แสงสว่างแผ่ขยายออกไป
‘แม่มด’ที่เคยรับการโจมตีทุกอย่างจนถึงตอนนี้ได้อย่างไม่หวั่นไหว แสดงให้เห็นถึงสีหน้าเจ็บปวดและส่งเสียงกรีดร้อง
ทั้งๆที่มันไม่ควรที่จะมีร่างเนื้อขึ้นมาได้แท้ๆ แสงจากจิตใจมนุษย์กลับสามารถทะลวงผ่านข้อจำกัดนั้นไปได้อย่างง่ายดาย
สำหรับเอลริสที่เคยเป็นร่างสถิตของพลังแม่มดอยู่ชั่วครู่หนึ่ง สามารถที่จะคิดทฤษฎีออกมาได้
ถึงแม้เอลริสจะตายลงไม่นานหลังจากที่ดูดซับพลังแม่มดเข้าไป จิตสำนึกและความทรงจำของมันก็ยังถูกส่งผ่านมาหาเธอด้วย ถึงจะไม่มากก็เถอะ
ตัวตนที่แท้จริงของ”เจ้าแม่มด”ก็คือความรู้สึกด้านลบที่ถูกบ่มเพาะมาโดยแม่มดหลายรุ่น
เริ่มจากแม่มดคนแรก อีฟ ซึ่งเสียสติไปจากการดูดซับพลังเวทย์จำนวนมากเข้ามาในร่าง ย้อมจิตใจของเธอไปด้วยความมืดมิด
หลังจากที่เธอตายไป ความมืดมิดในจิตใจนั้นได้หลอมรวมเข้ากับพลังเวทย์ของเธอ และยังคงตกค้างอยู่ในโลกนี้ ค้าหาร่างสถิตใหม่ที่เหมาะสม ซึ่งก็คือเซนต์นั่นเอง
วนอยู่อย่างนี้ไปกว่าพันปี “แม่มด”เติบโตขึ้นทุกครั้งที่มันถูกดูดซับเข้าไปในร่างของเซนต์คนใหม่และเปลี่ยนเธอให้กลายเป็นแม่มด
มันคือความรู้สึกด้านลบที่มีชีวิต ไม่ว่าจะใช้เวทมนตร์ประเภทไหนก็ไม่สามารถทำลายมันได้
หากมีความโกรธเกลียดในจิตใจ ถึงร่างกายจะตายลง ก็ไม่ได้แปลว่าความโกรธเกลียดนั้นจะหายไปด้วย
หากมีความอิจฉาริษยาในจิตใจ ถ้าถูกฆ่าตายโดยคนที่เหนือกว่าตน ความอิจฉาริษยานั้นก็ยังจะคงอยู่
จุดกำเนิดของแม่มดนั้นตั้งแต่แรกแล้วก็มาจากความผิดหวังในมวลมนุษยชาติ
แก่นแท้ของแม่มดนั้นกำเนิดจากความคิดที่ว่า มนุษยชาตินั้นไม่ควรค่าแก่การปกป้อง
ความกลัวและความเกลียดชังที่ผู้คนมีต่อแม่มดมีแต่จะทำให้มันยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ จนมาถึงจุดที่มนุษย์ไม่สามารถต่อกรกับมันไหว
ถ้าอย่างนั้น ต้องใช้การโจมตีแบบไหนจึงจะสามารถทำร้ายแม่มดได้ล่ะ?
เรื่องนั้นก็ง่ายๆ ศัตรูตามธรรมชาติของ”แม่มด”เลยก็คือ ความรู้สึกด้านบวก
สมมติว่า เมื่อถูกใครสักคนทำร้าย ก็เป็นปกติที่จะรู้สึกเกลียดชังคนคนนั้น
แต่ถ้าใครคนนั้นเสี่ยงชีวิตตนและช่วยตัวเองเอาไว้ ความเกลียดชังนั้นก็จะลดน้อยลง และทดแทนด้วยความซาบซึ้งแทน
มันก็เหมือนกับคนที่เกลียดพริกในตอนที่ยังเด็ก แต่โตมาแล้วพบว่าเป็นคนชอบอาหารเผ็ด
ความเกลียดสามารถเปลี่ยนเป็นความชอบได้ ในทางกลับกันเองก็ด้วย
ความรู้สึกเดิมจะจางหายไปหากมีความรู้สึกด้านตรงข้ามเข้ามาแทนที่
หากแก่นแท้ของแม่มดคือความผิดหวังในมนุษยชาติ ถ้าอย่างนั้นก็แค่ต้องแสดงให้มันเห็นถึงสิ่งที่ตรงข้ามกันซะ
แสดงให้มันเห็นว่ามนุษยชาตินั้นคู่ควรที่จะคงอยู่
มันไม่ได้มีแต่ความมืดเท่านั้น แสงสว่างเองก็มีอยู่
…เอาจริงๆคือเอลริสไม่ได้รู้ห่าเหวอะไรเลย ไอ้แสงนี่มันจ้าเกินสำหรับเธอเฉยๆ เลยจะรีบขว้างมันทิ้งให้มันเสร็จๆไปซะ
“มันกำลังเจ็บปวด…ทั้งๆที่มันไม่ได้ตอบสนองอะไรเลยจนถึงตอนนี้แท้ๆ…”
เวอร์เนลจ้องมองสีหน้าเจ็บปวดของแม่มดด้วยความตื่นเต้น
แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแม่มดที่ไร้เทียมทานจนถึงตอนนี้ถึงแสดงท่าทีแบบนั้นออกมาได้
ตั้งแต่แรกแล้ว การรวบรวมความรู้สึกในแง่บวกจากจิตใจมนุษย์และโยนมันออกไปเป็นท่าไม้ตายนั้นอยู่เหนือจินตนาการของเขาไปมาก
“สิ่งที่ทำให้เธอกลายเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกก็คือจิตใจของมนุษย์ค่ะ ความชั่วร้ายในจิตใจมนุษย์สร้างแม่มดขึ้นมา ส่งผลให้เธอบ้าคลั่งและพยายามที่จะย้อมโลกใบนี้ด้วยความมืด…เป็นผลลัพท์ก่อให้เกิดความเกลียดชังและหวาดกลัวในจิตใจของผู้คนยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ นั่นยิ่งทำให้ความมืดของแม่มดยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนผ่านมาแล้วกว่าหนึ่งพันปีและกลายเป็นเช่นนี้”
จะให้บอกไปว่า “ไอ้แสงนี่มันจ้าเกินสำหรับชั้นอ่ะ เกือบโดนชำระล้างแล้วแน่ะ ทีนี้ก็เลยเอามาปั้นรวมๆกันแล้วก็ขว้างออกไปไกลๆตีน” ก็คงจะทำให้ดูแย่น่ะนะ ก็เอาเป็นว่าตอบไปประมาณนี้แหละ
“จิตใจของมนุษย์ทั้งหลายย้อมโลกใบนี้ไว้ด้วยความมืดมิด…แต่ในทางกลับกัน จิตใจเองก็สามารถนำมาซึ่งแสงสว่างได้เช่นกันค่ะ แสงสว่างจากจิตใจของทุกๆคนในโลก…จากจิตใจที่มีความหวังต่อวันพรุ่งนี้ จิตใจที่ยินดีกับการมีชีวิตอยู่ ที่ชั้นต้องทำก็เพียงแค่ผลักดันแสงเหล่านั้นเข้าใส่’แม่มด’ก็เท่านั้นค่ะ”
ก็อธิบายแบบลวกๆพอให้เข้าใจได้ เอาเป็นว่าถ้าทำให้มองเธอเป็นคนดีได้ก็โอเคแล้ว
เอาจริงๆมันก็คือการเอาความรู้สึกด้านบวกของคนอื่นๆไปโยนทิ้งอ่ะนะ แต่พูดในรูปแบบที่ทำให้เธอดูดีเท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้น เอลริสเองก็ลอยอยู่บนท้องฟ้า ท่ามกลางสายตาของผู้คนจำนวนมาก
ต้องไม่ลืมใส่เอฟเฟ็กต์เอาใจผู้ชมด้วย
“หากผู้คนเอาแต่ผลักความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับเซนต์ ก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนไปค่ะ ถ้าหากต้องการที่จะเปลี่ยนโลกล่ะก็ ทุกๆคนที่ยังคงอยู่…ก็จะต้องลุกขึ้นสู้ด้วยตนเองค่ะ เพราะฉะนั้น ทุกคนคะ—ถึงเวลาลุกขึ้นสู้แล้วค่ะ!”
แปล “อย่าผลักภาระมาให้ตูหมดดิ ช่วยๆกันสู้บ้างดิเฮ้ย”
มันชัดเจนแล้วว่าความรู้สึกด้านบวกจากจิตใจผู้คนนั้นเป็นอาวุธที่ได้ผลที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็แค่ต้องทำมันอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อเสริมพลังเข้าไปอีก จึงต้องปลุกเร้าให้ผู้คนมีความคิดในแง่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าผู้คนจะคล้อยตามคำพูดของเอลริส สายตาของพวกเขาลุกโชนพร้อมกับยืนขึ้น
“ใช่แล้ว! เราจะปล่อยให้คนคนเดียวปกป้องเราไปตลอดไม่ได้หรอก เราจะต้องปกป้องสิ่งสำคัญของตนเองด้วยน้ำมือของเรา!”
ทันทีที่ใครสักคนพูดเช่นนั้น แสงก็เปล่งขึ้นจากอกของเขาและลอยไปหาเอลริส
“เราจะไปถึงพรุ่งนี้ด้วยกันจากน้ำแรงของทุกๆคน!”
คนที่สองและคนที่สามก็ตามมา
ไม่สิ ไม่ใช่แค่นั้น
ทุกๆคนต่างลุกขึ้นยืนและส่งแสงของตนเองไปหาเอลริส
ความกล้า มิตรภาพ ความยุติธรรม ความเมตตา ความเห็นใจ…และความรัก
ความรู้สึกด้านบวกเหล่านั้นถูกส่งออกไปพร้อมกับพลังเวทย์ และถาโถมเข้าหาเอลริส
กิย๊าาาา! เยอะเกินไปแล้วเว้ย!
คลื่นที่สร้างจากแสงพุ่งเข้าใส่เอลริส ทำเอาจิตใจที่เหมือนกับซอมบี้ของเธอแทบจะโดนเผาผลาญในทันที
ขาของเธอเซเล็กน้อยและล้มลง แต่ก็ถูกเวอร์เนลประคองไว้ได้ทัน
ก็ขอบคุณอยู่หรอกที่ช่วยน่ะ แต่ความรักจากเวอร์เนลที่ไหลเข้ามายิ่งสร้างความเสียหายหนักเข้าไปอีก
ถึงอย่างนั้น เอลริสก็ยิ้มออกมา และหันไปพยักหน้าให้กับเวอร์เนล
“เท่านี้…”
“ก็จบแล้วค่ะ!!!”[รับไปซะ! บอลเกงกิ!]
เอลริสและเวอร์เนลตะโกนขึ้นพร้อมกัน ปลดปล่อยลำแสงนั้นเข้าใส่แม่มด
แม่มดที่ถูกการโจมตีนั้นเข้าโดยตรงได้แต่กรีดร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง
เมฆและฝุ่นควันถูกเป่ากระจายออกจากแรงกระแทก เสียงโห่ร้องของผู้คนดังก้องไปทั่ว
ที่หลงเหลืออยู่ ณ จุดนั้น คือร่างของคนคนหนึ่ง
“นั่นมัน…ท่านแม่…?”
อัลเฟรียเข่าอ่อนและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
ร่างของผู้หญิงคนหนึ่งที่เปียกปอนไปด้วยหมึกสีดำ
การโจมตีเมื่อครู่ปัดเป่าความรู้สึกด้านลบออกจนสลายหายไปแล้ว
ร่างนั้นพยายามที่จะคลานเข้าหาเอลริส มันส่งเสียงร้องประหลาดออกมาคล้ายแมวกำลังจะตาย
เอลริสลูบหัวของเศษเสี้ยวที่หลงเหลือจากแม่มดคนแรกอย่างแผ่วเบา
จากนั้นถึงส่งความรู้สึกด้านบวกเข้าไปหาเธอโดยตรง
“ไม่เป็นไรแล้วค่ะ…คุณไม่ต้องมาเจ็บปวดอีกแล้วนะ เพราะอย่างนั้น…ขอให้หลับฝันดีนะคะ”
“…โอะ โอว…”
และแล้ว”แม่มด”ก็สลายหายไป
ทุกๆคนที่ได้เห็นฉากนั้นต่างตะโกนสุดเสียงด้วยความปลาบปลื้มยินดี เสียงชมเชยและบูชาเอลริสดังก้องไปทั่ว
มันจบ…แล้วจริงๆสินะ
วังวนที่อยู่มายาวนานกว่าพันปีได้จบลงอย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ
แม่มดจะไม่ถือกำเนิดขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตำแหน่งเสียสละอย่างเซนต์อีกแล้ว
ตั้งแต่นี้ไป มนุษยชาติจะไขว่คว้าอนาคตมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเอง
หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจ เอลริสลุกขึ้นยืนพร้อมสัมผัสได้ถึงสายลมที่โชยมาเบาๆ จากนั้นจึงมองไปยังเลย์ล่า
เอาล่ะ…ทีนี้จะบอกเลย์ล่ายังไงดีล่ะเนี่ยว่าเธอกำลังจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมง
ถ้าตามปกติเธอคงจะคิดว่า”เดี๋ยวก็ทำใจได้เองล่ะน่า” แต่ตอนนี้คงจะคิดแบบนั้นไม่ได้แล้ว
ความรักของเลย์ล่านี่ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีกจากการต่อสู้เมื่อครู่
เพราะอย่างนั้นจึงเป็นสถานการณ์ที่ไม่ดียังไงล่ะ
ถ้าเธอตายไปล่ะก็ ถึงโลกจะสงบสุขแล้ว เลย์ล่าก็คงจะใจสลายอยู่ดี
แต่เอลริสไม่มีแม้กระทั่งเวลาเหลือพอที่จะคิดคำพูด
ในชั่วพริบตาที่เธอผ่อนคลายลง เธอก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แล่นผ่านหน้าอก พร้อมกับล้มตัวลงคุกเข่า
อายุขัยของเอลริสนั้นควรจะเหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง
แต่ทั้งร่างกายและจิตใจของเธอต้องรับภาระอย่างหนักจากการต่อสู้
ถ้าจะพูดล่ะก็ เวลาที่เธอมีเหลืออยู่จริงๆนั้นมีแค่ไม่เกินสิบนาทีเท่านั้น
เลย์ล่ารีบเข้ามาประคองร่างของเอลริสที่นั่งอยู่กับพื้น สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าและความกลัว
“ใครก็ได้…ใครก็ได้ช่วยท่านเอลริสทีค่ะ! ใครที่ใช้เวทย์รักษาได้ เร็วเข้า!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องของเลย์ล่า อัศวินหลายคนก็รีบตรงเข้ามาเพื่อร่ายเวทย์รักษา
แต่นั่นก็ไร้ประโยชน์ ที่เอลริสเป็นเช่นนี้นั้นไม่ได้เกิดจากบาดแผลอะไร
ตั้งแต่แรกแล้ว ถ้าเวทย์รักษามันได้ผลล่ะก็ เธอก็คงจะใช้กับตัวเองจนเสร็จไปแล้ว
เอลริสพยายามที่จะคงสติเอาไว้ให้ได้ และพยายามที่จะลืมตาตื่นเข้าไว้
ถ้าเธอต้องมาตายในอ้อมอกของเลย์ล่าสองครั้งติดล่ะก็ เลย์ล่าคงจะได้ฆ่าตัวตายตามแน่ๆ
เธอไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้วกับความตายของตนเอง
ถึงจะตายไปก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
นี่จึงเป็นครั้งแรกเลย ที่เธอคิดขึ้นมาว่า “ยังไม่อยากตาย”
ไม่ใช่เพื่อตนเอง…แต่เพื่อคนที่จะเศร้าโศกกับการจากไปของเธอ ด้วยเหตุผลนั้น เธอจึงไม่ต้องการที่จะตาย
แต่อัตราการเต้นของหัวใจนั้นมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเอลริสกำลังจะตายในอีกไม่นาน ถึงแม้จะไม่ต้องการก็ตาม
…แย่ล่ะ เสียง…ไม่ยอมออกมา
เธอพยายามที่จะพูดอะไรสักอย่างกับเลย์ล่า แต่กลับไม่สามารถส่งเสียงออกไปได้ด้วยซ้ำ
ถ้าเธอตายตอนนี้ เลย์ล่าคงจะฆ่าตัวตายตามไปแหงเลย
ตัวเธอในสภาพนี้ไม่สามารถแม้กระทั่งจะพูดโน้มน้าวเลย์ล่าให้เปลี่ยนใจได้ ทำได้เพียงไอออกมา
ไม่นานนัก สีหน้าของเลย์ล่าก็เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแบบปลงชีวิต และเธอจึงหันมากอดเอลริส
“ท่านเอลริสคะ…ไม่ต้องห่วงนะคะ ท่านจะไม่ได้ไปอย่างเดียวดาย ดิฉันจะติดตามท่านไปด้วยค่ะ…ขอให้ท่านทำใจให้สบาย”
‘ใจเย็นๆค่ะสต๊อกโกะซัง! ทำใจให้ร่มๆนะคะ อย่าวู่วามค่ะ! นั่นไม่ทำให้ชั้นรู้สึกสบายแต่อย่างใดเลยนะคะ! แล้วทำไมเสียงในความคิดของชั้นถึงกลายเป็นสุภาพไปด้วยล่ะคะเนี่ย?!’
การประกาศฆ่าตัวตายตามของเลย์ล่าไม่ได้ทำให้เอลริสใจสงบแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าพิษร้าย(แสงจากจิตใจ)จะส่งผลทำให้ความคิดในใจเธอเปลี่ยนไปด้วย
ถึงจะไม่โดนย้อมด้วยแสงสว่างอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าโดนชำระล้างไปส่วนหนึ่ง
เธอต้องพยายามที่จะไม่ตาย แต่นั่นน่ะมันพูดง่ายกว่าทำ
เธอพยายามที่จะสู้ความง่วงที่ค่อยๆเข้าครอบงำมาเรื่อยๆ ในจังหวะนั้นเอง เธอเหลือบไปเห็นโปรเฟตะผ่านทางหางตา
“เจ้านี่สุดยอดไปเลยนะเอลริส ข้ามีความหวังอยู่ว่าเจ้านี่ล่ะที่จะเป็นผู้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของโลกและหยุดวังวนเอาไว้ได้ แต่ก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะกลายเป็นจริง”
‘ขอบคุณมากค่ะ’
เอลริสในหัวทำท่าโค้งอย่างสุภาพ แต่ก็ยังสลัดความคิดว่าจะกันไม่ให้เลย์ล่าฆ่าตัวตายตามได้อย่างไรดีออกจากสมองไม่ได้
ไม่รู้ว่าอ่านความคิดของเธอออกรึเปล่า โปรเฟตะยังคงพูดต่อไป
“แม่มดจะไม่ปรากฏตัวมาอีกแล้ว…เซนต์เองก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้วเช่นกัน ถ้าอย่างนั้น ตัวตนที่มีไว้เพื่อทำนายการกำเนิดของเซนต์เองก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอีกต่อไป”
‘นั่นสินะคะ’
ในตอนที่คิดเช่นนั้น เอลริสก็ไม่สามารถทนความง่วงที่ถาโถมเข้าใส่ได้ไหว และหลับตาลง
เธอไม่มีแรงพอที่จะลืมตาตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
เธอยังรู้สึกได้ถึงน้ำตาของเลย์ล่าที่หยดลงบนผิวของเธอ แต่เธอก็ไม่มีแรงจะยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตานั้นให้ได้
“โอ้ ดูเหมือนนี่จะไม่ใช่เวลามาพูดอะไรยาวๆสินะ ถ้าอย่างนั้น ก็ให้ข้าได้ทำหน้าที่ของตัวข้าเสียหน่อยแล้วกัน ภายใต้นามแห่งโหรของโลก ข้าโปรเฟตะ…ขอเลือกให้เจ้า เอลริส เป็นโหรคนต่อไป!”
ทันทีที่มันพูดเช่นนั้น เอลริสก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างหลั่งไหลเข้ามาในร่างของเธอ
ความง่วงที่เคยครอบงำเธออยู่ถูกปัดหายไปราวกับไม่เคยมีมาก่อน
เอลริสลืมตาขึ้น จ้องมองไปยังฝ่ามือของตัวเองที่กำเข้าแบออกซ้ำไปซ้ำมา
เมื่อรู้สึกตัวอีกที เธอก็ถูกผลักลงสู่พื้นจากการพุ่งเข้ากอดของเลย์ล่าที่อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกเหลือล้น
_____
เหลืออีกสามตอน