอนนี้เธอต้องเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้ว จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งสักพัก จัดการความสัมพันธ์กับผู้คุมอำนาจของตระกูลเหลิ่งให้ดี เพื่อให้ตระกูลเจี่ยนหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก ไม่ว่าเกียรติคุณของตระกูลเหลิ่งจะสกปรกแค่ไหน ต่างก็เป็นสิ่งที่เธอพูดถึงไม่ได้ และไม่อยากพูดถึง

ความสามารถของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่เยอะ ความปรารถนาก็เช่นกัน ก็แค่อยากจะปกป้องตระกูลเจี่ยนให้สุดความสามารถ หลังจากนั้นก็ดูแลพ่อของตัวเอง

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ที่เดิมสักพัก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง จู่ๆเธอก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงพูดไม่เข้าใจเหมือนเดิม ทำไมเขาต้องกอดเธอแล้วนอนด้วยกันกับเธอบนเตียง

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติลงแล้ว เธอก็ทำตามที่เหลิ่งเซ่าถิงได้กำชับไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้า พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปที่ห้องของคุณนายเหลิ่งเพื่อขอโทษ คุณนายเหลิ่งก็ไม่ได้โกรธเหมือนเช่นเมื่อวานแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม แต่ก็เผยรอยยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว:“เช้าขนาดนี้ก็ตื่นแล้วเหรอ ไม่พักผ่อนสักหน่อยล่ะ”

“คุณย่าคะ หนูมาขอโทษคุณย่าค่ะ ที่เมื่อวานหนูเสียมารยาท” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด

คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้า:“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันต่างหากที่ไม่ได้ระวัง แต่ตอนนี้ดูๆไปแล้วก็เป็นตอนจบที่ดีนะ เธอสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ ฉันก็ดีใจ ต่อไปก็บำรุงรักษาร่างกายให้ดีล่ะ ฉันรอเธอมีหลานให้ฉันอีกครั้งอยู่”

บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วเผยรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาด ก่อนหน้านี้ที่เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงก็เพราะพึ่งฝีมือหมอในการตั้งท้อง ถ้าให้เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้ล่ะก็ คงมีแต่ต้องให้เหลิ่งเซ่าถิง……

กับเหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดแล้วรู้สึกว่าประหลาด แต่เธอคิดถึงคำพูดที่คุณนายเหลิ่งพูดก็แค่คำพูดตามมารยาท อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเกลียดเธอขนาดนั้น เขาไม่คิดจะแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วกับคุณนายเหลิ่งกำลังรักษาอารมณ์สีหน้าและท่าทางอ่อนโยนอยู่ หลังจากนั้นคุณนายเหลิ่งก็บอกให้เธอออกไปได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆถอยออกมาจากห้องของคุณนายเหลิ่ง ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจริงๆว่าคุณนายเหลิ่งเป็นคุณนายที่เมตตาและอ่อนโยนคนหนึ่ง แต่พอได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเจี่ยนอี๋นั่วได้เจอกับคุณนายเหลิ่งอีกครั้ง เธอก็ระมัดระวังขึ้นมา

“คิดไม่ถึงจริงๆ คุณยังสามารถอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อได้” เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงขรึม

เดิมทีใบหน้าที่หล่อเหลาของเหลิ่งหมิงอันมักจะมีรอยยิ้มที่ดูขี้โกงอยู่ตลอด ตอนนี้กลับดูมืดมนราวกับว่ามีเมฆดำปกคลุมอยู่ บริเวณคิ้วกับดวงตานั้นไม่มีความรู้สึก มีแต่ความชั่วร้ายที่โผล่ให้เห็น

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนว่าจะไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหลิ่งหมิงอัน โค้งตัวให้กับเหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย แล้วยิ้มให้:“ฉันควรเรียกคุณว่าน้องสามี?”

“ผมควรเรียกว่าคุณอะไร?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณหนูใหญ่เจี่ยนที่มองหน้าที่แท้จริงของผมออก หรือว่าพี่สะใภ้ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายถ้าอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่ง?”

“ฉันชอบคำเรียกวรรคหน้า” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด

สีหน้าอึมครึมบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันค่อยๆหายไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน:“เห้อ คิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณยังสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ อีกทั้งเป็นเพราะพี่ใหญ่ออกตัวให้คุณอยู่ต่อเองด้วย คุณนี่ก็มีฝีมือเหมือนกันนะ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันเรียกเหลิ่งเซ่าถิงว่า“พี่ใหญ่” ก็จะรู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันเคารพเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอได้ยินเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงที่เคยเล่า ก็พบว่าเหลิ่งหมิงอันเด็กที่เติบโตในตระกูลเหลิ่ง ทำไมถึงไม่รู้เรื่องที่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีพี่ชายฝาแฝด คำที่เขาพูด“พี่ใหญ่” ยากที่จะเลี่ยงว่าไม่ใช่การตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง

ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง อารมณ์ของเธอจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นซวยขึ้นมา รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันน่ารังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่ชอบมากที่เหลิ่งหมิงอัน“รังแก”เหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเหลิ่งหมิงอันเสียงเย็นชา:“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วเดินผ่านข้างๆเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันยื่นมือไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ กดเสียงเข้าใกล้ข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบา:“คุณรู้ใบหน้าที่แท้จริงของผม ว่ากันตามหลักเค้าโครงละครทั่วไป คุณอยากถูกผมฆ่าปิดปากสินะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก:“แต่ละคนในตระกูลเหลิ่งฉลาดกันทั้งนั้น ใบหน้าที่แท้จริงของคุณจะมีสักกี่คนที่ไม่รู้? พวกคุณต่างก็กำลังเล่นหมากกระดาน ทำไมต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วยล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ยิ้มแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอันมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ หัวเราะแล้วพูด:“เป็นผู้หญิงที่รับมือได้ยากจริงๆ ไม้อ่อนก็ไม่ได้ ไม้แข็งก็ไม่ได้ หรือว่าคุณนายเหลิ่งต้องการให้เธออยู่ต่อ? ถึงจะไม่ชอบเธอแล้ว ก็คงไม่ทนเธอ ไม่รู้เลยจริงๆว่าเธอชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง? ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ หรี่ตาลงแล้วพูดเสียงเย็นชา:“ไม่ว่าของอะไรก็ตามที่เหลิ่งเซ่าถิงมี ฉันจะไม่มีงั้นเหรอ? อยากเห็นวันนั้นจริงๆ วันที่เธอทิ้งเหลิ่งเซ่าถิงเพราะฉัน”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ กดเสียงต่ำ แล้วหรี่ตาลง:“ถ้าเป็นแบบนั้น คงจะน่าสนุกแน่ๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง แล้วขึ้นนั่งรถพร้อมคนขับรถที่ตระกูลเหลิ่งได้จัดเตรียมไว้ให้เธอ ราวกับว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไป มีแค่ช่วงที่เธอกำลังขึ้นรถ อดไม่ได้ที่จะลูบท้องเบาๆ ทำให้เธอนึกถึงลูกที่เธอเคยมี ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว

“คุณหญิง พวกเราจะที่ไปไหนครับ?” คนขับรถมองเจี่ยนอี๋นั่วจากกระจกมองหลัง แล้วถามเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ไปสถานกักขัง ฉันจะไปเจอคนที่สำคัญมากกับฉันคนหนึ่ง”

คนที่ฆ่าลูกฉันคนนั้น เฉิงซานซาน!เจี่ยนอี๋นั่วอดทนรอไม่ไหวอยากจะเจอเฉิงซานซาน ถึงแม้ว่าเธอจะเดาได้หลายผลลัพธ์ แต่เธอต้องไปถามเฉิงซานซานด้วยตัวเธอเอง สรุปแล้วเพราะอะไรกันแน่ เฉิงซานซานถึงกับต้องทำร้ายลูกของเธอจนตาย!

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียนที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เธอหรี่ตาลง แล้วหัวเราะออกมา:“ฉันชอบผู้ชายคนอื่นเข้าแล้วจริงๆ ฉู่หมิงเซวียน คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง? จู่ๆฉันก็รู้สึกปล่อยวางมาก เมื่อก่อนคุณหักหลังฉันคบกับเฉิงซานซาน ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าเป็นความผิดของพวกคุณ แต่ฉันก็ยังคงสงสัยในตัวเองว่าฉันทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ ทำไมคุณถึงเลือกเฉิงซานซาน? แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว สำหรับคนเลวๆอย่างคุณ ผู้หญิงก็เป็นแค่เครื่องมือที่คุณใช้ประโยชน์ ถ้าว่ากันเรื่องความผิดของพวกเรา ก็คงผิดที่ชอบคุณ ยังดีนะ ที่ฉันตาสว่างแล้ว”

ฉู่หมิงเซวียนกัดฟันแน่น:“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเล็กน้อย เข้าใกล้ฉู่หมิงเซวียน แล้วพูดเสียงเบา:“ฉู่หมิงเซวียน แทนที่คุณจะกังวลว่าผู้ชายคนนั้นที่ฉันชอบเป็นใคร คุณไปกังวลอนาคตของคุณดีกว่านะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็หุบยิ้มลง กดเสียงให้ต่ำแล้วพูด:“คุณฆ่าลูกฉันตาย ฉันต้องให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สาสมอย่างแน่นอน!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินผ่านตรงหน้าฉู่หมิงเซวียนไป แล้วขึ้นนั่งบนรถ เจี่ยนอี๋นั่วให้คนขับรถขับกลับไปที่บริษัท พอเห็นเห็นแผ่นหลังของฉู่หมิงเซวียนผ่านกระจกก็รีบหันหน้ากลับมา มือของเธอค่อยๆลูบไปที่ท้องน้อยที่ราบเรียบ ค่อยๆหลับตาลง

เจี่ยนอี๋นั่วไปจัดการธุระเรื่องที่บริษัทอี๋เหม่ยก่อน จัดแจงแผนการรับสมัครใหม่ของปีนี้ แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบไปโรงพยาบาล เจี่ยนอี๋นั่วต้องไปทำการตรวจสอบเจี่ยนฉางรุ่นอย่างละเอียด หลังจากที่ยืนยันอาการของเจี่ยนฉางรุ่นแล้ว ถึงจะจัดการแผนการรักษาขั้นต่อไปของเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนอี๋นั่วได้ปลุกตัวเองขึ้นมาจากความสิ้นหวังแล้ว เธอมีแค้นที่ต้องชำระ มีครอบครัวที่ต้องปกป้อง เจี่ยนอี๋นั่วไม่อนุญาตให้ตัวเองล้มลงเป็นอันขาด

เจี่ยนอี๋นั่วต้องทำให้พ่อของเธอฟื้นกลับมาเป็นปกติให้ได้ ต่อให้ไม่กลับเป็นปกติ เธอก็ต้องเลือกสภาพแวดล้อมในการพักฟื้นที่ดีที่สุดให้พ่อของตัวเอง ให้เขาได้ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุด

กว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ ก็ถึงช่วงกลางคืนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่สักพัก แต่ก็ตัดสินใจกลับมาที่ตระกูลเหลิ่ง ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ของเธอตอนนี้กับตระกูลเหลิ่งยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังสามารถกลับมาพักที่ตระกูลเหลิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ได้อยู่ เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงตระกูลเหลิ่ง ก็ไปทักทายกับคุณนายเหลิ่งก่อน แล้วกินข้าวด้วยกันกับคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งทำเหมือนกับว่าความขัดแย้งก่อนหน้านี้มันไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากที่ถามไถ่ถึงอาการของพ่อเจี่ยนอี๋นั่ว ก็บอกให้เจี่ยนอี๋นั่วระวังเรื่องสุขภาพ อย่าทำงานจนล้าเกินไป ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วยังรู้สึกว่าคุณนายเหลิ่งกำลังเป็นห่วงเธอ แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ปฏิบัติกับคุณนายเหลิ่งเหมือนผู้อาวุโสทั่วไปแล้ว เธอตั้งใจตอบทุกคำถามของคุณนายเหลิ่ง

ขณะที่ออกจากห้องของคุณนายเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็ลังเลอยู่สักพัก ถึงจะตัดสินใจกลับมาที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงที่เตียงเล็กของตัวเอง นั่งใจลอยอยู่สักพัก เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจริงๆว่าตอนนี้ทำตัวไม่ถูก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิง แต่คนในตระกูลเหลิ่งต่างก็รู้ว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นแค่ความสัมพันธ์ที่มีข้อตกลงเอาไว้ ก่อนหน้านี้ที่เธอตั้งท้องอยู่ ไม่ได้อึดอัดขนาดนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่มีลูกแล้ว อยู่ห้องเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงก็เหมือนกับว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแบบผิดกฎหมาย เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับเดาได้ว่าสายตาคนอื่นที่จะมองมาที่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นยังไง

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เขากวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนกับว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินมุ่งตรงเข้าห้องอาบน้ำไป

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ถึงจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนชุดนอนแล้วออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วปล่อยอีกฝั่งให้ว่างไว้ เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ:ที่ตรงนั้นเหลือไว้ให้ฉันงั้นเหรอ?

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้แค่คิดแบบนี้ไปมาในสมอง ไม่กล้าคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ เธอก็ยังคงเดินไปที่เตียงเล็กของตัวเอง แต่ไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปถึงเตียงเล็กของตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นมา:“คุณมานอนบนเตียง เตียงของคุณเดี๋ยวพรุ่งนี้จะถูกย้ายออกไป”

“หา? ทำไมล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาทางเหลิ่งเซ่าถิงอย่างร้อนรน

เหลิ่งเซ่าถิงหมายความว่ายังไง? ทำไมต้องนอนเตียงเดียวกับเธอด้วย? หรือว่านี่เป็นสัญญาณ? แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มจะกลัวตระกูลเหลิ่งขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอไม่กล้ายืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ชอบเหลิ่งเซ่าถิงเลยสักนิด แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พัฒนาความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงอีก

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“เหมือนว่าคุณจะลืมแล้วนะ ตอนนั้นพวกเราแยกเตียงกันนอนก็เพราะคุณท้อง กลัวว่าจะกระทบถึงเด็กในท้อง ก็เลยแยกเตียงกันนอน แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นนั่นแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มเจื่อนๆสักพัก แล้วก้มหน้า ค่อยๆลูบท้องตัวเองเบาๆ:“จริงสินะ ฉันไม่มีลูกแล้ว บางทีฉันก็ลืมเรื่องนี้ไป ฉันนี่แปลกคนจริงๆ ตอนที่ท้องต้องใช้ระยะเวลานานถึงจะปรับตัวกับสถานะความเป็นแม่ได้ ตอนนี้ก็ต้องค่อยๆปรับตัวว่าตัวเองได้เสียลูกไปแล้วอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

บรรยากาศจู่ๆก็เงียบขึ้นมา เงียบจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าต้องพูดอะไรออกมาหน่อย เพื่อทำลายบรรยากาศที่อึดอัดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นมา:“ความจริงแล้วตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งต่างก็รู้ว่าฉันกับคุณไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆ ทำไมพวกเรายังต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาด้วยล่ะ? อีกอย่างไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องเลิกกัน ทำเหมือนฉันเป็นคนไม่มีตัวตนก็ได้แล้วหนิ ทำไมต้อง……”

“เรื่องคาดคะเนกับเรื่องจริงมองไม่เหมือนกัน คุณเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนไม่มีตัวตน ต่อไปคุณก็ต้องมีตำแหน่งนี้ติดตัว”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มตาลง แล้วพูดเสียงขรึม:“ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เปิดเผยให้คนนอกรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณ ทำให้คุณลดปัญหาลงได้บ้าง ในอนาคตตอนที่คุณออกจากตระกูลเหลิ่งน่ะนะ แต่คนตระกูลเหลิ่งคงจะไม่พอใจ ให้พวกเขารู้ว่าคุณยังคงให้ความสำคัญกับผมอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าคุณจะออกจากตระกูลเหลิ่ง พวกเขาคงไม่โหดร้ายกับคุณเกินไป สรุปก็คือต้องสนใจผมบ้าง มันก็น่าจะดีกว่าที่คุณกลายเป็นคนธรรมดาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอดีตภรรยา กลายเป็นที่ระบายความโกรธของพวกเขานะ”

“คุณไม่ให้ฉันพูดเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับคุณออกไป ก็เพื่อหลังจากที่ฉันออกจากตระกูลเหลิ่ง มีข่าวลือซุบซิบน้อยลง?” เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิง กลับวางแผนเพื่ออนาคตของเธอ

เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามต่อ:“คุณให้ฉันรักษาความสนิทที่คลุมเครือนี่กับคุณ ก็เพื่อไม่ให้คนอื่นในตระกูลเหลิ่งคิดว่าฉันคือคนที่คุณทิ้ง ไม่อยากให้พวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้งฉัน? ก็จริง ฉันกับคุณถึงแม้ว่าจะถูกดึงให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ยังไงซะฉันก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ฉันจะโง่ถึงขนาดออกจากตระกูลเหลิ่ง แล้วตัดความสัมพันธ์กับคุณไปเลยได้ยังไง? พวกเขาคงเอาความแค้นที่จัดการฉันไม่ได้ ย้ายมาที่ตัวฉัน ยังไงซะฉันสำหรับคนตระกูลเหลิ่งแล้ว ก็เป็นแค่ของเล่น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะกดขี่ยังไงสักหน่อย ตอนนี้คุณอยากแสดงให้คนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งเห็นว่าคุณจะปกป้องฉัน ต่อให้ฉันออกจากตระกูลเหลิ่งแล้ว ก็ไม่สามารถกดขี่ได้ตามอำเภอใจได้? คุณ……”

“คุณอย่าคิดมาก ผมไม่ได้คิดเพื่อคุณขนาดนั้นเหมือนที่คุณคิด” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดแทรกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็นชา:“ผมมีข้อเสนอต่างหาก ผมจะปกป้องคุณ ต่อให้คุณออกจากตระกูลเหลิ่ง ผมก็จะรับรองว่าตระกูลเหลิ่งจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ คุณก็ต้องรับรองเหมือนกันว่าต่อไปคุณออกจากตระกูลเหลิ่งแล้วจะไม่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด วันนี้ผมพลั้งปากพูดไปไม่น้อย”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าใจความหลักที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงคือเรื่องของพี่ชายฝาแฝดของเขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้าแล้วพูด:“ฉันรับรอง ฉันไม่มีทางพูดออกไปอย่างแน่นอน ฉันยังต้องการชีวิตน้อยๆของฉันอยู่นะ ถ้าพูดออกไป คุณไม่ลงมือ คุณนายเหลิ่งก็คงไม่ปล่อยฉันไปอยู่ดี อีกอย่างเรื่องนั้นถ้าไม่ใช่เพราะคุณพูด ฉันคงคิดจริงๆว่าใครปั้นเรื่องซุบซิบไฮโซแบบนี้ขึ้นมา ฟังดูแล้วเชื่อถือไม่ได้สักนิด ฉันพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ”

เหลิ่งเซ่าถิงย่นคิ้วเล็กน้อย:“เรื่องซุบซิบไฮโซ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“คนแบบพวกคุณที่ไฮโซขนาดนี้มีเรื่องซุบซิบอยู่เยอะมาก ทุกคนต่างไม่เข้าใจ แถมยังรู้สึกว่าพวกคุณลึกลับมาก อีกทั้งตั้งความหวังไว้กับพวกคุณด้วย ก็คงจะมีเรื่องซุบซิบมั่วซั่วออกไป แต่จะจริงหรือเท็จอันนี้ก็ไม่รู้แล้ว เรื่องที่เวอร์วังมากที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาก็คือมีตระกูลหนึ่ง ลูกชายตระกูลของพวกเขาเดิมทีคือลูกสาว เพื่อจะสืบทอดกิจการต่อก็เลยแปลงเพศ แปลงเป็นผู้ชาย นี่มันเวอร์เกินไปมาก มีแบบนี้ที่ไหนกันที่ให้ลูกสาวเปลี่ยนเพศเพื่อสืบทอดกิจการ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“อ๋อ เรื่องนี้ นั่นเรื่องจริงนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ มองเหลิ่งเซ่าถิง:“จริงเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ:“ดูแล้วมีความจำเป็นมากจริงๆที่ผมจะปิดปากคุณ”

“งั้นยังมีอะไรอีกนะที่……” เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้เรื่องของไฮโซพวกนี้เยอะมาก อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ก็เลยถามเพิ่ม

แต่ว่าไม่ได้พูดจบประโยค เหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือไปปิดไฟด้วยสีหน้าเย็นชา แทรกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว

“ขึ้นเตียง มานอน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาในบรรยากาศที่มืดมิด

“ก็ได้” เจี่ยนอี๋นั่วตอบรับเสียงเบา เดินแล้วใช้มือคลำไปทางเตียงในความมืดมิด เธอเดินไปตามทิศทางในความทรงจำของเธอ พอสัมผัสกับเตียง ก็คลำไปถึงขาของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหดมือกลับ แล้วพูดอย่างร้อนรน:“ขอโทษที”

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆปีนขึ้นเตียง ก็ไม่รู้อีกว่าชนกับเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆในบรรยากาศที่มืดมิดนี้

“ขอโทษ” เจี่ยนอี๋นั่วลุกลี้ลุกลน แล้วรีบถอยกลับไป แต่ก็เหมือนกับว่าไปกดทับร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงอีก เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขอโทษ:“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“พอแล้ว คุณอย่าขยับตัวมั่วซั่วสิ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงแหบพร่า

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็รีบหยุด แม้แต่จะขยับสักนิดก็ไม่กล้า บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินแค่เสียงหายใจแรงของเหลิ่งเซ่าถิงในบรรยากาศที่มืดมิดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่เธอได้สัมผัสกับอะไรไป สีหน้าของเธอค่อยๆแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ

“ผู้หญิงอย่างคุณนี่นะ จริงๆเลย……” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จู่ๆก็ยื่นมือมาโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว ออกแรงเพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วไปยังอีกฝั่งของเตียง

เหลิ่งเซ่าถิงจับเจี่ยนอี๋นั่วใส่เข้าไปในผ้าห่มอย่างบุ่มบ่าม แล้วพูดว่า:“คุณก็นอนตรงนี้แหละ ห้ามขยับ”

ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง จนกระทั่งวันนี้เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นตอนที่เธอสัมผัส เหลิ่งเซ่าถิงก็มีปฏิกิริยาอยู่เหมือนกัน เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของชายหญิงระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธออย่างแท้จริงก็วันนี้ หลังจากที่รับรู้ได้ถึงจุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียงเดียวกัน ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่

พวกเขาไม่ใช่เด็กสามสี่ขวบสักหน่อย ทั้งสองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วนอนบนเตียงเดียวกันแบบนี้ บอกไปว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น คนอื่นเขาคงจะไม่เชื่อล่ะมั้ง?

“คือว่า……ฉันไปนอนด้านล่างดีกว่าไหม ฉันปูที่นอนด้านล่างสักหน่อย……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาแล้วพูดเสียงขรึม:“นอนซะ หลับตา ห้ามขยับ”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา แล้วหายใจเข้าลึกๆ เธอปิดตาลงและปิดปากให้สนิท เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับ คงอึดอัดตลอดทั้งคืน แต่เจี่ยนอี๋นั่วประเมินการระมัดระวังตัวของตัวเองสูงเกินไป ผ่านไปไม่นาน เธอก็กอดหมอนแล้วนอนหลับไป

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังหลับ เหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆยื่นมือไปโอบบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้ว่าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วจะยังมีอารมณ์ต่อต้านกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ร่างกายของเธอราวกับว่าถูกเหลิ่งเซ่าถิงบ่มเพาะจนกลายเป็นเงื่อนไขที่จะต้องถูกเขากอดแล้ว ขณะที่มือของเหลิ่งเซ่าถิงโอบอยู่ที่ไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้ามาในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงอัตโนมัติ ศีรษะติดอยู่กับบริเวณหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก็สามารถได้กลิ่นหอมจากบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว มันเป็นกลิ่นเดียวกับเขา เป็นกลิ่นพิเศษของครีมอาบน้ำในห้องอาบน้ำ ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วหลับไม่ได้แข็งกร้าวหรือดื้อรั้นเหมือนตอนตื่นปกติเลยสักนิด อ่อนแออย่างกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังหลับสบาย เธอเข้ามาใกล้ส่วนอกของเขา ราวกับว่าทั้งร่างกายและจิตใจเธอนั้นไม่สามารถแยกจากเขาได้

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆโอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กระตุกมุมปากเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้ของเขานั้นเหมาะสมหรือไม่ เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เหลิ่งเซ่าถิงหลอกทุกคน อยากจะไม่สนใจเหตุผลที่เขาทำพฤติกรรมแปลกๆแบบนี้ลับหลัง เพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงกังวลตอนที่เขารับรู้ได้ถึงเหตุผลของการทำพฤติกรรมแบบนี้ลับหลัง เขาจะไม่สามารถกอดเจี่ยนอี๋นั่วได้อย่างสบายใจอีก

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าพึ่งจะสาง แต่เหลิ่งเซ่าถิงได้ตื่นขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้บนเตียงมีแค่เธอคนเดียว เจี่ยนอี๋นั่วบิดขี้เกียจแล้วลงจากเตียง วันนี้เธอมีธุระหลายเรื่องที่ต้องทำ จำเป็นต้องตื่นให้เร็วหน่อย หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังเตรียมตัวออกจากห้อง ก็ชนเข้ากับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินเข้ามาจากนอกห้องพอดี

เหลิ่งเซ่าถิงใส่ชุดออกกำลังกาย ดูแล้วพึ่งจะวิ่งเสร็จแล้วกลับมาจากด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูด:“ฉันจะออกไปทำงานแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินลงมาด้านล่าง ก็รับรู้ได้ถึงคนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้พูดกับเธอ แต่ทุกคนต่างก็กำลังใช้สายตาแปลกๆมองมาที่เธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วเดินออกมาจากคฤหาสน์ ในใจรู้สึกแปลกๆ:สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพวกเขาใช้สายตาแปลกๆแบบนั้นมองมาทางฉันล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วนึกว่าการแต่งตัวของตัวเองมีอะไรที่ไม่เหมาะสม บิดตัวไปมาตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่าตัวเองมีปัญหาอะไรตรงไหน

“พี่สะใภ้ ดูอะไรอยู่น่ะ?” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาเจี่ยนอี๋นั่ว:“พี่สะใภ้? วันนี้คุณตื่นเช้าจังนะ ผมนึกว่าสายๆคุณถึงจะตื่นซะอีก”

เหลิ่งหมิงอันพูด แล้วเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ยื่นมือไปแหย่ที่ผมของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลบเลี่ยง ถามเสียงเย็นชา:“คุณจะทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด:“ผมกำลังดูว่าพี่สะใภ้ไม่ระวังจนพกรอยอะไรมาด้วยหรือเปล่า พี่ใหญ่ผมไม่ได้เข้าใกล้ผู้หญิงนานมากแล้ว น่าจะไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่ล่ะมั้ง”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินเหลิ่งหมิงอันพูดแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดที่คอของตัวเอง ขมวดคิ้วแล้วพูด:“คุณจะพูดอะไรกันแน่?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้าใกล้อีกหนึ่งก้าว:“ตอนนี้ตระกูลเหลิ่งน่าจะไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณกับพี่ใหญ่นอนเตียงเดียวกันเมื่อคืน วันนี้ตอนเช้าตรู่ พี่ใหญ่ยังให้คนไปย้ายเตียงเล็กของคุณในห้องอยู่เลย คิดไม่ถึง ว่าจะคุณจะมีความสามารถจริงๆ ถึงสามารถเอาพี่ใหญ่ได้อยู่หมัด”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งหมิงอัน ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้พวกคนรับใช้ใช้สายตาแปลกๆมองมาที่เธอ ตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งน่าจะกำลังคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆยิ้มออกมา:“คุณก็นับว่าเป็นคนมีตำแหน่งฐานะ ทำไมถึงเป็นห่วงเรื่องเตียงนอนเรื่องห้องของฉันกับเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนี้ล่ะ?”

“สำหรับคนอื่นนี่เป็นเรื่องเตียงนอนเรื่องห้อง แต่สำหรับผมกับพี่ใหญ่นี่เป็นเรื่องใหญ่ในตระกูลเหลิ่ง” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงต่ำพูด:“แต่ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่ใหญ่ไม่มีทางพัฒนาได้ถึงขั้นนั้นแน่นอน เรื่องระหว่างชายหญิง ผมนี่เชี่ยวชาญนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน หัวเราะแล้วพูด:“ถ้าคุณเอาความคิดแบบนี้ไปทุ่มเทให้กับการแย่งชิงทรัพย์สินในตระกูล ตระกูลเหลิ่งคงเป็นของคุณนานแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว หยุดลงสักพัก หลังจากนั้นถึงจะหัวเราะเสียงเบาๆ:“ปากของคุณร้ายจริงๆ พี่ใหญ่ไม่มีทางชอบผู้หญิงแบบคุณหรอก เขาชอบผู้หญิงที่อ่อนโยน อย่างหลิวจื่อซิงนู่น วันนี้เขากลับประเทศมาแล้ว อีกไม่นานเธอน่าจะได้เจอเขาแล้วล่ะ”

หลิวจื่อซิง?

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชื่อนี้จากปากของเหลิ่งหมิงอันมาตลอด จากคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ที่มักจะได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลิวจื่อซิงกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ปกติเหมือนคนอื่น แต่ในสายตาของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นภูเขาน้ำแข็งที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ คิดไม่ออกจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยมีผู้หญิงมาก่อนด้วย

สำหรับหลิวจื่อซิงผู้หญิงคนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วมีความอยากรู้มากกว่าความอิจฉา เธอตั้งหน้าตั้งตารอเจอหลิวจื่อซิง แต่ทำไมเหลิ่งหมิงอันถึงพูดถึงหลิวจื่อซิงไม่หยุดล่ะ? สรุปแล้วหลิวจื่อซิงคนนี้เป็นอะไรกับเหลิ่งหมิงอันกันแน่? เจี่ยนอี๋นั่วนึกคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยพูด เหลิ่งหมิงอันมักจะอยากได้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขา

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“เขาคืออาวุธจากข้าศึกที่คุณแย่งมาจากเหลิ่งเซ่าถิง?”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ชอบเหลิ่งหมิงอัน แต่ถ้ามีผู้หญิงจะหลงใหลในตัวเหลิ่งหมิงอันนั้นก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใจสำหรับเธอ เหลิ่งหมิงอันมีผู้หญิงมากมายที่หลงใหลที่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา อีกอย่างถ้าเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิง เขาสามารถใกล้ชิดได้ง่ายกว่า เขามีวิธีหลอกลวงพวกผู้หญิงอยู่บ้าง ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง ที่ถูกความเยือกเย็นจากบนตัวเหลิ่งเซ่าถิงแทงเข้าไป บางทีสามารถทำให้เหลิ่งหมิงอันลุ่มหลงผู้หญิงพวกนั้นได้ง่ายกว่าก็ได้นะ

“เขาไม่ใช่อาวุธจากข้าศึก เป็นนางฟ้าของพวกเราต่างหาก ถึงแม้ว่าฐานะทางสังคมของเขาจะไม่ดี เป็นแค่ลูกสาวของคนรับใช้ในบ้าน แต่หน้าตาเขาสวย นิสัยก็อ่อนโยน พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ตอนนั้นเด็กในตระกูลเหลิ่งมีน้อย ใกล้ชิดกับเด็กผู้หญิงไว้คงดีกว่า เขาเป็นรักแรกของผมกับพี่ใหญ่ แค่ในตอนแรกเขาเลือกพี่ใหญ่ แต่ต่อมาเขาก็เลือกผม ผู้หญิงที่อ่อนโยนนิสัยดีเหมือนเขา ถ้าได้มาพัวพันกับผมและพี่ใหญ่ คงจะรู้สึกละอาย ทำได้แค่เลือกที่จะเดินออกไป……” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ค่อยๆหลับตาลง ราวกับว่านึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีตที่สวยงาม

หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งหมิงอันก็ยิ้มแล้วพูด:“พี่ใหญ่ถูกรถชน ก็เพราะจะเอาเขากลับคืนมา แล้วต่อมาก็มีเรื่องคุณเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง จะว่าไปแล้ว คุณสามารถเข้ามาในตระกูลเหลิ่งได้ คงต้องขอบคุณเขาที่ในตอนนั้นปฏิเสธพี่ใหญ่”

“ฟังดูแล้วเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนบ่อยจังเลยนะ ปั่นหัวพวกคุณสองพี่น้อง แต่คุณกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนคนที่ถูกปั่นหัวเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วหันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอัน ยิ้มแล้วพูด:“ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอเจอเขา อยากจะรู้นักเรื่องราวของคุณถูกแต่งเติมมากแค่ไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินผ่านเหลิ่งหมิงอันไป ขึ้นไปนั่งบนรถที่ตระกูลเหลิ่งจัดไว้ให้เธอ เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ส่ายหน้าแล้วพูด:“เป็นผู้หญิงที่รับมือยากจริงๆ”

“ในเมื่อยากที่จะจัดการ งั้นก็ไม่ต้องจัดการเขาแล้ว แกน่ะเคลิ้มตามเกมของเขาเกินไปแล้ว ไม่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไง รอให้หลิวจื่อซิงกลับมา เขาก็ไม่ได้มีค่าอะไรแล้ว” เหลิ่งเฉิงอวี่เดินมาที่ข้างๆเหลิ่งหมิงอันแล้วพูด

เหลิ่งเฉิงอวี่พูดจบ ก็เดินผ่านร่างของเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันยังคงมองไปทิศทางที่รถของเจี่ยนอี๋นั่วจากไป หรี่ตา หัวเราะแล้วพูด:“ฉันเคลิ้มมากเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สนใจหลิวจื่อซิงที่เหลิ่งหมิงอันพูดถึงไม่หยุดเลยสักนิด เธอเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากเกินไปสำหรับเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกำชับไว้หลายรอบว่าระหว่างพวกเธอไม่มีทางมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างเธอก็หวาดกลัวสภาพความเป็นอยู่ในตระกูลเหลิ่งด้วย ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกแบบไหนกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็จะกดทับเอาไว้ ไม่มีทางจะพัฒนาขั้นต่อไปอย่างแน่นอน

ตอนที่กำลังคิดแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามไม่ไปสนใจผู้หญิงแต่ละประเภทที่น่าจะปรากฏขึ้นข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง อีกอย่างเจี่ยนอี๋นั่วมีเรื่องเยอะมากที่จำเป็นต้องไปจัดการ ไม่มีประสบการณ์มากมายที่จะไปคิดถึงความรู้สึกรักๆใคร่ๆพวกนั้นด้วยซ้ำ

มาถึงที่บริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเรียกประชุม เอาพนักงานที่รับสมัครใหม่มาสร้างเป็นแผนกการขายที่สองอย่างรวดเร็ว ผู้จัดการของแผนกการขายที่สองคือคนที่เจี่ยนอี๋นั่วเชิญเข้ามาทำงานใหม่ด้วยเงินเดือนที่สูงเอาเรื่อง แถมเธอยังลดแผนกการขายดั้งเดิมแล้วด้วย อีกทั้งรวบรวมคนแล้วสร้างแผนกการเงินขึ้นมาใหม่ พนักงานเก่าที่เข้าร่วมประชุมต่างก็ทราบกันดีว่าเจี่ยนอี๋นั่วจงใจหาเรื่องฉู่หมิงเซวียน ในฐานะที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นผู้จัดการแผนกการขาย ที่เจี่ยนอี๋นั่วทำก็เป็นการลดอำนาจของฉู่หมิงเซวียน

“ถ้าประธานเจี่ยนอยากจะจัดการแบบนี้ มันคือบีบให้พนักงานแผนกการขายทุกคนลาออกแล้วนะ” หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนฟังการจัดการของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดยิ้มเยาะ

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียน แล้วหัวเราะออกมา:“ผู้จัดการฉู่เข้าใจผิดแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้ผลการทำงานของแผนกการขายของพวกคุณไม่เป็นที่น่าพอใจเลย ก็เลยจะปรับปรุงและจัดใหม่สักหน่อย พนักงานแผนกการขายทุกคนต่างก็ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อบริษัท ฉันจะบีบให้พวกเขาออกได้ยังไง? แต่ว่าทุกคนก็มีทางเลือกเป็นของตัวเอง ถ้ามีคนรู้สึกว่าบริษัทอี๋เหม่ยไม่เหมาะกับเขา อยากจะหางานใหม่ แล้วลาออก ฉันไม่ห้ามอย่างแน่นอน แต่กรุณาช่วยแจ้งแผนกบุคคลของบริษัทให้ทราบล่วงหน้าสามเดือนด้วย”

“เจี่ยนอี๋นั่ว!คุณอย่าบังคับผม!” ฉู่หมิงเซวียนยืนขึ้นมา ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพิงเก้าอี้ ยิ้มแล้วมองไปทางฉู่หมิงเซวียน:“ฉู่หมิงเซวียน ฉันไม่ได้บังคับคุณ ฉันก็แค่ให้คุณรู้ ว่าตำแหน่งที่แท้จริงของคุณอยู่ตรงไหน ตอนนี้ฉันเป็นประธานบริหาร ฉันมีอำนาจจัดการงานทุกอย่างของบริษัท คุณเป็นผู้จัดการแผนก ควรยอมทำตามการจัดการของบริษัทนะ”

“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ประธานเจี่ยนจะบีบจนผมต้องไปเฝ้าโรงเก็บของให้ได้เลยใช่ไหม? อย่างกับว่าผมมีแค่ลาออกแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบจดหมายมาหนึ่งฉบับจากในกระเป๋า โยนไปให้ฉู่หมิงเซวียน:“จดหมายลาออกของคุณ ฉันเขียนแทนคุณให้แล้ว ถ้าอยากจะลาออก ก็ส่งไปที่แผนกบุคคลได้เลย!”

“เจี่ยนอี๋นั่วเธอนี่เป็นคนที่เลือดเย็นจริงๆเลย ฮุ่ยฮุ่ยยังเด็กอยู่ เธอจะใจดำกับน้องแบบนี้ไม่ได้นะ?”เฮ่อเยี่ยนหงพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกร้องไห้ไปด้วย หันหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วยแล้ววิ่งตามหลังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยออกไป

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาแรงๆแปบหนึ่งแล้วเธอก็เดินไปตรงหน้าคุณพ่อ กุมมือของคุณพ่อ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีที่พึ่ง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต เฮ่อเยี่ยนหงก็พึ่งไม่ได้ และตอนนี้พ่อของเธอก็มากลายเป็นแบบนี้อีก……

เวลานี้ข้างกายเธอไม่มีใครสักคนที่สามารถพึ่งพาได้

ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วเกลียดชังฉู่หมิงเซวียนเอามากๆ ทุกอย่างเป็นเพราะฉู่หมิงเซวียนคนเดียวที่ทำให้คุณพ่อล้มป่วย ทำให้ระดับสติปัญญาของคุณพ่อต่ำกว่าปกติอย่างถาวร แล้วยังมีเรื่องของลูกอีก เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่านี่เป็นการตัดสินใจกระทำของเฉิงซานซานเพียงคนเดียว เฉิงซานซานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ต้องเป็นฉู่หมิงเซวียนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังและให้เฉินซานซานลงมือแน่นอน

เจี่ยวอี๋นั่วในใจลึกๆสงสัยว่า ฉู่หมิงเซวียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธอแล้วหรือยัง เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเหลิ่งมีปัญหากันมากขึ้น จึงคิดกำจัดลูกในท้องของเธอ

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าอย่างงั้นฉู่หมิงเซวียนก็เป็นศัตรูของเธอโดยอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้! และต้องเอาคืนให้ตายไปข้างหนึ่ง!

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูกได้ไม่นานร่างกายยังไม่ฟื้นตัว หลังจากผ่านเรื่องราวที่ทำให้เสียใจและเรื่องที่ทำให้โกธรมาก ร่างกายของเธอหมดแรงและสั่นไปทั้งตัว เกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น ทันใดนั้นมีมือของใครคนหนึ่งเข้ามาพยุงด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วทรงตัวได้ ก็รีบหันหลังไปมอง เธอมองเห็นเหลิ่งหมิงอันอยู่ด้านหลังหล่อน เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินถอยหลังกี่ก้าวจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดขึ้นว่า:“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คะ?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงหัวพร้อมหัวเราะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมก็มาเยี่ยมคุณไงครับ ผมได้ข่าวมา วางใจเถอะคุณไม่มีลูกแล้ว ดูท่าแล้วตระกูลเหลิ่งไม่จำเป็นต้องดูแลคุณอีกต่อไป แต่ว่าผมไม่รังเกียจคุณนะ ผมจะดูแลคุณให้ดีเอง

ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณแท้งลูกของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว แต่ผมยังเต็มใจจีบคุณเหมือนเดิม คุณเชื่อผมหรือยังว่าผมจริงใจกับคุณจริงๆ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“ฉันไม่ได้ต้องการความห่วงใยใส่ใจดูแลจากคุณ !ฉันดูแลตัวเองได้ คุณจะจริงใจหรือไม่จริงใจมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยสักนิด”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงก็นึกขึ้นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและตระกูลเหลิ่งยังไม่ได้จัดการ เธอแท้งลูกแล้ว อาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งต้องอาศัยอยู่ในฐานะอะไร ความสัมพันธ์จะไปในทิศทางไหน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ในตระกูลเหลิ่งเท่านั้น เสียลูกคนนี้ไป มันเป็นความผิดของพวกเขาทั้งสองที่เป็นคนก่อขึ้นทั้งหมด เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าตัวเองควรเป็นคนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ไม่ว่าตระกูลเหลิ่งจะถอนเงินที่ลงทุนกับตระกูลเจี่ยน หรือว่าจะให้หล่อนหย่าขาดกับเหลิ่งเซ่าถิง หล่อนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ดูเหมือนว่าฉันควรต้องกลับไปบ้านตระกูลเหลิ่งอีกสักครั้งแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วได้กำชับกับพยาบาลพิเศษอย่างละเอียด ให้พยาบาลพิเศษดูแลคุณพ่อของตัวเองดีๆ สุดท้ายเธอก็เช็ดมือให้กับคุณพ่อ จากนั้นก็ลุกขึ้น:“คุณดูแลคุณพ่อของฉันให้ดีๆก่อนนะคะ เดี๋ยวกลางคืนฉันจะกลับมาใหม่”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตระกูลเหลิงไม่มีความจำเป็นต้องให้เก็บเธอไว้อีกต่อไป เหลิ่งหมิงอันก็โผล่มาที่นี่แล้ว แต่ว่าคุณนายเหลิ่งกลับไม่ส่งคนมาเลย นี่ก็แสดงได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคุณนายเหลิ่งไม่ต้องการหล่อนอีกแล้ว อีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ชอบเธอเลยสักนิดเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช่ชีวิตอยู่ในฐานะสามีภรรยากับเธออีกต่อไปได้ ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าวันนี้ได้กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งครั้งนี้ คงเป็นการสะสางความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธอ จากนั้นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป

เหลิ่งหมิงอันเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วตลอด เห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะเตรียมตัวออกไป เหลิ่งหมิงอันหัวเราะทันทีพร้อมพูดขึ้นว่า:“คุณจะกลับคฤหาสน์เหรอ?ผมไปส่งคุณดีไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน หน้าตาไม่รับแขกพร้อมพูดว่า:“ฉันไปคนเดียวเองได้ และก่อนไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ฉันยังมีเรื่องต้องสะสางอีกเรื่อง”

เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูด “ผมช่วยคุณได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันด้วยหน้าตาที่เย็นชาพูดขึ้นว่า:“เหลิ่งหมิงอัน ฉันไม่มีอะไรจะให้คุณหลอกใช้อีกแล้ว คุณอย่าคิดแค่จะเอาชนะและคุณไม่จำเป็นต้องเล่นเกมอีกต่อไป เวลานี้ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว คุณอย่ามารังควานอย่ามาบังคับฉันอีกต่อไปเลย ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าหากฉันหาทางออกไม่เจอแล้วคิดสั้น อาจจะลากคุณไปตายด้วยกัน คุณเป็นถึงคุณชายรองแห่งตระกูลเหลิ่ง ตายไปพร้อมกับฉันง่ายๆแบบนี้ มันดูไร้ค่าไปหรือเปล่า?”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห:“กลัวความพ่ายแพ้?ผู้หญิงอย่างเธอดูได้แม่นยำเหลือเกินนะ ใช่สิ เธอไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือได้แล้ว แต่ว่าผมรู้สึกน้อยใจเรื่องที่คุณยังไม่ชอบผมสักที คุณยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงอยู่หรือ ?คุณฟังนะ ถึงยังไงเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ชอบคุณหรอก เขาจะไล่คุณออกจากตระกูลเหลิ่งด้วยตัวของเขาเอง ผมมีอะไรที่สู้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้บ้าง?เขาดีกับคุณมากเหรอ?ทำไมคุณถึงชอบผู้ชายอารมณ์โมโหร้ายชอบใส่อารมณ์ให้คุณอย่างเหลิ่งเซ่าถิง แต่ทำไมกลับต้องเย็นชาใส่ผมและปฏิเสธผมตลอดเวลาด้วย?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน:“ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะชอบหรือไม่ชอบฉัน แต่เขาไม่เคยเสแสร้ง คุณในตอนนี้ดูจริงใจกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าหากคุณแสดงความจริงใจแบบนี้กับฉัน บางทีฉันอาจจะชอบคุณ เหลิ่งหมิงอัน บางทีอาจจะมีคนชอบที่คุณเสแสร้ง แต่ฉันเคยรักผู้ชายที่ไม่จริงใจเหมือนกันกับผู้ชายอย่างคุณ ฉันมองเห็นคุณ ก็เหมือนได้พบเจอกับความไม่จริงใจอีกครั้ง ตอนนี้ฉันชอบผู้ชายที่เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ว่าเขาจะเย็นชาหรือว่าเฉยเมย หรือเพราะความหยิ่งยโส ยังดีกว่าเสแสร้งแกล้งทำดีเป็นห่วงเป็นใย ผู้ชายที่พูดตรงไปตรงมาคู่ควรที่ฉันจะรัก ”

เดิมทีเหลิ่งหมิงแสดงอาการที่ทำตามอำเภอใจ ใบหน้าค่อยๆสำนึกผิด :“ที่แท้คุณเป็นผู้หญิงแบบนี้?เจี่ยนอี๋นั่ว เธอทำให้ผมคาดไม่ถึงจริงๆ แล้วตอนนี้ผมเป็นแบบนี้คุณจะชอบผมไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งหมิงอันพูดว่า:“อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้สึกดีกับคุณมากขึ้น แต่ว่าพวกเราคงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้วล่ะ หวังว่าคุณจะให้อภัยฉันสำหรับความหยาบคายก่อนหน้านี้ และอีกอย่างขออวยพรให้คุณโชคดี คุณเหลิ่ง ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินผ่านตรงหน้าเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้เดินตามไป เขายืนพิงหลังกำแพงของโรงพยาบาล ค่อยๆหัวเราะออกมา:“ช่างเป็นผู้หญิงที่ตลกจริงๆ ตลกจริงๆ……”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ผมเป็นคนชอบเอาชนะ?ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ล่ะ?”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องนำลูกของเธอไปฝัง เจี่ยนอี๋นั่วเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดว่า ลูกที่ยังไม่ทันเกิดมาลืมตาดูโลก ไม่สามารถฝังได้ต้องนำไปทิ้งลงแม่น้ำหรือนำไปทิ้งที่อื่น ถ้าไม่อย่างงั้นจะนำพาความโชคร้ายให้กับผู้เป็นแม่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากทิ้งลูกของเธอ เธออุ้มลูกของเธอใส่ลงไปในขวดแก้ว เดินตรงไปหลังเขาข้างคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง และฝังมันอย่างระมัดระวัง

ตอนที่คุณแม่ของเจี่ยนอี๋นั่วยังมีชีวิตอยู่ คุณแม่ชอบพาเธอไปเที่ยวเล่นที่หลังเขาบ่อยๆ ตอนนั้นที่บ้านเริ่มทำธุรกิจ ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เข้าพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์และยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ต้องขับรถไกลมากถึงจะขับมาถึงภูเขาแห่งนี้ แต่ว่าคุณแม่จะพยายามพาเธอมาเที่ยวที่นี่ทุกอาทิตย์ เพราะว่าสถานที่แห่งนี้สามารถมองเห็นบริษัทที่ทำงานของคุณพ่อได้

ในขณะนั้นเจี่ยนฉ่างยุ่นงานยุ่งมาก น้อยมากที่จะมีเวลากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ถึงแม้จะมีเวลากินข้าวด้วยกันไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็รีบกินแล้วก็รีบไป เมื่อสมัยเจี่ยนอี๋นั่วยังเป็นเด็กเคยคิดว่าตัวเองไม่มีคุณพ่อ จากนั้นคุณแม่ของเธอก็จะพาเธอไปเที่ยวเล่นที่ภูเขาแห่งนี้บ่อยๆ เธอจะวิ่งเล่นในพงหญ้าวิ่งไล่จับตั๊กแตนและผีเสื้อ

เมื่อเธอเล่นจนเหนื่อยและเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอก็จะวิ่งไปหาคุณแม่ พูดกับคุณแม่ว่า:“คุณพ่ออยู่ไหนคะ ?ทำไมคุณพ่อไม่อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับอี๋นั่วคะ?อี๋นั่วคิดถึงคุณพ่อมากค่ะ ……”

คุณแม่ก็จะชี้ไปทางบริษัทที่ตั้งอยู่ห่างไกล ยิ้มแล้วพูดกับอี๋นั่วว่า:“คุณพ่ออยู่ที่นั่น คุณพ่ออยู่กับพวกเราตลอด คุณพ่อกำลังยิ้มให้กับอี๋นั่วอยู่ทางโน่น อี๋นั่วโบกมือทักทาย ตอนนี้คุณพ่อตั้งใจทำงานอยู่นะคะ ก็เพื่อให้อี๋นั่วมีความสุขและสุขสบายมากขึ้นไงคะ”

เด็กน้อยเจี่ยนอี๋นั่วก็จะรีบกระโดดขึ้นมาทันทีพร้อมตะโกนว่า:“คุณพ่อคะ!วันนี้อี๋นั่วมีความสุขมากเลยค่ะ คุณพ่อต้องตั้งใจทำงานนะคะ!”

ในความเป็นจริงแล้วระยะทางห่างไกลมาก คุณพ่อมองไม่เห็นเธอหรอก?เวลาผ่านไปเจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าเป็นเพราะคุณแม่ไม่อยากรบกวนในขณะที่คุณพ่อทำงาน แต่ก็เพราะอยากให้เธอรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่เคียงข้างเธอตลอดเลยคิดสร้างเรื่องโกหกที่สวยงามขึ้นมา และนี่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตและไม่อันลืมเลือนของเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว ผ่านไปไม่นานคุณแม่ท่านก็เสีย จากนั้นคุณพ่อก็แต่งเฮ่อเยี่ยนหงเข้าบ้าน

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วฝังลูกของตัวเองไว้ที่นี่ ก็เพื่ออยากให้ลูกเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเธอ และเพื่อให้เธอจดจำว่าเคยมีลูกคนนี้ตลอดไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฝังทารกน้อยเสร็จ ในขณะที่เดินลงจากเขาหน้าตาซีดเซียวแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังฝืนทนร่างกายกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเงียบสงบมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินก้าวเข้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งนั้น ก็ได้ยินเสียงอันสูงแหลมของสุยเฉิงจิ้ง :“โอ้ นี่คุณหญิงแห่งตระกูลเหลิ่งกลับมาแล้ว?กลับมาคนเดียวเหรอ ลูกของเธอล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าซีดเซียวเงยหน้าขึ้นมองสุยเฉิงจิ้ง ไม่ได้ตอบกลับใดๆ เธอเดินผ่านหน้าสุยเฉิงจิ้งไปและเดินไปทางห้องของคุณนายเหลิ่ง สุยเฉิงจิ้งจ้องมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงตะคอก:“ฮึม,นี่ยังกล้าหยิ่งยโสขนาดนี้ ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นคุณหญิงตระกูลเหลิ่งได้อีกเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงพูดของสุยเฉิงจิ้ง แต่ว่าเธอก็ไม่หยุดเดิน และเดินตรงไปถึงหน้าประตูห้องของคุณนายเหลิ่ง เคาะประตูเรียก

ได้ยินเสียงขานรับออกมาจากในห้อง“เข้ามา”,เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินเข้าห้องไป เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคุณนายเหลิ่งนั่งอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงบนโซฟา

คุณนายเหลิ่งกำลังหน้าคิ้วขมวดเมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“บอกให้เธอระมัดระวังตั้งแต่แรกทำไมเธอไม่ฟัง?กลางค่ำกลางคืนทำไมถึงออกไปคนเดียว?ควรจะพาคนรับใช้ไปด้วย?ถ้าหากเซ่าถิงไม่ตามไป พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะไปที่ไหน!วันนี้เช้าฉันพึ่งรู้ว่าเธอออกไป แล้วก็พึ่งรู้ว่าเหลนของฉันไม่อยู่แล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่ได้ขอโทษเพราะว่าคนที่เธอควรจะกล่าวคำขอโทษด้วยคือลูกของเธอเอง แต่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์กล่าวคำว่า “ขอโทษ” กับลูกของเธอได้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เอาสิ งั้นก็แล้วแต่เธอ ถ้าเธอไม่เต๊าะฉันก่อน ฉันก็จะไม่เป็นฝ่ายเต๊าะเธอ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ทำไมเธอถึงคิดว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้เป็นการเต๊าะเธออยู่นะ?

แต่เขาไม่รีรอให้เจี่ยนอี๋นั่วมีปฏิกิริยาตอบโต้ เจี่ยนซวงที่เดินอยู่ข้างหน้าเจี่ยนซวงกับเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามามา แล้วพูดเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ! หม่าม้า! รีบมาเร็วค่ะ! ถ้ายังไม่มา หนูจะไปกับพี่สองคนแล้วนะ”

“ครับ พ่อกับหม่าม้าจะไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงตอบเจี่ยนซวงเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะรีบเอาวีลแชร์จากบันไดชั้นสองลงมาชั้นล่าง แล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “มาค่ะ คุณมานั่งบนนี้เลยค่ะ เดี๋ยวออกไปด้วยกัน”

เมื่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มแลเวยื่นมือไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว พอเธอพยุงเขาให้นั่งวีลแชร์เรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข็นวีลแชร์ออกมาจากคฤหาสน์ทันที

เมื่ออกมาจากคฤหาสน์ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเจ็บขาอยู่ จึงต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นขับรถแทน เจี่ยนอี๋นั่วขับรถไปตามที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นสนามหญ้าอันกว้างขวาง ในท่ามกลางของทุ่งหญ้านี้ก็มีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ และมีเด็กสองสามคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสถานที่นี้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยแล้วก็หันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า : “เด็กๆพวกนี้มันยังไงกันคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบังเอิญขนาดที่ว่าสถานที่ที่พวกเขามานั้นจะมีเด็กมาวิ่งเล่นอยู่แบบนี้ แลเวอีกอย่างก็ไม่มีผู้ปกครองคอยดูอยู่ข้างๆด้วย จะมีเด็กมาเล่นกันแบบนี้ได้ยังไง

เหลิ่งเซ่าถิงเข้ามาใกล้ใบหูของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สามารถได้ยินเพียงเขาและเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินออกไปด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ต้องหาเพื่อนเอาไว้ให้ลูกๆเล่นด้วยก่อนแล้วสิ ตอนที่เรากำลังมา ผมให้คนคัดเอาไว้แล้วน่ะ ตอนแรกอยากให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อน ก่อนจะพาซวงซวงออกมาข้างนอก แต่ไม่คิดว่าซวงซวงจะขี้เล่นจนอยากออกมาข้างนอกไวขนาดนี้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า : “คนพวกนี้เป็นคนที่จัดเตรียมมา ถึงแม้ว่าเด็กพวกนี้จะไม่รู้จักเด็กๆของตระกูลเหลิ่งก็ตาม แต่ก็คงต้องให้เป็นไปแบบนั้น ถ้าเกิดเล่นกับเด็กที่อื่นล่ะก็กลัวว่าเด็กๆจะเล่นกันอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องบอกพวกเขานะ ปล่อยให้เจี่ยนซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กธรรมดาๆที่เหมือนกันพวกเขานั้นแหละ รอให้พวกเขาโตเด็กพวกนี้ก็เป็นผู้ช่วยของพวกเขาได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยสบายใจ และรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเป็นการตบตา แต่ถ้าจากสถานะของเด็กๆในตอนนี้แล้ว มันก็ทำได้เพียงเท่านี้

“ฉันเข้าใจค่ะ” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็บิดตัวไปเปิดประตูรถ ก่อนจะพูดกับเด็กๆทั้งสองคนว่า : “เด็กๆลงรถกันค่ะ ออกไปเล่นกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งพูดจบ เจี่ยนซวงก็รีบกระโดดลงจากรถทันที พร้อมกับตะโกนออกมา “ว้าว! ในที่สุดก็ได้ออกมาเล่นแล้ว!” พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปหาเด็กๆกลุ่มนั้น

เพียงผ่านไปได้ไม่นานเจี่ยนซวงก็สนิทสนมกับเด็กๆเหล่านั้น พวกเขาเล่นด้วยกัน ส่วนลั่วหยางนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขาเพียงยืนขมวดคิ้วอยู่ไกลๆแล้วมองเด็กๆที่กำลังเล่นด้วยกัน

เจี่ยนอี๋นั่วพาเหลิ่งเซ่าถิงออกจากรถ พร้อมกับมองลั่วหยางแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ถ้าหนูไม่อยากไปเล่น เดี๋ยวหม่าม้าเอาร่มกันแดดกับเก้าอี้มาให้นะคะ ให้หนูนั่งอ่านหนังสือ ดีมั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า : “หม่าม้าไม่อยากให้พวกผมเล่นด้วยกันหรอครับ? ไม่คิดว่าผมควรจะร่าเริง มีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆคนอื่นบ้างหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองลั่วหยางก่อนจะส่ายหน้า : “ใครบอกว่าเด็กๆทุกคนจะเป็นแบบนั้นล่ะคะ? หม่าม้าหวังว่าหนูจะทำตามที่หนูพอใจที่จะทำ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสบายๆ บางคนเขาก็ร่าเริงมากๆ อย่างเช่นเจี่ยนซวง ไม่ให้ซวงซวงไปเล่นกับเพื่อน ซวงซวงก็จะเศร้า บางคนก็ชอบที่คนอื่นไม่มารบกวนตัวเอง คิดว่าการอยู่เงียบๆคนเดียวมันผ่อนคลายที่สุดไงคะ”

ลั่วหยางพยักหน้า : “ผมชอบความเงียบครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นมันก็แค่คนเราไม่เหมือนกันค่ะ จะเงียบหรือร่าเริง ก็เลือกตามที่ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว ไม่มีใครตั้งกฎไว้นี่คะว่าเราต้องร่าเริง แล้วก็ไม่มีใครที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น เรื่องที่ทุกข์ที่สุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงียบหรือร่าเริงนะคะ แต่มันอยู่ที่หนูชอบความเงียบ แล้วหนูก็จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนร่าเริงเพื่อเข้ากันกับคนอื่น ความบ้มเหลวที่เจ็บปวดที่สุดคือการที่หนูบังคับตัวเองไม่ให้เป็นคนเงียบๆเพื่อคนอื่นนะคะ”

ลั่วหยางกระพริบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “หม่าม้ากับพวกเขาสอนผมไม่เหมือนกันเลยครับ”

“พวกเขาหรอคะ? หนูหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมหนูหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

ลั่วหยางพยักหน้า : “พวกเขาคาดหวังให้ผมเติบโตขึ้นไวๆเพื่อไปรู้จักกับคนอื่นๆมากขึ้น กลายเป็นคนที่เพอร์เฟคมากกว่าเดิม พวกเขาสอนผมผิดหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลั่วหยางคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของลั่วหยางนั้นผิด เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “พวกเขาไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเขาเพียงแค่แนะนำให้หนู พ่อยท์คือหนูจะเลือกทางไหน? ยอมรับนำแนะนำของเขามั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นว่า : “ผมไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเขาครับหม่าม้า ผมอยากอ่านหนังสือเงียบๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะพูดแล้วยิ้ม : “โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้ากางร่มกันแดดให้หนูนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบไปเอาร่มกันแดดออกมากางทันที เขามองคนเป็นแม่เอาร่มมากางพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า : “เด็กๆพวกนี้คือคนที่หม่าม้ากับคุณพ่อเลือกมาหรอครับ? ให้มาเล่นกับซวงซวง?”

เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะมองไปที่ลั่วหยางอย่างสงสัยแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า : “หนูรู้ได้ยังไงคะ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ในย่านนี้ปกติจะมีเด็กทุกช่วงอายุไงครับ แต่ว่าเด็กๆที่มาเล่นตรงนี้รุ่นราวคราวเดียวกันเลย อีกอย่างสำเนียงก็แปลกมาก ต้องเป็นเด็กที่มาจากที่อื่นแน่ๆ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็จำนวนเท่ากัน ไม่มีผู้ปกครองมาคอยเฝ้า ดังนั้นต้องเป็นคนที่ถูกเลือกมาเล่นกับพวกเราแน่ๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังที่ลั่วหยางพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็อึ้งไปชั่วขณะ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าลั่วหยางที่อายุแค่นี้แต่ฉลาดหลักแหลมมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวลั่วหยาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เก่งมากค่ะที่เดาออก งั้นหนูจะบอกหรือไม่บอกซวงซวงมั้ยก็แล้วแต่หนูจะคิดเลยนะคะ เดี๋ยวหม่าม้าเข็นคุณพ่อไปทางนู้นก่อน…..”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้ม : “ไปค่ะ คุณผู้ชายเหลิ่ง นานๆคุณจะได้ออกมาทีนึง เดี๋ยวฉันพาไปทางโน้นนะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เอาสิ”

ลั่วหยางเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินห่างออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองเบาๆ อุณหภูมิอุ่นๆที่เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเขายังคงอยู่ ผมของเขาก็โดนเจี่ยนอี๋นั่วยีจนยุ่งเล็กน้อย จนปรอยผมของเขานั้นบังการมองเห็นของเขา แต่ลั่วหยางก็ไม่ได้จัดทรงผมของเขาใหม่ เพียงแค่นั่งแล้วเอนตัวไปกับเก้าอี้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเดินห่างไปไกลแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออก เหลิ่งเซ่าถิงเห็นการกระทำระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและลั่วหยาง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วเขาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้ม : “เป็นอะไรไป? รู้สึกไม่ดีหรอ? เพราะว่าฉันเป็นพ่อเด็กหรอ ลูกเลยต้องมาเล่นกับเพื่อนปลอมๆแบบนี้ เธอรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนะคะ ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขานี่คะ? นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งจะต้องพบเจออยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ? คุณเองก็เคยผ่านแบบนี้มาไม่ใช่หรอ? แล้วก็……”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเขาก็ขมวดคิ้วแล้วก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เป็นอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “เมื่อกี้ฉันนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของคุณน่ะค่ะ คุณน่าจะจำได้ว่าพี่ขายของคุณเป็นคนฆ่าพ่อของฉัน ฉันไม่เคยมีโอกาสถามคุณเลย ตอนนี้ฉันอยากรู้คุณหาเขาเจอมั้ยคะว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

ถึงแม้ว่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะตายไปนานมากแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเสียใจที่ฆาตรกรยังไม่ได้รับโทษ เหลิ่งอวิ๋นเซียวกับเหลิ่งหมิงอัน พวกเขาทั้งสองคนคงคิดว่าเรื่องที่เขาทำไปแล้วนั้นสามารถเข้าใจได้

เหลิ่งเซ่าถิงพมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยความสงบ : “เธอไม่ต้องตามหาให้เขามารับโทษแล้วล่ะ พวกเขาตายไปแล้ว แม้แต่ศพฉันยังไม่เจอเลย”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพยักหน้าของเขาขึ้นลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของฉัน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของเขา เธอน่าจะรู้นะ ความสัมพันธ์ของเขากับฉันถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตายแบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้เขาตายไปแล้ว สำหรับฉันมันก็วางใจได้แล้วล่ะ เธอเชื่อฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้นเป็นคู่ต่อสู้แบบถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตาย ถ้าหากไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เหลิ่งอวิ๋นเซียวฆ่าพ่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอจะยังกลับมาคบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ?

เจี่ยนอี๋นั่ส่ายหน้า : “ฉันก็ไม่ได้ไม่เขื่อคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณโกหกฉันเยอะมากไป มันทำให้ฉันคิดสงสัยคุณอยู่น่ะค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วทำยังไงเธอถึงจะเชื่อฉันล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า : “อืม……เว้นแต่คุณจะไม่โกหกฉันอีก ถ้าคุณมีอะไรปิดบังกันอีก ฉันจะโกรธคุณจริงๆนะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองขาข้างขวาของเขา ก่อนจะขมวดคิ้ว ไม่กล้าตอบเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเบิกตามองเหลิ่งเซ่าถิง : “นี่คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่หรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ฉันแค่กำลังคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออีกมั้ย แต่คิดไม่ออก”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วยักคิ้วขึ้น ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือของตัวเองวางลงบนขาเขาของ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แน่นอนสิว่าจริง”

เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเย็นเฉียบ ไฟผ่าตัดแสบตาทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาไม่ขึ้น เธอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ถึงได้เห็นเงาสีขาวพร่ามัวของบุคลากรทางการแพทย์รอบๆ ได้อย่างชัดเจน

“คุณเจี่ยน ฉันคือหมอที่รับผิดชอบคุณ รู้ไหมว่าคุณกำลังผ่าตัดอะไร? ” เสียงคุณหมอเย็นชาไม่มีความอบอุ่นสักนิด

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นอย่างทื่อๆ และมึนชา “รู้ค่ะ ฉันกำลังทำการย้ายตัวอ่อน ย้ายทารกที่โตเต็มที่ในหลอดแก้วเข้าไปในมดลูกของฉัน หลังจากการผ่าตัดนี้สำเร็จ กระบวนการบ่มเพาะเด็กหลอดแก้วทั้งหมดจะจบลงอย่างเป็นทางการ จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา ในมดลูกของฉันก็จะให้กำเนิดลูกของเหลิ่งเซ่าถิง”

คุณหมอพูดด้วยเสียงเย็นชา “เด็กคนนี้มีความสำคัญต่อตระกูลเหลิ่งมาก ดังนั้นในกระบวนการถัดไปคุณห้ามขยับตามอำเภอใจ ถ้าล้มเหลวเพราะการดิ้นของคุณ คุณจะไม่สามารถรับผิดชอบภาระนี้ได้ เนื่องจากห้ามใช้ยาชา มันจะเจ็บบ้าง คุณต้องอดทนนะ”

“ฉันรู้ ฉันทนได้ค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วตอบเสียงเบา

เมื่ออุปกรณ์เย็นสัมผัสเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงคุณหมอก็กระเพื่อมขึ้นลงนิดหน่อย เขาพูดเสียงทุ้ม “คุณ……คุณ คุณยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนเหรอ? ไม่คิดว่าคุณจะยัง……”

“ฉันรู้……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขัดจังหวะคุณหมอเสียงทุ้ม “ฉันรู้สภาพร่างกายตัวเองดี ได้โปรดดำเนินต่อเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ขมวดคิ้วหลับตา กระบวนการทั้งหมดไม่ใช่แค่เจ็บปวด แต่ยังมีความอัปยศที่ไม่สามารถพรรณนาได้ของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำสิ่งที่เหลวไหลและน่าขำ เธอกำลังให้กำเนิดลูกของชายคนที่เคยเจอแค่ครั้งเดียว และชายคนนี้ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอเลย แค่อาศัยเครื่องมือเย็นเฉียบเหล่านี้และคุณหมอในชุดกาวน์กลุ่มหนึ่ง เธอก็กลายเป็นแม่ของลูกเขาแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่เธอเจอกับเหลิ่งเซ่าถิงครั้งเดียว เป็นการรวมตัวทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก รูปลักษณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงโดดเด่นอย่างมากในหมู่ผู้ชาย และเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่งด้วย เขายืนท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นจุดสนใจหนึ่งเดียว แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะมองซ้ำ และเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความสามารถมาก แค่เป็นคนหยิ่งเย็นชา มีนิสัยหยิ่งเย็นชา และไม่สามารถหยุดเหล่าผู้หญิงที่จะเข้าหาเขาได้ เขาเป็นผู้ชายที่โสดและรวยระดับและมีผู้หญิงมากมายอยากแต่งงานกับเขา

แต่นั่นก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์ และกลายเป็นผัก

เหลิ่งเซ่าถิงที่มีหน้ามีตาในวันเก่ากลายเป็นผัก จะมีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากแต่งงานกับเขา? แต่มีผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับคนตายที่มีชีวิตเพื่อรักษาทรัพย์สินของพ่อตัวเองไว้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้แค่ ตราบใดที่เธอมีลูกชายให้เหลิ่งเซ่าถิง ตระกูลเหลิ่งจะช่วยฟื้นคืนตระกูลเจี่ยนอีกครั้ง รักษาทรัพย์สินที่พ่อเธอทำงานหนักมาทั้งชีวิต

ผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเจ็บปวดไปทั้งร่างจนไม่มีแรง คุณหมอกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “การผ่าตัดของคุณเจี่ยนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่คุณต้องระวังอย่างออกกำลังหนักๆ ห้ามนอนกับผู้ชาย ห้ามทานของเย็น”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า กัดปากแน่น หันหน้าไปถาม “ฉันจะเจอคุณนายเหลิ่งได้เมื่อไรคะ? ”

คุณหมอตอบด้วยเสียงเย็นชา “คุณนายเหลิ่งสั่งไว้ว่า พรุ่งนี้ให้คุณเจี่ยนไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ก็สามารถเจอเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เดินลงจากเตียงผ่าตัดไป ในตอนนี้มีพยาบาลเข้ามาช่วยเธอ เธอส่ายหน้า “ฉันเดินเองได้ค่ะ”

พูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ผลักพยาบาลออก ขบฟันเดินทีละก้าวออกไปจากประตูใหญ่ห้องผ่าตัด ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปจากห้องผ่าตัด เธอก็ได้ยินพยาบาลและหมอกระซิบด้านหลังเธอ

“เธอดูเป็นคนมีภูมิฐานมาก น่าจะเป็นลูกคุณหนูที่ยังโสดจากตระกูลผู้ดีได้รับการศึกษาสูง ผู้หญิงแบบนี้ จะเป็นภรรยาคลอดลูกให้กับคนที่เป็นผักเพื่อเงินเหรอ? ” พยาบาลพูดเสียงเบา

คุณหมอทำเสียงฮึดฮัด แล้วกดเสียงทุ้มต่ำ “เพื่อเงิน บางคนสามารถทำสิ่งที่คุณนึกไม่ถึงได้ เธอยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ก็มาเป็นเครื่องสืบพันธุ์ให้กับตระกูลเหลิ่งแล้ว รู้ไหม? ถึงแม้ตอนนี้เธอจะบอกว่าแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง นั่นก็แค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็เซ็นสัญญากองโต เธอก็เป็นแค่มดลูกเทียมตามกฎหมาย ใครจะรู้ว่าเธอเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง? จนถึงตอนนี้การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว ถึงได้มีโอกาสไปเจอคุณนายเหลิ่งเป็นครั้งแรก แต่ยังไงเข้าตระกูลเหลิ่งไปก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเป็นตระกูลรวยอันดับต้นๆ ”

“จึ๊ๆ ……เป็นผู้หญิงแบบนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคนคิดว่าผู้หญิงเป็นวัตถุนิยม ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเสียหน้าจริงๆ ” พยาบาลพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

เจี่ยนอี๋นั่วชะงักฝีเท้า ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เธอหยิ่งผยองขนาดนั้น ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ในระดับตกต่ำจนเป็นขี้ปากคนอื่นแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เธอเลือกเอง?

ตั้งแต่วันนั้นที่เธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง สมัครใจแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มทำทายาทให้เหลิ่งเซ่าถิง ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่คนอีกต่อไป

ต่ำช้า?

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ หัวเราะทั้งน้ำตา เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับคำนี้ เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คำนี้จะกลายเป็นคำที่ติดตัวเธอไปตลอดชีวิต

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็พยักหน้าเบาๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “เอาสิ งั้นก็แล้วแต่เธอ ถ้าเธอไม่เต๊าะฉันก่อน ฉันก็จะไม่เป็นฝ่ายเต๊าะเธอ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็ขมวดคิ้วขึ้น ทำไมเธอถึงคิดว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้เป็นการเต๊าะเธออยู่นะ?

แต่เขาไม่รีรอให้เจี่ยนอี๋นั่วมีปฏิกิริยาตอบโต้ เจี่ยนซวงที่เดินอยู่ข้างหน้าเจี่ยนซวงกับเหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ามามา แล้วพูดเสียงดังว่า : “คุณพ่อคะ! หม่าม้า! รีบมาเร็วค่ะ! ถ้ายังไม่มา หนูจะไปกับพี่สองคนแล้วนะ”

“ครับ พ่อกับหม่าม้าจะไปเดี๋ยวนี้” เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงตอบเจี่ยนซวงเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะรีบเอาวีลแชร์จากบันไดชั้นสองลงมาชั้นล่าง แล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า : “มาค่ะ คุณมานั่งบนนี้เลยค่ะ เดี๋ยวออกไปด้วยกัน”

เมื่อได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดเช่นนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ้มแลเวยื่นมือไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว พอเธอพยุงเขาให้นั่งวีลแชร์เรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข็นวีลแชร์ออกมาจากคฤหาสน์ทันที

เมื่ออกมาจากคฤหาสน์ เพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นเจ็บขาอยู่ จึงต้องให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นขับรถแทน เจี่ยนอี๋นั่วขับรถไปตามที่ที่เหลิ่งเซ่าถิงได้จัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว

หลังจากจอดรถเรียบร้อยแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นสนามหญ้าอันกว้างขวาง ในท่ามกลางของทุ่งหญ้านี้ก็มีแม่น้ำไหลผ่านอยู่ และมีเด็กสองสามคนกำลังวิ่งเล่นอยู่ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นสถานที่นี้แล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยแล้วก็หันหน้ามามองเหลิ่งเซ่าถิง ก่อนจะขมวดคิ้วแล้วถามเขาว่า : “เด็กๆพวกนี้มันยังไงกันคะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อหรอกว่ามันจะบังเอิญขนาดที่ว่าสถานที่ที่พวกเขามานั้นจะมีเด็กมาวิ่งเล่นอยู่แบบนี้ แลเวอีกอย่างก็ไม่มีผู้ปกครองคอยดูอยู่ข้างๆด้วย จะมีเด็กมาเล่นกันแบบนี้ได้ยังไง

เหลิ่งเซ่าถิงเข้ามาใกล้ใบหูของเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่สามารถได้ยินเพียงเขาและเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินออกไปด้วยรอยยิ้มว่า : “ก็ต้องหาเพื่อนเอาไว้ให้ลูกๆเล่นด้วยก่อนแล้วสิ ตอนที่เรากำลังมา ผมให้คนคัดเอาไว้แล้วน่ะ ตอนแรกอยากให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อน ก่อนจะพาซวงซวงออกมาข้างนอก แต่ไม่คิดว่าซวงซวงจะขี้เล่นจนอยากออกมาข้างนอกไวขนาดนี้”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะพูดต่อเบาๆว่า : “คนพวกนี้เป็นคนที่จัดเตรียมมา ถึงแม้ว่าเด็กพวกนี้จะไม่รู้จักเด็กๆของตระกูลเหลิ่งก็ตาม แต่ก็คงต้องให้เป็นไปแบบนั้น ถ้าเกิดเล่นกับเด็กที่อื่นล่ะก็กลัวว่าเด็กๆจะเล่นกันอย่างระมัดระวัง ไม่ต้องบอกพวกเขานะ ปล่อยให้เจี่ยนซวงกับลั่วหยางเป็นเด็กธรรมดาๆที่เหมือนกันพวกเขานั้นแหละ รอให้พวกเขาโตเด็กพวกนี้ก็เป็นผู้ช่วยของพวกเขาได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ค่อยสบายใจ และรู้สึกว่านี่เป็นเหมือนเป็นการตบตา แต่ถ้าจากสถานะของเด็กๆในตอนนี้แล้ว มันก็ทำได้เพียงเท่านี้

“ฉันเข้าใจค่ะ” เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็บิดตัวไปเปิดประตูรถ ก่อนจะพูดกับเด็กๆทั้งสองคนว่า : “เด็กๆลงรถกันค่ะ ออกไปเล่นกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งพูดจบ เจี่ยนซวงก็รีบกระโดดลงจากรถทันที พร้อมกับตะโกนออกมา “ว้าว! ในที่สุดก็ได้ออกมาเล่นแล้ว!” พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปหาเด็กๆกลุ่มนั้น

เพียงผ่านไปได้ไม่นานเจี่ยนซวงก็สนิทสนมกับเด็กๆเหล่านั้น พวกเขาเล่นด้วยกัน ส่วนลั่วหยางนั้นไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เขาเพียงยืนขมวดคิ้วอยู่ไกลๆแล้วมองเด็กๆที่กำลังเล่นด้วยกัน

เจี่ยนอี๋นั่วพาเหลิ่งเซ่าถิงออกจากรถ พร้อมกับมองลั่วหยางแล้วพูดขึ้นมาว่า : “ถ้าหนูไม่อยากไปเล่น เดี๋ยวหม่าม้าเอาร่มกันแดดกับเก้าอี้มาให้นะคะ ให้หนูนั่งอ่านหนังสือ ดีมั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วพร้อมกับเงยหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามด้วยความสงสัยว่า : “หม่าม้าไม่อยากให้พวกผมเล่นด้วยกันหรอครับ? ไม่คิดว่าผมควรจะร่าเริง มีชีวิตชีวาเหมือนเด็กๆคนอื่นบ้างหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองลั่วหยางก่อนจะส่ายหน้า : “ใครบอกว่าเด็กๆทุกคนจะเป็นแบบนั้นล่ะคะ? หม่าม้าหวังว่าหนูจะทำตามที่หนูพอใจที่จะทำ เป็นคนที่ทำให้ตัวเองใช้ชีวิตอย่างสบายๆ บางคนเขาก็ร่าเริงมากๆ อย่างเช่นเจี่ยนซวง ไม่ให้ซวงซวงไปเล่นกับเพื่อน ซวงซวงก็จะเศร้า บางคนก็ชอบที่คนอื่นไม่มารบกวนตัวเอง คิดว่าการอยู่เงียบๆคนเดียวมันผ่อนคลายที่สุดไงคะ”

ลั่วหยางพยักหน้า : “ผมชอบความเงียบครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยรอยยิ้ม : “ดังนั้นมันก็แค่คนเราไม่เหมือนกันค่ะ จะเงียบหรือร่าเริง ก็เลือกตามที่ตัวเองมีความสุขก็พอแล้ว ไม่มีใครตั้งกฎไว้นี่คะว่าเราต้องร่าเริง แล้วก็ไม่มีใครที่จะต้องแข็งแกร่งกว่าคนอื่น เรื่องที่ทุกข์ที่สุดของคนเราไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เงียบหรือร่าเริงนะคะ แต่มันอยู่ที่หนูชอบความเงียบ แล้วหนูก็จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนร่าเริงเพื่อเข้ากันกับคนอื่น ความบ้มเหลวที่เจ็บปวดที่สุดคือการที่หนูบังคับตัวเองไม่ให้เป็นคนเงียบๆเพื่อคนอื่นนะคะ”

ลั่วหยางกระพริบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นมา : “หม่าม้ากับพวกเขาสอนผมไม่เหมือนกันเลยครับ”

“พวกเขาหรอคะ? หนูหมายถึงพ่อแม่บุญธรรมหนูหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วถามด้วยรอยยิ้ม

ลั่วหยางพยักหน้า : “พวกเขาคาดหวังให้ผมเติบโตขึ้นไวๆเพื่อไปรู้จักกับคนอื่นๆมากขึ้น กลายเป็นคนที่เพอร์เฟคมากกว่าเดิม พวกเขาสอนผมผิดหรอครับ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลั่วหยางคิดว่าพ่อแม่บุญธรรมของลั่วหยางนั้นผิด เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “พวกเขาไม่ผิดหรอกค่ะ พวกเขาเพียงแค่แนะนำให้หนู พ่อยท์คือหนูจะเลือกทางไหน? ยอมรับนำแนะนำของเขามั้ย?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วก่อนจะมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้นว่า : “ผมไม่ยอมรับคำแนะนำของพวกเขาครับหม่าม้า ผมอยากอ่านหนังสือเงียบๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าก่อนจะพูดแล้วยิ้ม : “โอเคค่ะ เดี๋ยวหม่าม้ากางร่มกันแดดให้หนูนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ เธอก็รีบไปเอาร่มกันแดดออกมากางทันที เขามองคนเป็นแม่เอาร่มมากางพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วถามขึ้นมาว่า : “เด็กๆพวกนี้คือคนที่หม่าม้ากับคุณพ่อเลือกมาหรอครับ? ให้มาเล่นกับซวงซวง?”

เจี่ยนอี๋นั่วอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะมองไปที่ลั่วหยางอย่างสงสัยแล้วขมวดคิ้วพร้อมกับถามขึ้นว่า : “หนูรู้ได้ยังไงคะ?”

ลั่วหยางขมวดคิ้วแล้วพูดว่า : “ในย่านนี้ปกติจะมีเด็กทุกช่วงอายุไงครับ แต่ว่าเด็กๆที่มาเล่นตรงนี้รุ่นราวคราวเดียวกันเลย อีกอย่างสำเนียงก็แปลกมาก ต้องเป็นเด็กที่มาจากที่อื่นแน่ๆ เด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงก็จำนวนเท่ากัน ไม่มีผู้ปกครองมาคอยเฝ้า ดังนั้นต้องเป็นคนที่ถูกเลือกมาเล่นกับพวกเราแน่ๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฟังที่ลั่วหยางพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็อึ้งไปชั่วขณะ เธอคิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าลั่วหยางที่อายุแค่นี้แต่ฉลาดหลักแหลมมากๆ เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นมาลูบหัวลั่วหยาง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม : “เก่งมากค่ะที่เดาออก งั้นหนูจะบอกหรือไม่บอกซวงซวงมั้ยก็แล้วแต่หนูจะคิดเลยนะคะ เดี๋ยวหม่าม้าเข็นคุณพ่อไปทางนู้นก่อน…..”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เดินไปข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง แล้วก็พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยรอยยิ้ม : “ไปค่ะ คุณผู้ชายเหลิ่ง นานๆคุณจะได้ออกมาทีนึง เดี๋ยวฉันพาไปทางโน้นนะคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เอาสิ”

ลั่วหยางเอียงหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินห่างออกไป ก่อนจะยกมือขึ้นมาจับหัวตัวเองเบาๆ อุณหภูมิอุ่นๆที่เจี่ยนอี๋นั่วลูบหัวของเขายังคงอยู่ ผมของเขาก็โดนเจี่ยนอี๋นั่วยีจนยุ่งเล็กน้อย จนปรอยผมของเขานั้นบังการมองเห็นของเขา แต่ลั่วหยางก็ไม่ได้จัดทรงผมของเขาใหม่ เพียงแค่นั่งแล้วเอนตัวไปกับเก้าอี้ ก่อนจะมองตามแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วเข็นวีลแชร์ของเหลิ่งเซ่าถิงเดินห่างไปไกลแล้ว เขาถึงได้ถอนหายใจออก เหลิ่งเซ่าถิงเห็นการกระทำระหว่างเจี่ยนอี๋นั่วและลั่วหยาง เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วเขาก็ขมวดคิ้ว ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่เข้ม : “เป็นอะไรไป? รู้สึกไม่ดีหรอ? เพราะว่าฉันเป็นพ่อเด็กหรอ ลูกเลยต้องมาเล่นกับเพื่อนปลอมๆแบบนี้ เธอรู้สึกไม่ดีใช่มั้ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงเบาว่า : “รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยค่ะ แต่ก็ไม่มีทางเลือกนะคะ ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขานี่คะ? นี่เป็นสิ่งที่ตระกูลเหลิ่งจะต้องพบเจออยู่แล้วไม่ใช่หรอคะ? คุณเองก็เคยผ่านแบบนี้มาไม่ใช่หรอ? แล้วก็……”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินสิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดเขาก็ขมวดคิ้วแล้วก็ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า : “เป็นอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงเข้ม : “เมื่อกี้ฉันนึกถึงพี่ชายฝาแฝดของคุณน่ะค่ะ คุณน่าจะจำได้ว่าพี่ขายของคุณเป็นคนฆ่าพ่อของฉัน ฉันไม่เคยมีโอกาสถามคุณเลย ตอนนี้ฉันอยากรู้คุณหาเขาเจอมั้ยคะว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

ถึงแม้ว่าพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นจะตายไปนานมากแล้ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังเสียใจที่ฆาตรกรยังไม่ได้รับโทษ เหลิ่งอวิ๋นเซียวกับเหลิ่งหมิงอัน พวกเขาทั้งสองคนคงคิดว่าเรื่องที่เขาทำไปแล้วนั้นสามารถเข้าใจได้

เหลิ่งเซ่าถิงพมองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดด้วยความสงบ : “เธอไม่ต้องตามหาให้เขามารับโทษแล้วล่ะ พวกเขาตายไปแล้ว แม้แต่ศพฉันยังไม่เจอเลย”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วถาม

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพยักหน้าของเขาขึ้นลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเข้มว่า : “ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นพี่ชายฝาแฝดของฉัน แต่ฉันไม่ได้เห็นด้วยกับความคิดของเขา เธอน่าจะรู้นะ ความสัมพันธ์ของเขากับฉันถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตายแบบนี้มาโดยตลอด ตอนนี้เขาตายไปแล้ว สำหรับฉันมันก็วางใจได้แล้วล่ะ เธอเชื่อฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้อยู่แล้วว่าความสัมพันธ์ของเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งอวิ๋นเซียวนั้นเป็นคู่ต่อสู้แบบถ้าคนนึงอยู่คนนึงก็ต้องตาย ถ้าหากไม่รู้ความสัมพันธ์ของสองคนนี้ เหลิ่งอวิ๋นเซียวฆ่าพ่อเธอขนาดนี้แล้ว เธอจะยังกลับมาคบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ?

เจี่ยนอี๋นั่ส่ายหน้า : “ฉันก็ไม่ได้ไม่เขื่อคุณค่ะ แต่ตอนนี้คุณโกหกฉันเยอะมากไป มันทำให้ฉันคิดสงสัยคุณอยู่น่ะค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “แล้วทำยังไงเธอถึงจะเชื่อฉันล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมกับขมวดคิ้ว แล้วครุ่นคิดอย่างจริงจังว่า : “อืม……เว้นแต่คุณจะไม่โกหกฉันอีก ถ้าคุณมีอะไรปิดบังกันอีก ฉันจะโกรธคุณจริงๆนะคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองขาข้างขวาของเขา ก่อนจะขมวดคิ้ว ไม่กล้าตอบเจี่ยนอี๋นั่วอยู่พักใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วขึ้นก่อนจะเบิกตามองเหลิ่งเซ่าถิง : “นี่คุณยังมีเรื่องที่ปิดบังฉันอยู่หรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “ฉันแค่กำลังคิดว่ามีเรื่องอะไรที่ปิดบังเธออีกมั้ย แต่คิดไม่ออก”

“จริงหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วยักคิ้วขึ้น ก่อนจะถามด้วยรอยยิ้ม

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือของตัวเองวางลงบนขาเขาของ ก่อนจะพยักหน้าขึ้นลง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า : “แน่นอนสิว่าจริง”

เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงผ่าตัดเย็นเฉียบ ไฟผ่าตัดแสบตาทำให้เจี่ยนอี๋นั่วลืมตาไม่ขึ้น เธอหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ถึงได้เห็นเงาสีขาวพร่ามัวของบุคลากรทางการแพทย์รอบๆ ได้อย่างชัดเจน

“คุณเจี่ยน ฉันคือหมอที่รับผิดชอบคุณ รู้ไหมว่าคุณกำลังผ่าตัดอะไร? ” เสียงคุณหมอเย็นชาไม่มีความอบอุ่นสักนิด

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นอย่างทื่อๆ และมึนชา “รู้ค่ะ ฉันกำลังทำการย้ายตัวอ่อน ย้ายทารกที่โตเต็มที่ในหลอดแก้วเข้าไปในมดลูกของฉัน หลังจากการผ่าตัดนี้สำเร็จ กระบวนการบ่มเพาะเด็กหลอดแก้วทั้งหมดจะจบลงอย่างเป็นทางการ จากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา ในมดลูกของฉันก็จะให้กำเนิดลูกของเหลิ่งเซ่าถิง”

คุณหมอพูดด้วยเสียงเย็นชา “เด็กคนนี้มีความสำคัญต่อตระกูลเหลิ่งมาก ดังนั้นในกระบวนการถัดไปคุณห้ามขยับตามอำเภอใจ ถ้าล้มเหลวเพราะการดิ้นของคุณ คุณจะไม่สามารถรับผิดชอบภาระนี้ได้ เนื่องจากห้ามใช้ยาชา มันจะเจ็บบ้าง คุณต้องอดทนนะ”

“ฉันรู้ ฉันทนได้ค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วตอบเสียงเบา

เมื่ออุปกรณ์เย็นสัมผัสเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงคุณหมอก็กระเพื่อมขึ้นลงนิดหน่อย เขาพูดเสียงทุ้ม “คุณ……คุณ คุณยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนเหรอ? ไม่คิดว่าคุณจะยัง……”

“ฉันรู้……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขัดจังหวะคุณหมอเสียงทุ้ม “ฉันรู้สภาพร่างกายตัวเองดี ได้โปรดดำเนินต่อเถอะค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็ขมวดคิ้วหลับตา กระบวนการทั้งหมดไม่ใช่แค่เจ็บปวด แต่ยังมีความอัปยศที่ไม่สามารถพรรณนาได้ของหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตอนนี้ตัวเองทำสิ่งที่เหลวไหลและน่าขำ เธอกำลังให้กำเนิดลูกของชายคนที่เคยเจอแค่ครั้งเดียว และชายคนนี้ก็ไม่เคยมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเธอเลย แค่อาศัยเครื่องมือเย็นเฉียบเหล่านี้และคุณหมอในชุดกาวน์กลุ่มหนึ่ง เธอก็กลายเป็นแม่ของลูกเขาแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงวันที่เธอเจอกับเหลิ่งเซ่าถิงครั้งเดียว เป็นการรวมตัวทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่มาก รูปลักษณ์ของเหลิ่งเซ่าถิงโดดเด่นอย่างมากในหมู่ผู้ชาย และเป็นทายาทของตระกูลเหลิ่งด้วย เขายืนท่ามกลางฝูงชน ก็เป็นจุดสนใจหนึ่งเดียว แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะมองซ้ำ และเหลิ่งเซ่าถิงก็มีความสามารถมาก แค่เป็นคนหยิ่งเย็นชา มีนิสัยหยิ่งเย็นชา และไม่สามารถหยุดเหล่าผู้หญิงที่จะเข้าหาเขาได้ เขาเป็นผู้ชายที่โสดและรวยระดับและมีผู้หญิงมากมายอยากแต่งงานกับเขา

แต่นั่นก่อนที่เหลิ่งเซ่าถิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์ และกลายเป็นผัก

เหลิ่งเซ่าถิงที่มีหน้ามีตาในวันเก่ากลายเป็นผัก จะมีผู้หญิงคนไหนเต็มใจอยากแต่งงานกับเขา? แต่มีผู้หญิงที่อยากแต่งงานกับคนตายที่มีชีวิตเพื่อรักษาทรัพย์สินของพ่อตัวเองไว้ เจี่ยนอี๋นั่วรู้แค่ ตราบใดที่เธอมีลูกชายให้เหลิ่งเซ่าถิง ตระกูลเหลิ่งจะช่วยฟื้นคืนตระกูลเจี่ยนอีกครั้ง รักษาทรัพย์สินที่พ่อเธอทำงานหนักมาทั้งชีวิต

ผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเจ็บปวดไปทั้งร่างจนไม่มีแรง คุณหมอกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “การผ่าตัดของคุณเจี่ยนประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก แต่คุณต้องระวังอย่างออกกำลังหนักๆ ห้ามนอนกับผู้ชาย ห้ามทานของเย็น”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า กัดปากแน่น หันหน้าไปถาม “ฉันจะเจอคุณนายเหลิ่งได้เมื่อไรคะ? ”

คุณหมอตอบด้วยเสียงเย็นชา “คุณนายเหลิ่งสั่งไว้ว่า พรุ่งนี้ให้คุณเจี่ยนไปที่คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ก็สามารถเจอเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น ค่อยๆ เดินลงจากเตียงผ่าตัดไป ในตอนนี้มีพยาบาลเข้ามาช่วยเธอ เธอส่ายหน้า “ฉันเดินเองได้ค่ะ”

พูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ผลักพยาบาลออก ขบฟันเดินทีละก้าวออกไปจากประตูใหญ่ห้องผ่าตัด ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปจากห้องผ่าตัด เธอก็ได้ยินพยาบาลและหมอกระซิบด้านหลังเธอ

“เธอดูเป็นคนมีภูมิฐานมาก น่าจะเป็นลูกคุณหนูที่ยังโสดจากตระกูลผู้ดีได้รับการศึกษาสูง ผู้หญิงแบบนี้ จะเป็นภรรยาคลอดลูกให้กับคนที่เป็นผักเพื่อเงินเหรอ? ” พยาบาลพูดเสียงเบา

คุณหมอทำเสียงฮึดฮัด แล้วกดเสียงทุ้มต่ำ “เพื่อเงิน บางคนสามารถทำสิ่งที่คุณนึกไม่ถึงได้ เธอยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายเลย ก็มาเป็นเครื่องสืบพันธุ์ให้กับตระกูลเหลิ่งแล้ว รู้ไหม? ถึงแม้ตอนนี้เธอจะบอกว่าแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง นั่นก็แค่จดทะเบียนสมรสเท่านั้น ก่อนหน้านี้ก็เซ็นสัญญากองโต เธอก็เป็นแค่มดลูกเทียมตามกฎหมาย ใครจะรู้ว่าเธอเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง? จนถึงตอนนี้การผ่าตัดเสร็จสิ้นแล้ว ถึงได้มีโอกาสไปเจอคุณนายเหลิ่งเป็นครั้งแรก แต่ยังไงเข้าตระกูลเหลิ่งไปก็ถือว่าคุ้มค่า เพราะเป็นตระกูลรวยอันดับต้นๆ ”

“จึ๊ๆ ……เป็นผู้หญิงแบบนี้ ทำให้ผู้ชายหลายคนคิดว่าผู้หญิงเป็นวัตถุนิยม ทำให้ผู้หญิงอย่างเราเสียหน้าจริงๆ ” พยาบาลพูดเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม

เจี่ยนอี๋นั่วชะงักฝีเท้า ร่างกายสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่ได้ เธอหยิ่งผยองขนาดนั้น ตอนนี้ไม่คิดเลยว่าจะอยู่ในระดับตกต่ำจนเป็นขี้ปากคนอื่นแล้ว แต่นี่ไม่ใช่เส้นทางที่เธอเลือกเอง?

ตั้งแต่วันนั้นที่เธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง สมัครใจแต่งงานกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มทำทายาทให้เหลิ่งเซ่าถิง ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ใช่คุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยนอีกต่อไป ไม่ใช่ผู้หญิง ไม่ใช่คนอีกต่อไป

ต่ำช้า?

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ หัวเราะทั้งน้ำตา เธอต้องปรับตัวให้เข้ากับคำนี้ เพราะตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คำนี้จะกลายเป็นคำที่ติดตัวเธอไปตลอดชีวิต

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องผ่าตัดอย่างมึนงง จนถึงนั่งบนรถ เธอพิงเบาะรถ ถอนหายใจออกมายาวเหยียด เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง กลั้นน้ำตาที่จะไหลลงมา เจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนหยิ่งผยองและดื้อรั้น ไม่เคยยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ตอนนี้ตกต่ำถึงขั้นขายมดลูกและเป็นเครื่องมือสืบพันธุ์ ถ้าข่าวนี้แพร่ออกไป ไม่นานเธอต้องกลายเป็นที่หัวเราะเยาะของคนอื่น

แต่มันสำคัญอะไร? ตราบใดที่คุณพ่อฟื้นขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วทำให้เขาเห็นว่าตระกูลเจี่ยนยังอยู่ ทุกอย่างที่ตัวเองทำก็คุ้มแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้เสียพลังงานไปกับความเศร้ามากนัก เธอหายใจเข้าลึกๆ รีบหันหัวรถกลับและขับไปที่โรงพยาบาลอีกแห่งทันที เข้าไปที่ห้องคนไข้ของคุณพ่อเธอเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแม่เลี้ยงของตัวเองเฮ่อเยี่ยนหงกำลังโทรศัพท์อยู่ หางตาเฮ่อเยี่ยนหงเต็มไปด้วยความยั่วยวน

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วห้าขวบ คุณแม่แท้ๆ ก็เสียชีวิต เพื่อเลี้ยงดูเธอ คุณพ่อเธอจึงแต่งงานกับเฮ่อเยี่ยนหงและเป็นแม่เลี้ยงของเธอ

เฮ่อเยี่ยนหงยังโอเคในช่วงแรกสุด แต่เมื่อเธอคลอดลูกสาวของตัวเองเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เฮ่อเยี่ยนหงก็เมินเฉยต่อเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่ได้เป็นแม่เลี้ยงใจร้ายประเภทที่ทำร้ายลูกติดเหมือนในนิทาน อย่างไรแล้วเจี่ยนฉางรุ่นที่รักเจี่ยนอี๋นั่วมาตลอด และเจี่ยนอี๋นั่วที่มีนิสัยดื้อรั้น ก็ไม่ยอมให้เฮ่อเยี่ยนหงกำเริบเสิบสานอยู่แล้ว

เฮ่อเยี่ยนหงไม่กล้าทำอะไรแปลกๆ กับเจี่ยนอี๋นั่ว เธอถึงขนาดกลัวเจี่ยนอี๋นั่วด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้ามาในห้องคนไข้ เฮ่อเยี่ยนหงก็รีบยืนขึ้นอย่างประหม่า วางโทรศัพท์ไป แล้วพูดเสียงเบา “อี๋นั่ว วันนี้สภาพคุณพ่อเธอโอเคมาก แต่ยังไม่ฟื้น”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองพ่อที่นอนบนเตียงคนไข้ แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “คุณคุยโทรศัพท์กับใครคะ? ”

เฮ่อเยี่ยนหงพูดตะกุกตะกัก “ม-ไม่ได้คุยกับใครนะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาไปมองเฮ่อเยี่ยนหง “ถ้าอยากหาครอบครัว ก็ไม่ต้องรีบขนาดนี้ พ่อฉันยังมีชีวิตอยู่นะคะ ตระกูลเจี่ยนยังไม่ล่มสลาย คุณไม่จำเป็นต้องรีบหาผู้ชายคนอื่นขนาดนี้”

“ฉ-ฉันเปล่า……นั่นประธานหลิวน่ะ ช่วงนี้เขาอารมณ์ไม่ค่อยดี ฉันก็เลยเป็นห่วงเขา” เฮ่อเยี่ยนหงพูดจบ ก็รู้ว่าตัวเองพูดผิด รีบปิดปากทันที

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเฮ่อเยี่ยนหง พูดด้วยเสียงเย็นชา “พ่อฉันหมดสติมาหนึ่งเดือนแล้ว คุณไม่มาห่วงสามีตัวเอง ยังไปห่วงประธานหลิวอะไรนั่น คุณยังมีความเป็นภรรยาอยู่ไหม? ”

เฮ่อเยี่ยนหงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างระมัดระวัง พูดเสียงเบา “อี๋นั่วอ่า จริงๆ แล้วสภาพตระกูลเจี่ยนในตอนนี้ ก็โทษฉันไม่ได้นะ ถ้าฉันหาคนรวยๆ มาช่วยเราได้มันก็ดีมากไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างเธอมีสิทธิอะไรมาตำหนิฉันน่ะ คนที่ทำร้ายตระกูลเจี่ยนของเราจนกำลังจะล้มละลายอยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่คู่หมั้นของเธอฉู่หมิงเซวียนเหรอ? จริงๆ เลย ควบคุมผู้ชายตัวเองไม่ได้ จะมีสิทธิมาควบคุมฉันเหรอ? ”

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เฮ่อเยี่ยนหงก็มีความมั่นใจทันที ถึงขนาดพูดเสียงสูงและเสียงดัง “ตอนนี้เราเป็นทุกข์เพราะเธอ ฉันได้ยินมาแล้วว่าตระกูลเจี่ยนแล้วจบแล้ว ล้มละลายจนไม่เหลืออะไรเลย หรือชะตากรรมของเรา ถ้าไม่มีเงินอัดฉีดเข้ามา เป็นไปได้อย่างมากว่าเราจะไม่ใช่แค่ล้มละลาย แต่ยังเป็นหนี้เกือบร้อยล้าน ทางที่ดีที่สุดเราหาทางของเราเองเถอะ เรามาคุยเรื่องนี้กันก่อน ในแง่ของหนี้สิน ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยจะไม่รับผิดชอบ คฤหาสน์ก็ยังเป็นของพวกเรา คงไม่ให้ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยไม่มีที่อยู่หรอกใช่ไหม? เธอกับพ่อเธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกันมากไม่ใช่เหรอ? งั้นพ่อเธอก็เป็นของเธอ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเฮ่อเยี่ยนหง แล้วพูดเสียงเย็นชา “พวกคุณมีความสุขกับความมั่งคั่งตระกูลเจี่ยนมาหลายปีที่ผ่านมา ตอนนี้อยากจะหนีออกไปจากตระกูลเจี่ยนอย่างสบายใจแบบนี้ เป็นไปไม่ได้หรอก ฉันรู้เรื่องธุรกิจมากกว่าคุณกับฮุ่ยฮุ่ย ฉันมีปัญญาแบกหนี้สินทั้งหมด ความผิดฉัน ฉันรับผิดชอบเอง แต่ฉันจะอธิบายทุกอย่างให้พ่อฉันฟัง คุณไม่ควรปรากฏตัวต่อหน้าฉันเหมือนเหยื่อ ถ้าคุณอยากทิ้งพ่อฉันก็ทำได้ แต่ต้องรอให้ตระกูลเจี่ยนของเราฟื้นคืนมาอีกครั้ง รอให้พ่อฉันฟื้นขึ้นมาก่อน ถึงตอนนั้นจะทำอะไรก็แล้วแต่คุณ แต่ตอนนี้คุณทิ้งพ่อฉันไปไม่ได้! อีกอย่างฉันกับฉู่หมิงเซวียนเราเลิกกันแล้ว อย่าพูดว่าเขาเป็นคู่หมั้นฉันอีก!”

เฮ่อเยี่ยนหงเห็นเจี่ยนอี๋นั่วโกรธมาก ก็รีบก้มหน้าอย่างขี้ขลาด พึมพำเสียงเบา “ถ้าตระกูลเจี่ยนกลับมารวยอีกครั้ง ใครจะไปกันล่ะ? ”

“ตระกูลเจี่ยนต้องฟื้นคืนมาอีกครั้งแน่” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็เดินไปข้างๆ เจี่ยนฉางรุ่น หยิบสำลีขึ้นมาซับน้ำเล็กน้อย แล้วเช็ดปากเจี่ยนฉางรุ่นเบาๆ

ตอนนี้สุขภาพของเจี่ยนฉางรุ่นไม่ดี ไม่สามารถดื่มน้ำได้ตรงๆ ทำได้แค่ใช้สำลีซับน้ำ แล้วเช็ดริมฝีปากทีละนิด เพื่อคลายความกระหายน้ำชั่วคราว แต่เฮ่อเยี่ยนหงไม่ใส่ใจเจี่ยนฉางรุ่นเลย ให้เจี่ยนฉางรุ่นกระหายน้ำจนริมฝีปากแห้ง และไม่ทำให้ริมฝีปากเขาชุ่มชื้น

จริงๆ แล้วเจี่ยนฉางรุ่นก็ไม่ใช่คุณพ่อที่เก่งกาจ ถึงเขาจะรักเจี่ยนอี๋นั่วมาก พยายามทำทุกอย่างที่เจี่ยนอี๋นั่วต้องการ แต่เพราะเจี่ยนฉางรุ่นยุ่งกับงานตลอด ไม่มีเวลาอยู่กับเจี่ยนอี๋นั่ว และเจี่ยนฉางรุ่นมองผู้หญิงไม่ออกเท่าไร เฮ่อเยี่ยนหงที่หามาก็เป็นผู้หญิงที่ภายนอกนุ่มนวลแต่มีความเจ้าเล่ห์ภายใน ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนอารมณ์ร้าย ก็อาจจะเหมือนครอบครัวจริยธรรมพวกนั้นในละคร ถูกแม่เลี้ยงเฮ่อเยี่ยนหงคนนี้ทำร้ายจนตายไปแล้ว

แต่พ่อแบบนี้ก็เป็นญาติคนสุดท้ายของเจี่ยนอี๋นั่ว ถ้าเจี่ยนฉางรุ่นตายไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จะกลายเป็นคนโดดเดี่ยวอย่างแท้จริงบนโลกใบนี้ ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยกลัวอะไรมาก่อนจริงๆ แต่ตอนนี้สิ่งที่เจี่ยนอี๋นั่วกลัวจริงๆ คือเธอกลัวเจี่ยนฉางรุ่นจากไป เอกลัวว่าตัวเองจะไม่มีความกังวลใดๆ อีกแล้ว

เธอมีทางเลือกอื่นอะไรอีก? ตระกูลเจี่ยน เธอต้องการรักษาไว้ คุณพ่อ เธอต้องการเลี้ยงดู

ถ้าตอนนี้ตระกูลเจี่ยนล้มละลาย จากนั้นทุกคนในตระกูลเจี่ยนต้องแบกรับหนี้หลายร้อยล้าน ถึงพ่อของเจี่ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมา เห็นว่าตระกูลเจี่ยนล้มละลาย เป็นไปได้อย่างมากว่าจะล้มป่วยอีกครั้งเพราะการโจมตีนี้

ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนจะล้มละลายหรือไม่ มันเชื่อมโยงกับชีวิตของพ่อเธอ ตราบใดที่เธอช่วยครอบครัวกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง ให้จ่ายเท่าไรเธอก็ยอม

ถึงจะกลายเป็นผู้หญิงต่ำช้าในขี้ปากคนอื่น เธอก็ไม่สนใจ!

เฮ่อเยี่ยนหงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลังจากได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นอย่างประหลาดใจ “เธอมีทางช่วยตระกูลเจี่ยนเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วจดทะเบียนสมรสกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว และกำลังทำเด็กหลอดแก้ว ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีคนรู้เรื่อง เฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่รู้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากบอกเธอ เกียรติของตัวเองที่น่าสมเพชที่เหลือน้อยนิดเจี่ยนอี๋นั่วอยากจะเก็บมันไว้สักพัก

เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่พูดเสียงเย็นชา “ฉันเคยบอกว่าฉันสามารถรักษาตระกูลเจี่ยนไว้ได้ ก็ต้องทำได้ ดังนั้นคุณช่วยเป็นภรรยาของพ่อฉันให้ดี อย่าสองจิตสองใจ”

ในตอนนี้ จู่ๆ พยาบาลก็ตะโกนขึ้นมาที่ประตู “ครอบครัวของคนไข้เตียง 712 ถึงเวลาที่คุณต้องจ่ายค่ารักษาแล้ว พวกคุณยืดเยื้อมานานมากแล้ว ดูเหมือนเป็นคนดีมาก ทำไมถึงค้างค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล? ”

เฮ่อเยี่ยนหงได้ยินเสียงพยาบาล ก็รีบหดตัว พูดเสียงเบา “ฉัน……ฉันไม่มีเงิน และนี่มันก็น่าอายเกินไป ฉันเลยไม่กล้าไปขอใคร อี๋นั่ว เธอมีเงินไหม? ”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีเงินสด เธอขมวดคิ้ว ยืนขึ้นหันหน้าไปพูดเสียงทุ้มกับเฮ่อเยี่ยนหง “คุณดูแลพ่อให้ดี ฉันจะไปคุยกับพวกเขาสักหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินไปที่ชำระเงินของโรงพยาบาล หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมา “สวัสดีค่ะ ฉันเป็นครอบครัวของคนไข้เตียง 712 คืองี้นะคะ ค่ารักษาพ่อของฉันรออีกสองสามวันได้ไหม ตอนนี้ฉันยังจ่ายค่ารักษาให้ไม่ได้ แต่อีกไม่กี่วันฉันจะจ่ายเงินทั้งหมดอย่างแน่นอน”

เจ้าหน้าที่กลอกตาใส่เจี่ยนอี๋นั่ว ทำเสียงฮึดฮัด “พวกคุณไม่จ่ายค่ารักษา แล้วมาอยู่โรงพยาบาลทำไม? ทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลเถอะ มีเงินพอเมื่อไรแล้วค่อยมาอยู่”

“เดี๋ยวก่อน……” เจี่ยนอี๋นั่วถอดนาฬิกาข้อมือออก แล้วส่งให้เจ้าหน้าที่ รีบพูดขึ้น “นาฬิกาเรือนนี้คุณเอาไปจำนองได้ นี่เป็นของขวัญวันเกิดฉันที่พ่อให้มา ฉันจะไม่เบี้ยวเด็ดขาด”

เจ้าหน้าที่หันหน้าไปมองนาฬิกา ยิ้มขึ้นมา “อุ๊ยตาย นี่แบรนด์เนมนี่หน่า? คนที่ไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาอย่างคุณ ไม่คิดว่าจะใส่นาฬิกาแบรนด์เนมนะ? ของปลอมหรือเปล่า? สินค้าของปลอมแบบนี้ ฉันใช้เงินร้อยหยวนซื้อมันได้ยี่สิบเรือน”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า พูดอธิบาย “ไม่ มันคือของแท้ คุณเอาไปตรวจดูก็ได้ ด้านหลังเรือนนี้มันมีรหัสอยู่ คุณค้นหาข้อมูลทั้งหมดของนาฬิกาเรือนนี้ได้ คนที่ซื้อนาฬิกาคือพ่อของฉันเจี่ยนฉางรุ่น”

“ฉันยืนยันได้ว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นของแท้……” ทันใดนั้นเสียงอันบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงนั้นอันคุ้นเคย ก็อึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็ขมวดคิ้วทันที เอานาฬิกานั้นคืนมา แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำกับเจ้าหน้าที่ “ฉันจะไปคิดหาวิธีอีกที ขอโทษนะ เมื่อกี้รบกวนคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันตัวไป เตรียมจะเดินจากไป แต่เธอยังไม่ทันได้ออกไป ก็ถูกผู้หญิงคนนั้นจับแขนเอาไว้ ผู้หญิงคนนั้นเอียงศีรษะแล้วยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วก่อนจะพูดขึ้น “อี๋นั่ว เธอจะไปไหน? ทำไมเหรอ? ขาดเงินหรือไง? น่าสมเพชจริงๆ ไม่มีแม้แต่ปัญญาจ่ายค่ารักษาโรงพยาบาล นี่คุณหนูใหญ่ตระกูลเจี่ยนผู้มีชื่อเสียงของเราเหรอ? แย่กว่าขอทานข้างถนนอีกนะ ฉันเห็นแล้วเสียใจจริงๆ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไป มองตามเสียงผู้หญิงคนนั้นพูด เธอเห็นสองคนกำลังคลอเคลียกัน คนหนึ่งคืออดีตคู่หมั้นที่ทำให้ตระกูลเจี่ยนล้มละลายฉู่หมิงเซวียน อีกคนหนึ่งคือเฉิงซานซานคนที่เธอเคยเรียกว่าเพื่อนสนิท เฉิงซานซานมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ และฉู่หมิงเซวียนมีใบหน้าเย็นชา มองไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วมองเฉิงซานซานอย่างเย็นชา “ไม่คิดว่าตอนนี้เธอจะกล้าปรากฏตัวต่อหน้าฉัน เพราะฉันจับได้ว่าพวกเธอนอนบนเตียงด้วยกันไม่ใช่เหรอ? แค่เห็นพวกเธอ ฉันก็นึกถึงสภาพพวกเธอไม่ใส่เสื้อผ้า ฉันรู้สึกขยะแขยง”

“เธอ! เจี่ยนอี๋นั่วเธอตกต่ำมาถึงจุดนี้ ยังกล้ากำเริบเสิบสานอีกเหรอ? ” เฉิงซานซานดวงตาแอปริคอทคว่ำลง ตะโกนเสียงดังใส่เจี่ยนอี๋นั่ว

ต่อมา เฉิงซานซานก็ไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังฉู่หมิงเซวียนทันที พูดกับฉู่หมิงเซวียนด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “หมิงเซวียนคุณดูสิคะ อี๋นั่วยังเกลียดฉันอยู่ ถ้าให้เธอรู้ว่าฉันมีลูกของคุณ แถมมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจครรภ์ ไม่รู้เธอจะเกลียดฉันยังไง”

เฉิงซานซานพูดจบก็หันหน้าไปทำเสียงร้องไห้เบาๆ ใส่เจี่ยนอี๋นั่ว “อี๋นั่ว เธออย่าโทษพวกเราเลยนะ เรารักกันจริงๆ ต้องโทษที่เธอไม่อ่อนโยนและใส่ใจมากพอ เลยทำให้หมิงเซวียนตกหลุมรักฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเฉิงซานซานอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงเย็นชาใส่ฉู่หมิงเซวียน “ฉันไม่สนใจหรอกว่าพวกเธอจะรักกันจริงไหม ฉันแค่สนใจว่าพวกเธอทำอะไรกับตระกูลเจี่ยนพวกเราไว้บ้าง ฉันไปต่างประเทศแค่สองเดือน พ่อฉันล้มป่วยเพราะโกรธพวกเธอ และบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยของเรา ทำไมมีเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน? มันเป็นการชักใยมาจากใคร ฉันจำมันได้อย่างชัดเจน”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเยาะขึ้นมา “ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะตกต่ำถึงจุดนี้ แล้วยังหยิ่งผยองได้ขนาดนี้ ทำไมไม่ถามหน่อยล่ะว่าฉันกับซานซานคบกันตั้งแต่เมื่อไร? หืม? คู่หมั้นของฉัน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยเสียงเย็นชา “อย่ามาใช้คำว่า ‘คู่หมั้น’ ให้ฉันขยะแขยงหน่อยเลย ระหว่างเรามันจบไปตั้งนานแล้ว แค่ตอนนี้ฉันไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าพวกเธออยากคบกัน ทำไมต้องทำลายบริษัทอี๋เหม่ยด้วย? พ่อฉันดีไม่พอสำหรับพวกเธอเหรอ? เลื่อนขั้นนายจากพนักงานธรรมดาให้เป็นผู้จัดการแผนก ทำไมนายทำกับเขาแบบนี้? ”

“เราจบแล้วเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา จู่ๆ ก็เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงทุ้มพูดขึ้น “คุณเจี่ยนไร้ความรู้สึกอย่างที่คิดไว้ เหมือนกับพ่อเธอเลย! เธอถามฉันเหรอว่าทำไมต้องทำลายบริษัทอี๋เหม่ย? งั้นคุณเจี่ยนจำคนที่ชื่อฉู่หลีเหอได้ไหม? ฉู่หลีเหอคนที่เป็นเพื่อนสนิทพ่อเธอในตอนแรก ตอนที่เขาจะล้มละลาย คุกเข่าที่หน้าประตูใหญ่ตระกูลเจี่ยน ขอร้องให้พ่อเธอช่วยเขา ไม่คิดว่าพ่อเธอจะไล่เขาออกไป คนเลือดเย็นอย่างพ่อของเธอ? หรือว่าไม่ควรโดนแก้แค้นแบบนี้เหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองฉู่หมิงเซวียน “เขาเป็นพ่อนายเหรอ? ”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้า ยิ้มขึ้นมา “คุณเจี่ยนฉลาดจริง พอเดาก็เดาถูกเลย ฉู่หลีเหอเป็นพ่อฉัน เพราะตระกูลเจี่ยนพวกเธอไม่ช่วยเขา บังคับให้เขากระโดดตึกฆ่าตัวตาย ตายต่อหน้าฉัน! เธอคิดว่าฉันจะปล่อยพวกเธอตระกูลเจี่ยนไปได้ยังไง? ฉันเข้าหาพวกเธอ ก็เพื่อแก้แค้นพวกเธอ ฉันอยากให้พวกเธอสัมผัสรสชาติบ้านแตกสาแหรกขาด! ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยเกิดปัญหา ฉันเป็นคนทำเอง และเป็นฉันเองที่ติดต่อผู้ถือหุ้นบังคับให้พ่อเธอออกจากคณะกรรมการ แต่แล้วยังไง? ถ้าพวกเธอตระกูลเจี่ยนไม่รีบหาเงินมาอัดฉีดให้เร็วที่สุด ไม่กู้คืนชื่อเสียงกลับมาให้เร็วที่สุด พวกเธอก็จบสิ้นแล้ว! แต่สองอย่างนี้ คุณเจี่ยนเธอทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่เหรอ? คุณไม่มีอำนาจควบคุมข่าวสารในเชิงลบได้ และไม่มีอำนาจในด้านเงินทุน”

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียน อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะขึ้นมา “เพราะเหตุผลนั้นเหรอ? ฉู่หมิงเซวียน นายก็เป็นผู้ใหญ่ แถมยังอยู่ในวงการธุรกิจมานาน ไม่เข้าใจเหตุผลที่ว่าสนามธุรกิจคือสนามรบเหรอ? พ่อนายธุรกิจล้มเหลวฆ่าตัวตาย นายควรหาคนที่จัดการพ่อนายในตอนแรกสิ ไม่ใช่ตระกูลเจี่ยนที่ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในการช่วยเหลือพวกนาย และในตอนนั้นตระกูลเจี่ยนก็แย่มาก ถ้าตระกูลเจี่ยนช่วยเหลือครอบครัวนาย ก็จะไม่มีทางดำเนินต่อไปได้ นายคิดว่าทำไมพ่อฉันถึงเลือกนายมาฝึกงาน? นายมีความสามารถมากเหรอ? มีพรสวรรค์เหรอ? พ่อฉันเคยบอกว่า เพราะนายนามสกุลฉู่? ตอนนี้ฉันเพิ่งเข้าใจ เพราะพ่อของนาย พ่อฉันเลยต้องการฝึกฝนนายล่ะมั้ง? เขาถึงขนาดจับคู่ฉันกับนาย ตอนนี้พ่อฉันใจดีที่เลี้ยงหมาป่า!”

เฉิงซานซานพิงข้างกายฉู่หมิงเซวียน พูดด้วยเสียงอ้อน “หมิงเซวียน คุณดูสิ ฉันเคยพูดตั้งนานแล้ว อี๋นั่วไม่ชอบคุณเลยสักนิด ที่คบกับคุณก็เพราะพ่อเธอขอ เธอก็เลยคบกับคุณ”

ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา ยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ฉันเห็นแล้ว คุณเจี่ยนนี่เย็นชาจริงๆ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน กัดฟันพูดขึ้น “ใช่แล้ว ฉันเป็นคนเย็นชา ฉันโชคดีมากที่ตัวเองไม่เคยชอบนาย ฉู่หมิงเซวียน ตระกูลเจี่ยนของเราจะไม่จบแบบนี้หรอก ครั้งนี้โดนนายทำร้ายจนมาถึงจุดนี้ เพราะฉันระวังไม่มากพอ แต่มันจะไม่มีครั้งต่อไป ต่อไปเรายังมีเวลาที่จะสู้กันในอนาคตอย่างช้าๆ ! บริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยคือทรัพย์สมบัติตระกูลเจี่ยนของเรา ฉันไม่ปล่อยให้มันพังเด็ดขาด! และไม่ยอมให้นายมาแย่งไปด้วย!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็จ้องเขม็งเฉิงซานซานและฉู่หมิงเซวียน หันตัวเตรียมเดินออกไป แต่ข้อมือเจี่ยนอี๋นั่วถูกฉู่หมิงเซวียนจับเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอคิดจะช่วยตระกูลเจี่ยนแบบนี้ ใครจะช่วยเธอ เธอจะทำยังไง? ต้องการขายอะไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือฉู่หมิงเซวียนออก “ขายในสิ่งที่พวกเธอไม่มี”

ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่ว มีความตื่นตระหนกเล็กน้อย “อะไร? เจี่ยนอี๋นั่ว อย่าลืมนะว่าเธอยังเป็นคู่หมั้นของฉัน!”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “นายทำให้ครอบครัวฉันจะล้มละลาย ทำให้พ่อฉันโกรธจนเข้าโรงพยาบาล แถมยังพาผู้หญิงคนอื่นมาตรวจครรภ์ ตอนนี้นายยังบอกฉันว่าฉันยังเป็นคู่หมั้นนายเหรอ? ฉู่หมิงเซวียน นายคิดว่ามันน่าขำไหม? ”

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถามขึ้นอย่างดื้อดึง “เธอจะขายอะไรกันแน่? ถึงจะช่วยตระกูลเจี่ยนไว้ได้? ”

“หัวใจ” เจี่ยนอี๋นั่วจิ้มไปที่หน้าอกตัวเอง พูดเสียงทุ้ม “พวกเธอไม่มีจิตสำนึก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขมขื่นขึ้นมา สิ่งที่เธอขายไม่ใช่แค่มดลูก แต่ต้องเผชิญกับจิตสำนึกที่มีต่อเด็กในท้อง ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเด็กในมดลูกเธออย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรอธิบายกับเขาอย่างไรว่าทำไมถึงเกิดมา เขาเกิดมาเพียงเพราะผลประโยชน์ แค่เพื่อช่วยตระกูลเจี่ยน เพื่อสืบทอดการดำรงอยู่ของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตัวเองพยายามทำหน้าที่ลูกสาวให้ดีที่สุด แต่ต้องแทนที่ด้วยราคาของจิตสำนึกของความเป็นแม่

เจี่ยนอี๋นั่วปกปิดความเจ็บปวดในใจ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ หันตัวไปทันที เดินออกไปจากโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

เฉิงซานซานมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว รีบแนบชิดฉู่หมิงเซวียนทันที พูดเสียงทุ้ม “หมิงเซวียน คุณเห็นแล้วใช่ไหม เจี่ยนอี๋นั่วตกต่ำมาถึงจุดนี้ แต่ก็ยังด่าเราอีก เธอกำลังเยาะเย้ยที่พวกเราไม่มีจิตสำนึก และเธอก็ไม่ชอบคุณจริงๆ ฉันเคยบอกแล้วว่าเจี่ยนอี๋นั่วคนแบบนี้น่ะ เป็นคนที่ใจแข็งมาก แค่ชอบธุรกิจเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นผู้หญิง เธอไม่สามารถรักผู้ชายคนไหนได้อย่างแท้จริง คุณน่ะ โดนเธอหลอกแล้ว”

“พอแล้ว!” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วขัดคำพูดเฉิงซานซาน พูดเสียงทุ้ม “ฉันรู้แล้ว”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ก็หันตัวผลักเฉิงซานซานออกอย่างแรง

เฉิงซานซานมองแผ่นหลังฉู่หมิงเซวียน ก็รีบตามไป “หมิงเซวียนคุณฟังฉันพูดสิ……”

เจี่ยนอี๋นั่วดินเร็วไม่กี่ก้าว ก็ซ่อนตัวอยู่มุมมืดที่ไม่มีใครสังเกตเห็น หลับตาอย่างแรง ตอนนี้น้ำตาเจี่ยนอี๋นั่วไหลลงมาอย่างอดไม่ได้ แค่อยู่เพียงลำพัง เจี่ยนอี๋นั่งถึงจะลบการเสแสร้งอันแข็งแกร่งทั้งหมดของตัวเองได้

จะง่ายแบบที่เธอพูดได้อย่างไร จะไม่สนใจได้อย่างไร? เธอไม่เคยชอบฉู่หมิงเซวียนได้อย่างไร?

เจี่ยนอี๋นั่วมีนิสัยดื้อรั้น ถ้าไม่ชอบฉู่หมิงเซวียนจริงๆ ไม่ว่าใครจะจับคู่อย่างไร เธอก็ไม่คบกับเขาหรอก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอเขาก็ชอบเขาแล้ว เขาอ่อนโยนและเอาใจใส่เธอด้วยความพยายามของเขา เธอจะไม่ชอบเขาได้อย่างไร? เธอคบกับเขามาสามปีแล้ว จะไม่ชอบได้อย่างไร? ถ้าไม่ชอบ หลังจากที่เธอรู้ความจริง ยังจำถามฉู่หมิงเซวียนทำไมว่าเกิดอะไรขึ้น? เธอเหมือนผู้หญิงโง่ๆ ทุกคน ที่ต้องเห็นฉู่หมิงเซวียนกับเฉิงซานซานนอนเตียงเดียวกัน ถึงจะเชื่อว่าพวกเขาคบกันจริงๆ และเชื่อว่าฉู่หมิงเซวียนหลอกใช้เธอจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วถึงขนาดเคยจินตนาการว่าต่อไปจะใช้ชีวิตกับฉู่หมิงเซวียนอย่างไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนทั้งหมดเป็นแค่ความปรารถนาที่เพ้อเจ้อของเธอ เพราะทั้งหมดมันคือการหลอกลวง เนื่องจากความรู้สึกของฉู่หมิงเซวียนที่มีต่อเธอเป็นของปลอม หลอกใช้เธอเพื่อจัดการตระกูลเจี่ยน ถ้าอย่างนั้นเธอก็ทำได้แค่พูดโกหกว่าไม่เคยชอบฉู่หมิงเซวียนมาก่อน เพื่อเก็บรักษาเกียรติของตัวเองที่หลงเหลือเพียงน้อยนิดของเธอ!

สุดท้ายเจี่ยนอี๋นั่วก็ออกมาจากโรงพยาบาล มาที่โรงรับจำนำ นำนาฬิกาของเธอมาจำนำ เพื่อชดใช้ค่ารักษาพยาบาลของพ่อ เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วชำระค่าใช้จ่ายหมดแล้ว หลังจากกลับไปที่ห้องคนไข้ ก็พบว่าเฮ่อเยี่ยนหงไปไหนแล้วก็ไม่รู้

เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ จู่ๆ ก็ไม่มีแรงไปสืบว่าเฮ่อเยี่ยนหงไปไหนกันแน่ เธอนั่งอยู่ข้างเตียงเจี่ยนฉางรุ่น ยกมือของเจี่ยนฉางรุ่นขึ้นมา แล้ววางบนหน้าเธอ

มืออุ่นของเจี่ยนฉางรุ่น สุดท้ายก็ให้ความอบอุ่นแก่เจี่ยนอี๋นั่วเล็กน้อย

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้อง พูดเสียงทุ้ม “พ่อ ฉันเหนื่อยมากเลย พ่อรีบฟื้นขึ้นมาได้ไหม มาคุยกับฉัน ให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ได้สู้อยู่คนเดียว ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าตัวเองทำถูกหรือเปล่า ฉันก็ไม่รู้ว่าพ่อฟื้นขึ้นมาแล้วจะเห็นด้วยกับวิธีของฉันไหม แต่ฉันไม่มีวิธีอื่นแล้วจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ลูบท้องน้อยตัวเองเบาๆ แล้วพูดสะอึกสะอื้นกับเจี่ยนฉางรุ่น “ฉันมีแค่วิธีนี้ หวังว่าพ่อจะไม่โกรธฉันนะ อย่าดูถูกฉันเหมือนคนอื่นๆ ฉันเป็นลูกสาวพ่อ พ่อดุฉันได้ ตีฉันได้ แต่พ่ออย่าดูถูกฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้ากลั้นน้ำตา แล้วก้มหน้ายิ้มกับเจี่ยนฉางรุ่น “ดูฉันสิ พูดเรื่องที่ไม่มีความสุข……ฉันควรมีความสุขสิ พรุ่งนี้ฉันจะได้เจอคุณนายเหลิ่งแล้ว เธอจะทำตามสัญญาที่ว่าจะช่วยตระกูลเจี่ยนของเรา ทุกอย่างต้องดีขึ้น รอพ่อฟื้นขึ้นมา ฉันจะให้พ่อเห็นตระกูลเจี่ยนที่ยิ่งใหญ่……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เอนตัวนอนข้างเตียงเจี่ยนฉางรุ่น ถอนหายใจออกมายาวเหยียด หลับตาลง ไม่รู้ว่าหลับไปตอนไหน

เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตระกูลเหลิ่งส่งรถเตรียมมารับเจี่ยนอี๋นั่ว ไปคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง เมื่อรถขับเข้าคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ถึงเจี่ยนอี๋นั่วจะถือว่าเป็นคนที่เห็นโลกมาแล้ว แต่ระดับความหรูหราของตระกูลเหลิ่งก็ยังทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหลาดใจมาก

เข้าไปในตระกูลเหลิ่ง สิ่งแรกที่เห็นพื้นที่คฤหาสน์ที่ใหญ่โตมาก พื้นที่คฤหาสน์หลังนี้ตกแต่งแปลกตาผสมผสานระหว่างสไตล์จีนและตะวันตก ดูเหมือนในสวนจะมีบรรยากาศงดงามสไตล์ตะวันตก และเสน่ห์อันหรูหราสไตล์จีน เมื่อผ่านพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งไป ก็เห็นคฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่ง เมื่อเทียบกับพื้นที่คฤหาสน์ที่ผสมผสานระหว่างสไตล์จีนและตะวันตก คฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่งเป็นสไตล์จีนมากกว่า ดูแปลกตาและเรียบง่าย และดูค่อนข้างเก่าแก่ คฤหาสน์หลักเก่าแก่แบบนี้ ยังแสดงให้เห็นถึงการสะสมความมั่งคั่งของครอบครัวมาหลายชั่วคนอายุ

พื้นที่คฤหาสน์ที่น่าเกรงขามแบบนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่าเล็กน้อย ต้องหายใจเข้าลึกๆ ถึงจะคลายความประหม่าได้เล็กน้อย ก่อนจงจากรถ

“คุณเจี่ยน คุณนายรออยู่ด้านใด รบกวนเดินมาครับ” คนที่เหมือนเป็นพ่อบ้านเดินมาข้างๆ เจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า ตอบกลับเสียงทุ้ม “งั้นรบกวนคุณด้วยค่ะ”

เข้ามาในตระกูลเหลิ่ง เห็นการตกแต่งห้องที่เรียบง่ายและเป็นกันเอง ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วผ่อนคลายลงเล็กน้อย ถึงแม้การตกแต่งคฤหาสน์หลักของตระกูลเหลิ่งไม่ได้ดูหรูหราแบบในบ้านเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้เรื่องของเก่าบ้างนิดหน่อย รู้แม้กระทั่งแจกันดอกไม้ที่วางไว้ตามอำเภอใจล้วนเป็นของเก่าแก่ เพียงพอที่จะซื้อคฤหาสน์บ้านเธอได้สิบหลัง ถึงแม้การตกแต่งทั้งหมดจะดูตามอำเภอใจ แต่เห็นได้ชัดว่ามีการใส่ใจอยู่เบื้องหลัง

ระหว่างทาง เจี่ยนอี๋นั่วต้องหลีกเลี่ยงเฟอร์นิเจอร์และของเก่าราคาแพงเหล่านั้น เดินมาถึงห้องโถงใหญ่ เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นหญิงชราผมขาวนั่งโซฟาอยู่ ข้างกายหญิงชรามีหญิงวัยกลางคนสวมชุดกี่เพ้าธรรมดานั่งอยู่

เจี่ยนอี๋นั่งไม่เคยเห็นหญิงชราผมขาวมาก่อน แต่เธอเคยเห็นหญิงวัยกลางคนคนนั้นหนึ่งครั้ง ผู้หญิงคนนี้ชื่อสุยเฉิงจิ้ง คือคุณนายรองตระกูลเหลิ่ง

ตระกูลเหลิ่งมีลูกชายสองคน คนที่ใหญ่สุดคือเหลิ่งเซ่าถิง แต่เพราะพ่อแม่ของเหลิ่งเซ่าถิงเกิดอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อหลายปีก่อน เสียชีวิตไปหมดแล้ว เหลือแค่เหลิ่งเซ่าถิงคนเดียว คนรองคือเหลิ่งเฉิงอวี่ เหลิ่งเฉิงอวี่เป็นอารองของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของคุณนายเหลิ่ง เป็นแค่ลูกนอกสมรสที่คุณท่านเหลิ่งทิ้งไว้ข้างนอก

หลังจากคุณท่านเหลิ่งเสียชีวิต เหลิ่งเฉิงอวี่ก็ถูกคุณนายเหลิ่งพากลับมา ถึงแม้จะได้สถานะสืบสกุลตระกูลเหลิ่ง แต่เหลิ่งเฉิงอวี่ก็ไม่สนใจตระกูลเหลิ่ง ภรรยาของเหลิ่งเฉิงอวี่คือสุยเฉิงจิ้ง ได้ยินว่าพวกเขามีลูกชายคนหนึ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่งจะไม่เคยเห็นหญิงชราคนนี้มาก่อน แต่เห็นคุณนายรองตระกูลเหลิ่งสุยเฉิงจิ้งนั่งข้างเธอด้วยใบหน้าเคารพและระมัดระวัง ก็เดาได้ว่าหญิงชราคนนี้ก็คือคุณนายตระกูลเหลิ่งในตำนาน

คุณนายตระกูลเหลิ่งคนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วแค่เคยได้ยินว่าเธอนามสกุลอู๋ เธอเป็นม่ายตั้งแต่อายุยังน้อย อาศัยความแข็งแกร่งของตัวเอง สนับสนุนทั้งตระกูลเหลิ่งขึ้นมา และจากนั้นก็สูญเสียลูกชายตอนวัยกลางคน แต่เธอก็รอด ไม่ทำให้ทรัพย์สินตระกูลเหลิ่งตกอยู่ในมือคนอื่น คุณนายเหลิ่งทำอะไรนุ่มนวลและเข้มงวด ทำให้ผู้ชายหลายคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งธุรกิจอยู่ในกำมือเธอ เป็นคนในตำนาน

จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ใหญ่ คุณนายเหลิ่งถึงได้กระจายอำนาจ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ไม่ปรากฏตัวต่อสาธารณชนอีกเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วเจอคุณนายเหลิ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วก้มตัวเล็กน้อยให้กับคุณนายตระกูลเหลิ่ง แล้วพูดเสียงทุ้ม “สวัสดีค่ะคุณนาย”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปพูดเสียงทุ้มกับสุยเฉิงจิ้ง “สวัสดีค่ะคุณนายรอง”

คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมพูดขึ้นทันที “เห็นไหม เคยบอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ฉลาดมีไหวพริบ ดูสิ ไม่ต้องแนะนำเลย เธอก็รู้ว่าฉันคือใคร”

สุยเฉิงจิ้งยิ้มและพยักหน้า ยิ้มอ่อนโยนและพูดขึ้น “คุณนายดูคนแม่นมาตลอดเลยนะคะ”

พูดจบ สุยเฉิงจิ้งก็หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตามองสังเกตเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้สุยเฉิงจิ้งผิวเผินจะดูอ่อนโยนสง่างาม แต่เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าสุยเฉิงจิ้งคนนี้เต็มไปด้วยปฏิปักษ์ต่อเธอ

คุณนายเหลิ่งก็มองเจี่ยนอี๋นั่วเช่นกัน ยิ้มแล้วถามขึ้น “คุณเจี่ยน เธอรู้ไหมว่าเราให้เธอมาทำไม? ”

เจี่ยนอี๋นั่งลูบท้องตัวเองเบาๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เพราะเด็กคนนี้ในท้องของฉัน คงเพราะ……คงเพราะมีสัญญาบางอย่างต้องการให้ฉันเซ็น”

ตระกูลเหลิ่งทำอะไรระมัดระวังอย่างมาก ตั้งแต่ที่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใกล้ตระกูลเหลิ่งจนถึงตอนนี้ ก็ได้เซ็นสัญญาการรักษาความลับและสัญญารับรองทรัพย์สินไปหลายฉบับแล้ว

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว พยักหน้าช้าๆ “ฉันยิ่งชอบเธอขึ้นเรื่อยๆ จริงๆ ถึงแม้หลานชายฉันจะดีขึ้น ฉันก็จะเลือกเธอให้เป็นหลานสะใภ้ฉัน หญิงสาวหน้าตาสวยมีมากมาย หญิงสาวที่ฉลาดก็มีไม่น้อย แต่หญิงสาวที่ทั้งสวยและฉลาดมีไม่มาก ต้องขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้ฉันได้เจอเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วผลุบตาลง ในรอยยิ้มมีความขมขื่นเล็กน้อย “ได้เจอคุณนายเหลิ่งก็เป็นเรื่องโชคดีของฉันเหมือนกันค่ะ”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่วพลางหรี่ตา “เหมือนกับสัญญาที่เซ็นกับเธอก่อนแต่งงาน เรามีสัญญาบางอย่างที่ต้องให้เธอเซ็น มีข้อจำกัดบางอย่างเกี่ยวกับสิทธิของเธอ แต่ก็มีเงื่อนไขมากมายที่ดีสำหรับเธอ เธอลองดูก่อน……”

คุณนายพูดจบก็โบกมือ มีคนนำสัญญาสองสามกองมาให้ เจี่ยนอี๋นั่วอ่านสัญญาอย่างละเอียดก่อนเซ็นชื่อ เมื่อสัญญาทั้งหมดเสร็จสิ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้เนื้อหาคร่าวๆ ของสัญญาเป็นการควบคุมจำกัดสิทธิเธอที่มีต่อสมบัติตระกูลเหลิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เธอใช้เด็กในท้องโอนย้ายสมบัติตระกูลเหลิ่งไป แต่ในสัญญาการช่วยเหลือของตระกูลเหลิ่งที่มีต่อตระกูลเจี่ยนนั้นเอื้อเฟื้อมาก ได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง ไม่เพียงแต่รักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ แต่ยังทำให้ตระกูลเจี่ยนแข็งแกร่งขึ้นด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดจะยักยอกสมบัติตระกูลเหลิ่งอยู่แล้ว แค่อยากรักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ จึงไม่ลังเลเลย

เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเซ็นสัญญาเสร็จแล้ว คุณนายเหลิ่งก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันได้ยินมาว่า เธอไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่งได้ยินคุณนายเหลิ่งพูดแบบนี้ หน้าก็ซีด ใบหน้าแสดงความกระอักกระอ่วนอย่างอดไม่ได้

คุณนายเหลิ่งมองท่าทางเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ไม่ได้พูดต่อ ยกมือขึ้นลูบแก้มเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ “เป็นเด็กดีจริงๆ ”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ในน้ำเสียงยังมีความรู้สึกสงสารนิดหน่อย แต่เพราะความสงสารที่คุณนายเหลิ่งมอบให้จึงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลงหัวเราะเยาะตัวเองอย่างขมขื่น

คุณนายเหลิ่งเห็นสีหน้าเจี่ยนอี๋นั่วซีดเซียว ก็หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ ฉันจะพาเธอไปเจอเซ่าถิง ได้เจอแล้วเธอจะเข้าใจ ผู้ชายที่โดดเด่นขนาดนี้ คุ้มค่าที่เธอจะมีลูกให้เขา คุ้มค่าความพยายามที่เธอจะเป็นภรรยาของเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดเสียงทุ้ม “ฉันเคยเห็นเขาแล้วค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้ม “เคยเห็นจากไกลๆ ไม่ใช่เหรอ? ระยะทางไกลขนาดนั้น มองเห็นไม่ชัดหรอก จะบอกว่าเคยเห็นได้ยังไง? ตอนนี้เขาเป็นสามีเธอแล้ว ถึงแม้ตอนนี้เขายังไม่ฟื้นก็เถอะ……”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ดวงตาก็มืดลง “แถมยังเป็นผัก แต่เธอก็ควรคุ้นชินกับเขา ยังไงแล้วอนาคตเธอก็ต้องดูแลเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก แต่ก็ยังพยักหน้า ยืนขึ้นตามคุณนายเหลิ่ง สุยเฉิงจิ้งก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยยืนขึ้น อยากขึ้นข้างบนตามคุณนายเหลิ่งไป แต่คุณนายเหลิ่งหันหน้ากลับมามองสุยเฉิงจิ้ง หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “คุณนายรอง เธอไม่ต้องตามขึ้นมา เรื่องนี้คุณไม่ต้องใส่ใจ”

สุยเฉิงจิ้งกัดฟันเล็กน้อย จากนั้นก็เผยรอยยิ้มทันที ยิ้มกับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นลูกสะใภ้จะเข้าครัวไปดูอาหารเย็นนะคะ”

คุณนายเหลิ่งพยักหน้า “เธอก็ยังรู้จักพอประมาณ”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “แต่ไม่รู้ว่าคุณเจี่ยน……อ่อ ตอนนี้ฉันควรเรียกว่าหลานสะใภ้สินะ เธอมีอาหารอะไรที่ไม่ชอบทานไหม? ในบ้านนี้เธอคือหลานสะใภ้คนโต ธุรกิจครอบครัวที่ฉันถืออยู่ทั้งหมดเก็บไว้ให้ลูกในท้องเธอ นอกจากฉันและเซ่าถิง เธอสามารถสั่งใครก็ได้ในตระกูลเหลิ่ง ชอบทานอะไร ไม่ชอบทานอะไร สั่งอาสะใภ้รองของเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองสุยเฉิงจิ้งที่เปลี่ยนจากยิ้มเป็นแข็งทื่อ รู้ว่าคุณนายเหลิ่งใช้เธอตั้งกฎกับสุยเฉิงจิ้ง วางกลอุบายท่ามกลางตระกูลร่ำรวย เริ่มตั้งแต่เธอก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง

เดิมทีหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงประสบอุบัติเหตุรถยนต์กลายเป็นผัก ก็ควรเป็นเหลิ่งเฉิงอวี่ลูกชายคนรองที่สืบทอดสมบัติตระกูลเหลิ่ง แต่เพื่อป้องกันไม่ให้เหลิ่งเฉิงอวี่ดูแลทรัพย์สินตระกูลเหลิ่ง คุณนายเหลิ่งก็คิดหาคนมาผสมเทียมให้เหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าตราบใดที่เธอคลอดลูกออกมา คุณนายเหลิ่งจะสนับสนุนเด็กคนนี้ให้เป็นผู้สืบทอดคนต่อไปของตระกูลเหลิ่ง และรู้ว่าการปรากฏตัวของเธอ เทียบเท่ากับการทำลายโอกาสที่ดีที่สุดของเหลิ่งเฉิงอวี่ในการดูแลตระกูลเหลิ่ง ไม่แปลกใจที่สุยเฉิงจิ้งจะเต็มไปด้วยการปฏิปักษ์ต่อเธอ

แต่ในเมื่อเธอเข้ามาอยู่ในวังวนแล้ว ก็ไม่ลังเลถอยกลับอีก การต่อสู้ในครอบครัวคนรวยก็เหมือนต่อสู้ในสนามธุรกิจ ถอยออกมาทีละก้าว สุดท้ายก็ถอยไปสู่ความสิ้นหวัง ตัวเองถูกบดขยี้เป็นชิ้นๆ และถูกล้อเลียนหัวเราะเยาะว่าเป็น “ไอ้โง่”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ หันหน้าไปหัวเราะเบาๆ กับสุยเฉิงจิ้งแล้วพูดว่า “อาสะใภ้รอง ฉันไม่ชอบทานผักชีค่ะ ต่อไปอย่าใส่ผักชีในการทำอาหารอีก”

รอยยิ้มบนใบหน้าสุยเฉิงจิ้งหายไปอย่างสมบูรณ์ มองเจี่ยนอี๋นั่ว หรี่ตาและหัวเราะเยาะ “ฉันจะจำไว้ แล้วจะไปสั่งที่ครัวให้นะ หลานสะใภ้ของฉัน”

คุณนายเหลิ่งเห็นการแสดงออกของเจี่ยนอี๋นั่วในสายตา ถึงจะเป็นการปะทะกันไม่กี่คำ แต่คุณนายเหลิ่งก็มองออกว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ใช่คนขี้อาย สิ่งสำคัญที่สุดคือเธอสามารถแยกแยะสถานการณ์ได้ในเวลาอันสั้นที่สุด เลือกที่จะยืนข้างคุณนายเหลิ่ง

บนใบหน้าคุณนายเหลิ่งเผยรอยยิ้มพึงพอใจ จับมือเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “หลานสะใภ้ ตามฉันมาเถอะ”

คุณนายเหลิ่งพาเจี่ยนอี๋นั่วเดินไปห้องในสุดชั้นสอง คุณนายเหลิ่งก็ปล่อยมือเจี่ยนอี๋นั่ว และผลักประตูห้องใหญ่

เมื่อประตูใหญ่เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นชายคนหนึ่งกำลังนอนบนเตียงคนไข้ขนาดใหญ่

คุณนายเหลิ่งมองผู้ชายคนนั้น แล้วพูดเสียงทุ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่คือเซ่าถิง ต่อไปเขาคือสามีของเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ค่อยๆ เดินไปข้างเตียง เธอเห็นชายหนุ่มรูปหล่อนอนบนเตียงคนไข้ ดวงตาชายคนนั้นปิดสนิท จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบาง นอกจากเพราะว่าอยู่ป่วยอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ผิวพรรณจึงซีดเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงที่นอนหลับอยู่ดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกับคนปกติ

เขาดูเหมือนเป็นคนตายทั้งเป็นอย่างสมบูรณ์ นี่คือเหลิ่งเซ่าถิงที่กลายเป็นผักแล้ว

ชายที่หล่ออย่างเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วที่ไม่ใช่คนโลภมากก็อดไม่ได้ที่จะมองอีก ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงอย่างละเอียด จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงปิดประตู เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วรีบหันกลับไป เธอเห็นว่าประตูห้องปิดลงแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบวิ่งไปที่ประตูห้อง เคาะประตูห้องอย่างแรง “เปิดประตู ปิดประตูทำไมคะ? พวกคุณอย่าขังฉันไว้ที่นี่นะ!”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งยืนอยู่นอกประตู เธอยิ้มแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วผ่านประตู “คืนนี้อยู่ดูแลเซ่าถิงเถอะ ถือเป็นการทำความคุ้นเคยสักหน่อย ยังไงแล้วพวกเธอก็เป็นสามีภรรยากัน เธอก็ไม่ต้องอาย รอให้เธอคลอดลูกให้เซ่าถิง ฉันจะจัดงานแต่งงานอันงดงามให้กับเธออย่างแน่นอน ให้ทุกคนได้รู้ว่า เจี่ยนอี๋นั่วเป็นหลานสะใภ้ตระกูลเหลิ่งของพวกเราแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว “แต่ฉันต้องกลับบ้านะคะ พ่อและบริษัทยังต้องการฉันกลับไป……”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูด “เธอไม่ต้องเป็นห่วง เธออยู่ดูแลเซ่าถิงหนึ่งคืน พรุ่งนี้เธอจะพบว่าข่าวด้านลบเกี่ยวกับตระกูลเจี่ยนหายไปหมดเลย ฉันจะรีบจัดการอัดฉีดทุนให้ตระกูลเจี่ยน ว่ายังไง? เงื่อนไขนี้โอเคไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ก็ค่อยๆ ชักมือกลับมา พยักหน้า “ฉันรู้แล้ว ฉันจะอยู่ที่นี่ค่ะ”

เพื่อสามารถช่วยตระกูลเจี่ยนไว้เจี่ยนอี๋นั่วได้จ่ายไปเยอะมาก ตอนนี้จะปฏิเสธถอยหลังได้อย่างไร?

คุณนายเหลิ่งยิ้มยิ่งอ่อนโยนขึ้น “ดึกแล้ว เธออยู่เป็นเพื่อนเซ่าถิงให้เต็มที่เถอะ เดี๋ยวอีกสักพัก ฉันจะให้คนนำอาหารเย็นมาให้เธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าด้านนอกไม่มีเสียงแล้ว จึงเดินมาข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง เธอขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็หันหน้าไปมองรอบๆ พบว่ารอบๆ ไม่มีโซฟาและเตียงเสริมอื่นๆ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่นั่งข้างเตียงอย่างระมัดระวัง

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง จริงๆ แล้วคนที่สมบูรณ์แบบและมาจากครอบครัวร่ำรวยอย่างเหลิ่งเซ่าถิง คงไม่ได้เตรียมการโชคชะตากลายเป็นผักโดยไม่รู้ตัว แล้วเธอจะบ่นอะไรได้อีก? อย่างน้อยตอนนี้เธอก็ตัดสินชะตากรรมของตัวเองได้ ไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิง ปล่อยให้คนอื่นมาบงการ ให้เขาแต่งงานก็ต้องแต่ง ให้เขามีลูกก็ต้องมี เพื่อเงินเธอกลายเป็นเครื่องมือสืบพันธุ์ แต่เหลิ่งเซ่าถิงแม้แต่โอกาสที่จะลังเลก็ไม่มีเลย

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น รู้สึกว่าเธอน่าขำจริงๆ ตอนนี้เธอมีความสุขมากกว่าผักเหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพลางหลับตาอย่างแรง บางทีอาจจะเพราะเหนื่อยเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วจึงเผลอหลับไปข้างเตียงจริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานแค่ไหน ขณะที่เธอรู้สึกรางๆ ว่ามีคนสัมผัสเธอเบาๆ เธอถึงลืมตาขึ้น

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วลืมตา เธอก็สบตาเรียวฟินิกซ์คู่หนึ่งที่เงยขึ้นเล็กน้อย เธอตกใจร้องเสียงดังอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบซ่อนตัวไปด้านหลัง เพราะเจี่ยนอี๋นั่วหลับข้างเตียง พอเธอซ่อนตัวไปด้านหลัง ก็แทบจะตกเตียง

มือข้างหนึ่งโอบเอวเธอ กระซิบเสียงทุ้มข้างหูเธอ “เธอเป็นใคร? ทำไมมานอนบนเตียงฉัน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างเล็กน้อย มองผู้ชายหล่อเหลา จมูกโด่ง คิ้วเข้ม ริมฝีปากบางตรงหน้านี้ นี่เหลิ่งเซ่าถิงเหรอ? เขาตื่นขึ้นมาโดยไม่คาดคิด?

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ พูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เหลิ่งเซ่าถิงก็หรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้พูดอะไร เวลาหยุดลงชั่วขณะ ผ่านไปสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ตอบสนอง เธอรีบผลักเหลิ่งเซ่าถิง รีบกระโดดลงจากเตียงวิ่งไปที่ประตูห้องอย่างรวดเร็ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ากลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิงที่สีหน้าไร้อารมณ์ พลางเคาะประตูที่ปิดสนิทอย่างแรง แล้วตะโกนเสียงดัง “รีบเปิดประตูเร็วเข้าสิ! รีบเปิดประตู”

หลังจากประตูห้องเปิดออก ไม่คิดว่าสุยเฉิงจิ้งจะเดินมาก่อน สุยเฉิงจิ้งยืนอยู่หน้าประตูห้อง มีท่าทางตรงกันข้ามเมื่ออยู่ต่อหน้าคุณนายเหลิ่ง พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเสียงยากที่จะเข้าใจ “ทำไมเหรอ? หลานสะใภ้? อยู่กับคนตายทั้งเป็นทนไม่ได้เหรอ? ตอนนี้โวยวายอยากจะออกมาแล้วเหรอ? ถึงจะอยากไป ก็ไม่ต้องตะโกนเรียกร้องขนาดนี้ก็ได้นี่? ลูกสาวของพวกเศรษฐีใหม่เขาไม่มีกฎอะไรเลยเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็ปรับอารมณ์ตื่นตระหนกของเธอ แล้วพูดกับสุยเฉิงจิ้งอย่างใจเย็น “เหลิ่งเซ่าถิง เขา……เขาฟื้นแล้ว……”

สุยเฉิงจิ้งหน้าซีดทันที ราวกับได้ยินข่าวร้ายอะไรบางอย่าง ตะโกนเสียงดัง “ป-เป็นไปไม่ได้ คุณหมอบอกว่ามันยากมากที่เขาจะฟื้นขึ้นมา เขาต้องกลายเป็นผักตลอดชีวิต!”

เจี่ยนอี๋นั่วมองสุยเฉิงจิ้ง รีบหันตัวไปพูดกับคนใช้ที่อยู่ตรงประตู “เธอรีบไปบอกคุณนาย……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นคุณนายเหลิ่งเดินขึ้นมาจากด้านล่าง คุณนายเหลิ่งเดินมาพร้อมยิ้มแล้วถามขึ้น “ทำไม? เกิดอะไรขึ้น? ตะโกนเสียงดังกันทำไม? ฉันอยู่ลานบ้านด้านหน้ายังได้ยินเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองคุณนายเหลิ่ง แล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณนาย……”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะทุ้มต่ำแล้วเอ่ยเตือน “ควรเรียกว่าคุณย่าสิ เคยอยู่ร่วมห้องกันแล้ว ไม่ใช่เหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากล่าง รีบพูดขึ้น “คุณย่า เหลิ่งเซ่าถิงเขาฟื้นแล้วค่ะ”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว เบิกตากว้าง “อะไรนะ? เธอกำลังพูดอะไร? เซ่าถิงเขาฟื้นแล้วเหรอ? จริงหรือหลอก? ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “จริงๆ นะคะ ฉันจะกล้าหลอกคุณนายได้ยังไง? ”

“จริงเหรอ? ได้ยังไง……” คำพูดของคุณนายเหลิ่งยังไม่ทันพูดจบ จู่ๆ ก็นิ่งไป

คุณนายเหลิ่งมองผ่านเจี่ยนอี๋นั่วไปทางห้องเหลิ่งเซ่าถิง เธอเบิกตากว้าง แม้แต่ร่างกายก็สั่นขึ้นมาเล็กน้อย

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองทางที่คุณนายเหลิ่งจ้อง ไม่คิดเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะยันกำแพงแล้วค่อยๆ เดินมาที่ประตูห้อง

เหลิ่งเซ่าถิงยืนย้อนแสงอยู่ที่หน้าประตูห้อง ยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “คุณย่า อรุณสวัสดิ์ครับ”

แสงแดดอ่อนกระทบที่ร่างกายเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้ใบหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิงดูอบอุ่นขึ้นมาก

คุณนายเหลิ่งจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง ผ่านไปสักพักเธอถึงได้เบิกตากว้าง ยกมือขึ้นเปิดปาก น้ำตาไหลลงมาทันที

จากนั้นคุณนายเหลิ่งก็วิ่งโซเซไปหาเหลิ่งเซ่าถิง พูดอย่างสะอึกสะอื้น “เซ่าถิง? เซ่าถิงใช่หลานจริงๆ ใช่ไหม? หลานฟื้นขึ้นมาจริงๆ เหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ผมเอง คุณย่า ผมเหมือนนอนหลับไปนานมาก……”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งก็ตีเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ ร้องไห้พร้อมพูดตะโกนเสียงดัง “เจ้าเด็กนี่ ทำไมเพิ่งฟื้นขึ้นตอนนี้? หลานรู้ไหมว่าปีนี้ฉันใช้ชีวิตยังไง? ฉัน……ฉันอยู่ก็เหมือนตาย! ทุกวันฉันคิดว่าฉันมีชีวิตนานเกินไปหรือเปล่า แย่งเอาโชคดีของหลานกับพ่อของหลานไป เลยทำให้พ่อของหลานตายตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วทำให้หลานเจอกับเรื่องแบบนี้อีก ฉันรู้สึกว่าเป็นความผิดของฉัน……”

คุณนายเหลิ่งร้องไห้ขณะที่พูดถึงตรงนี้ ยกมือขึ้นจับเหลิ่งเซ่าถิงไว้ ปากก็ยังร้องไห้และดุด่า “เจ้าเด็กแสบ ฉันเป็นญาติคนเดียวของหลาน ไม่คิดว่าหลานจะประสบอุบัติเหตุรถยนต์เพราะผู้หญิงคนเดียว แล้วหลับไปนานขนาดนี้! มันทำให้ฉันเสียใจเกินไปจริงๆ !”

เหลิ่งเซ่าถิงเริ่มมีร่องรอยความว่างเปล่าในดวงตา แต่จากนั้นก็เหมือนเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ยกมือขึ้นกอดคุณนายเหลิ่งที่ตัวเตี้ยกว่าเขามาก แล้วพูดเสียงทุ้มแหบพร่า “ขอโทษครับ คุณย่า ที่ทำให้ย่าเป็นห่วง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณย่า ตอนผมตื่นขึ้นมา มีหลายเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ผู้หญิงคนนี้มาอยู่ในห้องผมได้ยังไง? ”

คุณนายเหลิ่งเช็ดน้ำตา ร้องไห้ขณะที่พูดขึ้น “ย่าจะบอกหลานให้รู้เรื่องว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ควรไปหาหมอเช็กหลานก่อน ให้ร่างกายหลานไม่มีปัญหาอะไร ย่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้หลานฟังอย่างละเอียด”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า จากนั้นก็มองผ่านกลุ่มคนไปยังเจี่ยนอี๋นั่วที่ถูกเบียดจนอยู่ในมุม แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะอ่อนโยนมากต่อหน้าคุณนายเหลิ่ง แต่เมื่อเขามองคนอื่นๆ ดวงตาเขาเย็นชาผิดปกติ

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่หยิ่งผยองและเย็นชา แต่เมื่อได้สัมผัสกับดวงตาเย็นชาของเขาจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าสายตานั้นเย็นชามากแค่ไหน ทำให้ในใจเธอรู้สึกขี้ขลาดเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้มหน้าลง เมื่อเห็นสายตาของเหลิ่งเซ่าถิง

ไม่นานคุณหมอก็มาถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง หลังจากตรวจเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็ตอบกลับคุณนายเหลิ่ง “คุณชายใหญ่เหลิ่งนอกจากเพราะให้น้ำเกลือบำรุงร่างกายเป็นระยะเวลานาน ก็มีการขาดสารอาหารเล็กน้อย ตัวบ่งชี้อื่นๆ เป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ใส่ใจพักผ่อนและเสริมอาหารบำรุง ผ่านไปสักพักก็จะฟื้นฟูร่างกาย พรุ่งนี้ฉันจะมาตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง”

หลังจากคุณนายเหลิ่งได้ยิน ก็ถอนหายใจ หันไปพูดกับคนรอบข้างด้วยเสียงทุ้มต่ำ “พวกเธอออกไปเถอะ ฉันกับเซ่าถิงจะคุยกันสักพัก……”

“แม่……ฉัน……” สุยเฉิงจิ้งกำลังจะพูด แต่ถูกคุณนายเหลิ่งมองอย่างเย็นชา ก็ทำได้แค่อดกลั้นสิ่งที่จะพูดออกไป

สุยเฉิงจิ้งถอยหนึ่งก้าว ยิ้มแข็งกระด้างให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “งั้นฉันไปแจ้งญาติๆ บอกให้พวกเขาทราบข่าวดีนะคะ”

คุณนายเหลิ่งโบกมือ ยิ้มเยาะแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องแจ้งพวกเขาหรอก สำหรับพวกเขามันไม่ใช่ข่าวดี เธอไปทำตามคำแนะนำของคุณหมอ ไปต้มพวก……ไม่……อี๋นั่ว เธอไปต้มโจ๊กตามคำแนะนำของคุณหมอมา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีปัญหากับการทานอาหารของเซ่าถิง”

“แม่ ฉันก็ทำได้นะ ในเมื่อเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณเจี่ยนยังต้องอยู่ตระกูลเหลิ่งพวกเราต่อเหรอ? ” สุยเฉิงจิ้งรีบพูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว มองสุยเฉิงจิ้ง ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเร็วมากเกินไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาได้ เธอก็ไม่รู้ว่าเธอกำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบไหน

“อี๋นั่ว เธอไม่ฟังคำพูดฉันเหรอ? ” คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ตอบรับเสียงทุ้ม “คุณนายเหลิ่ง ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบหันตัวเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งกัดฟัน และเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง

ปิดประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งก็หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มเยาะแล้วพูดเสียงทุ้ม “คุณเจี่ยน เพิ่งกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่ง รู้สึกยังไงที่จะโดนขับไล่ออกจากตระกูลเหลิ่ง? ฉันจะบอกเธอให้นะ คุณนายของเราเป็นคนที่เลือดเย็น เหลิ่งเซ่าถิงก็ยิ่งเป็นคนเลือดเย็น ตอนแรกที่พ่อแม่เขาเสียชีวิต เขาไม่มีน้ำตาสักหยด เครื่องมืออย่างเธอ ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียง เธอมีลูกเขาอยู่ในท้อง ก็อาจจะกลายเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งได้ แต่เมื่อเขาฟื้นขึ้นมาแล้ว สำหรับเขา เธอเป็นแค่พยานของประสบการณ์อันน่าอับอายของเขา เธอพิสูจน์แล้วว่าเขาต้องพึ่งพาเงินเพื่อให้ผู้หญิงคนหนึ่งมีลูกให้เขา เธอคิดว่าเขาอยากให้เธออยู่ตระกูลเหลิ่งต่อไหมล่ะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองสุยเฉิงจิ้ง หัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “ได้ยินอาสะใภ้รองพูดแบบนี้ สถานการณ์ของฉันในตอนนี้อันตรายมากจริงๆ เลยนะคะ แต่ไม่ว่าฉันจะเผชิญกับผลลัพธ์อะไร ตอนนี้ฉันก็ยังเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง ฉันเชื่อว่าคุณนายเหลิ่งจะจัดเตรียมสิ่งที่น่าพอใจให้กับฉัน”

สุยเฉิงจิ้งเม้มปากยิ้มขึ้นมา “เธอกำลังคาดหวังว่าคุณนายเหลิ่งที่เห็นหลานชายกลายเป็นผัก ใช้เงินจ้างผู้หญิงคนอื่นเพื่อคลอดลูกให้หลานชายเธอ เพื่อรักษามรดกตระกูลเหลิ่งของพวกเขาเอาไว้ จะจัดเตรียมสิ่งที่น่าพอใจให้กับเธอเหรอ? เธอคิดเรียบง่ายจริงๆ นะ คุณเจี่ยน ทำไมคุณไม่ร่วมมือกับฉัน บางทีฉันอาจจะช่วยคุณได้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแข็งทื่อทันที แต่จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา “อาสะใภ้รอง คุณเป็นห่วงตัวเองให้มากๆ เถอะค่ะ อย่างมากที่สุดฉันก็ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งได้ แต่อาสะใภ้รองคุณ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ไม่ได้พูดต่อ แค่ส่ายหน้าเบาๆ เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว ทายาทตระกูลเหลิ่งก็คือเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ว่าสุยเฉิงจิ้งจะเคยทำแผนการอะไร ตอนนี้มันก็ไร้ประโยชน์ และจากท่าทีของคุณนายเหลิ่ง จากนี้ไปคุณนายเหลิ่งไม่มีทางปล่อยให้เหลิ่งเฉิงอวี่ที่เกือบทำให้ตระกูลเหลิ่งตกต่ำใช้ชีวิตดีได้

ถึงแม้สุยเฉิงจิ้งจะเป็นคุณนายรองของตระกูลเหลิ่ง แต่พวกเขาไม่มีอำนาจอะไรเลยสักนิดในตระกูลเหลิ่ง ในเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจว่าจะยืนข้างคุณนายเหลิ่งแล้ว ก็ไม่หวั่นกับการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน

นอกจากนี้เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้ว คุณนายเหลิ่งให้เธอไปจัดการอาหารของเหลิ่งเซ่าถิง หมายความว่าคุณนายเหลิ่งยังอยากให้เธออยู่เคียงข้างเหลิ่งเซ่าถิงต่อ เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อมั่นในวิจารณญาณของตัวเอง

สุยเฉิงจิ้งจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว เปลี่ยนเป็นยิ้มเยาะ “เป็นคนที่ยายแก่เลือกจริงๆ ไม่รู้จักยืดหยุ่นเหมือนกัน”

สุยเฉิงจิ้งพูดจบ ก็เดินผ่านตัวเจี่ยนอี๋นั่วไปทันที

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วเดินลงมาข้างล่าง หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วบอกสาวใช้ให้ต้มโจ๊กแล้ว คุณนายเหลิ่งก็ส่งคนมาเรียกเธอขึ้นไป เดินมาถึงหน้าห้องเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ แล้วเคาะประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิงเบาๆ

ได้ยินเสียงตอบด้านใน “เข้ามาสิ!”

เจี่ยนอี๋นั่วผลักประตูห้อง เดินเข้าไปในห้อง ประตูเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงก่อน เหลิ่งเซ่าถิงสวมเสื้อกันหนาวสีดำตัวบาง ร่างกายเปล่งออร่าความเย็น ดวงตาเรียวฟินิกซ์ค่อยๆ เงยขึ้น ใช้สายตานั้นกวาดมองเจี่ยนอี๋นั่ว สายตานั้นเย็นชาและเหยียดหยาม ดูเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าเล็กน้อยมองไปที่คุณนายเหลิ่ง พูดขึ้นเสียงเบา “คุณตามหาฉันเหรอคะ? ”

ตอนนี้คุณนายเหลิ่งก็ลุกขึ้น ถอนหายใจอีกครั้งแล้วมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว “เธอปิดประตูซะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหันไปปิดประตูห้อง คุณนายเหลิ่งก็มองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วถามขึ้นเสียงทุ้ม “เธอยังอยากเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งของพวกเราไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วกำมือแน่น ก้มหน้ามองท้องน้อยของตัวเอง เทียบกับการที่ตระกูลเจี่ยนจะดำเนินต่อไปได้ไหมต้องได้รับการช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเป็นห่วงเด็กในท้องมากกว่า ตระกูลเจี่ยนไม่ได้รับการช่วยเหลือ นั่นเพราะเธอโชคร้าย เธอยอมรับโชคชะตา! แต่เด็กคนนี้น่าสงสารจริงๆ มีอยู่เพราะผลประโยชน์ ตอนนี้ต้องตายเพราะพ่อของเขาฟื้นขึ้นมาเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ตอบคำถามคุณนายเหลิ่งโดยตรง แค่พูดเสียงทุ้ม “ตอนนี้ฉันเป็นแม่คนแล้ว ถ้าฉันไม่เป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง เด็กคนนี้ก็ต้องเอาออกเหรอคะ? ฉันเก็บเขาไว้ได้ไหม? ”

เหลิ่งเซ่าถิงใช้น้ำเสียงเย็นชาตอบกลับ “เธอมีลูกเพื่อเงินได้ ก็เอาเด็กออกเพื่อเงินได้เหมือนกัน และไม่มีเด็กคนนี้ เธอก็จะลำบากน้อยลงไม่ใช่เหรอ? ฉันก็ไม่อยากให้ผู้หญิงอย่างเธอมาเป็นภรรยาฉัน มาเป็นแม่ของลูกฉันเหมือนกัน ฉันจะจัดเตรียมเวลาผ่าตัดเธอให้เร็วที่สุด ให้เธอเอาเด็กออก จากนั้นก็จัดเตรียมเวลาให้เราหย่ากัน ฉันหวังว่าเธอจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ ห้ามพูดเรื่องเธอกับตระกูลเหลิ่งออกไป”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่แปลกใจที่เหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอ ผู้หญิงที่มีลูกให้ผู้ชายเพื่อเงิน ใครจะไม่ดูถูกบ้าง? บางครั้งเธอก็ดูถูกตัวเองเหมือนกัน เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าถ้าไม่มีเด็กคนนี้ เธอจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่การเอาเด็กออก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองน่าขยะแขยง ถ้าเธอทำแบบนั้น ยังเป็นคนได้อีกไหม? มีลูกเพื่อเงิน? แล้วเอาเด็กออกเพื่อเงินอีก?

คุณนายเหลิ่งหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “เซ่าถิง อี๋นั่วเธอยากลำบาก ในเมื่อฉันเป็นคนให้เธอแต่งเข้ามา ฉันก็ไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ หรอก เธอปรากฏตัวขึ้นตอนที่เรายากลำบากมากที่สุด ยอมมีลูกเพื่อหลาน และเธอเพิ่งอยู่ห้องเดียวกับหลาน ก็ทำให้หลานฟื้นขึ้นมา เธอเป็นดาวนำโชคของหลานนะ!”

“ดาวนำโชคอะไร? คุณย่า ทั้งหมดเป็นแค่เรื่องบังเอิญ ถึงเธอจะไม่ได้มาอยู่ข้างผม ผมก็จะฟื้นอยู่ดี” เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วพูดขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็เงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความรังเกียจ ถูกเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายหล่อเหลาแบบนี้ ใช้สายตามองอย่างรังเกียจ ไม่ใช่ประสบการณ์ที่น่ายินดีกับผู้หญิงคนไหนเลย

คุณนายเหลิ่งเพิ่มระดับเสียง ตะโกนเสียงดังใส่เหลิ่งเซ่าถิง “บังเอิญเหรอ? แต่ฉันรอมาหนึ่งปีเต็ม หลานไม่ฟื้นขึ้นมาหนึ่งปี! คนพวกนั้นในตระกูลเหลิ่งขอให้ฉันเอาทรัพย์สินให้อารองของหลาน ฉันยื้อมาโดยตลอด ฉันกำลังรอให้หลานฟื้นขึ้นมา แต่หลานก็หลับอยู่ตลอด ตอนนั้นทำไมไม่บังเอิญล่ะ? ฉันไม่มีทางเลือก เลยให้เธอมีลูกให้กับหลาน อี๋นั่วเธอเพิ่งนอนในห้องหลาน หลานก็ฟื้นเลย ถ้าเธอไม่ใช่ดาวนำโชคของหลานแล้วเธอคืออะไร? ก่อนหน้านี้ฉันไม่เชื่อเรื่องผีหรือเทพเจ้ามมาก่อน แต่เพื่อหลาน ผีและเทพเจ้าฉันก็บูชาหมด! ไม่มีอะไรที่ฉันไม่เชื่อ แค่หลานปลอดภัย ฉันยอมคุกเข่าให้เทพเจ้าและพระพุทธเจ้า! ถ้ามีพรหมลิขิตในนั้น เธอก็เป็นคนที่นำโชคมาให้หลาน พวกเธอห้ามหย่ากัน!”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ร่างกายก็สั่นเล็กน้อย เกือบล้มลงพื้น

เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้าไปพยุงคุณนายเหลิ่งทันที ขมวดคิ้วถามอย่างเป็นห่วง “คุณย่า คุณเป็นอะไร? ”

คุณนายเหลิ่งกุมหน้าอก ส่ายหน้าช้าๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันเป็นอะไรเหรอ? ฉันโกรธหลานไงล่ะ? งานแต่งอี๋นั่วกับหลาน ฉันจะจัดเอง ตอนนี้ในท้องเธอมีเหลนฉันอยู่ หลานคิดว่าเด็กคนนี้มายากแค่ไหน? เซ่าถิง หลานทำให้ฉันเป็นห่วงมาปีกว่าแล้ว หลานดูสิผมฉันหงอกไปหมด ฉันขอร้องหลานเป็นครั้งสุดท้าย ให้คบกับอี๋นั่วไม่ได้เหรอ? ฉันรู้สึกว่าอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่ดี หลานต้องชอบเธอแน่ๆ ”

“ชอบเธอเหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วหัวเราะเยาะ

เจี่ยนอี๋นั่วโดนสายตาเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิงมองสำรวจ ถึงจะรู้สึกอึดอัดมาก แต่ก็ไม่พูดอะไร แค่เบี่ยงหน้าไปเล็กน้อย ไม่สบตากับเหลิ่งเซ่าถิง

คุณนายเหลิ่งเห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่ยังรู้สึกดูถูกเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจแล้วยืนขึ้น “เอาล่ะ เรื่องนี้ฉันไม่สนแล้ว ฉันมีข้อกำหนดเพียงสองข้อสำหรับพวกเธอ หนึ่งคือห้ามหย่า อีกหนึ่งคือต่อไปพวกเธอต้องนอนห้องเดียวกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ก็เงยหน้ามองคุณนายเหลิ่งทันที เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้พูด เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดด้วยเสียงเย็นชาก่อน “คุณย่า ผมสัญญากับย่าได้ว่าตอนนี้ผมยังไม่หย่ากับผู้หญิงคนนี้ แต่ผมจะไม่มีทางนอนกับผู้หญิงคนนี้เด็ดขาด”

คุณนายเหลิ่งกุมหน้าอก ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “อย่าคิดว่าหลานเพิ่งฟื้น แล้วย่าจะเอาอกเอาใจหลานนะ ข้อกำหนดสองข้อนี้ของย่า ไม่มีการเจรจาอะไรทั้งนั้น พวกเธอต้องอยู่ด้วยกัน! ฉันออกไปก่อนนะ!”

คุณนายเหลิ่งหันตัวเตรียมออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็โค้งตัวให้คุณนายเหลิ่งเล็กน้อย แล้วพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าข้อกำหนดสองข้อที่คุณนายเหลิ่งกล่าวมา ข้อกำหนดแรกอาจจะทำเพื่อให้ตระกูลเหลิ่งคงที่ แต่ข้อกำหนดข้อที่สองก็คือเพื่อเธอ เพื่อให้เธอได้รับข่าวลือในตระกูลเหลิ่งน้อยลง

เธอเข้าตระกูลเหลิ่งเพื่อมีลูกให้เหลิ่งเซ่าถิง ถ้าหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงฟื้นแล้ว แยกห้องนอนกับเหลิ่งเซ่าถิง ก็แสดงว่าตระกูลเหลิ่งไม่ยอมรับในตัวตนของเธอ ต่อไปเธอจะยิ่งอยู่ยากในตระกูลเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้ม “ถ้าเธอรู้เจตนาของฉันได้ ก็แสดงว่าความคิดฉันไม่ได้ไร้ประโยชน์ ถึงเซ่าถิงจะมีนิสัยเย็นชา แต่เขาก็เป็นคนจริงใจมาก พวกเธอค่อยๆ อยู่ด้วยกัน ก็จะพบว่าเข้ากันได้ดี”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็ผลักประตูเดินออกไป แค่ทิ้งเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงไว้ในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดเสียงทุ้ม “สวัสดีค่ะ ฉันชื่อเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงเย็นชา “ฉันรู้แล้วว่าเธอคือใคร เธอไม่ต้องแนะนำตัวกับฉันอีก คุณเจี่ยน ฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว สิ่งที่ประหลาดใจมากที่สุดก็คือเธอ ฉันไม่เคยเจอผู้หญิงที่เจ้าเล่ห์และไม่มีเส้นตายแบบเธอมาก่อน ฉันไม่รู้นะว่าเธอทำยังไงให้คุณย่าพอใจกับเธอได้แบบนี้ แต่ฉันไม่ชอบเธอมากๆ ธุรกิจครอบครัวเกิดปัญหา นั่นเพราะเธอไม่มีความสามารถ เลยขายมดลูกเพื่อมีลูกให้ฉัน นั่นเพราะเธอไม่มีเส้นตาย ตอนนี้ยังอยู่ตระกูลเหลิ่งไม่ยอมไปอีก เธอไม่มีความไร้ยางอายเลยเหรอ”

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดประโยคนี้ออกมา เสียงก็ไม่มีการผันผวนเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่านี่ไม่ใช่การตำหนิของเหลิ่งเซ่าถิงที่มีต่อเธอ แต่เป็นการตัดสินสุดท้ายกับเธอ ในความคิดของเหลิ่งเซ่าถิงเจี่ยนอี๋นั่วคือผู้หญิงที่ไม่มีความสามารถไร้ยางอายและไม่มีเส้นตายแบบนี้ แต่สิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดไม่มีอะไรผิด

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขมขื่น กัดริมฝีปาก เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง “การประเมินของคุณดีมาก ฉันเป็นคนแบบนี้แหละ แต่ตอนนี้ฉันไม่มีทางเลือก ฉันไม่มีอำนาจในการปฏิเสธคำขอของคุณนายเหลิ่ง คุณก็ไม่มีทางปฏิเสธคุณนายเหลิ่งไม่ใช่เหรอ? ไม่งั้นเรามาอยู่ด้วยกันดีๆ ดีกว่านะ ฉันจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวของคุณ ฉันแค่อยากให้คุณช่วยฉันรักษาตระกูลเจี่ยนเอาไว้ ตอนที่คุณรู้สึกว่าฉันไปได้แล้ว แค่คุณปรึกษากับคุณนายเหลิ่งแล้ว ฉันก็จะไปทันที”

“หนึ่งปีแล้วกัน” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “เรารักษาความสัมพันธ์สามีภรรยาหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปีแล้ว เธอคลอดเด็กในท้อง แล้วก็ออกไปจากตระกูลเหลิ่งทันที ภายในระยะเวลาหนึ่งปีนี้ ห้ามแสดงตัวเป็นคุณหญิงของตระกูลเหลิ่งอยู่ข้างนอก ห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์ของเธอกับฉัน ต่อไปเด็กในท้องเธอ ตระกูลเหลิ่งของเราจะเลี้ยงดูเอง เธอห้ามพบเด็กคนนี้อีก”

เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องตัวเอง เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจนิดหน่อย “ฉันห้ามเจอเด็กคนนี้อีกเหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมุมปากหัวเราะขึ้นมา “เธอประหลาดใจมากเหรอ? ตอนที่เธอตัดสินใจขายมดลูก ก็ควรคิดถึงวันนี้แล้วไหม? ตอนแรกคุณย่าฉันก็อยากได้เด็กคนนี้ ส่วนแม่จะเป็นใคร ตระกูลเหลิ่งของเราไม่สนใจ สิ่งที่เธอขายมันคุ้มมาก ฉันเพิ่งดูงบการเงินของตระกูลเจี่ยนของพวกเธอเมื่อกี้ เพื่อช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนของพวกเธอ ตระกูลเหลิ่งของเราต้องลงทุนอย่างน้อยหนึ่งร้อยล้านหยวน แค่ไม่ได้เจอเด็กมันเป็นปัญหาใหญ่เหรอ? ในเมื่อเธอคลอดเด็กคนนี้ได้เพื่อเงิน งั้นก็ทิ้งเด็กคนนี้ได้เพื่อเงินสิ? เธอคงไม่เหมือนผู้หญิงที่เป็นศัตรูกับตระกูลเหลิ่งของพวกเราเพื่อเด็กหรอกนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น ร่างกายสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าเธอจะได้รับคำสบประมาทแค่ไหน เธอก็พยายามอดทน แต่คำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงครั้งนี้ มันเหมือนเอามีดแทงหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า เธอเหมือนไม่ใช่คนจริงๆ มดลูกก็ซื้อขายได้ เด็กก็ซื้อขายได้ เธอมีอะไรที่ขายไม่ได้อีก?

“เฮอะ……” เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตาแรงๆ กลั้นน้ำตาไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พูดถูกแล้ว เพื่อเงิน มีอะไรที่ฉันทิ้งไม่ได้บ้าง? ”

คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจบ เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินไปหาเธอ บีบแก้มเธอแล้วกระซิบเสียงทุ้มต่ำข้างหูเธอ “อย่าเผยท่าทางน้อยแบบนี้ต่อหน้าฉัน เหมือนกับว่าเธอเสียดายเด็กมาก? สำหรับเธอ เด็กคนนี้ก็คือธุรกิจ ทำไมต้องทำท่าทางน่าสงสารแบบนี้? ”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปากอย่างแรง กลั้นน้ำตาไว้ แล้วพยักหน้าให้กับเหลิ่งเซ่าถิง “คุณพูดถูก”

เหลิ่งเซ่าถิงชะงัก แล้วปล่อยมือ จ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา แล้วพูดเสียงทุ้ม “ต่อไปอย่าร้องไห้ต่อหน้าฉัน ฉันเกลียดผู้หญิงร้องไห้มากที่สุด ฉันยอมทำตามคำขอคุณย่า เพราะความกตัญญูที่มีต่อคุณย่าฉัน แต่ถ้าเธอทำให้ฉันไม่พอใจจริงๆ ไม่ว่าฉันจะทำอะไรกับเธอ คุณย่าก็จะไม่ตำหนิฉัน”

“รู้ ต่อไปฉันจะไม่ร้องไห้อีก ฉันจะยิ้มต่อหน้าคุณเท่านั้น” หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลง ก็พยายามเผยรอยยิ้มออกมาให้เหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรอีก แค่หันหลังกลับไปข้างเตียง เปิดโน้ตบุ๊ก เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ยินว่าเหลิ่งเซ่าถิงสั่งให้เธอออกไป จึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับไปไหน

จนกระทั่งคนรับใช้เอาโจ๊กมาให้ เหลิ่งเซ่าถิงจึงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอไปเถอะ ฉันไม่ต้องการให้เธอดูแลที่นี่”

น้ำเสียงเย็นชา ราวกับสั่งคนรับใช้ เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ พยักหน้าแล้วหันหลังออกจากห้องเหลิ่งเซ่าถิงไป เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว จนกระทั่งแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่วหายไปต่อหน้าเขาแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้ากลับมามองโน้ตบุ๊กต่อ

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกไปจากห้องเหลิ่งเซ่าถิง ก็ไปบอกลาคุณนายเหลิ่งก่อน คุณนายเหลิ่งเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มขึ้นมา “ทำไม? มีธุระต้องออกไปเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ฉันต้องไปบริษัทสักครั้งค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้ม “อืม ควรไปบริษัทสักครั้งนั่นแหละ ฉันส่งคนไปคุยเรื่องอัดฉีดทุนกับเธอแล้ว ทางเซ่าถิงเป็นยังไงบ้าง? เขาก็คงมีคำขอกับเธอใช่ไหม? ให้ฉันเดานะ สั่งให้เธออย่าพูดเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเซ่าถิงใช่ไหม? สั่งให้เธอคลอดลูกแล้วอย่าอยู่ที่ตระกูลเหลิ่ง? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก พยักหน้าอีกครั้ง “คุณเดาถูกหมดเลยค่ะ”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น “ตามนิสัยของเขา เขาคงยื่นคำขอพวกนี้กับเธอ เธอต้องอดทน ค่อยๆ อยู่กับเขาไป เซ่าถิงดีทุกเรื่อง แต่ปากร้ายเกินไป จิตใจเย็นชาเกินไป เธอเป็นคนจิตใจอบอุ่น จะกลายเป็นภรรยาที่ดีของเขา”

คนจิตใจอบอุ่นเหรอ? เธอไม่ใช่คนเลือดเย็นเหรอ เป็นผู้หญิงที่ขายอะไรก็ได้เพื่อเงิน? เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามองตรงไหนว่าเธอเป็นคนจิตใจอบอุ่น?

และต่อจากนี้เธอจะกลายเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เหรอ?

มือของเจี่ยนอี๋นั่วกำหมัดแน่น ก่อนหน้านี้ตอนเธอตกลงว่าจะมีลูกให้เหลิ่งเซ่าถิง ไม่ได้คิดว่าจะกลายเป็นภรรยาเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าชีวิตที่เหลือของตัวเองจะต้องอยู่กับผัก หวังเพียงรักษาทรัพย์สินของตระกูลเจี่ยนเอาไว้ และสามารถเลี้ยงดูเด็กคนนี้ให้เติบโตได้

แต่เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาเร็วขนาดนี้ เรื่องนี้ทำให้แผนการในอนาคตของเจี่ยนอี๋นั่วยุ่งเหยิงไปหมด ตอนนี้เธอได้ยินสิ่งที่คุณนายเหลิ่งขอกับเธอ ได้ยินสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงขอกับเธอ สมองเธอก็ยุ่งเหยิง เจี่ยนอี๋นั่วที่ฉลาดมีความสามารถในสายตาใครหลายๆ คน ตอนนี้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรในอนาคต

คุณนายเหลิ่งหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยกมือขึ้นจับมือเย็นเฉียบเล็กน้อยของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่ต้องกลัว ตระกูลเหลิ่งไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น การได้แต่งงานกับเซ่าถิง เป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝัน ตอนนี้เธอได้แต่งงานกับเขาแล้ว ไม่รู้ว่าจะโดนใครอิจฉามากแค่ไหน และตอนนี้เขาหายดีเป็นปกติแล้ว ต่อไปพวกเธอก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันชอบเธอมาก ถึงเซ่าถิงจะสุขภาพแข็งแรงขึ้นมา ฉันก็จะเลือกเธอเป็นหลานสะใภ้ของฉัน เซ่าถิงก็จะพบข้อดีของเธอ……”

“ขอบคุณค่ะคุณนาย……อ่อ ไม่สิ คุณย่า” เจี่ยนอี๋นั่งพูดเสียงทุ้มกับคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งหรี่ตายิ้ม พยักหน้า “เธอไปทำธุระของเธอเถอะ ตอนเย็นอย่าลืมกลับมา ฉันให้คนเตรียมงานเลี้ยงอาหารค่ำแล้ว วันนี้เป็นวันที่มีความสุข ตอนเย็นทุกคนจะทานอาหารด้วยกัน เธอยังไม่มีรถพิเศษเฉพาะใช่ไหม? ไปที่โรงรถแล้วนั่งรถฉันก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ขอบคุณค่ะคุณย่า ตอนเย็นฉันจะกลับมาให้ตรงเวลา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันหลังเดินไปที่โรงรถ เมื่อรถค่อยๆ ขับออกจากตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วหน้ากลับไปมองพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งที่ห่างเธอขึ้นเรื่อยๆ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ตอนนี้จิตใจเธอสับสนวุ่นวาย เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังฝันไร้สาระอยู่ เดิมทีมีลูกเพื่อผักคนหนึ่ง มันก็ไร้สาระมากแล้ว ตอนนี้ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะฟื้นขึ้นมาฉับพลัน จากการเป็นภรรยาในนามของผัก กลายเป็นภรรยาตามสัญญาของเหลิ่งเซ่าถิง

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอยากให้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ฟื้นขึ้นมา อย่างน้อยเหลิ่งเซ่าถิงในฐานะผัก ก็จะไม่พูดแดกดันใคร อยู่ด้วยกันคงไม่อยากมากขนาดนั้น แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตกับเขาอย่างไร เหลิ่งเซ่าถิงดูหมิ่นเธอถึงขีดสุด แค่นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วก็จะถูกเตือนหนึ่งครั้งว่าตอนนี้เธอตกอยู่ในฐานะที่เหลืออดแค่ไหน

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ย คนที่ตระกูลเหลิ่งส่งมาก็รอเจี่ยนอี๋นั่วมานานมากแล้ว เมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว คนคนนั้นก็ยิ้มแล้วยื่นสัญญาให้ทันที “คุณเจี่ยนเซ็นชื่อ เงินของตระกูลเหลิ่งจะนำมาใช้ได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วกวาดตามองสัญญาแล้วเซ็นชื่อตัวเองลงไป เห็นคนคนนั้นออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วกำลังเดินไป ก็ได้ยินเสียงใครบางคนปรบมือด้านหลังเธอ จากนั้นเสียงเย็นชาก็ดังขึ้นด้านหลังเธอ “ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้เธอหยิ่งผยองขนาดนั้น? ที่แท้ก็เพื่อประจบสอพลอตระกูลเหลิ่ง? ฉันนับถือจริงๆ เลยนะ? ไปประจบสอพลอใครในตระกูลเหลิ่งมาล่ะ? ได้ยินว่าตอนนี้ตระกูลเหลิ่งมีแค่เหลิ่งเฉิงอวี่ผู้ชายคนเดียว ผู้ชายที่เหลือก็ป่วย หายตัวไป ยังไง? ประจบสอพลอเหลิ่งเฉิงอวี่เหรอ? หลังจากเหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นผัก ก็ว่ากันว่าเหลิ่งเฉิงอวี่คุณชายรองตระกูลเหลิ่งคนนี้ จะเป็นผู้ดูแลตระกูลเหลิ่ง แต่น่าเสียดายเขาอายุมากแล้ว เป็นพ่อเธอได้เลย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงเย็นชานั้น ก็รู้ว่าเป็นฉู่หมิงเซวียน เธอขมวดคิ้วเดินไปหน้าลิฟต์ทันที กดปุ่มลิฟต์ลงชั้นล่าง แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันจะเป็นยังไง มันเกี่ยวอะไรกับคุณฉู่? ”

ฉู่หมิงเซวียนเดินมาหาเธอ จับข้อมือเธอไว้ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เกี่ยวกับฉันอยู่แล้วล่ะ ฉันเป็นคู่หมั้นของเธอ ถึงฉันจะไม่ต้องการเธอแล้ว เธอก็ห้ามไปอยู่กับชายแก่พวกนั้นเพราะเงิน”

ถึงแม้ฉู่หมิงเซวียนยังเดาความสัมพันธ์ของเจี่ยนอี๋นั่วและตระกูลเหลิ่งได้ตอนนี้ แต่คนของตระกูลเหลิ่งจู่ๆ ก็มาที่บริษัทอี๋เหม่ย และยังนำเงินจำนวนมากมาด้วย ก็ปิดไม่มิดหรอกว่าเงินนี้มาจากตระกูลเหลิ่ง

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือฉู่หมิงเซวียนออก เธอก็ไม่อยากเถียงสักนิด เพราะถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะบอกว่าเธอขายมดลูกมีลูกให้ผักคนหนึ่งเพื่อเงินช่วยเหลือ ก็ไม่ได้ดีไปกว่าการคาดเดาของฉู่หมิงเซวียนเท่าไรนัก

และเหลิ่งเซ่าถิงก็เคยพูดกับเธอว่าไม่ให้เธอพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลเหลิ่ง ห้ามพูดถึงความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อหน้าคนอื่น นอกจากนี้ ทำไมเธอต้องอธิบายให้ฉู่หมิงเซวียนฟังด้วย? ตอนนี้ฉู่หมิงเซวียนจะมองเธออย่างไร มันก็ไม่สำคัญสำหรับเธอ

“นายไม่มีสิทธิมาถามเรื่องพวกนี้กับฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ น้ำเย็นแก้วหนึ่งก็สาดใบหน้าเธอทันที

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นเช็ดดวงตา จากนั้นก็ได้ยินเสียงแหลมของเฉิงซานซานดังขึ้นข้างหูเธอ เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง “เจี่ยนอี๋นั่ว เธอไม่อายเหรอ? เธอไม่รู้เหรอว่าตอนนี้หมิงเซวียนเป็นแฟนของฉัน? เธอไม่รู้เหรอว่าตอนนี้ฉันมีลูกกับหมิงเซวียนแล้ว? ทำไมเธอยังกล้าเข้าใกล้เขาอีก? อย่าคิดว่าเธอเคยเป็นคู่หมั้นของหมิงเซวียนแล้วจะยุ่งกับเขาต่อได้นะ? ”

“พอแล้ว! เธอจะวุ่นวายทำไม? ” ฉู่หมิงเซวียนหันไปตะโกนเสียงทุ้มใส่เฉิงซานซาน

เฉิงซานซานสูดจมูก ร้องไห้แล้วพูดขึ้น “คุณดุฉันเหรอ? หมิงเซวียนคุณดุฉันงั้นเหรอ? ตอนนี้ฉันท้องลูกคุณอยู่นะ? ไม่คิดว่าคุณจะดุฉันเพราะผู้หญิงคนนี้? ”

“ผู้หญิงคนนี้? ” เจี่ยนอี๋นั่วเช็ดคราบน้ำบนใบหน้า หันหน้าไปทางเฉิงซานซาน

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็ยกมือขึ้นตบเฉิงซานซานแล้วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนไหน ตอนนี้ฉันเป็นประธานบริหารบริษัทอี๋เหม่ยแทนพ่อฉัน ถ้าเธอไม่สุภาพกับฉันแบบนี้ ฉันไล่เธอออกได้ทุกเมื่อ”

“ล้อเล่นอะไร? ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนจะจบเห่แล้ว รักษาสิทธิหุ้นของตระกูลเจี่ยนไว้ไม่ได้เลย? คราวก่อนผู้ถือหุ้นพวกนั้นบอกว่าจะให้หมิงเซวียนของเราเป็นประธาน……”

เฉิงซานซานพูดถึงตรงนี้ ก็กุมหน้าหันไปมองฉู่หมิงเซวียน ร้องไห้อย่างน้อยใจแล้วพูดขึ้น “หมิงเซวียน คุณดูสิ เธอกล้าตบฉัน!”

ฉู่หมิงเซวียนตะโกนใส่เฉิงซานซาน “เธออย่าพูดไร้สาระได้ไหม!”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปยิ้มให้เฉิงซานซาน “ทำไม? ผู้จัดการฉู่ยังไม่ได้บอกเธอเหรอ? ฉันเห็นผู้จัดการฉู่มาแสดงความยินดีกับฉัน ฉันคิดว่าเขาบอกเธอแล้วซะอีก ฉันได้เงินมาแล้วล่ะ ตระกูลเจี่ยนของเรายังมีสิทธิผู้ถือหุ้นมากที่สุดในบริษัทเสริมสวยอี๋เหม่ยเหมือนเดิม พ่อฉันก็ยังเป็นประธานเหมือนเดิม ในช่วงที่พ่อฉันป่วยอยู่ ฉันจะทำหน้าที่แทนพ่อของฉัน เป็นประธานบริษัทอี๋เหม่ยชั่วคราว”

เฉิงซานซานเบิกตากว้างทันที ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่? นี่มันเป็นไปได้ยังไง? ทำไมเธอได้เงินเร็วขนาดนี้? ใครช่วยเธอ? ”

ฉู่หมิงเซวียนกัดฟันมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “ตระกูลเหลิ่ง”

“ว่าไงนะ? ตระกูลเหลิ่ง? ” เฉิงซานซานปิดปากด้วยความประหลาดใจ มองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความหวาดกลัว “เธอ เธอมีปัญญารู้จักกับตระกูลเหลิ่งได้ยังไง? ”

“ขายเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนเผยรอยยิ้มบิดเบี้ยว “คุณหนูใหญ่เจี่ยนเป็นหญิงแกร่งนักธุรกิจ เพื่อรักษาสมบัติตระกูลเจี่ยนเอาไว้ น่าจะขายอะไรก็ได้ทั้งนั้น ถึงขนาดอยู่กับชายแก่ได้!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “ใช่แล้ว ฉันทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาทรัพย์สินตระกูลเจี่ยนเอาไว้ นายคอยดูเถอะ ฉันไม่ขี้ขลาดเหมือนนาย ไม่กล้าเผชิญหน้ากับศัตรูที่แท้จริง ลงมือกับผู้บริสุทธิ์ ฉันจะจัดการนายเป็นอย่างดี! ฉู่หมิงเซวียน ทุกอย่างของนายในตอนนี้ตระกูลเจี่ยนเป็นคนมอบให้ ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไร ฉันจะค่อยๆ เอาของพวกนั้นคืนมาจากนายเหมือนกัน ตอนแรกนายไม่มีอะไรเลย ดังนั้นฉันก็จะให้นายไม่มีอะไรต่อไป!”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เห็นประตูลิฟต์เปิดขึ้น ก็เดินเข้าไปในลิฟต์ทันที กดปุ่มเพื่อปิดประตูลิฟต์ เห็นประตูใหญ่ของลิฟต์ค่อยๆ ปิดลง เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หลับตาลง พิงมุมลิฟต์ ร่างกายเธอสั่นเล็กน้อย ไม่ว่าเธอจะแข็งแกร่งต่อหน้าศัตรูแค่ไหน มีแค่เธอเท่านั้นที่รู้ ว่าเธอรู้สึกผิดมากแค่ไหนเมื่อเธอพูดประโยคเมื่อครู่ออกไป

เพราะตระกูลเหลิ่งสามารถสนับสนุนให้เธอเดินไปได้ไกลแค่ไหน เธอก็ไม่แน่ใจ เพื่อได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเหลิ่ง เธอต้องจ่ายไปมากแค่ไหน เธอไม่สามารถคาดเดาได้เลย เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่เดินหนึ่งก้าว ดูหนึ่งก้าว พยายามคลานไปสู่เป้าหมายของตัวเองเหมือนหอยทากที่แบกรับน้ำหนัก

มาถึงหน้าประตูใหญ่บริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นว่าด้านนอกฝนตก ละอองฝนตกลงมาเหมือนเส้นเลือด เจี่ยนอี๋นั่วเคยชอบฝนมากๆ เพราะครั้งแรกที่เธอเจอฉู่หมิงเซวียนคือระหว่างที่ฝนตก ตอนนั้นเธอไปพบลูกค้าคนหนึ่งแล้วลืมเอาร่มไป เขาเป็นคนถือร่มให้เธอเพื่อกันฝน

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วไม่ชินกับการเข้าใกล้ผู้ชาย ยังคงรักษาระยะห่างกับฉู่หมิงเซวียน แต่ร่มมันเล็กเกินไป เมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าครึ่งตัวของฉู่หมิงเซวียนโดนฝน เสื้อผ้าเปียกไปหมด

ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ชอบฉู่หมิงเซวียนแล้ว เธอรู้สึกว่าผู้ชายที่ดูแลเธออย่างระมัดระวังแบบนี้จะต้องรักเธอแน่ๆ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดเลยว่าทุกอย่างมันปลอมมาตั้งแต่แรก ตอนนี้นึกขึ้นมา การเจอกันครั้งนั้นก็อาจจะเป็นแผนการที่ฉู่หมิงเซวียนจงใจก็ได้ เธอก็ไร้เดียงสาจริงๆ คาดหวังว่าจะมีผู้ชายมาดูแลเธอจริงๆ เหรอ? เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเธอ สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก คนอื่นบอกว่าเธอเป็นเด็กดื้อ สมควรอยู่คนเดียวตลอดไป ตอนแรกคิดว่าแต่งงานกับผักคนหนึ่ง ก็คงเป็นคำตัดสินชีวิตที่เงียบเหงานั้น ไม่คิดว่าชีวิตเรียบง่ายที่สุดของหญิงม่าย ตอนนี้ก็ยังไม่เต็มใจจะให้เธอ

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเยาะตัวเอง หลับตาอย่างแรง และเดินลุยฝนเพียงลำพัง

“ฝนตกเหรอ? ” ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้วมองสายฝนที่ตกบนหน้าต่าง แล้วพูดเสียงทุ้ม

เฉิงซานซานพยักหน้า “น่าจะใช่นะ? พยากรณ์อากาศตอนเช้าบอกว่าวันนี้จะมีฝน หมิงเซวียน วันฝนตกแบบนี้ควรกินอาหารญี่ปุ่นมากที่สุด เราไปกิน……”

เฉิงซานซานยังพูดไม่จบ ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนรีบหยิบร่มที่วางข้างๆ ขึ้นมาแล้วลงลิฟต์ไป เมื่อฉู่หมิงเซวียนถือร่มเดินไปที่หน้าประตูใหญ่บริษัท ก็ไม่เห็นแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่วอีกต่อไป

ในตอนนี้มีพนักงานบริษัทเข้ามาใกล้ฉู่หมิงเซวียน ถามขึ้นเสียงทุ้ม “ผู้จัดการฉู่ คุณกำลังหาใคร? ”

ฉู่หมิงเซวียนมองสายฝนและหมอกตรงหน้าอย่างว่างเปล่า ผ่านไปนานสักพักก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “เปล่า ไม่ได้หาใคร จู่ๆ ฉันแค่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้……”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันตัวเดินกลับไปที่บริษัท เหลือเพียงพนักงานบริษัทที่เกาศีรษะอย่างไม่เข้าใจ “เกิดอะไรขึ้นกับผู้จัดการฉู่นะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินมาถึงลานจอดรถ หารถที่เธอจอดไว้ที่นี่ก่อนหน้านี้ พบว่ารถเธอน้ำมันหมด เจี่ยนอี๋นั่วกุมขยับส่ายหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น ถึงตระกูลเหลิ่งจะให้เงินสนับสนุนเธอมากมาย แต่ใช้มันในการดำเนินงานของบริษัท ตอนนี้เธอไม่มีเงินค่าน้ำมันด้วยซ้ำ

ถึงแม้ตระกูลเหลิ่งจะส่งเธอมาทำงาน แต่เธอไม่มั่นใจในตัวเองจริงๆ ในการให้ตระกูลเหลิ่งมารับเธอ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ “ฮัลโหล สวัสดีค่ะ? ฉันมีรถคันหนึ่งต้องการจะขาย”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูด ก็หันไปมองรถคันนั้น พูดขึ้นเสียงทุ้ม “อืม เป็นรถที่ไม่เลว ฟังก์ชันดีมากทุกด้าน ฉันอยากขายให้เร็วที่สุด เพราะตอนนี้ฉันต้องการเงินมาก โอเคค่ะ อีกสองสามวันตอนคุณมาดูรถให้ติดต่อฉันอีกทีนะคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็วางสายไป เดินออกไปจากโรงรถ เมื่อเดินออกมาจากโรงรถแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็พบว่าฝนตกหนักขึ้น เธอรีบกุมท้องวิ่งไปที่ป้ายรถประจำทาง หลังจากวิ่งไปถึงป้ายรถประจำทางแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ปิดท้องเล็กน้อย หายใจยาวๆ ไม่ว่าจะกลายเป็นแม่ด้วยเหตุผลอะไร ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะปกป้องท้องตัวเองเป็นพิเศษ ถึงฝนจะตก แต่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เป็นหวัดเลยสักนิด

เมื่อหายใจรวยริน เจี่ยนอี๋นั่วก็เปิดกระเป๋าขึ้นมา ต้องการหาเงินสำหรับแท็กซี่ แต่ค้นหาในกระเป๋าแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วเจอแค่เหรียญเดียวเท่านั้น

เพิ่งเอาเหรียญออกมา มือเจี่ยนอี๋นั่วก็แข็งเล็กน้อยเพราะโดนฝน ไม่คิดว่าถือเหรียญไว้ไม่ได้ ปล่อยมันหลุดออกจากมือ เห็นมันกลิ้งอยู่บนพื้น เจี่ยนอี๋นั่วก้มหยิบมันโดยไม่สนใจภาพลักษณ์เลย แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้หยิบเหรียญ เหรียญมันก็กลิ้งหล่นท่อน้ำทิ้งไป

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้ามองเหรียญที่อยู่ในท่อระบายน้ำ เธอรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว ชีวิตแย่ขนาดนี้ได้ยังไงนะ?

เธอจ้องมองเหรียญนั้น ยิ้มขมขื่นแล้วส่ายหน้า “ฉันโดนดูถูกไม่เป็นไร ทำไมแม้แต่เหรียญอย่างแกก็เล็งเป้ามาที่ฉันด้วยล่ะ? ฉันแค่อยากใช้แกขึ้นรถเมล์เองนะ คนสร้างแกขึ้นมาเพื่อให้ใช้จ่าย แต่ดูแกสิ! ทิ้งคุณค่าของตัวเอง แกจบเห่แล้ว แกไม่สมควรเป็นเงิน!”

“พรืด……” ทันใดนั้นมีผู้ชายหลุดขำออกมาจากด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว “ถึงเธอจะสั่งสอนมันแบบนี้ มันก็ไม่คลานออกมาจากท่อน้ำทิ้งหรอกนะ”

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมองด้านหลัง ก็เห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนกำลังยืนด้านหลังเธอ เจี่ยนอี๋นั่วมองเห็นหน้าผู้ชายคนนั้นไม่ชัด เพราะหน้าเขาโดนหมวกแก๊ปบังไปครึ่งหนึ่ง และถูกเคราบังไปครึ่งหนึ่ง ดูแล้วเหมือนคนจรจัด

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เว้นระยะห่างกับผู้ชายคนนั้นนิดหน่อย แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “คุณคะ ได้โปรดหลีกไป นี่มันเรื่องของฉัน……”

“ผู้หญิงเจอกับปัญหา ก็ควรรู้จักหาวิธีช่วยเหลือสิ” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะ นั่งยองๆ ข้างท่อน้ำ คายหมากฝรั่งออกจากปาก หนีบแท่งไม้ยื่นเข้าไปในปากท่อ

เจี่ยนอี๋นั่วมองพฤติกรรมของชายคนนี้ด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เธอไม่คิดเลยว่าจะใช้วิธีนี้หยิบเหรียญออกมาได้

ชายคนนั้นเอาเหรียญมาพร้อมโยนเสื้อผ้าให้เจี่ยนอี๋นั่ว “ใส่ไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเสื้อแจ็กเกตยีน อย่างไรก็ใส่ไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเหตุผลนะ แค่เธอไม่ชินกับการสวมเสื้อผ้าของผู้ชายแปลกหน้า

ผู้ชายคนนั้นหันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำไม? องค์หญิงน้อย? เธอกลัวสกปรกมีกลิ่นเหม็นเหรอ? ”

เสียงผู้ชายคนนั้นดูดีกว่ารูปลักษณ์เขามาก ฟังแล้วทุ้มต่ำมีความแหบเล็กน้อย เป็นเสียงที่ทำให้ผู้หญิงหลายคนใจเต้น

ตั้งแต่เล็กจนโต เจี่ยนอี๋นั่วถูกเฮ่อเยี่ยนหงเรียกเธอลับหลังว่า “แม่มดน้อย” ถูกลูกน้องเคยเรียกว่า “ปีศาจกระดูกขาว” ถูกเพื่อนร่วมชั้นเรียกว่า “เด็กเนิร์ด” ไม่เคยมีใครเรียกเธอว่า “องค์หญิงน้อย” อะไรนี่มาก่อน นี่มันคำเรียกอะไร? แม้แต่พ่อของเธอเจี่ยนฉางรุ่นก็ไม่เคยเรียกเธอแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างสงสัย “น-นายเรียกฉันเหรอ? ”

ผู้ชายคนนั้นมองสังเกตเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วก่อนพยักหน้า “อืม ใช่ ไม่เคยมีใครบอกเธอเหรอว่าเธอเหมือนองค์หญิงผู้สูงส่งจริงๆ? ”

เจี่ยนอี๋นั่งทำหน้าเย็นชา ยืนขึ้นมาทันที แล้วพูดเสียงทุ้ม “ไม่มีองค์หญิงที่ไหนนั่งข้างท่อระบายน้ำเพื่อหยิบเหรียญหรอก ช่างเถอะ ฉันไม่ต้องการเงินนั้นแล้ว”

“โกรธเหรอ? อย่าโกรธเลยหน่า……” ผู้ชายคนนั้นยืนขึ้นพร้อมยื่นมือมาจับแขนเจี่ยนอี๋นั่ว มืออีกข้างของเขาก็กางออกต่อหน้าเจี่ยนอี๋นั่วจากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ดูสิ เก็บเหรียญได้แล้ว”

“ขอบคุณค่ะ” เจี่ยนอี๋นั่วยื่นมือไปรับเหรียญนั้นทันที

แต่เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้สัมผัสเหรียญ ผู้ชายคนนั้นก็ซ่อนเหรียญไว้ด้านหลัง ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “ยอมรับก่อนว่าเธอเป็นองค์หญิง แล้วฉันจะให้เหรียญเธอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองผู้ชายคนนั้น อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมาอย่างหมดหนทาง เจี่ยนอี๋นั่วอย่างเธอทำไมตกต่ำมาถึงจุดนี้ได้? เพื่อเงิน สามารถมีลูกให้ชายแปลกหน้าได้ เพื่อเงิน สามารถเป็นภรรยาตามสัญญาของเหลิ่งเซ่าถิงต่อ ตอนนี้มีคนจรจัดแปลกหน้ายังใช้เงินหนึ่งหยวนมาข่มขู่เธออีก ให้เธอยอมรับว่าเป็น “องค์หญิง” อะไรนั่น

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า หัวเราะเยาะใส่ผู้ชายคนนั้น “ราคาของฉันแพงมาก อยากให้ฉันยินยอมปฏิบัติตามนาย หนึ่งหยวนไม่พอหรอก และเงินหนึ่งหยวนนี้ก็เป็นของฉัน!”

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้น ก็ดึงแขนผู้ชายคนนั้นอย่างแรง แย่งหนึ่งหยวนนั้นมาจากผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็รีบเดินไปที่ป้ายรถประจำทาง แต่ผู้ชายคนนั้นไม่ยอมเลิกยุ่งกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดขึ้น “หนึ่งหยวนไม่พอ งั้นต้องการเท่าไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น ไม่อยากพูดอะไรกับผู้ชายคนนี้อีก แต่ผู้ชายคนนั้นยังคงถามเสียงทุ้ม “หนึ่งหมื่น? หนึ่งล้าน? สิบล้าน? พันล้าน? ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองผู้ชายคนนั้น ยกโทรศัพท์ออกมาทันทีแล้วกดเบอร์ 110 แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “ฮัลโหล 110 ใช่ไหมคะ? ฉันอยากแจ้งความ มีคนมารังควานฉัน!”

“OK ฉันยอมรับผิดแล้ว อย่าแจ้งตำรวจเลย ฉันไม่พูดแล้ว” ผู้ชายคนนั้นยกสองมือขึ้นด้วยท่าทางยอมจำนน ยิ้มขณะที่ถอยหลังไปสองสามก้าว

เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากสร้างปัญหาให้ตัวเองมากเกินไป ตอนนี้กว่าข่าวด้านลบของตระกูลเจี่ยนจะถูกควบคุม เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ข่าวด้านลบตระกูลเจี่ยนปรากฏในหัวข้อข่าวเพราะเธอ หลังจากเธอเห็นชายคนนั้นถอยหลัง ก็รีบวางสายทันที ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่ววางสาย ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาจูบมุมปากเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วผลักผู้ชายคนนั้นทันที เช็ดปากแล้วตะโกนเสียงดัง “นายทำอะไร? ”

ผู้ชายคนนั้นยิ้มแล้วหันตัวไป ขี่จักรยานยนต์ที่พิงไว้ข้างถนน ขี่จักรยานยนต์มาหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “จูบเธอไง ฉันชอบเธอมาก มากับฉันสิ บ้านฉันอยู่ละแวกนี้ เราไปดื่มกาแฟกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น หยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาฟาดผู้ชายคนนั้น “นายป่วยเหรอ? นายเห็นว่าฉันเป็นผู้หญิงที่น่ารังแกใช่ไหม? ถึงกล้าหยอกล้อฉันแบบนี้? นายทำเกินไปแล้ว! นายคิดว่าฉันเป็นคนยังไง? ฉันไม่ใช่คนที่พวกนายคิดจะรังแกตามอำเภอใจนะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนอยู่ตรงนี้ จู่ๆ ก็สะอึกสะอื้นขึ้นมา เธออดกลั้นความรู้สึกด้านลบทั้งหมดไว้ในใจมาชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดตอนนี้ระเบิดออกมาอย่างทนไม่ไหวแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วตีผู้ชายคนนั้นพลางร้องไห้ตะโกนไปด้วย “ฉันรู้ว่าพวกนายดูถูกฉัน พวกนายกำลังดูความครึกครื้นของฉัน แต่ฉันทำอะไรได้? ฉันไม่มีทางเลือก ฉันเห็นเลือดเนื้อของพ่อสูญเปล่าไม่ได้ พวกนายทำได้แค่หัวเราะเยาะฉันอย่างเย็นชา บอกว่าฉันไร้ยางอาย บอกว่าฉันหน้าด้าน แต่ถ้าพวกนายตกต่ำเหมือนฉันจริงๆ พวกนายจะทำกันยังไง? เห็นเลือดเนื้อของพ่อหายไป เห็นพ่อนอนโรงพยาบาลโดยไม่มีค่าผ่าตัด มีไม่กี่คนหรอกที่โชคดีขนาดนั้น ที่สามารถมีศักดิ์ศรีและหยิ่งผยองได้ตลอด!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ก็นั่งยองๆ บนพื้น กอดตัวเองแล้วร้องไห้ขึ้นมา “ฉันไม่ได้ทำร้ายใคร ทำไมเหมือนฉันไปทำเรื่องร้ายแรง ทำไม? ทำไมใครๆ ก็มารังแกฉัน คนอื่นรังแกช่างมัน แม้แต่นายที่เป็นชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่มาก็ยังหลอกล้อฉันอีกเหรอ! ฉันแค่ไม่อยากให้พ่อฉันผิดหวัง ฉันจะทำยังไงได้บ้าง? ”

“คือ……” ผู้ชายคนนั้นเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว สะกิดศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดเสียงทุ้ม “ฉันเหมือนรังควานเธอเหรอ เธออย่าโกรธเลยนะ? และฉันไม่ได้หยอกล้อเธอจริงๆ ฉันชอบเธอมากจริงๆ อีกอย่างผู้หญิงดุๆ แบบเธอ จะถูกคนอื่นรังแกเหรอ? คนที่รังแกเธอเป็นใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองผู้ชายคนนั้น ย่อตัวลงด้วยความฉุนเฉียว “ฉันไม่อยากให้นายมายุ่ง!”

ชายคนนั้นนั่งยองๆ ตรงหน้าเธอ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เด็กผู้หญิงอย่างเธอ เป็นอะไรไม่พอใจ? ”

“ไม่เกี่ยวกับนาย! อย่าเข้ามาใกล้ฉัน!” เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับผู้ชายคนนั้นอย่างฉุนเฉียวต่อ

“ดุมากอ่ะ! เด็กผู้หญิงดุๆ แบบเธอ ระวังหาสามีไม่ได้นะ” ผู้ชายคนนั้นหัวเราะขึ้นมาเบาๆ ไม่เพียงแต่ไม่โกรธ แต่ยังเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วด้วยความสนใจอีก

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งยองๆ อยู่ที่เดิม มองผู้ชายคนนั้น จากนั้นก็ฝังศีรษะบนแขน ไม่มองผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนนั้นค่อยๆ เข้าไปใกล้ กดเสียงทุ้มต่ำ ถามขึ้นอย่างประหม่าเล็กน้อย “เธอเป็นอะไร? ไม่สบายเหรอ? ถ้าไม่สบาย ฉันไปส่งเธอโรงพยาบาลได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ เงยศีรษะขึ้น มองผู้ชายคนนั้น ทันใดนั้นก็หยิบสเปรย์กันแดดในกระเป๋าเมื่อครู่ออกมา แล้วฉีดเข้าไปในดวงตาผู้ชายคนนั้นอย่างแรง

ผู้ชายคนนั้นร้องตะโกนและปิดตา “อ๊าก……เธอฉีด นี่มันอะไร? สเปรย์พริกไทยเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วยืนขึ้นมา พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “จัดการนายไม่ต้องใช้สเปรย์พริกไทยหรอก แค่สเปรย์กันแดดก็พอ คราวหน้าถ้าอยากจีบสาว ทางที่ดีก็ดูอารมณ์ของเธอก่อนนะ ไม่ใช่ว่าผู้หญิงทุกคนแค่ได้ยินนายพูดไม่กี่ประโยค นายก็จะทำอะไรเธอได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เตะชายคนนั้นอย่างแรง อ้อมตัวชายคนนั้น เดินไปที่รถประจำทางที่เพิ่งขับมา

“เฮ้……เธอจะไปแล้วเหรอ……” ผู้ชายคนนั้นปิดตายืนขึ้นมา กลับเห็นแค่แผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว

ผู้ชายคนนั้นขยี้ตาพลางหัวเราะขมขื่น “สเปรย์กันแดดเหรอ? ผู้หญิงคนนี้โหดเหี้ยมอำมหิตจริงๆ !”

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งรถประจำทาง เมื่อเห็นสภาพย่ำแย่ของผู้ชายคนนั้นผ่านหน้าต่างรถ ก็ยิ้มขึ้นมาอย่างสบายใจ จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ใส่สเปรย์กันแดดไว้ในกระเป๋าเป้อย่างระมัดระวัง แล้วพึมพำเสียงเบา “จริงๆ เลย เสียสเปรย์กันแดดไปกับเขาซะเยอะเลย นี่เป็นแบรนด์เนมด้วย ไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีเงินซื้อได้อีก……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็เม้มปาก อดไม่ได้ที่จะยิ้มขมขื่น เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มทุกข์ใจกับสิ่งของเหล่านี้แล้วเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มอย่างหมดหนทางแล้วส่ายหน้า เธอต้องใส่ใจกับการประหยัดเครื่องสำอาง แม้แต่ตอนขึ้นรถเมื่อครู่นี้ เพราะเธอมีแค่หนึ่งหยวน ไม่มีทางไปโรงพยาบาลได้ เลือกที่จะกลับบ้านตระกูลเหลิ่งก่อน เป็นครั้งแรกที่เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสถึง “ความจน” ครั้งหนึ่งเธอเคยสงสัยว่าทำไมคนที่ภูมิหลังครอบครัวไม่ดีส่วนมากจะรู้สึกต่ำต้อย ที่แท้ “ความจน” คำนี้มันทำลายความหยิ่งในศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของทุกคนไป คนจนต้องระมัดระวังทุกย่างก้าว เพื่อเลี่ยงในการตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน เพราะพวกเขาไม่มีการป้องกันใดๆ เลย

แบบนี้จะรักษาความหยิ่งในศักดิ์ศรีได้อย่างไร? ค่าใช้จ่ายในตอนทานอาหาร เข้าสังคม การเดินทางมันไม่มีทางรับประกันได้เลย จะรักษาความทรงเกียรติของตัวเองได้อย่างไร? ความทรงเกียรติมากมายมันถูกสร้างด้วยเงิน ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วนับถือคนที่พึงพอใจกับความยากจนการหยิ่งในศักดิ์ศรีและรักตัวเอง ในที่สุดเธอก็รู้ว่านั่นต้องใช้ความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองแค่ไหน แค่เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจเหตุผลนี้ ดังนั้นราคาที่จ่ายจึงสูงเกินไป

ป้ายรถประจำทางจอดอยู่ห่างกับพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งอยู่บ้าง เจี่ยนอี๋นั่วเดินสิบกว่านาทีก็ถึงหน้าประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่ง บอดี้การ์ดหน้าประตูบ้านตระกูลเหลิ่งเห็นเจี่ยนอี๋นั่วสักพัก ก็จำสถานะของเจี่ยนอี๋นั่วได้ รีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “คุณหญิง ผมจะเรียกรถไปส่งคุณ”

พูดจบ ไม่รอให้แสดงท่าที บอดี้การ์ดก็เรียกรถคันหนึ่ง เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก ก่อนจะนั่งรถ เพราะพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งใหญ่เกินไป ถ้าไม่มีรถ เจี่ยนอี๋นั่งเดินเข้าไปคฤหาสน์หลัก ไม่รู้ว่าต้องเดินนานแค่ไหน เทียบกับครั้งแรกที่พบกับความไม่คุ้นเคยของพื้นที่คฤหาสน์ เจี่ยนอี๋นั่วค่อนข้างคุ้นเคยกับตระกูลเหลิ่งบ้างแล้ว ไม่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนรับใช้ เธอเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ตระกูลเหลิ่งเลย

คนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งมีมารยาทดีเป็นพิเศษ ปกติแต่ละคนจะเหมือนมนุษย์ล่องหน ความรู้สึกของการมีอยู่ต่ำมาก แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็มีคนรับใช้เดินเข้ามาทันทีแล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า “เสื้อผ้าคุณหญิงเปียกแล้ว ต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้าไหมคะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยังปรับตัวไม่ได้กับชื่อเรียกนี้ ได้ยินคำพูดของคนรับใช้ตระกูลเหลิ่ง ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ถามขึ้นเสียงเบา “คุณพูดกับฉันหรือเปล่าคะ? ”

คนรับใช้ตระกูลเหลิ่งพยักหน้า “ค่ะ คุณหญิง คุณเปียกฝนมาใช่ไหมคะ? ฉันจะไปเติมน้ำให้คุณ หลังจากคุณออกไปในตอนเช้า คุณนายก็ซื้อเสื้อผ้าตามขนาดตัวคุณมา สั่งฉันไว้เป็นพิเศษว่าถ้าคุณกลับมา ให้ขึ้นไปลองข้างบน หวังว่ามันจะพอดีตัวคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเบาๆ “ขอบคุณค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันหลังเดินขึ้นชั้นบนไปพร้อมกับคนรับใช้ หลังจากเดินขึ้นไปถึงข้างบน เจี่ยนอี๋นั่วก็ลังเลนิดหน่อย เธอไม่รู้ว่าตัวเองควรไปที่ไหน? ควรไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงไหม? ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วลังเล ประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิงก็เปิดออกทันที

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกมาจากในห้อง เขาเปลี่ยนเป็นชุดสูทสีดำ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นสูทสั่งตัด เหมาะกับตัวเป็นพิเศษ สีหน้าเขาไม่ได้ซีดเซียวขนาดนั้นแล้ว เปล่งประกายด้วยแสงสวย ดูไม่เหมือนผักที่เพิ่งฟื้นขึ้นมาเลย

เขาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว มุมปากเม้มเล็กน้อย พูดขึ้นอย่างเย็นชา “คุณย่าให้เธออยู่กับฉัน เธอเข้าไปสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “แต่……ฉัน……ฉันต้องอาบน้ำ……และต้องเปลี่ยนชุด”

เหลิ่งเซ่าถิงติดกระดุมปลายแขนพลางพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงเย็นชา “เธอใช้ห้องน้ำได้”

“โอ……โอเค” เจี่ยนอี๋นั่วตอบตกลงเหลิ่งเซ่าถิงทันที หยิบชุดนอนแล้วเดินเข้าไปในห้องน้ำ

คนรับใช้เข้าไปในห้องน้ำก่อน ใส่น้ำร้อนให้เจี่ยนอี๋นั่วเรียบร้อยแล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นคนรับใช้ออกมา เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปิดประตูห้องน้ำทันที เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงผู้ชายคนนี้ยังอยู่ข้างนอก จึงล็อกประตูห้องน้ำ

แค่เพิ่งบิดลูกบิดประตู เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นเสียงทุ้มด้านนอกประตู “เธอไม่ต้องกังวล ฉันไม่กล้าสนใจร่างกายเธอหรอก คงไม่จู่ๆ ก็บุกเข้าไปดูเธออาบน้ำ เธอไม่ต้องล็อกประตู”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตาอย่างรวดเร็ว หายใจเข้าลึกๆ เธอไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะหูดีขนาดนี้ แม้แต่เสียงล็อกประตูก็ยังได้ยิน ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะไม่เห็นเธอ แต่เธอก็หน้าแดงอย่างกระอักกระอ่วน อธิบายขึ้นเสียงเบา “ฉ-ฉันแค่จะดูว่าตัวล็อกประตูทำงานได้ไหม ไม่ได้อยากล็อกประตู……”

เพิ่งพูดจบ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิด ประโยคนี้ของเธอ ทำไมมันยิ่งรู้สึกแปลกๆ ล่ะ? อะไรคือไม่อยากล็อกประตู? แบบนี้เธอเหมือนผู้หญิงที่มีกลยุทธ์แสร้งปล่อยเพื่อจับเลย

อย่างที่คิดไว้ เธอได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงทำเสียงฮึดฮัดอยู่นอกประตู เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าตอนนี้สีหน้าเหลิ่งเซ่าถิงจะดูถูกมากแค่ไหน ก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างหงุดหงิด

“ช่างเถอะ ยังไงเขาก็เหยียดหยามฉันมาตลอด โดนเขาดูถูกต่อไป มันจะเป็นอะไรไป? ” เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำเสียงเบา เปิดฝักบัวและอาบน้ำ

เมื่อเธออาบน้ำแล้ว เป่าผมเรียบร้อยแล้ว สวมชุดนอนที่วางอยู่ข้างๆ ขณะที่เตรียมเดินออกจากห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถอนหายใจ ถึงจะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะเหยียดหยามเธอ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ไม่ว่าใครที่โดนเหยียดหยามมาตลอด โดนคนดูถูก ก็จะรู้สึกอึดอัดใช่ไหมล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วกัดฟัน ขมวดคิ้ว เดินออกมาจากห้องน้ำ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากห้องน้ำ สิ่งแรกที่เห็นก่อนคือเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานข้างๆ ครั้งแรกที่มาถึงห้องนี้ เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแค่ห้องนอนของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าในห้องนี้ยังมีห้องทำงานซ่อนอยู่

เหลิ่งเซ่าถิงสวมแว่นขอบดำ เห็นเจี่ยนอี๋นั่วออกมา ก็พูดเสียงทุ้ม “ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเด็กคนนี้ ฝนตกร่มก็ไม่พก? อยากกำจัดเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุด แล้วทำไมต้องทำท่าทางปกป้องเด็กคนนี้ต่อหน้าฉันล่ะ? ”

เจี่ยนอี๋นั่งเพิ่งเป็นคุณแม่ และท้องด้วยวิธีการที่มนุษย์สร้างขึ้น แม้ว่าจะมีความตระหนักของการเป็นแม่อยู่บ้าง แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังแปลกกับการทำหน้าที่แม่ เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจปัญหาเรื่องฝนตกจริงๆ ตอนแรกที่เธอเจอกับผู้ชายบ้าบิ่น แถมยังมารบกวนอารมณ์ของเธอ ทำให้เธอลืมปกป้องลูกของตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกผิดขึ้นมา ก้มหน้าพูดเสียงเบา “ฉันลืมไป ขอโทษ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกเสียใจมากจริงๆ เธอไม่ได้รู้สึกผิดต่อเหลิ่งเซ่าถิง แต่รู้สึกผิดต่อเด็กในท้องนิดหน่อย รู้สึกว่าเธอยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอในฐานะแม่ จึงรู้สึกผิด

“ขอโทษ? ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงทุ้ม “ไม่ต้องรู้สึกขอโทษฉันหรอก เพราะฉันก็อยากให้เด็กในท้องหายไปเหมือนกัน ถ้าเสียเด็กคนนี้ไปเพราะความผิดพลาดของเธอ ฉันกับคุณย่าก็จะเลี่ยงความช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนได้ และลดปัญหาไปได้เยอะ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นก็เม้มปาก ก้มหน้า ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจู่ๆ ก็ยืนขึ้นเดินมาหาเธอ เจี่ยนอี๋นั่วถอยหลังไปไม่กี่ก้าวอย่างระวังตัว แต่เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยเจี่ยนอี๋นั่วไป หยิบแก้วบนโต๊ะหัวเตียงขึ้นมา

หลังจากดื่มไปหนึ่งอึก เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงทุ้ม “คิดว่าฉันจะทำอะไรเธอ? เธออย่าเข้าใจฉันผิดตลอดเวลา ฉันไม่ชอบผู้หญิงแบบเธอสักนิด เพราะการเตรียมการของคุณย่า ห้องนี้ใช้ได้ เตียงนี้เธอนอนได้ แต่เธอต้องจำสถานะของเธอไว้ตลอด เธอก็แค่เครื่องมือในการมีเด็กคนนี้เท่านั้น”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ตอบรับ “ฉันรู้แล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา พูดเสียงทุ้ม “จะถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว เธอรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ขณะสวมเนกไทก็พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย “ใส่เดรสสีดำตัวนั้นในตู้เสื้อผ้า จะได้เข้ากับชุดสูทสีดำของฉัน คืนนี้อารองก็กลับมาแล้ว อาสะใภ้รองต้องเรียกญาติหลายคนมาแน่ๆ พวกเขาจะฉวยโอกาสตอนที่ฉันยังฟื้นตัวไม่เต็มที่มาดูว่าฉันเสี่ยงมากแค่ไหน อาสะใภ้รองของฉันสุยเฉิงจิ้ง เธอเคยเจอแล้ว หล่อนไม่ได้มีบทบาททรงพลังอะไร แค่มีแผนการเล็กๆ น้อยๆ แต่ก็อาจทำให้เธอแย่ได้ แต่จะไม่ทำร้ายเธอจริงๆ ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย แล้วพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วต่อ “คนที่ต้องระวังคืออารองของฉันเหลิ่งเฉิงอวี่ เขาดูเหมือนอบอุ่นมาก ทำให้เธอไม่ได้ระวังตัว บางครั้งเธอก็จะรู้สึกว่าเขาคือคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ เธอจะรู้สึกว่าเขาใจดีมาก เป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น แต่บางครั้งก็ต้องระวัง เขานั่นแหละเป็นคนที่จะฆ่าเธอ”

ขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็ม้วนแขนเสื้อ เผยรอยแผลเป็นที่แขน แล้วพูดเสียงทุ้มกับเจี่ยนอี๋นั่ว “ตอนสิบเอ็ดขวบ ฉันตกลงไปในสระว่ายน้ำ เขาเห็นฉันตกลงไปกับตา แต่ไม่ได้ช่วยชีวิตฉันแต่กลับเหยียบฉัน รอยแผลนี้เกิดขึ้นตอนที่ฉันดิ้นในสระว่ายน้ำ ข่วนจนเป็นแผล ฉันเกือบจมน้ำตาย โชคดีมีคนรับใช้ผ่านมา ช่วยชีวิตฉันเอาไว้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้คนที่ตระกูลเจี่ยนของพวกเธอควรขอร้องคืออารองของฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิง ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดประสบการณ์ในอดีตของเขาอย่างใจเย็นแบบนี้ ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเคยเจอคนโหดเหี้ยมมากมายในวงการธุรกิจ แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่ามีคนสามารถฆ่าคนเพื่อเงินจริงๆ และเป็นญาติของตัวเองด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วขยับริมฝีปาก พูดขึ้นเสียงทุ้ม “งั้นก็……”

“ก็แจ้งตำรวจได้เหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะขึ้นมา “ความยุ่งเหยิงภายในตระกูลหนักเกินไป ตระกูลเหลิ่งพัฒนามาถึงในวันนี้ ผลประโยชน์ ความยุ่งเหยิง ความซับซ้อน ไม่ใช่ว่าเธออยากทำอะไรก็สามารถทำได้ คนในตระกูลเหลิ่งมากมายมีสิทธิถือหุ้นไม่มากก็น้อย ถ้าจัดการไม่เหมาะสม ถึงเธอจะเป็นทายาทตระกูลเหลิ่งแล้วมันยังไง? ก็โดนกำจัดสิทธิสำคัญในตระกูลเหลิ่งได้เหมือนกัน พวกเขาไม่ยอมให้ฉันเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว พยายามสนับสนุนอารองของฉัน ต้องปกป้องเขาอย่างเต็มที่ เพราะเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ยืนข้างๆ ฝูงหมาป่าเสือสองตัวต้องเป็นพวกเดียวกัน แต่ถ้าเหลือเสือตัวเดียวอย่างฉัน ต้องจัดการฝูงหมาป่าพวกเขา ผลประโยชน์ของพวกเขาจึงตกอยู่ในอันตราย ความสัมพันธ์มันละเอียดอ่อนแบบนี้ ที่บอกเธอเรื่องพวกนี้ เพื่อไม่ให้เธอรั้งขาฉันไว้ ถ้าตำแหน่งในตระกูลเหลิ่งของฉันได้รับผลกระทบเพราะเธอ คุณย่าก็รักษาเธอไว้ไม่ได้เหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว จู่ๆ ก็รู้สึกรอบกายเย็นเฉียบ ตอนนี้เธอรู้สึกภายในตระกูลเหลิ่งทำให้เธอรู้สึกหนาวเย็นหวาดกลัวจริงๆ ถึงเธอจะเคยเจอผู้ชายชั่วๆ อย่างฉู่หมิงเซวียนมาแล้ว แม่เลี้ยงของเธอเฮ่อเยี่ยนหงก็ไม่ใช่คนที่ทำให้เธอกังวลใจ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคิดมาก่อนว่าภายใต้ชายคาเดียวกัน ต้องระวังญาติมาเอาชีวิตตัวเองด้วย

“กลัวเหรอ? ” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเยาะขณะที่มองเจี่ยนอี๋นั่ว “เธอเลยไม่ควรมาตระกูลเหลิ่งไง พวกเธอล้มละลายไปก็เสียแค่เงินทอง แต่ตอนนี้เธอเข้ามาแทรกแซงเรื่องของตระกูลเหลิ่งแล้ว มันอาจจะถึงชีวิตได้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น พูดเสียงทุ้ม “คุณก็รอดแล้วไม่ใช่เหรอ? ”

“หืม? ” เหลิ่งเซ่าถิงเลิกคิ้วเล็กน้อย มองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างประหลาดใจนิดหน่อย “เธอกำลังพูดอะไร? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง รวบรวมความกล้าพูดขึ้นอีกครั้ง “คุณก็มีชีวิตรอดไม่ใช่เหรอ? ฉันกลัวตายมาก ฉันยังอายุน้อยขนาดนี้ ฉันมีหลายอย่างที่ยังไม่ได้ทำ แต่เทียบกับการตายแล้ว ฉันกลัวตอนพ่อฉันฟื้นขึ้นมาแล้วพบแววตาผิดหวังที่ตระกูลเจี่ยนล้มละลายมากกว่า ในเมื่อคุณยังมีชีวิตรอดในตระกูลเหลิ่งได้ ฉันเองก็ทำได้ ถึงฉันจะมีความสามารถไม่เท่าคุณ แต่คงไม่แย่ไปกว่าคุณมากหรอก ไม่ใช่ว่าคุณเป็นผู้นำตระกูลเหลิ่งได้ แล้วฉันจะไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ก้มหน้าอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าเป็นอะไร เธอมีความแข็งแกร่งต่อหน้าคนอื่นๆ แต่ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เธอกลับขี้ขลาดตาขาวเป็นพิเศษ เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อมองเหลิ่งเซ่าถิง แต่เมื่อสบตากับเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังตรวจสอบ เจี่ยนอี๋นั่วก็หัวใจเต้นอีกครั้ง

น่าจะเป็นการจ้องมองแบบนี้ล่ะมั้ง มีความรู้สึกตรวจสอบอย่างเย็นชา ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหวาดกลัว กลัวเหลิ่งเซ่าถิงจะดูถูกดูแคลนเธออีก เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงทำการตัดสินเจี่ยนอี๋นั่ว มันจะทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่านี่คือเหลิ่งเซ่าถิงผ่านการครุ่นคิดแล้ว เป็นการตัดสินเธอครั้งสุดท้าย เธอเหมือนจะเป็นคนแบบนั้นที่เหลิ่งเซ่าถิงประเมิน

เหลิ่งเซ่าถิงมีนิสัยเฉพาะตัว สิ่งที่เขาพูดเหมือนคำพิพากษาสุดท้าย ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะทำตัวโดดเด่นขึ้นมาต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่ดีขึ้น

แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไรเลย ผ่านไปนานมากก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งขนาดนั้น และอย่าคิดว่าศัตรูโง่ขนาดนั้น ชีวิตมันไม่ให้โชคเธอมากเกินไป อารองกับอาสะใภ้รองของฉันเธอก็รู้แล้ว พวกเขายังมีลูกชายคนหนึ่ง เธอต้องรู้ว่าลูกชายของพวกเขา และเป็นน้องชายฉัน ชื่อเหลิ่งหมิงอัน เขาคนนี้เธอก็ระวังหน่อยจะดีที่สุด……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถามขึ้น “ทำไม เขาอันตรายมากเหรอ? หรือว่าเขามีเล่ห์เหลี่ยมมาก? เขาไม่เคยปรากฏตัวต่อสาธารณะในฐานะคนตระกูลเหลิ่งเลย หรือว่าแอบมีบทบาทร้ายกาจอะไรซ่อนอยู่? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา เขาส่ายหน้า “ไม่ เพราะเธอเป็นผู้หญิง เลยต้องระวังเขา เหลิ่งหมิงอันเขาโดนใจเด็กผู้หญิงมาก……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาเล็กน้อย หันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “โดยเฉพาะเป็นผู้หญิงของฉัน ฉันไม่อยากให้มีข่าวอื้อฉาวเกิดขึ้นในตระกูลเหลิ่งอีก เช่นกับอากับสะใภ้……”

เกิดขึ้นอีก? หรือว่าเมื่อก่อนเคยเกิดขึ้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกประหลาดใจนิดหน่อย เมื่อพูดถึงรูปร่างหน้าตา การศึกษาหรือภูมิหลังครอบครัว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่สมบูรณ์แบบมาก แต่ไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงทิ้งเหลิ่งเซ่าถิงแล้วไปชอบน้องชายของเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเหลิ่งหมิงอัน?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นไปได้ ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะมีสภาพภายนอกที่สมบูรณ์แบบ แต่เขาก็เย็นชาเกินไป และเวลาพูดก็ไร้ความปรานีอย่างมาก ไม่ว่าจะหน้าตาดีแค่ไหนก็คงมีวันที่น่าเบื่อ ไม่ว่าจะมีการศึกษาดีแค่ไหนก็ไม่สามารถทำให้ชีวิตกลายเป็นน่าสนใจ ดูเหมือนภูมิหลังครอบครัวที่สมบูรณ์ เบื้องหลังจะมีวิกฤติมากมายซ่อนอยู่

ทุกอย่างดูเหมือนสมบูรณ์แบบ แต่ทุกอย่างก็ไม่สามารถทนได้

ถึงจะเป็นเจี่ยนอี๋นั่ว ครั้งหนึ่งเธอก็เคยหลงรูปลักษณ์ภายนอกของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ตอนนี้เพราะอารมณ์ของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ไม่มีความรู้สึกดีกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว อดไม่ได้ที่จะถอยด้วยความกลัว

“เธอกำลังมองอะไร? ” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเธอจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิงอยู่นานมากแล้ว เธอรีบกดเสียงทุ้มต่ำ หาข้ออ้าง “ค-คือ วันนี้คุณตรวจสุขภาพอย่างละเอียดแล้วหรือยัง เป็นยังไงบ้าง ต่อไปเรื่องมื้ออาหารต้องระวังอะไรบ้าง? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ผูกเนกไทอย่างไม่เป็นธรรมชาติ แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันสุขภาพแข็งแรงดี แต่ถึงฉันจะเป็นอะไร มันก็ไม่เกี่ยวกับเธอ ตราบใดที่เด็กในท้องเธอยังอยู่ สัญญาก็ยังมีผลต่อไป พูดถึงสัญญา เธอยังไม่ได้บอกคนนอกเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันใช่ไหม? ”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า “แต่คืนนี้ตอนกินข้าว คนอื่นๆ ก็จะรู้ไม่ใช่เหรอ? ”

เหลิ่งเซ่าถิงตอบรับด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ วันนี้จะมีบางคนรู้ว่าเธอเป็นภรรยาตามกฎหมายของฉัน คำขอของฉันขอแค่เธอคนเดียว คุณย่าเก็บเธอไว้ ก็เหมือนเก็บความยุ่งยากไว้ ภายในครอบครัวมีสถานะให้เธอ เพื่อเอาอกเอาใจญาติ ถ้าสำหรับภายนอก ก็พยายามซ่อนความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับฉันเอาไว้ หรือไม่ก็ยกย่องว่าเป็นความสัมพันธ์ที่โรแมนติก ฉันไม่อยากเป็นคนรักของเธอในสายตาคนนอก เลยให้เธอปกปิดไว้ เธอกับเด็กในท้องของเธออยู่เคียงข้างฉันต่อ ก็เหมือนกับบอกคนอื่นอยู่ตลอดเวลาว่าครั้งหนึ่งฉันเคยเป็นผักที่ต้องใช้เงินจ้างคนเพื่อมีลูก เธอไม่ควรอยู่ต่อ ไม่ใช่แค่เพราะฉันเกลียดเธอ แต่ยังต้องพิจารณารอบด้าน……”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูดแบบนี้ รู้สึกถึงตำแหน่งของเหลิ่งเซ่าถิง จริงๆ การจากไปของเธอนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุดกับเหลิ่งเซ่าถิง

“แต่ คุณย่าชอบเธอ” เหลิ่งเซ่าถิงผลุบตาลงมองเจี่ยนอี๋นั่ว “ไม่สิ หล่อนชอบเธอมากๆ เธอคาดเดาปัญหาเหล่านั้น โดยไม่สนใจความรู้สึกของฉันด้วยซ้ำ ยินยอมที่จะเก็บเธอไว้ หล่อนชอบเธอมากจริงๆ ฉันเลยสงสัยมาก เจี่ยนอี๋นั่ว เธอมีอะไรพิเศษกันแน่ ถึงทำให้คุณย่ารู้สึกว่าสามารถอยู่กับฉันตลอดไปได้?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ขณะที่มองเหลิ่งเซ่าถิงก็ก้มหน้า เธอก็ไม่รู้ว่าควรตอบเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกว่าวิธีที่ดีที่สุดคือแยกจากเหลิ่งเซ่าถิง ถ้าตระกูลเหลิ่งยินยอมที่จะช่วยเหลือเธอต่อได้ จากนั้นก็ให้เธอคลอดลูกเลี้ยงดูจนโตได้นั่นก็จะดีมากที่สุดแล้ว

ในตอนนี้คนรับใช้ก็มาเคาะประตูห้องเหลิ่งเซ่าถิง พูดขึ้นเสียงเบา “คุณชายใหญ่ คุณหญิง คุณชายกลับมาแล้วค่ะ……”

“คุณชาย? ” เจี่ยนอี๋นั่วหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ถามขึ้นอย่างสงสัย

เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะขึ้นมา “น่าจะเป็นอารองของฉัน แต่ก่อนเป็นการเรียกพ่อฉัน หลังจากพ่อฉันตาย เขาก็กลายเป็น ‘คุณชาย’ ของในบ้านตระกูลเหลิ่งแล้ว ถึงแม้เขาจะดูเหมือนไม่มีอำนาจตลอดเวลา แต่ไม่เคยหยุดนิ่งความคิดที่จะควบคุมตระกูลเหลิ่ง แตะต้องอำนาจหลักไม่ได้ก็เริ่มต้นจากชื่อเรียก เมื่อก่อนเขาไม่มีความสามารถในการเปลี่ยนมันเลย แต่……”

เหลิ่งเซ่าถิงหยุดชะงักเล็กน้อย หรี่ตาแล้วพูดเสียงทุ้ม “อาจจะเพราะหลังจากฉันป่วย ทำให้อำนาจเขาแข็งแกร่งขึ้น ไม่คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนชื่อเรียกได้แล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เชิดคางเล็กน้อยชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้า “เปลี่ยนเสื้อผ้าสิ เราจะลงไปข้างล่างกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เปลี่ยนเสื้อผ้าที่นี่เหรอ? ต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง?

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว หันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่วช้าๆ แล้วพูดเสียงเย็นชา “ฉันไม่สนใจร่างกายเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ และฉันให้เวลาแต่งหน้าสิบนาที”

เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังเหลิ่งเซ่าถิง เม้มปากก่อนจะถอดเสื้อผ้าออก จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นเดรสสีดำในตู้เสื้อผ้า แต่เดรสตัวนี้เพราะว่ามันซื้อใหม่ ถึงแม้จะใส่ได้พอดีตัว แต่ซิปด้านหลังยืดหยุ่นไม่พอ มือเจี่ยนอี๋นั่วดึงซิปด้านหลังขึ้น ทำให้ซิปที่ไม่ยืดหยุ่นพอพันเข้ากับผมเธอ

“ซี้ด……” ผมของเธอพันเข้ากับซิป เจี่ยนอี๋นั่วพอดึงซิปก็ดึงผมเธอด้วย ทำให้เธอร้องเจ็บออกมาอย่างอดไม่ได้

“เป็นอะไร? ” เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว ถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชาอย่างใจร้อน “แม้แต่เสื้อผ้าเธอก็ใส่ได้ไม่ดีเหรอ? ”

“เปล่า เดี๋ยวจะใส่เสร็จแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าเธอไร้ความสามารถเกินไป แม้แต่เสื้อผ้าก็ใส่ได้ไม่ดี รีบดึงซิปอย่างแรง ผลลัพธ์คือทำให้ซิปพันเข้ากับผมแน่นขึ้น เจ็บจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ทำให้เธอกลั้นไม่ร้องเจ็บออกมาอีก

“มีใครที่โง่กว่าเธออีกไหม? ” จู่ๆ เสียงเหลิ่งเซ่าถิงก็ดังขึ้นด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว

เมื่อครู่เจี่ยนอี๋นั่วง่วนกับการดึงซิปตลอดเวลา ไม่ได้สังเกตเลยว่าเหลิ่งเซ่าถิงหันตัวเดินมาหาเธอ เพราะซิปด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่วยังดึงไม่หมด ตอนนี้เธอเผยทั้งแผ่นหลัง ด้วยสัญชาตญาณของผู้หญิง เจี่ยนอี๋นั่วหันตัวทันที เอาหลังพิงกำแพง ปิดหน้าอกแล้วตะโกนเสียงดัง “คุณเดินมาทำไม? ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “ถ้าฉันไม่เดินมาดู ฉันก็ไม่รู้ว่าเธอโง่แบบนี้ หันมา!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง “ฉ-ฉัน……ค-คุณ ฉันกับคุณเป็นผู้ชายผู้หญิงนะ ด้านหลังฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตา “คนที่มีลูกให้กับชายแปลกหน้าเพราะเงิน มีความละอายด้วยเหรอ? คืนนี้เราอาจจะต้องนอนเตียงเดียวกัน ตอนนี้เธอแกล้งทำท่าแบบนี้ มันน่าสนใจมากเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงพูดว่าคืนนี้เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงอาจจะได้นอนเตียงเดียวกัน เพราะสถานการณ์ในตระกูลเหลิ่งตอนนี้ซับซ้อน ถ้าเพิ่มเตียงเสริมในห้องเหลิ่งเซ่าถิง เป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีคนอื่นรู้เข้าว่าพวกเขาไม่ได้นอนเตียงเดียวกันเลย และมันไม่เป็นผลดีสำหรับเธอและสำหรับเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปาก ค่อยๆ หันหลังยืนนิ่งๆ ให้เหลิ่งเซ่าถิง เพราะไม่เห็นเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสไวต่อสัมผัสเหลิ่งเซ่าถิงมากเป็นพิเศษ เธอรู้สึกได้ถึงเหลิ่งเซ่าถิงเอาผมเธอขึ้น นิ้วเย็นเฉียบของเขาลูบที่คอเธอเล็กน้อย จากนั้นมือเขาก็แตะแผ่นหลังเธอ

ปลายนิ้วของเหลิ่งเซ่าถิงเย็นมาก เมื่อแตะผิวแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว บางทีอาจจะเพราะเป็นสัมผัสจากเพศตรงข้าม บางทีอาจจะเพราะนิ้วเหลิ่งเซ่าถิงเย็นเกินไป มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหลบหลีกอย่างประหม่า

“เฮอะ……” เหลิ่งเซ่าถิงที่รู้สึกถึงการหลบหลีกของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็หัวเราะเยาะขึ้นมา

เหลิ่งเซ่าถิงราวกับหัวเราะเยาะเจี่ยนอี๋นั่วที่ตอนนี้แสร้งทำเป็นสงวนตัว แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สามารถควบคุมอารมณ์ประหม่าของตัวเองได้ เมื่อผู้หญิงคนหนึ่งโดนผู้ชายสัมผัสใกล้ชิดแบบนี้ แล้วไม่มีอารมณ์ประหม่าสักนิดสิถึงจะแปลก

“เสร็จหรือยัง? ” เจี่ยนอี๋นั่วถามเสียงเบา

เธอได้ยินเสียงเหลิ่งเซ่าถิงกำลังดึงซิป แต่เห็นได้ชัดว่าปัญหาของซิปก็เกิดขึ้นกับเหลิ่งเซ่าถิงเช่นกัน เหลิ่งเซ่าถิงอยู่ด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “ถ้าเธอไม่ได้โง่แบบนั้น ถ้าไม่ดึงซิปพันผมขึ้นมา มันก็ไม่แย่แบบนี้หรอก”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็ออกแรงดึง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงกระโปรงฉีกทันที เธออดไม่ได้ที่จะหันตัวไป แต่ขณะที่เธอหันตัวไป เดรสบนตัวเธอเนื่องจากเหลิ่งเซ่าถิงฉีกจนเป็นรูใหญ่ ไม่คิดว่ามันจะหลุดออกจากร่างกายเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้ เหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดสูทเรียบร้อย ใบหน้าเย็นชา แต่เจี่ยนอี๋นั่วสวมแค่เสื้อในและกางเกงขาสั้นตัวจิ๋ว พร้อมใบหน้ามึนงง

“ฉัน……ฉันไม่ได้ตั้งใจ……” เจี่ยนอี๋นั่วกลัวคำพูดเย้ยหยันของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ปกปิดไม่ได้ อธิบายความจริงให้กับเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงมองร่างกายเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วหุ่นดีมาก เพราะเจี่ยนอี๋นั่วเป็นคนที่เข้มงวดกับตัวเองมาก ถ้ามีเวลา เจี่ยนอี๋นั่วก็จะไปออกกำลังกาย

เจี่ยนอี๋นั่วมึนงงอยู่นานสักพักก่อนจะตอบสนอง เธอรีบยกมือขึ้นปิดร่างกายตัวเอง รีบถอยไปที่มุม เจี่ยนอี๋นั่วปิดหน้าอกตัวเอง ทั้งอายทั้งร้อนรนใจ หน้าแดงก่ำจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วที่ปกติสงบนิ่งและมีความสามารถในตอนนี้สับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดหรือทำอะไร

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วหรี่ตาลง จากนั้นก็หันไปหยิบเดรสสีดำตัวหนึ่งออกมาจากตู้เสื้อผ้า โยนให้เจี่ยนอี๋นั่ว “ใส่ตัวนี้สิ”

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบเสื้อผ้ามาแล้วรีบใส่ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเตรียมจะดึงซิป มือเธอก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงสะบัดออกทันที

“ทำไม? ” เจี่ยนอี๋นั่วยังคงหน้าแดง ถามขึ้นเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธออยากทำลายเสื้อผ้าตัวที่สองเหรอ? ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าไม่มีเดรสสีดำแล้วนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็ไม่สนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะมีการตอบสนองอะไร ยกผมเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมาแล้วดึงซิปด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ถอยหลังสองสามก้าว

รู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงออกไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว เสียงหอบหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วทำให้เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ากลับไปมองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขามองเจี่ยนอี๋นั่วในกระจก

เมื่อครู่นี้เจี่ยนอี๋นั่วประสบเหตุการณ์น่าอาย ตอนนี้กำลังจัดทรงผมอย่างจริงจัง พยายามทำให้อารมณ์ตัวเองสงบลง ไม่ได้สนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังมองมาทางเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ถือว่าหน้าตาสวย เมื่อพูดถึงสิ่งเดียวที่ควรยกย่องคือผิวขาวกระจ่างใสตามธรรมชาติ แต่เธอพยายามอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงานหรือรูปลักษณ์ของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วเชื่อว่าทุกคนบนโลกสนใจแต่รูปลักษณ์ภายนอก สามารถทำให้คนประทับใจรูปลักษณ์ภายนอกได้ก็จะสำเร็จไปครึ่งหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เพียงแต่ออกกำลังกายบ่อย แม้แต่เส้นผมก็บำรุงดีมาก ไม่ผ่านความร้อนและไม่ย้อมสีมาตลอด สระผมและบำรุงด้วยสูตรยาจีน ตอนที่เส้นผมคลายออก มันดำขลับชุ่มชื้น ขับให้ผิวเธอขาวกระจ่างใสขึ้น

ภายใต้การโจมตีของวิสัยทัศน์ขาวดำ มันยากที่จะทำให้คนไม่สังเกตเห็นความงามของเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ่งไปกว่านั้น หุ่นเจี่ยนอี๋นั่วดีมาก ถึงจะเป็นแค่เดรสสีดำเรียบๆ แต่เมื่อห่อด้วยหุ่นวิจิตรงดงามของเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว และเดรสมีส่วนโค้งเว้าสง่างามเป็นเอกลักษณ์ของผู้หญิง ทำให้กระโปรงที่เดิมทีดูธรรมดา เปล่งประกายเสน่ห์ของผู้หญิงออกมา เจี่ยนอี๋นั่วที่หน้าตาค่อนข้างธรรมดา ก็ดูสดใสและมีสีสันขึ้น

เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนเพิ่งรู้จักเจี่ยนอี๋นั่วเลย มองเจี่ยนอี๋นั่วนานสักพัก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ากลับมา เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหน้าทันที ไปหยิบสร้อยเพชรธรรมดาออกมาจากกล่องเครื่องประดับ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธอยังมีเวลาแต่งหน้าสิบนาที”

เวลาจำกัดแบบนี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วประหม่าขึ้นมาอีกครั้ง เธอรีบหยิบสร้อยจากมือเหลิ่งเซ่าถิงมา รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วแต่งหน้าเรียบๆ แล้วเดินออกมาจากห้องน้ำทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ แค่ยื่นมือออกไปแล้วพูดเสียงทุ้ม “ควงแขนฉัน เราจะลงข้างล่างกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพัก แล้วค่อยๆ ยื่นมือออกไปควงแขนเหลิ่งเซ่าถิง ตามเหลิ่งเซ่าถิงออกไปจากห้องด้วยกัน ตั้งแต่เดินออกจากห้องเหลิ่งเซ่าถิงมา เดินลงไปยังชั้นหนึ่งก็ได้ยินเสียงหัวเราะร่าเริง เสียงหัวเราะนั้นตรงข้ามกับบรรยากาศปากหวานก้นเปรี้ยวในตระกูลเหลิ่ง มันดูตรงไปตรงมาและเป็นมิตร

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้นลูบหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดขึ้นเสียงทุ้ม “อย่าไปเชื่อความรู้สึกของตัวเอง คนที่หัวเราะคืออารองของฉันเหลิ่งเฉิงอวี่ ตอนคุยกับเขาก็ระวังหน่อยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะมองไปทางห้องโถงใหญ่อย่างสงสัยเล็กน้อย ก็เห็นชายวัยกลางคนร่างค่อนข้างท้วมเตี้ยกำลังยิ้มและพูดคุยกับคุณนายเหลิ่งในห้องโถงใหญ่ ต่างกับเหลิ่งเซ่าถิงที่มีรูปลักษณ์งดงามไม่เหมือนมนุษย์ ชายวัยกลางคนร่างท้วมเตี้ยคนนี้ดูธรรมดามากเกินไป ธรรมดาจนเหมือนคุณอาที่ถือพัดเล่นหมากรุกและคุยโวในลานกว้างของชุมชน

คนที่ดูอ่อนโยนและใจดีมากแบบนี้ คืออารองเหลิ่งเฉิงอวี่ที่สามารถมองเหลิ่งเซ่าถิงเกือบจมน้ำตายในสระว่ายน้ำโดยไม่ทำอะไรเลยงั้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยเห็นเหลิ่งเฉิงอวี่ ถ้าก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้เตือนเรื่องเหลิ่งเฉิงอวี่กับเธอก่อน เธอจะคิดว่าเหลิ่งเฉิงอวี่ตรงหน้าเธอจะเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตได้อย่างไร เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเหลิ่งเซ่าถิง รู้สึกว่าเธอก็ถือว่าได้รับการประจบสอพลอมาเช่นกัน แต่เธอมองใบหน้าที่แท้จริงเหลิ่งเฉิงอวี่ไม่ออกเลย เหลิ่งเซ่าถิงในเยาว์วัย เขามองเหลิ่งเฉิงอวี่ออกทีละขั้นได้อย่างไร? แล้วต้องผ่านเรื่องโหดร้ายและเย็นชามามากแค่ไหน?

เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ถึงสายตาเจี่ยนอี๋นั่ว เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “รีบทักทายอารองสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วถึงพบว่าพวกเขาเดินมาตรงหน้าเหลิ่งเฉิงอวี่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบยิ้มให้เหลิ่งเฉิงอวี่และพูดขึ้น “อารอง สวัสดีค่ะ ฉันเจี่ยนอี๋นั่ว”

เหลิ่งเฉิงอวี่ยิ้มจริงใจและพยักหน้าให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว “นี่หลานสะใภ้เหรอ? สวัสดีๆ สำหรับฉันเธอไม่ต้องสนใจกฎมารยาทอะไรพวกนั้นหรอก ฉันน่ะไม่ใช่คุณนาย ฉันเข้าประตูใหญ่ตระกูลเหลิ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ ไม่งั้นฉันจะกล้าใช้นามสกุลเหลิ่งที่ไหน? ฉันระลึกถึงพระคุณของคุณนายเหลิ่งมาตลอด เธอปฏิบัติกับฉันเหมือนเป็นคนรับใช้ธรรมดาได้เลย! ไม่ต้องกังวล!”

คุณนายเหลิ่งเดินเข้ามา หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “เฉิงอวี่ คุณทำไม่ถูก กฎก็คือกฎ คุณเป็นอารองของเซ่าถิงและอี๋นั่ว คุณไม่ควรเป็นผู้นำแหกกฎ อีกอย่างถึงฉันจะไม่ได้คลอดคุณมา แต่คุณก็เป็นลูกหลานตระกูลเหลิ่ง จะเปรียบเทียบกับคนรับใช้ธรรมดาได้ยังไง? ”

เหลิ่งเฉิงอวี่หัวเราะ “ฮ่าๆ ” อย่างจริงใจ “คุณนายพูดถูก”

ขณะที่เหลิ่งเฉิงอวี่พูด ก็หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิง ตาแดงทันที แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น “หลานชายของฉัน ในที่สุดก็ฟื้นแล้ว พอฉันได้ยินข่าวว่าคุณฟื้น ฉันก็รีบกลับประเทศทันที ต้องขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ในที่สุดคุณก็ฟื้นขึ้นมา ถ้าคุณไม่ฟื้น ตระกูลเหลิ่งจะทำยังไง? ”

ยิ้มเยาะปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหลิ่งเซ่าถิงช้าๆ “ตระกูลเหลิ่งมีอารองอยู่ จะเกิดเรื่องได้ยังไง? ”

เหลิ่งเฉิงอวี่เช็ดน้ำตาที่มุมตา ส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น “ฉันรู้สถานะตัวเองดี มีหลายเรื่องที่ฉันช่วยไม่ได้ ช่วยน้อยมันก็ไม่ได้ผล ช่วยมากฉันก็กลัวว่าพวกคุณจะสงสัยว่าฉันมีเจตนาไม่ดีจริงๆ ฉันจะทำอะไรได้? ได้อยู่ในตระกูลเหลิ่งก็เป็นความปรารถนาอันสูงสุดของฉันแล้ว แต่ตอนนี้มีคนเจตนาร้ายคอยปลุกปั่นความสัมพันธ์ของพวกเราอยู่ตลอดเวลา ฉันกลัวว่าพวกคุณจะเข้าใจผิดจริงๆ ”

“ไม่เข้าใจผิดหรอก ฉันเชื่อใจอารอง” เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆ ขณะที่พูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากและหัวเราะขึ้นมาเบาๆ แต่ในใจเธอเย็นชา นี่มันน่ากลัวเกินไปแล้ว บทสนทนาระหว่างเหลิ่งเฉิงอวี่และเหลิ่งเซ่าถิงดูมีความสุขมาก แต่เบื้องหลังกลับมีเจตนาฆ่า

ใบหน้าเหลิ่งเฉิงอวี่เผยรอยยิ้มจริงใจอีกครั้ง ยิ้มให้กับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้น “จริงสิ คุณอาใหญ่กับคุณป้าเล็ก พวกเขาได้ยินว่าคุณฟื้นขึ้นมาก็ดีใจมาก พวกเขาอยากมาเยี่ยม ทุกคนเป็นห่วงคุณนะ เมื่อกี้คุณป้าเล็กโทรมาบอกว่ากลัวว่าร่างกายคุณจะฟื้นตัวได้ยากหลังจากประสบหายนะครั้งนี้……”

เหลิ่งเซ่าถิงยกยิ้มมุมปากขึ้นมา “พวกคุณไม่ต้องคิดมาก วันนี้คุณหมอตรวจฉันครบทุกด้านแล้ว ไม่มีปัญหาอะไรเลย”

“งั้นเหรอ สุขภาพพี่ใหญ่เซ่าถิงดูเหมือนจะแข็งแรงกว่าเดิมนะ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายก็ดังขึ้น

เสียงผู้ชายคนนั้นทุ้มต่ำแหบพร่าแบบที่ผู้หญิงชอบ เจี่ยนอี๋นั่วฟังแล้วก็รู้สึกคุ้นเคยมาก เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน เธออดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองตามเสียงนั้น เมื่อเห็นชายคนหนึ่งหน้าตาหล่อเหลา รูปร่างสูงใหญ่สวมชุดลำลองกึ่งเก่าเดินมา

หน้าตาผู้ชายคนนี้หล่อมาก ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหลิ่งเซ่าถิงเลย แต่นิสัยกลับแตกต่างกับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างสิ้นเชิง ดวงตาเหลิ่งเซ่าถิงเรียวแหลมเชิดเล็กน้อย ริมฝีปากบาง นิสัยเย็นชา แต่ผู้ชายคนนี้มีดวงตาเจ้าชู้เย้ายวน ริมฝีปากอวบอิ่ม ดูมีนิสัยที่ทะเยอทะยานด้วย

ถ้าใช้ฤดูกาลเปรียบเทียบ เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนฤดูหนาวที่หนาวเย็น ผู้ชายคนนี้คงเป็นฤดูร้อนที่รุ่งเรืองร้อนแรง

บางคนอาจจะชอบฤดูร้อน แต่เจี่ยนอี๋นั่วชอบฤดูหนาวมากกว่า เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกฤดูหนาวเหมือนจะเย็น แต่ก็มีหิมะนุ่ม ฤดูร้อนดูเหมือนจะร้อนแรง แต่ฝนตกในฤดูร้อนมันระห่ำรุนแรง และภายในใจเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วงเวลาที่มีความสุขมากที่สุดไม่มีอะไรดีไปกว่าฤดูหนาว เกล็ดหิมะลอยอยู่ด้านนอก ตัวเองสามารถนอนอยู่บนโซฟาในบ้าน ดื่มกาแฟร้อนๆ หนึ่งแก้ว ทานของหวาน ดูละครคุณภาพต่ำ ไม่ต้องให้ใครมาอยู่เป็นเพื่อน ก็รู้สึกมีความสุขอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว

เช่นเดียวกับผู้ชาย ถึงเหลิ่งเซ่าถิงจะดูเย็นชาและโหดเหี้ยม บางครั้งพูดจาร้ายกาจ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วค่อนข้างหวาดกลัวเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วเกลียดผู้ชายสำมะเลเทเมาและไม่เจียมตัวมากกว่า โดยเฉพาะผู้ชายที่หน้าตาหล่อแบบนี้ เธอยิ่งเกลียด แทบจะมีอคติด้วยซ้ำ เมื่อเธอเห็นผู้ชายแบบนั้น ก็จะคิดว่าผู้ชายแบบนี้ใช้รูปลักษณ์งดงามของตัวเองล่อลวงผู้หญิงไปแล้วไม่รู้กี่คน

ดังนั้นเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นผู้ชายคนนั้นปรากฏตัวขึ้น ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณ แต่ก็คลายออกอย่างรวดเร็ว รักษาภาพลักษณ์สง่างามและมีคุณธรรมเอาไว้

เหลิ่งเฉิงอวี่หันหน้าไปมองผู้ชายคนนั้น เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ “หมิงอัน ลูกกลับมาแล้วเหรอ? ทำไมไม่บอกพวกเรา? เราจะได้ส่งคนไปรับ!”

ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้เหลิ่งเฉิงอวี่แล้วพูดขึ้น “พ่อ ฉันคิดถึงบ้าน เลยกลับมา พ่อก็รู้ว่าฉันเกลียดการผูกมัดและกฎพวกนี้ ไม่รบกวนพวกคุณแล้ว”

จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มให้กับคุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้น “สุขภาพคุณนายก็ยังดูแข็งแรงมาก”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพยักหน้า “หมิงอันก็ยังปากหวานนะ”

จากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ยิ้มให้เหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดขึ้น “พี่ใหญ่ ได้เห็นสุขภาพพี่ฟื้นตัว ดีจังเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชายแปลกหน้าที่จู่ๆ ก็โผล่มา ทักทายเหลิ่งเซ่าถิงและเหลิ่งเฉิงอวี่ ก็เข้าใจสถานะของผู้ชายคนนี้ เขาต้องเป็นน้องชายของเหลิ่งเซ่าถิงที่ชื่อเหลิ่งหมิงอันแน่ๆ

มองดูอย่างรอบคอบ เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าจริงๆ แล้วโครงหน้าเหลิ่งหมิงอันคล้ายกับเหลิ่งเซ่าถิงมาก แต่เนื่องจากทั้งคู่มีนิสัยเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สังเกตเมื่อครู่นี้

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วมองสังเกตเหลิ่งหมิงอัน เหลิ่งหมิงอันก็หันมามองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว “คนนี้คือพี่สะใภ้ใหญ่เหรอ? ดูเหมือนองค์หญิงคนหนึ่งจริงๆ ……”

ก่อนหน้านี้เสียงเหลิ่งหมิงอันแค่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อย แต่ประโยคนี้ของเหลิ่งหมิงอันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วจำเหลิ่งหมิงอันคนนี้ได้ทันที นี่มันคนจรจัดที่รังควานเธอตรงป้ายรถประจำทาง โลกนี้มันกลมจริงๆ ! แต่คุณชายรองตระกูลเหลิ่งผู้ทรงเกียรติ ทำไมใส่ชุดเลอะเทอะไปยุ่งวุ่นวายกับผู้หญิงตามอำเภอใจแบบนั้น? เหลิ่งหมิงอันคนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่?

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะปกปิดสีหน้าประหลาดใจเอาไว้ทันที แต่ก็ยังโดนสังเกตได้ เหลิ่งเฉิงอวี่หรี่ตา ยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามขึ้น “ทำไม? หลานสะใภ้กับหมิงอันรู้จักกันอยู่แล้วเหรอ? ”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มทันทีแล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้เราเคยเจอกันครั้งหนึ่ง ไม่ถือว่ารู้จักหรอกค่ะ ตอนแรกเลยจำไม่ได้”

“ฮะ? ” เหลิ่งเฉิงอวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “เคยเจอกันครั้งหนึ่ง? งั้นพวกเธอก็มีวาสนาต่อกันสินะ ลูกชายคนนี้ของฉันสองสามวันนี้ไม่ได้อยู่ในประเทศเลย ปกติจะไปต่างประเทศ”

เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ: เหลิ่งเฉิงอวี่หมายความว่ายังไง? ตอนนี้ฉันเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงนะ ทำไมบอกว่าฉันกับเหลิ่งหมิงอันมีวาสนาต่อกัน? เหมือนอย่างที่เหลิ่งเซ่าถิงว่าจริงๆ อารองเหลิ่งเฉิงอวี่คนนี้ถึงจะดูใจดี แต่ทุกประโยคของเขามีกับดักจริงๆ ถึงขนาดใช้ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองมายั่วยุความสัมพันธ์ของคนอื่น

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขึ้นมาทันทีแล้วพูดขึ้น “ฉันมีวาสนาต่อตระกูลเหลิ่ง แค่เดินไปตามถนนก็เจอคนของตระกูลเหลิ่งได้ ดูเหมือนฉันกับเซ่าถิงจะมีวาสนาต่อกัน เป็นพรหมลิขิตจริงๆ ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันไปยิ้มให้เจี่ยนอี๋นั่ว “พรหมลิขิตแน่นอน ไม่งั้นเธอคงไม่ปลุกฉันหรอก”

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องคุยเล่นกันแล้ว ญาติๆ ที่ถูกเชิญมาใกล้จะมาถึงแล้ว เรารีบนั่งกันดีกว่า” คุณนายเหลิ่งหรี่ตายิ้มอย่างใจดีแล้วพูดขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงพาเข้าไปนั่ง เพิ่งนั่งลงก็ได้ยินเสียงญาติในครอบครัวเข้ามา เหลิ่งเซ่าถิงและคุณนายเหลิ่งก็ลุกขึ้นทักทาย เจี่ยนอี๋นั่วก็ยืนขึ้น ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนขึ้นมาก็ได้ยินเสียงเหลิ่งหมิงอันเดินมาจากด้านหลังเธอ พิงแผ่นหลังเธอแล้วพูดเสียงทุ้มแหบพร่า “พี่สะใภ้ใหญ่ ตาฉันเกือบบอดเพราะเธอ ปฏิบัติกับฉันเผ็ดแสบขนาดนั้น ทำไมกลายเป็นสะใภ้ตัวน้อยที่แสนดีต่อหน้าพี่ชายฉันล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น และอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปถลึงตาใส่เหลิ่งหมิงอัน แต่ทว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดึงมือของเธอเอาไว้เสียก่อน และได้ห้ามพฤติกรรมของเธอเอาไว้ ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงยังคงแฝงไปด้วยรอยบางๆ แต่ฝ่ามือที่เย็นเล็กน้อย และออกแรงนิดหน่อย ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสงบลงได้ในชั่วพริบตา

ใช่แล้ว ตอนนี้ถ้าตอบโต้อะไรเหลิ่งหมิงอันไป ก็จะไม่ดีกับเจี่ยนอี๋นั่ว ต่อหน้าผู้คน เธอกับน้องชายของสามีส่งสายตากันไปมา แบบนี้แล้วเธอจะยังยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งได้อย่างไร ถ้าไม่สามารถยืนหยัดในตระกูลเหลิ่งแล้ว จะไปช่วยตระกูลเจี่ยนได้อย่างไร?

ดังนั้นถึงแม้จะเห็นได้ว่าเหลิ่งหมิงอันมองมาทางเธอตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงพยายามที่จะไม่สนใจสายตาที่แสนเย็นชาของเหลิ่งหมิงอัน มองเพียงแต่เหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้น พยายามที่จะทำเหมือนว่าในสายตามีแต่สามีของภรรยา

งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ราวกับว่าเป็นสนามรบ คนในตระกูลเหลิ่งทยอยเข้ามาลองหยั่งเชิงเหลิ่งเซ่าถิงกันอย่างต่อเนื่อง แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็แสดงออกมาได้ดีมากๆ ราวกับว่าเค้าไม่เคยได้รับอุบัติเหตุทางรถ แล้วกลายเป็นเจ้าชายนิทรามาก่อน เขาเกือบจะรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นมาในระยะหนึ่งปีนี้ได้ทั้งหมด ตั้งแต่เรื่องเปลี่ยนแปลงทางการเมือง จนกระทั้งเรื่องอื้อฉาวของดารา เขาก็เข้าใจดีทั้งหมด การดำเนินการของเครือค่ายของตระกูลเหลิ่งและการเปลี่ยนแปลงของบุคลากร เขาก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับว่าเขาแค่ออกไปเทียวไม่กี่วัน และเพิ่งกลับมาที่ตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้นเอง

ตอนนี้เองที่เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งได้รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้ดูข้อมูลจากโน้ตบุ้ค เพียงแต่เธอนั้นรู้สึกตะลึงกับความจำอันทรงพลังของเหลิ่งเซ่าถิง แต่ว่าเวลาสั้นๆแค่วันเดียว เหลิ่งเซ่าถิงที่เพิ่งจะฟื้นก็สามารถจำข้อมูลและความเป็นไปของบริษัทตลอดหนึ่งปีได้อย่างชัดเจนและไม่มีข้อบกพน่องใดๆ เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเหลิ่งเซ่าถิงถึงดูถูกเธอ ถ้าเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ความขยันและควาสามารถของเธอนั้นยังคงห่างจากเขาอีกเยอะ

เมื่องานเลี้ยงจบลง ผู้คนที่เห็นเหลิ่งเซ่าถิงฟื้นตัวเป็นแกติแล้วนั้น ต่างก็ครุ่นคิดอยู่ในใจและแยกย้ายกันไป เหลิ่งถึงแม้ว่าเซ่าถิงและเหลิ่งเฉิงอวี๋จะมีความคิดที่แตกต่างกัน แต่ต่างก็ลุกขึ้นพร้อมรอยยิ้ม และเดินไปส่งแขก

คุณนายเหลิ่งที่เพิ่งจะลุกขึ้นอย่างช้าๆ ก็หันไปมองเจียนอี๋นั่ว:“อี๋นั่วไปที่ห้องของฉัน ฉันมีเนื่องที่อยากจะคุยด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล้กน้อย และเดินตามคุณนายเหลิ่งเข้าห้องไป

เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องคุณนายเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบอธิบายขึ้นทันที:“ฉันเคยเจอเหลิ่งหมิงอันแค่ครั้งเดียวจริงๆนะคะ วันนี้ตอนบ่ายเงินของฉันตกลงไปในท่อระบายน้ำและเขาก็เป็นคนเก็บมันขึ้นมาให้ฉัน ท่าทางเขาด฿เหมือนคนจรจัด มีแค่นี้จริงๆนะคะ! ”

คืนนี้สายตาของเหลิ่งหมิงอันมองดูเธออย่างเปิดเผย เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นต้องเห็นอย่างแน่นอน ยิ่งถูกคุณนายเหลิ่งซักถามแบบนี้แล้ว สู้เธอเป็นคนบอกก่อนยังจะดีกว่า และจริงแล้วก่อนหน้านี้เธอกับเหลิ่งหมิงอันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันอยู่แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าไม่มีอะไรต้องปิดบัง

คุณนายเหลิ่งที่ได้ยินเจี่ยนอี๋นั่วพูดนั้น กลับหัวเราะออกมา:“เธอคิดว่าที่ฉันเรียกเธอมา เพื่อที่จะถามเรื่องความสัมพันธ์ของเธอกับเหลิ่งหมิงอันงั้นหรอ?”

ก่อนหน้านี้เจี่ยวอี๋นั่วคิดว่าเป็นแบบนั้น แต่หลังจากที่ได้ยินคุณนายเหลิ่งถามขึ้นมาแบบนั้นแล้ว ก็กลับไม่มั่นใจแล้ว เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย และมองไปที่คุณนายเหลิ่งอย่างสงสัย จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“ก่อนที่เธอจะเข้ามาในตระกูล ก็ได้ทำการตรวจสอบเธอมาก่อนแล้ว ถ้าหากเธอเกี่ยวข้องอะไรกับเหลิ่งหมิงอันจริๆ ฉันคงไม่ให้เธอมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิงหรอก เหลิ่งหมิงอันเป็นคนเจ้าชู้ ถ้าเขาจะรู้สึกประหลาดใจและก็รู้สึกดีกับเธอ ฉันก็คงไม่แปลกใจ เธอฉลาดมาก ฉันเชื่อว่าเธอรู้ขอบเขตดี เธอคงจะเข้าใจดีว่าควรรักษาระยะห่างกับเหลิ่งหมิงอันยังไง ที่ฉันเรียกเธอมา ก็เพระาได้ยินมาว่าวันนี้เธอตากฝน แถมยังนั่งรถประจำทางมาอีก เธอลืมไปแล้วหรือไงว่าเธอคือคนท้อง?”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่คุณนายหลิ่งจะรู้เรื่องพวกนี้ บอดี้การ์ดและคนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งคงไม่เก็บเป็นความลับให้เธออย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“วันนี้ตอนบ่าย ฉันลืมหยิบร่มไปน่ะค่ะ และฉันก็ไม่มีเงินเติมน้ำมัน แล้วก็ก็ไม่มีเงินนั่งรถแท็กซี่ด้วย…….ฉัน…..”

“เธอโทรเรียกใช้รถของตระกูลเหลิ่งได้ เธอควรที่จะใช้ของของตระกูลเหลิ่งให้คุ้นชิน แน่นอนว่าเป็นของที่อยู่ในอำนาจและขอบเขตของเธอ” เมื่อคุณนายเหลิ่งหัวเราะและพูดถึงตรงนี้ เธอก็หันไปหยิบเงินจำนวนหนึ่งที่ตู้หนังสือ แล้วยื่นให้ในมือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นเงินเยอะขนาดนั้น ก็รีบถามขึ้นว่า:“คุณท่านนี่คือจะทำอะไรคะ?”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพูดขึ้นว่า:“นี่เป็นเงินค่าขนมของทุกคนในตระกูลเหลิ่ง อย่างเธอ เดือนนึงก็สามหมื่นหยวน เงินของเดือนนี้ ฉันให้เธอก่อน เดือนถัดไป จะมีคนรับใช้เอาไปให้ที่ห้องของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง”

“แต่ คุณนายเหลิ่ง ฉันไม่ได้……”เจี่ยนอี๋นั่วอยากที่จะพูดว่าเธอยังไม่ใช่ภรรยาอย่างจริงๆจังของเหลิ่งเซ่าถิงสักหน่อย

คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้าพรางหัวเราะและตัดบทของเจี่ยนอี๋นั่วทันที จากนั้นก้พูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“ไม่ เธอเป็น ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิง เมื่อไหร่ที่เธอไปจากตระกูลเหลิ่งแล้ว และไม่มีพันธะอะไรกับตระกูลเหลิ่งอีก ถึงตอนนั้นแล้วค่อยปฏิเสธเงินก้อนนี้ แต่ฉันหวังว่าเรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น นี่เป็นแค่เงินค่าขนม เพียงแค่เธอได้กลายเป็ฯสัญลักษณ์หนึ่งของตระกูลเหลิ่งแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้าลงเล็กน้อย และกำเงินก้อนโตเอาไว้แน่น พรางกัดริมฝีปาก อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคลอ ตอนนี้เธอต้องการเงินจริงๆ ไม่เพียงแต่เงินที่ตระกูลเหลิ่งมอบให้เพื่อช่วยเหลือบริษัท และยังเป็นเงินที่ต้องเลี้ยงดูทั้งตระกูลเจี่ยน เธอต้องการทั้งหมด วันที่ยากลำบากและน่าอับอาย ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นเปลือยเปล่าและวิ่งล่อนจ้อนไปทั่วท้องถนนในทุกๆวัน เธอไม่รู้สึกถึงความปลอดภัยเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่คนอื่นมองมาที่เธอ ก็เห็นถึงความอึดอัดใจของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบาว่า:“คุณนาย…..เอ่อ ไม่สิ่ คุณย่า ขอบคุณนะคะ ”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพรางพยักหน้า:“ฉันก็ขอบคุณเธอนะ กลับไปพักผ่อนเถอะ คราวหลังต้องอย่าลืมนะว่าเธอน่ะเป็นคนท้อง ไม่ว่าจะอะไรลูกก็ต้องมาก่อน ได้ชิงคลอดลูกให้เซ่าถิงได้ก่อนเหลิ่งหมิงอัน ก็ถือว่าเธอได้ช่วยเซ่าถิงเหมือนกัน”

“งั้นฝันดีนะคะคุณย่า” เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า จึงจะเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่ง

เมื่อเดินออกจากห้องของคุณนายเหลิ่งได้ไม่นาน เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็ฯเหลิ่งหมิงอันที่ยืนพิงราวบันได ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตร เจี่ยนอี๋นั่วก้มหัวให้เหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย ก่อนจะเดินผ่านเหลิ่งหมิงอันไป

เหลิ่งหมิงอันใช้มือข้างหนึ่งดึงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ และใช้นิ้วของมืออีกข้างชี้ตรงที่ตาของตัวเอง:“พี่สะใภ้จะรีบเดินอะไรขนาดนั้น?ไม่ห่วงตาของผมหน่อยหรอ?อีกนิดเดียวตาของผมก็เกือบจะบอดแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ช่วยระวังคำพูดของตัวเองด้วย

ในเมื่อเรียกฉันว่าพี่สะไภ้ ก็ควรจะเคารพฉันบ้าง อย่ามายุ่มย่ามกับฉัน ”

“ยุ่มย่าม?วันนี้ฉันยังจูบเธออยู่เลย” เหลิ่งหมิงอันไม่เพียงแต่จะไม่ถอย แต่ยังเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วอีกหนึ่งก้าว และพูดด้วยเสียงที่เบาจนเจี่ยนอี๋นั่วกับเขาได้ยินกันแค่สองคนว่า:“จริงๆล้ว ฉันชอบที่เธอดุดุดันในวันนี้มากกว่าตอนที่เธอต้อนรับแขกพวกนั้นด้วยรอยยิ้มที่เสแสร้งกว่าอีก ท่าทางที่ดุดันของเธอน่ารักกว่าตั้งเยอะ ”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหลิ่งหมิงอัน ก่อนจะหัวเราะออกมา:“ฉันว่าการแต่งตัวแบบคนจรจัดเหมาะกับนายมากกว่า

คนที่ไม่รู้ขอบเขต ไม่รู้จักเคารพคนอื่นอย่างนาย สวมเสื้อผ้าแบบนี้ ช่างเปลืองวัตถุดิบดีๆจริงๆเลย”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบเธอก็เหล่มองเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชายเล็กน้อย ก่อนจะเดินจากเหลิ่งหมิงอันไป

เหลิ่งหมิงอันไม่ได้ยื่นมือมาขวางเจี่ยนอี๋นั่วอีก เขาเพียงแต่เอียงศีรษะเล็กน้อย และหัวเราะพรางพูดตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เฮ่ เก่งเหมือนกันนี่ ฉันหวังดีกับเธอนะ ถึงแม้เธออยากจะเป็นคุณนายของตระกูลเหลิ่งทั้งใจ แต่ว่าในใจของเขาไม่เคยมีเธออยู่เลยนะ เธอจะเป็นคุณนายไปได้อีกนานแค่ไหน?ในใจของเขามีผู้หญิงอยู่คนหนึ่ง คือหลิวจื่อซิง ในใจของพี่ใหญ่น่ะไม่มีใครอยู่สูงกว่าผู้หญิงคนนี้อีกแล้ว”

หลิวจื่อซิง?ผู้หญิงที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยชอบคือหลิวจื่อซิง?

ย่างก้าวของเจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆช้าลง แต่เธอก็ไม่ได้หันกลับไป และก้าวเดินต่อไป เดิมทีเธอก็ไม่สนใจอยู่แล้วว่าในใจของเหลิ่งเซ่าถิงจะมีผู้หญิงคนไหน และเธอก็ไม่ได้อยากที่จะเข้าไปอยู่ในใจของเหลิ่งเซ่าถิงอยู่แล้ว เธอแค่เพียงต้องการเงินช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งก็เท่านั้น และเรื่องอื่นๆเธอก็ไม่เคยที่จะไปคิดอะไรอยู่แล้ว

เหลิ่งหมิงอันมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วโดยที่ไม่หันหลังไปเช่นกัน และค่อยๆหัวเราะขึ้น พรางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า:“ดูเหมือนว่าครั้งนี้ต้องอยู่บ้านให้นานขึ้นสักหน่อยแล้ว คาดไม่ถึงเลยว่าคนที่น่าสนุกขนาดนี้ในที่สุดจะมาถึงตระกูลเหลิ่งจนได้ น่าเสียดายจริงๆ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงห้องของตัวเองนั้น ก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้อยู่ในห้องเรียบร้อยแล้ว เธอลังเลอยู่เล็กน้อย จึงจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆว่า:“วันนี้ฉันแสดงออกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ขอโทษด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าการแสดงออกของเธอในวันนี้แย่มาก และเธอไม่สามารถสร้างความพึงพอใจให้กับผู้คนได้เลย เหลิ่งเซ่าถิงปลดกระดุมพราง หันศีรษะไปทางอี๋นั่วเล็กน้อย พรางพูดขึ้นว่า:“เธอก็รู้นิ่ว่าทำได้ไม่ดีพอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าเล็กน้อย:“ฉันแสดงออกได้ลนลานเกินไป แถมระหว่างเหลิ่งหมิงอัน อาจจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตาไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอรู้ตัวก็ดีแล้ว คราวหลังห้ามทำผิดพลาดแบบนี้อีก เข้านอนเถอะ”

“หืม?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้หยิบชุดนอนออกมาจากตู้เสื้อผ้า และเริ่มถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนของเขา หลับใหลไปตั้งหนึ่งปี เหลิ่งเซ่าถิงยังคงมีกล้ามเนื้อที่สวยงามขนาดนีี้ เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหลังไปในทันที และอดไม่ได้ที่จะหน้าแดง จู่ๆเธอก็นึกถึงตอนที่เธอไม่ได้สมเสื้อผ้าต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เพียงแค่นึกถึงตอนนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็หน้าแดงมากขึ้นไปอีก

เหลิ่งเซ่าถิงสวมชุดนอนสีดำทั้งตัวและเดินมาทางเจี่ยนอี่นั่ว และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้ยเสียงทุ้มๆว่า:“ดึกมากแล้ว

เธอยังมีเวาอีกสิบห้านาทีในการเปลี่ยนชุด เช็ดเครื่องสำอาง อย่าทำให้ฉันเสียเวลาในการพักผ่อน ฉันเพิ่งจะฟื้นตัวขึ้นมาเอง ต้องการพักผ่อนให้เพียงพอ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงพูด เธอก็รีบพุ่งตัวเข้าไปในห้องน้ำทันที และเริ่มเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดเครื่องสำอาง ล้างหน้า และแปลงฟัน เมื่อเธอล้มตัวลงนอนบนเตียง เหลิ่งเซ่าถิงก็ดับไฟตรงหัวเตียงพอดี ในความมืดนั้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆขยับตัวช้าๆ เมื่อกี้เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เพิ่งจะรู้สึกขึ้นมาได้

ตอนนี้เธอได้นอนเตียงเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจริงๆ และก็ไม่ใช่เจ้าชายนิทราที่มีใบหน้าหล่อเหลา แต่เป็นเหลิ่งเซ่าถิงตัวเป็นๆที่แสนเย็นชาและเย่อหยิ่ง ที่พูดถากถาง พูดแดกดัน และยังขยันตั้งใจมากๆแถมยังวางแผนกลอุบายได้อีก และในไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้ก็เพิ่งจะเห็นเธอที่ไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าอีกต่างหาก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแปลกๆ

“ถ้าถอยอีกจะตกเตียงแล้วนะ” เสียงเย็นชาของเซ่าถิงดังขึ้นท่ามกลางความมืด

เจี่ยนอี๋นั่วรีบขดตัวทันที ราวกับเป็นกระต่ายน้อยที่รู้สึกตกใจแล้วเริ่มทำเป็นแกล้งตาย และไม่กล้าที่จะขยับตัวแม้แต่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าสักวันนึงเธอจะเกิดความรู้สึกหวาดกลัวกับผู้ชายคนนึงได้มากขนาดนี้ อาจะเป็นเพราะเหลิ่งเซ่าถิงนั้นแข็งแกร่งมากเกินไป ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วที่มีความมั่นใจในตัวเองมาโดยตลอดนั้นรู้สึกว่าตัวเองนั้นต่ำต้อย ก็เลยกลัวเขาเป็นพิเศษ ไม่สิ่ ที่พูดว่ากลัวเขา พูดว่ากลัวการดูถูกของเขาส่ะดีกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆผ่อนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหลับตาลง จากนั้นก็พยายามกล่อมตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น เธอไม่ได้นอนข้างๆเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็จะไม่แตะต้องตัวเหลิ่งเซ่าถิงโดยไม่ได้ตั้งใจ แล้วทำให้เขาดูถูกเยาะเย้ยเธอได้

เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าประสบการณ์ที่เธอได้พบเจอในตอนนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น และเมื่อตื่นจากฝัน เธอก็ยังคงเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเจี่ยน แต่ไม่ใช่เพระาว่าเรื่องเงินเธอถึงยอมรับการผสมเทียม และยอมที่จะเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงต่อไป

อนาคตจะเป็นยังไง เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่กล้าที่จะนึกคิด เธอเพียงแค่หวังว่าค่ำคืนนี้จะผ่านไปได้โดยเร็ว เจี่ยนอี๋นั่วขดตัวอยู่ตรงมุมอย่างระมัดระวัง ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังคงหลบหนีสัญชาตญานของเหลิ่งเซ่าถิง และค่อยๆขัยบตัวอย่างช้าตรงขอบเตียง ในขณะที่เธอกำลังจะตกจากเตียงนั้น จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือออกมา แล้วโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ จากนั้นก็ดึงเจี่ยนอี๋นั่วเข้ามาในอ้อมกอด

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาและพิงลงตรงอกแกร่งของเหลิ่งเซ่าถิง ลมหายใจอุ่นๆของเธอนั้นรดลงตรงอกแกร่งของเหลิ่งเซ่าถิง มือของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นวางลงตรงเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว และสัมผัสได้ถึงผิวที่อ่อนนุ่มของเจี่ยนอี๋นั่ว

เอวของเธอบางมาก!

นี่เป็นช่วงเวลาที่ชุดเดรสของเจี่ยนอี๋นั่วหลุดออก เป็นความคิดนึงที่ผุดขึ้นมาในหัวของเหลิ่งเซ่าถิง และก็เป็นความคิดเดียวที่ผุดขึ้นในหัวในตอนนี้ เอวบางขนาดนี้ ราวกับว่าเมื่อเอามือทั้งสองข้างมาชนกันก็สามารถโอบเอาไว้ได้แล้ว เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะขยับนิ้วมือ และค่อยวัดรอบเอวของเธออย่างช้าๆ

มันบางจริงๆ ผู้หญิงที่มีเอวบางได้ขนาดนี้ ต้องเป็นคนที่ตั้งใจรักษารูปร่างของตัวเองมากแน่ๆ แต่ตอนนี้กลับยอมมีลูกให้เขา?เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว ดูเหมือนว่าเธอจะเหนื่อยเอามากๆ หลับสนิทขนาดนี้ ยังตอบสนองต่อการสัมผัสของเขา เธอหลับสนิทจนราวกับเป็นแมวน้อย แก้มของเธอนั้นพิงลงตรงอกของเขาอย่างเบาๆ

แต่ผู้หญิงคนนี้ใช้วิธีที่ไร้ยางอายในช่วงเวลาที่เขาลำบากที่สุด กลายมาเป็นแม่ของลูกของเขา?ภรรยาตามสัญญาของเขา?เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และเผยใบหน้าที่งงงวยอย่างที่ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็นมาก่อน ภายใต้แสงจันทร์ เขานั้นหรี่ตามองและพิจารณาเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้เจอเจี่ยนอี๋นั่วตรงขอบเตียง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าก็สว่างแล้ว เมื่อเธอลืมตาขึ้นมาก็พบว่าเธอนั้นยึดพื้นที่ทั้งหมดของเตียงขนาดใหญ่ และเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้อยู่ข้างๆเธอแล้ว!พระเจ้า เมื่อคืนเธอนั้นนอนตรงขอบเตียงนี่หน่า ทำไมไปนอนตรงกลางเตียงได้ล่ะ?เมื่อคืนเธอคงจะไม่ได้ดิ้นไปดิ้นมามากเกินไป จนทำให้เหลิ่งเซ่าถิงโกรธหรอกนะ?

บ้าจริง!รู้อยู่นานแล้วว่าการที่ผู้ชายกับผู้หญิงนอนด้วยกันแบบนี้มันเป็นเรื่องที่เหลวไหล!

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้นทันที เมื่อลงจากเตียงก็สวมรองเท้าแตะ เมื่อกำลังสวมรองเท้าแตะนั้น เหลิ่งเซ่าถิงก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

เขาเห็นสายตาที่ร้อนรนของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นว่า:“เดี๋ยวจะมีคนรับใช้เอาอาหารเช้ามาให้ คุณย่าจัดรถเอาไว้ให้เธอแล้ว เบอร์ของคนขับรถวางอยู่บนโต๊ะ เธอไปดูเองสิ่”

“เอ่อ เมื่อคืนฉันไม่ได้รบกวนนายใช่หรอกใช่มั้ย” เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิงและถามขึ้นอย่างระมัดระวัง

เหลิ่งเซ่าถิงเม้มริมฝีปาก และไม่ได้พูดอะไร จากนั้นจึงมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว และถามขึ้นว่า:“หือ?แล้วเธอคิดว่าตัวเองได้รบกวนฉันหรือเปล่าล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองสีหน้าท่าทางของเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อย และก้มหน้าลงอย่างๆช้าพรางพูดหยั่งเชิงขึ้น:“ฉันนอนได้ไม่สะเปะสะปะมากๆ อาจจะไปรบกวนนายก็ได้……ฉัน……”

“รบกวนฉัน?คุณหนูเจี่ยนรู้สึกถึงข้อนี้ด้วย มันไม่สายไปหน่อยหรอ ตอนที่ฉันเป็นเจ้าชายนิทรา เธอก็ควรจะรู้ได้แล้ว ในวันที่ฉันฟื้นขึ้นมา การที่เธอยังอยู่เป็นสิ่งที่รบกวนฉันมากที่สุด” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุดแสนจะเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พรางเม้มมุมปากและอยากที่จะอธิบาย แต่กับเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้แล้ว คำพูดที่เธออยากจะอธิบายก็กลับพูดไม่ออก ในคดีทั้งหมดนี้ บางทีเหลิ่งเซ่าถิงก็อาจจะเป็นผู้บริษุทธิ์ก็ได้ ตอนที่เขาเป็นเจ้าชายนิทราหลัใหลไม่ได้สติ แต่กลับถูกคนอื่นจัดแจงภรรยามาให้แล้ว แม่ของลุกของเขา หลังจากที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมา เขาก็ถูกบังคับให้รับเรื่องเหล่านี้ให้ได้ เจี่ยนอี๋นั่วลองคิดว่าถ้าเธอเป็นเหลิ่งเซ่าถิงจะรู้สึกยังไง เธอรู้สึกว่าเธอเองก็คงรัลเรื่องนี้ไม่ได้แน่ๆ

“ขอโทษนะ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้ามองดูเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นก็พยักหน้าช้า:“เธอก็มีข้อดีอยู่นิ่ อย่างความสามารถในการขอโทษของเธอนั้นดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพรางมองไปที่เหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นจึงก้มหน้าลง ในใจก็อดที่จะบ่นพึมพัมไม่ได้:เหลิ่งเซ่าถิงนี่เป้นอะไรของเขานะ?ทำไมฉันทำอะไรก็ดูเหมือนไม่เคยทำให้เขาพอใจได้เลย ทั้งๆที่ฉันก็คิดเผื่อเขาตลอดนี่หน่า?เป็นคนที่เข้าถึงได้ยากจริงๆ!ไม่แปลกใจเลยที่คนอื่นบอกว่าเขาเย่อหยิ่งแล้วก็เย็นชา!ช่างเย่อหยิ่ง!เย็นชาจริงๆ!

“คิดอะไรอยู่น่ะ?” เหลิ่งเซ่าถิงที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วที่ก้มหน้าอยู่นั้น ก็ถามขึ้นมาด้วยเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมามองเหลิ่งเซ่าถิง จาหนั้นก็รีบก้มหน้าลงทันที แน่นอนว่าเธอนั้นไม่สามารถพูดคำที่เธอกำลังบนอยู่ในใจออกมาได้ จึงทำได้เพียงพูดพึมพัมว่า:“ฉันกำลังคิดว่า ตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับนายแล้ว ถ้าหากเขาพูดเรื่องนี้ออกไป หรือฉันกับพวกเขาบังเอิญเจอกัน แล้วแันควรจะทำยังไงล่ะ?”

“ฉันมีเงื่อนไขแค่กับเธอ ไม่ใช่กับคนอื่น” เหลิ่งเซ่าถิงเดินไปที่ห้องหนังสือ แล้วเปิดโน้ตบุ้คขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเล้กน้อย ก่อนจะถอนหายใจออกมา และพูดขึ้นเบาๆว่า:“งั้น ที่ไม่ให้ฉันพูดเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับนาย เป็นแค่เงื่อนไขของฉันคนเดียว?ฟังดู…..เป็นสัญญาที่ยุติธรรมดีนะ”

“หิม?เธอพูดอะไรอยู่น่ะ?”เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบถอยหลังไปหนึ่งก้าว พรางรีบส่ายหน้าไปมาและพูดขึ้นว่า:“ฉัน ฉันไม่ได้พูดอะไร ฉันแค่เห็นว่าตอนนี้ก็สายแล้ว ฉันควรจะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปได้แล้ว”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ เหลิ่งเซ่าถิงที่เห็นแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงก้มลงไปจิบน้ำชา ทุกนาทีที่ได้สนทนากับเหลิ่งเซ่าถิงทำให้เจี่ยนอี๋นั่วนั้นรู้สึกกังวลอยู่ตลอดเวลา เธอรีบล้างหน้าแปลงฟัน แต่งหน้า เปลี่ยนเสื้อผ้าและทานอาหารเช้าด้วยความรวดเร็ว และเตรียมที่จะออกจากห้องไป

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของเหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นว่า:“รอเดี๋ยว!”

“หืม?มีอะไรหรอ?”เจี่ยนอี๋นั๋วรีบหันกลับไปมองเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงเดินมาตรงประตู และเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที จากนั้นจึงถามขึ้นอย่างลนลาน:“ฉัน ฉันทำไมหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยื่นมือออกมา และหยิบบัตรออกมาวางในมือเจี่ยนอี๋นั่ว พรางพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“เธอลิมหยิบเบอร์ของคนขับรถไปน่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบกำบัตรเอาไว้แน่น พรางพยักหน้าอย่างลุกลี้ลุกรน จึงพูดขึ้นว่า:“ขอบคุณนะ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เดินลงไปชั้นล่าง หลังจากที่ออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง และขึ้รถแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง หลังจากที่ถอนหายใจแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะใช้มือมาทุบๆที่หัวของตัวเองเบาๆ เธอรู้สึกว่าตัวเองนั้นไร้ประโยชน์มากๆ ทำไมตอนที่เผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิง เธอถึงต้องรู้สึกกระอักกระอ่วนตลอดเลยล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอนั้นเป็นสุนัขจิ้งจอกที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากเจอหมาป่าที่หิวโซนั้น เธอก็ไม่ลังเลที่จะแยกเขี้ยวโชว์กรงเล็บของเธอเพื่อที่แสดงให้เห็นว่าเะธอนั้นดุร้ายมากแค่ไหน แต่เมื่อเธอนั้นได้เจอกับราชาเสือที่น่าเกรงขามแล้ว ความรู้สึกของเธอทั้งหมดที่ว่อนอยู่ก็ถูกเปิดเผยออกมา!

“โถ่เอ้ย ทำไมถึงไร้อนาคตขนาดนั้น…..”เจี่ยนอี๋นั่วตำหนิตนเอง พรางยกมือขึ้นมาทุบหัวของตัวเองอย่างหงุดหงิด

ทำให้คนขับรถหน้าซื่อๆที่นั่งอยู่ด้านหน้ามองไปข้างหลังไม่หยุด เจี่ยนอี๋นั่วสูดหายใจเข้าลึก และสงบลงอีกครั้ง จากนั้นก็รีบใช้เสียงที่สุขุมสั่งคนขับรถ:“คุณช่วยไปส่งฉันที่บริษัทอี๋เหม่ยด้วย ขอบคุณค่ะ”

คนขับรถพยักหน้าเล็กน้อย แต่การที่เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนสีหน้าท่าทางอย่างรวดเร็ว ทำให้เขาตกใจเล็กน้อย ตลอดทาง เขาคอยมองเจี่ยนอี๋นั่วอยู่ตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่างานคนขับรถนี้ คุณนายเหลิ่งต้องจัดคนที่ไส้ใจได้มาให้เธออย่างแน่นอน ในเมื่อในท้องของเธอก็มีลูกของลี่ถิงเซียวอยู่ เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่กลัวว่าคนขับรถจะเป็นอันตรายกับเธอ

เมื่อถึงบริษัทอี๋เหม่ย สีหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วถึงจะกลับมาสุขุมและดูช่ำชองอย่างเดิม เธอเดินเข้าไปในบริษัท เธอก็สั่งให้เลขาเรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้นทันที เมื่อผู้ถือหุ้นมารวมตัวกันเจี่ยนอี๋นั่วก็มองไปที่ผู้ถือหุ้นเหล่านั้น และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“ฉันคิดว่าทุกๆท่านคงจะรู้แล้วว่า ฉันได้รับเงินทุนจากตระกูลเหลิ่งแล้ว และข่าวที่เสียๆหายๆของบริษัทอี๋เหม่ยก็ได้ถูกชี้แจงไปแล้ว ตอนนี้ประธานของบริษัทอี๋เหม่ยก็ยังเป็นของพอฉันเจี่ยนฉางรุ่น ฉันในฐานะที่เป็นผู้รักษาการแทน ก่อนที่พ่อของฉันจะฟื้นขึ้นมา ฉันจะทำหน้าที่แทนเขา มีใครสงสัยอะไรไหม?”

เหล่าผู้ถือหุ้นต่างส่ายหน้าไปมาพรางหัวเราะขึ้น:“ประธานเจี่ยน คุณสามารถเอาเงินทุนมาจากตระกูลเหลิ่งได้ พวกเราจะมีข้อสงสัยอะไรอีกล่ะ?”

“ก็ใช่น่ะสิ่ ตระกูลเหลิ่งให้เงินช่วยเหลือมาขนาดนี้ ก็แสดงว่าพวกเราคงพัฒนาได้ดีกว่า คงต้องรบกวนอี๋นั่วแล้วล่ะ”

“นั่นสิ่นะ ที่สุดแล้วก็เป็นประธานเจี่ยน ที่มีความสามารถมากขนาดนี้!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเหล่าผู้ถือหุ้นที่พูดยอเธออยู่ จากนั้นก็ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา เธอยังจำได้ว่าหลังจากที่พ่อของเธอล้มป่วยนั้น ผู้ถือหุ้นพวกนี้ถ้าดึงตระกูลเจี่ยนของเธอลงนรกไม่ได้ ก็จะไม่ยอมรามือ แต่ว่าเธอก็ยังต้องอดทนเอาไว้ เธอจำเป็นจะต้องทำให้สถานการณ์ของบริษัทมั่นคงเสียก่อน แล้วค่อยไล่ผู้ถือหุ้นพวกนี้ออกจากบริษัทไปทีละคน

“ใช่แล้ว ประธานเจี่ยนมีความสามารถที่ดีมาก ที่ในที่สุดก็สามารถมีความสัมพันธ์กับตระกูลเหลิ่งได้" ฉู่หมิงเซวียนนหัวเราะพรางเดินเข้ามาในห้องประชุม:"ฉันจะไปกล้ามีข้อสงสัยได้ยังไง?"

เจี่ยนอี๋นั่วไม่แม้แต่จะมองฉู่หมิงเซวียนแม้แต่น้อย เธอแค่ลุกขึ้นมา พรางหัวเราะและพูดกับเหล่าผู้ถือหุ้นว่า:"ในเมื่อไม่มีข้อสงสัยแล้ว งั้นพวกเราก็แยกย้ายกันได้แล้ว"

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:"เดี๋ยวก่อน ฉันก๋เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทนี้นะ ทำไมมีประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นแล้วไม่รายงานฉัน?"

ครั้งนี้เจี่ยนอี๋นั่วจึงจะหันไปมองฉู่หมิงเซวียน และพูดด้วยเสียงเบาๆว่า:"กฎของการประชุมผู้ถือหุ้น ผู้ถือหุ้นที่ถือหุ้นไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์ ประธานไม่ต้องรายงานให้ผู้ถือหุ้นผู้นั้นทราบ น่าเสียดาย ที่หุ้นของฉู่หมิงเซวียนมีไม่ถึงห้าเปอร์เซ็นต์พอดี"

ฉู๋หมิงเซวียนมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว พรางกัดฟันแล้วหัวเราะออกมา:"คุณหนูเจี่ยน เธอนี่ช่างเก่งจริงๆ ตอนนี้ก็เข้าถึงตระกูลเหลิ่งได้แล้ว ก็คิดที่จะกำจัดฉันหรอ? เธอคิดหรอว่าเหลิ่งเฉิงอวี๋จะคุ้มหัวเธอไปได้ตลอดชีวิต? ที่เธอขายตัวเพื่อเอาเงินทุนกลับมาได้ ฉันอยากจะรู้จริงๆเลยว่าถ้าพ่อของเธอฟื้นขึ้นมา จะรู้สึกภูมิใจ หรือว่าอับอายขายหน้ากันแน่?"

เจี่ยนอี๋นั่วมองดูฉู่หมิงเซวียน จากนั้นจึงหรี่ตาและหัวเราะขึ้น:“ฉันเคยคบกับนายนั้น เป็นเรื่องที่ทำให้พ่อของฉันรู้สึกอับอายมากที่สุด ฉันไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องอื่นที่มันน่าอับอายมากไปกว่านี้แล้ว แล้วอย่าเที่ยวไปป่าวประกาศเรื่องของฉันกับคุณเหลิ่งอีก ฉันคิดว่าข่าวน่าอายแบบนี้ ตระกูลเหลิ่งคงรับรู้ได้ไม่ยาก”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของเธอก็แฝงไปด้วยรอยยิ้มบางๆ เธอไม่ได้โกหกแต่อย่างใด ถ้าหากเขาน่าอับอายของเธอกับเหลิ่งเฉิงอวี๋ถูกเผยแพร่ต่อไป มันจะทำให้ตระกูลเหลิ่งนั้นโกรธขึ้นมาได้ ในเมื่อตอนนี้เหลิ่งเฉิงอวี๋ก็ถือได้ว่าเป็นอารองของเธอ ที่เจี่ยนอี๋นั่วเตือนฉู่หมิงเซวียนไม่ใช่เพื่อที่จะปกป้องชีวิตของเค้า แต่เธอเองก็ไม่ชอบที่จะทำให้คนอื่นยิ่งรู้สึกรังเกียจเธอในเรื่องข่าวฉาวพวกนี้มากขึ้นไปอีก

“เอาล่ะ ไม่ต้องเถียงกันแล้ว ทุกคนก็เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทกันทั้งนั้น ต้องสามัคคีกันไว้สิเถียงกันไปมาให้พนักงานเห็นมันก็ไม่ดีนะ อี๋นั่วเธอก็ควรจะใจกว้างบ้างสิ่ เธอน่ะเป็นผู้หญิงนะ อวดเก่งและบ้าอำนาจแบบนี้ก็ไม่ดีต่อชื่อเสียงของเธอเท่าไหร่ เอาละพวกเธอคืนดีกันได้แล้ว เมื่อก่อนความสัมพันธ์ของพวกเธอก็ออกจะดี ตอนนี้ทะเลาะกันอย่างกับอะไรดี“ ทันใดนั้นก็มีเสียงหัวเราะและบอกให้คืนดีกันดังขึ้นมาจากพวกผู้ถือหุ้น

เจี่ยนอี๋นั่วมองดูพวกผู้ถือหุ้นแวบหนึ่ง เธอรู้ว่าเขาและฉู่หมิงเซวียนนั้นสนิทสนมกันมาโดยตลอด ตอนนี้ที่เขาบอกให้คืนดีกัน ก็เพื่อที่จะไม่ให้ฉู่หมิงเซวียนนั้นรู้สึกอับอาย ถ้าหากเขานั้นอยากที่จะคืนดีกันจริงๆ ทำไมเมื่อกี้ที่เจี่ยนอี๋นั่วดูถูกฉู่หมิงเซวียน เขาไม่ออกมาพูดอะไรหน่อยล่ะ?ดันออกมาพูดตอนที่ฉู่หมิงเซวียนถูกเจี่ยนอี๋นั่วเตือนซะงั้น?

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะขึ้น และใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวาน พูดขึ้นอย่างหนักแน่นว่า:“ฉันกับฉู่หมิงเซวียนไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้ตลอดไป ฉันจะไม่มีวันที่จะใจกว้างกับฉู่หมิงเซวียน จากวันนี้เป็นต้นไป มีฉันก็ต้องไม่มีเขา!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ผู้คนที่อยู่รอบๆก็สงบลง ทุกคนรู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเคยคบหากับฉู่หมิงเซวียนมาก่อน เธอเกลียดฉู่หมิงเซวียนขนาดนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เจี่ยนอี๋นั่วกวางสายตาไปที่ผู้คนรอบๆ จึงจะเดินออกจากห้องประชุม เมื่อเดินออกจากห้องประชุมได้ไม่นาน โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก้มมองเบอร์โทรศัพท์ที่แสดงขึ้นบนหน้าจอ นี่มันเบอร์คนแปลกหน้านิ่

เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงจะรับโทรศัพท์ เมื่อรับโทรศัพท์แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงของคุณนายเหลิ่งผ่านสาย:“อี๋นั่ว ที่ฉันโทรหาเธอ ฉันแค่อยากจะบอกเธอว่า อย่าตากฝนเหมือนเมื่อวานอีก เด็กในท้องของเธอน่ะไม่เหมือนกับเด็กอื่นๆ เขาค่อนข้างจะอ่อนแอ ต้องการการดูแลจากเธอเป็นพิเศษ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินไปตรงมุมตึก และพูดเสียงเบาๆว่า:“ท่านวางใจเถอะค่ะ ฉันจะดูแลลูกเป็นอย่างดี จะไม่เกิดเรื่องแบบเมื่อวานขึ้นอีกแน่นอน ท่านสบายใจได้ค่ะ ฉันจะทะนุถนอมเด็กคนเหมือนกัน……”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดอยู่นั้น เธอก็ยกมึกขึ้นมาลูบไปที่ท้องของเธอเบาๆ พรางหัวเราะและพูดขึ้นว่า:“เขาไม่เพียงแต่จะเป็นลูกของตระกูลเหลิ่ง เขายังเป็นลูกคนแรกของฉันอีกด้วย”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะขึ้น:“อย่างนั้นก็ดี ฉันนี่ก็เป็นคนแก่แล้วจริงๆ อดไม่ได้ที่จะบ่นจู้จี้จุกจิก เมื่อก่อนฉันเห็นว่าคนแก่คนอื่นๆก็มักจะกวนพวกเด็กอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรืองแต่งงาน การงานหรือว่าเรื่องตั้งท้อง ก็ต้องเข้าไปยุ่งอยู่เสมอ เธออย่าเพิ่งเกลียดคนแก่ๆอย่างฉันเลยนะ”

คุณนายเหลิ่งนั้นก็มีความสามารถแบบนี้ ถึงแม้ว่าจะเข้ามาก้าวก่ายเรื่องต่างๆในชีวิตของเธอ แต่กลับไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกรำคาญ เจี่ยนอี๋นั่วเม้มมุมปาก พรางหัวเราะขึ้น:“จะเกลียดได้ยังไงล่ะคะ?วางใจเถอะค่ะ ฉันจะพยายามดูแลลูกให้ดีที่สุด”

“ตัวของเธอเองก็ด้วย ต้องดูแลให้ดี เอาล่ะ เธอทำธุระของเธอต่อเถอะ ฉันไม่รบกวนเธอแล้วล่ะ” เมื่อคุณนายเหลิ่งพูดจบ จึงจะวางสายไป

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มบางๆพรางเก็บโทรศัพท์ เก็บโทรศัพท์ได้ไม่นาน เธอก็ได้ยินเสียงที่เย้นชาของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ:“ที่แท้เธอก็มีลูกกับผู้ชายของตระกูลเหลิ่ง?ตอนนี้ตระกูลเหลิ่งมีผู้ชายอยู่สามคน คนนึงก็ไม่รู้ว่าไปเสเพลอยู่ตรงมุมไหนของโลก คนนึงก็กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ส่วนอีกคนก็เหลิ่งเฉิงอวี๋ เํธอท้องลูกคนเหลิ่งเฉิงอวี๋?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังไปมองฉู่หมิงเซวียนที่อยู่ด้านหลังของเธอ ตอนนี้ข่าวที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นขึ้นมาแล้วนั้น มีเพียงแค่คนในตระกูลเหลิ่งไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ และยังไม่ได้เปิดเผยออกไป ในแวดวงคนรวยก็คงมีคนมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ อย่างฉู่หมิงเซวียนที่เดิมที่ก็เข้าไม่ถึงคนของตระกูลเหลิ่งอยู่แล้วนั้น ก็คงจะตามไม่ทันเป็นธรรมดา เขาไม่มีทางคาดเดาถึงเหลิ่งเซ่าถิงได้อยู่แล้ว และฉู่หมิงเซวียนก็รู้ดีว่าเจี่ยนอี๋นั่วนั้นเป็นคนเย่อหยิ่งมาก คงไม่มีทางที่จะมีลูกให้คนที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราได้อย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองฉู่หมิงเซวียน และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“ฉันรู้ว่านายเป็นคนไร้ยางอาย แต่ฉันคิดไม่ถึงว่ามรรยาทขั้นพื้นฐานของนายก็ไม่มี มาแอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์ ฉู่หมิงเซวียน นายนี่มันไร้ยางอายหน้าด้านที่สุด”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ จากนั้นจึงเดินผ่านฉู่หมิงเววียนไป ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือไปดึงข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ในทันที ใบหน้าของเขาบูดเบี้ยวจนดูน่าเกลียด เขากัดฟันและพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ฉันถามเธอว่า เธอท้องลูกของเหลิ่งเฉิงอวี๋ใช่ไหม?”

“ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาย!ปล่อยฉันนะ!”เจี่ยนอี๋นั่วขึ้นเสียง

ดวงตาของฉู่หมิงเซวียนแดงก่ำ เขาถลึงตาใส่เจี่ยนอี๋นั่ว และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“เจี่ยนอี๋นั่ว!เธอรู้ตัวไหมว่ากำลังทำอะไรอยู่?เธอเป็นผู้หญิงที่เย่อหยิ่งมากขนาดไหน แต่ตอนนี้เธอขายตัว!ทำไมเธอถึงเปลี่ยนไปแบบนี้?”

“เพี๊ยะ!”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือของฉู่หมิงเซวียนออก และตบฉู่หมิงเซวียนอย่างแรง และชี้หน้าฉู่หมิงเซวียนและพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า:“ฉู่หมิงเซวียน นายไม่มีสิทธิ์มาตำหนิฉัน!ตอนที่นายเริ่มให้ร้ายตระกูลเหลิ่ง แล้วก็อยู่กับเฉิงซานซาน นายก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉันอีก ฉันจะเป็นยังไง ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนายสักนิด !แต่เพื่อไม่ให้นายพูดอะไรแย่ๆแบบนี้อีก ฉันจะบอกให้ก็ได้ ฉันกับเหลิ่งเฉิงอวี๋ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรแบบที่นายคิด เด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกของเขา!”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินไปที่ลิฟต์ทันที เธอกดเปิดลิฟต์ จากนั้นก็เดินเข้าไปในลิฟต์ทันที ภายในลิฟต์ไม่มีใครอยู่ เจี่ยนอี๋นั่วมองดูลิฟต์ที่ค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

แต่ทว่าประตูลิฟต์ยังทันจะปิดสนิท ก็มีมือคู่หนึ่งมาขวางประตูเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนนั่นเองที่เอามือมาง้างประตูลิฟต์ออก และแทรกตัวเข้าไปข้างใน และพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วด้วยเสียงทุ้มว่า:“ถ้าอย่างนั้นเด็กคนนี้เป็นของใคร?ถ้าไม่ใช่ของเหลิ่งเฉิงอวี๋แล้วจะเป็นของใคร?ใครจะดีพอที่จะให้เธอมีลูกให้กับเขา?จริงๆแล้วเะอมีผู้ชายคนอื่นมาตั้งนานแล้วใช่ไหม?ไม่อย่างนั้นเวลาสั้นๆขนาดนี้ เธอก็มีลูกกับผู้ชายคนอื่นได้ยังไง?ตอนที่เธออยู่กับฉัน…..ฉันรอนานมาก ถึงจะได้จูบจากเธอ……แต่ผู้ชายคนนั้นเพียงแค่ใช้เวลาไม่นานก็ได้เธอไป?”

เจี่ยนอี๋นั่วถอยหลบไปตรงมุมของลิฟต์ ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกโกรธมากๆ เธอไม่เข้าใจเลยทั้งๆที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นคนหักหลังเธอแท้ๆ ทำร้ายเธอจนเธอต้องขายเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเอง แล้วทำไมท่าทีของฉู่หมิงเซวียนในตอนนี้ ดูเหมือนว่าเธอเป็นคนหักหลังฉู่หมิงเซวียนล่ะ?แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากที่จะทะเลาะกันตอนที่เธออยู่กับฉู่หมิงเซวียนตามลำพัง มันไม่ดีกับตัวเธอเอามากๆ แถมในท้องของเธอก็มีทารกที่อ่อนแออยู่อีกด้วย

“ตอนนี้นายก็มีเฉิงซานซานอยู่แล้ว เธอมีลูกให้นาย นายก็ควรจะเอาใจใส่เธอ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นด้วยเสียงที่สุขุม เธอเงยหน้ามองแผงหน้าจอของลิฟต์ที่แสดงชั้นต่างๆ เมื่อเห็นว่าลิฟต์เริ่มลงไปชั้นล่าง เจี่ยนอี๋นั่วก็โล่งใจได้ในที่สุด

ราวกับว่าฉู่หมิงเซวียนนั้นไม่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วเลยแม้แต่น้อย เขาจ้องมองท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว ตาแดงก่ำ พรางพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มว่า:“เธอ……ตอนนี้ในท้องของเธอ

เป็นลูกของเธอกับผู้ชายคนนั้นหรอ?ผู้ชายคนที่ได้ตัวเธอไป?ในเมื่อเธอยอมที่จะมีลูกกับผู้ชายที่เธอก็ไม่ได้รู้จักคุ้นเคยได้?แล้วทำไมในตอนนั้นเธอถึงไม่ยอมให้ฉันนอนกับเธอ?ทำไมเธอไม่ยอมให้ฉันกับเธอใกล้ชิดกันมากขึ้น?จริงๆแล้วเธอไม่เคยเห็นค่าฉันเลยไช่ไหมล่ะ?ก็เหมือนกับพ่อของเธอนั่นแหละ”

ทำไมถึงไม่อยากใกล้ชิดกับฉู่หมิงเซวียนมากขึ้นนน่ะหรอ?ก็เพราะเธออยากที่จะเก็บมันเอาไว้ในคืนวันแต่งงานน่ะสิ่

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาปี๋ จากนั้นก็ลืมตามองตัวเลขของชั้นต่างๆที่เปลี่ยนไปอย่างช้าๆ พรางเม้มปาก และกำกระเป๋าในมือไว้แน่น

ฉู่หมิงเซวียนจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอกำลังเครียดอยู่หรอ?กลัวฉันหรอ?ตอนแรกเธอเหมือนแมวน้อยที่ขดตัวอยู่ในอ้อมกอดของฉัน ตอนหน้าคนอื่นเธอนั้นเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญ อยู่ต่อหน้าฉันเธอก็เหมือนแมวน้อยที่ขี้โมโห ถึงแม้บางครั้งจะเอาแต่ใจ กวนโมโห

แต่เมือนึกถึงตอนที่เธอเอาแต่ใจและหงุดหงิด ก็เป็นของฉันทั้งหมด ที่คนอื่นเห็นก็มีแค่ความแข็งแกร่งและเย็นชาของเธอ ฉันรู้สึกว่าอารมณ์ที่เอาแต่ใจและก็ความหงุดหงิดพวกนั้นเป็นสิ่งที่เธอมอบให้!แต่ตอนนี้เธอกลับยอมมีลูกกับคนอื่น!”

ฉู่หมิงเซวียนรีบเดินเข้าไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว:“เธอจะชดใช้ฉันได้หรอ?”

“จริงๆแล้วนายรักฉัน?ถึงแม้ว่านายจะแก้แค้นพ่อของฉัน แต่นายรักฉัน?”เจี่ยนอี๋นั่วมองดูชั้นที่ค่อยๆเลื่อนลง เพื่อมไม่ให้ฉู่หมิงเซวียนเข้าใกล้เธอ เธอจึงทำได้เพียงพูดรบกวนเขา

ฉู่หมิงเซวียนที่ได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที และพูดขึ้นด้วยเสียงที่เย็นชาว่า:“เธอกำลังพูดอะไรอยู่?”

เจี่ยนอี๋นั่วที่เห็นฉู่หมิงเซวียนถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก็ค่อยโล่งใจหน่อย พรางพูดขึ้นเบาๆว่า:“ฉันพูดว่า ถึงแม้ว่านายจะพยายามล้างแค่ฉันและพ่อ จริงๆแล้วนายก็ชอบฉัน นายอยู่กับเฉิงซานซาน เป็นเพระานายไม่เชื่อมั้นในตัวเองมากพอ นายคิดว่านายไม่คู่ควรกับฉัน!นายไม่เคยมั้นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะมีฉันได้!”

ปากของฉู่หมิงเซวียนสั่นระริก ใบหน้านั้นซีดเผือด เขายกมุมปากขึ้น และแสยะยิ้มอย่างน่ากลัว:“ฉันรักเธอ?ฉันคิดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับเธอ?เธอล้อเล่นอะไรอยู่น่ะ?พ่อของเธอใส่ร้ายพ่อของฉัน!พวกเราคือคู่แค้น!และฉันก็เป็นคนทิ้งเธอ?ตอนที่เธอเห็นฉันกับเฉิงซานซานอยู่บนเตียง ไม่ว่าเกือบจะร้องไห้ออกมาแล้วหรอกหรอ?ท่าทางที่น่าอับอายของเธอ อยากให้ฉันพูดให้ฟังไหมล่ะ?”

จริงๆแล้วเจี่ยนอี๋นั่วไม่สนเลยด้วยซ้ำว่าฉู่หมิงเซวียนจะมีความรู้สึกยังไงต่อเธอ ที่เธอพูดออกไปแบบนี้ เพียงแค่อยากเบี่ยงเบนความสนใจของฉู่หมิงเซวียนก็เท่านั้น แต่ตอนนี้เธอที่ได้ฟังฉู่หมิงเซวียนพูดถึงเรื่องในอดีต ก็อดไม่ได้ที่จะยกมุมปาก และหัวเราะออกมา:“ตอนนั้นฉันโง่เอง”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็มองไปที่ลิฟต์ที่ได้ถึงชั้นหนึ่งแล้ว ประตูลิฟต์ก็ค่อยๆเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบผลักฉู่หมิงเซวียนออกและเดินออกไป ฉู่หมิงเซวียนก็รีบเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไป และดึงเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้ พรางพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชาว่า:“เธอยังไม่ได้บอกเลยว่าเด็กในท้องของเธอคือลูกของใคร!เธอต้องบอกฉัน!”

ฉู่หมิงเซวียนจับข้อมือของเจี่ยนอี๋นั่วเอาไว้แน่น ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว และพูดด้วยเสียงทุ้มว่า:“นายปล่อมมือฉันเดี่ยวนี้นะ!”

“ฉันไม่ปล่อย!”ฉู่หมิงเซวียนพูดขึ้นด้วยความโมโห

“ฉันแนะนำให้นายปล่อยมือเธอจะดีกว่านะ!”จู่ๆเสียงแหบพร่าของชายหนุ่มคนหนึ่งดังขึ้น:“ไม่อย่างนั้นถ้าเธอโมโหขึ้นมา คงจะใช้เสปร์ยกันแดด พ่นใส่ตาของนายแน่”

เจี่ยนอี๋นั่วมองไปตามเสียงพูด เห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังพิงกำแพงและเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “ไม่เจอกันนานเลยนะ คิดถึงฉันไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างเล็กน้อย เธอคิดว่าเหลิ่งหมิงอันบ้าไปแล้วเหรอ? หรือเขาไม่รู้สถานะเธอในตอนนี้ ไม่ว่าความสัมพันธ์ของเจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นความสัมพันธ์แบบสัญญา หรือเป็นคนรักกันจริงๆ ตอนนี้เธอก็เป็นพี่สะใภ้ของเหลิ่งหมิงอันไม่ใช่เหรอ? ผลที่ตามมาคือตอนนี้ไม่คิดว่าเหลิ่งหมิงอันจะกล้ามาหาเธอที่บริษัทจริงๆ? แถมยังพูดจาไร้สาระอีก เหลิ่งหมิงอันไม่รู้เหรอว่าหลักจริยธรรมคืออะไร?

“นายเป็นใคร?” ฉู่หมิงเซวียนมองเหลิ่งหมิงอันแล้วถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินไป ยกมือขึ้นวางบนไหล่เจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันคือผู้พิทักษ์ของอี๋นั่วในตอนนี้ อ่อ ฉันถือเป็นคนในครอบครัวอี๋นั่วมั้ง? ความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา”

เหลิ่งหมิงอันที่ปรากฏตัวขึ้นฉับพลันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเวียนศีรษะนิดหน่อย เธอกัดฟันเบาๆ เธอขมวดคิ้วมองฉู่หมิงเซวียน ในใจด่าหนึ่งประโยค: ไอ้ห่วย!

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หันไปมองเหลิ่งหมิงอัน ในใจด่าหนึ่งประโยค: ไอ้บ้า!

และในตอนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงเหลิ่งเซ่าถิง สถานการณ์วุ่นวายเมื่อคืน เพราะเหลิ่งเซ่าถิงอยู่เคียงข้างเธอ เธอจึงเผชิญมันได้อย่างสงบ ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะเย็นชาปากร้าย แต่เขาก็เป็นคนเชื่อถือได้จริงๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่ทำให้สถานการณ์วุ่นวายมากขึ้น

แต่ฉู่หมิงเซวียนไอ้ห่วยคนนี้ไม่ต้องการให้เธอมีชีวิตที่สงบสุขอย่างเห็นได้ชัด และเหลิ่งหมิงอันคนที่กลัวโลกจะไม่วุ่นวาย! มีพวกเขาสองคนอยู่ที่นี่ ไม่ว่าสถานการณ์อะไรก็กลายเป็นเละเทะ!

เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงตรงนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เธอไม่คิดว่าจะนึกถึงเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ? เหลิ่งเซ่าถิงที่เอาแต่เยาะเย้ยเหยียดหยามเธอ เหยียบความนับถือตนของเธอไว้ใต้เท้าน่ะนะ? เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเธอกลายเป็นผู้ป่วยมาโซคิสม์แล้ว

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังตกตะลึง ฉู่หมิงเซวียนก็จ้องมือเหลิ่งหมิงอันที่วางบนไหล่เจี่ยนอี๋นั่วตลอดเวลา

“เอามือนายออกไป” ฉู่หมิงเซวียนพูดอย่างเย็นชา

เหลิ่งหมิงอันยกมุมปากยิ้มขึ้น “ทำไมต้องเอาออก? นายเป็นอะไรกับเธอ? แต่ไม่ว่านายจะเป็นอะไรกับเจี่ยนอี๋นั่ว ก็ไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเหมือนฉันกับเธอแน่ๆ ……”

เหลิ่งหมิงอันยังพูดไม่จบ หมัดฉู่หมิงเซวียนก็เหวี่ยงออกไปยังเหลิ่งหมิงอันอย่างแรง แต่มือเหลิ่งหมิงอันยกขึ้นมาจับข้อมือฉู่หมิงเซวียนเอาไว้ ฉู่หมิงเซวียนถือว่าเป็นผู้ชายที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แต่ตอนที่ข้อมือเขาโดนเหลิ่งหมิงอันจับเอาไว้ ก็รู้สึกไม่มีแรงจะดิ้นหลุดเลยสักนิด

เหลิ่งหมิงอันออกแรงจับข้อมือฉู่หมิงเซวียน แล้วพูดอย่างเย็นชา “วิธีการของนาย อยากทะเลาะกับคนอื่น? ประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า?”

ขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูด ก็หันไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าเธอบอกว่าเขาเคยเป็นแฟนเธอ ฉันคงต้องประเมินเสน่ห์ของเธอใหม่แล้วล่ะ ไม่คิดว่าเธอเคยมีแฟนที่แย่แบบนี้ ถ้าฉันชอบเธอต่อ ไม่ใช่ว่ายังต้องคุยกับเขาเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็เห็นยืนอยู่มุมกำแพงหน้าซีด เธอกัดปากที่ไร้สีเลือด กลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ เหลิ่งหมิงอันหุบยิ้มทันที ผลักฉู่หมิงเซวียน แล้วเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ถามเสียงทุ้มต่ำ “เธอเป็นอะไร?”

เป็นอะไร? ปวดท้องมาก!

ปวดจนเจี่ยนอี๋นั่วพูดไม่ออก เทียบกับความเจ็บปวดแล้ว สิ่งที่ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแย่คือความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว เด็กที่เธอยังไม่คุ้นเคย ใช้ความเจ็บปวดนี้ใส่แม่อย่างเธอ ประกาศการมีอยู่ของตน! และความล้มเหลวในการทำหน้าที่ของเธอ!

“ฉันปวดมาก ช่วยฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ตอนนี้มีแค่เหลิ่งหมิงอันและฉู่หมิงเซวียน ถ้าให้เลือกใครสักคนเพื่อช่วยเหลือ เธอยอมเลือกเหลิ่งหมิงอันดีกว่า

เหลิ่งหมิงอันรีบเดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว อุ้มเจี่ยนอี๋นั่วขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วพยายามกลั้นความรู้สึกไม่เหมาะสมที่ถูกผู้ชายอุ้มขึ้นมา ไม่ได้ดิ้นรน แค่จับคอเสื้อของเหลิ่งหมิงอันเอาไว้แล้วกำชับเสียงทุ้ม “เดินไปด้านหลัง คนขับรถของฉันจอดรถไว้ลานจอดรถด้านหน้า ละแวกนี้มีโรงพยาบาลสตรีและเด็กอยู่ ไปที่นั่น! ห้ามบอกใครตอนนี้ รบกวนคุณด้วย!”

ตอนนี้สมองเจี่ยนอี๋นั่วสับสนยุ่งเหยิงไปหมด เมื่อครู่นี้เผชิญกับฉู่หมิงเซวียนรู้สึกตกใจกลัว และโกรธหงุดหงิดเมื่อเห็นเหลิ่งหมิงอันปรากฏตัวขึ้น นอกจากนี้ยังมีการโทษตัวเองและความตื่นตระหนก อาการปวดท้องที่ทำให้เธอตื่นตระหนก ตอนนี้เธอไม่สามารถคิดถึงเรื่องต่างๆ ได้มากเกินไป ตอนนี้สิ่งเดียวที่คิดออกคือพยายามซ่อนตัวจากคนอื่นๆ แล้วรีบไปโรงพยาบาล!

“เงียบซะ! รู้สึกแย่ก็อย่าพูดซี้ซั้ว! ฉันจัดการเรื่องพวกนี้เอง!” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วพูดขึ้นเสียงทุ้มจบ ก็อุ้มเจี่ยนอี๋นั่วหันหลังเดินออกไปจากโรงพยาบาลทันที

ฉู่หมิงเซวียนเห็นแผ่นหลังเหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่ว สองมือก็กำหมัดช้าๆ หัวเราะเสียงทุ้มแล้วพูดขึ้น “เจี่ยนอี๋นั่ว นี่เธอเหน็บแนมฉันเหรอ? ไม่คิดว่าเธอจะเอาผู้ชายแบบนี้มาให้ฉันเห็น รักเธอเหรอ? น่าขำ? ฉันจะรักลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่นได้ยังไง? น่าขำ!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดถึงตรงนี้ หมัดเขาก็ยิ่งกำแน่นขึ้น เหมือนกำลังจับบางสิ่งบางอย่างที่เขาไม่สามารถควบคุมได้

เหลิ่งหมิงอันอุ้มเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากประตูหลังบริษัท รีบไปที่โรงพยาบาลสตรีและเด็กที่เจี่ยนอี๋นั่วบอก หลังจากถึงโรงพยาบาลแล้ว เหลิ่งหมิงอันก็วางเจี่ยนอี๋นั่วบนเตียงฉุกเฉิน เดิมทีอยากไปห้องฉุกเฉินกับเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เมื่อมาถึงประตูก็ถูกคุณหมอกั้นเอาไว้ “สวัสดีครับ คุณเป็นญาติคนไข้ใช่ไหม?”

“ผม……” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียงทุ้ม “ผมเป็นเพื่อนเธอ”

คุณหมอเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน แล้วพูดเสียงทุ้ม “ถ้าคุณเป็นเพื่อนเธอ ก็ไม่มีสิทธิเข้าไปนะครับ”

พูดจบ คุณหมอก็ปิดประตูห้องฉุกเฉิน เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองห้องฉุกเฉินที่ปิดสนิท กลับไปนั่งที่เก้าอี้ยาว เขารู้สึกถึงความเหนียวเหนอะหนะ ก้มหน้ามองไปก็เห็นคราบเลือดสีแดงเข้มที่มือ เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วอย่างช้าๆ นี่เจี่ยนอี๋นั่วเลือดไหลเหรอ? ลูกเธอรอดไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ชอบห้องผ่าตัด ขณะที่นอนบนเตียงผ่าตัด จ้องมองไปที่แสงสว่างก็ขมวดคิ้ว “คุณหมอ ลูกของฉัน……”

“กี่เดือนแล้ว?” คุณหมอถามเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงเล็กน้อย “น่าจะแค่ไม่กี่วัน ฉันตั้งครรภ์แบบผสมเทียมน่ะค่ะ”

“รู้ว่าตัวเองตั้งครรภ์แบบผสมเทียมก็ยังไม่ระวังเหรอ? เดิมทีการตั้งครรภ์แบบผสมเทียมจะแท้งง่ายกว่าแบบธรรมชาติอยู่แล้ว กว่าจะมีลูกได้ ทำไมยังประมาทอีก? โชคดีที่ไม่มีปัญหาใหญ่ แต่ตอนนี้เลือดตกมากและปวดท้อง ถึงตอนนี้จะไม่มีปัญหา แต่อนาคตก็อาจจะรักษาไว้ยากมาก” คุณหมอตรวจร่างกายเจี่ยนอี๋นั่วเสร็จแล้ว ก็ถอดหน้ากากอนามัยออก

“รักษาไว้ไม่ได้เหรอคะ?” เจี่ยนอี๋นั่วเอามือวางท้องน้อยตัวเอง พยาบาลพยุงให้ค่อยๆ นั่งขึ้นมา เธอถามอย่างตื่นตระหนก “ถ้าต่อไปฉันไม่ทำอะไรเลย แค่นอนบนเตียงล่ะคะ? ฉันจะไม่เดินไปไหนอีกแล้ว พยายามพูดให้เบาที่สุด เด็กคนนี้ยังจะรอดไหมคะ?”

“เฮ้อ……จะพูดยังไงกับพวกเธอดีนะ? เป็นแม่ตั้งแต่ยังอายุน้อย ยังเป็นเด็กอยู่เลย? จะรู้จักปกป้องลูกได้ยังไง?”

คุณหมอส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น “ทารกในการตั้งครรภ์แบบผสมเทียมนี้จะพัฒนายากกว่าทารกในครรภ์ปกติ ทำไมไม่ระวังให้มากๆ? ต่อไปต้องระวังความมั่นคงทางอารมณ์ ห้ามโมโห ห้ามวิ่ง ตอนนี้เธอเป็นแม่แล้ว ไม่ใช่คนธรรมดา เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ในการเป็นแม่ คือเธอสามารถเสียสละเพื่อลูกได้ แต่ในฐานะคุณหมอ ฉันโอเคที่เธอจะเสียลูกไป เธอยังสาว ยังสามารถลองวิธีอื่นในการมีลูกได้อีก บางทีเด็กอาจจะแข็งแรงกว่าเดิมก็ได้นะ? ถ้าเธอเป็นแบบนี้ต่อไป รอครบเดือนแล้วเกิดปัญหาขึ้นอีก มันจะสร้างความเสียหายอย่างมากต่อร่างกายเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วผลุบตาลง ส่ายหน้า “ไม่ ฉันจะไม่ทิ้งเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากทิ้งเด็กคนนี้ ตอนนี้ไม่ได้สนใจผลประโยชน์เลย เธอรู้สึกได้ถึงการเชื่อมโยงของเด็กคนนี้กับเธอ เธออาจจะไม่ได้เป็นแม่ที่ดี แต่ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปเธอเริ่มอยากเป็นแม่ที่ดี

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่ามีผู้หญิงคนไหนไหมที่เริ่มเป็นแม่สมบูรณ์แบบตั้งแต่ตั้งครรภ์เลย เธอรู้ว่าเธอยังไม่มีความรอบคอบมากพอ แต่จะให้เธอทิ้งเด็กคนนี้ เธอทำไม่ได้จริงๆ เธอเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้ เริ่มเป็นแม่ก่อนทุกสิ่งอย่าง

เจี่ยนอี๋นั่วกัดปากเบาๆ พูดเสียงทุ้ม “ฉันเลือดออก ฉันไม่ได้แท้ง หมายความว่าเด็กคนนี้ยังสามารถพัฒนาได้ และอาจจะเก็บไว้ได้ ไม่ใช่เหรอคะ? เขายังต้องการให้ฉันเป็นแม่เขาต่อ เขามีพลังชีวิตที่แข็งแกร่งมาก ฉันจะทิ้งเขาไปได้ยังไง? ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาเด็กคนนี้เอาไว้”

คุณหมอหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถอนหายใจเบาๆ “งั้นก็ได้ ฉันจะให้พยาบาลเขียนบันทึกข้อควรระวังให้เธอ คุณกลับไปอ่าน จากนั้นก็ทำการตรวจสุขภาพตามปกติ”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า เอามือลูบท้องเบาๆ แล้วพยักหน้า “ฉันจะจำไว้ และฉันจะทำตามทุกอย่างอย่างแน่นอนค่ะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วนั่งรถเข็นแล้วถูกเข็นออกมานอกห้องฉุกเฉิน เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังนั่งเก้าอี้ยาว ใบหน้าเหลิ่งหมิงอันไม่มีรอยยิ้มชั่วร้ายเหยียดหยาม เขาขมวดคิ้วจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เดินมาหาเจี่ยนอี๋นั่วทันที แล้วถามขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “เธอ……ลูกของเธอ……”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันอย่างเย็นชา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาคนขับรถของเธอ “ฮัลโหล ฉันอยู่โรงพยาบาลสตรีและเด็กแถวบ้านนาย นายมารับฉันหน่อย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็วางสายไป มองเหลิ่งหมิงอันแล้วพูดเสียงทุ้ม “ถ้านายอยากให้คนขับรถมาเห็นฉันอยู่กับนาย นายก็อยู่ที่นี่ต่อไป แล้วก็ไปอธิบายให้กับคุณนายเหลิ่งฟัง”

เจี่ยนอี๋นั่วพยายามรักษาอารมณ์ให้คงที่เพื่อประโยชน์ของทารกในครรภ์ ในขณะที่อดไม่ได้ที่จะบ่นใส่เหลิ่งหมิงอัน ถึงเธอจะไม่ใช่แม่ที่ดี ดูแลทารกในท้องได้ไม่ดี แต่เหลิ่งหมิงอันผู้ชายคนนี้ก็ไม่สามารถหลีกหนีความรับผิดชอบได้ ผู้ชายคนนี้ทำให้เธอหงุดหงิดครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลต่ออารมณ์ของเธอ

“เด็กเป็นยังไงบ้าง?” เหลิ่งหมิงอันน้อยครั้งที่จะขมวดคิ้วอย่างจริงจังแล้วถามขึ้นด้วยเสียงทุ้ม

เจี่ยนอี๋นั่วกลอกตาใส่เหลิ่งหมิงอัน เบนหน้าหนีไปอีกทาง “เกี่ยวอะไรกับนาย?”

“ถ้าพี่ใหญ่ฉันไม่มีเด็ก ก็ไม่ต้องการเธอแล้ว ฉันต้องการเธอ!” จู่ๆ เหลิ่งหมิงอันก็พูดขึ้นมา

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันพูด ก็หันไปหาเหลิ่งหมิงอัน เธอระงับความโกรธของตัวเอง แล้วพูดเสียงทุ้ม “นายกำลังพูดอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันจับมือเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้มต่ำอย่างจริงจัง “ฉันยินดีที่จะรับผิดชอบเธอ!”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งหมิงอัน อยากจะด่าเหลิ่งหมิงอันเสียงดัง “นายมันบ้านายมันป่วย!”

แต่ตอนนี้นึกถึงเด็กในท้อง เจี่ยนอี๋นั่วลูบท้องเบาๆ แล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอันเสียงทุ้ม “คุณเหลิ่งหมิงอัน แผนกจิตเวชอยู่ชั้นสอง ฉันแนะนำให้นายไปดูสักหน่อย ความเย่อหยิ่งและหลงตัวเองก็เป็นโรคชนิดหนึ่ง ในฐานะพี่สะใภ้ของนาย ฉันเป็นห่วงนายมากจริงๆ นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ ลูกของฉัน ฉันจะดูแลเป็นอย่างดี และจะตั้งใจเลี้ยงดูเด็กให้เติบโตกับพี่ใหญ่ของนาย”

“เด็กไม่เป็นอะไรเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “แต่ในละครแค่เลือดตกก็ต้องแท้งแน่”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เผยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เขาพึมพำเสียงทุ้ม “เธอยังมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงในท้องอยู่? งั้นฉันก็ไม่มีทางรับผิดชอบเธอแล้วสิ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างแรง หันไปทางเหลิ่งหมิงอัน “ก่อนที่คนขับรถจะมา นายหายไปจะดีกว่านะ อย่าให้คุณนายเหลิ่งเห็นเราอยู่ในโรงพยาบาลด้วยกันเลย?”

เหลิ่งหมิงอันถอนหายใจ เผยรอยยิ้มเย่อหยิ่งอีกครั้ง “ฉันกลัวอะไร? เธอเป็นคนดึงเสื้อผ้าฉันไม่ปล่อย ให้ฉันมาส่งเธอที่โรงพยาบาลนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น มองเหลิ่งหมิงอัน “นายมาก่อกวนฉันที่บริษัทก่อน”

เหลิ่งหมิงอันหรี่ตา ถอยหลังไม่กี่ก้าวแล้วพยักหน้า “อ่า พูดถูก ฉันเกือบลืม งั้นฉันไปก่อนนะ ถ้าวันไหนพี่ใหญ่ไม่ต้องการเธอแล้ว ฉันยินยอมต้องการเธอจริงๆ เอาล่ะ เรื่องที่ฉันมาส่งเธอที่โรงพยาบาล ถือเป็นความลับระหว่างเราสองคนแล้วกัน ลาก่อน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆ หัวเราะเสียงทุ้มให้เหลิ่งหมิงอันแล้วพูดขึ้น “ลาก่อน”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพยักหน้า หันหลังเดินไป เจี่ยนอี๋นั่วมองแผ่นหลังเหลิ่งหมิงอัน หายใจเข้าลึกๆ เขาดูเป็นคุณชายเสเพล เหมือนไม่สนใจทุกเรื่องของตระกูลเหลิ่ง แต่เธอเข้าตระกูลเหลิ่งมาไม่กี่วัน ก็พบว่าไม่มีคนไหนในตระกูลเหลิ่งที่เรียบง่าย คนที่อันดับต่ำสุดอย่างสุยเฉิงจิ้งก็แสดงออกอย่างช่วยร้าย เหลิ่งหมิงอันก็มีเหลิ่งเฉิงอวี่ที่หน้าตาใจดีแต่จิตใจชั่วร้ายเป็นพ่อ มีสุยเฉิงจิ้งที่ในใจมีแต่แผนการร้ายเป็นแม่ เขาจะเรียบง่ายได้อย่างไร?

ทันทีที่คิดได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็จับศีรษะส่ายทันที ให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องพวกนี้ เธอคิดเรื่องพวกนี้ไม่ได้อีกแล้ว แผนการร้ายทั้งหมด ก่อนที่เธอจะปกป้องเด็กคนนี้ให้แข็งแรงปลอดภัย มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอเลย

เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองคิดถึงเรื่องพวกนี้ เจี่ยนอี๋นั่วทำได้แค่จัดการเรื่องอื่นก่อน เธอโทรหาบริษัทตัวแทนรถ ขายรถของเธอไปแล้ว จากนั้นก็โทรหาเลขา ให้เลขาจ้างพยาบาลดูแลเจี่ยนฉางรุ่น สุดท้าย เจี่ยนอี๋นั่วลังเลสักพักก่อนโทรหาเฮ่อเยี่ยนหง ถามอาการของเจี่ยนฉางรุ่นพ่อของเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ไปหาพ่อเธอมาสองวัน ตั้งแต่เจี่ยนฉางรุ่นป่วย เจี่ยนอี๋นั่วจะยุ่งแค่ไหนก็ไปเยี่ยมเขาทุกวัน เธอไม่เคยหยุดไปเยี่ยมพ่อของตัวเองนานขนาดนี้

หลังจากโทรติดแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้ยินเสียงวุ่นวายในโทรศัพท์ เห็นได้ชัดว่าเป็นเสียงการเล่นไพ่นกกระจอก ดูเหมือนเฮ่อเยี่ยนหงจะไปเล่นไพ่คนเดียว เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ กลั้นความโกรธเอาไว้ แล้วพูดกับเฮ่อเยี่ยนหงด้วยเสียงเย็นชา “พ่อฉันเป็นยังไงบ้างคะ?”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบวิ่งออกมายังสถานที่เงียบๆ ทันที แล้วพูดเสียงทุ้ม “อี๋นั่วอ่า เธอไม่ต้องเป็นห่วงนะ พ่อของเธอสบายดีมาก แค่ยังไม่ฟื้นขึ้นมา สองวันนี้เธอไปไหนมา? ฉันกับฮุ่ยฮุ่ยไม่มีเงินใช้จ่ายเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงทุ้ม “ฉันมีธุระ อาจจะกลับบ้านไม่ได้นานสักพัก ฉันจ้างพยาบาลมาดูแลพ่อหนึ่งคนแล้ว เดี๋ยวฉันจะโอนเงินไปบัตรคุณหนึ่งหมื่นหยวน ให้ค่าครองชีพคุณกับฮุ่ยฮุ่ย……”

“ว่าไงนะ? มีเงินแล้วเหรอ?” เฮ่อเยี่ยนหงเพิ่มระดับเสียงทันที “อี๋นั่ว เรายังเป็นคนรวยอยู่ไหม?”

“ช่วงนี้คุณดูแลฮุ่ยฮุ่ยกับพ่อให้ดี ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่คุณไม่ต้องกังวล ฉันไม่อยากกลับไปแล้วเห็นพ่อกับฮุ่ยฮุ่ยเป็นอะไร” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยเสียงเย็นชา

เฮ่อเยี่ยนหงรีบยิ้มแล้วพูดขึ้น “โอ๊ย เธอไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี แต่เธอจะเสียเงินจ้างพยาบาลมาดูแลทำไม? เธอเอาเงินจ้างพยาบาลให้ฉันก็ได้นะ? จะได้ประหยัดเงินในครอบครัว”

เจี่ยนอี๋นั่วกดเสียงต่ำพูดขึ้น “เอาให้คุณไปเล่นไพ่เหรอ?”

“นี่……เธอรู้ได้ยังไง?” เฮ่อเยี่ยนหงถามด้วยความประหลาดใจและตื่นตระหนก

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขึ้นมา “คุณทำอะไรฉันก็รู้หมด ดังนั้นอย่าหลอกฉัน ดูแลพ่อกับฮุ่ยฮุ่ยให้ดี”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบพูดขึ้น “อืม ฉันต้องดูแลพวกเขาให้ดีอย่าแน่นอน เธอไม่ต้องเป็นห่วง แต่เงินนั้น เธอต้องโอนให้ตรงเวลานะ”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อใจเฮ่อเยี่ยนหง เธอไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าเฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลพ่อเธอเป็นอย่างดี เธอหวังแค่เฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยได้ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกับเจี่ยนอี๋นั่วความสัมพันธ์ไม่ดีอยู่ตลอด ไม่ยอมรับเจี่ยนอี๋นั่วในฐานะพี่สาว แต่เจี่ยนฉางรุ่นรักเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยมาก เจี่ยนอี๋นั่วหวังว่าหลังพ่อตัวเองฟื้นขึ้นมา จะเห็นว่าทุกอย่างยังเป็นเหมือนเมื่อก่อนได้

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่ววางสายไป ก็เห็นคนขับรถรีบมองหา คนจับรถเดินมาหาเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “คุณหญิง คุณเป็นอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้า “ฉันไม่ได้เป็นอะไร นายส่งฉันกลับก่อนเถอะ ฉันจะบอกคุณนายเอง”

ตอนแรกสุดเจี่ยนอี๋นั่วอยากปกปิดเรื่องนี้ แต่ตอนนี้สงบลงแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้ว่าเรื่องนี้เธอปกปิดไม่ได้ ถ้ารักษาเด็กไว้ไม่ได้จริงๆ ตระกูลเหลิ่งต้องรู้แน่ๆ และต้องบ่นว่าเธอจงใจปกปิด โกหกเรื่องที่ไม่สามารถปกปิดได้เป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย และเธอก็ต้องการความช่วยเหลือจากคุณนายเหลิ่ง ตระกูลเหลิ่งคงมีคุณหมอเก่งๆ สามารถช่วยเธอรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้

กลับถึงตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วนำรายงานการตรวจให้คุณนายเหลิ่งแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉันไม่ได้ทำตามความรับผิดชอบในฐานะแม่อย่างเต็มที่ เด็กเกือบหลุด”

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ถอนหายใจ “ยังไงเธอก็ยังสาว เพิ่งท้อง มีหลายเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่โทษเธอหรอก แต่ต่อไปต้องระวังให้มากๆ แต่ฉันก็ยังดีใจมาก เพราะเธอไม่ได้ปกปิดเรื่องนี้กับฉัน พรุ่งนี้ฉันจะให้คุณหมอมา ทางที่ดีช่วงนี้เธอต้องเลื่อนงานไปก่อน ฉันจะเตรียมคนไปช่วยเธอ”

“ตระกูลเหลิ่งช่วยฉันไว้มากแล้ว ถ้าส่งคนไปอีก ฉันกลัวว่าจะมีคนเดาความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับตระกูลเหลิ่งออก” เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูด

คุณนายเหลิ่งยิ้มขึ้นมา “เพราะเซ่าถิงเจ้าเด็กคนนั้นจงใจทำให้เธอลำบากใจ ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเหลิ่งจะปกปิดได้ยังไง? แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ฉันจะให้คนที่ช่วยเธอปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเหลิ่ง ส่วนจะปกปิดได้นานแค่ไหนก็ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ”

จริงๆ แล้วเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีทางทิ้งงานในมือได้ ตอนนี้กว่าจะได้การช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วควรฉวยโอกาสขับไล่ฉู่หมิงเซวียนและคนที่ก่อเรื่องออกไปให้หมด ตอนนี้เธอวางมือ ไม่ว่าตระกูลเหลิ่งจะส่งใครไปควบคุมงานของเธอ ต้องคุ้นเคยนานมากกว่าจะรับงานได้ เท่ากับเป็นการให้โอกาสฉู่หมิงเซวียนและคนอื่นๆ

แต่เจี่ยนอี๋นั่วเอามือกุมท้อง สุดท้ายก็พยักหน้า “ได้ค่ะ ฉันฟังคุณนาย ถ้าเด็กในท้องมั่นคงแล้ว ฉันค่อยจัดการธุระในบริษัท”

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูด “ฉันรู้ความยากลำบากของเธอ ฉันก็เคยมาจากสถานการณ์แบบเธอ เธอสามารถเสียสละเพื่อลูกจนมาถึงจุดนี้ได้ก็ยากลำบากแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ ต่อไปก็นอนพักผ่อนให้เยอะๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพยักหน้า หันตัวเดินออกไปจากห้องคุณนายเหลิ่ง ลังเลสักพักก่อนจะขึ้นไปชั้นบน เดินไปถึงห้องเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆ ผลักประตูออก ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยังคงดูโน้ตบุ๊กอยู่ในห้องทำงาน

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง หันหลังให้เหลิ่งเซ่าถิง หยิบชุดนอนออกมา

“ลับๆ ล่อๆ? ทำอะไรผิดมาอีกใช่ไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วชะงักเล็กน้อยแล้วค่อยๆ หันหน้ากลับมามองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วพูดเสียงทุ้ม “วันนี้ เกือบเสียเด็กไปแล้ว ขอ……”

“ไม่ต้องพูดขอโทษอีก ฉันฟังมามากพอแล้ว และถ้าเธอไม่มีเด็ก คุณย่าก็จะไล่เธอออกจากตระกูลเหลิ่งโดยเร็วที่สุด ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับฉัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยเสียงเย็นชาจบ ก็ก้มหน้าทำงานต่อ

ท่าทีของเหลิ่งเซ่าถิง เหมือนเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาเลยจริงๆ เลือดเย็นจริงๆ เลย ถึงเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่าเด็กคนนี้ในท้องเธอ เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากยอมรับเขาว่านั่นเป็นเลือดเนื้อของเขาเลยสักนิด แต่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังรู้สึกผิดหวัง

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเธอบ้าไปแล้ว วันนี้ยังคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่เชื่อถือได้อยู่เลย คนที่เลือดเย็นแบบนี้จะน่าเชื่อถือได้อย่างไร?

เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้าลูบท้องเบาๆ พึมพำเสียงเบา “ลูก ลูกไม่ต้องเสียใจนะ แม่อยากให้หนูได้เติบโตและอยู่เคียงข้างแม่ได้”

แม่เหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ก็ชะงัก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย สุดท้ายเธอก็ปรับตัวกับสถานะแม่ได้แล้ว และเริ่มตั้งตารอคอยการเกิดมาของเด็กคนนี้

“เจี่ยนอี๋นั่วมีลูกกับคนอื่นเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนนั่งในห้องทำงานคนเดียว พูดเสียงทุ้มต่ำซ้ำๆ

พูดถึงตรงนี้ จู่ๆ ห้องทำงานฉู่หมิงเซวียนก็เปิดออก เฉิงซานซานเข้ามาจากนอกประตู ตะโกนเสียงดังใส่ฉู่หมิงเซวียน “ได้ยินว่าวันนี้เจี่ยนอี๋นั่วจงใจมาทำให้คุณลำบากใจเหรอ? เธอทำเกินไปแล้วจริงๆ นะ? ทำแบบนี้กับเราได้ยังไง? ผู้หญิงที่ดุร้ายแบบเธอ สมควรแล้วที่จะไม่แต่งงานตลอดไป……”

“เจี่ยนอี๋นั่วท้องแล้ว” ฉู่หมิงเซวียนเงยหน้ามองเฉิงซานซาน แล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม

เฉิงซานซานอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็รีบถามขึ้น “ว่าไงนะ? ไม่คิดว่ามีคนจะเอาเธอ? เป็นลูกของใคร?”

ฉู่หมิงเซวียนลังเลสักพัก จากนั้นก็เงยหน้ามองเฉิงซานซาน ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อาจจะเป็นลูกของฉัน”

เฉิงซานซานตกตะลึงทันที “เป็นไปได้ยังไง? คุณเคยนอนกับเธอเหรอ?”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้าเบาๆ “ครั้งนั้นฉันดื่มค่อนข้างเมา คิดว่าหล่อนเป็นเธอ ถึงหล่อนจะปฏิเสธคัดค้านหัวชนฝา แต่ตอนนั้นน่าจะเป็นลูกของฉัน ตอนแรกฉันไม่อยากก้าวก่ายเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้แล้ว ยังไงก็มีลูกของฉัน นั่นเป็นเลือดเนื้อของฉัน”

เฉิงซานซานขมวดคิ้ว “ฉันก็ท้องเลือดเนื้อของคุณนะ หรือของฉันไม่ใช่เหรอ?”

ฉู่หมิงเซวียนมองเฉิงซานซานแล้วถอนหายใจเบาๆ “ไม่มีทางเลือก ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนมีอำนาจ ถ้าเธอมีลูกของฉันจริงๆ ฉันต้องรับผิดชอบเธอ และด้วยนิสัยของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอก็รู้ หล่อนต้องไม่ปล่อยโอกาสในการทรมานเราแน่ๆ เด็กคนหนึ่งสามารถทรมานเราได้ตลอดชีวิตเลยนะ เฮ้อ ยุ่งยากเกินไปจริงๆ ถ้าหล่อนไม่มีเด็กคนนี้ก็ดี ฉันอยากฆ่าเด็กในท้องหล่อนจริงๆ ต่อไปชีวิตเธอกับฉันจะได้สงบสุขหน่อย”

“ฆ่าเด็กในท้องเธอเหรอ? ฆ่ายังไง?” เฉิงซานซานกุมท้องเบาๆ ถามขึ้นเสียงเบา

ฉู่หมิงเซวียนขมวดคิ้ว คิดอย่างจริงจังแล้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “เช่นตอนเธอเดินอยู่ตรงบันได ก็ออกแรงผลักเธอ ให้เธอตกบันได แบบนี้เด็กก็จะหลุดแน่ๆ แล้วก็ตัวอย่างเช่น ใส่ยาทำแท้งลงในแก้วน้ำของเธอ แต่ก็แค่คิดเท่านั้น ฉันจะฆ่าลูกตัวเองลงได้ยังไง?”

เฉิงซานซานหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็ถามขึ้นมา “หมิงเซวียน เราจะแต่งงานกันเมื่อไร ถ้ายืดเยื้อต่อไป ท้องฉันจะโตขึ้น สวมชุดแต่งงานไม่สวยแล้วนะ ฉันคิดว่าเรากำหนดงานแต่งกันสัปดาห์หน้าเลยได้ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนกวาดตามองเฉิงซานซาน ส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “ขอโทษ ซานซาน เกรงว่าตอนนี้ฉันยังแต่งงานกับเธอไม่ได้ ฉันต้องคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเธอสักหน่อย”

“เพราะเจี่ยนอี๋นั่วท้อง เราเลยแต่งงานกันไม่ได้เหรอ? ฉันรู้ในใจคุณยังมีเธอ ตอนกลางคืนคุณนอนก็เรียกชื่อเธอ!” เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง

“ทางที่ดีเธอต้องรู้นะว่าเธอกำลังพูดอะไร เฉิงซานซาน! ฉันจะเรียกชื่อหล่อนได้ยังไง? เธอเป็นลูกสาวของเจี่ยนฉางรุ่น!” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา เข้าใกล้เฉิงซานซานทีละก้าว

เฉิงซานซานรู้ว่าตัวเองพูดผิด รีบเม้มปากแน่น พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉ-ฉันพูดผิด คุณไม่ได้เรียกชื่อเธอ ฉันฟังผิดเอง”

ฉู่หมิงเซวียนยกมือขึ้นบีบแก้มเฉิงซานซานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “รู้ว่าผิดก็ดีแล้ว ดูแลเด็กในท้องให้ดี ฉันอยากจะดูว่าเธอกับเจี่ยนอี๋นั่ว ใครจะคลอดลูกให้ฉันก่อนกัน บางทีอาจจะรอไม่กี่เดือน แต่ถ้าพวกเธอไม่มีลูกแล้ว ฉันก็จะไม่รอ หวังจริงๆ ว่าฉันจะเลือกเธอได้……”

“คุณจะเลือกผู้หญิงที่มีลูกให้คุณเหรอ?” เฉิงซานซานขมวดคิ้วถาม

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเบาๆ “ฉันจะเลือกผู้หญิงที่ไม่มีลูกให้ฉันเหรอ?”

เฉิงซานซานยกมือขึ้นจับแขนฉู่หมิงเซวียน รีบถามขึ้น “ถ้าเจี่ยนอี๋นั่วไม่มีลูกแล้ว คุณจะไม่ยุ่งกับเธออีกใช่ไหม?”

ในที่สุดฉู่หมิงเซวียนก็ได้ยินสิ่งที่น่าพึงพอใจจากปากเฉิงซานซาน เขายิ้มแล้วยกมือขึ้นลูบแก้มเฉิงซานซานเบาๆ ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าเธอมีลูกให้ฉัน ฉันก็จะปฏิบัติต่อเธอด้วยใจจริง”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันตัวเดินออกไปจากห้องทำงาน เฉิงซานซานลูบท้องตัวเอง พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่มีทางให้เธอคลอดลูกของหมิงเซวียนเด็ดขาด!”

ฉู่หมิงเซวียนยืนอยู่หน้าประตู ได้ยินคำพูดของเฉิงซานซาน ในที่สุดมุมปากก็ยกขึ้นเผยยิ้มสบายใจ ไม่ว่าเด็กของเจี่ยนอี๋นั่วจะเป็นของใคร เขาอยากให้เด็กคนนั้นหายไป ฉู่หมิงเซวียนไม่อยากคิดว่าที่เขาทำแบบนี้ ทำไปเพื่ออะไร เขาแค่รู้ว่าตั้งแต่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วมีลูกของผู้ชายคนอื่น เขารู้สึกเหมือนหน้าอกมีก้อนหินก้อนใหญ่มาทับ มันทำให้เขาหายใจไม่ออก เขาต้องกำจัดเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงจะโล่งใจได้

และเฉิงซานซานคือตัวเลือกที่ดีที่สุดของเขา แค่โกหกว่าเจี่ยนอี๋นั่วท้องลูกของเขา เฉิงซานซานก็จะทำทุกวิถีทางเพื่อกำจัดเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาลงมือเอง ฉู่หมิงเซวียนถอนหายใจออกมาในที่สุด ยิ้มแล้วเดินออกจากบริษัท

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงตระกูลเหลิ่ง ก็ให้ความสำคัญกับการพักผ่อนอย่างมาก ทำตามคำแนะนำของคุณหมอ แทบจะไม่ลุกจากเตียงเลย จนถึงตอนกลางคืน เหลิ่งเซ่าถิงขึ้นเตียงมา เจี่ยนอี๋นั่วก็ขยับไปอีกข้างของเตียงอย่างประหม่า

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ช่วงนี้เธอคิดจะนอนบนเตียงตลอดเวลาเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา “คุณหมอบอกว่านอนอยู่บนเตียงจะดีที่สุด ภายในเดือนสองเดือนอย่าขยับ”

“งั้นฉันต้องเผชิญหน้ากับเธอในห้องนี้เป็นเวลาเดือนสองเดือนเหรอ?” เหลิ่งเซ่าถิงถามด้วยเสียงเย็นชา

“หืม?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ประหม่าขึ้นมาทันที “คุณก็ฟื้นตัวแล้ว ทำไมไม่ไปบริษัทล่ะ?”

“เรื่องแบบนี้จะรีบร้อนทำไม?” เหลิ่งเซ่าถิงยิ้มเยาะพูดขึ้น “ฉันอยากรอให้พวกเขาโกลาหลสักพัก ฉันเข้าใจสถานการณ์บริษัทอย่างถ่องแท้ก่อนค่อยไปบริษัท น่าจะรอไม่กี่เดือน”

“คุณไม่ได้เข้าใจสถานการณ์บริษัทแล้วเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วจำได้ว่างานเลี้ยงเมื่อวาน เหลิ่งเซ่าถิงคุ้นเคยกับสถานการณ์ภายในบริษัทเป็นอย่างดี

“มันต่างกับการเข้าใจสถานการณ์จริงๆ อย่างสิ้นเชิง ฉันต้องการ……” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ชะงักเล็กน้อย จู่ๆ ก็หยุดพูดแล้วพูดเสียงทุ้ม “เรื่องพวกนี้ไม่เกี่ยวกับเธอ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็ไม่พูดอีก หยิบหนังสือหนึ่งเล่มที่วางบนหัวเตียงขึ้นมาแล้วเริ่มเปิด เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดอะไรอีกก็ปิดปากแน่น หดตัวข้างเตียงแล้วหลับตา

ถึงแม้วันนี้เจี่ยนอี๋นั่วพักผ่อนเพียงพอแล้ว แต่อาจจะเป็นเพราะเป็นหญิงตั้งครรภ์จึงเหนื่อยล้าเป็นพิเศษ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาก็หลับไปอีกครั้ง ได้ยินเสียงหายใจเธอเริ่มกลายเป็นหนักขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงก็ย้ายตัวเจี่ยนอี๋นั่วที่หดไปข้างเตียงมายังข้างกายเขาอีกครั้ง

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่วที่หลับปุ๋ย ยกมือขึ้นปิดโคมไฟข้างเตียง

เห็นไฟในห้องเหลิ่งเซ่าถิงมืดลง เหลิ่งหมิงอันที่ยืนอยู่กลางลานบ้านก็ยิ้มแล้วก้มหน้า หันไปยิ้มให้กับเหลิ่งเฉิงอวี่ที่ยืนด้านหลังเขาแล้วพูดขึ้น “พ่อ พ่อจัดตำแหน่งงานในบริษัทเหลิ่งซื่อให้ผมหน่อยได้ไหม?”

เหลิ่งเฉิงอวี่ขมวดคิ้ว “เร็วเกินไปมั้ง เหลิ่งเซ่าถิงกับคุณนายไม่ได้ระวังลูกมาตลอดเพราะลูกไม่ได้มีตำแหน่งในบริษัท ถ้าตอนนี้ลูกทำงานในบริษัท จะทำให้พวกเขาระวังลูกหรือเปล่า?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มขึ้นมา “พ่อคิดว่าผมอยู่ต่างประเทศหลายปีขนาดนี้ พวกเขาไม่เคยระวังผมเหรอ? ตอนนี้มีตัวแปรเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง บางทีเจี่ยนอี๋นั่วอาจจะเป็นไพ่ที่ดี”

“เจี่ยนอี๋นั่ว?” เหลิ่งเฉิงอวี่มองเหลิ่งหมิงอัน “ลูกใช้เธอทำให้เหลิ่งเซ่าถิงขายหน้า โจมตีบารมีของเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ หรือลูกคิดจริงๆ ว่าจะใช้เธอควบคุมเหลิ่งเซ่าถิงได้? เธอเป็นผู้หญิงคนเดียว จะทำอะไรได้? เธอเก่งไม่เท่าหลิวจื่อซิง ตอนแรกหลิวจื่อซิงทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผักได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วจะทำอะไรได้? ลูกอย่าแยกแยะไม่ออก แล้วรู้สึกดีกับเจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนั้น แค่ผู้หญิงคนเดียว เมื่อเทียบกับธุรกิจขนาดใหญ่ของตระกูลเหลิ่ง มันไม่คุ้มที่จะกล่าวถึงเลย”

“ผมรู้ ผมจะใจเต้นกับผู้หญิงแบบนั้นได้ยังไงล่ะ บนโลกนี้ ผู้หญิงที่ทำให้ผมละทิ้งธุรกิจตระกูลเหลิ่งได้ยังไม่เกิด”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วมองหน้าต่างห้องเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “พ่อยังจำที่ผมเคยถามพ่อได้ไหมว่าทำไมผมนามสกุลเหลิ่ง แต่ไม่เหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเลย เรียกคุณนายว่าคุณย่า? ทำไมทั้งๆ ที่ผมก็ทำอะไรดีเลิศมาก แต่ในสายตาคนอื่นมีแค่เหลิ่งเซ่าถิงคนเดียวที่เป็นคุณชายตระกูลเหลิ่ง?”

เหลิ่งเฉิงอวี่หรี่ตาพูดเสียงทุ้ม “จำได้ ฉันจะลืมได้ยังไง? ตอนนั้นลูกอายุแค่เจ็ดขวบ ฉันพาลูกมาที่นี่ ชี้ไปที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูดกับลูกว่า เมื่อลูกเข้าไปในห้องนั้น เมื่อลูกกลายเป็นเจ้าของตระกูลเหลิ่ง ในสายตาทุกคนจะมีแค่ลูก ลูกก็จะเป็นคุณชายเพียงคนเดียวของตระกูลเหลิ่ง……”

รอยยิ้มเหลิ่งหมิงอันค่อยๆ หุบลง ใบหน้าเผยสีหน้าอาฆาต “น่าเสียดาย อุบัติเหตุครั้งนั้นเหลิ่งเซ่าถิงมันไม่ตาย!”

“แต่ไม่เป็นไร……”

เหลิ่งหมิงอันหันไปหาเหลิ่งเฉิงอวี่ เผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง “นี่มันทำให้เกมน่าสนใจมากขึ้น ตั้งแต่เจ็ดขวบ ผมก็เล่นเกมนี้มาโดยตลอด ตอนนี้มีสมาชิกใหม่มาเข้าร่วมด้วย กลายเป็นน่าสนใจขึ้นแล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังหลับสนิท ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น เธอกึ่งหลับกึ่งตื่นยกมือขึ้นลูบท้องตัวเอง พึมพำเสียงเบา “ลูกของฉัน……”

เธอขมวดคิ้วแน่น นอนขดตัวเหมือนแมว เธอจมอยู่ในฝันร้ายที่น่าสะพรึงกลัว ความมืดมิดในฝันร้ายโอบกอดเธอไว้ ทำให้เธอไม่มีทางหลบหนี

จู่ๆ มือเย็นข้างหนึ่งกำลังลูบหลังเธอเบาๆ มือนั้นเย็นเฉียบจนแทบไร้ความรู้สึก แต่กลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสบายใจอย่างลึกลับ เจี่ยนอี๋นั่วยื่นถอนหายใจ ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝ่ามือนั้น หลับลงไปอีกครั้งอย่างสบายใจ

เจี่ยนอี๋นั่วในฐานะหญิงตั้งครรภ์ทั่วไป หลับจนกระทั่งตื่นโดยธรรมชาติ เมื่อตื่นขึ้นมา เจี่ยนอี๋นั่วลืมตามองไปทางห้องทำงาน ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังนั่งจ้องโน้ตบุ๊กบนโต๊ะทำงาน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ขยับ หรี่ตาครึ่งหนึ่งมองเหลิ่งเซ่าถิงตลอดเวลา ตอนนี้ฟ้าสว่างมากแล้ว แสงแดดส่องผ่านหน้าต่างมาบนหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้โครงหน้าหล่อเหลาของเหลิ่งเซ่าถิงยิ่งเด่นชัด เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจในใจอีกครั้ง ผู้ชายคนหนึ่งที่หล่อได้ถึงขนาดนี้ ราวกับถูกแกะสลักขึ้นมาอย่างระมัดระวัง แม้แต่เส้นคิ้วยังสวยงามเมื่อมันขมวดขึ้นมา

เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเป็นผู้ชายที่หล่อคนหนึ่ง แต่เธอไม่เคยคิดว่าคนหล่ออย่างเหลิ่งเซ่าถิงจะติดต่อกับเธอ หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วมีจิตสำนึกในฐานะแม่ ก็อดไม่ได้ที่จะเริ่มนึกหน้าตาของลูกตัวเอง เชื่อมโยงระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง

ความเสียใจที่สุดของเจี่ยนอี๋นั่วคือหน้าตาธรรมดาเกินไป เมื่อยืนกับผู้หญิงสวยๆ ก็มักจะดูด้อยกว่ามาก แต่ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะมีอารมณ์ร้ายมาก แต่รูปลักษณ์เขาไร้ที่ติมากจริงๆ ถ้าหนึ่งในนั้นสามารถถ่ายทอดผ่านพันธุกรรมให้ลูกในท้องเธอได้ ก็จะสามารถเติบโตเป็นคนที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นได้

ถ้าคลอดลูกสาว ว่ากันว่าลูกสาวจะเหมือนพ่อ ถ้าอย่างนั้นลูกสาวของเธอก็จะเป็นสาวสวยผู้เย็นชา

ถ้าคลอดลูกชาย ก็คงได้รับพันธุกรรมจากเหลิ่งเซ่าถิงส่วนหนึ่ง เป็นผู้ชายหน้าตาหล่อนิสัยเย็นชา

นึกถึงลูกในอนาคต อาจจะมีหน้าตาแบบเหลิ่งเซ่าถิงตอนเด็กๆ เรียกเธอว่าแม่ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะยกมุมปากยิ้มขึ้นมา

“เธอจ้องฉันมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะ……” จู่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้น “ดูดีมากไหม?”

“อืม ดูดีมาก” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ จู่ๆ ก็หยุดชะงัก หน้าแดงทันที

นี่เธอกำลังพูดอะไร? ทำไมพูดจาแบบนี้กับเหลิ่งเซ่าถิงได้?

เหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว “หืม? เธอก็คิดว่าดูดีมากจริงๆ เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าแดง แล้วส่ายหน้า “ฉ-ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันจะบอกว่า……บอกว่า……”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้ว่าควรอธิบายอย่างไร เธอขมวดคิ้วอย่างหมดหนทาง คิดว่าต้องโทษที่เธอเพิ่งตื่นเลยรู้สึกสับสนเล็กน้อย ทำไมถึงพูดอะไรไร้สาระ? พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่าดูดีอะไรกัน เธอบ้าไปแล้วเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วพูดอะไรไม่ออกอยู่นาน จากนั้นเธอก็เลือกที่จะหลับตาลง ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน หดตัวเป็นลูกบอลในผ้าห่มแล้วแกล้งหลับ

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วที่โป่งนูนเหมือนลูกบอลในผ้าห่ม ก็เม้มปากเบาๆ เสียงอ่อนโยนลงเล็กน้อย พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เธออุดอู้ในผ้าห่ม อากาศไม่ถ่ายเท ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีต่อลูกในท้องเธอนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วถึงค่อยๆ ชะโงกศีรษะออกมา หลับตาและนอนอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อคุณนายเหลิ่งเรียกเจี่ยนอี๋นั่วให้ออกมาให้คุณหมอตรวจร่างกาย เธอถึงได้ลงจากเตียง ผลการตรวจใกล้เคียงกับที่เจี่ยนอี๋นั่วไปพบคุณหมอ ให้เจี่ยนอี๋นั่วให้ความสำคัญในการพักผ่อน ทางที่ดีก็นอนบนเตียงนานๆ

ในบ้านตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คุณนายเหลิ่งเป็นห่วงเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วมาก ได้ยินคุณหมอพูดแบบนี้ก็รีบให้เจี่ยนอี๋นั่วกลับห้องไปพักผ่อน

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก พูดเสียงทุ้ม “คุณย่า ฉันรบกวนคุณหนึ่งเรื่องได้ไหม ฉันเปลี่ยนห้องได้ไหมคะ? ฉันไม่อยากนอนกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อ……”

“รู้สึกอึดอัดเหรอ? เขารังแกเธอเหรอ?” คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มแล้วถามขึ้น

เจี่ยนอี๋นั่วส่ายหน้าช้าๆ “เขาไม่ได้รังแกฉันค่ะ แต่เวลาฉันอยู่กับเขา ฉันมักรู้สึกประหม่า ฉัน……ฉันค่อนข้างกลัวเขา ฉันกลัวว่าถ้าอยู่กับเขาต่อ มันจะไม่ดีกับลูกของฉัน ดังนั้น……”

คุณนายเหลิ่งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา “กลัวเขาเหรอ? ปกติมากเลย คนที่เจอเขา มีไม่กี่คนหรอกที่ไม่กลัวเขา เขาดูเย็นชามาก ปากก็ร้ายมาก มีความต้องการกับตัวเองและคนอื่นๆ มาก แต่เธออยู่เคียงข้างเขา ถึงแม้จะทำให้เธอประหม่า แต่ถ้าอยู่ห่างกับเขา มันจะทำให้เธออันตรายมากนะ”

คุณนายเหลิ่งพูดถึงตรงนี้ ก็กดเสียงพูดทุ้มต่ำ “ในบ้านตระกูลเหลิ่งมีคนจับตาดูเธอกับเซ่าถิงมากมาย ไม่ว่าเซ่าถิงจะไม่พอใจเธอมากแค่ไหน แต่เขาก็จะไม่ทำร้ายเธอกับลูกของเธอ แต่คนอื่นๆ ไม่เหมือนกัน พวกเขาอยากให้เด็กในท้องเธอหายไป ถ้าอยู่ห่างเซ่าถิง หมายความว่าเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับเธอมากนัก แม้ว่าเด็กจะหายไป เราก็ไม่สนใจ แบบนั้นเธอคิดว่าพวกเขาจะไม่ลงมือกับเธอเหรอ? กลับไปนอนพักผ่อนข้างๆ เซ่าถิงเถอะ ถ้าเขาพูดอะไรไม่น่าฟังจริงๆ ก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินก็ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว พยักหน้าอย่างช้าๆ “ฉันรู้แล้วค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ทำตามคำสั่งคุณนายเหลิ่ง กลับไปที่ห้องเหลิ่งเซ่าถิง เพิ่งเดินเข้าไปในห้องเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็ได้ยินเหลิ่งเซ่าถิงกำลังคุยโทรศัพท์ เหลิ่งเซ่าถิงพูดกับในโทรศัพท์ด้วยเสียงเย็นชา “งั้นก็ได้ ในเมื่อเขาอยากเข้าบริษัท งั้นก็ให้เขามาเถอะ เขาอยากได้ตำแหน่งอะไรก็ให้เขาไป ทำทุกอย่างตามที่เขาขอ ฉันไม่รีบร้อน มาดูกันหน่อยว่าพวกเขาสองพ่อลูกต้องการจะทำอะไร”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็วางสาย เมื่อเขาหันหน้ามาเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “กลับมาทำไมอีก? คุณย่าไม่ยอมให้เปลี่ยนห้องเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิง อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ค-คุณรู้ได้ยังไง?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “เธออยู่ในห้องคุณย่านานขนาดนั้น แล้วทำหน้าหดหู่กลับมาอีก มันยังไม่ชัดเจนมากพอเหรอ? เธอไม่อยากนอนกับฉันมากเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มหน้า ขมวดคิ้ว ทำไมรู้สึกว่าคำถามนี้ของเหลิ่งเซ่าถิงมันแปลกๆ อะไรที่เรียกว่าไม่อยากนอนกับเขามากเหรอ? พวกเขาแค่นอนเตียงด้วยกันเอง ไม่ได้ทำอะไรสักหน่อย ทำไมในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ฟังแล้วแปลกๆ?

“ฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วอ้าปาก แต่ไม่ว่าเธอจะตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” ก็ดูแปลกมากทั้งนั้น

“ฉันไปพักผ่อนก่อนนะ” เจี่ยนอี๋นั่วตัดสินใจไม่ตอบคำถามนี้ที่ทำให้เธอกระอักกระอ่วน หันหน้าปีนขึ้นเตียงไปแล้วนอนอย่างถูกต้องเหมาะสม

เจี่ยนอี๋นั่วนอนบนเตียงดีแล้ว เพราะกังวลว่าจะมีรังสีพลังงานไม่อยากรับกวนเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรทัศน์ แค่นอนอ่านนิตยสารบนเตียง แต่นิตยสารในห้องเหลิ่งเซ่าถิงล้วนเป็นนิตยสารวิทยาศาสตร์และธุรกิจ หนาแน่นไปด้วยความรู้วิทยาศาสตร์ เห็นแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็แทบไม่รู้จักภาษาจีนเลย เจี่ยนอี๋นั่วพลิกนิตยสาร ขมวดคิ้ว จู่ๆ ตอนนี้ก็มีหนังสือส่งมาตรงหน้าเธอ

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นหน้าปก มันเป็นนิยายกำลังภายใน! ภายในห้องเหลิ่งเซ่าถิงที่แยกตัวจากฝูงชนทั่วไป เจี่ยนอี๋นั่วไม่คิดว่าจะเห็นนิยายกำลังภายในจริงๆ เหมือนเห็นเต้าหู้เหม็นทอดในภัตตาคารระดับห้าดาว

เหลิ่งเซ่าถิงยัดในมือเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงเย็นชาและแข็งกระด้าง “เธอเอาไปอ่านสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองนิยายเล่มนั้น ถามขึ้นเสียงเบาด้วยความสงสัย “คุณก็อ่านนิยายกำลังภายในประเภทนี้เหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยเสียงเย็นชา “เธอคิดว่าฉันโตมาเป็นแบบนี้ทันทีเหรอ? ฉันก็มีตอนเป็นเด็กนะ ก็เคยเล่นอะไรยุ่งเหยิงเหมือนกัน”

“ยุ่งเหยิงเหรอ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ในใจคิด: เหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนวัยรุ่นหลายๆ คน ที่เคยแอบดูหนังหื่นๆ เลย

“ของพวกนั้นที่อยู่ในหัวเธอ ฉันไม่เคยดูมาก่อน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตากว้างมองเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เธอเคยเจอคนมามากมาย แต่ไม่เคยเห็นคนที่ทำให้เธอประหลาดใจเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงเลย เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนอ่านความคิดเธอออกทุกอย่าง ความสงบนิ่งและความสามารถของเธอหายไปต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงอย่างหมดจด เธอเหมือนเด็กผู้หญิงที่เพิ่งเริ่มทำงาน ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแน่น จ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง แล้วมองกลับไปที่โต๊ะทำงานของเหลิ่งเซ่าถิงอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่งถึงได้หยิบนิยายกำลังภายในเล่มนั้นขึ้นมาเปิดอ่าน ขณะที่อ่านเจี่ยนอี๋นั่วก็แอบมองเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย เธอรู้สึกแปลกๆ กับเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ และกลัวเขาด้วย แต่ก็อดไม่ได้ที่จะอยากรู้จักเขามากขึ้นเพราะความสงสัย

ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงกำลังทำงาน สวมแว่นตาขอบดำทำให้ดูอ่อนโยนและสงบนิ่ง แขนเสื้อเขาถูกดึงขึ้นมาเล็กน้อย เผยต้นแขนแข็งแกร่ง นิ้วแตะแป้นพิมพ์อย่างรวดเร็ว นิ้วเขาสะอาดและเรียวยาว ข้อต่อชัดเจน เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าสองมือนั่นเย็นเล็กน้อย มีกลิ่นหอมสะอาด

บางครั้งเขาก็ขมวดคิ้ว หายใจเข้าลึกๆ ดวงตาเรียวหรี่เล็กน้อย นิ้วมือไขว้บนหน้าอก จ้องมองจอคอมพิวเตอร์ ตอนนี้เขาบังเอิญมองเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วรีบหันหน้าหนี มองไปที่นิยายกำลังภายในเล่มนี้ที่อยู่ในมือเธอ

เหมือนจะเป็นนิยายเล่มใหม่ เปิดไปแค่ไม่กี่หน้า มีแค่หน้าสุดท้าย มีสามคำเขียนไว้อย่างไร้เดียงสาว่า: เหลิ่งเซ่าถิง แสดงไว้ว่านี่เป็นของของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้นมา เธอมองเหลิ่งเซ่าถิงที่ตอนนี้เย็นชาและเย่อหยิ่ง ในอดีตไร้เดียงสา เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อน

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มขณะที่อ่านนิยายอย่างละเอียด เธอพบว่านิยายเล่มนี้เล่าเรื่องได้น่าสนใจมากจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วอ่านทั้งช่วงเช้าโดยไม่รู้ตัว ทานอาหารกลางวันแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็กอดนิยายหลับไป ในตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วและเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนคนแปลกหน้าสองคนที่อยู่ห้องเดียวกัน อย่าว่าแต่พูดคุยกัน แม้แต่สบตาก็น้อยมาก

จนท้องฟ้าจะมืดลง เหลิ่งเซ่าถิงถึงได้เงยหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ง เขาเดินไปข้างเตียง ขยับศีรษะเจี่ยนอี๋นั่วที่เอียงให้ตั้งตรง เอานิยายและของว่างที่วางข้างๆ เจี่ยนอี๋นั่วออก

จากนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เข้าห้องน้ำไปล้างมือ เปลี่ยนเป็นชุดกีฬาแล้วออกไปวิ่ง เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงวิ่งเสร็จแล้วกลับห้องมา เห็นเจี่ยนอี๋นั่วยังหลับเหมือนเดิม ท่าเธอยุ่งเหยิงอีกครั้ง พันกับผ้าห่มเหมือนปลาหมึก

เหลิ่งเซ่าถิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมาเบาๆ เขาหัวเราะขณะที่สายตาจ้องไปยังท้องน้อยเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงหุบยิ้ม ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา เขาเดินไปที่เตียงยกมือขึ้น วางมือบนท้องน้อยเจี่ยนอี๋นั่ว แต่ไม่รู้สึกถึงอะไรทั้งนั้น

ตรงนี้มีชีวิตหนึ่งจริงๆ เหรอ? และเป็นชีวิตที่เขาและผู้หญิงคนนี้สร้างมาด้วยกัน? กับผู้หญิงคนนี้ที่ทะนงตัวประจบสอพลอ ขายตัวเองเพื่อผลประโยชน์ ภายนอกดูมีความสามารถและเป็นผู้ใหญ่ แต่กลับซ่อนความเป็นเด็กเอาไว้น่ะเหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงลูบท้องเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ จู่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็ขยับ เหลิ่งเซ่าถิงรีบชักมือกลับ ซ่อนมือไว้ด้านหลัง เจี่ยนอี๋นั่วขยี้ตา เห็นเหลิ่งเซ่าถิงนั่งข้างๆ เธอก็ตกใจถอยหลัง ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ค-คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา “ก็เธอไม่ขยับเลย ฉันคิดว่าเธอตายแล้ว ถึงฉันจะอยากให้เธอออกไปจากชีวิตฉัน แต่ถ้าเธอตายในห้องฉัน มันก็ไม่ดีสำหรับฉันน่ะสิ อีกอย่างนี่เป็นห้องของฉัน ฉันมีสิทธิจะอยู่ที่ไหนก็ได้ในห้องนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก รู้สึกว่าคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงมันบาดหูมาก เธอถอยไปด้านหลังนิดหน่อย แล้วพูดเสียงทุ้ม “ฉันยังมีชีวิตอยู่ แค่หลับเอง”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว “น้อยคนมากที่จะทำเหมือนเธอ นอนหลับเหมือนศพเลย”

เจี่ยนอี๋นั่วพึมพำ “ใครนอนก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละ จะเหมือนศพได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วกล้าแค่พึมพำออกมา ไม่กล้าพูดกับเหลิ่งเซ่าถิงตรงๆ หรอก ตอนแรกที่เหลิ่งเซ่าถิงเป็นผักก็นอนเหมือนคนตายจริงๆ และเหมือนคนตายทั้งเป็นอย่างสมบูรณ์แบบ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าวันเวลาต่อจากนี้ที่อยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงจะยากลำบาก แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่สนใจจะพูดกับเธอเลยแม้แต่ประโยคเดียว ถึงจะน่าเบื่อมาก ก็ไม่มีอะไรยากลำบาก ไม่กี่เดือนต่อมา เด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วก็มั่งคงขึ้น บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกถึงการเคลื่อนไหวของเด็กในท้อง

การตรวจครรภ์ครั้งล่าสุด คุณหมอก็โล่งใจในที่สุด บอกว่าเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วมั่งคงแล้ว เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินการเต้นหัวใจของเด็กในท้อง ร่างกายเธอก็สั่นเล็กน้อย ในร่างกายเธอมีหัวใจสองดวงเต้นอยู่ น่ามหัศจรรย์จริงๆ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าไม่เคยได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ไหนระรื่นหูไปมากกว่านี้แล้ว เธอหรี่ตา คอยฟังอัตราการเต้นหัวใจของเด็กในท้องที่แสดงอยู่บนเครื่องมือ หยิบเครื่องมือขึ้นมาฟังไม่หยุด

คุณนายเหลิ่งยิ้มแล้วพูดขึ้น “เอาเครื่องมือกลับห้องให้เซ่าถิงฟังด้วยสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว “ให้เขาฟังเหรอคะ? ทำไม?”

คุณนายเหลิ่งพูดเสียงเบา “เธอต้องให้เขารู้ว่าเขาเป็นพ่อคนแล้ว อี๋นั่ว ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจว่าทำไมฉันถึงให้เธออยู่ต่อ แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเด็กแล้ว เขาต้องเข้าใจได้บ้าง”

อย่าว่าแต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนายเหลิ่งถึงอยากให้เธออยู่ต่อ แม้แต่เจี่ยนอี๋นั่วเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณนายเหลิ่งยืนกรานให้เธออยู่ต่อ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไปคิดมา ก็มีแค่เหตุผลเดียว เธอจึงพูดเสียงทุ้ม “คุณย่า คุณให้ฉันอยู่ต่อเพราะฉันท้องเหรอคะ?”

คุณนายเหลิ่งยิ้มขึ้นมา “แค่เป็นหนึ่งในเหตุผล และนิสัยของเธอ เธอเต็มใจเสียสละเพื่อครอบครัว ฉันเชื่อว่าหลังจากเธอได้อยู่กับเซ่าถิงแล้ว เธอต้องยินยอมปกป้องเซ่าถิงเมื่อเซ่าถิงตกอยู่ในอันตรายที่สุดอย่างแน่นอน คุณนายอย่างฉันคนนี้เหลือหลานชายคนเดียว คนที่เหลือไม่เกี่ยวข้องกับฉันเลย ฉันคิดถึงแค่หลานชายคนนี้ ฉันอยากให้คนที่ดีที่สุดกับเขา และเธอก็เป็นคนที่ดีที่สุดที่ฉันเลือก ฉันเคยเห็นเด็กผู้หญิงมามากมาย เธอเป็นคนที่ดีที่สุดคนนั้น ฉันไม่เก็บเธอไว้เป็นภรรยาเซ่าถิง แล้วจะเก็บใครไว้ล่ะ?”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็ยิ้มหรี่ตา เธอมองเจี่ยนอี๋นั่ว ราวกับมองหาของขวัญที่เธอชอบ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่ดีที่สุดเหรอ?

เธอจะเป็นคนที่ดีที่สุดได้อย่างไร นิสัยไม่ได้อ่อนโยน รูปลักษณ์ก็ไม่ได้ดีเลิศ เทียบกับคุณหนูร่ำรวยหลายๆ คน ตอนนี้ตระกูลเจี่ยนยังต้องการการสนับสนุนจากตระกูลเหลิ่ง ไม่ว่าจะมองอย่างไร เธอในตอนนี้ก็ไม่ได้ “ดีที่สุด” นะ?

คุณนายเหลิ่งมองเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มขณะที่พูดขึ้น “เอาล่ะ เธอไปพักผ่อนเถอะ ถึงแม้เด็กในท้องจะมั่นคงแล้ว แต่ก็ต้องระวังให้มากๆ ช่วงนี้ต้องลำบากเธอจริงๆ มันทรมานลำบากมากใช่ไหม? ต่อไปก็เดินได้นิดหน่อยแล้วนะ ตอนนี้ดอกไม้ในสวนก็บานหมดแล้ว เธอมีเวลาก็ออกมาเดินชมได้นะ อุดอู้อยู่แต่ในห้องมันก็ไม่ดีเหมือนกัน”

เจี่ยนอี๋นั่วอึดอัดจริงๆ ในไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ถึงแม้ในตระกูลเหลิ่งจะมีกินมีใช้ แต่อยู่บนเตียงเวลานานไม่ขยับไปไหน ไม่ว่าใครก็ทนไม่ไหวจริงๆ แต่ไม่ว่าจะลำบากแค่ไหน สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วมันคุ้มค่า เพราะในที่สุดเธอก็มีลูกเป็นของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นประคองท้องเล็กน้อย ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา “คุณย่า งั้นฉันกลับห้องก่อนนะคะ”

กลับไปถึงห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็หายใจเข้าลึกๆ ก่อนเดินไปหาเหลิ่งเซ่าถิง พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยเสียงทุ้ม “คุณย่าบอกว่าให้ฉันเอาเสียงหัวใจเด็กเต้นมาให้คุณฟัง”

ตอนแรกเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปฏิเสธ แต่ไม่คิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมองเธอ ก่อนจะรับหูฟังในมือเธอมา ขมวดคิ้วแล้วฟังมัน

ได้ยินเสียงหัวใจเต้นในหูฟัง เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นเสียงทุ้ม “นี่คือการเต้นหัวใจของเด็กเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “คุณหมอบอกว่าเด็กในท้องมีพัฒนาการที่ดีมาก”

เหลิ่งเซ่าถิงมองท้องเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “เป็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนเธอจะสามารถคลอดเด็กคนนี้ได้อย่างปลอดภัยนะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า “ไม่ใช่ดูเหมือน ฉันต้องปกป้องเด็กคนนี้ได้แน่ๆ คลอดเขาออกมาอย่างปลอดภัย”

เจี่ยนอี๋นั่วมีความมุ่งมั่นและเชื่อมั่นที่หาได้ยากต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิง และไม่ใช่เอาแต่สัญญากับเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ แต่เป็นเจี่ยนอี๋นั่วที่มีความสามารถและดุดันนิดหน่อย

เหลิ่งเซ่าถิงวางหูฟังลง กวาดตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “เอาล่ะ เธออย่ารบกวนฉัน ฉันยังต้องทำงานต่อ ต่อไปหัวใจเต้นของเด็กหรืออะไรอื่นๆ ก็ไม่ต้องเอามาให้ฉันฟัง อย่าลืมล่ะ เรามีสัญญาแค่หนึ่งปี เด็กคนนี้หลังจากคลอดแล้ว ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธออีกต่อไป เธอยังจำได้ไหม? เธอเคยพูดว่า เธอทิ้งได้ทุกอย่างเพื่อเงิน”

เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องทันที “แต่ฉันจะไม่ให้เด็กคนนี้กับคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงหันไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว “ยังไง ตอนนี้อยากกลับคำเหรอ? เธออย่าลืมนะ เธอเป็นแค่เครื่องมืออุ้มเด็กเท่านั้น ถึงเด็กคนนี้ฉันจะไม่ต้องการ แต่ในเมื่อเป็นเลือดเนื้อของฉัน ฉันก็จะไม่ปล่อยให้เธอพรากไป”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากอย่างแรง ตอนนี้ถึงแม้เธอไม่ได้สนิทกับเหลิ่งเซ่าถิงมากขึ้น แต่ก็ไม่มีความขัดแย้งอะไร ช่วงนี้เจี่ยนอี๋นั่วคิดถึงแต่ลูก ลืมว่าตอนนี้เธออยู่ในสภาพกระอักกระอ่วนมากแค่ไหน

เมื่อก่อนเจี่ยนอี๋นั่วจะกลัวเหลิ่งเซ่าถิง ไม่กล้าพูดความคิดเธอออกไปตรงๆ แต่ประเด็นของลูก ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ยอมแพ้ เธอยากลำบากในการผ่าตัดครั้งแล้วครั้งเล่า กว่าจะมีชีวิตน้อยๆ นี้ได้ เธอนอนบนเตียงทรมานมานานขนาดนี้ กว่าจะปกป้องเด็กคนนี้ไว้ได้ ตอนนี้อยากให้เธอคลอดเด็กคนนี้แล้วสั่งให้เธอไม่เกี่ยวข้องกับเด็กคนนี้อีกต่อไป เธอทำไม่ลง

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยเสียงเย็นชา “ฉันจะไม่ทิ้งเด็กคนนี้ ฉันเป็นแม่ของเขา ฉันจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไปจนเติบโต ที่ฉันเคยพูดว่าฉันทิ้งเขาได้ เพราะตอนนั้นฉันยังไม่รู้วิธีการเป็นแม่คน ฉันสัญญาไปไม่ดูตาม้าตาเรือ ตอนนี้ฉันไม่ทิ้งเขาเด็ดขาด แม้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงอย่างคุณจะมีอำนาจแค่ไหน ก็ไม่สามารถบังคับให้ฉันทิ้งลูกแท้ๆ ของตัวเองได้!”

เพื่อช่วยเหลือตระกูลเจี่ยน เจี่ยนอี๋นั่วสามารถกลายเป็นคนขี้ขลาดต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงได้ เพื่อปกป้องลูกของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วก็สามารถแข็งแกร่งกับเหลิ่งเซ่าถิงได้เช่นกัน เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันตัวรีบเดินไปไม่กี่ก้าวออกจากห้องไป

เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วขึ้นมาช้าๆ หรี่ตามองเสียงหัวใจเต้นของทารกบนโต๊ะ เขายกมือขึ้นสัมผัสมันเบาๆ เหมือนยังได้ยินเสียงหัวใจเต้นที่ทรงพลังนั้นของเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่วอยู่

เขามีลูกแล้วจริงๆ เหรอ?

หลังจากได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเด็กในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงก็ยอมรับในที่สุดว่าเขามีลูกคนหนึ่งแล้ว มือเหลิ่งเซ่าถิงรวบเข้าหากันเล็กน้อยแล้วกระซิบกับตัวเอง “แต่ทำไมดันเป็นผู้หญิงแบบนั้นที่ให้กำเนิดลูกของฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ปฏิเสธการติดต่อเจี่ยนอี๋นั่วในช่วงนี้ บางครั้งเขาก็จะดูแลเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่าทั้งหมดเป็นแค่การดูแลของผู้ชายต่อผู้หญิงเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกดีอะไร เจี่ยนอี๋นั่วผู้หญิงคนนี้คลอดลูกให้ชายแปลกหน้าได้เพราะเงิน มันก็มากพอที่จะทำให้เหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอไปตลอดชีวิตแล้ว แต่ผู้หญิงแบบนี้ดันมีลูกของเขา และเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดของเขา

หลังจากเจี่ยนอี๋นั่วเดินลงไปข้างล่าง เดินไปยังพื้นที่คฤหาสน์ ตั้งแต่เจี่ยนอี๋นั่วมาที่ตระกูลเหลิ่ง ก็ไม่เคยไปเยี่ยมชมพื้นที่คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเลย ช่วงนี้เธอดูแลลูกในท้องตลอดเวลา แม้กระทั่งห้องก็ไม่ได้เดินออกมาด้วยซ้ำ อย่าว่าแต่เดินเล่นในพื้นที่คฤหาสน์เลย แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิงต่อ เธออดไม่ได้ที่จะโกรธเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ลูกในท้องเธอมั่นคงแล้ว ไม่สามารถทำให้อารมณ์แปรปรวนมากเกินไปได้

และความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงมันแข็งทื่อเกินไป มันไม่มีตัวช่วยสำหรับเจี่ยนอี๋นั่วเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากเดินไปยังจุดที่แตกหักกับเหลิ่งเซ่าถิง

เดินมาถึงกลางพื้นที่คฤหาสน์ ดมกลิ่นหอมของดอกหญ้าและดอกไม้เป็นเวลานาน ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนหายใจออกมา

“เอ๋……พี่สะใภ้ใหญ่เหรอ? ในที่สุดก็เดินออกมาจากห้องแล้วเหรอ?” เป็นเสียงทุ้มต่ำและติดแหบเล็กน้อยของผู้ชาย

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไป เดิมทีคิดว่าเธอจะเห็นเหลิ่งหมิงอันที่สวมเสื้อผ้ามอมแมมท่าทางเสเพล แต่เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วหันหน้าไปมอง กลับเห็นผู้ชายสวมชุดสูทเรียบร้อยคนหนึ่ง

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา ใช้เวลาสักพักก่อนจะจำได้ว่าผู้ชายตรงหน้าคือเหลิ่งหมิงอัน เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ถามขึ้นอย่างสงสัย “น-นายเป็นอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะยิ้ม หรี่ดวงตาเจ้าชู้เย้ายวนอย่างมีความสุข เขายิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉัน? ช่วงนี้ฉันทำงานที่บริษัทเหลิ่งซื่อตลอด แน่นอนว่าต้องสวมชุดสูทเรียบร้อย แต่ชุดสูทนี้มันอึดอัดจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าพี่ใหญ่กับพ่อทนไปได้ยังไง จริงๆ ฉันอยากถามว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นยังไงบ้าง? ตอนแรกเป็นคนสวยน่ารัก ซ่อนตัวอยู่ในห้องหลายเดือน กลายเป็นหญิงท้องโตแล้ว ดูหน้ากลมของเธอสิ ฉันไม่กล้านึกย้อนเลยจริงๆ ว่าครั้งหนึ่งฉันเคยจูบเธอ ผู้หญิงเป็นแม่คน ไม่น่ารักเลยสักนิดจริงๆ”

ขณะที่เหลิ่งหมิงอันพูดก็เดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าว เจี่ยนอี๋นั่วคลุมท้องเบาๆ รีบถอยหลังหนึ่งก้าว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ถ้านายยังพูดพล่อยๆ ฉันจะกลับห้องแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันรีบยื่นมือไปขวางเจี่ยนอี๋นั่วทันที ยิ้มแล้วพูดขึ้น “ทำไม? กลับห้องไปเตรียมชุดราตรีเหรอ? เพื่อเตรียมจัดงานเลี้ยงช่วงนี้?”

“งานเลี้ยง?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว

เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วเล็กน้อย “ใช่ งานเลี้ยงน่ะ หรือว่าเธอไม่รู้เหรอ? เพื่อฉลองการฟื้นตัวของพี่ใหญ่ ครอบครัวเหลิ่งของเราเตรียมจัดงานเลี้ยงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงนี้ เกือบทุกคนที่มีบารมีจะเข้าร่วม พี่ใหญ่บอกว่ายุ่งกับเรื่องนี้ตลอดเวลา เธออยู่ห้องเดียวกับเขาตลอด เธอไม่รู้เหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆ ขึ้นมา “ในเมื่อรู้ว่าฉันกับพี่ใหญ่นายอยู่ด้วยกันตลอด ก็อย่ามารังควานฉันต่อ”

เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะเบาๆ แล้วพูดขึ้น “ฉันหวังดีกับเธอนะ รักแรกของพี่ใหญ่ชื่อหลิวจื่อซิงก็กลับมาร่วมงานครั้งนี้ด้วย เธอคงไม่รู้สินะ? เหตุผลที่พี่ใหญ่กลายเป็นผักก็เพราะหลิวจื่อซิงเลิกกับพี่ใหญ่ พี่ใหญ่ขับรถไปพาเธอกลับมาเลยเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน ตอนนี้เธอกลับมาแล้ว เธอจะอยู่กับพี่ใหญ่ได้อีกนานแค่ไหน?”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน ขมวดคิ้ว “ดูเหมือนมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนายนะ เหลิ่งหมิงอันทางที่ดีนายจัดการตัวเองดีกว่า ไม่ต้องไปกังวลเรื่องของคนอื่น”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หันตัวกลับเข้าไปในบ้านตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอันจับแขนเธอ มองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆ ยกมุมปากขึ้น หัวเราะเสียงทุ้มแล้วพูดว่า “ยังดุดันเหมือนเดิมนะ”

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินจากในห้องโถงใหญ่กลับไปที่ห้องเซ่าถิง สุยเฉิงจิ้งก็กำลังเดินลงไปชั้นล่างพอดี เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วก็ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อุ๊ยตาย หลานสะใภ้นี่? ในที่สุดก็ออกจากห้องได้แล้วเหรอ? กล้าเจอคนแล้วเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่มีอารมณ์จะเถียงกับสุยเฉิงจิ้ง เธอหัวเราะเบาๆ เดินผ่านสุยเฉิงจิ้งไป สุยเฉิงจิ้งมองเจี่ยนอี๋นั่วก็ทำเสียงฮึดฮัด พูดขึ้นเสียงทุ้ม “ไม่มีมารยาทจริงๆ นะ เหมาะกับคนเย็นชาอย่างเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ โชคดีที่หมิงอันของเราไม่เจอผู้หญิงไร้มารยาทแบบนี้มาเป็นลูกสะใภ้”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินกลับห้อง ก่อนจะถอนหายใจออกมา เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? เมื่อได้ยินเหลิ่งหมิงอันบอกว่าตระกูลเหลิ่งเตรียมจัดงานเลี้ยง แต่เธอไม่รู้อะไรเลยสักนิด เธอรู้สึกโกรธนิดหน่อยจริงๆ ความโกรธนี้ไม่มีเหตุผล เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่างานเลี้ยงฉลองที่เหลิ่งเซ่าถิงฟื้นฟูร่างกายไม่จำเป็นต้องให้เธอรู้ เธอไม่มีสิทธิโกรธเลยสักนิด

แต่ถึงเธอจะรู้ว่าเธอไม่มีสิทธิโกรธ แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ยังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ บางครั้งอารมณ์ก็ไม่สามารถควบคุมด้วยเหตุผลได้เลย

บางทีอาจจะเพราะตอนนี้เธอตั้งครรภ์อยู่ ภายใต้อิทธิพลของฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้อารมณ์เธอไม่คงที่มากพอ และบางทีอาจจะเพราะเด็กในท้องคนนี้ ทำให้เธอรู้สึกว่าเธอมีการเชื่อมโยงกับเหลิ่งเซ่าถิงอยู่บ้าง บางทีอาจจะเพราะเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ห้องเดียวกันมานานมาก เผชิญหน้ากันมาหลายเดือนแล้ว แต่เหลิ่งเซ่าถิงไม่พูดถึงงานเลี้ยงเลยแม้แต่ประโยคเดียว มันทำให้เธอรู้สึกถูกเพิกเฉย

สรุปแล้ว บรรยากาศหงุดหงิดที่บรรยายไม่ได้ในใจเจี่ยนอี๋นั่ว มันถึงขนาดมีความน้อยใจเล็กน้อย ในเมื่อมีคนจำนวนมากได้รับเชิญ เป็นไปได้อย่างมากว่าตระกูลเจี่ยนก็อยู่ในขอบเขตการรับเชิญ มันไม่ใช่ความลับอะไร ทำไมเหลิ่งเซ่าถิงไม่บอกเธอตรงๆ? หรือเหลิ่งเซ่าถิงเห็นเธอเป็นคนไม่มีตัวตนจริงๆ เหรอ? หรือเธอต้องรอจนกว่าตระกูลเจี่ยนได้รับบัตรเชิญก่อน เธอถึงจะรู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ห้องเดียวกับเธอวางแผนจะจัดงานเลี้ยง?

เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปข้างเตียง เบนสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยังทำงานอยู่ เธอเม้มปากอย่างแรง นอนบนเตียงหลับตา แต่เมื่อหลับตา เจี่ยนอี๋นั่วก็นึกถึงตอนที่ตระกูลเหลิ่งจัดงานเลี้ยงแล้วเธอก็โง่รู้เป็นคนสุดท้าย ก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง

“อืม……คือ เมื่อกี้ฉันบังเอิญเจอเหลิ่งหมิงอันมา” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากเสียงเบา เบนสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง

ในที่สุดเหลิ่งเซ่าถิงก็ชะงักนิ้วที่แตะแป้นพิมพ์ มองเจี่ยนอี๋นั่ว “เขาพูดอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก “เขาบอกว่าคุณกำลังจะจัดงานเลี้ยง ฉันอยากรู้……”

“ตระกูลเจี่ยนอยู่ในขอบเขตการเชิญ ฉันส่งคำเชิญไปที่ห้องทำงานเธอแล้ว พรุ่งนี้เลขาเธอน่าจะโทรหา เธอหาเวลาไปเลือกชุดราตรีได้เลย แน่นอนว่าทางที่ดีเธอไม่ควรเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ไม่งั้นเธอต้องอธิบายให้ทุกคนฟังว่าทำไมท้องถึงใหญ่” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ยกแก้วชาที่วางข้างๆ ขึ้นมาจิบหนึ่งอึก

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา พูดเสียงทุ้ม “แต่ฉันอยู่ตรงหน้าคุณ อยู่ห้องเดียวกับคุณ คุณบอกฉันตรงๆ ก็ได้นี่”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา “อ่อ ที่แท้เธอก็อยู่ห้องฉันเหมือนกันเหรอ?”

ประโยคนี้ร้ายกาจมาก! เพิกเฉยเธออย่างสิ้นเชิง!

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปหาเหลิ่งเซ่าถิง หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดเสียงทุ้ม “เหลิ่งเซ่าถิง ฉันชื่นชมคุณนะ คุณมีความสามารถจริงๆ ฉันกลัวคุณมากเหมือนกัน เพราะตอนนี้ในตระกูลเหลิ่งคุณเป็นคนที่มีอำนาจรองจากคุณนายเหลิ่ง คุณยกมือขึ้นทำให้ฉันตายได้ ฉันรู้ว่าการโต้เถียงกับคุณมันไม่ดีต่อตัวฉัน แต่ตอนนี้ฉันอาจจะบ้าไปแล้วก็ได้ ฉันอยากบอกคุณว่า คุณเคารพฉันสักนิดได้ไหม? ปฏิบัติกับฉันเป็นมนุษย์หน่อยได้ไหม?”

เหลิ่งเซ่าถิงเบนสายตาขึ้นมองเจี่ยนอี๋นั่ว “แค่เครื่องมือสืบพันธุ์เอง? อยากให้ฉันปฏิบัติเธอเหมือนมนุษย์เหรอ? เธอเห็นตัวเองเป็นมนุษย์หรือเปล่า?”

เจี่ยนอี๋นั่วริมฝีปากสั่นเล็กน้อย มองเหลิ่งเซ่าถิง หัวเราะอย่างหมดหนทางก่อนจะเม้มปาก พูดขึ้นเสียงทุ้ม “แล้วถ้าคุณอยู่ในสถานการณ์แบบฉัน คุณจะทำยังไง? เหลิ่งเซ่าถิงผู้ทรงเกียรติ เพราะคุณมีทุกอย่าง ฉันมีลูกให้คุณเพราะเงิน แต่ตอนนั้นคุณก็ต้องใช้เงินเพื่อให้ผู้หญิงมีลูกให้ไม่เหรอ? คุณเป็นคนซื้อ ฉันเป็นคนขาย เราต่างเป็นนักธุรกิจ ในธุรกิจ คนซื้อคนขายมีการแยกชนชั้นต่ำสูงด้วยเหรอ? คุณมีสิทธิอะไรมาดูถูกฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจอย่างหมดหนทาง แล้วพูดเสียงทุ้ม “พวกคุณมีสิทธิอะไรมาดูถูกฉัน?”

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดเสียงทุ้ม “อยากให้ฉันไม่ดูถูกเธอ ตอนนี้ก็ทำแท้งแล้วจากไปสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง “ฉันจะไม่ทำแบบนั้น นี่เป็นลูกของฉัน ฉันจะไม่ทิ้ง! แต่คุณมันเลือดเย็นและโหดเหี้ยมจริงๆ!”

“อ่อ การประเมินของเธอที่มีต่อฉันนี่ตรงจริงๆ” เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอไม่เคยเจอคนแบบเหลิ่งเซ่าถิงมาก่อนจริงๆ นี่มันผู้ชายที่ทำให้คนเป็นบ้าแต่ไม่สามารถจัดการกับเขาได้ ในใจเจี่ยนอี๋นั่วสงสัยว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยมีแฟนจริงๆ ไหม? คนที่เรียกว่ารักแรกของเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้ถูกสร้างเรื่องขึ้นมาใช่ไหม คนที่พูดจาร้ายกาจ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา เย็นชาและไร้ความปรานีอย่างเหลิ่งเซ่าถิงจะชอบคนคนหนึ่งจริงๆ เหรอ? และเพื่อไปตามผู้หญิงคนนั้นกลับมาจึงประสบอุบัติเหตุรถยนต์? เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มสงสัยจริงๆ หลิวจื่อซิงคนนั้นเป็นเทพธิดาสมบูรณ์แบบอย่างไรกัน ถึงทำให้เหลิ่งเซ่าถิงทำไปถึงจุดนั้นได้

“ถ้ามีใครสักคนทำให้คุณรู้สึกเสียใจได้ ฉันอยากเจอเธอจริงๆ!” เจี่ยนอี๋นั่วหายใจเข้าลึกๆ แล้วหันตัวกลับไปที่เตียงจากนั้นก็นอนลง

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตานอนอยู่นานมาก กว่าจะปรับอารมณ์ให้คงที่ หลังจากตื่นขึ้นมาจากอารมณ์หงุดหงิด เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกเสียใจ เมื่อครู่นี้เธอทำอะไรไม่มีเหตุผลและหุนหันพลันแล่น เหมือนผู้หญิงปากร้ายที่หาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล และเธอไม่รู้ว่าทำไมถึงโกรธขนาดนั้น

เมื่อข้างเตียงเธอจมลงเล็กน้อย ผ้าห่มถูกยกขึ้น ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงนอนข้างกายเธอ เจี่ยนอี๋นั่วก็เอ่ยขึ้นมาเสียงทุ้ม “ขอโทษ เมื่อกี้ฉันหุนหันพลันแล่นเกินไป ฉันไม่มีสิทธิพูดแบบนั้นกับคุณ”

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็พูดต่อด้วยเสียงทุ้ม “ฉันนอนเตียงเดียวในห้องเดียวกับคุณ ถึงช่วงนี้เราจะไม่ได้สื่อสารกันเยอะ แต่ก็ให้ความเท่าเทียมกับฉันด้วย ฉันมีภาพลวงตากับคุณต่างจากคนอื่น ฉันรู้ว่าคุณไม่ชอบฟังคำขอโทษ ฉันก็จะไม่พูดอีก นี่เป็นครั้งสุดท้าย ข้อตกลงก่อนหน้านี้ ฉันจะไม่ทำตาม เด็กคนนี้ฉันจะไม่ทิ้งเขา ฉันจะไม่ยอมให้คุณพรากเขาไปจากฉัน”

ผ่านไปนานมาก เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดหนึ่งประโยคด้วยเสียงเย็นชา “พวกผู้หญิงนี่ยุ่งยากจริงๆ”

จากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้ยินคำพูดอื่นจากเหลิ่งเซ่าถิงอีก และไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเหลิ่งเซ่าถิงหมายความว่าอะไร อนุญาตให้เธอเก็บเด็กคนนี้ไว้จริงๆ หรือเปล่า เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่อยากยุ่งมากเกินไป ถ้าคุยกับเหลิ่งเซ่าถิงไปเรื่อยๆ แบบนั้นจะยิ่งหาเรื่องทะเลาะโดยไม่มีเหตุผล เพราะเมื่อครู่นี้คุยกับเหลิ่งเซ่าถิงเยอะมาก มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วกระหายน้ำเล็กน้อย เพื่อไม่รบกวนเหลิ่งเซ่าถิงที่ดูเหมือนจะหลับไปแล้ว เธอก็ค่อยๆ ขยับไปข้างเตียง

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเตรียมลงจากเตียง จู่ๆ เหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือโอบเอวเธอไว้ดึงเธอไว้ในอ้อมแขน ลูบหลังเธอเบาๆ เหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นเสียงทุ้มด้วยน้ำเสียงหมดหนทางเล็กน้อย “ทะเลาะกันแรงจริงๆ มีพัฒนาการมาก ทำไมยังไม่นอนดีๆ อีก?”

การเคลื่อนไหวของเหลิ่งเซ่าถิงมีความชำนาญมาก เหมือนเคยทำมาแล้วหลายครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วตกตะลึงทันที เธอถึงขนาดไม่กล้าขยับ กลัวเหลิ่งเซ่าถิงพบว่าเธอยังไม่หลับ แต่ยังตื่นอยู่

เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ หรือว่าช่วงนี้เธอนอนแบบนี้ตลอดเลยเหรอ? หลังจากเธอหลับไปแล้ว ก็จะถูกเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดในอ้อมแขนแบบนี้?

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น หลับตาเล็กน้อย เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงมือเหลิ่งเซ่าถิงที่อยู่ระหว่างเอวเธอ ข้างหูได้ยินเสียงหัวใจและลมหายใจของเหลิ่งเซ่าถิง ช่วงนี้เนื่องจากเธอตั้งครรภ์ ร่างกายจึงค่อนข้างเหนื่อยล้าตลอดเวลา จึงหลับค่อนข้างลึกมาก เธอยังคิดอยู่ตลอดเวลาว่าหลังจากที่เธอหลับไป ยังคงนอนรักษาระยะห่างกับเหลิ่งเซ่าถิง เพราะในใจเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนที่คงไม่ยอมให้เธอเข้าใกล้ จะให้เธอนอนแนบชิดเขาได้อย่างไร?

ถึงแม้บางครั้งเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมาแล้วจะครองทั้งเตียง เธอก็คิดว่าหลังจากเหลิ่งเซ่าถิงตื่นแล้ว เธอคงบังอาจครอบครองทั้งเตียง เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอโดนเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดทั้งคืน

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้นมา แม้แต่การหายใจก็กลายเป็นค่อนข้างถี่ หัวใจเธอเต้นเร็วมาก จู่ๆ เจี่ยนอี๋นั่วก็รู้แล้วว่าทำไมเมื่อครู่นี้เธอถึงโกรธ เพราะเธอสนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะแคร์เธอไหม เมื่อเธอพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่แคร์เธอ ถึงขนาดเพิกเฉยเธอ เธอก็โกรธผิดปกติ เธอเหมือนจะไม่รู้ตัวว่าเธอเกิดความรู้สึกดีๆ กับเหลิ่งเซ่าถิง หรือจะบอกว่าชอบ?

เริ่มตั้งแต่เมื่อไร? เริ่มตั้งแต่เธออยู่ห้องเดียวกับเหลิ่งเซ่าถิง นอนเตียงเดียวกันเหรอ? หรือเริ่มตั้งแต่พวกเขามีลูกด้วยกัน? หรือเริ่มตั้งแต่ตอนที่เธอคิดว่าหน้าตาของลูกจะเหมือนเหลิ่งเซ่าถิงหรือไม่? หรือตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอเหลิ่งเซ่าถิง เขาที่เป็นจุดสนใจในฝูงชน ก็เริ่มชอบเหลิ่งเซ่าถิงแล้วเหรอ?

แต่ทั้งๆ ที่เขาเย็นชาขนาดนั้น พูดถากถางและดูถูกเธอขนาดนั้น? เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองจะเป็นมาโซคิสม์หรือเปล่า? ทำไมถึงได้ชอบเหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วมีหมื่นเหตุผลที่ไม่ควรชอบเหลิ่งเซ่าถิง แต่หมื่นเหตุผลนี้ไม่สามารถป้องกันให้เธอหยุดหัวใจเต้นเร็วได้ หัวใจเธอเหมือนจะกระโดดออกมา เธอถึงขนาดเริ่มจินตนาการไร้สาระเกี่ยวกับอนาคตเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มปลอบใจตัวเองจริงๆ ว่าในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงนอนกอดเธอ ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็รู้สึกดีกับเธอด้วยหรือเปล่า? จะมีผลกับอนาคตของเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงไหม?

เจี่ยนอี๋นั่วนอนในอ้อมแขนเหลิ่งเซ่าถิง การเต้นของหัวใจเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในหัวสมองวุ่นวาย ไม่กล้าขยับเลยสักนิด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองจะเป็นบ้าแล้ว เมื่ออยู่กับฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วยังหาเหตุผลชอบเขาได้ เพราะตอนแรกฉู่หมิงเซวียนอ่อนโยนและเอาใจใส่เธอจริงๆ แต่เหลิ่งเซ่าถิงในตอนนี้ปฏิบัติกับเธอแย่มากขนาดนั้น ทำไมเธอถึงชอบเหลิ่งเซ่าถิงล่ะ?

และเหลิ่งเซ่าถิงชอบเธอไหม? ชอบผู้หญิงคนหนึ่งที่อาจจะพูดจาถากถางและไม่ใส่ใจเขาเหรอ? ถึงแม้ตอนนี้เหลิ่งเซ่าถิงจะแสดงความอ่อนโยนกับเธอเพียงเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงชอบเธอ ดังนั้นตอนนี้เธอแอบรักข้างเดียวเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาอย่างแรง พยายามปลอบตัวเองว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ภาพลวงตาของความผิดปกติฮอร์โมนในระหว่างการตั้งครรภ์เท่านั้น แต่หัวใจเต้นไม่สามารถสงบลงได้ทั้งคืน ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องยอมรับความจริงว่าเธอชอบเหลิ่งเซ่าถิงจริงๆ แต่ความรู้สึกแบบนี้เมื่อเทียบกับตอนอยู่กับฉู่หมิงเซวียนแล้ว มันรุนแรงกว่า

เจี่ยนอี๋นั่วง่วงนอนทั้งคืน เมื่อแสงแดดยามเข้าสาดส่องเข้ามา กลายเป็นยิ่งง่วง ถึงเธอจะนอนไม่หลับทั้งคืน แต่ก็ยังหลับตาอยู่ ทำท่าเหมือนยังนอนหลับ เพราะเธอไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร ไม่รู้ว่าควรต่อสู้กับเหลิ่งเซ่าถิงอย่างไร ยังต้องเก็บความรักที่ไม่รู้ว่ามาจากไหนเอาไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็ตื่นแล้วเช่นกัน เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยเธอ จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ ห่มผ้าห่มให้เธอแล้วลงจากเตียง การเคลื่อนไหวที่อ่อนโยนไม่เหมือนการเคลื่อนไหวที่เหลิ่งเซ่าถิงทำออกมาได้ มันทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนสาวๆ หลายคนที่ตกหลุมรักข้างเดียว จมอยู่ในการต่อสู้กับคำถามที่ว่าเขารักฉันหรือเขาไม่รักฉัน

เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น ก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงถือแก้วชาเดินไปข้างหน้าต่าง จิบมันเบาๆ เจี่ยนอี๋นั่วมองไปที่ด้านหลังเหลิ่งเซ่าถิง เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเหลิ่งเซ่าถิง แสงแดดยามเช้าตกกระทบใบหน้าเขา ทำให้โครงหน้าเขาอ่อนโยนลงมาก ผมเขายุ่งเล็กน้อย สวมชุดลำลอง ดูเหมือนหนุ่มหล่อสะอาดสะอ้าน

เจี่ยนอี๋นั่วเข้าใจในพริบตาเดียวว่าทำไมเธอถึงชอบเหลิ่งเซ่าถิง เพราะเหลิ่งเซ่าถิงแค่ยืนตรงนั้น เขาก็กลายเป็นภาพวาด เจี่ยนอี๋นั่วก็เป็นคนธรรมดา เธอมองสิ่งสวยงามเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะชอบมัน ยิ่งไปกว่านั้นเหลิ่งเซ่าถิงคนนี้ก็ยังเป็นสามีเธออีกด้วย และถือว่าเป็นพ่อของเด็กในท้องเธอ เธอจะไม่ชอบได้อย่างไร?

เหลิ่งเซ่าถิงยกแก้วชาหันตัวกลับไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างช้าๆ “วันนี้เธอตื่นเช้าจังนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบก้มหน้า พูดขึ้นเสียงเบา “ฉัน……ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็ก้มหน้า เห็นเหลิ่งเซ่าถิงที่เคยนอนข้างเธอ ก็พูดเสียงทุ้ม “เมื่อกี้ตอนฉันตื่น เหมือนรู้สึกว่าคุณกอดฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา “อืม ต้องโทษที่เธอนอนไม่ถูกวิธี ตอนนี้เธอท้องอยู่ ถึงฉันจะเลือดเย็น ก็ไม่อยากเห็นเธอหล่นพื้นไปแท้งลูกไปต่อหน้าหรอกนะ ถึงจะอยากให้เด็กคนนี้หายไป ก็ควรให้หมอทำ ไม่ควรปล่อยให้ฉันทำต่อหน้า และฉันก็ไม่ชอบเห็นเลือดด้วย”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็เงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง “แค่เพราะคุณไม่อยากเห็นเลือดเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะเบาๆ ค่อยๆ เดินไปหาเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มเยาะแล้วถามขึ้น “แล้วเธอคิดว่าเหตุผลอะไร? คุณเจี่ยนอย่าเข้าใจฉันผิดนะ ฉันไม่เกิดความรู้สึกดีๆ กับผู้หญิงอย่างเธอเลยสักนิด นอนเตียงเดียวกับเธอ มันเลี่ยงสัมผัสทางร่างกายไม่ได้ เธออย่าคิดมากเกินไป ถ้าฉันมีความรู้สึกกับเธอจริงๆ ฉันไม่แค่กอดเธอหรอก ฉันจะจูบเธอ สัมผัสเธอ แล้วก็นอนกับเธอ ถึงแม้เธอจะท้องอยู่ ฉันก็ควบคุมความปรารถนาของตัวเองไม่ได้หรอก แต่ตอนนี้เธอนอนหลับไม่น่าไว้วางใจเกินไป จะหล่นพื้นตลอดเวลา ฉันแค่กอดเธอเอาไว้ มันไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่น”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเยาะตัวเอง “ฉันไม่ได้คิดอะไรมาก ฉันรู้สถานะฉันดี และรู้ว่าคุณชายใหญ่เหลิ่งไม่ชอบผู้หญิงอย่างฉันหรอกค่ะ”

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ฉันก็ไม่อยากให้เธอชอบฉันเหมือนกัน ความรู้สึกไร้ประโยชน์นั้นมันไม่ดีกับเธอและกับฉัน และอาจจะเพราะเด็กในท้องเธอทำให้เธอรู้สึกว่าเธอกับฉันมีการเชื่อมโยงอะไรบางอย่างที่พิเศษ แต่เธอมีสติหน่อย เธอต้องจำว่าเด็กคนนี้เกิดขึ้นได้ยังไง ไม่อย่างนั้นเธอจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดใจมาก พรุ่งนี้ฉันจะให้คนเพิ่มเตียงเสริม ให้เธอใช้บำรุงครรภ์ คุณย่าคงไม่ออกความเห็นอะไร ต่อไปเราจะนอนแยกเตียงกัน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิง หัวเธอเหมือนจะระเบิดโดยทันที เหลิ่งเซ่าถิงรู้อะไรงั้นเหรอ? เขารู้ว่าเธอชอบเขาเหรอ? ไม่อย่างนั้นเหลิ่งเซ่าถิงจะพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้อย่างไร? แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามออกไปไม่ได้ ถ้าถามออกไปจริงๆ มันจะทำให้เธออึดอัดใจมากเกินไป

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากถาม แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ทิ้งความรู้สึกใดๆ แก่เจี่ยนอี๋นั่วเลย เขาขมวดคิ้วพูดขึ้นเสียงทุ้ม “ฉันรู้เมื่อคืนเธอไม่ได้หลับ เสียงหัวใจเธอเต้นเร็ว ฉันคิดว่าหัวใจเธอจะกระโดดออกมาแล้ว ผู้หญิงที่ชอบฉันเยอะมาก ฉันรู้ว่าเวลาผู้หญิงชอบผู้ชายมันเป็นยังไง ผู้หญิงคนอื่นจะคิดยังไงฉันไม่สนใจ แต่เธอไม่เหมือนกัน สถานะและลูกในท้องของเธอ ทำให้เธอมีภาพลวงตาว่าสามารถอยู่กับฉันได้นานๆ นี่มันเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับฉัน”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากแน่น มองเหลิ่งเซ่าถิง หายใจเข้าลึกๆ ร่างกายสั่นเล็กน้อย เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าในชีวิตเธอยังมีประสบการณ์อันน่าอับอายมากกว่านี้หรือไม่ แต่ตอนนี้มันเป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิตเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงผลุบตามองเจี่ยนอี๋นั่ว “ดูเหมือนฉันต้องปฏิเสธเธอจริงๆ จังๆ สักครั้ง ฉันไม่อาจชอบผู้หญิงแบบเธอได้ ฉันยอมรับว่ารูปร่างเธอดี เด็กในท้องเธอก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่ต้องปกป้องเธอ แต่ความรู้สึกนี้ฉันมีให้เด็กในท้อง เมื่อเธอคลอดลูกออกมา ฉันกับเธอก็จะเป็นแปลกหน้ากัน ฉันคงไม่เกิดความรู้สึกอยากปกป้องเธออีก เธอไม่ใช่ผู้หญิงที่ฉันชอบแน่ๆ ตรงกันข้าม เธอมีหลายอย่างที่ฉันเกลียดมาก เธอมีประโยชน์แต่มีอำนาจและเล่ห์เหลี่ยมมากเกินไป ฉันชอบเด็กผู้หญิงที่ไร้เดียงสามากกว่า และไม่ใช่ผู้หญิงแบบเธอ”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมุมปาก ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา นี่เธอเป็นอะไร? ความรู้สึกดีที่เพิ่งงอกขึ้นมา ถูกเหลิ่งเซ่าถิงเหยียบย่ำในพริบตาเดียว แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่โทษเหลิ่งเซ่าถิงหรอกนะ เพราะทั้งๆ ที่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงดูถูกเธอ เธอยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้ลง ต่ำต้อยเกินไปจริงๆ เธอควรโดนด่า นี่ทำให้เธอมีสติขึ้นมาหน่อย สามารถตื่นขึ้นมาจากภาพลวงตาในการชื่นชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้

“คำพูดของคุณชายเหลิ่ง ฉันจำมันได้แล้ว ฉันชอบคุณจริงๆ เมื่อกี้เพิ่งรู้ ฉันไม่รู้หรอกว่าทำไมเป็นแบบนี้ และฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงชอบคุณ บางทีอาจจะเพราะคุณรวย บางทีอาจจะเพราะคุณหน้าตาดี และบางทีอาจจะเพราะตอนคุณกอดฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าคุณกำลังปกป้องฉัน เกิดภาพลวงตาว่าฉันชอบคุณได้ แต่ต่อไปนี้ไม่แล้วล่ะ ฉันจะระงับความรู้สึกนี้เอาไว้ กำจัดมันคลุมมันเอาไว้ ทำให้มันหายไปตลอดกาล”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดขณะที่ยิ้มแล้วยืนขึ้น พูดเสียงทุ้มกับเหลิ่งเซ่าถิง “ฉันขอบคุณคุณมากนะ ที่ปฏิเสธฉันตรงๆ แบบนี้ ทำให้ฉันมีสติขึ้นมาอีกครั้ง ไม่งั้นถ้าฉันชอบคุณมากขึ้น จุดจบของฉันจะต้องยิ่งอึดอัดใจมากแน่ๆ ฉันยอมรับว่าฉันชอบคุณ แต่เรื่องที่ชอบคุณ ฉันสัญญาว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะยอมรับตรงๆ เขาตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว พูดขึ้นเสียงทุ้ม “เธอคิดอย่างดีได้ก็ดีมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปาก ประคองท้อง ยิ้มแล้วพูดขึ้น “งั้นฉันลงไปเดินเล่นในสวนดอกไม้ก่อนนะ ถ้าต่อจากนี้ฉันทำอะไรที่ทำให้คุณคิดว่าฉันชอบคุณ ก็หวังว่าคุณจะเตือนฉัน ฉันจะรีบแก้ไขมันทันที และหวังว่าต่อจากนี้ตอนคุณกอดฉัน ห่มผ้าให้ฉัน ก็บอกฉันว่าที่คุณทำไปทั้งหมดมันเพราะฉันหรือเด็กในท้อง หรือต้องการแสดงให้คนอื่นเห็น ฉันจะได้ไม่เข้าใจผิด”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันตัวเดินออกไปจากห้อง เหลิ่งเซ่าถิงมองแผ่นหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้ว เขายกมือขึ้นนวดขมับ จู่ๆ ก็รู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก

เขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาด เขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้หลับ จริงๆ แล้วตื่นตลอดเวลา เขาเห็นความเหนียมอายของเจี่ยนอี๋นั่วตอนถามเบาๆ ว่าทำไมเขาถึงกอดเธอ เขาแน่ใจว่าจะไม่ชอบผู้หญิงอย่างเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่มีทางยอมรับภรรยาของตนที่น่าอับอายตั้งแต่แรก

การปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา ทำให้เธอตัดใจ มันก็ดีกับเขา และยิ่งดีกับเธอด้วย ครั้งหนึ่งเหลิ่งเซ่าถิงเคยปฏิเสธผู้หญิงมามากมาย ถึงขนาดบางครั้งแม้แต่การปฏิเสธก็ขี้เกียจจะพูด แค่ส่งสายตาเย็นชาออกไป ก็ทำให้ผู้หญิงคนนี้พ้นไปจากสายตาเขาได้

แต่อาจจะเพราะเจี่ยนอี๋นั่วยอมรับอย่างง่ายดายเกินไป ตกลงเด็ดขาดเกินไป ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงเกิดความรู้สึกว่าจริงๆ แล้วคนที่โดนปฏิเสธคือเขา

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองไปที่เตียง มองตำแหน่งที่นอนของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วขึ้นมาช้าๆ

เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่นอกประตู ยกมือขึ้นกุมหน้าตัวเอง เธอรู้สึกว่าเธอขายขี้หน้าเกินไปแล้วจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วเคยคบกับแฟนแค่ฉู่หมิงเซวียนคนเดียว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร มันค่อนข้างราบรื่นมากในตอนแรก เธอไม่เคยมีประสบการณ์แอบชอบผู้ชายในช่วงวัยรุ่น

เหลิ่งเซ่าถิงเป็นคนแรกที่เธอตกหลุมรักก่อน แต่เป็นผู้ชายที่ปฏิเสธอย่างไร้ความปรานี ที่น่าขำที่สุดก็คือ เธอไม่ทันได้สารภาพรัก ไม่ทันได้ซ่อนตัวด้วยซ้ำ ก็ถูกเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธอย่างไร้ความปรานีเสียแล้ว ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่าสาวงามคนใดจะสามารถทำให้ประเทศชาติล่มจมได้ รู้สึกว่านั่นเป็นพระราชาที่ไร้ความรับผิดชอบ

แต่ตอนนี้เธอรู้สึกจริงๆ ว่าถ้ามีใครสักคนหน้าตาระดับเหลิ่งเซ่าถิง ก็อาจจะมีพระราชายินยอมที่จะจุดสัญญาณไฟหยอกล้อเจ้าแห่งรัฐจริงๆ ก็ได้ อย่างไรแล้วเธอที่ปกติสามารถควบคุมได้ ก็ยังพ่ายแพ้ให้กับใบหน้าเหลิ่งเซ่าถิง ทำอะไรโง่ๆ มากมายออกไปด้วยความสับสน

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากห้องและไม่มีที่ไป ก็เดินถึงสวนดอกไม้ นั่งหลบในมุมแถวๆนั้น ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกไม่มีที่จะอยู่ คฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่ง ในคฤหาสน์มีห้องเยอะมาก เจี่ยนอี๋นั่วกลับหาไม่เจอมุมที่ตัวเองอยู่คนเดียวได้ เธออยากกลับบ้านมากและอยากอยู่ในห้องของตัวเอง และอยากอยู่เงียบๆคนเดียว ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาไม่กี่วันที่ทำให้เธอไม่ต้องพบเจอหน้าของเหลิ่งเซ่าถิง ก็ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับเธอแล้ว

แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วก้มมองไปที่ท้องน้อยของตัวเอง สภาพของเธอในตอนนี้สามารถกลับบ้านของตัวเองได้เหรอ อย่างน้อยควรรอให้เธอคลอดลูกก่อนถึงจะกลับบ้านได้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าตัวเองปรากฏตัวต่อหน้าเฮ่อเยี่ยนหงและคนอื่นๆจะเกิดอะไรขึ้น ต้องเจอกับคำพูดดูถูกเยาะเย้ยขนาดไหน

เธอพบเจอกับคำพูดดูถูกเยาะเย้ยมามากเพียงพอแล้ว เกินขอบเขตที่เธอจะรับได้แล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกลัวว่าจากการที่ถูกดูถูกและเยาะเย้ยครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นกับเธอในวันนั้น มันจะครอบงำจิตใจของเธอทั้งหมด และเธออาจจะคุมสติของตัวเองไม่อยู่ อาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดได้

เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติอารมณ์ของตัวเอง จึงกลับถึงห้องของเหลิ่งเซ่าถิง พอเดินกลับถึงในห้องพบว่าด้านข้างเตียงใหญ่มีเตียงเล็กๆหนึ่งเตียง เจี่ยนอี๋นั่วมองหน้าเหลิ่งเซ่าถิง เผอิญว่าเหลิ่งเซ่าถิงก็กำลังมองหน้าเธออยู่ เจี๋ยนอี๋นั่วจ้องมองไปทางเตียงเล็กๆพร้อมถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ“เตียงนี้สำหรับฉันใช่ไหมคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า “เตียงนี้ไม่สูง ถึงเธอจะตกจากเตียงก็คงไม่เป็นอะไร”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วยพร้อมกับมองสำรวจเจี่ยนอี๋นั่ว แต่เจี่ยนอี๋นั่วกลับไม่มองเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เหลิ่งเซ่าถิงถึงกับขมวดคิ้วและหันกลับไปมองที่โน๊ตบุ๊ค

“อืม ฉันจะพักผ่อนแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็กๆเตียงนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วแสดงท่าทางปกติ ปกปิดความรู้สึกอึดอัดใจไว้ข้างใน ทำเหมือนไม่เคยมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ในห้องกลับมาเงียบสงบดั่งเดิม เงียบสงบจนเหลิ่งเซ่าถิงได้ยินเสียงลมหายใจของเจี่ยนอี๋นั่วจากระยะไกล

ณ เวลานี้ เจี๋ยนอี๋นั่วได้นอนหันข้าง เพราะว่ากำลังตั้งครรภ์และอายุครรภ์ก็มากแล้ว เธอไม่ได้เหมือนผู้หญิงทั่วไปแล้ว แต่เธอกลับอ่อนโยนมากขึ้นเพราะว่ามีก้อนเนื้ออยู่ในท้อง เดิมเธอมีหน้าตาที่จิ้มลิ้มตอนนี้กลับดูมีน้ำมีนวลมากขึ้น ในเวลาที่เธอนอน ริมฝีปากของเธอจะทำท่าปากจู๋โดยที่เธอไม่รู้ตัว ริมฝีปากอวบอิ่มและอ่อนโยนเหมือนกับเด็กน้อย

เหลิ่งเซ่าถิงหน้าขมวดคิ้วมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วซึ่งเธอก็ไม่รู้ตัว เหลิ่งเซ่าถิงทนไม่ไหวพร้อมบิดที่นิ้วของเธอเบาๆ ราวกับว่ากำลังลูบที่ริมฝีปากของเจี๋ยนอี๋นั่ว ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ตื่นจากความฝัน รีบหันหน้าไปทางอื่นและไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วอีกเลย

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วนอนหลับอยู่นั้น เหลิ่งเซ่าถิงยังคงจ้องมองเธออยู่ ตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้าห้องของเหลิ่งเซ่าถิง ความรู้สึกของเธอก็ถูกปิดกั้น ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่มีความรู้สึกเหมือนท่อนไม้ ถ้าไม่อย่างนั้นเธอจะไม่สามารถทำใจให้นอนห้องเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วจะตื่นเฉพาะเวลาที่กินข้าวหรือเวลาที่ต้องตรวจร่างกายเท่านั้น ช่วงเวลาที่เหลือเธอก็จะนอนที่เตียงเล็กๆนั้นโดยที่ไม่อยากลืมตาด้วยซ้ำ เวลาผ่านไปจนค่ำ เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเปลี่ยนชุดนอน ระหว่างที่เอนตัวลงนอนบนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วนอนอยู่บนเตียงเล็กๆเตียงนั้น ยังคงปิดตานอนหลับอยู่เหมือนเดิม

ในที่สุดก็สามารถนอนบนเตียงคนเดียวได้โดยที่ไม่ต้องกังวลกับผู้หญิงโง่ๆที่อยู่ๆตกจากเตียงแล้วแท้ง ทำให้เกิดเหตุการณ์นองเลือดหนึ่งศพสองชีวิต เหลิ่งเซ่าถิงคิดว่าเขาคงนอนหลับได้ทันที แต่ว่าเมื่อเขาหลับตาลงก็ไม่สามารถนอนหลับได้

ฝ่ามือของเขาเย็นยะเยือกและดูเหมือนสัมผัสที่อบอุ่นจะขาดหายไป หน้าอกของเขาว่างเปล่า ดูเหมือนว่าควรจะมีบางอย่างวางอยู่บนหน้าอกของเขา และเขาก็สูดลมหายใจอุ่นๆ ออกมาเบา ๆ

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้วกลิ้งไปมาสองสามครั้ง และในที่สุดก็ลืมตาขึ้นจ้องมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่ว ดูเหมือนว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะหลับแล้วจริงๆ ลมหายใจของเธอเริ่มเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ และเธอจะพูดพึมพำพึมพำอย่างคลุมเครือในความฝัน ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็โกรธมาก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่ามันผิดตรงไหน

แต่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้สึกว่า คนที่ควรนอนหลับสบายควรจะเป็นเขามากกว่า คนที่นอนไม่หลับควรจะเป็นเจี่ยนอี๋นั่วซะมากกว่า ดูเหมือนว่าเรื่องราวกลับพลิกผันไปหมด ตอนนี้ดูเหมือนว่าเป็นเขาที่ถูกปฏิเสธ และเจี่ยนอี๋นั่วต่างหากที่เป็นฝ่ายชนะ เหลิ่งเซ่าถิงเกลียดท่าทางไม่รู้สึกรู้สาแบบนี้ของเจี่ยนอี๋นั่วเอามากๆ

เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้นแล้วนั่งข้างเตียง เขาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่วนานสักพัก ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างๆเจี่ยนอี๋นั่ว

เมื่อเหลิ่งเซ่าถิงเอื้อมมือไปวางที่หน้าท้องส่วนล่างของเจี่ยนอี๋นั่ว และรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวของทารกในครรภ์ของเจี่ยนอี๋นั่วเล็กน้อย เหลิ่งเซ่าถิงหายใจออกเบาๆด้วยความโล่งอก และอารมณ์ของเขาดูเหมือนจะไม่หงุดหงิดอีกต่อไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมากับการหาวมันเป็นเช้าวันใหม่แล้ว ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเปลี่ยนชุดอยู่ ห้องเปลี่ยนชุดประตูไม่ได้ปิดไว้ เป็นเหตุทำให้เจี่ยนอี๋นั่วสามารถมองเห็นด้านหลังของเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงสวมใส่ชุดสูทสีเงิน

ใช่ว่าใครๆก็สามารถสวมใส่ชุดสูทสีเงินนี้ได้ ผู้ชายบางคนสวมใส่สูทสีเงินทำให้ดูไม่สง่า แต่ว่าเมื่อสวมใส่อยู่บนตัวของเหลิ่งเซ่าถิงกลับดูเหมาะสมมาก สีเงินหรูหราเข้ากับเหลิ่งเซ่าถิงมากๆ และสีเสื้อก็ไม่มืดทึบเท่าสีดำ แต่กลับทำให้เหลิ่งเซ่าถิงดูอ่อนโยนมากขึ้น

แม้ว่าเมื่อวานพี่งจะถูกเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธด้วยท่าทีที่ไม่แยแส เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิง ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าตั้งแต่พบเจอผู้ชายมา ยังไม่มีผู้ชายคนไหนที่ใส่สูทเหมาะสมและดูดีขนาดนี้ ถึงแม้ผู้ชายบางคนใส่แล้วดูดีแต่ก็ไม่มีใครเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิงได้สักคน ก็เหมือนกับฉู่หมิงเซวียนที่เป็นผู้ชายที่ดูดีแต่ไม่มีความมั่นใจเท่าเหลิ่งเซ่าถิง มีเพียงเหลิ่งเซ่าถิงเท่านั้นที่ใสสูทดูแล้วสง่างามที่สุด

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้าไปมองเจี่ยนอี๋นั่ว เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วต้องการหันหน้าหนี แต่คิดได้ว่าถ้าเธอหันหน้าหนีก็ยิ่งจะทำให้หล่อนดูรู้สึกผิดมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่หันหน้าหนี เธอถามเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “งานเลี้ยงจัดขึ้นในวันนี้เหรอคะ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดว่า: “ทำไมเหรอ คุณก็อยากไปด้วยเหรอ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วสักครู่ หลังจากนั้นใช้มือจับท้องตัวเองพร้อมกับพยักหน้า:“คุณคงไม่อยากไปพร้อมกับฉันหรอก ฉันก็ไม่ได้อยากไป ฉันจะรออยู่ตรงนี้และดูแลลูกในครรภ์ของฉัน”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า:“ทางเลือกของคุณถูกต้องแล้ว คุณไม่เหมาะกับงานเลี้ยงที่จัดขึ้นในคฤหาสน์แห่งนั้น และคนรับใช้ในบ้านจะให้ไปช่วยงานบางส่วน ฉันอาจจะกลับมาดึกหน่อย คุณดูแลตัวเองดีดีนะ……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบเขาก็หยุดทันทีพร้อมขมวดคิ้วและหยุดพูด ราวกับว่าเขากำลังซ่อนอะไรไว้อยู่และรีบหยิบเนคไทออกจากห้องแต่งตัวพร้อมผูกไทให้กับตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ประโยคสุดท้ายที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดแฝงไว้ด้วยความหมายอะไร เธอก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเหลิ่งเซ่าถิงปฏิเสธเธอขนาดนั้น เธอก็จะพยายามที่ไม่รักเหลิ่งเซ่าถิงอีกต่อไป และจะไม่สนใจว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะสนใจหรือชอบเธอหรือไม่

ตอนนี้สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว เธอรู้ว่าสักวันเหลิ่งเซ่าถิงต้องออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ตระกูลเหลิ่งแน่นอน ทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งใจพร้อมกับรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้า ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงผูกเน็กไทไปด้วยพร้อมมองเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วยนั้น เขามองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วหลังจากที่เขาพูดว่าเขาอาจจะกลับมาช้ามาก ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออกมาด้วยความโล่งใจ เหลิ่งเซ่าถิงก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้งขมวดคิ้ว เขาก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย

ด้วยอารมณ์ที่หดหู่ ใบหน้าของเหลิ่งเซ่าถิงก็สุขุมลงไม่กี่นาที เมื่อเขาเดินออกจากห้องไป ทันใดนั้นหน้าตาของเขาก็ดูน่ากลัวเอามากๆ

แต่ว่าในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงออกจากห้องไป ในที่สุดเธอก็ยิ้มออกมาได้ เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้อยู่ในห้องนี้แม้แต่อากาศในห้องก็น่าดมมากขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วครุ่นคิดไปด้วยพลางยิ้มขณะลูบท้องไปด้วย ไม่รู้จริงๆว่าเธอจะชอบคนที่อารมณ์ร้ายอย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้อย่างไร หรือเป็นเพราะว่ารูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาภายนอกของเขาเท่านั้นเองหรือ?

“หลงใหลแค่รูปลักษณ์ภายนอกจนหัวปักหัวปำ ช่างไม่เอาไหนเลยจริงๆ……”เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมด่าตัวเอง รอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยความขมขื่น

เนื่องจากมีการเตรียมงานเลี้ยงและจัดงานเลี้ยงเร็ว คนรับใช้กว่าครึ่งหนึ่งในบ้านไปช่วยงาน แม้แต่คุณนายเหลิ่งก็เดินทางไปแต่เช้า ก่อนออกเดินทาง คุณนายเหลิ่งได้จับมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดว่า: “ตอนนี้เธอกำลังตั้งครรภ์ ไม่ไปร่วมงานเลี้ยงถือว่าเป็นเรื่องที่ดี สถานที่ที่เราจัดงานเลี้ยงก็ไม่ได้ไกลห่างจากคฤหาสน์ของเรามากนัก บางทีเธออาจจะมองเห็นการแสดงดอกไม้ไฟที่จุดขึ้นในงานเลี้ยง”

“ฉันทราบค่ะ……”เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มพร้อมก้มหัวลงมองคุณนายเหลิ่งเดินจากไปก็ย้อนกลับคฤหาสน์เหลิ่งอีกครั้ง

ถึงแม้ว่ามีการคัดเลือกคนรับใช้ไปครึ่งหนึ่ง เนื่องจากคฤหาสน์เหลิ่งนั้นใหญ่โตมาก แม้ว่าจะมีคนอยู่แต่ก็ดูกว้างมาก เจี่ยนอี๋นั่วนั้นดูเป็นตัวของตัวเองมาก หลังจากนั้นฟ้าก็มืดลง เจี่ยนอี๋นั่วได้ชงนมร้อนหนึ่งแก้วก็เดินไปถึงสวนดอกไม้ แหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้า เธอชอบดูการแสดงดอกไม้ไฟมาก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้วจะรู้ดีว่าดอกไม้ไฟนั้นอยู่ได้ไม่นาน ไม่มีประโยชน์ที่จะชอบดอกไม้ไฟเลย หลังจากที่ชื่นชมความงดงามของมัน มีแต่จะทำให้เศร้าโศกและเหงา แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้

เธอยังคงถูกความงามของดอกไม้ไฟดึงดูด เมื่อเธอได้ยินว่าจะมีการจุดแสดงดอกไม้ไฟ เธอก็อดไม่ได้ที่ใช้สองมือกุมแก้วนมพร้อมกับนั่งรอบนเก้าอี้โยกนั้น

โดยทั่วไปนั้นงานเลี้ยงจะจัดขึ้นตอนเวลาสองทุ่ม ดอกไม้ไฟจะจุดขึ้นในเวลาสามทุ่มหรือประมาณสี่ทุ่ม เพราะว่าคุณนายเหลิ่งอายุมากแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงได้คำนึงถึงสุขภาพร่างกายของคุณนายเหลิ่ง ต้องจุดดอกไม้ไฟก่อนเวลาแน่นอน

เจี่ยนอี๋นั่วคาดการณ์เวลาที่จะแสดงดอกไม้ไฟ เวลาล่วงเลยไปจนถึงสามทุ่ม ทันใดนั้นบนฟ้ามีการแสดงดอกไม้ไฟขึ้นตามเวลาที่กำหนด ความงามของดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ที่แผ่กระจายสวยงามอยู่บนท้องฟ้า ส่องแสงสวยงามระยับบนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วได้ชมความงามของดอกไม้ไฟพร้อมรอยยิ้มพูดว่า: “สุขสันต์วันเกิดนะ”

ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วจำไม่ได้ว่าเป็นวันเกิดของตัวเอง หลังจากที่คนในคฤหาสน์ออกไปกันหมดเธอถึงจำได้ว่าวันนี้วันเกิดของเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอฉลองวันเกิดด้วยตัวเองแบบนี้ เมื่อก่อนคุณพ่อจะฉลองวันเกิดด้วยกันกับเธอเสมอ แต่ว่า ณ เวลานี้คนที่จะจำวันเกิดของเธอได้นั้น ได้นอนอยู่บนเตียงคนไข้แล้ว และไม่สามารถย้ำเตือนเธอได้อีก:อี๋นั่ว วันนี้เป็นวันเกิดของลูก กลับบ้านเช้าหน่อยนะ พ่อซื้อเค้กวันเกิดเตรียมไว้รอหนูที่บ้านแล้วนะ

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆหรี่ตาลงและแหงนมองขึ้นไปดูท้องฟ้า เมื่อดอกไม้ไฟดับลงทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ความมืดมิดเหมือนเดิม เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลงอย่างยากลำบาก

นี่ คุณกำลังตั้งครรภ์อยู่ มานอนอยู่ที่นี้ได้อย่างไรกัน มันไม่ดีต่อทารกในครรภ์รู้ไหม "เสียงทุ้มต่ำดังขึ้นเบาๆข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมกับน้ำเสียงหัวเราะเยาะเบา ๆ

เจี่ยนอี๋นั่วรีบลืมตาขึ้นทีนที หันหน้าไปทางต้นเสียง อาศัยแสงอันน้อยนิดสอดส่องมาจากดวงจันทร์ เจี่ยนอี๋นั่วมองข้างๆกายตัวเองนั้น ที่แท้คือ เหลิ่งหมิงอัน

เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากพูดคุยกับเหลิ่งหมิงอัน เธอลุกขึ้นยืนทันที และเตรียมจะกลับเข้าไปในคฤหาสน์ เหลิ่งหมิงอันเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจ เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออยู่ด้วยกันกับเหลิ่งหมิงอัน เธอทำได้เพียงพยายามหลีกเลี่ยงและออกห่างจากเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันรีบเดินตามหลังไปข้างตัวเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมเหรอ? ไม่ชอบที่เจอฉันเหรอ? นี่เป็นเพราะเธอนะ ฉันถึงไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยง ฉันตั้งใจมาอยู่เป็นเพื่อนกับเธอโดยเฉพาะเลยนะ ถูกทิ้งให้อยู่คฤหาสน์คนเดียวในใจคงอึดอัดไม่น้อยสินะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งหมิงอันด้วยสายตาที่เย็นชา และไม่สนใจใยดีกับคำพูดของเหลิ่งหมิง พร้อมเดินตรงไปทันที

“เธอนี่ช่างเป็นผู้หญิงที่เอาใจยากเสียจริงๆ “ เหลิ่งหมิงอันยกมือแล้วคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันควับกลับไปพร้อมตะโกนออกไปว่า “ปล่อย!”

แต่ว่าทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดจบ ก็ต้องตกตะลึงทันที เธอมองแขนของเหลิ่งหมิงอันข้างนึงจับแขนของเธอไว้ แต่ว่าอีกข้างหนึ่งถือเค้กชิ้นหนึ่งใหญ่เท่าฝ่ามือ เหลิ่งหมิงอันยิ้มเบาๆเมื่อมองหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วปล่อยมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมจุดดอกไม้ไฟเล็กๆในมือของเขา

หลังจากจุดดอกไม้ไฟชิ้นหนึ่ง เหลิ่งหมิงอันยิ้มและยื่นไปที่มือของเจี่ยนอี๋นั่ว ใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วถูกย้อมไปด้วยแสงจากดอกไม้ไฟ เจี่ยนอี๋นั่วมองดอกไม้ไฟในมือของตัวเอง ขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า: นี่คุณกำลังทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มพร้อมพูดว่า:”สุขสันต์วันเกิดนะเจี่ยนอี๋นั่ว”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดเช่นเดิม:”คุณรู้ได้อย่างไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้ม:”นี่เป็นความลับอะไรเหรอ?สืบหาหน่อยก็รู้ละ สำหรับต่อหน้าคนที่ตั้งใจทำอะไรสักอย่างมันไม่มีหรอกความลับ”

เจี่ยนอี๋นั่วก้มลงมองเค้กที่มือของเหลิ่งหมิงอัน พร้อมกระซิบกล่าว:”ขอบคุณเบาๆ”

“โอ้ ……เป็นโอกาสยากมากที่จะได้ฟังคำพูดดีๆจากปากของคุณ “เหลิ่งหมิงอันเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”ต้องการขอบคุณฉัน งั้นจูบฉันสักทีสิ”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินถอยหลัง:”คุณอย่าพูดล้อเล่น จงอย่าพยายามสร้างสถานการณ์ทำให้ฉันลำบากใจมากขึ้น? คุณเติบโตที่ตระกูลเหลิ่ง คุณก็คงไม่ใช่องค์ชายที่เที่ยวเตร่ไปวันๆหรอก และฉันไม่เชื่อว่าการที่คุณเข้าใกล้ฉันคุณจะไม่มีจุดประสงค์อะไรแฝงไว้ ไม่ว่ายังคุณเข้าใกล้ฉันด้วยจุดประสงค์อะไรฉันก็ไม่มีวันที่จะร่วมมือกับคุณหรอกนะ ต่อไปนี้หวังว่าคุณจะรักษาระยะห่างระหว่างคุณกับฉัน ไม่ว่ายังไงวันนี้ฉันก็ขอบคุณคุณมากๆสำหรับเค้กที่คุณซื้อให้ฉัน และสำหรับการแสดงดอกไม้ไฟ ฉันขอบคุณคุณมากจริงๆ……”

ระหว่างที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น ได้เอื้อมมือไปตักเค้กบนมือของเหลิ่งหมิงอันหนึ่งช้อนเบาๆ ป้อนเข้าปากของตัวเอง พร้อมพูดว่า:”รสชาติเค้กก็ไม่เลวนะ น้ำใจที่คุณให้ฉันในครั้งนี้ฉันรับมันไว้แล้ว ตอนนี้เวลาดึกแล้ว ฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ”

เหลิ่งหมิงอันเก็บรอยยิ้มเหลาะแหละของเขา ทำตาหรี่ๆมองเจี่ยนอี๋นั่ว พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:” คุณพูดว่าผมไม่ใช่คนที่ดี?หรือคุณกลัวว่าผมจะผสมอะไรลงไปในเค้กให้คนตั้งครรภ์ทานเหรอ?”

“ไม่ได้กลัว”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้าขึ้นมองเหลิ่งหมิงอัน :”คุณไม่โง่เขลาขนาดนั้นหรอก การที่คุณเข้าใกล้ฉันเพื่ออยากให้ฉันเป็นพวกเดียวกับคุณ ไม่เช่นนั้นคุณก็คงไม่ทำแบบนี้ การที่ฉันสามารถอยู่ใกล้เหลิ่งเซ่าถิงเหตุผลเป็นเพราะว่าฉันตั้งครรภ์ลูกคนนี้ ถ้าฉันเสียลูกคนนี้ไป เพราะเหตุผลใดยังต้องอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิง?มันจะหลอกใช้ได้อีกงั้นหรือ?ความคิดที่คุณคิดไว้กับฉันมันไม่ศูนย์เปล่าหรอกเหรอ?”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: “ในใจของคุณคิดว่าผมเป็นคนที่ฉลาดมากงั้นเหรอ ในเมื่อคุณไม่รู้สึกต้องระวังคนอย่างผมแล้วทำไมต้องคอยหลบอยู่แต่ในห้องด้วยล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า:”คุณต้องการจะหลอกใช้ฉัน มันไม่ได้หมายความว่าคนรอบข้างของคุณทุกคนก็ต้องการจะหลอกใช้ฉัน บางคนมองลูกในท้องของฉันไม่ได้เป็นดั่งตัวหมากรุกที่สามารถหลอกใช้ได้ แต่กลับเป็นหนามยอกอก”

เหลิ่งหมิงอันเอียงศีรษะมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มพร้อมส่ายหน้า:”สมมติฐานของคุณพูดเหมือนผมเป็นคนที่เลวทราม ผมเสียใจมากๆที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเบาๆพูดว่า:”ฉันเต็มใจและกล้าที่จะพูดเปิดเผยกับคุณทุกอย่าง แล้วทำไมคุณยังต้องแสดงละครอีก?ฉัน……”

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูดอยู่นั้น ทันใดนั้นแสงดอกไม้ไฟที่อยู่ในมือก็ตกลงมาที่หลังมือของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วหายใจด้วยความเจ็บปวด

“ทำไมถึงไม่รู้จักระมัดระวัง?” เหลิ่งหมิงอันรีบคว้ามือของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพาเจี่ยนอี๋นั่วไปที่น้ำพุในสวนดอกไม้ทันที แล้วล้างหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วด้วยน้ำเย็น

เมื่อเห็นว่าหลังมือเจี่ยนอี๋นั่วแดงไปทั้งมือ เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวดพูดกับเจี่ยนอี๋นั่วน้ำเสียงเบาๆ:”ผมจะไปเอาน้ำมันยามาทาให้คุณ……”

“ไม่ต้อง”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือพร้อมพูดว่า:”ฉันไม่จำเป็นต้องทาน้ำมันยา น้ำมันยามีผลกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ตอนนี้ฉันกำลังตั้งครรภ์มันส่งผลไม่ดีต่อเด็ก ฉันอดทนแปบๆเดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

“ถ้าคุณไม่ทาน้ำมันยานี้มันจะเป็นรอยแผลเป็นนะ “ เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวด”

ถ้าอย่างงั้นก็ให้มันเป็นรอยแผลเป็นละกัน”ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็หัวเราะ:ถ้าหากเป็นเพราะว่ากลัวเป็นรอยแผลเป็น ฉันก็อาจจะทำเรื่องร้ายบางอย่างเกี่ยวกับครรภ์ของฉัน ถ้าอย่างนั้นคนอย่างฉันคงไม่เหมาะที่จะเป็นแม่คนได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพลันเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน:”ขอบคุณ ที่ยังอุส่าฉลองวันเกิดให้กับฉัน แต่ว่าตั้งแต่นี้เป็นต้นไปอย่าทำแบบนี้อีก ฉันอยู่ตระกูลเหลิ่งอยู่ในฐานะเป็นพี่สะใภ้ของคุณ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็หันหลังกลับคฤหาสน์ เหลิ่งหมิงอันคิ้วหมวดมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เขารีบเดินไปประกบพร้อมคว้าตัวเจี่ยนอี๋นั่ว จูบลงที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วทันที เหลิ่งหมิงอันใช้แรงในการจูบมากจนเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงความเจ็บปวด และดูเหมือนว่าถูกเหลิ่งหมิงอันกัดจนเป็นแผล

เจี่ยนอี๋นั่วรีบผลักตัวเหลิ่งหมิงอันออก แต่ว่าแรงของเธอไม่สามารถสู้เหลิ่งหมิงอันได้ เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าขัดขืนมากนักเพราะกลัวลูกในครรภ์จะได้รับอันตราย ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจึงไม่สามารถผลักเหลิ่งหมิงอันออกได้

สุดท้ายเหลิ่งหมิงอันก็เป็นคนที่ปล่อยตัวเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วเลยหลุดพ้นออกมาได้ ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะเดินจากไปก็ง้างมือไปตบที่หน้าเหลิ่งหมิงอันทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”ฉันหวังว่าต่อไปคุณจะไม่คุกคามฉันอีก!”

“ขอโทษ เมื่อกี้ผมไม่ได้ตั้งใจ” เหลิ่งหมิงอันกล่าวด้วยร้อยยิ้มพลันลูบแก้มของตัวเองพร้อมพูดว่า

เหลิ่งหมิงอันกล่าวเช่นนั้นก็หยุดเล็กน้อย พูดด้วยร้อยยิ้ม:”ครั้งนี้ถึงจะตั้งใจทำจริงๆ…..”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ก็ดึงตัวเจี่ยมอี๋นั่วเข้าไปสวมกอดอีกครั้งและจูบที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้งหนึ่ง เพียงแต่ว่ารอบนี้อ่อนโยนกว่าก่อนหน้านี้ เจี่ยนอี๋นั่วระมัดระวังท้องของเธอไปด้วย และใช้แรงดิ้นไปด้วย จนกระทั้งเหลิ่งหมิงอันปล่อยเธออีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วน้ำตาซึมพร้อมเอื้อมมือตบหน้าเหลิ่งหมิงอัน

“หวานจัง!”เหลิ่งหมิงอันยกมือกุมมือของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:”ครั้งนี้ผมได้ลิ้มรสชาติความหวาน มันช่างวิเศษจริงๆ เป็นผู้หญิงของผมเถอะ ไม่ว่าก่อนหน้านี้ผมจะจงใจยุ่งกับคุณ หรือว่าตอนนี้คุณคิดว่าผมจงใจจะเข้าหาคุณ ต้องการหลอกใช้คุณ จากนี้เป็นต้นไปผมตั้งใจและจริงจังกับคุณจริงๆ! ผมจะทำทุกอย่างและทำได้ดีกว่าเหลิ่งเซ่าถิงแน่นอน เขามีอะไรดีถึงขั้นที่คุณต้องปฏิเสธผมตลอด หรือแท้ที่จริงแล้วคุณชอบเขาเข้าแล้วใช่ไหม?”

“คนบ้า! ฉันจะชอบหรือไม่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงมันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคุณ! “ เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังควับก็ถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งแล้วรีบเร่งเดินเข้าไปในห้องทันที

เหลิ่งหมิงอันยกมุมปากขึ้นยิ้มเบาๆ:”ดูเหมือนคงจะชอบจริงๆสักแล้วสิ”

หลังจากที่เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ก็ค่อยๆเก็บรอยยิ้มพร้อมเปลี่ยนสีหน้าเป็นสีหน้าที่โหดร้าย หัวเราะเยาะอย่างเย็นชาพูดว่า:”เจี่ยนอี๋นั่วคุณปฏิเสธผมอีกครั้งเป็นเพราะคุณมีใจให้กับเหลิ่งเซ่าถิงเข้าแล้วจริงๆ งานนี้สนุกแน่……”

เจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้องรีบเข้าห้องน้ำ เธอเอาน้ำอุ่นล้างหน้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองตัวเองในกระจก เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นริมฝีปากของหล่อนโดนเหลิ่งหมิงอันกัดจนเป็นแผล และไม่สามารถที่จะปกปิดแผลนั้นได้ ดูก็รู้ทันทีว่าแผลนี้เกิดจากขณะที่โดนผู้ชายจูบ

“เหลิ่งหมิงอันเป็นผู้ชายที่กวนประสาทมากจริง” เจี่ยนอี๋นั่วยกมือขึ้นลูบที่ริมฝีปากของเธอหลายครั้ง ปากก็ด่าเหลิ่งหมิงอัน พร้อมเดินออกจากห้องน้ำไป

ทันทีที่เดินออกจากห้องน้ำ ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นเหลิ่งเซ่าถิงยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องน้ำ จองมองเธออยู่เจี่ยนอี๋นั่วสะดุ้งตกใจกับการปรากฏตัวของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วก้าวถอยหลังทันที:”ทำไมคุณกลับมาแล้วล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถงจ้องมองไปริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วจนผ่านไปสักครู่ก็หันหลังกลับเพราะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”งานเลี้ยงจบลงแล้วผมจึงเลยกลับมา”

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาตอบกลับว่า:”อ้อ งั้นคุณใช้ห้องน้ำเถอะ ฉันจะไปพักผ่อนแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินผ่านข้างตัวเหลิ่งเซ่าถิง เดินจนถึงตรงหน้าเตียงนอนของตัวเองแล้วล้มตัวลงนอนพร้อมหลับตาลงทันที ท่ามกลางความมืดเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังเดินผ่านเตียงของตัวเองไปพร้อมล้มตัวลงนอนบนเตียงใหญ่เช่นกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเหมือนดั่งในอดีตที่ผ่านมาที่ทั้งสองก็เงียบไม่พูดคุยกัน แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วแสดงออกอย่างชัดเจนว่าอากาศในตอนนี้เย็น ยะเยือกขึ้นกว่าเดิม ทำให้เธออดไม่ไหวที่จะมุดตัวในใต้ผ้าห่ม

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง ที่สุดแล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็ถอนใจออกมาพูดขึ้นว่า:เมื่อกี้เหลิ่งหมิงอันจูบฉันโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว ฉันโดนเขาจูบ จูบแล้วสองครั้ง……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดพร้อมเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิงเขานอนนิ่งอยู่บนเตียง เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจเข้าลึกๆพร้อมพูดต่อว่า:”เขาตั้งใจให้มันมีร่องรอยเหลือไว้ อาจเป็นเพราะว่าอยากทำให้เราแยกออกจากกัน คงอยากใช้โอกาสนี้ให้ฉันหลงกลแล้วหลอกใช้ฉัน แต่ว่าฉันไม่อยากโดนหลอกใช้เลยสักนิด ฉันยอมพูดความจริงตอนนี้ดีกว่าคุณรู้เองทีหลังแล้วสงสัยในความสัมพันธ์ของฉันและเขาอีก แล้วยังสงสัยว่าฉันจะเป็นสายลับให้กับเขาอีก”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่ได้ยินเสียงตอบกลับของเหลิ่งเซ่าถิง เธอรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงน่าจะนอนหลับแล้วก็พึมพำคนเดียว ”ฉันก็มีส่วนผิด ไม่ควรเดินไปที่สวนคนเดียว แต่ว่าเขาก็เป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลเหลิ่ง มันหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องพบเจอกับเขา เขาเป็นผู้ชายและฉันก็ไม่สามารถต้านทานแรงของเขาได้ ถึงแม้ว่าฉันก็มีส่วนผิด แต่ฉันผิดแค่นิดเดียวเอง……”

“อือ “ ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงตอบกลับอย่างเย็นชา

เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังไม่หลับ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก:”คุณได้ฟังในสิ่งที่ฉันได้อธิบายก็ดีแล้ว การที่ฉันอธิบายนั้นไม่ได้แปลว่าฉันคิดไปเอง ดังนั้นไม่อยากให้คุณเข้าใจฉันผิด ฉันแค่อยากให้คุณรู้ว่าฉันไม่ใช่พวกเดียวกันกับเหลิ่งหมิงอัน ฉันไม่ชอบมีส่วนร่วมเล่ห์เหลี่ยมกลอุบายและการต่อสู้ของพวกคุณ เอาล่ะ ในส่วนที่ฉันควรพูดฉันก็พูดหมดแล้ว ฉันขอตัวนอนก่อนแล้วนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็หลับตาลง เหลิ่งเซ่าถิงก็พึ่งลืมตาแล้วมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว มองที่ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วค่อยๆหรี่ตาลง

รอยแผลที่เหลิ่งหมิงอันกัดไว้บนฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วนั้น พอในวันรุ่งขึ้นรอยแผลนั้นก็ยังไม่จางลง มิหนำซ้ำยิ่งร้ายแรงมากขึ้น รอบๆริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วบวมออกอย่างเห็นได้ชัด และอาการรอยบาดแผลเห็นชัดเจนมากขึ้น

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังส่องกระจกอยู่นั้น รู้สึกกังวลใจจนคิ้วขมวดจากนั้นยกมือไปถูบริเวณริมฝีปาก พูดพึมพำว่า:”ให้ตายสิ ไอ้หมาบ้า แล้วนี่ฉันจะออกไปพบเจอผู้คนได้อย่างไรกัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้จะไปพบเจอผู้คนได้อย่างไร เมื่อเช้าเธอเจอคนรับใช้ยังต้องใช้มือปิดปากของตัวเอง แล้วถ้าเจอคุณนายเหลิ่งและเธอคงไม่สามารถปิดปากไว้ได้ตลอดเวลาหรอกนะ?

“คุณจะส่องกระจกอีกนานไหม?” เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วในขณะที่เปลี่ยนชุดสูท

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เอามือบังริมฝีปากตัวเองกระซิบเบาๆ:”ฉัน……”

เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา เสียงเคาะประตูดังขึ้น เหลิ่งเซ่าถิงพูด: “เข้ามา”

ประตูห้องถูกเปิดยังไม่ทันไร คุณนายเหลิ่งก็เดินเข้ามาในห้องพูดกับทั้งสองคนว่า:” ย่าพึ่งได้ข่าวมา เมื่อวานเป็นวันเกิดของเจี่ยนอี๋นั่ว ย่าลืมสนิทเลย เป็นความผิดของย่าเองที่มองข้ามเรื่องนี้ไป วันนี้คุณนายเหลิ่งเข้าครัวด้วยตัวเองเพื่อตุ๋นรังนก อี๋นั่วถือซะว่าชดเชยวันเกิดย้อนหลังให้ละกันนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงเอียงหัวแล้วชายตามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ : วันเกิดของเธอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้า หลังจากนั้นรีบพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:”เกรงใจมากค่ะที่ต้องรบกวนคุณนายเหลิ่งฉันลืมสนิทเลยค่ะว่าเป็นวันเกิดของฉัน ยังจะทำให้คุณนายลำบากจำมันอีก”

“ไม่รบกวน ไม่รบกวน เธอเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเราแล้ว ยังจะรบกวนอะไรอีก คุณนายเหลิ่งหัวเราะมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วพร้อมกับหยุดชะงัก

คุณนานเหลิ่งเลิกยิ้มทันทีแล้วนิ้วก็ชี้ไปทางริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วถาม:”อี๋นั่ว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบปิดปากของตัวเองอย่างเร็ว ไม่รู้จะอธิบายกับคุณนายเหลิ่งยังไง เจี่ยนอี๋นั่วกล้าพูดความจริงกับเหลิ่งเซ่าถิงเพราะเหลิ่งเซ่าถิงตั้งใจจะเป็นคู่สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฏหมาย อีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงยังเป็นหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน เรื่องเกี่ยวกับความรักของชายหญิงน่าจะยอมรับได้มากกว่า เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าที่พูดความจริงกับเขาทุกอย่างและอธิบายให้ชัดเจนนั้น เป็นวิธีที่สามารถหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดได้มากที่สุด

แต่คุณนายเหลิ่งมีความตั้งใจที่อยากให้เธอเป็นหลานสะใภ้จริงๆ อย่างไรเสียคุณนายเหลิ่งอายุก็มากแล้วเรื่องราวที่เกี่ยวกับระหว่างหนุ่มสาว ท่านน่าจะค่อนข้างหัวโบราณ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถ้าหากคุณนายเหลิ่งรู้ความจริงว่า รอยแผลที่เกิดขึ้นบนริมฝีปากของเธอนั้น แท้จริงแล้วนั้นเหลิ่งหมิงอันเป็นคนกระทำมัน คาดการณ์ไว้ว่าคุณนายเหลิ่งอาจคิดเกินเลยเถิดระหว่างความสัมพันธ์เหลิ่งหมิงอันและเจี่ยนอี๋นั่ว แม้แต่เงินช่วยเหลือตระกูลเจี่ยนก็คงโดนระงับ

ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังขมวดคิ้วนั้น กระวนกระวายใจจนไม่รู้จะตอบกลับอย่างไรดี ก็ได้ยินเสียงจากเหลิ่งเซ่าถิงพูดขึ้นว่า:คุณย่าครับ มันเป็นเรื่องระหว่างผมกับอี๋นั่ว คุณย่าก็เลิกถามเถอะครับ อี๋นั่วเริ่มเขินอายแล้วครับ

คุณนายเหลิ่งรีบมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง หลังจากนั้นเอามือปิดปากหัวเราะออกมา:”ย่ากำลังพูดอะไรอยู่เนี่ย มันต้องเป็นเรื่องที่ดีแน่นอน ตอนนี้เป็นดั่งที่ย่าคิดไว้จริงๆใช่ไหมละ?เอาเถอะมันเป็นเรื่องของคนหนุ่มสาว ย่าจะไม่ถามอีกละ พวกเธอค่อยๆเรียนรู้ซึ่งกันและกันเถอะ”

คุณนายเหลิ่งพูดจบ ก็สั่งคนรับใช้เอารังนกวางลง จากนั้นหันหลังกลับด้วยรอยยิ้มแล้วเดินออกจากห้องไป

เจี่ยนอี๋นั่วยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์อยู่ที่เดิม ผ่านไปสักพักเธอก็รู้สึกตัวอีกครั้ง จึงหันไปมองทางเหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:”ทำไมคุณถึงพูดแบบนั้นมันทำให้คุณย่าเข้าใจผิด? ความเป็นจริงแล้วคุณไม่ได้เป็นคนจูบฉันสักหน่อย แต่เป็นเหลิ่งหมิงอัน……

“เป็นเพราะเมื่อคืนคุณซื่อสัตย์มาก” เหลิ่งเซ่าถิงผูกเนคไทไปด้วย พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเบาไปด้วย:”นี่คือรางวัล”

“รางวัล?” เจี่ยนอี๋นั่วท่าทางคิ้วขมวด

เหลิ่งเซ่าถิงผูกเนคไทเสร็จ ยกมือขึ้นพร้อมแตะไปบนหน้าผากของเจี่ยนอี๋นั่วเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”อย่าคิดไปไกล นี่เป็นเพียงรางวัลไม่ได้แฝงความรู้สึกอะไรไว้ การที่ปกป้องคุณ คุณไม่ควรชอบผม และผมไม่ควรชอบคุณ คุณโปรดจดจำสิ่งเหล่านี้ไว้

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้าตอบรับทันที:”ฉันจำได้ ฉันอยากขอบคุณคุณมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นฉันก็ไม่รู้ควรจะเผชิญสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร ถ้าหากคุณนายเหลิ่งรู้สึกว่าพฤติกรรมของฉันเหมือนออกนอกลู่นอกทาง ท่านจะหยุดให้ความช่วยเหลือด้านการเงินตระกูลเจี่ยนแน่นอน และฉันก็ไม่รู้ควรจะทำยังไงแล้ว ต้องขอบคุณคุณมากจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:”คุณไม่ต้องกังวลความช่วยเหลือด้านการเงินตระกูลเจี่ยนไม่ว่าอย่างไรก็ตามขอเพียงเด็กที่อยู่ในท้องของคุณปลอดภัย คุณก็คือแม่ของลูกผม ผมไม่ให้ตระกูลเจี่ยนเดือดร้อนแน่

“จริงเหรอคะ? “ เจี่ยนอี๋นั่วอดใจไม่ไหวที่จะจับแขนเสื้อของเหลิ่งเซ่าถิง ประหลาดใจดีใจจนทำท่าตาโตมองเหลิ่งเซ่าถิง ในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้น หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงพร้อมที่จะซัพพอร์ตตระกูลเจี่ยนจริงๆเหรอ?

เหลิ่งเซ่าถิงคิ้วขมวดทันที เหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว: “ปล่อยมือของคุณเดี๋ยวนี้ คุณคิดว่าผมไม่รักษาสัญญาเช่นคุณเหรอ? เดี๋ยวก็เป็นเพราะเงินไม่เอาลูก เดี๋ยวก็ต้องการลูกเป็นเพราะว่าความรักของแม่ที่มีต่อลูก เดี๋ยวก็พูดว่าชอบผม เดี๋ยวก็กัดฟันพูดว่าไม่มีวันชอบผมตลอดไป ด้านหนึ่งก็ทำตัวสนิทสนมใกล้ชิดกับเหลิ่งหมิงอัน อีกด้านหนึ่งกลางคืนก็นอนข้างเตียงผม……”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากและยืนอยู่ที่มุมกำแพง เธอปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในสิ่งที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดนั้น พูดไม่ผิดเลยสักนิด ระยะนี้เธอทำอะไรดูค่อนข้างยุ่งเหยิงพูดกลับไปกลับมา แต่ทำไมเธอฟังคำบ่นของเหลิ่งเซ่าถิงมันฟังดูทะแม่งๆนะ? ทำไมฟังแล้วมันแปลกๆ? รู้สึกคิดหยุมหยิมอะไรมากมายเหมือนกำลังหึงเลย?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้แค่นี้ก็ถึงกับส่ายหัว เธอรู้สึกตัวเองไม่ควรคิดแบบนี้ อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงก็ได้ปฏิเสธเธออย่างเด็ดขาดแล้ว เธอยังจะฝันความรักลมๆแล้งๆอีก? คงเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่พอใจเธอมากๆ อาจเป็นเพราะว่าเธอท้องลูกของเขา เขาไม่อยากให้ลูกของเขามีแม่ที่ตกระกำลำบาก

“ฉันสำนึกผิดแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วพูดสำนึกผิดด้วยเสียงเบาๆ และสภาพคอตก

“คุณ……” เดิมทีเหลิ่งเซ่าถิงยังอยากจะพูด คำพูดที่ทำร้ายจิตใจอีกหลายคำ แต่มองเจี่ยนอี๋นั่วที่ยืนเท้าเปล่าพิงอยู่ที่กำแพง สภาพคอตกดูแล้วน่าเวทนามาก

เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆ สุดท้ายพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “คุณรีบไปดื่มรังนกเถอะ อย่าทำให้คุณย่าผิดหวังในน้ำใจครั้งนี้

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบก็เดินออกจากห้อง จนเดินไปถึงหน้าประตูห้อง เหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆหยุดชะงักพูดขึ้นว่า” ในวันนี้ฉันจะไปทำงานอย่างเป็นทางการ คุณสามารถอยู่ในห้องคนเดียวได้อย่างสบายใจ

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าตอบรับ เหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูห้อง ทันทีที่เธอหันหลังกลับมาในห้องก็ดูว่างเปล่า อดไม่ได้ที่จะคิ้วขมวด เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตัวเองนั้นไม่เอาไหนเลยจริงๆ ทันทีที่เหลิ่งเซ่าถิงปิดประตูนั้น หัวใจของเธอก็ดูว่างเปล่าเจี่ยนอี๋นั่วส่ายหัวไปมาอย่างเบื่อหน่าย ต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงมีหน้าตาที่หล่อเหลาแค่ไหน ครั้งนี้เธอตกหลุมลึกเกินไปแล้ว

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกตัวเองก็เหมือนหมากฝรั่งที่เคี้ยวแล้ว ทั้งๆที่รู้ทั้งรู้ว่าเขาพยายามขับไสไล่ส่ง ก็ยังดันทุรังเกาะติดเขาตลอด

เหลิ่งเซ่าถิงเดินลงไปชั้นล่าง เจอเหลิ่งหมิงอันเดินมาถึงห้องโถง พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ: “ วันนี้ฉันก็ไปบริษัท ฉันส่งแกที่ทำงานเอง”

เหลิ่งหมิงอันหัวเราะแล้วพูดว่า: “ผมก็มีรถ ไม่จำเป็นต้องรบกวนพี่ครับ”

“นั่งรถของฉันเถอะ ฉันมีเรื่องจะปรึกษาแก” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็เดินออกจากประตูไปก่อน

เหลิ่งหมิงอันมองตามหลังเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินตามไป เหลิ่งเซ่าถิงขับรถด้วยตัวเอง หลังจากขึ้นรถฝั่งคนขับ แล้วพยักหน้าเชิญชวนให้เหลิ่งหมิงอันขึ้นรถ เหลิ่งหมิงอันถึงจะยอมขึ้นรถของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งหมิงอันนั่งหลังคนขับ หัวเราะแล้วพูดกับเหลิ่งเซ่าถิง: “ ผมไม่ชอบนั่งหลังคนขับ แต่ว่าพอได้นั่งข้างหลังนี้เหมือนพี่ชายใหญ่เป็นคนขับรถของผม ว่าแต่พี่คงไม่ถือสาใช่ไหม?”

“ไม่ถือสาหรอก แค่เคยประสบอุบัติเหตุมาแล้วครั้งหนึ่ง ฉันยิ่งชอบเวลาที่ชะตาชีวิตใครคนหนึ่งอยู่ในกำมือของตัวเอง ใครจะไปคิดว่าคนขับรถที่เชื่อใจ จนวันหนึ่งทำตัวผิดปกติ และจงใจขับรถชนรถบรรทุกขนาดใหญ่?”เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตาลงพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“อะไรนะ?” เหลิ่งหมิงอันคิ้วขมวด: “แท้จริงแล้วสาเหตุที่พี่ชายใหญ่ประสบอุบัติเหตุเพราะแบบนี้นี่เองหรือ?”ผมก็พึ่งได้ยินเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ผมนึกว่าพี่ชายใหญ่ไล่ตามหลิวจื่อซิง และนึกว่าในขณะที่ขับรถไล่ตามขับเร็วเกินไปจึงทำให้เกิดอุบัติเหตุ คาดไม่ถึงจริงๆเลยว่าสาเหตุที่แท้จริงจะเกิดจากคนขับรถคนนั้น ถ้ารู้ความจริงก่อนหน้านี้ตระกูลเหลิ่งไม่ควรจ่ายเงินชดเชยมากมายขนาดนั้นให้เขาเลย

“สาเหตุมันไม่ได้เกิดจากที่ตัวเขาหรอก ให้เงินเพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้เป็นอะไร อย่าให้คนอื่นรู้สึกว่าตระกูลเหลิ่งของพวกเราแซ่เหลิ่ง แต่จิตใจกลับเย็นชาเหมือนแซ่จริงๆ แม้แต่ชีวิตคนก็ไม่สนใจ” ในระหว่างที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดก็มองเหลิ่งหมิงอันผ่านกระจกมองหลัง จากนั้นสตาร์ทรถ

เมื่อรถค่อยๆขับออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งไปนั้น เหลิ่งหมิงอันพูดขึ้นว่า: “พี่ใหญ่พี่อยากหารืออะไรกับผมงั้นหรือ?”

เหลิ่งเซ่าถิงขับรถไปจอดในซอยเปลี่ยว หลังจากนั้นรีบจอดรถ เปิดประตูรถแล้วเดินลงจากรถ พูดกับเหลิ่งหมิงอันว่า: “ลงจากรถเดี๋ยวนี้ ฉันค่อยคุยกับแก”

“พี่มีเรื่องอะไรจะพูดกับผมกันแน่?” เหลิ่งหมิงอันเปิดประตู ลงจากรถ

เหลิ่งเซ่าถิงเห็นเหลิ่งหมิงอันลงจากรถ รีบคว้าคอเสื้อของเหลิ่งหมิงอัน แล้วชกไปตรงหน้าของเหลิ่งหมิงอัน เ หลิ่งเซ่าถิงต่อยออกไปด้วยความเร็วจนเหลิ่งหมิวอันไม่ทันตั้งตัว จะโดนต่อยที่หน้าอีกเป็นหมัดที่สอง แต่ว่าเหลิ่งหมิงอันป้องกันได้ทัน ในขณะที่เหลิ่งเซ่าถิงเตรียมจะชกเหลิ่งหมิงอันอีกครั้ง ในที่สุดเหลิ่งหมิงอันก็สามารถหลบหมัดของเหลิ่งเซ่าถิงได้

“เหลิ่งเซ่าถิงอย่าหลงคิดว่าตัวเองเป็นองค์ชายใหญ่ของตระกูลเหลิ่งผมไม่กล้าเอาคืนนะ! “ เหลิ่งหมิงอันหรี่ตาพร้อมกัดฟันมองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงเก็บกำปั้นคืนพูดกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา:”ถึงแกจะสู้ยังไง ยังไงแกก็สู้ฉันไม่ได้หรอก ตอนนี้สู้ไม่ได้ยังไง ต่อไปก็สู้ไม่ได้อย่างงั้น หลังจากนี้เป็นต้นไปช่วยวางตัวดีๆ พึงรู้ไว้ฐานะของตัวเอง อย่าบังอาจมายุ่งกับคนของฉัน!”

“คนที่ไม่ควรยุ่ง?หลิวจื่อซิงเหรอ?” เหลิ่งหมิงอันหัวเราะ: “หรือว่าเจี่ยนอี๋นั่ว? ทีหลิวจื่อซิงพี่ยังไม่ลงมือกับผมแบบนี้เลย? ดูท่าทางพี่ไม่สนใจใยดีผู้หญิงคนนั้น แต่มันกลับตรงกันข้ามนะ!”

“ตอนนี้เธอเป็นภรรยาของฉันและเป็นแม่ของลูกฉัน ฉันจะไม่ยอมให้แกเข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธอ ตอนนี้ฉันแค่สั่งสอนแกเพื่อตักเตือนแก ฉันหวังว่ามันจะไม่มีครั้งต่อไปอีก” เหลิงเซ่าถิงหรี่ตามองหน้าเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ เดินเข้าไปใกล้เหลิ่งหมิงอัน จัดคอเสื้อให้เหลิ่งหมิงอัน ค่อยๆยกมุมปากพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ขึ้นรถเถอะน้องรอง พี่ยังต้องส่งแกไปบริษัทนะ”

เหลิ่งหมิงอันถูปากของตัวเอง ถุยเลือดออกมาแล้วยิ้มอย่างดุร้าย: “ได้สิ พี่ชายใหญ่เป็นคนขับรถส่งผมไปทำงานทั้งที โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ ผมจะปฏิเสธมันได้อย่างไรกัน?”

เจียนอี๋นั่วอยู่ในห้องที่ว่างเปล่าได้สักพัก พึ่งนึกขึ้นจึงได้โทรหาพยาบาลของเจี่ยนฉางรุ่น เธอไม่วางใจและไม่เชื่อว่าเฮ่อเยี่ยนหงจะดูแลคุณพ่อของตัวเองได้ ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วจะโทรหาพยาบาลคนใหม่ที่ดูแลคุณพ่อโดยตรง โดยปกติเธอจะโทรหาพยาบาลคนนี้แทบทุกวัน ฟังอาการของคุณพ่อเสร็จ เธอถึงจะโทรเข้าบริษัท

บริษัทของเจี่ยนอี๋นั่วถึงแม้ว่าจะมีคนที่คุณนายเหลิ่งได้จัดส่งไปดูแลแล้วนั้น แต่เป็นเพราะว่าคนใหม่ที่จัดส่งไปนั้นยังไม่สามารถเข้าใจบริบทของบริษัท ก็ยังคงพยายามดำเนินการแบบถูๆไถๆ เจี่ยนอี๋นั่วได้รับรายงานจากคนคนนั้นหน้าเธอก็คิ้วขมวดทันที เหมือนที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด หลังจากที่เธอออกจากบริษัทไป ฉู่หมิงเซวียนนานวันยิ่งเหิมเกริมหว่านล้อมหุ้นส่วนในบริษัทให้เป็นพวกเดียวกันกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะด้านการเงินของตระกูลเหลิ่งเลยสร้างสถานการณ์ด้านดีๆต่อเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด

เจี่ยนอี๋นั่ววางสายโทรศัพท์ ทนไม่ไหวที่จะทำหน้าคิ้วขมวด ถ้าหากไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเธอต้องดูแลลูกในครรภ์และห่างหายจากบริษัทนานเกินไป เธอไม่มีวันให้ฉู่หมิงเซวียนตั้งตัวได้ใหม่ง่ายขนาดนั้นหรอก

เจี่ยนอี๋นั่วเพิ่งคิดได้จึงเอื้อมมือไปจับท้องของตัวเอง พูดด้วยน้ำเสียงเบา: “ลูกแม่อย่ารู้สึกเสียใจไปเลย แม่อาจจะรู้สึกเสียดาย แต่ไม่เสียใจภายหลังแน่นอน การมาของลูกในตอนนี้ สำคัญกว่าการแก่งแย่งชิงดีเหล่านั้นมากมายนัก”

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วมีความรู้สึกเป็นแม่คนแล้ว ถึงแม้ลูกยังไม่ได้ออกมาลืมตาดูโลกก็เถอะ แต่ในใจของเธอคิดเสมอว่าลูกที่อยู่ในท้องของเธอสามารถสัมผัสได้ถึงความรู้สึกถึงความสุข ความโกธร และความโศกเศร้าแล้ว แม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วยังมีเรื่องที่ทำให้เครียดกลัดกลุ้มใจอีกมากมาย แต่ว่าเมื่อเจี่ยนอี๋นั่วลูบไปที่ท้องของเธอเบาๆ เธอก็หยุดไม่ได้ที่จะคิดเพ้อฝันไปต่างๆนาๆควรจะเลี้ยงลูกคนนี้ยังไง ความกลัดกลุ้มใจเหล่านั้นกลับกลายเป็นเรื่องที่ไกลตัวไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหวังไว้จะสามารถให้กำเนิดเป็นลูกสาว เธอจะให้ลูกสาวของเธอใส่กระโปรงสีชมพู ดูแลลูกให้น่ารักน่าเอ็นดู เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากให้ลูกสาวนิสัยเอาแต่ใจเหมือนกับเธอ อยากให้ลูกสาวของเธอเป็นคนที่น่ารักและอ่อนโยนสักมากกว่า

ก่อนเข้านอน เธอก็จะโอบลูกสาวไว้ในอ้อมกอด ผิวของลูกสาวนั้นต้องมีผิวสีขาวเนียน มีกลิ่นหอมของน้ำนม ลูกน้อยก็พิงบนอกของเธอ เสียงที่ไร้เดียงสาเรียกเธอว่า: “คุณแม่……”

เจี่ยนอี๋นั่วเฝ้ารอวันที่จะได้พบเจอหน้าลูกน้อย เจี่ยนอี้นั่วอยู่ในห้องจนกระทั้งเวลาผ่านไปแล้วครึ่งวัน หลังจากที่รับประทานมื้อเที่ยงเสร็จ คุณนายเหลิ่งก็เรียกให้เธอออกจากห้อง คุณนายเหลิงกำลังเริ่มออกแบบห้องนอนของทารกน้อย หยิบตัวอย่างออกแบบโครงการให้เจี่ยนอี๋นั่วดู2-3แผ่น

“ห้องทารกน้อย มันเร็วเกินไปไหมคะ?” ตอนนี้กำหนดการคลอดของเจี่ยนอี๋นั่วยังอีกหลายเดือน เธอยังไม่ทันคิดก็ดำเนินการออกแบบห้องทารกน้อยแล้ว

คุณนายเหลิ่งยิ้มพร้อมพยักหน้า: “ เร็วยังไง? รอห้องต่อเติมเสร็จยังต้องใช้เวลาพักใหญ่ ห้องที่ต่อเติมเสร็จใหม่ๆเด็กทารกจะสามารถเข้าไปอยู่ทันทีได้อย่างไรกัน? โครงการออกแบบเหล่านี้เธอเอาไปศึกษาดู เลือกเสร็จแล้วค่อยบอกฉัน ฉันจะให้ช่างเริ่มต่อเติมห้องทารกน้อยเลย และอีกอย่างนะชุดของทารกน้อยก็ออกแบบเรียบร้อยแล้ว เธอเอาแบบไปดูว่าต้องการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงตรงไหนบ้าง

คุณนายเหลิ่งหยิบชุดทารกน้อยออกมา 2ชุด ชุดนึงคือสีชมพูฟ้าและอีกชุดคือสีชมพูแดง ชุดเล็กๆน่ารักมากทันทีที่เจี่ยนอี๋นั่วเห็นชุดเด็กทารกนี้รู้สึกเหมือนมีเด็กน้อยอยู่ในอ้อมกอดของเธอ เจี่ยนอี้นั่วรีบรับชุดทารกน้อยทั้งสองมาทันที ชุดของเด็กทารกมันช่างอ่อนนุ่มละมุนจับแล้วรู้สึกดีมากเลย

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า: “รู้สึกชุดไหนออกแบบได้ดีกว่า? ฉันจะให้พวกเราไปตัดทันที”

เจี่ยนอี้นั่วสัมผัสชุดอย่างละเอียด: “ฉันชอบทั้งหมดเลยค่ะ ฉันโลภมากไปไหมคะ?”

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า:” ไม่โลภมากหรอก ถ้าหากเธอชอบ ฉันจะสั่งให้พวกเขาตัดเย็บทั้งหมดเลยเสื้อผ้าของลูกหลานตระกูลเรา ก่อนอายุ7 ขวบจำเป็นต้องสั่งตัดเย็บด้วยคนงานตระกูลของเราเอง แม้กระทั่งด้ายผ้าไหม ขนสัตว์ต้องนำออกมาจากฟาร์มของตัวเอง เธอดูอาจจะเหมือนแบบทั่วๆไป แต่ว่าบนโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว ถึงแม้จะต้องเสียเวลานาน เวลาใช้คุณภาพวางใจได้”

“รบกวนคุณย่าอีกแล้ว” เจี่ยนอี๋นั่วถือชุดทารกน้อยไว้ในมือด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดว่า เมื่อเวลาที่เธอนำชุดทารกน้อยแนบท้อง ทันใดนั้นในท้องมีการเคลื่อนไหว ราวกับว่าทารกในท้องของเธอก็ตอบสนองว่าชอบชุดนี้อย่างมาก

คุณนายเหลิ่งหัวเราะพร้อมพูดว่า: “ พูดอะไรอย่างนั้น? ลูกของเธอเป็นเหลนของฉันนะ ฉันจะไม่ใส่ใจได้อย่างไร? ถ้าหากเธอชอบมันทั้งสองชุด ก็เก็บไว้ก่อนเถอะ เธอลองเช็คให้ละเอียดนะ ยังมีจุดไหนที่ต้องการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงบ้าง เ ธอต้องบอกฉันนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ห้องคุณนายเหลิ่งได้ไม่นานนัก ก็ถูกคุณนายเหลิ่งกำชับให้รีบกลับไปพักผ่อนต่อ เจี่ยนอี๋นั่วถือชุดทารกน้อยไว้ เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วก้มมองไปด้วย เดินออกจากห้องคุณนายเหลิ่งไปด้วย

กระทั่งเจี่ยนอี๋นั่วเดินถึงบันได กำลังจะกลับห้อง ก็เห็นเหลิ่งหมิงอันกำลังเดินเข้ามา เหลิ่งหมิงอันเหมือนไปมีเรื่องชกต่อยกับใครมา มุมปากโดนชกเหมือนเป็นแผล ใต้ตาเหมือนมีรอยช้ำ

สุยเฉิงจิ้งเห็นสภาพของเหลิ่งหมิงอันร้องไห้รีบวิ่งไปหา “ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ บาดเจ็บรุนแรงขนาดนี้เลยเหรอ? นี่โดนใครทำร้ายมากันแน่? ใครกันช่างกล้าขนาดนี้ ถึงกล้าลงมือทำร้ายคุณ?”

เหลิ่งหมิงอันปัดมือสุยเฉิงจิ้งทิ้ง เงยหน้ามองไปทางบันไดตรงที่เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงครับ เป็นเพราะว่าช่วงนี้ผมกำลังตามจีบหญิงที่มีครอบครัวแล้วครับ แล้วก็โดนสามีของผู้หญิงคนนั้นต่อยไปไม่กี่หมัดเท่านั้นเองครับ

“แล้วมันคือใคร? มันน่านัก ไม่ยอมดูแลผู้หญิงของตัวเองดีๆ ยังกล้าดีมาทำร้ายลูกอีกนะ? ไม่เข้าท่าเลยสักนิด ผู้หญิงคนนั้นไม่รู้เลยเหรอว่าลูกแค่เล่นๆ? ทำไมถึงไม่อธิบายให้สามีตัวเองเข้าใจชัดเจนนะ? แต่ลูกสามารถเล่นๆได้ ในอนาคตห้ามไปยุ่งกับผู้หญิงไม่ได้เรื่องแบบนั้น แต่ต้องหาผู้หญิงที่บริสุทธิ์เป็นผู้ดีมีตระกูล” สุยเฉิงจิ่งไม่สนใจว่าลูกชายตัวเองจะทำอะไรที่ผิดศีลธรรม ปกป้องเพียงเหลิ่งหมิงเท่านั้น

สุยเฉิงจิ่งพูดจบ รู้สึกได้ว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังจองมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว สุยเฉิงจิ่งก็มองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:” โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีลูกให้ผู้ชายอย่างง่ายดาย ยิ่งเอาไม่ได้”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกสุยเฉิงจิ่งโยนพยายามประกาศสงครามกับเธอ เธอทำเพียงยิ้มพยักหน้าเล็กน้อยให้กับสุยเฉิงจิ่ง ก็เดินกลับเข้าห้องไป สุยเฉิงจิ่งก็รู้สึกได้ว่า ไม่ว่าสุยเฉิงจิ่งจะพูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่เคยสนใจ ไม่ว่าคำพูดนั้นจะพูดแทงใจดำขนาดไหน เจี่ยนอี๋นั่วก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน

สุยเฉิงจิ่งพึ่งรู้ว่า เจี่ยนอี๋นั่วพูดประชดตอบกลับมาสักสองสามคำก็คงดีกว่าที่เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจใยดีแบบนี้ ยังรู้สึกสบายใจกว่า ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่สนใจใยดีสุยเฉิงจิ่ง ทำให้ข้างในสุยเฉิงจิ่งมันอัดอั้นเหมือนลุกเป็นไฟและเธอทรมานใจมาก

“ผู้หญิงที่เหมือนอย่างเจี่ยนอี๋นั่วร้ายกาจมาก เอาไม่ได้จริงๆ “ สุยเฉิงจิ่งเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว หันหลังแล้วพูดกับเหลิ่งหมิงอัน

เหลิ่งหมิงอันมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ค่อยๆหรี่ตาพูดขึ้นว่า: “ ถ้าอยากเด็ดดอกกุหลาบ ก็ต้องทนกับหนามของเธอก่อน เพียงแค่เด็ดเธอออก ซ่อนไว้ในห้อง เธอก็ไม่สามารถตำใครได้อีก

“โดนทำร้ายจนประสาทแล้วเหรอ?พูดอะไรอยู่เนี่ย? สุยเฉิงจิ่งฟังจบก็ไม่เข้าใจเหลิ่งหมิงอันกำลังพูดอะไรอยู่ คิ้วขมวดสงสัยมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน

เจี่ยนอี๋นั่วกลับถึงห้อง ทนไม่ไหวหัวเราะออกมา เธอไม่ค่อยชอบเหลิ่งหมิงอันที่ชอบก่อกวนวุ่นวายเธอตลอดตั้งแต่แรกแล้ว เหลิ่งหมิงอันชอบทำให้ชีวิตที่อยู่อย่างสงบของหล่อนยุ่งเหยิ่งวุ่นวาย ชอบทำให้เธอเจอแต่สถานการณ์ที่อึดอัด ยังชอบทำตัวไม่สุภาพต่อเธอ ตอนนี้มีคนที่จะสั่งสอนเหลิ่งหมิงอันแทนเธอ เสมือนเอาคืนแทนเธอ

รอยยิ้มบนหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วยิ้มจนเหลิ่งเซ่าถิงกลับมา ยังไม่หยุดยิ้ม เหลิ่งเซ่าถิงกลับถึงห้อง เห็นใบหน้าอันมีความสุขของเจี่ยนอี๋นั่ว คิ้วขมวดถาม:” เป็นอะไร? อยู่ในห้องคนเดียว มีความสุขมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“เปล่า เป็นเพราะว่า……” เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงัก เธอไม่ว่าจะอธิบายกับเหลิ่งเซ่าถิงยังไง เหตุผลที่เธอมีความสุขเป็นเพราะว่าเหลิ่งหมิงอันถูกทำร้าย ไม่รู้ว่าสมควรหรือไม่สมควร

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ เก็บอาการแล้วเก็บอาการอีก ก็เก็บไม่อยู่พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงว่า: “ เป็นเพราะว่าเหลิ่งหมิงอันโดนทำร้าย ไม่รู้โดนใครทำร้ายมา จัดการศัตรูให้จริงๆเลยนะเนี่ย คุณไม่รู้สภาพเขาน่าเวทนาขนาดไหน ยังพูดว่าไปยุ่งกับผู้หญิงที่มีครอบครัวจึงถูกทำร้าย ผู้ชายอย่างเขาหลงระเริงเหมือนนกยูงตัวผู้พึ่งจะโดนทำร้ายตอนนี้ ถือว่าคนอื่นใจกว้างต่อเขามากๆแล้ว

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังพูดต่อเจี่ยนอี๋นั่ว ยิ้มมุมปากเบาๆ แสดงรอยยิ้มจางๆ แต่น้ำเสียงยังคงเย็นชาเหมือนเดิม: “นกยูงตัวผู้?”

“อืม! “ เจี่ยนอี๋นั่วกินของว่างที่วางอยู่ข้างๆตัวเองพยักหน้าแรงๆ: “คุณไม่คิดว่าเขาเหมือนคนที่ทำตัวเว่อร์เกินไปเปิดรับผู้หญิงทั้งหมดเหมือนนกยูงตัวผู้ล่ะ? เหมือนเขาทำดีกับผู้หญิงหน่อยเดียว ผู้หญิงก็ต้องชอบเขาอย่างนั้น เจ้าเล่ห์และหลงตัวเอง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองทำตัวน่ารำคาญแค่ไหน หึหึ ยังคิดว่าตัวเองมีคนหลงมากมาย!”

“ ฮ่าๆ……” เหลิ่งเซ่าถิงเก็บอาการไม่อยู่หัวเราะออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงหัวเราะของเหลิ่งเซ่าถิง ไม่เชื่อหูตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงหัวเราะต่อหน้าหล่อน? เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักใช้สายตาแอบเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง ใช้แรงกลืนของว่างลงคอ ค่อยๆระวังถาม:” คือว่า ฉันพูดได้น่าหัวเราะขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลัง รอยยิ้มบนมุมปากไม่สามารถปกปิดได้ มองเจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะเบาๆพูดว่า: “ มีผู้หญิงมากมายที่ชอบผู้ชายอย่างเหลิ่งหมิงอัน น่าสนใจ ปลอบผู้หญิงเก่ง แต่คุณแปลกมาก ที่ไม่รู้สึกอะไรเลยกับเล่ห์เหลี่ยมของเขา

“เขาไม่ใช่ผู้ชายในสเปคของฉัน ฉันชอบ…..” เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงประโยคนี้ รีบปิดปากหยุดพูดต่อทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว เลิกยิ้ม พูดด้วยน้ำเสียงเบาว่า: “ คุณชอบอะไร?”

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปาก จากนั้นยิ้มออกมา: “ ฉันชอบผู้ชายประเภทที่อ่อนโยนและใจดี ที่ไม่หยิ่งผยองหลงตัวเองหรือหลงใหล ไม่เฉยเมยเย็นชา ไม่บังอาจ ทั้งไม่เย็นชาและกัดไม่ปล่อย ไม่ใช่ผู้ชายภูเขา และไม่ใช่ผู้ชายนกยูง ก็คือผู้ชายคบแล้วสบายใจและอ่อนโยน ทุกอย่างเป็นไปอย่างพอดี ไม่มากหรือไม่น้อยเกินไป

เหลิ่งเซ่าถิงได้ฟังคำอธิบายของเจี่ยนอี๋นั่ว สีหน้าเปลี่ยนไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ความชอบของคุณเปลี่ยนแปลงได้เร็วมาก”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวด เธอไม่เข้าใจเหลิ่งเซ่าถิงเลย เดี๋ยวอารมณ์ดี เดี๋ยวอารมณ์ร้าย เจี่ยนอี๋นั่วแอบๆเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิงล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วห่มผ้า เธอค่อยๆจับชุดทารกน้อยที่คุณนายเหลิ่งมอบให้ คิดไปต่างๆนาๆถ้าลูกในท้องของเธอสวมใส่ชุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

กำลังจะเข้านอนเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เจี่ยนอี๋นั่วดูโทรศัพท์ สายเรียกเข้าคือคุณพยาบาลโทรมาจากโรงพยาบาล เธอก็รีบรับสายทันที: “ฮาโหล สวัสดีค่ะ โทรมาตอนดึกมีอะไรหรือเปล่าคะ เกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อหรือเปล่าคะ?”

“สวัดีคะคุณเจี่ยน ฉันมีข่าวดีจะบอกคุณค่ะ คุณเจี่ยนฟื้นแล้วค่ะ ” น้ำเสียงปลายสายจากพยาบาลพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจและดีใจ

“อะไรนะ?” เจี่ยนอี๋นั่วรีบลุกขึ้น รีบร้อนเดินไปถึงหน้าประตูห้อง:“ ฉันจะเดินทางไปเดี๋ยวนี้ พวกคุณรอฉันด้วยคะ”

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังเตรียมจะวิ่งออกจากห้อง แขนของเธอโดนเหลิ่งเซ่าถิงคว้าเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงจ้อง

มองเจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดถามด้วยความสงสัย: “เกิดอะไรขึ้น?”

เจี่ยนอี๋นั่วด้านหนึ่งดันมือเหลิ่งเซ่าถิงออก อีกด้านหนึ่งสำลักพร้อมพูดว่า:“คุณพ่อของฉันท่านฟื้นแล้ว ฉันต้องรีบไปโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน ฉันต้องการรู้อาการของท่านหลังจากที่ท่านฟื้นขึ้นมา คุณปล่อยฉัน ให้ฉันไปเดี๋ยวนี้”

“จะไปก็ควรใส่เสื้อผ้าและรองเท้า จากนั้นให้คนขับรถส่งคุณไป” เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ จูงมือเจี่ยนอี๋นั่วไปถึงห้องแต่งตัว เอาเสื้อโยนไปที่ร่างของเจี่ยนอี๋นั่ว

“นี่เป็นชุดที่ค่อนข้างโปรงใหญ่ คุณใส่แล้วมันทำให้ดูไม่ออกว่าคุณกำลังตั้งครรภ์ คุณเปลี่ยนชุดก่อน ผมจะโทรบอกคนขับรถ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา แล้วก็รับหันหลังไปโทรศัพท์

ณ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มมีสติมากขึ้น เธอก้มมองเท้าเปล่าและชุดนอนที่ใส่ไว้บนตัว เธอรู้ว่าสภาพแบบนี้ของเธอมันไม่เหมาะที่จะออกไปจริงๆ เจี่ยนอี๋นั่วรีบเปลี่ยนชุดที่เหลิ่งเซ่าถิงจัดเตรียมไว้ให้ สวมใส่รองเท้าเสร็จก็รีบวิ่งลงไป ถอนหายออกมาด้วยความโล่งอก

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งนึกขึ้นได้ เมื่อกี้เธอรีบร้อนวิ่งออกมา เหมือนจะลืมกล่าวคำขอบคุณกับเหลิ่งเซ่าถิง ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่ามันไม่ค่อยเหมาะสม เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเหลิ่งเซ่าถิงในความคิดเธอแวบขึ้นมาแปบหนึ่ง ณ เวลานี้ในสมองของเธอเต็มไปด้วยเรื่องของคุณพ่อ

เจี่ยนอี๋นั่วดีใจมากที่คุณพ่อของตนเองฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ก็กังวลมากเมื่อหล่อนปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าคุณพ่อ จะทำให้คุณพ่อท่านผิดหวังไหม อารมณ์ที่ทั้งวิตกและกระวนกระวาย ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็ถึงโรงพยาบาลที่คุณพ่อรักษาตัวอยู่ เธอรีบเดินเข้าไปในโรงพยาบาล กั้นลิฟต์ที่กำลังจะปิดแล้วรีบเดินเข้าไป

เมื่อเดินเข้าลิฟต์ไปนั้น เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดขึ้นมาทันที ในลิฟต์นั้นมีฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซาน ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าลิฟต์นั้น ฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซานรีบมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว จากนั้นเหลือบมองที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเอามือบังตรงท้องของตัวเองอย่างคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น กำลังจะเดินออกจากลิฟต์ เป็นเพราะว่าเจี่ยนอี๋นั่วอยากเจอหน้าคุณพ่อของตัวเองมาก แต่ว่าเธอก็ไม่อยากอยู่ในห้องแคบ ๆกับฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซานซานแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันจะก้าวออกจากลิฟต์ ประตูลิฟต์ก็เลื่อนปิดแล้ว

“เจี่ยนอี๋นั่วนี่เธอกำลังตั้งครรภ์อยู่จริงๆเหรอเนี่ย ไร้ซึ่งยางอายสิ้นดี!” เฉิงซางซางจ้องมองที่ท้อง ที่นูนขึ้นมาของเจี่ยนอี๋นั่ว เธอพูดแสดงท่าทางอย่างเกลียดชัง

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะใส่ชุดหลวมใหญ่ขนาดไหนเพื่อปกปิดไม่ให้เห็นท้อง แต่ว่าเฉิงซางซางก็ตั้งครรภ์อยู่ในตอนนี้ เธอก็ดูออกได้ทันทีว่าที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่วนูนออกมานั้นกำลังตั้งครรภ์อยู่ แล้วอีกอย่างอายุครรภ์ก็หลายเดือนแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วดูสถานการณ์แล้วไม่สามารถออกจากลิฟต์ได้ ก็กุมท้องของตัวเองแล้วยืนตรงมุมลิฟต์ กดไปชั้นที่คุณพ่อนอนรักษาตัวอยู่ ตอนนี้เธอมีความรู้สึกของการที่จะได้เป็นแม่คนแล้ว เพื่อไม่ให้ลูกน้อยในท้องของตัวเองได้รับอันตราย เธอก็ยอมที่จะอดทนไว้ ไม่ให้เกิดความขัดแย้งกับเฉิงซางซาง ดังนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่โต้ตอบใดๆ ทำเพียงมองไปด้านหน้า จ้องไปที่ประตูลิฟต์

แต่ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ตอบสนองต่อการยั่วยุและการดูถูกของเฉิงซางซาง แต่เธอก็ยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาที่เย็นชาจ้องมองมาที่ท้องของเธอตลอดเวลา เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองท้องของเธอนั้นไม่ใช่เฉิงซางซาง หล่อนค่อยๆเอียงหัวไปเล็กน้อยแล้วเห็นสายตาของฉู่หมิงเซวียนกำลังจ้องมองท้องของเธอพอดี

เจี่ยนอี๋นั่วอาศัยอยู่กับฉู่หมิงเซวียนก็หลายปีแล้ว เธอเคยเห็นความร้ายกาจของฉู่หมิงเซวียน แต่ว่าไม่เคยเห็นสายตาอาฆาตของฉู่หมิงเซวียน สายตานั้นเหมือนมีดปลายแหลมที่แหลมคม ราวกับว่าฉู่หมิงเซวียนจะควักลูกของเธอออกมา

ถึงแม้ว่าเฉิงซางซางพูดจายั่วยุดูถูก แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่ว่าสายตาของฉู่หมิงเซวียนที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ กลับทำให้เจี่ยนอี๋นั่วเกรงกลัวจนตัวสั่น เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลัง ก้าวไปถึงมุมภายในลิฟต์ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วรีบออกไปอย่างเร็ว

“หมิงเซวียน เธอตั้งครรภ์แล้วจริงๆ ไม่มียางอายจริง ๆ !” เฉิงซางซางจ้องตามเจี่ยนอี๋นั่ว ทนไม่ไหวที่ร้องตะโกนออกมา

“ใช่สิ เจี่ยนอี๋นั่วตั้งครรภ์แล้วนะ ดูสิอายุครรภ์พอๆกันกับของเธอเลย ไม่รู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะคลอดลูกชายออกมาก่อน หรือว่าเธอจะคลอดลูกชายให้ฉันก่อนนะ ไปกันเถอะ พวกเราไปเยี่ยมคุณเจี่ยนกันก่อนดีกว่า ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง เขาอายุยืนจริงๆเลยนะ นี่ขนาดเป็นอัมพาตแล้วนะ ยังสามารถฟื้นขึ้นมาได้!” ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะในขณะที่พูดกับเฉิงซางซาง

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพร้อมเดินออกจากลิฟต์ สายตาจ้องมองฉู่หมิงเซวียนเดินออกจากลิฟต์ เฉิงซางซางก็หรี่ตาทันที กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ :“ เจี่ยนอี๋นั่ว ฉันไม่มีวันปล่อยให้หล่อนคลอดลูกคนนี้ออกมา”

เฉิงซางซางพูดเสร็จก็รีบเดินตามหลังฉู่หมิงเซวียนไป เจี่ยนอี๋นั่วรีบเร่งเดินไปที่ห้องคนไข้ห้องของเจี่ยนฉางรุ่น แต่ก็ไม่มีโอกาสพบหน้าเจี่ยนฉางรุ่น เพราะเจี่ยนฉางรุ่นถูกส่งตัวไปตรวจร่างกายแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดรอไปสักพัก ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนและเฉิงซางซางเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วทนไม่ไหวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“พวกคุณต้องการคิดจะทำอะไรกันแน่?”

ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะพร้อมพูดว่า:“แน่นอนว่าต้องมาเยี่ยมคุณลุงนะสิ ฉันอยากรู้ว่าเขาฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อก่อนฉันได้ยินมาว่ามีโอกาสน้อยมากที่เขาจะฟื้นขึ้นมา หรือเป็นเพราะดังสำนวนที่ว่าเป็นคนดีมีอายุไม่ยืนยาว แต่คนเลวกลับมีอายุยืน? ทำให้เขาสามารถฟื้นคืนมา!”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองฉู่หมิงเซวียน เธอขยับริมฝีปาก สุดท้ายเพื่อต้องการหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งกันก็อดทนและพยายามไม่โมโห หล่อนไม่อยากให้เพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบเกิดทะเลาะกับฉู่หมิงเซวียน เดี๋ยวมีผลกระทบกับทารกในครรภ์ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดหันหลังเดินจากไปทันที เดินไปหาเจี่ยนฉางรุ่นที่แผนกตรวจร่างกาย

เพราะว่าแผนกตรวจร่างกายอยู่ชั้นล่าง เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังจะเดินลงบันไดไป พึ่งจะเดินถึงหน้าบันได เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินน้ำเสียงที่แปลก ๆ กำลังเรียกชื่อเธออยู่ เจี่ยนอี๋นั่วรีบจับราวบันได คิ้วขมวดหันหลังกลับไป แต่ยังไม่ทันมองชัดเจนคนที่เรียกชื่อเธอนั้นเป็นใคร เธอก็โดนคนผลักอย่างแรง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเร่งจับราวบันได แต่ก็ไม่สามารถประคองตัวได้ หล่อนล้มไปประมาณสองสามก้าว ขาก้าวผิดก็กลิ้งลงบันได ทันใดนั้นในสมองของเจี่ยนอี๋นั่วคิดเพียงเรื่องเดียว นั่นก็คือต้องรักษาลูกในครรภ์ของเธอไว้ให้ได้ เธอพยายามขดตัว ใช้มือกุมท้องของตัวเองไว้ แต่ว่าเมื่อเธอกลิ้งลงถึงด้านล่างบันได ท้องของเธอได้รับแรงกระแทกอย่างแรง ทำให้เธอปวดท้องอย่างรุนแรง

“โอ๊ย……ลูกของฉัน……” เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องตัวเองไปด้วย พร้อมกับเงยหน้ามองขึ้นไปชั้นบนไปด้วย แม้ว่าจะมีไฟ แต่ไฟตรงบันไดค่อนข้างสลัว เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นไม่ชัดว่าคนที่เรียกเธอนั่นก็คือเฉิงซางซาง น้ำเสียงที่แปลกประหลาดเมื่อกี้นี้ เป็นเพราะว่าเฉิงซางซางจงใจดัดเสียง จึงทำให้หล่อนฟังไม่ออกคนที่เรียกชื่อเธอที่แท้คือเฉิงซางซาง

เฉิงซางซางรีบเร่งเดินถอยหลัง แล้วเดินหายไปจากแถวบันไดทันที เจี่ยนอี๋นั่วกุมท้องอย่างเจ็บปวดพร้อมพยุงตัวเองลุกขึ้น ท้องของเธอเจ็บปวดจนราวกับว่ามีคนเอามีดมากรีดเนื้อของเธอ และบนร่างกายเริ่มมีเลือดไหลออกมา เจี่ยนอี๋นั่วพิงอยู่ที่มุมกำแพง ก้มแล้วเหลือบมอง ก็สังเกตเห็นเสื้อผ้าของเธอเต็มไปด้วยเลือดสีแดงคล้ำ

“ลูกของฉัน……ช่วยด้วย……ช่วยลูกของฉันด้วย……” เจี่ยนอี๋นั่วพยุงท้องของตัวเอง ใช้ฟันกัดที่ริมฝีปาก พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดพร้อมเสียงร้องขอความช่วยเหลือ

แต่ว่าบันไดฝั่งนี้ค่อนข้างเงียบห่างไกลผู้คน เจี่ยนอี้นั่วไม่มีแรงพอที่เปล่งเสียงออกมาขอความช่วยเหลือ ในขณะที่หล่อนกลิ้งตกลงบันได มือถือของเธอตกอยู่กลางทาง เธอร้องขอความช่วยเหลือสักพัก เจี่ยนอี๋นั่วยังไม่ทันที่จะรอคนมาช่วย เจี่ยนอี๋นั่วพยายามหลับตาแปบหนึ่ง เธอจะรอช้าไม่ได้ ถ้าหากยังล่าช้าต่อไป เธอและลูกน้อยอาจจะไม่รอด

ลูกของเธอน่าจะเป็นลูกสาว มีผิวขาวที่นุ่มเนียนและมีน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาที่สุด ยังสามารถยื่นมือเล็ก ๆที่อ้วนออกแล้วเรียก “แม่คะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วตั้งใจปกป้องลูกของตัวเอง และไม่มีวันยอมให้เกิดอะไรขึ้น! เจี่ยนอี๋นั่วคิดได้ถึงนี่ ก็ฝืนความเจ็บปวด ค่อย ๆจับที่กำแพงผยุงตัวเองนั่ง ในขณะที่เธอกำลังจะนั่งลงนั้น เธอรู้สึกเลือดของเธอไหลออกมาเยอะกว่าเดิม

ลูกจ๋า อดทนอีกนิดนะ อย่าทิ้งแม่ไป แม่พึ่งจะรู้จักกับคำว่าแม่คน แม่ยังไม่ทันตั้งชื่อให้หนูเลย หนูอยากจากแม่ไปนะ! แม่ขอร้องล่ะ อยู่เป็นเพื่อนแม่ก่อน! แม่ยังไม่ทันตั้งชื่อให้หนู ขอร้องอย่าจากแม่ไป!

เจี่ยนอี๋นั่วเจ็บจนสั่นไปทั้งตัว แต่ว่าก็ยังกัดฟันสู้ ค่อย ๆ ขยับตัวเองลุกขึ้น ในระหว่างที่ขยับตัว เดิมทีระยะห่างบันไดถือว่าไม่ไกลมากนัก แต่สำหรับเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรู้สึกมันห่างไกลแสนไกล เธอมองไปที่แสงสว่างที่ด้านบนสุดของบันได หลังจากที่เธอกัดฟันพร้อมขยับตัว ท้องของเธอปวดรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกได้ว่าเธออาจจะไม่สามารถเก็บเด็กคนนี้ไว้ แต่ว่าเธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา ใช้แรงที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายปีนขึ้นไปด้านบน เธอเพียงแต่พยายามขยับอีกนิด ลูกของเธอก็มีโอกาสที่จะได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น

เหลืออีกแค่ห้าขั้นบันไดแล้ว……สี่ขั้น……สามขั้น……สองขั้น……

ในที่สุดนิ้วมือของเจี่ยนอี๋นั่วก็สัมผัสกับแสงสว่างทางเดินของโรงพยาบาล เธอตะโกนเบา ๆ ด้วยกำลังทั้งหมดของเธอ:“ช่วยด้วยค่ะ……ช่วยลูกของฉันด้วยค่ะ……”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนคำนั้นออกมาแล้ว ก็สลบไปในทันที ในขณะที่เจี๋ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมานั้น เธอสะลึมสะลือรู้สึกว่ามีคนกำลังเดินมาทางเธอ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามมองดูว่าใครกำลังเดินมา แต่เธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าพร้อมหลับตาลง

เจี่ยนอี๋นั่วกำลังหลับไปในความฝัน ในความฝันที่มันมืดสนิท ท่ามกลางในความมืดนั้นเธอเห็นแสงสว่างนิดๆ เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะเดินตามแสงนั้นไป จากนั้นแสงสว่างก็กลายเป็นห้องห้องหนึ่ง มือของเจี่ยนอี๋นั่ววางอยู่บนประตู มือค่อยๆขยับลูกบิด ใจเธอเต้นแรงมาก เหมือนราวกับว่ามีอะไรกำลังเฝ้าคอยเธออยู่

ประตูห้องถูกเปิดออก เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปในห้อง ห้องที่ว่างเปล่ามีเพียงแค่เปลนอนตั้งอยู่ ในเปลนอนมีเด็กน้อยคนหนึ่ง ทารกน้อยสวมใส่ชุดสีชมพู แววตาของทารกน้อยนั้นเหมือนองุ่นสีดำ มีผิวที่นุ่มนวล ในขณะที่เห็นเจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปใกล้นั้น ทารกน้อยก็ยื่นมือออกมา น้ำเสียงที่ไร้เดียงสาร้องเรียกเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“แม่คะ……อุ้ม………”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่าตัวเองคลอดลูกออกมาตั้งแต่ตอนไหน ทันทีที่เห็นเด็กคนนี้ ก็รู้ได้เลยว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วเร่งรีบเดินไปหา แต่ว่าทันทีที่เธอสัมผัสทารกน้อยนั้น กลับสัมผัสเจอแต่ความว่างเปล่า เด็กน้อยหายไปทันที เหลือไว้เพียงเปลนอนอันว่างเปล่า

“ไม่นะ ลูกของฉันล่ะ?ลูกของฉัน……”เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ตะโกนออกมา

หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายไปหมด เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาตกอยู่ในความมืดมิดอีกครั้ง

“ลูกของฉัน……”ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา พี่งรู้ตัวว่าเธอนอนพักฟื้นอยู่บนเตียงคนไข้ เรื่องราวเมื่อกี้นั้นมันเป็นเพียงแค่ฝันร้ายอันน่ากลัว เธอรีบร้อนยกมือไปกุมที่ท้องของตัวเอง จากนั้นเธอร้อนรนเบิกตากว้าง ค่อยๆก้มหัวลง สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนท้องของตัวเอง เจี่ยนอี๋นั่วกระวนกระวายรีบลูบไล้ท้องของตัวเอง น้ำตาเริ่มไหลลงมาอย่างต่อเนื่อง

เจี่ยนอี๋นั่วกุมหน้าท้องแบนราบแล้วร้องไห้พร้อมพูดว่า "แม่ …… ท้องของฉัน …… เด็กที่อยู่ในท้องของฉันล่ะ?มีใครอยู่ไหมคะ เด็กที่อยู่ในท้องฉันไม่มีอีกแล้ว มีใครอยู่ไหมคะ? รีบเอาลูกของดิฉันคือมา!”

เวลานี้พยาบาลเดินเข้ามาจากนอกห้อง เธอเห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังกุมท้องของตัวเองอยู่ รีบตอบกลับ:“ คุณฟื้นแล้วเหรอคะ ถือว่าคุณโชคดีมากๆเลยนะคะ เจอสถานการณ์ที่อันตรายขนาดนี้แต่มดลูกของคุณกลับไม่ได้รับอันตรายร้ายแรงใดๆเลย คุณรู้ไหมคะ?คุณเกือบจะได้ตัดมดลูกทิ้ง แต่โชคยังดีที่สามีของคุณมาได้ทันเวลา เขาจึงเลือกตัดสินใจเอาเด็กออกค่ะ”

“อะไรนะ?สามีใคร?ลูกของฉันล่ะ?”เจี่ยนอี๋นั่วเงยหน้ามองไปทางพยาบาล ร้องไห้พร้อมถาม

พยาบาลหน้าแดงพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“สามีของคุณเป็นผู้ชายหล่อมากๆคะ ฉันยังไม่เคยพบเคยเจอคนไหนที่หน้าตาหล่อเหลาขนาดนี้ คุณมีสามีที่หล่อเหลา ใส่ใจดูแลคุณ ถึงแม้ตอนนี้จะเสียลูกไปแต่ก็ไม่ต้องกังวลหรอกนะคะ เพราะรอร่างกายของคุณกลับมาแข็งแรงเมื่อไหร่ คุณยังสามารถมีลูกได้อีกค่ะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตาขึ้น จ้องมองพยาบาล ถามด้วยน้ำเสียงแหบว่า:“ลูกของฉันเสียแล้ว?”

พยาบาลพยักหน้าตอบรับพร้อมหน้าตาที่หดหู่ พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“ใช่ค่ะ ในขณะนั้นคุณเสียเลือดมาก ทำให้คุณแท้งแล้วค่ะ ทางเลือกเดียวคือต้องเอาเด็กออกค่ะ ถ้าไม่อย่างนั้นคุณอาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ค่ะ……”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือกุมที่ท้องของตัวเอง ร้องไห้พร้อมใส่หัว:“ไม่ พวกคุณจะได้ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เขาเป็นลูกของฉัน พวกคุณมีสิทธิ์อะไรทำไมถึงตัดสินใจฆ่าเธอ”

“ผมเป็นคนตัดสินใจเอง”ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เดินเข้ามา

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็เข้าใจทำไมพยาบาลจึงเอ่ยถึงสามีแล้ว ที่แท้เหลิ่งเซ่าถิงอยู่หน้าห้องคนไข้ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดจ้องมองเหลิ่งเซ่าถิง :“คุณอยู่ที่นี่ได้ยังไง?คุณมีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจเอาลูกออก?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังเหลือบไปมองพยาบาลคนนั้น พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“คุณออกไปก่อนเถอะครับ”

ถึงแม้เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาต่อพยาบาลคนนั้น แต่ว่าเมื่อพยาบาลสาวพบหน้าเหลิ่งเซ่าถิงถึงกับหน้าแดงทันที จากนั้นเธอก็รีบเดินออกไปจากห้องคนไข้ทันที

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปทางเจี่ยนอี๋นั่วที่ทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยรอยน้ำตา คิ้วขมวด:“ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่เหรออย่าร้องไห้ต่อหน้าผมอีก?”

เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือปาดน้ำตาบนใบหน้า รีบร้อนพูดว่า:“ฉันไม่ร้อง ฉันไม่ร้องแล้ว ฉันขอร้องคุณ ได้โปรดบอกฉันเถอะ เกิดอะไรขึ้นกับลูกของฉันกันแน่”

“ลูกของคุณ……”เหลิ่งเซ่าถิงพูดได้แค่นี้ค่อยๆหยุด จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ลูกของคุณ เขาตายแล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วหยุดชะงักอึ้งไปในทันที เธอแทบหยุดหายใจและสั่นไปทั้งตัว

เหลิ่งเซ่าถิงหรี่ตามองไปทางเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“เมื่อคืนหลังจากที่คุณออกไป คุณย่าเป็นห่วงคุณมาก ท่านก็สั่งให้ผมตามคุณมาด้วย พอผมถึงโรงพยาบาล ก็พบว่าคุณสลบอยู่ตรงบันได จากนั้นก็เรียกคุณหมอ ถ้าหากปล่อยไว้นานเกินไป ร่างกายของคุณก็อาจจะได้รับอันตรายมากกว่านี้ ถึงแม้ฉัน……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงนี่ก็หยุดพูดทันที ค่อยๆหรี่ตาพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ถึงผมจะรู้สึกเบื่อคุณ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะใจไม้ไส้ระกำ เห็นคนกำลังจะตายแล้วไม่ช่วยเหลือ ตอนนี้ผมคือสามีที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ดังนั้นการผ่าตัดในครั้งนี้ ผมจึงสามารถตัดสินใจแทนคุณได้”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้าร้องไห้พูดขึ้นว่า:“ฉันไม่เชื่อ ลูกของฉันยังมีชีวิตอยู่……คุณตั้งใจให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณไม่เคยชอบเด็ก คุณไม่พร้อมที่จะมีลูก ตอนนี้ลูกตายแล้ว เหลิ่งเซ่าถิงสาสมแก่ใจคุณหรือยังคะ!”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจียนอี๋นั่วอย่างเย็นชา:“ถึงแม้ฉันจะไม่ต้องการมีลูก แต่ว่านั้นมันก็คือสายเลือดของฉัน ฉันไม่โหดร้ายพอที่จะใช้วิธีนี้ทำให้เขาจากไป คุณกลับไปคิดทบทวนดีๆจะดีกว่า ว่าใครกันแน่ที่ทำร้ายคุณ ที่คุณกลิ้งตกจากบันได ปกติคุณเป็นคนที่ระมัดระวังมาก ถ้าหากไม่ใช่เพราะมีคนจงใจที่จะผลักคุณ เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะกลิ้งตกลงจากบันไดเอง เด็กคนนี้เป็นสายเลือดตระกูลเหลิ่ง ผมเป็นคนกำหนดเองว่าเขาจะอยู่หรือจะไป ผมยังไม่ได้ลงมือกำจัดเขาด้วยมือของผมเลย ถ้าหากมีคนนอกคนไหนกล้าทำร้ายเขา ผมไม่มีวันปล่อยคนๆนั้นไปแน่”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มปากจนแน่นพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ: คิดออกแล้ว เงาที่อยู่ในมุมสลัวๆนั้น คนที่ปองร้ายฉัน?คือเฉิงซานซาน?”

“เฉิงซานซาน คนรักของฉู่เหมิงเซวียน?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น รีบเงยหน้ามองไปทางเหลิ่งเซ่าถิง :“คุณรู้ได้ยังไงคะ?”

“เวลานี้คุณคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของผม ผมจะไม่รู้อะไรที่เกี่ยวข้องกับคุณได้อย่างไรกัน ?”เหลิ่งเซ่าถิงลุกขึ้น:“เรื่องนี้ผมรู้แล้ว เดี๋ยวผมจะทำให้มันได้ชดใช้ ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ฉันจะไปด้วย ฉันจะถามกับเธอว่า เธอก็จะเป็นแม่คนแล้ว เธอทำไมถึงโหดร้ายได้ขนาดนี้ ฆ่าลูกของฉันได้ลงคอ!”

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะลงจากเตียง ทันใดนั้นขาอ่อนหมดแรงล้มลงไป

เหลิ่งเซ่าถิงรีบเอามือไปพยุงเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“ตอนนี้ร่างกายของคุณต้องการฟักฟื้นไม่เหมาะที่ขยับตัวมากนัก ตอนนี้คุณเอาเวลาไปคิดคำตอบดีกว่าว่าจะตอบคุณย่ายังไง?ตอนนี้ไม่มีลูกแล้ว คุณก็ไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป

เจี่ยนอี๋นั่วหนังตาตก ขนตาขยับนิดๆเงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วรีบปล่อยมือทันที และไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วอีก

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกจากห้องคนไข้ หันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่วอีกครั้ง เขามองลงไปและมองไปที่เลือดที่เปื้อนบนมือของเขา เหตุการณ์นื้เขาใช้มือข้างนี้เซ็นชื่อของตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงเซ็นชื่อของตัวเองมาทั้งชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน เซ็นหนังสือสัญญาหลักหลายร้อยล้านก็เคยเซ็นมาแล้ว เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรเลย จนเหตุการณ์ในครั้งนี้แค่ลายเซ็นของเขาแค่ลายเซ็นเดียว มันเกี่ยวข้องกับชีวิตความเป็นความตายของผู้หญิงคนหนึ่งและเด็กน้อยอีกคนหนึ่ง ในขณะที่เขาเซ็นชื่อไปด้วยมือของเขาก็สั่นไปด้วย

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งเหม่อลอยอยู่เป็นเตียงคนไข้ ช่วงเวลาที่เธอตั้งครรภ์ยอยู่แสนยากลำบากมาก ไม่เพียงแต่นอนพักฟื้นขยับไม่ได้ยังไม่พอ ระยะเวลาที่ตั้งครรภ์มีอาการคลื่นไส้อาเจียนหล่อนต้องทนทุกข์ทรมานกับผลข้างเคียงจากการตั้งครรภ์ แล้วยังต้องรับประทานอาหารที่ไม่อร่อยสำหรับคนตั้งครรภ์โดยเฉพาะ เพื่อให้สัมผัสกับรังสีให้น้อยที่สุด แม้แต่โทรศัพท์มือถือก็ไม่ค่อยได้ใช้ และแม้แต่โทรทัศน์ก็ไม่ค่อยได้ดู

ถึงแม้ว่าเธอ……จะพยายามมามากมายขนาดไหน สุดท้ายก็ไม่สามารถเก็บลูกคนนี้ไว้ได้

“ถึงเวลาทำแผลใหม่แล้วค่ะ ”พยาบาลเดินเข้ามา

เจี่ยนอี๋นั่วใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวพร้อมพูดกับพยาบาลว่าด้วยน้ำเสียงเบา :“ฉันอยากเจอลูกของฉัน”

พยาบาลคิ้วขมวด ตอบอย่างลำบากใจ:“คุณผู้หญิงคะ เวลานี้สภาพจิตใจของคุณยังไม่ปกติ คงยังไม่เหมาะที่จะไปดูเด็กคนนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วตาแดงจ้องมองไปที่พยาบาลคนนั้น:“ฉันอยากเห็นสภาพของเด็กคนนั้น เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง”

“ถ้าอย่างนั้น ได้ค่ะ”พยาบาลหันหลังเดินออกไป จากนั้นคิ้วขมวดกลับมาถึงห้องคนไข้ หยิบขวดแก้วใบหนึ่งออกมา ในขวดแก้วนั้นเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด มีเด็กทารกน้อยที่นอนเสียชีวิตอยู่ในขวดแก้วนั้น

เจี่ยนอี๋นั่วเอื้อมมือจับขวดแก้วใบนั้นอย่างเบาๆ เธอจ้องมองทารกน้อยที่อยู่ในขวดใบนั้น ทารกน้อยพัฒนาเป็นรูปร่างอย่างชัดเจน มีใบหน้ารูปร่างเป็นคนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาพร้อมน้ำเสียงสั่นเครือถาม:“เด็กคนนี้ เป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง สามารถมองออกหรือยังคะ?”

“เป็น……เด็กผู้หญิงคะ”พยาบาลตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบา

เจี่ยนอี๋นั่วร้องไห้ออกมาทันที :“เด็กผู้หญิง?เธอเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆเหรอเนี่ย?ลูกของฉันเป็นเด็กผู้หญิงจริงๆ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วสัมผัสที่ขวดแก้วตลอดเวลา แต่ว่าสัมผัสได้แต่ความหนาวเย็น ลูกน้อยของเธอทำไมต้องมานอนหลับอยู่ในที่ที่เย็นขนาดนี้?ลูกน้อยของเธอควรนอนอยู่ในครรภ์ของหล่อนมิใช่หรือ หัวใจยังคงเต้นแรง บางครั้งยังขยับไปมาในท้อง ลูกน้อยของเธอควรจะค่อยๆเติบโตขึ้น รอเวลาที่ถึงกำหนดคลอด ก็ได้พบหน้ากัน

“ขอโทษ……”เจี่ยนอี๋นั่วใช้มือโอบกอดขวดใบนั้น พูดซ้ำๆว่า:“ขอโทษ……ที่แม่ไม่สามารถปกป้องลูกได้……”

แต่คนที่ทำร้ายหนู มันจะได้ชดใช้ในสิ่งที่ทำลงไปอย่างสาสม!

เฉิงซานซานเทน้ำร้อนให้ตัวเองอย่างร้อนรน เธอถือแก้วน้ำไว้จิบน้ำไปหนึ่งคำ จากนั้นก็ตื่นตระหนกแล้วลุกขึ้น เดินไปเดินมาอยู่ในห้อง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก เฉิงซานซานมองไปทางประตูด้วยอาการที่ตื่นตระหนกตกใจจนทำตัวไม่ถูก ก็เห็นฉู่หมิงเซวียนเดินจากประตูเข้ามา เฉินซานซานรีบหลบทันที สำลักพร้อมพูดขึ้นว่า:“หมิงเซวียน คุณกลับมาแล้วเหรอคะ ฉันคิดว่าคุณจะอยู่โรงพยาบาลนานกว่านี้สักอีก”

ฉู่หมิงเซวียนยิ้มและจับที่ไหล่ของเฉินซานซาน พูดด้วยน้ำเสียงเบา:“ไม่เจอเจี่ยนฉางรุ่น ผมจะรอต่ออีกไปทำไม?คุณนั่นแหละ ทำไมถึงรีบร้อนกลับมา ผมเดินหาคุณไปทั่วแต่ก็หาไม่เจอ!”

เฉินซานซานรีบคิ้วขมวด ตื่นตระหนกพร้อมพยักหน้าตอบกลับ :“ฉัน ฉันมีธุระด่วนเลยรีบกลับมาก่อนค่ะ……”

“โอ้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่คุณไม่ได้เห็นเรื่องราวดีๆ ”ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเยาะ:“คุณรู้อะไรไหม?ลูกของเจี่ยนอั่วเสียชีวิตแล้ว……”

เฉินซานซานคิ้วขมวดจ้องมองฉู่หมิงเซวียน ในที่สุดใบหน้าก็แสดงออกด้วยความประหลาดใจและดีใจ:“อะไรนะ?ลูกของเจี่ยนอี๋นั่วเสียแล้วเหรอคะ?”

“เสียแล้วจริงๆ。”ฉู่หมิงเซวียนตอบกลับ

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบก็หันมองไปทางเฉินซานซานพร้อมค่อยๆหรี่ตา พูดด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า:“ทำไมคุณถึงต้องประหลาดใจและดีใจขนาดนั้นด้วย?”

เฉินซานซานขยับริมฝีปากเล็กน้อยแล้วเดินถอยหลังหนึ่งก้าว:“ฉัน ฉันดูดีใจขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”

ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้า เอื้อมมือไปจับที่คางของเฉินซานซานหัวเราะพูดขึ้นว่า:“ท่าทางไม่เพียงแต่ประหลาดใจและดีใจเท่านั้น แต่คุณยังตื่นตระหนกอีกด้วย คุณไปทำอะไรมาหรือเปล่า?”

เฉินซานซานกัดที่ริมฝีปากพูดด้วยเสียงสั่นเครือ:“หมิงเซวียน ณ เวลานี้คุณเหลือแค่ฉันแล้ว และในตอนนี้ลูกในท้องของฉันก็คือสายเลือดเดียวที่เหลืออยู่ของคุณ คุณต้องปกป้องฉันจริงไหม?คุณไม่อยากให้ลูกของเราเกิดในคุกใช่ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตาเหลือบมองเฉินซานซานพูดขึ้นว่า:“ก็ต้องดูว่าคุณไปทำอะไรมา ทางที่ดีคุณควรเล่าเรื่องทั้งหมดในสิ่งที่คุณทำลงไปให้ผมฟัง ถ้าไม่อย่างนั้นผมก็ไม่สามารถปกป้องคุณได้”

เฉินซานซานสูดหายใจเข้าลึกๆ ด้วยท่าทางตื่นตระหนกและเม้มริมฝีปาก พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ:“ฉัน……ฉัน……ฉันเป็นคนทำเอง ฉันเป็นคนผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันไดเอง ฉันได้ยินมาว่าเธอมีลูกกับคุณ ฉันจะทนรับได้อย่างไร?ฉันต้องการให้เธอหายสาบสูญไปพร้อมกับลูกในท้อง นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ฉันต้องการให้ลูกของเธอตาย ต้องทำแบบนี้ลูกของฉันจะได้เป็นลูกของคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด?ถ้าจะโทษมันก็ต้องโทษเจี่ยนอี๋นั่วคนเดียวที่ทำตัวไม่เหมาะสม ทั้งๆที่เธอไม่ได้รักคุณ แล้วทำไมต้องมีความสัมพันธ์กับคุณด้วยล่ะ?หล่อนมีลูกกับคุณ ก็ต้องมาบีบบังคับคุณ ยุ่งกับคุณไม่เลิก ฉันทำเพื่อคุณนะคะ?ดังนั้น……ก็เลยผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันได”

ใบหน้าของฉู่หมิงเซวียนยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นหรี่ตามองไปด้านเฉินซานซานพูดขึ้นว่า

:“คุณผลักเจี่ยนอี๋นั่วตกบันได?ทำให้ลูกของเธอเสียชีวิต?ถึงว่าล่ะหลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วเดินจากไป คุณก็เดินตามหลังออกไปไปทันที”

เฉินซานซานตื่นตระหนกตกใจพร้อมกับพยักหน้า:“ใช่ค่ะ ฉันเป็นคนลงมือเอง”

“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้ล่ะ?”ฉู่หมิงเซวียนแอบยิ้มด้วยความสะใจไปด้วย พร้อมขมวดคิ้วโทษเฉินซานซานที่ทำแบบนั้นไปด้วย:“ฉันแค่เพียงสงสัยเด็กคนนั้นคือลูกของฉัน คุณไม่กลัวติดคุกเหรอ?คุณเป็นแบบนี้ผมรู้สึกเป็นห่วงคุณมากจริงๆ”

เฉินซานซานรีบคว้าแขนของฉู่หมิงเซวียน อาการที่ตื่นตระหนกพูดด้วยน้ำเสียงที่อ้อนวอน:“ถ้าอย่างงั้น ควรจะทำยังไงต่อไปดี?ฉันเป็นผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่ พวกเขาจะมาจับฉันไหมคะ อย่าให้ลูกของเราต้องเกิดในคุกในตารางนะคะ!”

ฉู่หมิงเซวียนถอนหายใจออกมา:“แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วไม่ปล่อยคุณไว้แน่ๆ?หล่อนไม่ได้เป็นผู้หญิงที่ใจกว้างขนาดนั้น คุณทำร้ายเธอจนเธอแท้งลูก หล่อนต้องเอาคืนคุณให้ถึงตายแน่ๆ”

“หล่อนอาจจะมองไม่เห็นฉัน!ฉันอยู่หลบอยู่ในที่มืดแล้วยังแกล้งดัดเสียง ฉัน……”เฉินซานซานพูดด้วยท่าท่างที่ตื่นตระหนก

แต่ว่าเฉินซานซานยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกฉู่หมิงเซวียนตัดบท ฉู่หมิงเซวียนพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า:“คุณกล้ายืนยันไหมว่าเธอไม่ได้เห็นหน้าของคุณ?เธอฉลาดขนาดนั้น แค่เงาของคุณก็สามารถดูออกแล้ว จากนั้นก็จะค้นหาหลักฐานอย่างจริงจัง ในโรงพยาบาลมีกล้องวงจรปิดมากมาย คุณจะรับประกันได้อย่างไรว่าจะไม่มีกล้องวงจรปิดจับภาพคุณไว้ได้ล่ะ?คุณทำไมถึงโง่แบบนี้?ทำไมต้องลงมือทำเรื่องนี้ในโรงพยาบาลด้วยล่ะ?มันไม่สามารถปกปิดไว้ได้หรอก”

เฉินซานซานคิ้วขมวดพร้อมพยักหน้า แต่ก็ยังอยู่ในอาการตื่นตระหนกเช่นเดิม“ถ้าอย่างงั้น ถ้าอย่างงั้นฉันควรทำยังไรดีล่ะ?หมิงเซวียนได้โปรดช่วยฉันด้วย ได้โปรดช่วยฉันด้วยนะ ฉันจะถูกจับเข้าคุกไม่ได้นะ ฉันต้องทำคลอดในโรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ ฉันยังต้องจัดงานเลี้ยงฉลองในวันที่ลูกเกิดมาลืมตาดูโลก ถ้าหากว่าฉันโดนจับติดคุก แล้วลูกของฉันจะทำอย่างไร?เวลานี้เขาเป็นลูกคนเดียวของคุณ ได้โปรดช่วยฉันได้เถอะ……”

“ฉันจะไม่ให้ความช่วยเหลือคุณได้อย่างไรกัน?”ฉู่หมิงเซวียนคิ้วขมวดเอื้อมมือสวมกอดเฉินซานซานพูดว่า:“ณ เวลานี้สิ่งเดียวที่คุณสามารถทำได้คือไปมอบตัวซะ ตอนนี้คุณกำลังตั้งครรภ์ รวมไปถึงถ้าคุณเข้าไปมอบตัวเอง น่าจะโดนติดคุกแค่ไม่กี่ปี เมื่อถึงเวลานั้นผมค่อยหาทางมาช่วยคุณ คุณก็สามารถทำเรื่องเพื่อคลอดลูกในโรงพยาบาลได้ นอกจากนี้เรายังสามารถคลอดลูกของเราในโรงพยาบาลเอกชน และยังสามารถจัดงานเลี้ยงที่หรูหราใหญ่โตได้ รอคุณออกมา พวกเราก็แต่งงานกัน

เฉินซานซานร้องไห้ออกมาทันที:“ไม่ ไม่ ฉันไม่อยากติดคุก ฉันไม่อยากติดคุกจริงๆนะ……ทำไมฉันถึงผลักเจี่ยนอี๋นั่ว ก็เป็นเพราะคุณพูดกับฉันว่าลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นลูกของคุณ?ตอนนี้คุณกลับมาพูดว่าลูกในท้องอาจจะไม่ใช่ลูกของคุณ เพื่อต้องการให้ฉันลงมือทำร้ายลูกของเจี่ยนอี๋นั่ว?

ตอนนี้คุณมาบอกให้ฉันเข้ามอบตัว ต้องการตัดความสัมพันธ์ระหว่างเราใช่ไหม?”

ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือไปจับคางของเฉินซานซานขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า“ซานซาน คุณอย่าโง่ไปหน่อยเลย ตอนนี้คุณมีเพียงผมคนเดียวที่ช่วยเหลือคุณได้ คุณพูดแบบนี้ ทำให้ผมเสียใจมากจริงๆ คุณจะให้ผมช่วยเหลือคุณอีกได้อย่างไง?

ผมคิดว่าลูกที่อยู่ในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเป็นลูกของผมจริงๆ ถ้าหากไม่ใช่แบบนี้ผมจะเป็นห่วงเป็นใยลูกของเจี่ยนอี๋นั่วทำไมล่ะ?เจี่ยนอี๋นั่วท้องลูกของใคร มันก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผม การเข้ามอบตัวเป็นทางเลือกเดียวที่คุณสามารถทำได้ในตอนนี้ หลังเข้ามอบตัวควรจะให้การยังไง คุณก็ควรรู้ อย่าคิดว่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้จะเป็นผลดีกับคุณ ถ้าหากผมก็โดนจับ ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเหลือคุณได้อีกแล้ว”

“ฉัน……ฉัน……ฉันโดนปรับปรำ ……”เฉินซานซานทนไม่ไหวที่จะร้องไห้เสียงดังออกมากทันที:“ฉันโดนปรับปรำ ฉันแค่ผลักเธอเบาๆเอง เพราะอะไร……”

เฉินซานซานร้องไห้อยู่ ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูก็ให้เธอหยุดร้องไห้ เฉินซานซานสะดุ้งตกใจรีบไปหลบอยู่อ้อมอกของฉู่หมิงเซวียน:“นี่ นี่ใครคะ?”

ฉู่หมิงเซวียนตบหลังเฉินซานซานหรี่ตาพร้อมพูดว่า:“ตำรวจไม่น่าจะมาได้เร็วขนาดนี้?เป็นไปไม่ได้ที่เจี่ยนอี๋นั่วจะทำได้ขนาดนี้ ใครอยู่เบื้องหลังเธอกันแน่?”

“ตำรวจ?เป็นตำรวจจริงๆเหรอคะ?แล้วฉันควรทำอย่างไรดีคะ?”เฉินซานซานปิดปากพร้อมร้องไห้เสียงดังออกมา

ฉู่หมิงเซวียนรีบดึงไหล่ของเฉินซานซาน พร้อมพูดกับเฉินซานซานว่า:“เวลานี้คุณต้องใจเย็นๆ ข้อที่หนึ่งต้องยอมรับว่าคุณได้ผลักเจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ข้อสองคุณต้องอธิบายว่าคุณจะเข้ามอบตัวตั้งแต่แรก ข้อสาม……และข้อสามต้องจำให้ดีอย่าเอาผมเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ถ้าหากผมโดนจับ ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือคุณได้อีก

เฉินซานซานอาการตื่นตระหนกพร้อมพยักหน้า:“ค่ะ,ได้ค่ะ ฉันจะไม่ลากให้คุณมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แต่ว่าคุณต้องช่วยฉันนะ ฉันเป็นผู้หญิงของคุณ ในท้องของฉันยังมีลูกของคุณอยู่ คุณจะทิ้งฉันไม่ได้นะ”

ฉู่หมิงเซวียนเอื้อมมือสวมกอดเฉินซานซานพร้อมพูดว่า:“ผมจะทิ้งคุณได้อย่างไรกัน?คุณวางใจเถอะ ผมจะช่วยเหลือคุณให้ออกมาอย่างสุดความสามารถ”

มุมที่เฉินซานซานมองไม่เห็น ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆแสดงรอยยิ้มออกมา ในความเป็นจริงตอนอยู่ในโรงพยาบาลนั้น ฉู่หมิงเซวียนเห็นเฉินซานซานเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วไป ฉู่หมิงเซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเฉินซานซานต้องการจะทำอะไร ระยะนี้ฉู่หมิงเซวียนจะเป่าหูเฉินซานซานตลอดเวลา ทำให้เฉินซานซานรู้สึกว่าถ้าเธอไม่กำจัดลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่วเขาจะไม่สามรถแต่งงานกับเฉินซานซานได้ แล้วก็ไม่ยอมรับลูกในท้องของเฉินซานซานอีกด้วย

เมื่อสังเกตเห็นเฉินซานซานยังไม่กลับมา ฉู่หมิงเซวียนก็รู้ได้ทันทีว่าเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว ลูกในท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว ใครจะไปรู้ว่าเป็นลูกของผู้ชายคนไหน ในที่สุดก็กำจัดมันออกไปได้แล้ว

ฉู่หมิงเซวียนสืบบันทึกการผ่าตัดในโรงพยาบาลคร่าวๆ หลังจากที่ยืนยันชัดเจนลูกของเจี่ยนอี๋นั่วได้ตายจากไปแล้วจริงๆ ค่อยกลับมาหาเฉินซานซาน เขาต้องรับประกันได้ว่าเฉินซานซานไม่โง่พอที่จะลากเขาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้

“ผมไปเปิดประตูแล้วนะ อะไรที่ต้องเผชิญก็ควรต้องเผชิญ”ฉู่หมิงเซวียนค่อยๆผลักเฉินซานซานออก แล้วจึงไปเปิดประตู

ด้านนอกประตูมีตำรวจสองนายยืนอยู่ เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆไม่มีผิด ทันทีที่พวกเขาเห็นเฉินซานซานก็พูดว่า :“ใช่คุณเฉินซานซานไหมครับ?เชิญไปให้ปากคำกับพวกเราที่สถานีตำรวจหน่อยครับ”

เฉินซานซานหดตัวลง รีบถอยหลังไปหลบอยู่ด้านหลังฉู่หมิงเซวียนทันที ตื่นตระหนกตกใจพร้อมพูดว่า:“ฉันไม่ไป ฉันไม่ไป……ฉันไม่ได้ทำอะไรผิด……”

ฉู่หมิงเซวียนรีบดึงเฉินซานซานออกมาจากด้านหลังของตัวเองพร้อมพูดว่า:“ซานซานคุณอย่าดื้อสิ ไปพร้อมกับคุณตำรวจเถอะ ถ้าหากคุณดื้อไม่เชื่อฟัง ผมก็ไม่รู้จะช่วยเหลือคุณได้อย่างไร ผมจะรอและให้การช่วยเหลือคุณตลอดไป ถึงแม้ว่าคุณจะทำผิดพลาด แต่ว่าอย่าทำให้โอกาสครั้งสุดท้ายก็ไม่เหลือไว้ให้กับตัวเอง ”

“คุณต้องรอฉันใช่ไหม?”เฉินซานซานตื่นตระหนกกุมมือฉู่หมิงเซวียนไว้แน่น

ฉู่หมิงเซวียนหยิบแหวนในกระเป๋าออกมาหนึ่งวงแล้วสวมใส่ให้บนนิ้วมือของเฉินซานซาน ยิ้มและพยักหน้า :“อืม รอคุณออกมา พวกเราจะแต่งงานกัน!”

เฉินซานซานมองแหวนบนนิ้วมือของหล่อน ดีใจจนรีบพยักหน้า:“ได้ค่ะ ฉันจะดูแลลูกของเราอย่างดี รอฉันออกมา พวกเราก็จะแต่งงานกัน

เฉินซานซานพูดจบ แล้วจึงหันหลังมองไปทางด้านตำรวจทั้งสองนาย พูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก:“ฉัน ฉันก็คือเฉินซานซาน พวกเราไปกันเถอะ”

เฉินซานซานพูดจบ จากนั้นหันหลังมองฉู่หมิงเซวียนอีกครั้ง แล้วหล่อนก็ค่อยๆเดินออกจากห้องไป

ฉู่หมิงเซวียนมองตามแล้วค่อยๆปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆแสดงออกมา เขาต้องขอบคุณที่เขาพบเจอผู้หญิงที่ทั้งโง่เขลาทั้งหลงใหลในลาภยศเงินทอง ผู้หญิงแบบนี้เป็นผู้หญิงที่ง่ายต่อการเป็นเครื่องมือหลอกใช้ สามารถควบคุมเธอได้ง่ายดายมาก ตอนนี้เฉินซานซานได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการทำทั้งหมด อีกทั้งยังไม่สามารถลากเขาเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ และนี่ทำให้ฉู่หมิงเซวียนเริ่มรู้สึกว่า ผู้หญิงที่โง่เขลาง่ายต่อการใช้เป็นเครื่องมือในการหลอกใช้มากจริงๆ

ตอนนี้เรื่องราวทั้งหมดก็จัดการสำเร็จแล้ว สิ่งเดียวที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นกังวลคิดไม่ตก นั่นก็คือคนที่เซ็นชื่อให้กับเจี่ยนอี๋นั่วระหว่างที่ผ่าตัดอยู่นั้นเป็นใคร แล้วอีกอย่างคนที่ยืนด้านหลังเจี่ยนอี๋นั่วนั่นใช่คนเดียวกันหรือไม่ อีกทั้งยังทำให้ตำรวจตามหาเฉินซานซานพบได้เร็วขนาดนี้

เป็นไปได้ไหมว่าคน ๆนั้นเป็นพ่อของลูกในท้องเจี่ยนอี๋นั่ว?เป็นเหลิ่งเฉิงอวี่เหรอ?ผู้ชายคนนั้นเป็นใครเขาก็ไม่สามารถหาตำตอบได้?

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ก็รีบกำหมัดแน่นคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“ผมต้องสืบให้ได้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ผมไม่ยอมให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ในอ้อมกอดชายคนอื่นได้เร็วขนาดนี้แน่ เธอทรยศผมไม่ได้ และไปหลงรักผู้ชายคนอื่นไม่ได้ เธอจะมีลูกกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ !เธอจะแต่งงานกับผู้ชายคนอื่นไม่ได้ !ไม่ได้เด็ดขาด!”

ฉู่หมิงเซวียนพูดจบ ได้กำหมัดแน่น ต่อยไปทางด้านกำแพง ฉู่หมิงเซวียนเกิดรอยแผลขึ้นมาทันที แต่ว่าฉู่หมิงเซวียนกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด เขาหรี่ตาแล้วค่อยๆหัวเราะออกมาก เป็นครั้งแรกที่เขาพูดความรู้สึกความปรารถนาจากข้างในจิตใจออกมา:“เจี่ยนอี๋นั่ว คุณเป็นของผม!”

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินข่าวเฉินซานซานโดนตำรวจจับแล้ว ก็ปล่อยขวดแก้วในอ้อมกอด ค่อยๆวางไว้บนโต๊ะอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เปลี่ยนชุดคนไข้ออกแล้วใส่ชุดของหล่อนเองแล้วเดินออกห้องคนไข้ เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆตื่นจากอาการโศกเศร้าจากการแท้งลูก ก็นึกถึงเรื่องราววันที่ได้ข่าวว่าคุณพ่อของหล่อนฟื้นขึ้นมาแล้วทันที

ถึงแม้ว่าหล่อนจะเจ็บปวดที่สูญเสียลูกไป แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วต้องเข้มแข็งขึ้นมาให้ได้ เพราะว่าหล่อนยังต้องดูแลคุณพ่อ คุณพ่อของหล่อนพึ่งฟื้นขึ้นมา หล่อนยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องคุยกับคุณพ่อ

เจี่ยนอี๋นั่วกัดริมฝีปากฝืนทนความเจ็บแล้วค่อยๆเดินไปทางห้องคนไข้ ห้องของเจี่ยนฉางยุ่น หล่อนเหมือนวิญญาณพเนจรและเหมือนร่างกายที่ไร้ชีวิต เป้าหมายเพื่อต้องการพบหน้าคุณพ่อให้เร็วกว่านี้ จึงค่อยๆขยับตัวอย่างยากลำบาก

เจี่ยนอี๋นั่วในใจคิดเพียงว่าขอแค่ได้เจอหน้าคุณพ่อพอแล้ว รอให้คุณพ่อแข็งแรงขึ้น สิ่งที่หล่อนทำมาทั้งหมดมันก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

มันไม่ง่ายเลยที่เดินมาถึงหน้าห้องเจี่ยนฉางยุ่น เจี่ยนอี๋นั่วเห็นพยาบาลพิเศษที่ดูแลคุณพ่อกำลังเดินออกจากห้องมา

พยาบาลพิเศษเห็นเจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดว่า:“ในที่สุดคุณก็มาแล้ว ฉันรอคุณมาตลอด ก่อนหน้านี้โทรหาคุณ แต่ว่าคุณไม่รับสาย ทำไมสีหน้าของคุณ ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูก สีหน้าซีดเซียว หล่อนต้องคอยใช้มือยันกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม รีบส่ายหัว:“ฉันไม่เป็นอะไรมาก คุณพ่อของฉันตอนนี้อาการเป็นยังไงบ้างคะ?”

พยาบาลพิเศษคิ้วขมวดพูดด้วยความลำบากใจว่า:“เมื่อวานพึ่งได้รับการตรวจ คุณพ่อของคุณ……ร่างกายของเขามีบางอย่างที่ผิดปกติ”

“ผิดปกติยังไง?”เจี่ยนอี๋นั่วตื่นตระหนกถามกลับ

พยาบาลพิเศษพูดด้วยน้ำเสียงเบา:“หลังจากที่ได้ทำการการตรวจและวินิจฉัยพบว่าคุณพ่อของคุณสมองได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ตอนนี้สติปัญญาได้รับความเสียหาย กลัวว่าจะไม่สามารถใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไปได้อีก ……”

“อะไรนะ?”เจี่ยนอี๋นั่วสั่นไปทั้งตัว จากนั้นใช้มือยันกำแพงเพื่อไม่ให้ล้ม :“อะไรคือสติปัญญาได้รับการกระทบกระเทือนคะ?”

พยาบาลพิเศษรีบไปพยุงเจี่ยนอี๋นั่ว รีบร้อนพูดตอบกลับ:“เป็นเพราะว่าคุณพ่อของคุณเลือดคั่งในสมอง เลือดคั่งเยอะมาก ทำให้เนื้อเยื้อในสมองได้รับการความเสียหายอย่างรุนแรง อาการมันต่างจากอัลไซเมอร์ คุณพ่อของคุณความจำได้รับความเสียหายอย่างถาวร ตอนนี้เขาจำได้เพียงแค่ ……”

“จำได้เพียงอะไรคะ?”เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองพี่เลี้ยงถามด้วยตาที่แดงก่ำ

พยาบาลพิเศษพูดว่า:“จำได้เพียงคุณและน้องสาวของคุณ เขาเรียกหา‘อี๋นั่ว’และ ‘ฮุ่ยฮุ่ย’ตลอด ……”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลับตาลง น้ำตาของหล่อนไหลออกมาทันที พูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ:“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?ฉันตั้งใจรอให้คุณพ่อฟื้นขึ้นมาทำไมถึงเป็นแบบนี้?”

“คุณอย่าพึ่งคิดมากไปเลย คุณหมอบอกว่ายังต้องทำการตรวจและวินิจฉัยอีกขั้นหนึ่ง คุณรีบเข้าไปดูคุณพ่อของคุณก่อนเถอะ เผื่อคุณพ่อได้เห็นหน้าคุณ ท่านอาจจะนึกเรื่องราวอะไรขึ้นมาได้”พยาบาลพิเศษพูดปลอบใจเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วใช้แรงกัดไปที่ริมฝีปากหนึ่งที ยกมือปาดน้ำตาของตัวเอง เปิดประตูแล้วค่อยๆเดินเข้าไป พึ่งจะเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคุณพ่อของตัวเองนั่งอยู่บนเตียงคนไข้ ท่านหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ นั่งเหม่อลอยมองไปทางหน้าต่าง

เจี่ยนอี๋นั่วยันกำแพงเบาๆ ค่อยๆเดินเข้าไปหาทีละก้าว การก้าวเดินแต่ละก้าว หล่อนต้องใช้แรงอย่างมาก เดินไปจนถึงด้านหลังเจี่ยนฉางยุ่น เจี่ยนอี๋นั่วก็เรียก:“คุณพ่อ……”

เจี่ยนฉางยุ่นไม่ได้หันหลังกลับมามอง เขายังคงเงยหน้ามองไปทางหน้าต่างตลอด สายตาของเขาว่างเปล่าจ้องมองที่หน้าต่าง พูดโดยไม่รู้ตัว :“อี๋นั่ว กินเค้กลูก ……ฮุ่ยฮุ่ยต้องเชื่อฟังพี่สาวนะ……”

“คุณพ่อคะ คุณพ่อมองหน้าหนูสิคะ หนูคืออี๋นั่ว หนูมาเยี่ยมคุณพ่อแล้วนะคะ”เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินเข้าไปหาและกุมมือของเจี่ยนฉางยุ่นทันที

แต่ว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่ตอบสนองใดๆ ยังคงจ้องมองไปทางหน้าต่างบานนั้น พูดซ้ำโดยไม่รู้สึกตัว:“อี๋นั่ว กลับมากินข้าวที่บ้านได้แล้ว……”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆคุกเข่าลงข้างเตียง ปิดปากพร้อมร้องไห้ออกมา:“คุณพ่อคะ……คุณพ่อคะ……คุณพ่อมองหน้าหนูสิคะ หนูคืออี่นั่ว หนูมาหาคุณพ่อแล้วค่ะ คุณพ่อมองหนูสิคะ คุณพ่ออย่าเป็นแบบนี้ได้ไหมคะ หนูตั้งใจรอคุณพ่อฟื้นขึ้นมา คุณพ่ออย่าไม่สนใจหนูแบบนี่สิคะ หนูไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้วค่ะ ลูกก็เสียแล้ว ศักดิ์ศรีก็ไม่มีแล้ว คุณพ่ออย่าเป็นแบบนี้สิคะสนใจหนูหน่อยสิคะ”

ถึงแม้เจี่ยนอี๋นั่วจะเรียกยังไง เจี่ยนฉางยุ่นก็ไม่ตอบสนองใดๆ ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วเรียกเลยสักนิด เจี่ยนฉางยุ่นไม่มองเจี่ยนอี๋นั่วเหมือนเดิม เพียงแต่จ้องมองไปทางหน้าต่างพูดซ้ำๆด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“อี๋นั่ว……ฮุ่ยฮุ่ย……พวกหนูต้องเป็นเด็กดีนะลูก ……”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเจี่ยนฉางยุ่นส่ายหัวไปมาไม่หยุด หล่อนไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง คุณพ่อของหล่อนต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในชีวิตสิ ไม่ใช่ต้องมาเป็นคนไข้ติดเตียงแบบนี้ จ้องมองไปทางด้านหน้าต่างอย่างเดียว ไม่มีความรู้สึกชีวิตอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี

เจี่ยนอี่นั่วร้องไห้พร้อมพูดว่า:“คุณพ่อ หนูคืออี๋นั่ว หนูต้องการคุณพ่อมากนะคะ หนูต้องการให้คุณอยู่เคียงข้างหนูในวันที่เจอแต่เรื่องแย่ๆ คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ อย่าไม่สนใจหนูแบบนี้สิคะ ถ้าหากคุณพ่อโกธรหนูแล้ว คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ หนูจะปรับปรุงแก้ไข หนูจะปรับปรุงตัวเอง หนูจะปรับปรุงตัวเองจริงๆนะคะ คุณพ่อพูดกับหนูสิคะ……”

แต่ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดอะไร เจี่ยนฉางยุ่นทำเพียงแค่จ้องมองไปหน้าต่างบานนั้น แววตาเหม่อลอย เหมือนร่างที่ไร้วิญญาณ

“โอ้พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”เฮ่อเยี่ยนหงตะโกนไปด้วยพร้อมกับวิ่งเข้าห้องคนไข้ไปด้วย

เฮ่อเยี่ยนหงแกล้งแสดงอาการร้องไห้ออกมาแล้วก็วิ่งไปข้างๆเจี่ยนฉางยุ่น :“คุณเจี่ยน ในที่สุดคุณก็ฟื้น?ระยะเวาลานี้พวกเราใช้ชีวิตกันยังคุณรู้บ้างไหม?คุณต้องให้ความเป็นธรรมกับเราพวกด้วยนะคะ เจี่ยนอี๋นั่วหล่อนมีเงินทองมากมายขนาดนั้น ก็ไม่ยอมแบ่งให้พวกเราใช้กันบ้างเลยคะ……”

ในขณะที่เฮ่อเยี่ยนหงกำลังพูดก็หันหน้าตะโกนออกไปนอกห้อง:“ฮุ่ยๆรีบเข้ามาลูก รีบมาดูอาการของคุณพ่อ”

“พอได้แล้วค่ะ พอได้แล้วค่ะ หนูยังต้องเล่นเกมส์อยู่นะคะ อย่าทำให้หนูเสียเวลา ฟื้นก็ฟื้นแล้วสิคะจะอะไรกันนักกันหนา?”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดพร้อมเดินเข้าห้องคนไข้ด้วย

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยและเจี่ยนอี๋นั่วมีคิ้วที่คล้ายคลึงกัน แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วเป็นผู้หญิงที่มีความสามารถในการทำงานและมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วกลับเป็นผู้หญิง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยกำลังศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยชั้นปีที่1 หล่อนจะสวมใส่แต่เสื้อผ้าแบรนด์เนมและทาเล็บหลากสี กำลังก้มหน้าก้มตาเล่นแต่มือถือ

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยเล่นมือถือไปด้วยพร้อมหัวเราะไปด้วย:“ฮ่าฮ่า ไอ้โง่เอ้ย เล่นแพ้ฉันอีกแล้ว สมน้ำหน้า!”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย ค่อยๆปาดน้ำตาหันหน้ามองไปทางเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดขึ้นว่า:“เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย คุณพ่อเรียกหาชื่อเธอตลอด เธอเดินมาดูคุณพ่อหน่อยได้ไหม?ตอนนี้คุณพ่อได้รับการกระทบกระเทือนสมองอย่างรุนแรง จำได้เพียงแค่ฉันและเธอแล้ว ……”

เฮ่อเยี่ยนหงก็รู้สึกว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่เหมือนเดิม หล่อนคิ้วขมวดทันทีตะคอกใส่เจี่ยนฉางยุ่นสองสามคำ ปรากฏว่าเจี่ยนฉางยุ่นไม่มีการตอบสนองใดๆ จากนั้นค่อยหันหลังมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“ทำไมฉันตะโกนเรียนชื่อพ่อเธอ เขาไม่มีการตอบสนองใดๆ?เกิดอะไรกับเขากันแน่?”

เจี่ยนอี๋นั่วสำลักพร้อมพูดว่า:“คุณพ่อได้รับการกระทบกระเทือนที่สมองอย่างรุนแรง สติปัญญาของคุณพ่อได้รับความเสียหาย”

เฮ่อเยี่ยนหงรีบตอบกลับ:“ถ้าอย่างนั้น ……”

เฮ่อเยี่ยนหงยังไม่ทันพูดจบ เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยก็รีบตะโกนออกมาว่า:“ถ้าอย่างนั้นก็กลายเป็นคนบ้าแล้วสิ ถ้าให้เพื่อนนักเรียนของหนูรู้ว่าคุณพ่อเป็นคนบ้า หนูจะขายขี้หน้าขนาดไหนกัน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบก็หันหลังเตรียมเดินจากห้องคนไข้

“เธอจำไว้ให้ดีนะ!”เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนพูดกลับ

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบแล้วปาดน้ำตาพร้อมลุกขึ้น หันหน้าตะโกนใส่เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย:“เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย!เธอกล้าพูดประโยคเมื่อกี้กล้าพูดอีกครั้งไหม?เขาคือคุณพ่อของเธอ!คนที่มอบความสุขความสบายในชีวิตให้กับเธอ เธอพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

“ฉันทำอะไร?ก็เป็นคนบ้าจริงๆนี่ ……”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังเถียงไม่หยุด

เจี่ยนอี๋นั่วเดินเข้าไปหา ยกมือขึ้นตบหน้าเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยไปหนึ่งทีแล้วกัดฟันพูดว่า:“ตอนนี้

ตอนนี้เกิดเรื่องกับคุณพ่อและในฐานะที่ฉันเป็นพี่สาวคนโต ฉันก็ควรที่จะสั่งสอนเธอได้ ให้เธอได้รู้ว่าอะไรควรพูดหรืออะไรไม่ควรพูด ในฐานะลูกสาวควรจำทำตัวยังไง!คุณพ่อท่านรักและเอ็นดูเธอมาตลอด ตอนนี้ถึงแม้ว่าสมองของท่านจะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จำได้เพียงแค่เธอและฉันเท่านั้น ทำไมเธอถึงอกตัญญูเช่นนี้?”

“คุณแม่คะ คุณแม่ดูหล่อนสิคะ หล่อนกลับตบหนู!”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบไปซบข้างกายเฮ่อเยี่ยนหง

เฮ่อเยี่ยนหงเอาตัวมาบังให้เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ย เห็นเจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองหล่อนด้วยหน้าตาที่เย็นชาดุร้าย เฮ่อเยี่ยนหงที่กลัวเจี่ยนอี๋นั่วอยู่แล้วก็เกิดสะดุ้ง กล้าพูดเพียงแค่ว่า:“ลูก เมื่อกี้ลูกก็พูดเกินไป พูดมั่วๆแบบนี้ได้ยังไง?”

“ฮึม พวกคุณก็ปกป้องแต่เจี่ยนอี๋นั่ว ไม่มีใครอยู่ข้างหนูสักคน พวกคุณไม่เคยแคร์ความรู้สึกของหนู หนูจะหนีออกจากบ้านเดี๋ยวนี้แล้วก็จะไม่กลับมาอีกแล้ว”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยร้องไห้พร้อมพูดตะโกน

“ถ้าเธอกล้าก้าวออกจากห้องนี้แม้แต่ก้าวเดียว บัตรเครดิตของเธอทั้งหมดจะโดนระงับ และฉันจะไม่ให้เธอใช้แม้แต่สลึงเดียว!”เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เธอ……”เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว ร้องไห้พร้อมพูดขึ้นว่า:“ทำไมเธอถึงไม่มีเหตุผลขนาดนี้นะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูก เมื่อกี้อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เกือบยืนต่อไปไม่ไหว ต้องยึดจับตู้ข้างกำแพงไว้ถึงสามารถทรงตัวยืนอยู่ได้ แต่ว่าหล่อนกัดริมฝีปากแน่นพูดกับเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา:“ฉันจะทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในขณะที่คุณพ่อป่วยท่านเรียกหาแต่ชื่อของเธอและฉัน

ไม่ว่าเธอจะรังเกลียดพี่สาวอย่างฉันคนนี้มากแค่ไหน คุณพ่อดีต่อเธอมากแค่ไหน เธอไม่สมควรที่จะพูดจาแบบนี้กับท่าน!นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอต้องอยู่ดูแลปกป้องตระกูลเจี่ยนและดูแลคุณพ่อของเราไปด้วยกัน”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยรีบเอามือปิดหน้าและร้องไห้ออกมา:“ฉันไม่สน ฉันไม่อยากดูแลใครทั้งนั้น ฉันยังสาวและสวย ไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตแบบเธอ มีผู้ชายมากมายที่เต็มใจให้เงินฉันใช้ ฉันไม่ต้องการเหมือนหล่อน เป็นแม่หม้ายที่ถูกทอดทิ้ง และไม่ต้องการดูแลคนป่วย ในวัยที่สดใสของฉันไม่ควรต้องมานั่งดูแลคนชราแบบนี้หรอก !”

เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยพูดจบรีบหันหลังวิ่งออกไป เฮ่อเยี่ยนหงรีบวิ่งตามออกไป:“ฮุ่ยฮุ่ย ลูกคนนี้นี่ ลูกอย่าวิ่งสิ ถ้าหากลูกวิ่งออกจากห้องคนไข้นี้ไป ลูกจะไม่ได้เงินใช้อีกนะ คนอย่างหล่อนพูดจริงแล้วก็ทำจริงๆนะ!”

เฮ่อเยี่ยนหงพูดจบมองหน้าเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“อี๋นั่ว เธอจะหยุดให้เงินฮุ่ยฮุ่ยใช้ไม่ได้นะ หล่อนเป็นน้องสาวแท้ๆของเธอนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสีหน้าเฉยเมยกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ฉันไม่มีน้องสาวที่อกตัญญูแม้แต่คุณพ่อของตัวเองแท้ๆยังรังเกียจได้ลงคอ หล่อนไม่มีเหตุผล ก็ควรได้รับในสิ่งที่ตัวเองได้ทำไว้

!”

เดินเข้าไปในสถานกักขังที่เย็นวาบ เจี่ยนอี๋นั่วก็มองเห็นเฉิงซานซาน แต่ว่านะไม่ได้เจอกันสองวัน เฉิงซานซานนั้นดูซูบลงไปเยอะเลย พอเธอมองมาที่เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบหันร่าง เตรียมที่จะเดินออกไป:“ฉันไม่อยากเจอเขา ฉันไม่อยาก!”

แต่เจ้าหน้าที่กดไหล่ของเฉิงซานซานเอาไว้:“นั่งลง เธอคิดว่านี่ที่เป็นที่อะไร? ที่ๆเธอสามารถอยากเจอก็ได้เจอ ไม่อยากเจอก็ไม่ต้องเจองั้นเหรอ?”

เฉิงซานซานก็เลยนั่งลง เธอจ้องเจี่ยนอี๋นั่วอย่างโหดเหี้ยม:“แกมาทำไม? แกอยากแก้แค้นฉันใช่ไหม? ฉันจะบอกแกให้นะ แกไม่ต้องคิดว่าจะทำร้ายฉันหรอก ลูกของแกก็ไม่มีแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่แกสมควรจะได้รับ ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก ถ้าแกไม่มาพัวพันฉันกับหมิงเซวียน ฉันก็คงไม่อยากจะเอาเด็กในท้องแกออกไปหรอก แล้วฉันก็ไม่ต้องมาอยู่ที่นี่!ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก!”

เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย เธอยื่นมือออกไปกลางอากาศลูบเบาๆที่ท้องของเฉิงซานซาน พูดเสียงเบา:“ลูกของฉันก็พอๆกับลูกของเธอนะ ทำไมลูกของฉันถึงถูกฆ่าตาย แต่ลูกของเธอยังมีชีวิตอยู่ล่ะ?”

เฉิงซานซานรีบปิดท้องไว้ พูดอย่างกังวล:“แก……แกหมายความว่าไง? แกจะทำอะไรกับลูกฉัน? ฉันจะบอกแกให้นะ นี่เป็นสายเลือดแท้ๆของฉู่หมิงเซวียน แต่ลูกของแกมันไม่ใช่!ที่จริงแกไม่มีลูกแล้ว แกก็ไม่ควรมาหาฉันนะ แกควรจะดูว่าสรุปแล้วตัวเองทำอะไรลงไปกันแน่ ฉันกับหมิงเซวียนใช้ชีวิตกันสุขสบายดี ทำไมแกต้องมารบกวนพวกเราอีก? ทำไมแกไม่หายไป? ทำไมแกต้องพัวพันกับพวกเรา? ถ้าหลังจากที่ตระกูลเจี่ยนของพวกแกล้มละลาย แล้วไม่มาให้ฉันกับหมิงเซวียนเห็นหน้า เรื่องแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้นถูกไหม?”

“เหอะๆ……” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอหัวเราะเสียงดัง

สีหน้าเฉิงซานซานก็เปลี่ยนขึ้นมาทันที เธอจ้องเจี่ยนอี๋นั่วแล้วถามอย่างร้อนรน:“แก แกหัวเราะอะไร? แกหัวเราะอะไรเนี่ย?”

เจี่ยนอี๋นั่วยกมือโบกไปมา ปิดที่ท้องแล้วพูดว่า:“ฉันกำลังหัวเราะตัวเอง ฉันถึงกับถ่อมาที่นี่เพื่อถามเธอว่าทำไมต้องทำร้ายฉัน? สำหรับคนแบบพวกเธอแล้ว ไม่ว่าอะไรก็เป็นข้ออ้างในการทำชั่วได้ทั้งนั้น ฉันจะไปขอคำตอบอะไรจากเธอกันนะ? ฉันนี่มันไร้เดียงสาจริงๆเลย ตลกจัง ฮ่าๆๆ……”

เฉิงซานซานตะโกนเสียงดัง:“แก แกกำลังดูถูกฉัน?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเฉิงซานซาน อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาแล้วพูด:“เปล่า ฉันไม่ได้กำลังดูถูกเธอ ที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงทั้งหมด ฉันกำลังขำตัวเองจากใจจริงๆ”

เฉิงซานซานตัวสั่นแล้วเม้มปากแน่น ตะโกนเสียงดัง:“ไม่ว่าแกจะคิดยังไง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของแก แกไม่ควรมาพัวพันกับหมิงเซวียน ฉันไม่สนใจแกตั้งนานแล้ว แต่แกกลับโผล่มารอบตัวหมิงเซวียนอยู่ตลอด แกยังมีหน้ามาบอกว่าแกไม่ได้อยากจะคืนดีกับเขา? แกทำให้เขาลำบากใจเพื่อจะเรียกร้องความสนใจจากเขาล่ะสิ แล้วลูกที่แกมี สรุปแล้วเป็นลูกของใครกันแน่แกก็ไม่พูดให้ชัดเจน ให้ฉันคิดเองว่าลูกของแกเป็นลูกของหมิงเซวียน แกมีลูกของหมิงเซวียน แล้วลูกของฉันจะทำยังไง? แกต้องคิดวิธีที่จะทำให้มีผลกระทบกับหมิงเซวียนแน่ๆ ฉันเลยต้องทำแบบนี้……”

“ทั้งหมดเป็นความผิดของคนอื่น ใช่ไหม?” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเฉิงซานซานแล้วถามเสียงเย็นชา:“ตอนแรกฉันควรยกทั้งฉู่หมิงเซวียนและสมบัติของตระกูลเจี่ยนให้พวกเธอ แล้วอวยพรให้พวกเธอรักกันนานๆถึงจะดีใช่ไหม ไม่งั้นฉันจะกลายเป็นคนผิด ฉันนี่แหละเป็นคนผิด!เธอฆ่าลูกฉันตายมันก็สมควรแล้ว!พวกเธอหักหลังได้ พวกเธอวางแผนลอบทำร้ายคนได้ ถ้าคนอื่นเขาจะตอบโต้ ก็ล้วนผิดทั้งนั้น บนโลกนี้อนุญาตให้พวกเธอเสพสุข อนุญาตให้พวกเธอมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข คนอื่นควรตายไปให้หมด!ใช่ไหม? นี่เป็นตรรกะของเธอ?”

เฉิงซานซานหายใจเข้าลึกๆ เธอพูดไม่ออกสักคำ คำพูดของเจี่ยนอี๋นั่วคือสิ่งที่เธอคิดอยู่ในใจทั้งหมด แต่ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าน้ำเสียงของเจี่ยนอี๋นั่วไม่ปกติกันนะ ถ้าเธอยอมรับ ก็เหมือนว่าจะไม่ถูก

เฉิงซานซานไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วพึมพำเสียงเบา:“ยังไงซะ……ยังไงซะก็เป็นความผิดของแก……”

เจี่ยนอี๋นั่วหลับตาลง อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา:“งั้นฉู่หมิงเซวียนก็คิดว่าเป็นความผิดของฉันเหรอ? เพราะงั้นเขาถึงบอกเธอให้ผลักฉันลงมา? ไม่ ฉู่หมิงเซวียนไม่โง่ขนาดนั้นหรอก เขาต้องบอกเป็นนัยให้เธอ เขาจะพยายามส่งซิกให้เธอ บอกเธอ ว่าฉันคืออำนาจที่จะคุกคามเธอ ถ้ากำจัดฉัน เธอก็จะมีชีวิตที่สบาย เขาก็จะแต่งงานกับเธอ เขาดูแลคนเก่ง เขาจะยอมรับเธอและลูกของเขา ใช่ไหม?”

“แกรู้ได้ยัง……” เฉิงซานซานเบิกตากว้างมองเจี่ยนอี๋นั่ว เธอไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเดาออกทุกอย่าง เธอไม่คิดว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะเดาความคิดของฉู่หมิงเซวียนได้ขนาดนี้ เธอก็เลยอดไม่ได้ที่จะพูดประโยคนี้ออกมา

หลังจากที่เฉิงซานซานพูดประโยคนั้นออกมา ก็นึกได้ว่าตัวเองพูดผิดไป เลยรีบส่ายหน้าแล้วพูด:“ไม่ แกพูดมั่วซั่ว ไม่ใช่แบบที่แกคิดเลยสักนิด เพราะฉันคิดว่าแกเป็นอุปสรรคต่ออนาคตลูกของฉันต่างหาก ฉันก็เลยต้องผลักแกลงไป……”

“เขาบอกเธอ ห้ามเธอพูดถึงเขาออกมาล่ะสิ? เขาบอกเขาจะช่วยเธอฟ้องร้องคดีอยู่ด้านนอก รอเธอออกไป” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตามองเฉิงซานซาน:“ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอฝันไปเถอะ ของเธอคือเจตนาทำร้ายร่างกาย ทนายของพวกเราคงให้เธอติดคุกสิบปีขึ้นไปนู่น อีกอย่างไม่มีทางให้เธอได้ประกันตัวหรอก”

“เป็นไปได้ยังไง? ฉันตั้งท้องอยู่นะ อีกอย่างนี่ไม่นับว่าเป็นคดีใหญ่สักหน่อย จะตัดสินลงโทษหนักขนาดนั้นได้ยังไง ฉันตั้งท้องอยู่ พวกเขาควรจะมีความเป็นมนุษย์อยู่บ้างสิ คงไม่มีทางให้ฉันคลอดลูกในคุกหรอก แกไม่ต้องมายุยงเลยนะ หมิงเซวียนเคยบอกว่าเขาจะช่วยฉัน เขาก็จะต้องช่วยฉันแน่ เขา……เขาไม่มีทางโกหกฉัน……” เฉิงซานซานส่ายหน้าอย่างร้อนรน พูดเสียงดัง

“ยัยผู้หญิงโง่ แล้วเธอก็เชื่อคำพูดเขาเนี่ยนะ” เจี่ยนอี๋นั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย มองเฉิงซานซานแล้วส่ายหน้า

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็ลุกขึ้นยืน เดินออกมาจากสถานกักขัง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยืนยันเรื่องที่ฉู่หมิงเซวียนอยู่เบื้องหลังควบคุมเฉิงซานซานให้ฆ่าลูกของเธอตายจากปากของเฉิงซานซานแล้ว ขอแค่รู้ตรงจุดนี้ก็พอแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ขอให้เฉิงซานซานเป็นพยานบุคคลชี้ตัวฉู่หมิงเซวียนด้วยซ้ำ เพราะต่อให้เฉิงซานซานชี้ตัวฉู่หมิงเซวียน แต่ฉู่หมิงเซวียนก็เป็นแค่คนส่งซิกให้กับเฉิงซานซานเท่านั้น ใช้เป็นหลักฐานว่าฉู่หมิงเซวียนมีความผิดไม่ได้เลยสักนิด ถึงแม้ว่ากฎหมายจะลงโทษอะไรฉู่หมิงเซวียนไม่ได้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วสามารถทำได้!

พอเจี่ยนอี๋นั่วเดินออกจากประตูใหญ่ของสถานกักขัง ก็เห็นว่าฉู่หมิงเซวียนจอดรถไว้ข้างทาง หิ้วกล่องเก็บความร้อนเดินมาทางเธอ สายตาของฉู่หมิงเซวียนมองลงมาที่ท้องของเจี่ยนอี๋นั่ว มองท้องของเจี่ยนอี๋นั่วที่ราบเรียบ ฉู่หมิงเซวียนก็เผยรอยยิ้มออกมา:“คุณหนูใหญ่เจี่ยนยังคงรักษาหุ่นได้ดีเหมือนเดิม อย่างนี้สิถึงจะสวยที่สุด คุณไม่เหมาะกับหุ่นที่ตั้งครรภ์จนท้องป่องแบบนั้นหรอก”

ริมฝีปากของเจี่ยนอี๋นั่วสั่นเล็กน้อย ตอนนี้เธอมองฉู่หมิงเซวียนก็เหมือนกับมองศพของลูกเธอ ต่อให้ฉู่หมิงเซวียนคิดว่าพ่อของเธอมีอะไรต้องชำระกับเขา แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่เข้าใจ ทำไมฉู่หมิงเซวียนต้องทำร้ายเธอขนาดนี้? เธอจะมีลูกกับใครเกี่ยวอะไรกับฉู่หมิงเซวียน? ทำไมฉู่หมิงเซวียนถึงยอมให้ลูกแท้ๆของเขาเองเกิดในคุก แล้วบงการเฉิงซานซานให้ผลักเธอลงมา?

“ทำแบบนั้นทำไม?” เจี่ยนอี๋นั่วถามเสียงเย็นชา

“อะไรเหรอ?” ฉู่หมิงเซวียนหัวเราะเบาๆ มองเจี่ยนอี๋นั่วแล้วยิ้ม:“คุณเจี่ยนหมายถึงอะไรเหรอ? ทำแบบนั้นทำไม? ทำไมผมฟังไม่เข้าใจ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วตะโกน:“ทำไมต้องให้เฉิงซานซานฆ่าลูกของฉัน?”

ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตา ค่อยๆส่ายหน้า:“ทำไมผมต้องทำแบบนั้น ผมไม่ได้ทำนะ อี๋นั่ว ตอนแรกคุณคบกับผม ใช่ว่าจะใส่ร้ายคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ได้นะ ใครเป็นคนสอนให้คุณนิสัยไม่ดีแบบนี้เนี่ย? คนๆนั้นเป็นใคร? หรือว่าเขาลึกลับเกินไปใช่หรือเปล่า? เขาหลบๆซ่อนๆไม่กล้าเจอคนแบบนี้ หน้าตาอัปลักษณ์มากใช่หรือเปล่า หรือว่าพิการกันนะ?”

สองวันนี้ฉู่หมิงเซวียนสืบอยู่ตลอดว่าคนที่อยู่ข้างหลังเจี่ยนอี๋นั่วคือใครกันแน่ แต่ไม่ว่าเขาจะสืบยังไงก็ไม่เจอสักที สิ่งเดียวที่เขารู้คือมีผู้ชายคนหนึ่งเซ็นหนังสือยินยอมรับการผ่าตัดให้เจี่ยนอี๋นั่วจริงๆ ทั้งหมดไม่ใช่การคิดเพ้อเจ้อของเขา เบื้องหลังของเจี่ยนอี๋นั่วมีผู้ชายลึกลับจริงๆ

แต่การสืบก็จบอยู่ตรงนี้ ฉู่หมิงเซวียนอยากจะสืบต่อถึงสถานะของผู้ชายคนนั้น กลับสืบอย่างเปิดเผยไม่ได้ พยาบาลที่เคยเจอผู้ชายคนนั้นถูกจัดการแล้ว เอกสารที่ผู้ชายคนนั้นเซ็นชื่อก็ถูกเก็บรักษาไว้อย่างแนบแน่น ราวกับว่าในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ชายคนนี้ที่เดิมทีลอยโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำ ก็ต้องดำลงไปจนสุดทางอีกเพื่อเก็บทุกอย่างไว้ด้านหลัง แค่ฉู่หมิงเซวียนคิดไปถึงว่ามีผู้ชายแบบนี้คบหากับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาก็ไม่สบายใจแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วหันหน้ามองฉู่หมิงเซวียน พูดเสียงเบา:“ไม่ว่าเขาจะหน้าตาอัปลักษณ์ หรือพิการ เขาก็ดีกว่าคุณเยอะเลย”

“คุณชอบเขา?” ฉู่หมิงเซวียนกระตุกมุมปากเล็กน้อย แล้วกัดฟันพูด:“คุณชอบผู้ชายคนอื่นได้ยังไง?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายอมรับต่อหน้าเหลิ่งเซ่าถิงว่าเธอชอบเขา เพราะประโยคนี้ถ้าได้พูดออกไป เจี่ยนอี๋นั่วก็จะต้องเผชิญกับการหัวเราะเยาะของเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้ายืนยันว่าตอนนี้เธอยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงอยู่หรือเปล่า

แต่เจี่ยนอี๋นั่วอยากจะพูดประโยคที่ว่าเธอชอบผู้ชายคนอื่นแล้วต่อหน้าฉู่หมิงเซวียน เจี่ยนอี๋นั่วก็เลยค่อยยิ้มออกมา แล้วพูดเสียงเบา:“ถูกต้อง ฉันชอบเขาแล้ว ที่จริงเขาไม่ได้อัปลักษณ์เลย เขาหล่อมาก หล่อจนคุณไม่สามารถจะจินตนาการได้เลย และเขาก็ไม่ได้พิการ เขาแข็งแรงมาก ร่างกายเขามีแต่ลายเส้นกล้ามเนื้อที่สวยงาม บางครั้งเขาก็เย็นชา บางครั้งกลับเผยให้เห็นความอ่อนโยนที่อยู่ภายใต้ความเย็นชานั้น คนอื่นต่างก็แบกรูปลักษณ์ความอ่อนโยนซ่อนจิตใจที่ชั่วร้าย แต่เขาไม่ใช่ ไม่ใช่เลยจริงๆ……”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาจริงๆ:“ฉันมักจะรู้สึกว่าเขากำลังใช้รูปลักษณ์ที่เย็นชา ซ่อนความอ่อนโยนของเขาไว้ เพราะงั้นฉันเลยชอบเขาล่ะมั้ง ไม่ใช่เพราะเขาหล่อ แต่เป็นเพราะฉันรับรู้ได้ถึงความอ่อนโยนของเขา”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆออกมา เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตลกมากจริงๆ เธอคิดนานมากว่าสาเหตุที่ชอบเหลิ่งเซ่าถิงคืออะไร กลับมารู้ตอนที่อยู่ต่อหน้าฉู่หมิงเซวียน!

“ไม่ คุณโกหก!” ฉู่หมิงเซวียนมองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยตาแดงก่ำ ตะโกนออกมา:“ไม่ คุณโกหก!คุณไม่มีทางชอบผู้ชายคนอื่น!”

แต่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าคำพูดของคุณนายเหลิ่งมันช่างดูแปลกเหลือเกิน เธอจำได้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยพูดกับเธอไว้ว่า เป็นเพราะคุณนายเหลิ่งเป็นห่วงความปลอดภัยของเธอ จึงให้เหลิ่งเซ่าถิงตามเธอออกไป แต่ฟังจากที่คุณนายเหลิ่งพูด คุณนายเหลิ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอออกจากบ้านไป หรือเป็นเพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงพูดโกหก?

เหลิ่งเซ่าถิงทำไมต้องพูดโกหกด้วยล่ะ?เขาต้องการทำอะไร?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดเรื่องราวถึงนี่ ก็หันหน้าไปมองเหลิ่งเซ่าถิงด้วยท่าทางคิ้วขมวด ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเจี่ยนอี๋นั่วพอดีเช่นกัน เขาเม้นปากอย่างแรงแต่กลับไม่พูดอะไรเลย

“เอาล่ะเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปสืบสาวอะไรอีกแล้ว เธอก็ดูแลรักษาสุขภาพตัวเอง ฉันคิดว่าไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น”คุณนายเหลิ่งพูดด้วยน้ำเสียงสุขุม รินน้ำชาแล้วดื่ม

เจี่ยนอี๋นั่วเบิ่งตามองไปทางคุณนายเหลิ่ง จากที่เธอมองคุณนายเหลิ่งดูออกได้ทันทีว่าคุณนายเหลิ่งรู้สึกโมโหแล้วจริงๆ แต่ว่าคุณนายเหลิ่งก็เก็บอาการโมโหเอาไว้ และไม่ได้พูดอะไรเลย อาการยังเหมือนเดิมทุกอย่าง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“คุณนายเหลิ่งคะ ฉัน ……”เจี่ยนอี๋นั่วเรียกด้วยน้ำเสียงที่เบา

คุณนายเหลิ่งทำท่าโบกมือขึ้นเพื่อตัดบทในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูด:“เธอไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ถึงแม้เธอจะเสียลูกไป แต่เหลิ่งเซ่าถิงยังยินยอมให้เธออาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งอีกหนึ่งปี ฉันก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก แต่ว่าอี๋นั่ว เธอทำให้ฉันผิดหวังจริงๆ ฉันคิดว่าเธอน่าจะเป็นคนที่แยกแยะได้ แต่ทำไมเธอถึงไม่รู้ว่าลูกนั้นสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด”

เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าขมวดคิ้ว:“แต่ว่าคุณพ่อของฉันท่านพึ่งฟื้น”

“ลูกหลานตระกูลเหลิ่งสำคัญน้อยกว่าคุณพ่อของเธอเหรอ?อย่าพูดว่าคุณพ่อของเธอพึ่งฟื้น แม้ว่าคุณพ่อเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้ายกว่านี้ เธอค่อยไปวันถัดไปมันจะเป็นอะไรไหม?สำหรับเธอสิ่งที่สำคัญที่สุดคือลูกในท้อง ไม่ใช่คุณพ่อที่ไร้ประโยชน์คนนั้น แค่นี้ยังลำดับความสำคัญไม่ได้เลยหรือ ?”คุณนายเหลิ่งตัดบทในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังพูด

เจี่ยนอี๋นั่วตะลึงไปในทันที เธอเหมือนกันไม่เคยรู้จักคุณนายเหลิ่งมาก่อน ตลอดเวลาที่ผ่านมาคุณนายเป็นห่วงเป็นใยแค่ลูกในท้องของเธอเท่านั้น

เหลิ่งเซ่าถิงจะพูดว่ากับเธอตรงๆไหมว่าต้องการให้เธอเป็นผู้หญิงแค่เครื่องทำลูกเท่านั้นเหรอ สำหรับคุณนายเหลิ่งคงคิดแบบนี้จริงๆ แต่เป็นเพียงเพราะว่าคุณนายเหลิ่งใช้ความเมตตาและการกระทำมาปิดบังความจริงที่โหดร้ายเท่านั้น

ในที่สุดเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้คำตอบทำไมคุณนายเหลิ่งถึงเก็บเธอไว้ เป็นเพียงเพราะต้องการให้เธอตั้งครรภ์เท่านั้นเอง และที่สำคัญในใจคุณนายเหลิ่งรู้ว่า“ตอนไหนควรเข้าหา ตอนไหนควรถอยห่าง”เป็นคนที่หวังเพียงผลประโยชน์ ตระกูลเหลิ่งแท้ที่จริงแล้วทั้งโหดร้ายทั้งเลือดเย็นมาก ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกหวาดกลัวคนตระกูลเหลิ่ง หวาดกลัวอำนาจของตระกูลเหลิ่ง และไม่กล้าที่จะทำเรื่องอะไรทั้งนั้น แต่สำหรับตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกดูถูกรังเกียจตระกูลเหลิ่ง อย่างนี้ความรวยที่มีก็เป็นได้แค่เปลือก อีกทั้งยังเป็นคนที่เยือกเย็นทั้งตระกูล

“สำหรับฉันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกหรือคุณพ่อของฉันมันก็สำคัญเท่าๆกัน ”เจี่ยนอี๋นั่วตอบกลับคุณนายเหลิ่งด้วยท่าทางที่เย็นชา

คุณนายเหลิ่งหรี่ตาจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะออกมาทันที :“ฉันดูเธอผิดไปจริงๆนะเนี่ย คุณเจี่ยน ฉันคิดว่าเธอจะเป็นคุณหนูที่รู้จักอะไรสมควรพูดหรือไม่สมควรพูด แต่คาดไม่ถึงจริงๆว่าเธอจะมีนิสัยที่ป่าเถื่อนและไม่รู้จักตอนไหนควรเข้าหา ตอนไหนควรถอยห่าง ดูท่าแล้วเธอคงยังไม่เข้าใจ สำหรับเธอแล้ว อะไรล่ะที่สำคัญที่สุด?”

“ถ้าหากการที่ให้ฉันดูหมิ่นคุณพ่อของตัวเอง ก็คือคนที่รู้จักถอย ถ้าอย่างงั้นฉันทำไม่ได้ค่ะ คุณพ่อของฉันฟื้นขึ้นมา ฉันไปเยี่ยมท่านมันคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ฉันผิดก็คือไม่ได้ระมัดระวัง และไม่รู้จักป้องกันคนที่คิดจะปองร้ายฉัน”เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆเงยหน้าพูดกับคุณนายเหลิ่งเบาๆ

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะพูดเบามาก แต่กลับมีท่าทางที่หนักแน่นมาก ไม่ใช่คนเดิมคนที่เคยเป็นฝ่ายที่ต้องตามใจทุกอย่างและยอมอีกต่อไป

คุณนายเหลิ่งหรี่ตากำลังจะพูด ทันใดนั้นเหลิ่งเซ่าถิงก็ลุกขึ้นยืนพูดกับคุณนายเหลิ่งว่า:“คุณย่าครับ คุณย่าพักผ่อนเถอะครับ ผมจะพาเธอออกไปแล้ว”

คุณนายเหลิ่ง น้ำเสียง ฮึ่ม เงยหน้ามองเหลิ่งเซ่าถิง :“ฉันเริ่มรู้สึกการที่เธอเลือกไม่เก็บผู้หญิงคนนี้ไว้ตั้งแต่แรกเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ขอเพียงแค่เธอพูดมาคำเดียว พวกเราก็จะไล่ผู้หญิงคนนี้ไปจากตระกูลเหลิ่งเดี๋ยวนี้ ถึงแม้ฉันจะรู้ว่าสึกการที่ได้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่เคียงข้างเธอ แล้วทำให้เธอกลับมาเป็นคนเดิม มันเป็นเรื่องที่โชคดี แต่ดูท่าแล้วนิสัยของผู้หญิงคนนี้ก้าวร้าวมาก ไม่เหมาะกับตระกูลเหลิ่งของพวกเรา”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปมองเจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า:“ผมเคยสัญญากับเธอ ว่าจะให้เธออาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งหนึ่งปีครับ และผมจะต้องไม่ทำผิดสัญญาครับ”

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนคนแปลกหน้าที่กำลังฟังเหลิ่งเซ่าถิงและคุณนายเหลิ่งหารือกันว่าจะให้เธออยู่หรือไป แต่เพราะเวลานี้ความคิดเห็นของคุณนายเหลิ่งและเหลิ่งเซ่าถิงนั้นคิดแตกต่างกัน เหลิ่งเซ่าถิงกลับกลายเป็นคนที่อยากให้เจี่ยนอี๋นั่วอยู่ต่อ แต่คุณนายเหลิ่งกลับอยากให้เจี่ยนอี๋นั่วไปจากตระกูลเหลิ่ง

ทันใดนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็รู้สึกมันไร้สาระ ก่อนหน้านี้หล่อนอยากได้เงินทุนจากตระกูลเหลิ่งเลยไม่ไปจากตระกูลเหลิ่ง แต่เวลานี้หล่อนกลับอยากไปจากตระกูลเหลิ่งแล้ว คฤหาสน์ที่เยือกเย็น เธอไม่อยากอยู่ต่อเลยสักนิดเดียว

“ฉันเต็มใจที่จะไปจากตระกูลเหลิ่งเอง”เจี่ยนอี๋นั่วพูดออกมาทันที:“ฉันไม่มีประโยชน์อะไรต่อตระกูลเหลิ่งอีกแล้ว ……”

“คุณหยุดพูด!”เหลิ่งเซ่าถิงหันหลังไปทางเจี่ยนอี๋นั่วและตะโกนพูดว่า:“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่คุณจะตัดสินใจ”

คุณนายเหลิ่งเหลือบมองเหลิ่งเซ่าถิง จากนั้นมองไปที่เจี่ยนอี๋นั่วพูดขึ้นว่า :“อี๋นั่ว ถึงแม้ฉันจะไม่ค่อยพอใจเธอเท่าไหร่ แต่ยังไงฉันก็รู้ว่าเธอเก่งกว่าผู้หญิงคนอื่นๆมากนัก ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงและเธอมีข้อตกลงกันหนึ่งปี ฉันก็ยอมให้เวลาอีกหนึ่งปี หลังจากหนึ่งปี เธอสามารถทำให้ฉันพอใจได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรับเธอเป็นภรรยาจริงๆ ถึงตอนนั้นเธอจะได้เป็นลูกสะใภ้ของตระกูลเหลิ่งจริงๆ ไม่ใช่ใครก็จะได้รับโอกาสแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดและส่ายหัว เธอรังเกียจตระกูลเหลิ่งที่ทำตัวอยู่เหนือคนอื่นและตัดสินใจแทนเธอทุกอย่างแบบนี้แล้ว เจี่ยนอี๋นี่วไม่อยากอาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งแล้วจริงๆ แต่เธอยังไม่ทันได้พูดอะไร เหลิ่งเซ่าถิงก็คว้าข้อมือของเธอ แล้วพาออกจากห้องไป

เจี่ยนอี๋นั่วถูกเหลิ่งเซ่าถิงคว้าข้อมือกลับไปห้องของพวกเขา พอถึงห้องเหลิ่งเซ่าถิงก็ปล่อยมือ เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดขึ้นว่า:“เหลิ่งเซ่าถิง คุณต้องการทำอะไร?เดิมทีคุณเป็นคนที่พูดตลอดให้ฉันเอาเด็กออก แล้วไสหัวออกจากตระกูลเหลิ่ง ตอนนี้คุณจะเก็บฉันไว้ทำไม?”

เหลิ่งเซ่าถิงปล่อยมือ คิ้วขมวดจ้องมองเจี่ยนอี๋นั่ว สภาพของเจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ซีดเซียวเหมือนตอนที่นอนสลบอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือด ต่างกันแค่ตอนนั้นเจี่ยนอี๋นั่วหลับตาไว้อยู่ เป็นเพราะร่างกายเสียเลือดมากเกินไป เหลิ่งเซ่าถิงรู้จักเจี่ยนอี๋นั๋วดี เขาจะสามารถทนอยู่ห้องเดียวกันกับผู้หญิงที่ไม่รู้จักดีพอได้อย่างไรกัน ยิ่งเป็นผู้หญิงที่คนอื่นยัดเยียดถึงในห้องนอนของเขา ถึงแม้จะเป็นคุณย่าก็เถอะ เขาก็ไม่สามารถวางใจได้

แต่เรื่องราวทั้งหมดก็ไม่สามารถเทียบได้กับเลือดกองนั้น เขาพึ่งรู้ครั้งแรกว่า ลายเซ็นครั้งแรกของเขา สามารถตัดสินให้คนมีชีวิตและตายได้ จริงๆแล้วเลือดของเขาก็สามารถช่วยชีวิตคนได้ เหลิ่งเซ่าถิงรู้ว่าเขามีกรุ๊ปเลือดเดียวกันกับเจี่ยนอี๋นั่ว เขาคาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งเขาจะบริจาคเลือดให้กับผู้หญิงที่เขาไม่ชอบด้วยซ้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าเป็นเพราะเธอแท้งลูกจึงทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ว่า สิ่งที่ทำให้คุณนายเหลิ่งไม่พอใจอย่างมากคือ เจี่ยนอี๋นั่วทำให้หลานชายหัวแก้วหัวแหวนบริจาคเลือดให้เธอ ถ้าเทียบกับเหลนที่ยังไม่เกิดนั้น มันเทียบไม่ได้กับหลานแท้ๆอย่างเหลิ่งเซ่าถิงที่เป็นความหวังเดียวของคุณนายเหลิ่ง เหลิ่งเซ่าถิงกลับช่วยชีวิตเจี่ยนอี๋นั่วทำให้ร่างกายตัวเองอ่อนแอลง บริจาคเลือด!เป็นเหตุผลหลักที่คุณนายเหลิ่งทนไม่ได้

“ไปจากตระกูลเหลิ่ง เธอก็จะไม่หลงเหลืออะไรอีกแล้ว!”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง:“ตอนนี้อารมณ์ของเธอยังไม่นิ่งพอที่จะตัดสินใจ ผมอยากเตือนคุณ เป็นเพราะคุณต้องการเงินทุนช่วยเหลือจากตระกูลเหลิ่งจึงยอมมีลูกกับผม ถ้าคุณไปจากที่นี่ตอนนี้ สิ่งที่คุณทำมาทั้งหมดมันไม่เสียแรงเปล่าหรือ ตระกูลเจี่ยนอาจล้มละลาย เวลานี้คุณพ่อของคุณต้องการคนดูแลใช่ไหม?ถึงเวลานั้นแม้แต่เงินที่เลี้ยงตัวเองยังไม่มี จะดูแลคุณพ่อได้อย่างไรกันล่ะ?”

“นี่……ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องของฉัน ……”สภาพร่างกายเจี่ยนอี๋นั่วยังไม่แข็งแรงดี เธอมีเริ่มมีอาการหน้ามืดจนบางทียืนไม่ไหวมีโอกาสจะล้มลง

“แต่ว่าคำมั่นสัญญาที่ผมเคยให้ไว้กับคุณ ผมเคยสัญญาจะอยู่กินกับคุณในฐานะสามีภรรยาหนึ่งปี ตอนนี้ยังเหลืออีก 246 วัน เมื่อถึงเวลานั้น ผมก็จะปล่อยให้คุณเป็นอิสระ”เหลิ่งเซ่าพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“พวกคุณตระกูลเหลิ่งเป็นบ้ากันไปหมดแล้วเหรอ ”เจี่ยนอี๋นั่วทำท่าคิ้วขมวดและส่ายหัว:“เดิมทีคนที่ให้ฉันไสหัวออกจากตระกูลเหลิ่งไม่ใช่คุณเหรอ?คุณเป็นคนต้องการอยากให้ฉันไปจากที่นี่ ตอนนี้คุณจะมาพูดถึงสัญญาทำไม ฉันยังมีค่าอะไรที่คุณจะรั้งไว้อีกเหรอ ฉันยังมีประโยชน์อะไรอีกหรือ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่กล้าคิดว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะมีความรู้สึกอะไรต่อเธอ ก่อนหน้าของวันนี้ เจี่ยนอี๋นั๋วคิดว่าตระกูลเหลิ่งอย่างน้อยยังมีคุณนายเหลิ่งเป็นคนที่เห็นอกเห็นใจช่วยเหลือผู้อื่น ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งรู้ว่าเธอคิดผิด เธอไม่ควรใช้แค่ความรู้สึกมาประเมินค่าคนของตระกูลเหลิ่ง เป็นเพียงพวกที่ทำตัวอยู่เหนือกว่าคนอื่น มีเพียงแค่วัดค่าของคนที่ผลประโยชน์เท่านั้น

เหลิ่งเซ่าถิงก้มมองในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วตะโกน จนบนคอเห็นรอยเส้นเอ็นชัดเจน เขาไม่ได้ใส่ใจคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาคิดเพียงว่า เป็นเพราะว่าเลือดของเขาที่อยู่ในร่างเจี่ยนอี๋นั่ว และเป็นเพราะว่าเลือดของเขาทำให้เจี่ยนอี๋นั่วมีพลังมากขึ้น เขาทนไม่ไหวจึงเอื้อมมือไปจับที่คอของเจี่ยนอี๋นั่ว จากที่สัมผัสเขารู้สึกถึงชีพจรที่เต้นอย่างรุนแรง

มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ชีพจรที่คอของเจี่ยนอี๋นั่วเต้นช้ามาก ทำให้เขาจับวัดชีพจรไม่เจอ

“คุณทำอะไร?คุณเป็นอะไร?”เจี่ยนอี๋นั่วรีบคว้ามือเหลิ่งเซ่าถิงมาดู

เหลิ่งเซ่าถิงพึ่งได้ยินเสียงเจี่ยนอี๋นั่วที่กำลังพูดอยู่กับเขา เขาเริ่มขมวดคิ้ว เขาเป็นอะไร ?เหลิ่งเซ่าถิงก็อยากรู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไร?ทำไมเมื่อคืนเขารู้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วออกไป ก็รีบตามเจี่ยนอี๋นั่วออกไปทันที ทำไมต้องปิดบังความจริงด้วย ทำไมต้องบอกเจี่ยนอี๋นั่วด้วยว่าคุณนายเหลิ่งสั่งให้เขาตามเจี่ยนอี๋นั่วไป เขาจึงทำตามคำสั่งเท่านั้น?ทำไมเขาต้องบริจาคเลือดให้เจี่ยนอี๋นั่วด้วย?

ทำไมในขณะที่เขาพบเจี่ยนอี๋นั่วนอนจมกองเลือดนั้น หัวใจเขาเหมือนหยุดเต้น

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอถอยหลังไปเล็กน้อย วันนี้ทั้งวัน เจี่ยนอี๋นั่วผ่านอะไรมาเยอะมาก ตอนนี้ในที่สุดเธอก็แบกรับไม่ค่อยไหวแล้ว ตรงหน้าเริ่มมืด แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็วูบไป ในระยะเวลาอันสั้นที่เจี่ยนอี๋นั่วล้มลงไป เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงกำลังยื่นมือมาทางเธอ

เหลิ่งเซ่าถิงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่เป็นความคิดเดียวที่เจี่ยนอี๋นั่วคิดก่อนจะล้มลง

ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วฟื้นขึ้นมา เธอพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงใหญ่ของเหลิ่งเซ่าถิง ผ้าม่านในห้องถูกดึงให้ปิดไว้ ทำให้ภายในห้องมืดมิด เจี่ยนอี๋นั่วไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว เธอรีบลุกขึ้น พยายามจะนั่งขึ้นมา เวลานี้เธอพึ่งจะรู้สึกถึงแขนที่ล้อมรอบบนเอวของเธอ หลังจากนั้นเธอก็หันไปดูเหลิ่งเซ่าถิงที่กำลังกอดเธออยู่

เหลิ่งเซ่าถิงหลับลึกมาก ผมของเขายุ่งเล็กน้อย ใบหน้าอย่างกับถูกแกะสลักอยู่ที่ตรงหน้าของเจี่ยนอี๋นั่ว ช่วงไม่กี่วันนี้เจี่ยนอี๋นั่วผ่านเรื่องราวมาเยอะมาก แต่ตอนที่เจอเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ใกล้กับใบหน้าของเธอ เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกแข็งทื่อเล็กน้อย มีความรู้สึกว่าเธอใจลอย เฉื่อยชาได้สิ้นเปลืองมาก

เธอค่อยๆกะพริบตา พอปรับสายตาได้ก็ได้สติ นี่เธอถูกเหลิ่งเซ่าถิงกอดอยู่? เหลิ่งเซ่าถิงกอดเธออีกแล้ว?

ถ้าเป็นเมื่อก่อน เจี่ยนอี๋นั่วคงจะใจเต้น หน้าแดงกับสิ่งนี้ แต่เจี่ยนอี๋นั่วในตอนนี้ได้ใช้ความรู้สึกที่เกินขีดจำกัดทั้งหมดในเวลาไม่นานมานี้ไปแล้ว เธอแค่รู้สึกว่าแปลกใจ เธอยื่นมือขึ้นไปผลักเหลิ่งเซ่าถิงเล็กน้อย แต่เหลิ่งเซ่าถิงก็ยังคงหลับลึกอยู่เหมือนเดิม

“คุณชายใหญ่เหลิ่ง……” เจี่ยนอี๋นั่วตะโกนเรียกไปด้วย ยื่นมือผลักเหลิ่งเซ่าถิงไปด้วย

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว ค่อยๆลืมตาขึ้น เขามองเจี่ยนอี๋นั่วด้วยสายตาพร่ามัว ในขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมา นึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะปล่อยเธอ แล้วเยาะเย้ยเธอสักสองสามประโยคนั้น เหลิ่งเซ่าถิงกลับกอดเธอไว้อีกครั้ง เหมือนกับเด็กที่ไม่ยอมลุกจากเตียงกอดตุ๊กตาหมีของเขา แถมยังกอดเจี่ยนอี๋นั่วไว้ในอ้อมกอดแน่นขึ้นอีกด้วย

“คุณเป็นอะไรไป?” เจี่ยนอี๋นั่วอดไม่ได้ที่จะดิ้น ใช้แรงผลักเหลิ่งเซ่าถิง

ครั้งนี้เหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าพึ่งจะตื่นขึ้นมา จู่ๆก็ลุกขึ้น ปัดผ้าห่มออกแล้วเดินลงมาจากเตียง เดินพุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำ ท่าทางของเขาต่างกับเขาที่ติดเตียงเมื่อกี้ลิบลับ

เหลือเจี่ยนอี๋นั่วอยู่บนเตียงคนเดียว เธอขมวดคิ้ว ใจลอยเล็กน้อย ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้น? นี่หมายความว่าเหลิ่งเซ่าถิงพึ่งตื่นงั้นเหรอ?

เจี่ยนอี๋นั่วถูกการกระทำของเหลิ่งเซ่าถิงทำให้อึ้งไป เธอนั่งนิ่งอยู่สักพัก จนกระทั่งเหลิ่งเซ่าถิงออกมาเธอถึงเริ่มเอ่ยปาก แต่ในตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะเอ่ยปากถาม เหลิ่งเซ่าถิงก็หันหลังให้เธอ แล้วพูดเสียงเย็นชา:“คุณอย่าเข้าใจผิดล่ะ เมื่อคืนคุณเป็นลมล้มไป คุณกอดผมไม่ยอมปล่อย ผมก็เลยต้องให้คุณมานอนบนเตียงผม”

“ฉันกอดคุณไม่ยอมปล่อย?” เจี่ยนอี๋นั่วถามอย่างสงสัย

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าเป็นไปได้ยาก เธอเป็นลมล้มไป ไม่ได้เมาสักหน่อย เป็นลมก็เท่ากับว่าไม่มีสติ ไม่มีทางทำเรื่องที่ว่าได้อย่างแน่นอนนี่?

เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้หันกลับมา เขายังคงหันหลังให้เจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่หายใจเฮือกใหญ่ ก็พูดเสียงเย็นชา:“หรือคุณคิดว่าผมโกหกคุณหรือไง? โกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? ผมยังหวังว่าคุณจะไม่เข้าใจผิดอยู่เลย อย่าคิดว่าผมอยู่กับคุณ แถมอนุญาตให้คุณนอนบนเตียงผม แล้วคุณจะมีโอกาสอยู่ข้างกายผมตลอดไปนะ”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ถอดชุดนอนเพื่อจะเปลี่ยนชุดไปด้วย เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ร่างกายของเธอยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ การตอบสนองต่างก็เฉื่อยชา จนกระทั่งตอนที่เธอรู้สึกว่าเธอกำลังจ้องเหลิ่งเซ่าถิงอยู่ตลอด เธอจ้องไหล่กว้างๆเอวเล็กๆนั่นของเหลิ่งเซ่าถิงนานเกินไปแล้ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบเบนสายตา:“คุณวางใจเถอะ ฉันเห็นฉากโหดเหี้ยมขนาดนี้ของตระกูลเหลิ่ง ไม่มีทางคิดอะไรกับคุณหรอก ฉันหวังว่าจะไม่คบค้าสมาคมกับตระกูลเหลิ่งอีก ไม่มีทางที่จะชอบคุณอีกครั้งแน่นอน เมื่อก่อนฉันคิดว่าคุณเย็นชามาก ตอนนี้ฉันคิดว่าคุณให้ฉันเอาเด็กออก แล้วรีบออกจากตระกูลเหลิ่ง มันไม่ใช่เป็นการเตือนฉันเลยแม้แต่นิด ตระกูลเหลิ่งไม่ควรค่าให้อยู่ต่อจริงๆ!”

เหลิ่งเซ่าถิงได้ยินคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว มือที่กำลังติดกระดุมข้อมือก็หยุดชะงักลง หลังจากนั้นก็หันหน้ามากวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเข้าใจแบบนี้ก็ดี แล้วอย่าลืมความคิดที่ว่าจะไม่มีทางชอบผมล่ะ ผมดีใจจริงๆที่คุณคิดได้ แต่ผมไม่ได้เตือนคุณอย่างแน่นอน ผมไม่ชอบที่คุณอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อต่างหาก แต่ตอนนี้ไม่มีวิธีอื่นแล้ว ในเมื่อผมเป็นคนให้สัญญากับคุณ ผมก็จะทำลายสัญญานั่นเอง ตอนนี้คุณก็ได้สติแล้ว ควรจะรู้ว่าต้องทำยังไงแล้วใช่ไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆพยักหน้า ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าเหลิ่งเซ่าถิงโหดร้ายกับเธอมาตลอด แต่ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อคืนเขาได้ช่วยเธอไว้ครั้งหนึ่งจริงๆ ถ้าเกิดว่าเธอขัดแย้งกับคุณนายเหลิ่งแล้วออกจากตระกูลเหลิ่งไปเลยแบบนี้ งั้นสิ่งที่เธอทุ่มเททำไปก่อนหน้านี้ก็เสียเปล่าน่ะสิ ตระกูลเหลิ่งคงยึดเงินกลับจากเจี่ยนอี๋นั่วอย่างแน่นอน อีกอย่างด้วยสาเหตุที่ว่าเธอล่วงเกินตระกูลเหลิ่ง แถมยังทำให้ตระกูลเจี่ยนตกอยู่ในสถานการณ์ที่พลิกกลับมาไม่ได้อีกด้วย

เธอทำลงไปมากขนาดนี้ ถ้าไม่ถือโอกาสนี้ทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นพันธมิตรกับเธอล่ะก็ ที่เธอเข้ามาเหยียบตระกูลเหลิ่งครั้งนี้ก็คงเสียเปล่า ต่อให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องการออกจากตระกูลเหลิ่ง ก็ต้องทำให้ตระกูลเหลิ่งเป็นที่พึ่งของเธอตลอดไป ไม่ใช่ศัตรู ถ้าไม่ใช่เพราะความรู้สึกที่ผสมปนเปกันเมื่อวาน คุณนายเหลิ่งก็คงดูถูกพ่อของเธออีก เจี่ยนอี๋นั่วเผชิญหน้ากับความขัดแย้งแบบนั้นคงต้องมีแต่ต้องอดทน ไม่มีทางสานต่ออย่างแน่นอน

“เละไปหมดจริงๆ” เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยความหงุดหงิดแล้วกุมขมับ

ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งแล้ว แต่ก็มีเวลาเพียงแค่ไม่กี่เดือน เธอควรจะกู้สถานการณ์ยังไงให้เธอสามารถนำการสนับสนุนของคุณนายเหลิ่งออกจากตระกูลเหลิ่งล่ะ?

“รู้หรือยังว่าคุณผิดตรงไหน?” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงเย็นชา

“ความผิดของฉัน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ฉันไม่ควรทะเลาะวิวาทกับคุณนายเหลิ่ง”

เหลิ่งเซ่าถิงส่ายหน้า พูดเสียงเย็นชา:“ไม่ คุณไม่ควรเพ้อฝันกับคุณย่า เป็นเพราะว่าคุณทำเหมือนคุณย่าเป็นญาติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป ถึงโมโหขนาดนั้น ถ้าคุณเข้าใจว่าคุณย่าไม่ได้เป็นเพียงแค่คุณหญิงที่เมตตากรุณา ท่านยังเคยเป็นคนที่คุมอำนาจเพิ่มผลประโยชน์ให้ตัวเองได้มากที่สุดของตระกูลเหลิ่งอีกด้วย คุณก็คงไม่ต้องตกอยู่ในเรื่องเพ้อฝันแบบนี้”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงแล้วรู้สึกแปลกใจ ทำไมเธอถึงรู้สึกว่าในคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิงนั้นมีความรู้สึกไม่สนิทกับคุณนายเหลิ่งอยู่กันนะ? ตั้งแต่ที่เธอมาที่ตระกูลเหลิ่ง ที่เห็นก็มีแต่คุณนายเหลิ่งที่รักและเอ็นดูเหลิ่งเซ่าถิงมาก ต่อให้เหลิ่งเซ่าถิงกลายเป็นคนพิการ ไม่มีความรู้สึก ท่านก็ไม่ทอดทิ้งสภาพของเขา

“ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้ล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วพูดเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงเย็นชา:“เพราะผมเกือบถูกคุณย่าทอดทิ้งน่ะสิ พ่อแม่ของผมท่านเสียไปแล้ว คุณก็น่าจะรู้นะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า มองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วพูด:“เกิดอุบัติเหตุจากเครื่องบิน”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มสายตาลง พูดเสียงขรึม:“น่าจะไม่มีใครเคยบอกคุณ บนเครื่องบินยังมีเด็กอีกหนึ่งคน นั่นคือพี่ชายแท้ๆของผมเอง ผมกับเขาหน้าตาเหมือนกัน แต่เขาเพอร์เฟคกว่าผม เขาฉลาดมาก ฉลาดเกินปกติ ถึงขนาดว่าไม่เหมือนกับเด็กธรรมดาทั่วไป เขาเป็นหลานที่คุณย่ารักและเอ็นดูที่สุด แต่เขาสุขภาพไม่ดี จำเป็นต้องผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ พวกเขาหาเด็กมาเยอะมาก แต่ก็จับคู่ไม่สำเร็จ ครั้งนั้นที่เขานั่งเครื่อง ก็เพราะต้องบินไปผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจนี่แหละ”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“จับคู่ยังไง? นั่นคือหัวใจเลยนะ ถ้าผ่าตัดเอาออกแล้วตายไปล่ะ? ไม่ใช่ว่าควรมีอวัยวะที่จะผ่าตัดก่อน ถึงจะทำการเปลี่ยนอวัยวะเหรอ?”

“นั่นมันวิธีของคนอื่น วิธีของตระกูลเหลิ่งคือหาคนที่จับคู่เข้ากันได้ หลังจากนั้นก็ซื้อเขามา แล้วทำการปลูกถ่ายอวัยวะ พี่ชายต้องทำการเปลี่ยนหัวใจ ทำได้แค่ต้องหาเด็กอายุรุ่นเดียวกันที่สามารถจับคู่ได้พอดีกัน” เหลิ่งเซ่าถิงพูด

เจี่ยนอี๋นั่วสั่นอยู่สักพัก ขมวดคิ้ว:“นั่นเท่ากับว่าฆ่าคนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วใครจะยอมส่งลูกของตัวเองไปตายล่ะ?”

“นั่นเป็นความคิดของคุณ บนโลกนี้มีพ่อแม่ที่ยอมแลกชีวิตลูกกับเงินอยู่เยอะมาก มีเด็กผู้หญิงเยอะมาก อายุแค่เจ็ดแปดปีก็ถูกขายมาที่สถานบันเทิงแล้ว สิบล้านดอลลาร์ ทำให้หลายต่อหลายคนแย่งกันส่งลูกของตัวเองมาขึ้นเตียงผ่าตัด เพื่อต่อชีวิตให้พี่ชายผม” เหลิ่งเซ่าถิงพูดไปด้วย ยื่นมือเลือกเนคไทเส้นสีดำไปด้วย แล้วผูกให้ตัวเอง

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว ส่ายหน้าเหมือนกับไม่มีทางเชื่อ แล้วถามเสียงเบา:“งั้นเกี่ยวอะไรกับคุณ?”

เหลิ่งเซ่าถิงหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูด:“นั่นเป็นพี่ชายฝาแฝดของผม บนโลกนี้มีแค่ผมกับเขาที่จับคู่ได้เหมาะสมที่สุด ตอนเด็กๆ ผมชอบเล่น เหมือนกับเด็กทั่วไปที่ไปอ่านนิยายกำลังภายใน ชอบการ์ตูน ถ้าเทียบกับพี่ชายผมที่มีพรสวรรค์ ผมแตกต่างมากเกินไป”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่รอให้เหลิ่งเซ่าถิงพูดเรื่องทั้งหมดออกมา ก็พอเดาได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เธอรีบปิดปากไว้ ส่ายหน้าแล้วพูด:“พวกเขาคงไม่โหดเหี้ยมขนาดนั้น คุณเป็นลูกของตระกูลเหลิ่งนะ คุณคือเหลิ่งเซ่าถิงคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง จะมีคนคิดแบบนั้นได้ยังไง?”

“คนที่เพียบพร้อมถึงจะเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่ง คนที่ไม่มีประโยชน์ก็ต้องเป็นตัวเลือกสำรองในการเพาะเลี้ยงอวัยวะ ผมได้ยินเป็นบางครั้ง คุณย่าพูดกับพ่อของผม ถามว่าถ้าครั้งนี้จับคู่ไม่สำเร็จจะทำยังไง? คุณย่ากลับพูดเรื่องที่ให้ผมเปลี่ยนหัวใจให้พี่ชายออกมา พ่อก็ไม่ได้ปฏิเสธ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หรี่ตาลง ค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา

เจี่ยนอี๋นั่วกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของเหลิ่งเซ่าถิงเหมือนกับว่าเขากำลังร้องไห้ เธอไม่รู้ว่าเหลิ่งเซ่าถิงโตมายังไง ด้านหนึ่งก็นึกถึงคุณย่าและพ่อเรื่องหัวใจของเขา อีกด้านหนึ่งก็คุณลุงที่มองเขาจมลงโดยไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย? มิน่าล่ะเหลิ่งเซ่าถิงถึงเย็นชาขนาดนี้ เรื่องพวกนี้ถ้าเกิดขึ้นกับคนอื่นไม่ว่าใครก็ตาม ต่างก็คงบีบบังคับจนคนๆนั้นเย็นชาโหดเหี้ยมใช่ไหม?

“แต่ภายหลังคุณนายเหลิ่งก็ดีกับคุณมากนะ” เจี่ยนอี๋นั่วยังจำตอนที่คุณนายเหลิ่งตื่นเต้นที่เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงได้สติฟื้นขึ้นมาได้

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้า พูดเสียงขรึม:“นั่นก็เพราะว่า เขามีแค่ผมคนเดียวแล้วที่เป็นหลานชาย ไม่ว่ายังไงเขาก็แพ้ไม่ได้อีกแล้ว แต่ถึงแม้ว่าผมจะได้ยินคำพูดพวกนั้น คุณย่าก็ยังคงเป็นญาติที่ผมเหลืออยู่บนโลกนี้ ผมก็ได้แค่ทำหน้าที่หลานชายที่ดี”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบสายตาขึ้นมองเหลิ่งเซ่าถิง เธอเหมือนกับครั้งแรกที่ได้เจอกับเหลิ่งเซ่าถิง เริ่มสังเกตเหลิ่งเซ่าถิงอย่างละเอียดอีกครั้ง เหมือนกับว่าเธอมองเห็นเด็กคนหนึ่ง แอบอยู่ในมุมมืดกำลังร้องไห้ไม่หยุด เขาจะกลัวทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเขามากแค่ไหนกันนะ

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งเซ่าถิงแล้วจู่ๆก็ยื่นมือออกไป กอดเขาเอาไว้ เหลิ่งเซ่าถิงก้มหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่ว ขมวดคิ้วแล้วถาม:“คุณกำลังทำอะไรน่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วส่ายหน้า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่รู้สึกว่าคุณเหมือนต้องการใครสักคนกอดคุณไว้ คุณไม่ต้องคิดมาก ฉันไม่มีทางชอบคุณหรอก แค่กอดเฉยๆเท่านั้น ตอนนี้ฉันมีเรื่องน่าปวดหัวเยอะมาก สิ่งที่สามารถให้คุณได้ก็คงมีแค่กอดนี่แหละ ถ้าคุณยังพูดมากอีก ฉันจะไม่กอดคุณแล้ว”

ประโยคสุดท้าย ไม่นับว่าเป็นการข่มขู่ ใครจะหวงกอดของเจี่ยนอี๋นั่วกันล่ะ? กอดของเธอจะไปสำคัญอะไร? จะไปใช้ข่มขู่คุณชายใหญ่ตระกูลเหลิ่งผู้สูงส่งอย่างเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง?

แต่เหลิ่งเซ่าถิงกลับนิ่งอึ้งเล็กน้อย ก้มหน้ามองบนศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว เขาไม่ได้ขยับแม้แต่นิด จู่ๆเขาก็นึกถึงช่วงหลังจากที่เขาได้ยินคุณย่ากับพ่อคุยกัน เขาก็ไปแอบข้างในตู้เสื้อผ้าด้วยท่าทางหวาดกลัว เขาแอบอยู่หนึ่งวันเต็มๆ ไม่มีใครรู้สึกได้ถึงการหายตัวไปของเขา

เขาถูกพบว่าอยู่ในตู้เสื้อผ้า พอเขาออกมาสิ่งที่เขาเผชิญหน้าเป็นอันดับแรกคือศพของพ่อตัวเอง แต่พี่ชายของเขานั้นยิ่งกว่า ถูกระเบิดจนเหลือแค่ร่างกายที่แยกออกมาเป็นชิ้นเล็กๆ เวลานั้น เขาไม่ใช่ของแทนที่พี่ชายอีกต่อไป ไม่ใช่อวัยวะที่ใช้ต่อชีวิตของพี่ชายอีกต่อไป เขาคือเหลิ่งเซ่าถิงหลานคนเดียวที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดโดยตรงของตระกูลเหลิ่ง และพี่ชายของเขาก็ถูกกำจัดออกไปโดยสิ้นเชิง ตระกูลเหลิ่งไม่อยากให้ใครก็ตามรู้เรื่องที่ว่าตระกูลเหลิ่งเพื่อช่วยลูกหลานของตัวเองแล้ว สามารถทำได้แม้กระทั่งนำหัวใจของคนเป็นๆมาใช้งานแทน

ความจริงแล้วตอนที่ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงรับรู้ถึงความโหดร้ายที่แท้จริงของตระกูลเหลิ่งนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คุณย่ากับพ่อปรึกษากันว่าจะเปลี่ยนหัวใจเขาให้กับพี่ชาย แต่เป็นตอนที่พี่ชายของเขาถูกกำจัดอย่างสิ้นซาก ภาพความทรงจำในตอนนั้นมันสับสนวุ่นวายไปหมด ถึงขนาดชื่อของพี่ชายตัวเองเหลิ่งเซ่าถิงก็ยังลืม หลังจากนั้นตระกูลเหลิ่งก็ไม่ได้พูดถึงเด็กคนนี้ที่หายไปอีก ราวกับว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่

มีแค่เหลิ่งเซ่าถิงที่บางครั้งก็ฝันถึง ตอนที่เขาอายุยังน้อยกำลังเล่นเครื่องบินกระดาษ แล้ววิ่งผ่านหน้าหน้าต่าง พี่ชายก็จะเปิดหน้าต่างออกด้วยสีหน้านิ่ง พูดกับเหลิ่งเซ่าถิงด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“เซ่าถิง นายเสียงดังรบกวนมาถึงฉันแล้วนะ นายช่วยออกไปให้ห่างจากบริเวณห้องหนังสือของฉันด้วย”

พี่ชายของเขาทั้งซูบผอมและดูไร้เรี่ยวแรง แต่กลับได้รับการชื่นชมจากตระกูลเหลิ่ง เขาฉลาดมาก ส่วนเหลิ่งเซ่าถิงที่ถูกอบรมให้เป็นผู้สืบทอดต่อจากตระกูลเหลิ่งนั้นได้เกิดขึ้นในภายหลัง แต่พี่ชายของเขานั้นได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่งตั้งแต่กำเนิด แต่ทว่าคนๆหนึ่งที่เคยได้รับการชื่นชมและการเอ็นดู ตอนที่ต้องกำจัดการมีตัวตนของเขาในตระกูลเหลิ่งนั้น กลับไม่เหลือเยื่อใยแม้แต่น้อย

เจี่ยนอี๋นั่วกอดเหลิ่งเซ่าถิงสักพัก ไม่ได้ยินเสียงที่เหลิ่งเซ่าถิงพูด แล้วเหลิ่งเซ่าถิงก็ดันเธอออก ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกถึงบรรยากาศที่อึดอัดค่อยๆคืบคลานมา เธอเคยชอบเหลิ่งเซ่าถิง เคยมีลูกกับเหลิ่งเซ่าถิง ตอนนี้ก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิงอีก ตอนนี้รอบๆตัวเธอเงียบมาก เธอกอดเหลิ่งเซ่าถิงอย่างเหม่อลอย ดูยังไงก็ยังรู้สึกว่าประหลาด

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ไม่รู้อีกว่าจะปล่อยเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง ลังเลอยู่สักพัก เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามขึ้นมา:“ทำไมคุณต้องบอกฉันเรื่องนี้ล่ะ?”

เหลิ่งเซ่าถิงยกมือขึ้น แล้วใช้นิ้วมือที่เรียวยาวผลักศีรษะของเจี่ยนอี๋นั่ว พูดกับเจี่ยนอี๋นั่วว่า:“เพราะกลัวว่าคุณจะถ่วงผมน่ะสิ คุณเชื่อคนง่ายจะตาย ไม่ว่าใครในตระกูลเหลิ่งก็ห้ามเชื่อ รวมถึงผมด้วย แล้วก็ห้ามเกิดความรู้สึกที่ไร้ประโยชน์พวกนั้นกับผม ผมคือผู้สืบทอดตระกูลเหลิ่ง ผมโชคดีกว่าใครหลายคน ความสงสารสำหรับผมแล้วมันเป็นการดูถูกประเภทหนึ่ง”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดจบ ก็ยื่นมือผลักเจี่ยนอี๋นั่วออก เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบปล่อยมือ ยืนอยู่ด้านนอกของห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วถามเสียงเบา:“งั้นต่อไปฉันต้องทำยังไง? ควรจะทำยังไงถึงจะไม่ถ่วงคุณ”

เหลิ่งเซ่าถิงมองไปยังเจี่ยนอี๋นั่ว:“กินข้าว ดูแลร่างกายให้ดี แล้วลงไปข้างล่างยอมรับผิดกับคุณย่าซะ หลังจากนั้น……”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็หันหน้ามาชำเลืองมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“หลังจากนั้นคุณไม่อยากไปเจอผู้หญิงคนนั้นที่ทำร้ายคุณจนแท้งหน่อยเหรอ?”

“เฉิงซานซาน?” เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว:“ฉันอยากจะเจอเขาจริงๆ”

เหลิ่งเซ่าถิงติดกระดุมเม็ดสุดท้ายของชุดสูท แล้วพูดว่า:“ตอนนี้เขาถูกจับกุมตัวแล้ว นี่เป็นเรื่องเดียวและเรื่องสุดท้ายที่ผมทำเพื่อลูกของเราได้”

เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ ก็ขมวดคิ้ว แล้วหันหน้ามามองเจี่ยนอี๋นั่ว ตอนที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดว่า“ลูกของเรา” เหลิ่งเซ่าถิงและเจี่ยนอี๋นั่วต่างก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองคนได้ผูกมัดกันเพราะเรื่องของลูกที่เสียไป

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้ว แล้วพยักหน้า ตอนนี้เธอต้องเรียกกำลังใจให้ตัวเองแล้ว จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งสักพัก จัดการความสัมพันธ์กับผู้คุมอำนาจของตระกูลเหลิ่งให้ดี เพื่อให้ตระกูลเจี่ยนหลุดพ้นจากสถานการณ์ยากลำบาก ไม่ว่าเกียรติคุณของตระกูลเหลิ่งจะสกปรกแค่ไหน ต่างก็เป็นสิ่งที่เธอพูดถึงไม่ได้ และไม่อยากพูดถึง

ความสามารถของเจี่ยนอี๋นั่วนั้นไม่เยอะ ความปรารถนาก็เช่นกัน ก็แค่อยากจะปกป้องตระกูลเจี่ยนให้สุดความสามารถ หลังจากนั้นก็ดูแลพ่อของตัวเอง

เหลิ่งเซ่าถิงมองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วเดินออกจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วยืนอยู่ที่เดิมสักพัก อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง จู่ๆเธอก็พบว่าเหลิ่งเซ่าถิงยังคงพูดไม่เข้าใจเหมือนเดิม ทำไมเขาต้องกอดเธอแล้วนอนด้วยกันกับเธอบนเตียง

หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วสงบสติลงแล้ว เธอก็ทำตามที่เหลิ่งเซ่าถิงได้กำชับไว้ เปลี่ยนเสื้อผ้า พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ไปที่ห้องของคุณนายเหลิ่งเพื่อขอโทษ คุณนายเหลิ่งก็ไม่ได้โกรธเหมือนเช่นเมื่อวานแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้ว่าจริงหรือปลอม แต่ก็เผยรอยยิ้มให้กับเจี่ยนอี๋นั่ว:“เช้าขนาดนี้ก็ตื่นแล้วเหรอ ไม่พักผ่อนสักหน่อยล่ะ”

“คุณย่าคะ หนูมาขอโทษคุณย่าค่ะ ที่เมื่อวานหนูเสียมารยาท” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด

คุณนายเหลิ่งรีบส่ายหน้า:“ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ? ฉันต่างหากที่ไม่ได้ระวัง แต่ตอนนี้ดูๆไปแล้วก็เป็นตอนจบที่ดีนะ เธอสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ ฉันก็ดีใจ ต่อไปก็บำรุงรักษาร่างกายให้ดีล่ะ ฉันรอเธอมีหลานให้ฉันอีกครั้งอยู่”

บนใบหน้าของเจี่ยนอี๋นั่วเผยรอยยิ้มที่ดูแข็งทื่อ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาด ก่อนหน้านี้ที่เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงก็เพราะพึ่งฝีมือหมอในการตั้งท้อง ถ้าให้เธอมีลูกของเหลิ่งเซ่าถิงตอนนี้ล่ะก็ คงมีแต่ต้องให้เหลิ่งเซ่าถิง……

กับเหลิ่งเซ่าถิง?

เจี่ยนอี๋นั่วคิดแล้วรู้สึกว่าประหลาด แต่เธอคิดถึงคำพูดที่คุณนายเหลิ่งพูดก็แค่คำพูดตามมารยาท อีกอย่างเหลิ่งเซ่าถิงเกลียดเธอขนาดนั้น เขาไม่คิดจะแตะต้องตัวเธอด้วยซ้ำ

เจี่ยนอี๋นั่วกับคุณนายเหลิ่งกำลังรักษาอารมณ์สีหน้าและท่าทางอ่อนโยนอยู่ หลังจากนั้นคุณนายเหลิ่งก็บอกให้เธอออกไปได้ เจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆถอยออกมาจากห้องของคุณนายเหลิ่ง ก่อนที่จะได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงนั้น เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจริงๆว่าคุณนายเหลิ่งเป็นคุณนายที่เมตตาและอ่อนโยนคนหนึ่ง แต่พอได้ฟังเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิง แล้วเจี่ยนอี๋นั่วได้เจอกับคุณนายเหลิ่งอีกครั้ง เธอก็ระมัดระวังขึ้นมา

“คิดไม่ถึงจริงๆ คุณยังสามารถอยู่ที่ตระกูลเหลิ่งต่อได้” เหลิ่งหมิงอันมองเจี่ยนอี๋นั่ว พูดเสียงขรึม

เดิมทีใบหน้าที่หล่อเหลาของเหลิ่งหมิงอันมักจะมีรอยยิ้มที่ดูขี้โกงอยู่ตลอด ตอนนี้กลับดูมืดมนราวกับว่ามีเมฆดำปกคลุมอยู่ บริเวณคิ้วกับดวงตานั้นไม่มีความรู้สึก มีแต่ความชั่วร้ายที่โผล่ให้เห็น

เจี่ยนอี๋นั่วเหมือนว่าจะไม่ได้สังเกตสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเหลิ่งหมิงอัน โค้งตัวให้กับเหลิ่งหมิงอันเล็กน้อย แล้วยิ้มให้:“ฉันควรเรียกคุณว่าน้องสามี?”

“ผมควรเรียกว่าคุณอะไร?” เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณหนูใหญ่เจี่ยนที่มองหน้าที่แท้จริงของผมออก หรือว่าพี่สะใภ้ที่ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตายถ้าอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่ง?”

“ฉันชอบคำเรียกวรรคหน้า” เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วพูด

สีหน้าอึมครึมบนใบหน้าของเหลิ่งหมิงอันค่อยๆหายไป แล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน:“เห้อ คิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณยังสามารถอยู่ต่อที่ตระกูลเหลิ่งได้ อีกทั้งเป็นเพราะพี่ใหญ่ออกตัวให้คุณอยู่ต่อเองด้วย คุณนี่ก็มีฝีมือเหมือนกันนะ”

ก่อนหน้านี้ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเหลิ่งหมิงอันเรียกเหลิ่งเซ่าถิงว่า“พี่ใหญ่” ก็จะรู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันเคารพเหลิ่งเซ่าถิง แต่พอได้ยินเรื่องราวชีวิตของเหลิ่งเซ่าถิงที่เคยเล่า ก็พบว่าเหลิ่งหมิงอันเด็กที่เติบโตในตระกูลเหลิ่ง ทำไมถึงไม่รู้เรื่องที่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงมีพี่ชายฝาแฝด คำที่เขาพูด“พี่ใหญ่” ยากที่จะเลี่ยงว่าไม่ใช่การตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง

ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตว่าเหลิ่งหมิงอันกำลังตั้งใจเสียดสีเหลิ่งเซ่าถิง อารมณ์ของเธอจู่ๆก็เปลี่ยนเป็นซวยขึ้นมา รู้สึกว่าเหลิ่งหมิงอันน่ารังเกียจขึ้นมาเล็กน้อย เธอไม่ชอบมากที่เหลิ่งหมิงอัน“รังแก”เหลิ่งเซ่าถิงแบบนี้

เจี่ยนอี๋นั่วพูดกับเหลิ่งหมิงอันเสียงเย็นชา:“ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว งั้นฉันขอตัว”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วเดินผ่านข้างๆเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันยื่นมือไปจับมือของเจี่ยนอี๋นั่วไว้ กดเสียงเข้าใกล้ข้างหูของเจี่ยนอี๋นั่วแล้วพูดเสียงเบา:“คุณรู้ใบหน้าที่แท้จริงของผม ว่ากันตามหลักเค้าโครงละครทั่วไป คุณอยากถูกผมฆ่าปิดปากสินะ”

เจี่ยนอี๋นั่วสะบัดมือของเหลิ่งหมิงอันออก:“แต่ละคนในตระกูลเหลิ่งฉลาดกันทั้งนั้น ใบหน้าที่แท้จริงของคุณจะมีสักกี่คนที่ไม่รู้? พวกคุณต่างก็กำลังเล่นหมากกระดาน ทำไมต้องเสแสร้งแกล้งทำด้วยล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ยิ้มแล้วเดินออกจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง เหลิ่งหมิงอันมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว ส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้ หัวเราะแล้วพูด:“เป็นผู้หญิงที่รับมือได้ยากจริงๆ ไม้อ่อนก็ไม่ได้ ไม้แข็งก็ไม่ได้ หรือว่าคุณนายเหลิ่งต้องการให้เธออยู่ต่อ? ถึงจะไม่ชอบเธอแล้ว ก็คงไม่ทนเธอ ไม่รู้เลยจริงๆว่าเธอชอบเหลิ่งเซ่าถิงได้ยังไง? ตกลงนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ หรี่ตาลงแล้วพูดเสียงเย็นชา:“ไม่ว่าของอะไรก็ตามที่เหลิ่งเซ่าถิงมี ฉันจะไม่มีงั้นเหรอ? อยากเห็นวันนั้นจริงๆ วันที่เธอทิ้งเหลิ่งเซ่าถิงเพราะฉัน”

เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ กดเสียงต่ำ แล้วหรี่ตาลง:“ถ้าเป็นแบบนั้น คงจะน่าสนุกแน่ๆ”

เจี่ยนอี๋นั่วเดินออกมาจากคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง แล้วขึ้นนั่งรถพร้อมคนขับรถที่ตระกูลเหลิ่งได้จัดเตรียมไว้ให้เธอ ราวกับว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนไป มีแค่ช่วงที่เธอกำลังขึ้นรถ อดไม่ได้ที่จะลูบท้องเบาๆ ทำให้เธอนึกถึงลูกที่เธอเคยมี ตอนนี้ไม่มีอีกแล้ว

“คุณหญิง พวกเราจะที่ไปไหนครับ?” คนขับรถมองเจี่ยนอี๋นั่วจากกระจกมองหลัง แล้วถามเสียงขรึม

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วพูด:“ไปสถานกักขัง ฉันจะไปเจอคนที่สำคัญมากกับฉันคนหนึ่ง”

คนที่ฆ่าลูกฉันคนนั้น เฉิงซานซาน!เจี่ยนอี๋นั่วอดทนรอไม่ไหวอยากจะเจอเฉิงซานซาน ถึงแม้ว่าเธอจะเดาได้หลายผลลัพธ์ แต่เธอต้องไปถามเฉิงซานซานด้วยตัวเธอเอง สรุปแล้วเพราะอะไรกันแน่ เฉิงซานซานถึงกับต้องทำร้ายลูกของเธอจนตาย!

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียนที่อารมณ์ขึ้นๆลงๆ เธอหรี่ตาลง แล้วหัวเราะออกมา:“ฉันชอบผู้ชายคนอื่นเข้าแล้วจริงๆ ฉู่หมิงเซวียน คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง? จู่ๆฉันก็รู้สึกปล่อยวางมาก เมื่อก่อนคุณหักหลังฉันคบกับเฉิงซานซาน ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่าเป็นความผิดของพวกคุณ แต่ฉันก็ยังคงสงสัยในตัวเองว่าฉันทำอะไรผิดไปงั้นเหรอ ทำไมคุณถึงเลือกเฉิงซานซาน? แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้ว สำหรับคนเลวๆอย่างคุณ ผู้หญิงก็เป็นแค่เครื่องมือที่คุณใช้ประโยชน์ ถ้าว่ากันเรื่องความผิดของพวกเรา ก็คงผิดที่ชอบคุณ ยังดีนะ ที่ฉันตาสว่างแล้ว”

ฉู่หมิงเซวียนกัดฟันแน่น:“ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?”

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มเล็กน้อย เข้าใกล้ฉู่หมิงเซวียน แล้วพูดเสียงเบา:“ฉู่หมิงเซวียน แทนที่คุณจะกังวลว่าผู้ชายคนนั้นที่ฉันชอบเป็นใคร คุณไปกังวลอนาคตของคุณดีกว่านะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดถึงตรงนี้ก็หุบยิ้มลง กดเสียงให้ต่ำแล้วพูด:“คุณฆ่าลูกฉันตาย ฉันต้องให้คุณได้รับผลตอบแทนที่สาสมอย่างแน่นอน!”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินผ่านตรงหน้าฉู่หมิงเซวียนไป แล้วขึ้นนั่งบนรถ เจี่ยนอี๋นั่วให้คนขับรถขับกลับไปที่บริษัท พอเห็นเห็นแผ่นหลังของฉู่หมิงเซวียนผ่านกระจกก็รีบหันหน้ากลับมา มือของเธอค่อยๆลูบไปที่ท้องน้อยที่ราบเรียบ ค่อยๆหลับตาลง

เจี่ยนอี๋นั่วไปจัดการธุระเรื่องที่บริษัทอี๋เหม่ยก่อน จัดแจงแผนการรับสมัครใหม่ของปีนี้ แล้วเจี่ยนอี๋นั่วก็รีบไปโรงพยาบาล เจี่ยนอี๋นั่วต้องไปทำการตรวจสอบเจี่ยนฉางรุ่นอย่างละเอียด หลังจากที่ยืนยันอาการของเจี่ยนฉางรุ่นแล้ว ถึงจะจัดการแผนการรักษาขั้นต่อไปของเจี่ยนฉางรุ่น เจี่ยนอี๋นั่วได้ปลุกตัวเองขึ้นมาจากความสิ้นหวังแล้ว เธอมีแค้นที่ต้องชำระ มีครอบครัวที่ต้องปกป้อง เจี่ยนอี๋นั่วไม่อนุญาตให้ตัวเองล้มลงเป็นอันขาด

เจี่ยนอี๋นั่วต้องทำให้พ่อของเธอฟื้นกลับมาเป็นปกติให้ได้ ต่อให้ไม่กลับเป็นปกติ เธอก็ต้องเลือกสภาพแวดล้อมในการพักฟื้นที่ดีที่สุดให้พ่อของตัวเอง ให้เขาได้ใช้ชีวิตผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุด

กว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะจัดการเรื่องเหล่านี้เสร็จ ก็ถึงช่วงกลางคืนแล้ว เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่สักพัก แต่ก็ตัดสินใจกลับมาที่ตระกูลเหลิ่ง ไม่ว่ายังไง ความสัมพันธ์ของเธอตอนนี้กับตระกูลเหลิ่งยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังสามารถกลับมาพักที่ตระกูลเหลิ่งเหมือนก่อนหน้านี้ได้อยู่ เจี่ยนอี๋นั่วกลับมาถึงตระกูลเหลิ่ง ก็ไปทักทายกับคุณนายเหลิ่งก่อน แล้วกินข้าวด้วยกันกับคุณนายเหลิ่ง

คุณนายเหลิ่งทำเหมือนกับว่าความขัดแย้งก่อนหน้านี้มันไม่เคยเกิดขึ้น หลังจากที่ถามไถ่ถึงอาการของพ่อเจี่ยนอี๋นั่ว ก็บอกให้เจี่ยนอี๋นั่วระวังเรื่องสุขภาพ อย่าทำงานจนล้าเกินไป ก่อนหน้านี้เจี่ยนอี๋นั่วยังรู้สึกว่าคุณนายเหลิ่งกำลังเป็นห่วงเธอ แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้ปฏิบัติกับคุณนายเหลิ่งเหมือนผู้อาวุโสทั่วไปแล้ว เธอตั้งใจตอบทุกคำถามของคุณนายเหลิ่ง

ขณะที่ออกจากห้องของคุณนายเหลิ่ง เจี่ยนอี๋นั่วก็ลังเลอยู่สักพัก ถึงจะตัดสินใจกลับมาที่ห้องของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วนั่งลงที่เตียงเล็กของตัวเอง นั่งใจลอยอยู่สักพัก เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกจริงๆว่าตอนนี้ทำตัวไม่ถูก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเหลิ่งเซ่าถิง แต่คนในตระกูลเหลิ่งต่างก็รู้ว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นแค่ความสัมพันธ์ที่มีข้อตกลงเอาไว้ ก่อนหน้านี้ที่เธอตั้งท้องอยู่ ไม่ได้อึดอัดขนาดนั้น แต่ตอนนี้เธอไม่มีลูกแล้ว อยู่ห้องเดียวกันกับเหลิ่งเซ่าถิงก็เหมือนกับว่าทั้งสองคนอยู่ด้วยกันแบบผิดกฎหมาย เจี่ยนอี๋นั่วถึงกับเดาได้ว่าสายตาคนอื่นที่จะมองมาที่เธอกับเหลิ่งเซ่าถิงเป็นยังไง

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังคิดนู่นคิดนี่ไปเรื่อย จู่ๆประตูห้องก็ถูกเปิดออก เหลิ่งเซ่าถิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เขากวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่วอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เหมือนกับว่าทุกอย่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินมุ่งตรงเข้าห้องอาบน้ำไป

เหลิ่งเซ่าถิงเดินออกมาจากห้องอาบน้ำ ถึงจะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“คุณเข้าไปอาบน้ำได้แล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วรีบพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วเปลี่ยนชุดนอนแล้วออกมาจากห้องอาบน้ำ เธอเห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียงอีกฝั่งหนึ่ง แล้วปล่อยอีกฝั่งให้ว่างไว้ เจี่ยนอี๋นั่วคิดในใจ:ที่ตรงนั้นเหลือไว้ให้ฉันงั้นเหรอ?

แต่เจี่ยนอี๋นั่วก็ได้แค่คิดแบบนี้ไปมาในสมอง ไม่กล้าคิดว่านี่เป็นเรื่องจริงด้วยซ้ำ เธอก็ยังคงเดินไปที่เตียงเล็กของตัวเอง แต่ไม่รอให้เจี่ยนอี๋นั่วเดินไปถึงเตียงเล็กของตัวเอง เหลิ่งเซ่าถิงก็พูดขึ้นมา:“คุณมานอนบนเตียง เตียงของคุณเดี๋ยวพรุ่งนี้จะถูกย้ายออกไป”

“หา? ทำไมล่ะ?” เจี่ยนอี๋นั่วหันกลับมาทางเหลิ่งเซ่าถิงอย่างร้อนรน

เหลิ่งเซ่าถิงหมายความว่ายังไง? ทำไมต้องนอนเตียงเดียวกับเธอด้วย? หรือว่านี่เป็นสัญญาณ? แต่ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วเริ่มจะกลัวตระกูลเหลิ่งขึ้นมาแล้วจริงๆ เธอไม่กล้ายืนยันกับตัวเองว่าไม่ได้ชอบเหลิ่งเซ่าถิงเลยสักนิด แต่เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่พัฒนาความสัมพันธ์กับเหลิ่งเซ่าถิงอีก

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“เหมือนว่าคุณจะลืมแล้วนะ ตอนนั้นพวกเราแยกเตียงกันนอนก็เพราะคุณท้อง กลัวว่าจะกระทบถึงเด็กในท้อง ก็เลยแยกเตียงกันนอน แต่ตอนนี้ไม่มีความจำเป็นนั่นแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ยิ้มเจื่อนๆสักพัก แล้วก้มหน้า ค่อยๆลูบท้องตัวเองเบาๆ:“จริงสินะ ฉันไม่มีลูกแล้ว บางทีฉันก็ลืมเรื่องนี้ไป ฉันนี่แปลกคนจริงๆ ตอนที่ท้องต้องใช้ระยะเวลานานถึงจะปรับตัวกับสถานะความเป็นแม่ได้ ตอนนี้ก็ต้องค่อยๆปรับตัวว่าตัวเองได้เสียลูกไปแล้วอีก”

เหลิ่งเซ่าถิงกวาดสายตามองเจี่ยนอี๋นั่ว เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

บรรยากาศจู่ๆก็เงียบขึ้นมา เงียบจนทำให้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าต้องพูดอะไรออกมาหน่อย เพื่อทำลายบรรยากาศที่อึดอัดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วลังเลอยู่สักพัก แล้วพูดขึ้นมา:“ความจริงแล้วตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งต่างก็รู้ว่าฉันกับคุณไม่ใช่สามีภรรยากันจริงๆ ทำไมพวกเรายังต้องสร้างสถานการณ์ขึ้นมาด้วยล่ะ? อีกอย่างไม่ช้าก็เร็วพวกเราก็ต้องเลิกกัน ทำเหมือนฉันเป็นคนไม่มีตัวตนก็ได้แล้วหนิ ทำไมต้อง……”

“เรื่องคาดคะเนกับเรื่องจริงมองไม่เหมือนกัน คุณเป็นภรรยาของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว ก็ไม่มีทางที่จะกลายเป็นคนไม่มีตัวตน ต่อไปคุณก็ต้องมีตำแหน่งนี้ติดตัว”

เหลิ่งเซ่าถิงก้มตาลง แล้วพูดเสียงขรึม:“ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เปิดเผยให้คนนอกรู้ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณ ทำให้คุณลดปัญหาลงได้บ้าง ในอนาคตตอนที่คุณออกจากตระกูลเหลิ่งน่ะนะ แต่คนตระกูลเหลิ่งคงจะไม่พอใจ ให้พวกเขารู้ว่าคุณยังคงให้ความสำคัญกับผมอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าคุณจะออกจากตระกูลเหลิ่ง พวกเขาคงไม่โหดร้ายกับคุณเกินไป สรุปก็คือต้องสนใจผมบ้าง มันก็น่าจะดีกว่าที่คุณกลายเป็นคนธรรมดาที่ถูกตราหน้าว่าเป็นอดีตภรรยา กลายเป็นที่ระบายความโกรธของพวกเขานะ”

“คุณไม่ให้ฉันพูดเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับคุณออกไป ก็เพื่อหลังจากที่ฉันออกจากตระกูลเหลิ่ง มีข่าวลือซุบซิบน้อยลง?” เจี่ยนอี๋นั่วคิดไม่ถึงว่าความเย็นชาของเหลิ่งเซ่าถิง กลับวางแผนเพื่ออนาคตของเธอ

เห็นว่าเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้พูดอะไร เจี่ยนอี๋นั่วก็ถามต่อ:“คุณให้ฉันรักษาความสนิทที่คลุมเครือนี่กับคุณ ก็เพื่อไม่ให้คนอื่นในตระกูลเหลิ่งคิดว่าฉันคือคนที่คุณทิ้ง ไม่อยากให้พวกเขาตั้งใจกลั่นแกล้งฉัน? ก็จริง ฉันกับคุณถึงแม้ว่าจะถูกดึงให้มาอยู่ด้วยกัน แต่ยังไงซะฉันก็เป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณ ฉันจะโง่ถึงขนาดออกจากตระกูลเหลิ่ง แล้วตัดความสัมพันธ์กับคุณไปเลยได้ยังไง? พวกเขาคงเอาความแค้นที่จัดการฉันไม่ได้ ย้ายมาที่ตัวฉัน ยังไงซะฉันสำหรับคนตระกูลเหลิ่งแล้ว ก็เป็นแค่ของเล่น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะกดขี่ยังไงสักหน่อย ตอนนี้คุณอยากแสดงให้คนอื่นๆในตระกูลเหลิ่งเห็นว่าคุณจะปกป้องฉัน ต่อให้ฉันออกจากตระกูลเหลิ่งแล้ว ก็ไม่สามารถกดขี่ได้ตามอำเภอใจได้? คุณ……”

“คุณอย่าคิดมาก ผมไม่ได้คิดเพื่อคุณขนาดนั้นเหมือนที่คุณคิด” จู่ๆเหลิ่งเซ่าถิงเงยหน้าขึ้นมามองเจี่ยนอี๋นั่ว แล้วพูดแทรกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว

เหลิ่งเซ่าถิงขมวดคิ้ว พูดเสียงเย็นชา:“ผมมีข้อเสนอต่างหาก ผมจะปกป้องคุณ ต่อให้คุณออกจากตระกูลเหลิ่ง ผมก็จะรับรองว่าตระกูลเหลิ่งจะไม่ทำให้คุณลำบากใจ คุณก็ต้องรับรองเหมือนกันว่าต่อไปคุณออกจากตระกูลเหลิ่งแล้วจะไม่พูดสิ่งที่ไม่ควรพูด วันนี้ผมพลั้งปากพูดไปไม่น้อย”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้ว่าใจความหลักที่เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงคือเรื่องของพี่ชายฝาแฝดของเขา เจี่ยนอี๋นั่วรีบส่ายหน้าแล้วพูด:“ฉันรับรอง ฉันไม่มีทางพูดออกไปอย่างแน่นอน ฉันยังต้องการชีวิตน้อยๆของฉันอยู่นะ ถ้าพูดออกไป คุณไม่ลงมือ คุณนายเหลิ่งก็คงไม่ปล่อยฉันไปอยู่ดี อีกอย่างเรื่องนั้นถ้าไม่ใช่เพราะคุณพูด ฉันคงคิดจริงๆว่าใครปั้นเรื่องซุบซิบไฮโซแบบนี้ขึ้นมา ฟังดูแล้วเชื่อถือไม่ได้สักนิด ฉันพูดออกไปก็คงไม่มีใครเชื่อ”

เหลิ่งเซ่าถิงย่นคิ้วเล็กน้อย:“เรื่องซุบซิบไฮโซ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพยักหน้า:“คนแบบพวกคุณที่ไฮโซขนาดนี้มีเรื่องซุบซิบอยู่เยอะมาก ทุกคนต่างไม่เข้าใจ แถมยังรู้สึกว่าพวกคุณลึกลับมาก อีกทั้งตั้งความหวังไว้กับพวกคุณด้วย ก็คงจะมีเรื่องซุบซิบมั่วซั่วออกไป แต่จะจริงหรือเท็จอันนี้ก็ไม่รู้แล้ว เรื่องที่เวอร์วังมากที่สุดที่ฉันเคยได้ยินมาก็คือมีตระกูลหนึ่ง ลูกชายตระกูลของพวกเขาเดิมทีคือลูกสาว เพื่อจะสืบทอดกิจการต่อก็เลยแปลงเพศ แปลงเป็นผู้ชาย นี่มันเวอร์เกินไปมาก มีแบบนี้ที่ไหนกันที่ให้ลูกสาวเปลี่ยนเพศเพื่อสืบทอดกิจการ?”

เหลิ่งเซ่าถิงเหลือบมองเจี่ยนอี๋นั่ว:“อ๋อ เรื่องนี้ นั่นเรื่องจริงนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วเบิกตาโพล่งด้วยความตกใจ มองเหลิ่งเซ่าถิง:“จริงเหรอ?”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ:“ดูแล้วมีความจำเป็นมากจริงๆที่ผมจะปิดปากคุณ”

“งั้นยังมีอะไรอีกนะที่……” เจี่ยนอี๋นั่วพบว่าเหลิ่งเซ่าถิงรู้เรื่องของไฮโซพวกนี้เยอะมาก อดไม่ได้ที่จะอยากรู้ก็เลยถามเพิ่ม

แต่ว่าไม่ได้พูดจบประโยค เหลิ่งเซ่าถิงก็ยื่นมือไปปิดไฟด้วยสีหน้าเย็นชา แทรกคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว

“ขึ้นเตียง มานอน” เหลิ่งเซ่าถิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาในบรรยากาศที่มืดมิด

“ก็ได้” เจี่ยนอี๋นั่วตอบรับเสียงเบา เดินแล้วใช้มือคลำไปทางเตียงในความมืดมิด เธอเดินไปตามทิศทางในความทรงจำของเธอ พอสัมผัสกับเตียง ก็คลำไปถึงขาของเหลิ่งเซ่าถิง

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหดมือกลับ แล้วพูดอย่างร้อนรน:“ขอโทษที”

หลังจากนั้นเจี่ยนอี๋นั่วก็ค่อยๆปีนขึ้นเตียง ก็ไม่รู้อีกว่าชนกับเหลิ่งเซ่าถิง ทำให้เหลิ่งเซ่าถิงสูดหายใจเข้าลึกๆในบรรยากาศที่มืดมิดนี้

“ขอโทษ” เจี่ยนอี๋นั่วลุกลี้ลุกลน แล้วรีบถอยกลับไป แต่ก็เหมือนกับว่าไปกดทับร่างกายของเหลิ่งเซ่าถิงอีก เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูดขอโทษ:“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

“พอแล้ว คุณอย่าขยับตัวมั่วซั่วสิ” เหลิ่งเซ่าถิงพูดเสียงแหบพร่า

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินคำพูดของเหลิ่งเซ่าถิง ก็รีบหยุด แม้แต่จะขยับสักนิดก็ไม่กล้า บรรยากาศก็เริ่มอึดอัดอีกครั้ง เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินแค่เสียงหายใจแรงของเหลิ่งเซ่าถิงในบรรยากาศที่มืดมิดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเมื่อสักครู่เธอได้สัมผัสกับอะไรไป สีหน้าของเธอค่อยๆแดงระเรื่อ ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อ

“ผู้หญิงอย่างคุณนี่นะ จริงๆเลย……” เหลิ่งเซ่าถิงพูดถึงตรงนี้ด้วยน้ำเสียงแหบพร่า จู่ๆก็ยื่นมือมาโอบเอวของเจี่ยนอี๋นั่ว ออกแรงเพื่อให้เจี่ยนอี๋นั่วไปยังอีกฝั่งของเตียง

เหลิ่งเซ่าถิงจับเจี่ยนอี๋นั่วใส่เข้าไปในผ้าห่มอย่างบุ่มบ่าม แล้วพูดว่า:“คุณก็นอนตรงนี้แหละ ห้ามขยับ”

ก่อนหน้านี้เหลิ่งเซ่าถิงไม่เคยคิดว่าเธอเป็นผู้หญิง จนกระทั่งวันนี้เจี่ยนอี๋นั่วสังเกตเห็นตอนที่เธอสัมผัส เหลิ่งเซ่าถิงก็มีปฏิกิริยาอยู่เหมือนกัน เจี่ยนอี๋นั่วรับรู้ได้ถึงความแตกต่างของชายหญิงระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธออย่างแท้จริงก็วันนี้ หลังจากที่รับรู้ได้ถึงจุดนี้ เจี่ยนอี๋นั่วกับเหลิ่งเซ่าถิงนอนบนเตียงเดียวกัน ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดเข้าไปใหญ่

พวกเขาไม่ใช่เด็กสามสี่ขวบสักหน่อย ทั้งสองโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แล้วนอนบนเตียงเดียวกันแบบนี้ บอกไปว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น คนอื่นเขาคงจะไม่เชื่อล่ะมั้ง?

“คือว่า……ฉันไปนอนด้านล่างดีกว่าไหม ฉันปูที่นอนด้านล่างสักหน่อย……” เจี่ยนอี๋นั่วพูดเสียงเบา

เหลิ่งเซ่าถิงหลับตาแล้วพูดเสียงขรึม:“นอนซะ หลับตา ห้ามขยับ”

เจี่ยนอี๋นั่วกะพริบตา แล้วหายใจเข้าลึกๆ เธอปิดตาลงและปิดปากให้สนิท เดิมทีเจี่ยนอี๋นั่วคิดว่าตัวเองคงนอนไม่หลับ คงอึดอัดตลอดทั้งคืน แต่เจี่ยนอี๋นั่วประเมินการระมัดระวังตัวของตัวเองสูงเกินไป ผ่านไปไม่นาน เธอก็กอดหมอนแล้วนอนหลับไป

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วกำลังหลับ เหลิ่งเซ่าถิงก็ค่อยๆยื่นมือไปโอบบนไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว ถึงแม้ว่าในใจของเจี่ยนอี๋นั่วจะยังมีอารมณ์ต่อต้านกับเหลิ่งเซ่าถิง แต่ร่างกายของเธอราวกับว่าถูกเหลิ่งเซ่าถิงบ่มเพาะจนกลายเป็นเงื่อนไขที่จะต้องถูกเขากอดแล้ว ขณะที่มือของเหลิ่งเซ่าถิงโอบอยู่ที่ไหล่ของเจี่ยนอี๋นั่ว เจี่ยนอี๋นั่วก็เข้ามาในอ้อมกอดของเหลิ่งเซ่าถิงอัตโนมัติ ศีรษะติดอยู่กับบริเวณหน้าอกของเหลิ่งเซ่าถิง

เหลิ่งเซ่าถิงก้มศีรษะลงเล็กน้อย ก็สามารถได้กลิ่นหอมจากบนตัวของเจี่ยนอี๋นั่ว มันเป็นกลิ่นเดียวกับเขา เป็นกลิ่นพิเศษของครีมอาบน้ำในห้องอาบน้ำ ตอนที่เจี่ยนอี๋นั่วหลับไม่ได้แข็งกร้าวหรือดื้อรั้นเหมือนตอนตื่นปกติเลยสักนิด อ่อนแออย่างกับแมวตัวหนึ่งที่กำลังหลับสบาย เธอเข้ามาใกล้ส่วนอกของเขา ราวกับว่าทั้งร่างกายและจิตใจเธอนั้นไม่สามารถแยกจากเขาได้

เหลิ่งเซ่าถิงค่อยๆโอบเธอเข้ามาไว้ในอ้อมกอด กระตุกมุมปากเล็กน้อย เป็นครั้งแรกที่เหลิ่งเซ่าถิงไม่อยากคิดว่าพฤติกรรมแบบนี้ของเขานั้นเหมาะสมหรือไม่ เขาทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เหลิ่งเซ่าถิงหลอกทุกคน อยากจะไม่สนใจเหตุผลที่เขาทำพฤติกรรมแปลกๆแบบนี้ลับหลัง เพราะว่าเหลิ่งเซ่าถิงกังวลตอนที่เขารับรู้ได้ถึงเหตุผลของการทำพฤติกรรมแบบนี้ลับหลัง เขาจะไม่สามารถกอดเจี่ยนอี๋นั่วได้อย่างสบายใจอีก

ขณะที่เจี่ยนอี๋นั่วตื่นขึ้นมา ฟ้าพึ่งจะสาง แต่เหลิ่งเซ่าถิงได้ตื่นขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้บนเตียงมีแค่เธอคนเดียว เจี่ยนอี๋นั่วบิดขี้เกียจแล้วลงจากเตียง วันนี้เธอมีธุระหลายเรื่องที่ต้องทำ จำเป็นต้องตื่นให้เร็วหน่อย หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว กำลังเตรียมตัวออกจากห้อง ก็ชนเข้ากับเหลิ่งเซ่าถิงที่เดินเข้ามาจากนอกห้องพอดี

เหลิ่งเซ่าถิงใส่ชุดออกกำลังกาย ดูแล้วพึ่งจะวิ่งเสร็จแล้วกลับมาจากด้านนอก เจี่ยนอี๋นั่วรีบพูด:“ฉันจะออกไปทำงานแล้ว”

เหลิ่งเซ่าถิงพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้ตอบอะไร แล้วเดินตรงเข้าไปในห้องอาบน้ำ เจี่ยนอี๋นั่วถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วรีบเดินออกไปจากห้อง เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินลงมาด้านล่าง ก็รับรู้ได้ถึงคนรับใช้ของตระกูลเหลิ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้พูดกับเธอ แต่ทุกคนต่างก็กำลังใช้สายตาแปลกๆมองมาที่เธอ

เจี่ยนอี๋นั่วขมวดคิ้วแล้วเดินออกมาจากคฤหาสน์ ในใจรู้สึกแปลกๆ:สรุปมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทำไมพวกเขาใช้สายตาแปลกๆแบบนั้นมองมาทางฉันล่ะ?

เจี่ยนอี๋นั่วนึกว่าการแต่งตัวของตัวเองมีอะไรที่ไม่เหมาะสม บิดตัวไปมาตรวจสอบอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่พบว่าตัวเองมีปัญหาอะไรตรงไหน

“พี่สะใภ้ ดูอะไรอยู่น่ะ?” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้ามาหาเจี่ยนอี๋นั่ว:“พี่สะใภ้? วันนี้คุณตื่นเช้าจังนะ ผมนึกว่าสายๆคุณถึงจะตื่นซะอีก”

เหลิ่งหมิงอันพูด แล้วเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่วไปด้วย ยื่นมือไปแหย่ที่ผมของเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วรีบหลบเลี่ยง ถามเสียงเย็นชา:“คุณจะทำอะไร?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วพูด:“ผมกำลังดูว่าพี่สะใภ้ไม่ระวังจนพกรอยอะไรมาด้วยหรือเปล่า พี่ใหญ่ผมไม่ได้เข้าใกล้ผู้หญิงนานมากแล้ว น่าจะไม่ค่อยอ่อนโยนเท่าไหร่ล่ะมั้ง”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้ว่าเธอกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้ยินเหลิ่งหมิงอันพูดแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นมาปิดที่คอของตัวเอง ขมวดคิ้วแล้วพูด:“คุณจะพูดอะไรกันแน่?”

เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเดินเข้าใกล้อีกหนึ่งก้าว:“ตอนนี้ตระกูลเหลิ่งน่าจะไม่มีใครรู้เรื่องที่คุณกับพี่ใหญ่นอนเตียงเดียวกันเมื่อคืน วันนี้ตอนเช้าตรู่ พี่ใหญ่ยังให้คนไปย้ายเตียงเล็กของคุณในห้องอยู่เลย คิดไม่ถึง ว่าจะคุณจะมีความสามารถจริงๆ ถึงสามารถเอาพี่ใหญ่ได้อยู่หมัด”

เจี่ยนอี๋นั่วฟังคำพูดของเหลิ่งหมิงอัน ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้พวกคนรับใช้ใช้สายตาแปลกๆมองมาที่เธอ ตอนนี้คนตระกูลเหลิ่งน่าจะกำลังคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเหลิ่งเซ่าถิง เจี่ยนอี๋นั่วค่อยๆยิ้มออกมา:“คุณก็นับว่าเป็นคนมีตำแหน่งฐานะ ทำไมถึงเป็นห่วงเรื่องเตียงนอนเรื่องห้องของฉันกับเหลิ่งเซ่าถิงขนาดนี้ล่ะ?”

“สำหรับคนอื่นนี่เป็นเรื่องเตียงนอนเรื่องห้อง แต่สำหรับผมกับพี่ใหญ่นี่เป็นเรื่องใหญ่ในตระกูลเหลิ่ง” เหลิ่งหมิงอันยิ้มแล้วเข้าใกล้เจี่ยนอี๋นั่ว กดเสียงต่ำพูด:“แต่ผมรู้สึกว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพี่ใหญ่ไม่มีทางพัฒนาได้ถึงขั้นนั้นแน่นอน เรื่องระหว่างชายหญิง ผมนี่เชี่ยวชาญนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอัน หัวเราะแล้วพูด:“ถ้าคุณเอาความคิดแบบนี้ไปทุ่มเทให้กับการแย่งชิงทรัพย์สินในตระกูล ตระกูลเหลิ่งคงเป็นของคุณนานแล้ว”

เหลิ่งหมิงอันฟังคำพูดของเจี่ยนอี๋นั่ว หยุดลงสักพัก หลังจากนั้นถึงจะหัวเราะเสียงเบาๆ:“ปากของคุณร้ายจริงๆ พี่ใหญ่ไม่มีทางชอบผู้หญิงแบบคุณหรอก เขาชอบผู้หญิงที่อ่อนโยน อย่างหลิวจื่อซิงนู่น วันนี้เขากลับประเทศมาแล้ว อีกไม่นานเธอน่าจะได้เจอเขาแล้วล่ะ”

หลิวจื่อซิง?

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินชื่อนี้จากปากของเหลิ่งหมิงอันมาตลอด จากคำพูดของคุณนายเหลิ่ง ที่มักจะได้ยินว่าความสัมพันธ์ระหว่างหลิวจื่อซิงกับเหลิ่งเซ่าถิงนั้นไม่ปกติเหมือนคนอื่น แต่ในสายตาของเจี่ยนอี๋นั่ว เหลิ่งเซ่าถิงเป็นภูเขาน้ำแข็งที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ คิดไม่ออกจริงๆว่าเหลิ่งเซ่าถิงเคยมีผู้หญิงมาก่อนด้วย

สำหรับหลิวจื่อซิงผู้หญิงคนนี้ เจี่ยนอี๋นั่วมีความอยากรู้มากกว่าความอิจฉา เธอตั้งหน้าตั้งตารอเจอหลิวจื่อซิง แต่ทำไมเหลิ่งหมิงอันถึงพูดถึงหลิวจื่อซิงไม่หยุดล่ะ? สรุปแล้วหลิวจื่อซิงคนนี้เป็นอะไรกับเหลิ่งหมิงอันกันแน่? เจี่ยนอี๋นั่วนึกคำพูดที่เหลิ่งเซ่าถิงเคยพูด เหลิ่งหมิงอันมักจะอยากได้ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขา

เจี่ยนอี๋นั่วยิ้มแล้วมองเหลิ่งหมิงอัน:“เขาคืออาวุธจากข้าศึกที่คุณแย่งมาจากเหลิ่งเซ่าถิง?”

ถึงแม้ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะไม่ชอบเหลิ่งหมิงอัน แต่ถ้ามีผู้หญิงจะหลงใหลในตัวเหลิ่งหมิงอันนั้นก็ไม่ได้เป็นที่แปลกใจสำหรับเธอ เหลิ่งหมิงอันมีผู้หญิงมากมายที่หลงใหลที่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา อีกอย่างถ้าเทียบกับเหลิ่งเซ่าถิง เขาสามารถใกล้ชิดได้ง่ายกว่า เขามีวิธีหลอกลวงพวกผู้หญิงอยู่บ้าง ผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง ที่ถูกความเยือกเย็นจากบนตัวเหลิ่งเซ่าถิงแทงเข้าไป บางทีสามารถทำให้เหลิ่งหมิงอันลุ่มหลงผู้หญิงพวกนั้นได้ง่ายกว่าก็ได้นะ

“เขาไม่ใช่อาวุธจากข้าศึก เป็นนางฟ้าของพวกเราต่างหาก ถึงแม้ว่าฐานะทางสังคมของเขาจะไม่ดี เป็นแค่ลูกสาวของคนรับใช้ในบ้าน แต่หน้าตาเขาสวย นิสัยก็อ่อนโยน พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ตอนนั้นเด็กในตระกูลเหลิ่งมีน้อย ใกล้ชิดกับเด็กผู้หญิงไว้คงดีกว่า เขาเป็นรักแรกของผมกับพี่ใหญ่ แค่ในตอนแรกเขาเลือกพี่ใหญ่ แต่ต่อมาเขาก็เลือกผม ผู้หญิงที่อ่อนโยนนิสัยดีเหมือนเขา ถ้าได้มาพัวพันกับผมและพี่ใหญ่ คงจะรู้สึกละอาย ทำได้แค่เลือกที่จะเดินออกไป……” เหลิ่งหมิงอันพูดถึงตรงนี้ ค่อยๆหลับตาลง ราวกับว่านึกย้อนไปถึงความทรงจำในอดีตที่สวยงาม

หลังจากนั้นไม่นานเหลิ่งหมิงอันก็ยิ้มแล้วพูด:“พี่ใหญ่ถูกรถชน ก็เพราะจะเอาเขากลับคืนมา แล้วต่อมาก็มีเรื่องคุณเข้ามาในตระกูลเหลิ่ง จะว่าไปแล้ว คุณสามารถเข้ามาในตระกูลเหลิ่งได้ คงต้องขอบคุณเขาที่ในตอนนั้นปฏิเสธพี่ใหญ่”

“ฟังดูแล้วเป็นผู้หญิงที่เปลี่ยนบ่อยจังเลยนะ ปั่นหัวพวกคุณสองพี่น้อง แต่คุณกับเหลิ่งเซ่าถิงไม่เหมือนคนที่ถูกปั่นหัวเลยนะ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดแล้วหันหน้าไปมองเหลิ่งหมิงอัน ยิ้มแล้วพูด:“ฉันจะตั้งหน้าตั้งตารอเจอเขา อยากจะรู้นักเรื่องราวของคุณถูกแต่งเติมมากแค่ไหน”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบ ก็เดินผ่านเหลิ่งหมิงอันไป ขึ้นไปนั่งบนรถที่ตระกูลเหลิ่งจัดไว้ให้เธอ เหลิ่งหมิงอันขมวดคิ้วมองแผ่นหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ส่ายหน้าแล้วพูด:“เป็นผู้หญิงที่รับมือยากจริงๆ”

“ในเมื่อยากที่จะจัดการ งั้นก็ไม่ต้องจัดการเขาแล้ว แกน่ะเคลิ้มตามเกมของเขาเกินไปแล้ว ไม่ว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเหลิ่งเซ่าถิงจะเป็นยังไง รอให้หลิวจื่อซิงกลับมา เขาก็ไม่ได้มีค่าอะไรแล้ว” เหลิ่งเฉิงอวี่เดินมาที่ข้างๆเหลิ่งหมิงอันแล้วพูด

เหลิ่งเฉิงอวี่พูดจบ ก็เดินผ่านร่างของเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันยังคงมองไปทิศทางที่รถของเจี่ยนอี๋นั่วจากไป หรี่ตา หัวเราะแล้วพูด:“ฉันเคลิ้มมากเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วไม่ได้สนใจหลิวจื่อซิงที่เหลิ่งหมิงอันพูดถึงไม่หยุดเลยสักนิด เธอเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมากเกินไปสำหรับเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น ในเมื่อเหลิ่งเซ่าถิงกำชับไว้หลายรอบว่าระหว่างพวกเธอไม่มีทางมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน อีกอย่างเธอก็หวาดกลัวสภาพความเป็นอยู่ในตระกูลเหลิ่งด้วย ไม่ว่าเจี่ยนอี๋นั่วจะรู้สึกแบบไหนกับเหลิ่งเซ่าถิง เธอก็จะกดทับเอาไว้ ไม่มีทางจะพัฒนาขั้นต่อไปอย่างแน่นอน

ตอนที่กำลังคิดแบบนี้ เจี่ยนอี๋นั่วพยายามไม่ไปสนใจผู้หญิงแต่ละประเภทที่น่าจะปรากฏขึ้นข้างกายเหลิ่งเซ่าถิง อีกอย่างเจี่ยนอี๋นั่วมีเรื่องเยอะมากที่จำเป็นต้องไปจัดการ ไม่มีประสบการณ์มากมายที่จะไปคิดถึงความรู้สึกรักๆใคร่ๆพวกนั้นด้วยซ้ำ

มาถึงที่บริษัท เจี่ยนอี๋นั่วก็รีบเรียกประชุม เอาพนักงานที่รับสมัครใหม่มาสร้างเป็นแผนกการขายที่สองอย่างรวดเร็ว ผู้จัดการของแผนกการขายที่สองคือคนที่เจี่ยนอี๋นั่วเชิญเข้ามาทำงานใหม่ด้วยเงินเดือนที่สูงเอาเรื่อง แถมเธอยังลดแผนกการขายดั้งเดิมแล้วด้วย อีกทั้งรวบรวมคนแล้วสร้างแผนกการเงินขึ้นมาใหม่ พนักงานเก่าที่เข้าร่วมประชุมต่างก็ทราบกันดีว่าเจี่ยนอี๋นั่วจงใจหาเรื่องฉู่หมิงเซวียน ในฐานะที่ฉู่หมิงเซวียนเป็นผู้จัดการแผนกการขาย ที่เจี่ยนอี๋นั่วทำก็เป็นการลดอำนาจของฉู่หมิงเซวียน

“ถ้าประธานเจี่ยนอยากจะจัดการแบบนี้ มันคือบีบให้พนักงานแผนกการขายทุกคนลาออกแล้วนะ” หลังจากที่ฉู่หมิงเซวียนฟังการจัดการของเจี่ยนอี๋นั่ว ก็พูดยิ้มเยาะ

เจี่ยนอี๋นั่วมองฉู่หมิงเซวียน แล้วหัวเราะออกมา:“ผู้จัดการฉู่เข้าใจผิดแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าช่วงนี้ผลการทำงานของแผนกการขายของพวกคุณไม่เป็นที่น่าพอใจเลย ก็เลยจะปรับปรุงและจัดใหม่สักหน่อย พนักงานแผนกการขายทุกคนต่างก็ทำงานเหน็ดเหนื่อยเพื่อบริษัท ฉันจะบีบให้พวกเขาออกได้ยังไง? แต่ว่าทุกคนก็มีทางเลือกเป็นของตัวเอง ถ้ามีคนรู้สึกว่าบริษัทอี๋เหม่ยไม่เหมาะกับเขา อยากจะหางานใหม่ แล้วลาออก ฉันไม่ห้ามอย่างแน่นอน แต่กรุณาช่วยแจ้งแผนกบุคคลของบริษัทให้ทราบล่วงหน้าสามเดือนด้วย”

“เจี่ยนอี๋นั่ว!คุณอย่าบังคับผม!” ฉู่หมิงเซวียนยืนขึ้นมา ขมวดคิ้วมองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วพิงเก้าอี้ ยิ้มแล้วมองไปทางฉู่หมิงเซวียน:“ฉู่หมิงเซวียน ฉันไม่ได้บังคับคุณ ฉันก็แค่ให้คุณรู้ ว่าตำแหน่งที่แท้จริงของคุณอยู่ตรงไหน ตอนนี้ฉันเป็นประธานบริหาร ฉันมีอำนาจจัดการงานทุกอย่างของบริษัท คุณเป็นผู้จัดการแผนก ควรยอมทำตามการจัดการของบริษัทนะ”

“ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ประธานเจี่ยนจะบีบจนผมต้องไปเฝ้าโรงเก็บของให้ได้เลยใช่ไหม? อย่างกับว่าผมมีแค่ลาออกแค่ทางนี้ทางเดียวแล้ว” ฉู่หมิงเซวียนหรี่ตามองเจี่ยนอี๋นั่ว

เจี่ยนอี๋นั่วหยิบจดหมายมาหนึ่งฉบับจากในกระเป๋า โยนไปให้ฉู่หมิงเซวียน:“จดหมายลาออกของคุณ ฉันเขียนแทนคุณให้แล้ว ถ้าอยากจะลาออก ก็ส่งไปที่แผนกบุคคลได้เลย!”

“เจี่ยนอี๋นั่วเธอนี่เป็นคนที่เลือดเย็นจริงๆเลย ฮุ่ยฮุ่ยยังเด็กอยู่ เธอจะใจดำกับน้องแบบนี้ไม่ได้นะ?”เฮ่อเยี่ยนหงพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกร้องไห้ไปด้วย หันหน้ามองเจี่ยนอี๋นั่วไปด้วยแล้ววิ่งตามหลังเจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยออกไป

เจี่ยนอี๋นั่วกระพริบตาแรงๆแปบหนึ่งแล้วเธอก็เดินไปตรงหน้าคุณพ่อ กุมมือของคุณพ่อ เวลานี้เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกโดดเดี่ยวและไม่มีที่พึ่ง เจี่ยนฮุ่ยฮุ่ยยังทำตัวเหมือนเด็กที่ไม่รู้จักโต เฮ่อเยี่ยนหงก็พึ่งไม่ได้ และตอนนี้พ่อของเธอก็มากลายเป็นแบบนี้อีก……

เวลานี้ข้างกายเธอไม่มีใครสักคนที่สามารถพึ่งพาได้

ในใจของเจี่ยนอี๋นั่วเกลียดชังฉู่หมิงเซวียนเอามากๆ ทุกอย่างเป็นเพราะฉู่หมิงเซวียนคนเดียวที่ทำให้คุณพ่อล้มป่วย ทำให้ระดับสติปัญญาของคุณพ่อต่ำกว่าปกติอย่างถาวร แล้วยังมีเรื่องของลูกอีก เจี่ยนอี๋นั่วไม่เชื่อว่านี่เป็นการตัดสินใจกระทำของเฉิงซานซานเพียงคนเดียว เฉิงซานซานไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ ต้องเป็นฉู่หมิงเซวียนเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังและให้เฉินซานซานลงมือแน่นอน

เจี่ยวอี๋นั่วในใจลึกๆสงสัยว่า ฉู่หมิงเซวียนรู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธอแล้วหรือยัง เพื่อทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตระกูลเหลิ่งมีปัญหากันมากขึ้น จึงคิดกำจัดลูกในท้องของเธอ

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ถ้าอย่างงั้นฉู่หมิงเซวียนก็เป็นศัตรูของเธอโดยอยู่ร่วมโลกเดียวกันไม่ได้! และต้องเอาคืนให้ตายไปข้างหนึ่ง!

เจี่ยนอี๋นั่วพึ่งแท้งลูกได้ไม่นานร่างกายยังไม่ฟื้นตัว หลังจากผ่านเรื่องราวที่ทำให้เสียใจและเรื่องที่ทำให้โกธรมาก ร่างกายของเธอหมดแรงและสั่นไปทั้งตัว เกือบจะล้มลงไปกองกับพื้น ทันใดนั้นมีมือของใครคนหนึ่งเข้ามาพยุงด้านหลังของเจี่ยนอี๋นั่ว หลังจากที่เจี่ยนอี๋นั่วทรงตัวได้ ก็รีบหันหลังไปมอง เธอมองเห็นเหลิ่งหมิงอันอยู่ด้านหลังหล่อน เจี่ยนอี๋นั่วรีบเดินถอยหลังกี่ก้าวจ้องมองเหลิ่งหมิงอัน พูดขึ้นว่า:“ทำไมคุณถึงอยู่ที่นี่คะ?”

เหลิ่งหมิงอันเอียงหัวพร้อมหัวเราะพูดกับเจี่ยนอี๋นั่ว:“ผมก็มาเยี่ยมคุณไงครับ ผมได้ข่าวมา วางใจเถอะคุณไม่มีลูกแล้ว ดูท่าแล้วตระกูลเหลิ่งไม่จำเป็นต้องดูแลคุณอีกต่อไป แต่ว่าผมไม่รังเกียจคุณนะ ผมจะดูแลคุณให้ดีเอง

ตอนนี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง? คุณแท้งลูกของเหลิ่งเซ่าถิงแล้ว แต่ผมยังเต็มใจจีบคุณเหมือนเดิม คุณเชื่อผมหรือยังว่าผมจริงใจกับคุณจริงๆ?”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดด้วยน้ำเสียงเบาๆ:“ฉันไม่ได้ต้องการความห่วงใยใส่ใจดูแลจากคุณ !ฉันดูแลตัวเองได้ คุณจะจริงใจหรือไม่จริงใจมันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับฉันเลยสักนิด”

เจี่ยนอี๋นั่วเห็นเหลิ่งเซ่าถิงก็นึกขึ้นได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอและตระกูลเหลิ่งยังไม่ได้จัดการ เธอแท้งลูกแล้ว อาศัยอยู่ตระกูลเหลิ่งต้องอาศัยอยู่ในฐานะอะไร ความสัมพันธ์จะไปในทิศทางไหน ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ในตระกูลเหลิ่งเท่านั้น เสียลูกคนนี้ไป มันเป็นความผิดของพวกเขาทั้งสองที่เป็นคนก่อขึ้นทั้งหมด เจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าตัวเองควรเป็นคนรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด

ไม่ว่าตระกูลเหลิ่งจะถอนเงินที่ลงทุนกับตระกูลเจี่ยน หรือว่าจะให้หล่อนหย่าขาดกับเหลิ่งเซ่าถิง หล่อนก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธอะไรทั้งสิ้น เจี่ยนอี๋นั่วคิ้วขมวดพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ดูเหมือนว่าฉันควรต้องกลับไปบ้านตระกูลเหลิ่งอีกสักครั้งแล้ว”

เจี่ยนอี๋นั่วได้กำชับกับพยาบาลพิเศษอย่างละเอียด ให้พยาบาลพิเศษดูแลคุณพ่อของตัวเองดีๆ สุดท้ายเธอก็เช็ดมือให้กับคุณพ่อ จากนั้นก็ลุกขึ้น:“คุณดูแลคุณพ่อของฉันให้ดีๆก่อนนะคะ เดี๋ยวกลางคืนฉันจะกลับมาใหม่”

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าตระกูลเหลิงไม่มีความจำเป็นต้องให้เก็บเธอไว้อีกต่อไป เหลิ่งหมิงอันก็โผล่มาที่นี่แล้ว แต่ว่าคุณนายเหลิ่งกลับไม่ส่งคนมาเลย นี่ก็แสดงได้อย่างชัดเจนแล้วว่าคุณนายเหลิ่งไม่ต้องการหล่อนอีกแล้ว อีกทั้งเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ได้ชอบเธอเลยสักนิดเดียว เป็นไปไม่ได้ที่จะใช่ชีวิตอยู่ในฐานะสามีภรรยากับเธออีกต่อไปได้ ?

เจี่ยนอี๋นั่วรู้สึกว่าวันนี้ได้กลับไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งครั้งนี้ คงเป็นการสะสางความสัมพันธ์ระหว่างเหลิ่งเซ่าถิงกับเธอ จากนั้นก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเหลิ่งอีกต่อไป

เหลิ่งหมิงอันเดินตามหลังเจี่ยนอี๋นั่วตลอด เห็นเจี่ยนอี๋นั่วกำลังจะเตรียมตัวออกไป เหลิ่งหมิงอันหัวเราะทันทีพร้อมพูดขึ้นว่า:“คุณจะกลับคฤหาสน์เหรอ?ผมไปส่งคุณดีไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วเหลือบมองเหลิ่งหมิงอัน หน้าตาไม่รับแขกพร้อมพูดว่า:“ฉันไปคนเดียวเองได้ และก่อนไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง ฉันยังมีเรื่องต้องสะสางอีกเรื่อง”

เหลิ่งหมิงอันเดินเข้าไปใกล้เจี่ยนอี๋นั่วหัวเราะพร้อมพูด “ผมช่วยคุณได้นะ”

เจี่ยนอี๋นั่วมองเหลิ่งหมิงอันด้วยหน้าตาที่เย็นชาพูดขึ้นว่า:“เหลิ่งหมิงอัน ฉันไม่มีอะไรจะให้คุณหลอกใช้อีกแล้ว คุณอย่าคิดแค่จะเอาชนะและคุณไม่จำเป็นต้องเล่นเกมอีกต่อไป เวลานี้ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว คุณอย่ามารังควานอย่ามาบังคับฉันอีกต่อไปเลย ตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะทำอย่างไรต่อไปดี ถ้าหากฉันหาทางออกไม่เจอแล้วคิดสั้น อาจจะลากคุณไปตายด้วยกัน คุณเป็นถึงคุณชายรองแห่งตระกูลเหลิ่ง ตายไปพร้อมกับฉันง่ายๆแบบนี้ มันดูไร้ค่าไปหรือเปล่า?”

เหลิ่งหมิงอันค่อยๆเปลี่ยนสีหน้าพูดด้วยน้ำเสียงที่โมโห:“กลัวความพ่ายแพ้?ผู้หญิงอย่างเธอดูได้แม่นยำเหลือเกินนะ ใช่สิ เธอไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือได้แล้ว แต่ว่าผมรู้สึกน้อยใจเรื่องที่คุณยังไม่ชอบผมสักที คุณยังชอบเหลิ่งเซ่าถิงอยู่หรือ ?คุณฟังนะ ถึงยังไงเหลิ่งเซ่าถิงก็ไม่ชอบคุณหรอก เขาจะไล่คุณออกจากตระกูลเหลิ่งด้วยตัวของเขาเอง ผมมีอะไรที่สู้เหลิ่งเซ่าถิงไม่ได้บ้าง?เขาดีกับคุณมากเหรอ?ทำไมคุณถึงชอบผู้ชายอารมณ์โมโหร้ายชอบใส่อารมณ์ให้คุณอย่างเหลิ่งเซ่าถิง แต่ทำไมกลับต้องเย็นชาใส่ผมและปฏิเสธผมตลอดเวลาด้วย?”

เจี่ยนอี๋นั่วหันหลังมองไปทางเหลิ่งหมิงอัน:“ไม่ว่าเหลิ่งเซ่าถิงจะชอบหรือไม่ชอบฉัน แต่เขาไม่เคยเสแสร้ง คุณในตอนนี้ดูจริงใจกว่าเมื่อก่อนมาก ถ้าหากคุณแสดงความจริงใจแบบนี้กับฉัน บางทีฉันอาจจะชอบคุณ เหลิ่งหมิงอัน บางทีอาจจะมีคนชอบที่คุณเสแสร้ง แต่ฉันเคยรักผู้ชายที่ไม่จริงใจเหมือนกันกับผู้ชายอย่างคุณ ฉันมองเห็นคุณ ก็เหมือนได้พบเจอกับความไม่จริงใจอีกครั้ง ตอนนี้ฉันชอบผู้ชายที่เป็นตัวของตัวเองมากกว่า ไม่ว่าเขาจะเย็นชาหรือว่าเฉยเมย หรือเพราะความหยิ่งยโส ยังดีกว่าเสแสร้งแกล้งทำดีเป็นห่วงเป็นใย ผู้ชายที่พูดตรงไปตรงมาคู่ควรที่ฉันจะรัก ”

เดิมทีเหลิ่งหมิงแสดงอาการที่ทำตามอำเภอใจ ใบหน้าค่อยๆสำนึกผิด :“ที่แท้คุณเป็นผู้หญิงแบบนี้?เจี่ยนอี๋นั่ว เธอทำให้ผมคาดไม่ถึงจริงๆ แล้วตอนนี้ผมเป็นแบบนี้คุณจะชอบผมไหม?”

เจี่ยนอี๋นั่วจ้องมองเหลิ่งหมิงอันพูดว่า:“อย่างน้อยตอนนี้ก็รู้สึกดีกับคุณมากขึ้น แต่ว่าพวกเราคงไม่ได้เจอหน้ากันอีกแล้วล่ะ หวังว่าคุณจะให้อภัยฉันสำหรับความหยาบคายก่อนหน้านี้ และอีกอย่างขออวยพรให้คุณโชคดี คุณเหลิ่ง ”

เจี่ยนอี๋นั่วพูดจบก็เดินผ่านตรงหน้าเหลิ่งหมิงอันไป เหลิ่งหมิงอันหรี่ตามองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว ไม่ได้เดินตามไป เขายืนพิงหลังกำแพงของโรงพยาบาล ค่อยๆหัวเราะออกมา:“ช่างเป็นผู้หญิงที่ตลกจริงๆ ตลกจริงๆ……”

เหลิ่งหมิงอันพูดจบ ทันใดนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา:“ผมเป็นคนชอบเอาชนะ?ทำไมถึงยอมแพ้ง่ายๆแบบนี้ล่ะ?”

ก่อนที่เจี่ยนอี๋นั่วจะไปคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง สิ่งที่ต้องทำคือ ต้องนำลูกของเธอไปฝัง เจี่ยนอี๋นั่วเคยได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่พูดว่า ลูกที่ยังไม่ทันเกิดมาลืมตาดูโลก ไม่สามารถฝังได้ต้องนำไปทิ้งลงแม่น้ำหรือนำไปทิ้งที่อื่น ถ้าไม่อย่างงั้นจะนำพาความโชคร้ายให้กับผู้เป็นแม่ แต่เจี่ยนอี๋นั่วไม่อยากทิ้งลูกของเธอ เธออุ้มลูกของเธอใส่ลงไปในขวดแก้ว เดินตรงไปหลังเขาข้างคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง และฝังมันอย่างระมัดระวัง

ตอนที่คุณแม่ของเจี่ยนอี๋นั่วยังมีชีวิตอยู่ คุณแม่ชอบพาเธอไปเที่ยวเล่นที่หลังเขาบ่อยๆ ตอนนั้นที่บ้านเริ่มทำธุรกิจ ไม่เคยคิดว่าชาตินี้จะมีโอกาสได้เข้าพักอาศัยอยู่ในคฤหาสน์และยังไม่ได้ย้ายมาอยู่ที่นี่ ต้องขับรถไกลมากถึงจะขับมาถึงภูเขาแห่งนี้ แต่ว่าคุณแม่จะพยายามพาเธอมาเที่ยวที่นี่ทุกอาทิตย์ เพราะว่าสถานที่แห่งนี้สามารถมองเห็นบริษัทที่ทำงานของคุณพ่อได้

ในขณะนั้นเจี่ยนฉ่างยุ่นงานยุ่งมาก น้อยมากที่จะมีเวลากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน ถึงแม้จะมีเวลากินข้าวด้วยกันไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็รีบกินแล้วก็รีบไป เมื่อสมัยเจี่ยนอี๋นั่วยังเป็นเด็กเคยคิดว่าตัวเองไม่มีคุณพ่อ จากนั้นคุณแม่ของเธอก็จะพาเธอไปเที่ยวเล่นที่ภูเขาแห่งนี้บ่อยๆ เธอจะวิ่งเล่นในพงหญ้าวิ่งไล่จับตั๊กแตนและผีเสื้อ

เมื่อเธอเล่นจนเหนื่อยและเต็มไปด้วยเหงื่อ เธอก็จะวิ่งไปหาคุณแม่ พูดกับคุณแม่ว่า:“คุณพ่ออยู่ไหนคะ ?ทำไมคุณพ่อไม่อยู่เป็นเพื่อนเล่นกับอี๋นั่วคะ?อี๋นั่วคิดถึงคุณพ่อมากค่ะ ……”

คุณแม่ก็จะชี้ไปทางบริษัทที่ตั้งอยู่ห่างไกล ยิ้มแล้วพูดกับอี๋นั่วว่า:“คุณพ่ออยู่ที่นั่น คุณพ่ออยู่กับพวกเราตลอด คุณพ่อกำลังยิ้มให้กับอี๋นั่วอยู่ทางโน่น อี๋นั่วโบกมือทักทาย ตอนนี้คุณพ่อตั้งใจทำงานอยู่นะคะ ก็เพื่อให้อี๋นั่วมีความสุขและสุขสบายมากขึ้นไงคะ”

เด็กน้อยเจี่ยนอี๋นั่วก็จะรีบกระโดดขึ้นมาทันทีพร้อมตะโกนว่า:“คุณพ่อคะ!วันนี้อี๋นั่วมีความสุขมากเลยค่ะ คุณพ่อต้องตั้งใจทำงานนะคะ!”

ในความเป็นจริงแล้วระยะทางห่างไกลมาก คุณพ่อมองไม่เห็นเธอหรอก?เวลาผ่านไปเจี่ยนอี๋นั่วรู้ดีว่าเป็นเพราะคุณแม่ไม่อยากรบกวนในขณะที่คุณพ่อทำงาน แต่ก็เพราะอยากให้เธอรู้สึกว่าคุณพ่ออยู่เคียงข้างเธอตลอดเลยคิดสร้างเรื่องโกหกที่สวยงามขึ้นมา และนี่เป็นความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตและไม่อันลืมเลือนของเจี่ยนอี๋นั่วแล้ว ผ่านไปไม่นานคุณแม่ท่านก็เสีย จากนั้นคุณพ่อก็แต่งเฮ่อเยี่ยนหงเข้าบ้าน

ตอนนี้เจี่ยนอี๋นั่วฝังลูกของตัวเองไว้ที่นี่ ก็เพื่ออยากให้ลูกเป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำของเธอ และเพื่อให้เธอจดจำว่าเคยมีลูกคนนี้ตลอดไป

เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วฝังทารกน้อยเสร็จ ในขณะที่เดินลงจากเขาหน้าตาซีดเซียวแล้ว แต่ว่าเธอก็ยังฝืนทนร่างกายกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่ง คฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งเงียบสงบมาก เมื่อเจี่ยนอี๋นั่วเดินก้าวเข้าประตูคฤหาสน์ตระกูลเหลิ่งนั้น ก็ได้ยินเสียงอันสูงแหลมของสุยเฉิงจิ้ง :“โอ้ นี่คุณหญิงแห่งตระกูลเหลิ่งกลับมาแล้ว?กลับมาคนเดียวเหรอ ลูกของเธอล่ะ?”

เจี่ยนอี๋นั่วหน้าซีดเซียวเงยหน้าขึ้นมองสุยเฉิงจิ้ง ไม่ได้ตอบกลับใดๆ เธอเดินผ่านหน้าสุยเฉิงจิ้งไปและเดินไปทางห้องของคุณนายเหลิ่ง สุยเฉิงจิ้งจ้องมองตามหลังเจี่ยนอี๋นั่ว เสียงตะคอก:“ฮึม,นี่ยังกล้าหยิ่งยโสขนาดนี้ ยังคิดว่าตัวเองยังเป็นคุณหญิงตระกูลเหลิ่งได้อีกเหรอ?”

เจี่ยนอี๋นั่วได้ยินเสียงพูดของสุยเฉิงจิ้ง แต่ว่าเธอก็ไม่หยุดเดิน และเดินตรงไปถึงหน้าประตูห้องของคุณนายเหลิ่ง เคาะประตูเรียก

ได้ยินเสียงขานรับออกมาจากในห้อง“เข้ามา”,เจี่ยนอี๋นั่วก็เดินเข้าห้องไป เมื่อเดินเข้าไปในห้อง เจี่ยนอี๋นั่วก็เห็นคุณนายเหลิ่งนั่งอยู่กับเหลิ่งเซ่าถิงบนโซฟา

คุณนายเหลิ่งกำลังหน้าคิ้วขมวดเมื่อเห็นเจี่ยนอี๋นั่ว พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า:“บอกให้เธอระมัดระวังตั้งแต่แรกทำไมเธอไม่ฟัง?กลางค่ำกลางคืนทำไมถึงออกไปคนเดียว?ควรจะพาคนรับใช้ไปด้วย?ถ้าหากเซ่าถิงไม่ตามไป พวกเราก็ไม่รู้เลยว่าเธอจะไปที่ไหน!วันนี้เช้าฉันพึ่งรู้ว่าเธอออกไป แล้วก็พึ่งรู้ว่าเหลนของฉันไม่อยู่แล้ว ……”

เจี่ยนอี๋นั่วเม้มริมฝีปากแน่น เธอไม่ได้ขอโทษเพราะว่าคนที่เธอควรจะกล่าวคำขอโทษด้วยคือลูกของเธอเอง แต่ว่าเธอไม่มีสิทธิ์กล่าวคำว่า “ขอโทษ” กับลูกของเธอได้

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

หนี้รัก วิวาห์จำเป็น

Score 10
Status: Completed
เหลิ่งเซ่าถิง เป็นบอสใหญ่ที่กุมอำนาจทั้งหมดของบริษัทไว้ในมือ เป็นบุคคลสำคัญของธุรกิจ ซ้ำยังมีหน้าตาที่หล่อเหลา แต่เขากลับต้องมาประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ต้องมีสภาพกลายเป็นผัก เจี่ยนอี๋นั่ว เป็นลูกสาวของประธานแห่งเจี่ยนกรุ๊ป เรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง นิสัยอ่อนโยน และรักกับแฟนหนุ่มมา3ปีแล้ว แต่เพราะอาการป่วยของพ่อ ทำให้เจี่ยนกรุ๊ปล้มละลาย เธอต้องแบกรับหนี้หลายสิบล้านเพียงชั่วข้ามคืน ดังนั้นภายใต้เหตุการณ์ทั้งสองเหตุการณ์นี้ ทำให้เจี่ยนอี๋นั่วต้องมาเป็นภรรยาถูกต้องตามกฏหมายของเหลิ่งเซ่าถิง ซึ่งเธอไดแต่คิดว่าจะต้องอยู่กับคนที่สภาพเหมือนผักแบบนี้ไปตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ว่าเขานั้นฟื้นแล้ว และแค่รอให้ ‘ปฏิหาร’เกิดขึ้นอีกครั้ง………

Options

not work with dark mode
Reset