ตอนที่ 27 ไร้ยางอาย! หน้าด้าน!
ซูวซูวสวมเสื้อโค้ทสีชมพูที่ดูเข้ากันกับรองเท้าบูทหนังที่ดูแพงซึ่งในทางกลับกันจิงจิงสวมเพียงเสื้อคลุมกีฬาสบายๆ เมื่อเทียบเสื้อผ้าของเด็กสองคนนี้แล่วเสื้อผ้าของจิงจิงดูถูกกว่ามาก
“คุณพี่สาว! สนี้มันช่างไม่เหมาะกับเธอเลยจริงๆ! ผิวของเธอหนะขาวผุดผ่องดั่งหิมะ เธอจะดูดีมากเลยนะถ้าใส่เสื้อผ้าสีขาวและแดง!” เธอชมจิงจิงซูวซูวเป็นเด็กที่มีลักษณะดูบอบบาง
เมื่อเห็นเธอแล้ว จิงจิงรู้สึกว่าเธอเป็นเหมือนน้องสาวลูกคุณหนูอันอ่อนโยนที่อาศัยอยู่ข้างบ้านอย่างไงอย่างงั้น จึงจึงมั่นใจเลยว่าเธอจะต้องเป็นที่นิยมและโด่งดังมากในโรงเรียน
ที่จริงแล้วซูวซูวรู้สึกถึงกับหน้าตาของจิงจิง
ซูวซูวเคยเห็นจิงจิงหลายครั้งที่โรงเรียน อย่างเช่นตอนที่จิงจิงได้เป็นตัวแทนนักเรียนในช่วงพิธีสําคัญต่างๆ ของโรงเรียน จิงจิงมักจะพูดจากับคนอื่นสุภาพมากเสมอไม่ว่าเด็กคนอื่นๆจะพูดถึงเธอในทางเสียหายมากเพียงใดก็ตาม
จิ้งหยุนเฉามีหน้าตาที่สวยงาม แต่ที่ผ่านมาใบหน้าของเธออมทุกข์และเปล่งประการแต่ความเศร้าหมองออกมาตลอดทว่าในตอนนี้เธอดูมีชีวิตชีวาและมีความสุขมากกว่าอดีตที่เธอเคยเป็นถึงแม้ในตอนนี้เธอจะสวมเพียงเสื้อคลุมกีฬาสบายๆ แต่เธอก็ ยังสวยโดดเด่นอยู่ดี!
“เธอไม่กินข้าวเช้าเหรอ?” จิงจิงไม่มีความคิดเห็นเรื่องเสื้อผ้าของตัวเองและชวนคุยเรื่องอื่น
“ตอนนี้มีแค่บะหมี่กึ่งสําเร็จรูปกับโจ๊กกระป่องแค่นั้นเอง”ซูวพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
จิงจิงถอนหายใจ
โชคดีที่ตอนนี้มันยังคงเช้าอยู่ จิงจิงบอกให้ซูวรอสักครู่ เธอเริ่มต้มโจ๊กสําหรับสองคนทันที
ซูวนิสัยเหมือนเด็ก เมื่อเธอเห็นจิงจิงทําอาหารอย่างเชี่ยวชาญเธอก็ได้ถามอย่างซื่อๆ ไปว่า ” พี่จิง…พี่ทําอาหารทุกวันเลยหรอ?โจ๊กของพี่ดูดีกว่าร้านอาหารอีก!”
อาหารที่พี่ชายของเธอกังจินเฉินทํานั้นมันดูดีกว่าเธอทําเองเพียงนิดเดียวทว่าอาหารฝีมือจิงจิงนั้นดูดีมากดูดีเหมือนร้านอาหารทํา
เลย!
“ถ้าอยากกินอีกเมื่อไหร่ก็บอกนะ เดี๋ยวจะทําให้กินอีก!” จิงจิงตอบเธอด้วยรอยยิ้ม
ที่จริงแล้วจิงจิงเป็นเด็กไม่ค่อยพูดกับใครถ้าหากมันไม่จําเป็นจริงๆ ทว่าตั้งแต่เธอกลับมาเกิดใหม่เธอคิดจะเปลี่ยนตัวเองและพูดมากขึ้น
ตลอดทั้งเช้านี้ซูวเป็นคนเดียวที่พูด และเธอก็พูดไม่หยุดเลยจึง จึงพยายามจะตอบกลับเธออย่างสุภาพด้วยคําพูดประโยคสองประโยคทว่าจิงจิงรู้แล้วว่าซูวชอบพูดไปเรื่อยเปื่อยและนอกเรื่อง เธอทั้งสองคนมักจะไม่ค่อยชอบพูดเรื่องเดียวกันสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงจึง จึงทําได้เพียงตอบกลับซูวด้วยการพยักหน้าก็เท่านั้น และจบลงด้วยการรับบทเป็นผู้ฟังเงียบๆ
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จพวกเขาทั้งสองคนก็พากันออกไปโรงเรียน
แสงแดดนั้นสว่างไสวและปลอบโยนเหมือนกับว่ามันอยากแสดงความยินดีให้กับชีวิตใหม่ของเธอ
“ดู! ดูนั่นสิ นั่นจิงหยุนเฉา!” มีคนพูดกันเสียงเบาทันทีที่จิงจิงก้าวเข้ามาในโรงเรียน
” เมื่อวานนี้หลังจากที่เฉียวหงเย่กลับมาที่ห้องเรียนเธอร้องไห้ไม่หยุดเลย! ฉันถามเธออยู่นานว่าเกิดอะไรขึ้น เธอตอบว่าจริงๆแล้วจิ๋วหยุนเฉาไม่ใช่ลูกแท้ๆของแม่เธอ แต่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง! พ่อของหงเย่ยังมาโวยวายและสร้างความเสียหายให้แก่โรง เรียนอีกด้วย!พวกเขาไปยังสถานีตํารวจด้วยกันด้วยซ้ําผลสรุปคือจึงหยุนเฉาตัดสินใจออกจากบ้านตระกูลเฉียวและตัดความสัมพันธ์กับทุกคนในตระกูลเฉียว!” เด็กสาวคนหนึ่งกระซิบเบาๆ
เธอไม่ได้พูดเสียงดังนัก ทว่าเด็กคนอื่นๆ ที่ยืนถัดออกไปทุกคนต่างได้ยินข้อความในประโยคนี้อย่างชัดเจน
จิงจิงมองไปที่เด็กสาวคนนั้น เธอประทับใจที่หล่อนพูดเช่นนั้น
โรงเรียนซินฮงเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดและมีชื่อเสียงที่สุด ในมณฑลฮัวหมิงเด็กนักเรียนมากมายอยากเข้าเรียนที่นี่ เด็กคน นั้นยืนอยู่หน้าห้องเรียนที่หนึ่งของตึกซึ่งจิงจิงยืนอยู่ห้องที่สอง งมาไม่ไกลเท่าไหร่
ห้องเรียนประจําชั้นของเธอและหล่อนอยู่ข้างๆกันซึ่งเธอสองคนมักจะถูกเปรียบเทียบกันอยู่เสมอ จิงจิงจําได้ว่าเด็กคนนี้ชื่อลู่เจียเด็กคนนี้น่าจะเป็นเด็กที่พูดเก่งที่สุดแล้วก็ว่าได้และมักจะคอยอยู่ใกล้ๆเฉียวหงเย่เสมอ ลู่เจียทําเหมือนว่าจึงหยุนเฉาเป็นศัตรูและแค้นเธอมากและพยายามล้างแค้นให้หงเย่อยู่ตลอดเวลาและนั่นก็ทําให้ลู่เจียจ้องจะทําร้ายจิงจิงอยู่ตลอดเวลา
และตอนนี้ลู่เจียก็ทําตัวเหมือเดิม แม้ว่าในตอนนี้เธอเห็นจิงจิงเดินมาแล้วแต่เธอก็ภูมิใจที่จะพูดจาถากถางอยู่ดี
“บางคนนี่ก็แปลกนะ! คิดว่าตัวเองมีเกรดที่ดีก็คิดว่าจะทําอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ! อยากออกจากครอบครัวที่เลี้ยงตัวเองมาจนโตก็ออกอย่างนั้นเหรอ!แม้ว่าคนพวกนั้นจะไม่ใช่พ่อแม่ที่ให้กําเนิดตัวเองมาแต่เขาก็มีพระคุณที่เลี้ยงดูเธอมาจนโต มีพระคุณยิ่ง กว่าพ่อแม่แท้ๆที่คลอดออกมาแล้วก็ไม่เลี้ยงเธอไม่ใช่เหรอ!? หึฉันไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายแบบนี้มาก่อน!หน้าด้าน!”