บทที่ 37 หนี้ของครอบครัว[รีไรท์]
“ในเมื่อพวกคุณพูดไม่รู้เรื่อง งั้นมาว่ากันตามกฎหมายเลย ผมจะให้เงินพวกคุณเท่าไหร่มันก็เรื่องของผม” ฉู่เหินเหลือบมองซูวี่เหมย พี่สะใภ้ของเขา
ฉู่เหินเห็นแววความเกลียดชังในแววตาของซูวี่เหมย ถึงแม้ป้าจะเป็นคนชุบเลี้ยงเธอมา แต่ช่วงเวลาวัยเด็กที่ดีจริง ๆ กลับเป็นตอนที่ยายเธอยังมีชีวิตอยู่ พอคุณยายเสียชีวิตลง ซูวี่เหมยก็ไม่ต่างอะไรกับคนใช้ในบ้านป้าของเธอ พออายุสิบสามถึงสิบสี่ เธอก็เริ่มทำกับข้าวและซักผ้า ยังไม่ทันเรียนจบมัธยมศึกษาตอนต้น เธอก็ถูกบังคับให้กลับบ้านไปทำไร่ทำนาและช่วยงานป้า แต่ซูวี่เหมย ไม่เคยเกลียดป้าของเธอเลย แม้จะต้องทุกข์ทรมานและเหนื่อยยาก เธอก็ผ่านมันมาได้ ถ้าเธอไม่อดทน เธอก็จะตายไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้เธอจึงคอยเลี้ยงดูป้าราวกับเป็นแม่ตัวเองเรื่อยมา แต่ป้าของเธอช่างไร้หัวใจ การกระทำของป้าทำให้เธอใจสลายมาจนถึงวันนี้ ถ้าเธอคือคนที่ต้องทรมานก็ไม่เป็นไร แต่เธอทนไม่ได้ถ้าเป็นคนที่เธอรัก
หลังจากเห็นสีหน้าของพี่สะใภ้ ฉู่เหินก็คิดว่าเขาควรทำอะไรสักอย่าง แต่ถ้าเขาเป็นคนจัดการเอง แบบนั้นมันก็ออกจะดูเกินไปหน่อย เพราะงั้นแค่ต้องทำให้ซาอี้กลัวเขาก็พอแล้ว ดังนั้นคนที่ต้องจัดการเรื่องนี้ต้องเป็นคนที่รู้ว่าเมื่อไรควรหนักเมื่อไรควรเบา เมื่อคิดดูแล้ว ฉู่เหินก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดเบอร์เพื่อต่อสาย
“ผู้การเกาหรือเปล่าครับ นี่ฉู่เหินพูด ตอนนี้ผมอยู่ชั้นสิบห้า ตึกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลเทศบาล แผนกผู้ป่วยวิกฤติ ใช่ครับผมกำลังมีปัญหานิดหน่อย คุณมาช่วยเคลียร์หน่อยได้ไหม” หลังวางสาย ฉู่เหินก็หันไปมองหน้าซาอี๊แล้วยิ้ม
“ฉู่เหิน กลับไปก่อนเถอะ” ซูวี่เหมย กับหวงเจียนหมิงสื่อสารกันทางสายตาและเผลอมองไปที่ซาอี๊ พวกเขาบอกให้ฉู่เหินรีบกลับไป ฉู่เหินยังหนุ่มแน่นและใจร้อน พวกเขาอาจจะเจ็บตัวได้
“ฉันไม่ไปไหนทั้งนั้น ฉันจะขวางประตูอยู่นี่แหละ ถ้าอยากไป ก็ข้ามศพฉันไปก่อน ไม่งั้นก็จ่ายมาสองแสนหยวน” ฉู่เหินไม่สนใจคำพูดไร้สาระของซาอี๊ ระหว่างที่กำลังมีปากเสียงกัน นางพยาบาลเตรียมเข้ามาทำแผลให้หวงเจี้ยนหมิง แต่ซาอี๊เดินไปขวางประตู ไม่ให้พยาบาลเข็นรถยาเข้ามา
ฉู่เหินจะทำเป็นไม่สนใจแขนของพี่ชายที่กำลังเลือดไหลไม่ได้อยู่แล้ว เขาจึงเดินไปดึงหลังคอเสื้อของซาอี๊ เพื่อยกทั้งตัวของเธอขึ้นมา หลังจากพยาบาลเข็นรถยาเข้ามาได้แล้ว เขาก็วางตัวซาอี๊ลงเบา ๆ กับพื้นตามเดิม
ฉู่เหินไม่ได้ใช้แรงกับซาอี๊มากนัก ถ้าเธอบาดเจ็บขึ้นมา คงไม่ดีแน่ ถึงซาอี๊จะทำอะไรผิดพลาดหลายอย่าง ยังไงเธอก็เลี้ยงพี่สะใภ้ของเขามา ถึงฉู่เหินจะโกรธ แต่เขาก็ทำอะไรมากไม่ได้
หลังพยาบาลหมิงยามทำแผลให้ เลือดที่แขนของหวงเจี้ยนหมิงก็หยุดไหล แต่พยาบาลยังโกรธมาก “ฉันไม่รู้นะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอรู้ไหมว่าการดึงเข็มออกมาตามใจชอบแบบนี้มันอันตรายนะ” เมื่อพูดจบ พยาบาลก็เข็นรถออกไปตอนนี้คนที่ยืนดูอยู่ข้างนอกเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ทุกคนยืนชี้โบ้ชี้เบ้อยู่ด้านนอกและบอกว่าซาอี๊ไม่ควรทำแบบนี้ อีกฝ่ายติดหนี้จริงไหมไม่สำคัญ แต่เขาจะทำตัวแบบนี้ไม่ได้
เมื่อซาอี๊ได้ยินคนพูดคุยกัน หน้าของเธอก็ซีดลงเรื่อย ๆ เรื่องทั้งหมดบานปลายใหญ่โต ระหว่างที่กำลังโต้เถียงกันอยู่นั้นก็มีตำรวจใส่เครื่องแบบ สี่ถึงห้านายเดินเข้ามา
“คุณตำรวจมาก็ดีแล้ว มาตัดสินให้เราหน่อย คนบ้านนี้นอกจากจะเบี้ยวหนี้แล้วยังซ้อมคนอื่นด้วย โดนกันทั้งแม่ทั้งลูกเลย แค่มาทวงเงินเองทำไมต้องทำร้ายกันด้วย” ผู้การเกาที่เพิ่งพาลูกน้องมาก็ถูกซาอี้ขวางเอาไว้ จากนั้นยังพูดพล่ามเอาดีเข้าตัวกล่าวโทษฟ้าดิน
“ผู้การเกามาเร็วจังเลยนะครับ ที่วันนี้ผมเรียกคุณมาไม่ได้ต้องการจะให้คุณทำเรื่องไม่ดีแต่อย่างใด ที่นี่มีพยานหลายคน คุณสามารถตรวจสอบเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย หลังจากนั้นค่อยมาคุยกัน” พอหวงจินหมิงกับซูวี่เหมย เห็นตำรวจมาก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือไม่ แต่พวกเขาไม่นึกเลยว่าฉู่เหินกับคล้ายจะคุ้นเคยกับฝ่ายตรงข้ามมาก ดูเหมือนความสัมพันธ์ของทั้งสองจะไม่ธรรมดาอีกด้วย นี้ทำให้สองสามีภรรยาไม่รู้เลยว่านี้มันเรื่องอะไรกัน
“คุณฉู่ ไม่ต้องห่วงนะ ผมจะตัดสินอย่างเป็นธรรมแน่นอน” เมื่อผู้การเกาได้รับสายจากฉู่เหิน เขาก็เริ่มเหงื่อตก เขารู้ว่าไม่ควรจ้องหน้าหนุ่มคนนี้ถ้าไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว คนที่ขึ้นว่าเป็นพี่น้องกับพ่อจางเป็นคนปกติที่ไหนกันล่ะ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่เหินยิ้มเล็กน้อยและไม่ได้พูดอะไรมาก เขาไม่อยากให้คนคิดว่าเขาใช้อำนาจรังแกคนอื่น จริง ๆ แล้วฉู่เหินมีแผนสำหรับยุติเรื่องนี้แล้ว แต่ถ้าซาอี๊ยังไม่รู้ตัวว่าทำผิด เขาก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อ ผู้การเก๋าทำความเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมด ไม่นานนักเขาก็เข้าใจทุกอย่าง ผู้กองเก๋าก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเคยเห็นคนไม่รู้ความมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นคนไม่รู้ความเท่าซาอี้แบบนี้มาก่อน เธอไม่รู้หรือไงว่าเพื่อนแบบฉู่เหินถ้าไม่รักษาไว้ให้ดี ๆ ก็ไม่ควรเป็นศัตรูด้วย เรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้ โง่จริง ๆ
“สวัสดีครับ คุณซูเสี่ยวหลาน ผมไม่รู้ว่ามีคนสั่งให้คุณทำแบบนี้รึเปล่า ถ้ามีก็สารภาพมา ถ้าไม่มีคุณก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบ” หลังจากได้ยินผู้การเกากล่าวจบก็รู้สึกโง่งมไปเลย เดิมทีเธอตั้งใจจะมาคุยด้วยเหตุผล เธอจะกลายเป็นคนผิดได้อย่างไร หรือเป็นเธอเองที่หลอกตัวเองอยู่
เธอคิดว่าเธอเป็นคนเลี้ยงดูซูวี่เหมยมาเหมือนแม่ ปฏิบัติกับเธอดีทุกอย่าง อยากจะปฏิบัติกับเธออย่างไรก็ทำอย่างนั้นหรือว่าแม่ตีลูกสาวก็ผิดกัน
“อย่างแรกเลย ถ้าคุณส่งเสียงดังในโรงพยาบาลและทำลายทรัพย์สินสาธารณะ คุณก็ทำผิดกฎหมายแล้ว เรามีสิทธิ์จับคุณได้ ลูกคุณทำผิดข้อหาอาญา ถ้าอีกฝ่ายจะเอาผิดลูกคุณก็ต้องรับผิดชอบ แม้แต่ข้อหาเบากว่านี้ก็มีโทษจำคุกสามปี”
“ในส่วนของคุณฉู่ สิ่งที่เขาทำถือเป็นการป้องกันตัว ลูกชายของคุณไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร เขาทำได้มากสุดก็แค่ช่วยจ่ายค่ารักษา แปดสิบถึงหนึ่งร้อยหยวน ส่วนหนี้ที่คุณบอกก็ไม่มีจริง มันเป็นสิ่งที่ไม่สมเหตุสมผล พวกเขามีสิทธิ์จะปฏิเสธได้” หลังได้ยินผู้กองเกาพูดอย่างนั้น ซาอี้รู้สึกโง่งมไปชั่วขณะ คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เธอก่อจะทำให้เธอโดนจับ แต่มันเป็นอย่างนี้ได้อย่างไร ว่าแล้วเธอก็หันไปมองหน้าซูวี่เหมย ด้วยแววตาอ้อนวอน
“วี่เม่ย ยังไงเสียเขาก็เป็นลูกพี่ลูกน้องเธอ อย่าทำอย่างนี้กับเขาเลย เห็นแก่ป้าเถอะ อย่าให้ตำรวจจับเขาไปเลย” ซูวี่เหมย ใจอ่อนหลังได้ยินคำพูดของป้าซาง เธอรู้ว่าเรื่องควรจบเท่านี้
“เสี่ยวเหินพี่ว่าช่างมันเถอะ เราเองก็ไม่ได้เสียอะไรมาก”
“เสี่ยวเฉิน ฟังพี่สะใภ้เธอเถอะนะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแล้วพี่แข็งแรงอย่างกับวัว ไม่ต้องเอาเรื่องพวกเขาหรอก”
เมื่อได้ยินคำอ้อนวอนของพี่สะใภ้ ฉู่เหินพยักหน้า เขารู้อยู่ลึก ๆ มานานแล้วว่าผลต้องออกมาเป็นแบบนี้