บทที่ 979 แต่ละคนความคิดแตกต่างกันออกไป
บทที่ 979 แต่ละคนความคิดแตกต่างกันออกไป
“ขอบคุณคุณหนูหลี่ที่เป็นห่วง ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว รบกวนไปบอกกล่าวคุณหนูหยางด้วยว่า เรื่องนั้นเป็นเพียงอุบัติเหตุ อย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
หลังจากสิงเจียซือกล่าวคำเหล่านี้ หลี่เยียนหรานก็เอ่ยรับคำตามมารยาทสองสามครั้ง
เมื่อเอ่ยถึงคำพูดตามมารยาทแล้ว ผู้ทำการค้าไม่แพ้ผู้ใด ทั้งสองคนผลัดกันเอ่ยทีละคำสองคำ จู่ ๆ หลี่เยียนหรานพลันหมดคำพูดขึ้นมา นางที่เสแสร้งแกล้งทำอยู่เป็นนิจกลับไม่ต้องการอยู่ต่อ
“เซียงจวินเรียกข้าแล้ว ข้าไปก่อนละ คุณหนูห้า ภายหน้าหากมีโอกาส ท่านต้องมารวมตัวกันให้ได้นะ” หลี่เยียนหรานกล่าว
“แน่นอน” สิงเจียซือยิ้ม “หากภายหน้ามีอะไรไม่เข้าใจ ยังต้องขอคำแนะนำเพิ่มเติมจากคุณหนูหลี่ ท่านก็รู้ ข้าไม่ได้กลับมาเมืองหลวงนานหลายปีแล้ว จึงรู้จักคนไม่มากนัก”
เมื่อหยางเซียงจวินเห็นหลี่เยียนหรานเดินมาจึงเหลือบมองไปทางสิงเจียซือแล้วเอ่ยถาม “เจ้ากับนางมีอะไรให้คุยกัน?”
“ใบหน้าของนางกลายเป็นเช่นนั้น ตอนนี้มีข่าวลือไม่ดีมากมายแพร่สะพัด พวกเรายังต้องดูสนิทสนมกับนางเพื่อแก้ข่าวลือ” หลี่เยียนหรานกล่าว
“ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่เคยได้ยินเรื่องสกุลสิงมาก่อนเสียหน่อย เรื่องยุ่งเหยิงปานนั้น พวกเราจะสนิทสนมกันได้อย่างไร?” หยางเซียงจวินกล่าวเหยียดหยาม “ไม่คู่ควรจริง ๆ เพียงเพื่อร้านร้านเดียวนั่น แม้กระทั่งชื่อเสียงตนเองยังไม่ต้องการ”
หลี่เยียนหรานยิ้มบาง ๆ แต่ไม่ได้กล่าวอะไร
ร้านแห่งเดียวไม่ได้สำคัญอะไรกับหยางเซียงจวินและสกุลหัว ทว่าในสายตาคนทั่วไปส่วนใหญ่แล้ว การสูญเงินหลายหมื่นตำลึงไม่ใช่จำนวนเพียงเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นนาง คงจะพยายามทุกวิถีทางนำมันกลับมาเช่นกัน แน่นอนว่านางจะไม่ทำให้เรื่องวุ่นวายใหญ่โตเช่นนี้ อย่างไรเสียนางก็สนใจเงินทอง ยิ่งไปกว่านั้นยังสนใจชื่อเสียงของตน นางย่อมไม่มีวันปล่อยให้ตนเสื่อมเสียชื่อเสียง
“จริงสิ เมื่อครู่ข้าให้คนไปสอบถามดูแล้วว่าใต้เท้าลู่น้อยอยู่ที่ใด” เมื่อเอ่ยถึงลู่ฉาวอวี่ ใบหน้าของหยางเซียงจวินก็เต็มไปด้วยความยินดี “ใต้เท้าลู่น้อยรักความสะอาด เขากำลังเล่นหมากรุกอยู่กับฉีเว่ยฟาง คุณชายสกุลฉีอยู่ที่ศาลาหลินอัน”
“เซียงจวิน ทางนั้นเป็นที่สำหรับบุรุษ ท่านอย่าได้เข้าไปยุ่งเลย” หลี่เยียนหรานกล่าว
“ข้าเพียงแค่อยากให้ใต้เท้าลู่น้อยรู้จักข้ามากขึ้นหน่อย เขาจะได้สนใจข้า” หยางเซียงจวินเอ่ย “ในเมื่อมีเพียงทำให้ใต้เท้าลู่น้อยประทับใจถึงจะได้แต่งเข้าสกุลลู่ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงใช้วิธีโง่ ๆ นี้แล้ว”
“พวกเจ้าดูสิ พี่หญิงสกุลทังเดินเข้าไปแล้ว…” เสียงพูดคุยดังขึ้นจากข้าง ๆ
หยางเซียงจวินและหลี่เยียนหรานได้ยินคำพูดนี้จึงหันไปมองทางสิงเจียซือ เป็นดังคาด คุณหนูสกุลทังเดินเข้าไปหาสิงเจียซือแล้ว
“เหตุใดพวกนางจึงพูดคุยหัวเราะกันได้อยู่เล่า?”
“นั่นน่ะสิ พี่หญิงสกุลทังกับคุณหนูสกุลสิงไม่ควรเห็นหน้าแล้วทะเลาะกันจะเป็นจะตายหรือ?”
สิงเจียซือกับคุณหนูสกุลทังกำลังพูดคุยสรวลเสเฮฮาอยู่จริง ๆ พวกนางไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำ คุณหนูสกุลทังผู้นั้นรูปโฉมงามเฉิดฉาย คราแรกยังนึกว่าจะพูดคุยได้ยาก นึกไม่ถึงว่านางจะใจกว้าง ไม่ทำให้สิงเจียซือลำบากใจแม้แต่น้อย
ส่วนสิงเจียซือนั้น เดิมทีก็ไม่คิดแต่งเข้าสกุลหัว แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจสิ่งที่เรียกว่า ‘ศัตรูหัวใจ’
“ท่าน เพื่อที่จะไม่ได้แต่งเข้าสกุลหัว ถึงกับทำให้ชื่อเสียงของตนด่างพร้อย ช่างมุ่นมั่นตั้งใจดีจริง ๆ” ทังหงซิ่วกล่าว
“คุณหนูทังไม่โมโหหรือ?”
“เหตุใดข้าต้องโมโห?” ทังหงซิ่วเอ่ย “ท่านไม่อยากแต่ง เขาไม่อยากแต่ง พวกท่านสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน ข้าควรจะดีใจ”
“คุณหนูทังไม่ร้อนใจเช่นนี้ หรือว่าจะได้รับข่าวดีอะไรมา?” มิเช่นนั้นนางคงไม่นิ่งเฉยเพียงนี้แน่
“ท่านช่างฉลาดจริง ๆ” ทังหงซิ่วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านพ่อข้าใกล้จะได้เลื่อนขั้นแล้ว อีกทั้งยังจะได้ติดตามใต้เท้าลู่น้อย ข้าได้ยินท่านพ่อบอกว่า วันนี้เขาจะไปหารือกับสกุลหัวเรื่องการหมั้นหมาย อีกทั้งใต้เท้าลู่น้อยยังจะคอยสนับสนุนเขาอีกแรง”
“ขอแสดงความยินดีด้วย” สิงเจียซือได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจ
นี่เป็นข่าวดี
สำหรับทังหงซิ่วเป็นข่าวดี แต่สำหรับนางแล้วเป็นยิ่งกว่าข่าวดีเสียอีก
ดูเหมือนว่านางไม่ต้องรีบร้อนจากไปยามนี้ อย่างไรเสียหากนางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในงานเลี้ยงสกุลหัว สกุลหัวคงเสียหน้า ภายหน้ายังต้องกลายเป็นศัตรูกันอีก
สิงเจียซือกับทังหงซิ่วพูดคุยกันอย่างออกรส คุณหนูผู้สูงศักดิ์คนอื่น ๆ กลับคิดว่าทั้งสองคนแปลกพิลึก จึงเดินเข้ามาใกล้พวกนางอย่างเงียบ ๆ ก่อนจะได้ยินพวกนางพูดคุยกันเรื่องเครื่องประดับที่เป็นที่นิยม เรื่องชาดและแป้งผัดหน้า ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
มู่ซืออวี่และซูจือหลิ่วมาปรากฏตัวพร้อมกับฝาแฝด
มีคนเอ่ยถามถึงคุณหนูรองลู่ มู่ซืออวี่จึงตอบยิ้ม ๆ ว่านางออกไปฝึกฝนวรยุทธ์แล้ว ส่วนจะกลับมาเมื่อใดนั้นก็ไม่รู้ได้
“พระชายาช่างรักคุณหนูรองลู่จริง ๆ”
“แม่นางน้อยสกุลเราล้วนไม่จำเป็นต้องถูกกักขังอยู่แต่บ้าน ไม่ว่าบ้านจะใหญ่เพียงใด นั่นก็ไม่ได้ใหญ่ไปกว่าใจคน ข้าอยากให้พวกเขาได้ทำตามใจต้องการ ดีกว่าล่ามข้อเท้าเล็ก ๆ นั่นไว้ เสียเวลารั้งอยู่ในที่เล็ก ๆ ดังนั้น การที่แม่นางน้อยสกุลเราจะแต่งงานจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งพวกนางก็ไม่ได้เป็นศรีภรรยาหรือมารดาที่ดีอะไร”
“พระชายาล้อเล่นแล้ว แม่นางสกุลลู่ผู้ใดบ้างไม่เยี่ยมยอด? คุณหนูธรรมดา ๆ เหล่านี้ของพวกเราเกรงว่าจะเทียบพวกนางไม่ได้”
“บุรุษสกุลลู่ไม่รับอนุ ลูกเขยสกุลลู่ก็ไม่อาจรับอนุเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เพียงเงื่อนไขข้อนี้ เกรงว่าจะทำให้บุรุษจากสกุลดี ๆ ไม่น้อยกลัวจนหนีไปแล้ว”
คนอื่น ๆ คล้อยตาม “หากแต่งแม่นางสกุลลู่เข้าจวนได้ ไม่ต้องเอ่ยถึงรับนางสนม แม้นต้องปฏิบัติต่อนางดั่งบรรพบุรุษตัวน้อย ๆ ก็เป็นเรื่องสมควร ผู้ใดจะกล้าทำให้เด็กที่ดีเช่นนี้ต้องคับข้องใจกัน”
มู่ซืออวี่ยิ้มน้อย ๆ เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเจียงจึงเอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “พี่หญิง นี่จะแยกจากข้าแล้วหรือ?”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงถวายคำนับแล้วเดินเข้ามาหามู่ซืออวี่ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงข้าง ๆ นาง “พระชายาไม่ตำหนิข้า ข้าก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว พระชายาก็รู้ ก่อนหน้านี้ไม่นาน…”
“เรื่องก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องเอ่ยถึง ตอนนี้พวกเราเอ่ยถึงเพียงเรื่องในวันนี้ วันนี้เป็นวันดีของสกุลหัว พวกเราต้องร่วมแสดงความยินดี” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่เอ่ยถึงเรื่องไม่น่ายินดี”
ฮูหยินผู้เฒ่าเจียงเห็นท่าทีของมู่ซืออวี่ที่มีต่อนางยังคงเป็นเช่นเคยจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สกุลเจียงและสกุลโม่บาดหมางกันแล้ว ท่าทีของมู่ซืออวี่ที่มีต่อทั้งสองสกุลสำคัญเป็นอย่างยิ่ง อย่างไรเสียท่าทีของนางก็หมายถึงท่าทีของท่านอ๋องลู่ บัดนี้ดูเหมือนว่าท่านอ๋องลู่ไม่ได้โกรธเคืองสกุลพวกเขา
เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้นกับสกุลโม่ งานเช่นนี้จึงไม่มีคนในสกุลโม่ออกมาปรากฏตัว อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเขาเห็นคนสกุลเจียง ทุกคนพลันนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ แต่ละคนได้แต่ทอดถอนใจ ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อสกุลเจียงก็เปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
ถึงอย่างไรก็รู้จักกันมานานปี พอจะบาดหมางกันก็บาดหมางกันขึ้นมาเสียได้ ทั้งยังทำให้สกุลโม่เดือดร้อน วิธีการนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าโหดเหี้ยม ทำได้เพียงเรียกว่าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต้องระมัดระวังในการผูกมิตรกับสกุลเช่นนี้ จะได้หลีกเลี่ยงไม่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองโดยไม่ได้ตั้งใจเข้าในสักวัน
“สาวน้อยห้าสกุลสิง” มู่ซืออวี่เห็นสิงเจียซือจึงส่งยิ้มแล้วกวักมือเรียกนาง “มานี่สิ”
สิงเจียซือรีบกล่าวขอตัวกับทังหงซิ่ว แล้วสาวเท้าเข้าไปหามู่ซืออวี่
“พระชายา”
“ใบหน้าเจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามอย่างห่วงใย
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองหน้ากันไปมา
สายตาของพวกเขาที่มองสิงเจียซือจำต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง
สิงเจียซือปีนป่ายขึ้นไปหาพระชายาลู่ตั้งแต่เมื่อใด? จำต้องรู้ว่าน้อยนักที่พระชายาลู่จะให้ความสนใจกับผู้เยาว์ โดยเฉพาะหลังจากลู่จื่อชิงออกจากเมืองหลวงไป แม้กระทั่งน้องหญิงพี่หญิงหลายคนที่เป็นสหายคุณหนูรองลู่ยังไม่ได้อยู่ในความสนใจของนาง วันนี้มีคนมากมายเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่านางจะสังเกตเห็นสิงเจียซือ อีกทั้งยังเรียกชื่อนางได้อย่างถูกต้อง หรือว่าสิงเจียซือมีจวนท่านอ๋องลู่คอยหนุนหลัง?