บทที่ 946 เกือบได้ไปเยี่ยมหลุมศพของเขาแล้ว
บทที่ 946 เกือบได้ไปเยี่ยมหลุมศพของเขาแล้ว
“อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” มู่ซืออวี่เอ่ย “เพียงแต่เกือบได้ไปเยี่ยมหลุมศพใต้เท้าฉีแล้ว”
ฉีเซียวเอ่ยอย่างสุขุม “ข้าดวงแข็ง หลายปีมานี้ใครก็พาข้าไปไม่ได้เสียที เห็นได้ชัดว่าคนชั่วอายุยืนนับพันปี ไม่ได้ตายง่ายเพียงนั้น”
ลู่อี้ยังจับต้นชนปลายไม่ได้
มู่ซืออวี่เล่าให้ฟังคร่าว ๆ
ลู่อี้ได้ยินแล้วจึงกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าดาบของใต้เท้าฉีจะไม่ได้อาบโลหิตมานาน หลายคนจึงหลงลืมความโหดเหี้ยมของใต้เท้าฉีเซียวแห่งหน่วยลับแล้ว”
“นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกท่านทั้งสองรีบกลับจวนเถิด ข้าไม่ส่งละ” ฉีเซียวเอ่ย “ต่อไปเป็นเรื่องของข้า ข้าจะจัดการเอง”
“ได้”
จู่ ๆ ฉีเซียวก็รั้งพวกเขาไว้ “ช้าก่อน ระยะนี้มีข่าวชิงเอ๋อร์หรือไม่?”
“หากเรามีข่าว ท่านก็ต้องมีข่าว หากท่านไม่มีข่าว เช่นนั้นพวกเราก็ไม่มีข่าวเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “สถานะอาจารย์ของท่านในใจนางไม่ได้ต่ำต้อย”
“อิจฉาแล้วหรือ?” ฉีเซียวหัวเราะน้อย ๆ
“ท่านยังหัวเราะออกอีก” มู่ซืออวี่มองเขาด้วยสายตาประหลาดใจ “มีคนคิดจะฆ่าท่าน นั่นหมายความว่ามีมือในเงามืดคิดจะกำจัด แล้วท่านยังหัวเราะอย่างมีความสุขเพียงนี้ได้อีกหรือ?”
“หากข้ามีฝีมือไม่สู้ผู้อื่น เช่นนั้นคงต้องพึ่งพวกท่านล้างแค้นให้ข้าแล้ว” ฉีเซียวกล่าว “เอาละ รีบไปเถอะ!”
ในรถม้า มู่ซืออวี่นอนอยู่บนตักของลู่อี้ นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้
“ดูเหมือนว่าช่วงนี้ข้าต้องจับตาดูเรื่องราวในเรือนพักผ่อนบนภูเขาแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “หากมีคนคิดจะยืมมือข้าทำร้ายผู้คนรอบกาย เช่นนั้นข้าจะเป็นเพชฌฆาตเสียเอง”
“ไม่ต้องกังวลไป ในเมื่อใต้เท้าฉีรู้แล้วว่ามีอันตรายรอบตัว เขาย่อมจัดการได้”
“บางทีหลายปีมานี้อาจสงบสุขมากเกินไป เราจึงหละหลวมต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา”
“ไม่ผิด หลายปีมานี้สงบสุขเกินไปจริง ๆ ทั้งที่ควรเตรียมตัวต่อภัยที่มักมายามสงบ แต่พวกเรากลับละเลยไป”
วันต่อมา มู่ซืออวี่เชิญหมอหลวงหลี่มาที่จวนลู่อ๋อง ขอให้เขาตรวจดูรอบ ๆ จวน ผลที่ได้นั้นดียิ่ง ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ อย่างไรเสียจวนลู่อ๋องก็เข้มงวดเสียจนแม้กระทั่งยุงก็ไม่อาจบินเข้ามาได้
นางขอให้หมอหลวงหลี่ไปตรวจดูจวนลู่เซวียนสักเที่ยว
“หมอหลวงหลี่ ท่านมีอะไรจะกล่าวก็กล่าวมาเถิด” สีหน้าของมู่ซืออวี่เคร่งขรึมขึ้นเมื่อเห็นหมอหลวงหลี่นิ่งเงียบไป “ทางน้องสามีข้ามีปัญหาอะไรหรือ?”
“พระชายา ได้ยินว่าใต้เท้าลู่เซวียนเคยอ่อนแอมาก่อน หลังจากรักษามาเป็นเวลาหลายปี ทั้งยังพบท่านหมอมามากมาย ในที่สุดเขาก็ฟื้นฟูสุขภาพกลับมาได้ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ฟื้นตัวแล้ว ร่างกายของเขาก็ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของบุรุษทั่วไป นี่เป็นความจริงหรือไม่?”
“ไม่ผิด” มู่ซืออวี่เอ่ย “สุขภาพของน้องสามีมีปัญหาอะไรหรือ?”
“ครั้งนี้หลังจากจับชีพจรบำรุงดูแล้ว ข้าน้อยพบว่าใต้เท้าลู่เซวียนกำลังกินยาอยู่ ยานั้นมีผลทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น ทว่ามันจะทำลายรากฐานของเขา เสมือนดึงพลังเขามาใช้ล่วงหน้า อีกเพียงไม่กี่ปี ร่างกายของเขาจะอ่อนแอลงมาก” หมอหลวงหลี่กล่าว “ข้าน้อยถามฮูหยินรองลู่ ฮูหยินรองบอกว่าเป็นยาที่หมอหลวงเฝิงจากสำนักหมอหลวงปรุงให้เขาเมื่อปีก่อน ทานแล้วได้ผลจริงจึงกินต่อเนื่องไม่หยุด”
“ยานั้นมีปัญหาหรือ?” มู่ซืออวี่ลุกขึ้นยืน มองเขาด้วยสายตาเฉียบคม
“ต่อร่างกายของใต้เท้าลู่เซวียนมีเพียงผลเสียไม่มีผลดีขอรับ”
“มีวิธีแก้ไขหรือไม่?”
หมอหลวงหลี่ถอนหายใจเบา ๆ “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ยานั้นกินมานานเกินไปจึงทำลายรากฐานของเขา พระชายาทำได้เพียงเขียนจดหมายถึงหุบเขาเทพโอสถ อธิบายสถานการณ์ตามความเป็นจริง ดูว่ามีวิธีแก้ไขหรือไม่แล้ว”
“เรื่องนี้ยังไม่ได้บอกฮูหยินรองกับนายท่านรองลู่กระมัง?”
“ยังขอรับ ข้าน้อยไม่รู้ว่าควรบอกหรือไม่ อยากแจ้งให้พระชายาทราบก่อนค่อยตัดสินใจขอรับ”
“ดี เช่นนั้นอย่าเพิ่งบอก ข้าต้องหารือกับท่านอ๋องเสียก่อน”
“ขอรับ”
“สองสามวันนี้ลำบากท่านแล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “เจ๋อหลาน ตกรางวัล”
เจ๋อหลานนำตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงออกมา
“นี่…” หมอหลวงหลี่เห็นจำนวนเงินบนตั๋วเงินแล้วก็รู้สึกเกินความคาดหมาย
“นี่เป็นสิ่งที่ท่านควรได้รับ หากท่านไม่พบมันเสียก่อน ทั้งใต้เท้าฉีเซียวและนายท่านรองลู่คงมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว ทักษะทางการแพทย์ของท่านดีมาก ข้าหวังว่าท่านจะเป็นหมอที่มีจิตใจเมตตาต่อไป ไม่ถูกโลกภายนอกทำให้หลงระเริงเอา”
“ข้าน้อยจะจดจำไว้”
หลังจากท่านหมอหลี่ไปแล้ว มู่ซืออวี่ก็เขียนจดหมายส่งไปยังเมืองถงหยางทันที
มู่เจิ้งหานเป็นผู้ปกครองเมืองถงหยาง อินอิ๋งจู๋ในฐานะภรรยาของมู่เจิ้งหานก็อยู่เคียงข้างเขา ทั้งสองให้กำเนิดบุตรสาวผู้หนึ่งอยู่ที่นั่น
อินอิ๋งจู๋มีฐานะเป็นเจ้าหุบเขาคนใหม่ของหุบเขาเทพโอสถ เรื่องนี้จึงต้องขอความช่วยเหลือจากนาง
หลังจากเขียนจดหมายแล้ว มู่ซืออวี่นึกถึงเรื่องร่างกายของลู่เซวียนแล้วไม่กล้ารอช้า นางให้คนไปเรียกลู่อี้กลับมาทันที
หนึ่งชั่วยามให้หลัง ลู่อี้ก็รุดกลับมาแล้ว
“ซืออวี่ เกิดอะไรขึ้น?” ลู่อี้เดินเข้ามา
หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน มู่ซืออวี่ย่อมไม่เรียกเขากลับจากราชสำนัก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แสดงให้เห็นว่าเรื่องนี้มีความเร่งด่วนมากเพียงใด
ลู่อี้ไม่ได้เรียกชื่อมู่ซืออวี่มาหลายปีแล้ว ครานี้เขากังวลเสียจนเรียกชื่อของนางออกมา
“มีเรื่องยุ่งยากเล็กน้อย ท่านใจเย็น ๆ ก่อน อย่าได้ตื่นตระหนกไป”
“เจ้าบอกมาเถอะ”
มู่ซืออวี่เล่าผลการตรวจของหมอหลวงหลี่ให้ลู่อี้ฟัง
สีหน้าของลู่อี้ไม่น่าดูชมขึ้นมาทันที แววตาของเขามืดมัว
มู่ซืออวี่กอดเขาเอาไว้ ค่อย ๆ ปลอบประโลมเขาให้สงบ
“ท่านใจเย็นก่อนเถิด”
“เขายังไม่รู้หรือ?”
ไม่ต้องเอ่ยถึง ‘เขา’ ในที่นี้ย่อมหมายถึงลู่เซวียน
“ข้าขอให้หมอหลวงหลี่ตรวจชีพจรของเขา หมอหลวงหลี่ยังไม่ได้บอกเขาเรื่องร่างกาย” มู่ซืออวี่กล่าวต่อไป “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ข้าไม่กล้าตัดสินใจเอง ต้องบอกท่านก่อน ข้าเขียนจดหมายถึงน้องสะใภ้แล้ว ขอให้นางส่งท่านหมอจากหุบเขาเทพโอสถที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้มา เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าทางนั้นพอมีวิธีหรือไม่”
“เหตุใดจู่ ๆ เจ้านึกอยากให้หมอหลวงหลี่จับชีพจรบำรุงของลู่เซวียนเล่า?”
“ใต้เท้าฉีที่ฉลาดเพียงนั้นยังได้รับความลำบากใหญ่หลวงเช่นนี้ ข้าไม่วางใจจึงขอให้หมอหลวงหลี่จับชีพจรของฉาวอวี่ก่อน จากนั้นจึงตรวจจือหลิ่ว แล้วตรวจฮั่วเอ๋อร์และหลีเอ๋อร์ ภายหลังจึงเป็นน้องรอง หมอหลี่ กล่าวว่ายาที่น้องรองกินนั้นหมอหลวงเฝิงเป็นคนจัดให้ หมอหลวงเฝิงผู้นั้นไม่ใช่คนของท่านหรือ? ไม่เช่นนั้น น้องรองคงไม่ไว้ใจเขาเพียงนั้น”
“ข้าจะไปตรวจสอบ” ลู่อี้เอ่ย “ครั้งนี้ต้องขอบคุณฮูหยินแล้ว มิเช่นนั้นพวกเราคงไม่ทันสังเกตเห็นเสียด้วยซ้ำ”
“ทางน้องรอง…”
“ร่างกายของเขา เขามีสิทธิ์ที่จะรับรู้” ลู่อี้เอ่ย “ข้าจะบอกเขาเอง”
“เช่นนั้นทางน้องสะใภ้รองข้าจะบอกเอง! นางเป็นภรรยาของน้องรอง สถานการณ์ของน้องรองไม่อาจปิดบังนางได้ มิเช่นนั้นก็เหมือนกับว่าไม่เห็นนางเป็นฝ่ายเดียวกัน” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่มีภรรยาคนใดจะยินดีที่ถูกปกปิดเรื่องนี้”
“ดี”
ลู่อี้กอดมู่ซืออวี่เอาไว้แน่น
“เจ้าเขียนจดหมายถึงชิงเอ๋อร์ที บอกให้นางกลับมาโดยด่วน มีคนคิดจะปองร้ายสกุลลู่เรา นังหนูคนนั้นอยู่ข้างนอกจะเป็นอันตราย” ลู่อี้เอ่ย “ส่วนฉาวจิ่ง เขาเปลี่ยนตัวตนเช่นนั้น กลับลดปัญหาได้มาก”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าชิงเอ๋อร์อยู่ที่ใด ทำได้เพียงลองส่งจดหมายไปยังที่อยู่ที่นางทิ้งไว้เมื่อคราวที่แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ย “ท่านเองก็ต้องระวังตัวด้วย”