บทที่ 1224 ตอนพิเศษ (88.1)
บทที่ 1224 ตอนพิเศษ (88.1)
ยามเย็น ณ ห้องโถงใหญ่
เมื่อลู่อี้กับมู่ซืออวี่เดินเข้าประตูมา ลูก ๆ ก็มาถึงแล้ว
ลูก ๆ ทุกคนยืนขึ้นทักทายพวกเขาทั้งสอง
“นี่เป็นบ้านตนเอง นั่งคุยกันเถอะ!” ลู่อี้กล่าว
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เจอบิดามารดามานาน ยามนี้เขามีบารมีมากขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับลู่อี้ตอนที่เพิ่งเข้าเมืองหลวงในตอนนั้น
เพียงแต่ ลู่ฉาวอวี่พบว่าพ่อแม่ของเขาดูแก่ขึ้นมากแล้ว
ความแก่นี้เป็นความแก่เมื่อเทียบกับพ่อแม่ที่ยังอ่อนวัยในความทรงจำของเขา ไม่ได้เทียบกับสหายรุ่นราวคราวเดียวกัน หากเทียบกับสหายรุ่นราวคราวเดียวกันแล้ว นับว่าบิดามารดาของเขาอยู่ในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์ เปี่ยมไปด้วยพลัง
ถัดจากลู่ฉาวอวี่เป็นสิงเจียซือ ถัดจากสิงเจียซือเป็นลู่จื่ออวิ๋นและลู่จื่อชิง เซี่ยเฉิงจิ่นนั่งทางฝั่งขวามือของลู่อี้ ที่นั่งอยู่ด้านขวาของเขาเป็นลู่ฉาวจิ่ง
แน่นอนว่า หลิวจิ่วจู๋ยังไม่ได้แต่งเข้าสกุลลู่ งานเลี้ยงครอบครัวนี้จึงไม่มีที่สำหรับนาง นับประสาอะไรกับนาง แม้กระทั่งซ่งหานจือว่าที่ลูกเขยที่ได้รับการยอมรับจากสกุลลู่ วันนี้ก็ยังไม่ได้อยู่ที่นี่
“ข้ากับแม่เจ้ามาที่นี่เพื่อหารือเรื่องการแต่งงานของพวกเจ้าโดยเฉพาะ เรื่องงานแต่งของชิงเอ๋อร์กับเจ้าเด็กสกุลซ่งไม่ต้องพูดแล้ว เพียงแค่ปฏิบัติตามธรรมเนียมก็พอ ส่วนฉาวจิ่งกับแม่นางสกุลถังผู้นั้น เพราะแม่นางสกุลถังมีสถานะพิเศษ ไม่ได้เติบใหญ่ในจวนถังกั๋วกง ดังนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปพบกับถังกั๋วกงสักเที่ยวด้วยตนเอง หารือรายละเอียดงานแต่งงานกับเขา”
“ขอบคุณท่านพ่อ” ลู่ฉาวจิ่งกล่าวอย่างทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“เจ้าเติบใหญ่แล้ว ภายหน้าไม่อาจอยู่ใต้ปีกบิดามารดาและพี่น้องอีกต่อไป นับจากนี้ไป เจ้าเป็นหัวหน้าครอบครัว จักต้องปกป้องคนสำคัญของเจ้าภายใต้ปีกของตัวเอง”
“ข้าเข้าใจแล้วขอรับ”
“ชิงเอ๋อร์” ลู่อี้เอ่ย “พี่สาวของเจ้าแต่งให้กับฮ่องเต้ผู้ปกครองแผ่นดิน ตอนนั้นจึงมอบสินเดิมให้นางมากไปเล็กน้อย ตามกฎแล้วสินเดิมของเจ้าไม่อาจมากเพียงนั้นได้ เพราะนั่นอยู่ในนามของอาณาจักร เพียงแต่ เจ้าก็เป็นลูกสาวสกุลลู่เราเช่นเดียวกัน จะปล่อยให้น้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ เอาอย่างนี้ เมื่อเทียบกับพี่สาวของเจ้าแล้ว พ่อจะให้ตั๋วเงินน้อยลงหนึ่งพันตำลึง ที่เหลือให้เช่นเดียวกับที่ให้พี่สาว”
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องพูดกับข้าให้มากความ ท่านให้มากน้อยเพียงใด ข้าก็เอามากน้อยเพียงนั้น อย่างไรทั้งชีวิตนี้ของข้าก็ได้มามากพอแล้ว” ลู่จื่อชิงกล่าว
“เจ้านี่นะ…” มู่ซืออวี่เอ่ย “ในบรรดาลูก ๆ เจ้าทำให้คนกังวลมากที่สุด”
“เป็นเพราะท่านพ่อท่านแม่รักข้า” ลู่จื่อชิงเอ่ย “พี่ชาย พี่หญิง รวมถึงน้องเล็กล้วนดีต่อข้า ข้าถึงได้ภาคภูมิใจที่ได้เป็นที่รักอย่างไรเล่า”
ลู่อี้จ้องมองนางตาเขียว “ข้าจะดูซิว่าเจ้าเด็กสกุลซ่งผู้นั้นจะทนเจ้าได้นานเพียงใด”
“หากเขาไม่อยากทน เช่นนั้นก็อย่าทน ข้าไม่ได้ให้เขาทนนี่ หากคนสองคนใช้ชีวิตด้วยกันแล้วต้องอดทน เช่นนั้นก็ควรใช้ชีวิตด้วยตนเองโดยเร็วที่สุด อย่าได้ฝืนใจตนเองเป็นอันขาด”
มู่ซืออวี่หัวเราะออกมา
ลู่จื่อชิงจึงมีนิสัยเช่นนี้
อันที่จริงในบรรดาลูก ๆ ลู่จื่อชิงเป็นผู้ที่โชคดีมากที่สุด
นางสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอิสรเสรี ไม่จำเป็นต้องอดกลั้น ไม่จำเป็นต้องถูกบังคับ เกรงว่าผู้หญิงยุคใหม่จำนวนมากก็ยังไม่มีจิตสำนึกและความกล้าหาญอย่างนาง
“อาหารเย็นหมดแล้ว” มู่ซืออวี่ที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้น “รายละเอียดพวกนี้ไว้ค่อยคุยกัน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนกระมัง? เด็ก ๆ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว กินข้าวกันก่อนเถิด”
“กินข้าว” ลู่อี้หยุดบทสนทนาที่ยังไม่จบลง
สกุลลู่ไม่มีกฎตายตัวว่าควรกินและนอนโดยไม่พูดคุย ลู่อี้จึงถามสถานการณ์ในเมืองหลวงอีกครั้ง เมื่อรู้ว่าทุกอย่างในเมืองหลวงเรียบร้อย ทุกคนต่างก็มีช่วงเวลาดี ๆ ลู่อี้ถึงได้วางใจ
“วันนี้ข้าไปที่สำนักราชเลขา ”
ลู่ฉาวอวี่ตอบรับ “ลูกรู้แล้วขอรับ พวกใต้เท้าเจี่ยงบอกแล้ว”
“เจ้าปลดขุนนางไปไม่น้อย ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเกลียดเจ้าหรือ?”
“ลูกพบว่าจำนวนขุนนางขั้นสูงในหกกรมนั้นไม่เกินจำนวนที่ราชสำนักกำหนด ทว่ากลับมีขุนนาง ‘วัชพืช’ จำนวนมากที่ไม่ได้ลงทะเบียน คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในบันทึก แต่ทุกเดือนราชสำนักจะต้องจัดสรรเงินจำนวนหนึ่งไปใช้กับพวกเขา ในเมื่อคนเหล่านี้สิ้นเปลือง ตำแหน่งก็ไม่ได้มีผลอะไรมาก เหตุใดจึงจะไม่ตัดหนวดไร้ประโยชน์ออกไปเล่าขอรับ”
“ความคิดของเจ้านั้นดี แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่ง่ายดาย” ลู่อี้กล่าว “น้ำนี้ลึกยิ่งนัก เกี่ยวข้องพัวพันเป็นวงกว้าง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าการตัดคนเหล่านี้ออกเป็นเรื่องง่าย ทว่าผลประโยชน์เบื้องหลังย่อมกระทบต่อคนจำนวนมาก เจ้าสามารถตัดหนวดไร้ประโยชน์เหล่านี้ออกไปได้ แต่จักต้องรู้วิธีเคี่ยวพวกมันช้า ๆ แทนที่จะทอดลงในกระทะโดยตรง…”
“พวกท่านสองคนพ่อลูกพูดจบแล้วหรือยัง?” มู่ซืออวี่ขัดจังหวะการสนทนา “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงกินไม่ได้แล้ว มิเช่นนั้นพวกท่านไปห้องตำรา หารือกันเสร็จแล้วค่อยกลับมากินข้าวเป็นอย่างไร?”
“ไม่พูดแล้ว แม่เจ้าโกรธแล้ว” ลู่อี้เอ่ย “อีกประเดี๋ยวไปห้องตำรา พวกเราค่อย ๆ พูดคุยเรื่องนี้กันอีกที”
“ขอรับ”
ลู่อี้มองลู่ฉาวจิ่ง “เจ้าแต่งงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่กับพี่ชาย ถึงตอนนั้นค่อยสร้างบ้านอีกหลัง”
“ท่านพ่อ ผู้อื่นล้วนอยู่ไม่แยกบ้านนะขอรับ”
“ครอบครัวเราไม่มีกฎนี้” ลู่อี้กล่าว “พี่ชายของเจ้ากับพี่สะใภ้ของเจ้าเป็นครอบครัวหนึ่ง เจ้ากับว่าที่ภรรยาของเจ้าก็เป็นครอบครัวหนึ่ง ภายหลังพวกเจ้ายังมีลูก ๆ ของตนเอง หากอาศัยอยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ย่อมมีเรื่องที่ไม่สะดวกอีกมาก พี่สะใภ้ของเจ้าอ่อนโยนมีคุณธรรม ว่าที่ภรรยาผู้นั้นของเจ้าเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ แต่ไม่ว่าคนจะดีเพียงใดก็ล้วนต้องการพื้นที่ของตนเอง อยากมีโลกที่เป็นของตนเองสักแห่ง”
“ท่านพ่อ อันที่จริงข้าไม่ได้ติดอะไร” สิงเจียซือเอ่ย “หากน้องสะใภ้ย้ายเข้ามา ข้ายังจะรู้สึกครึกครื้นมากขึ้น”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากลัวไม่ครึกครื้นจึงซื้อบ้านหลังข้าง ๆ ไว้แล้ว รอฉาวจิ่งแต่งงาน บ้านข้าง ๆ จะเป็นที่อยู่อาศัยของเขากับภรรยา พวกเจ้าอยากใกล้ชิดกันก็สามารถรื้อผนังตรงกลางออกแล้วทำประตูข้างได้ ยามปกติลงกลอนไว้ ให้แม่เจ้าออกแบบกลไกประตูข้างให้ มีเพียงพวกเจ้าสามีภรรยาสองคู่เท่านั้นที่เปิดได้ บ่าวรับใช้เปิดไม่ได้ เช่นนี้พวกเจ้าจะได้ไปมาหาสู่ได้สะดวก”
“ท่านหางานให้ข้าอีกแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว “เพียงแต่ความคิดนี้ไม่เลว ข้าลองทำดูได้”
หลังมื้ออาหาร มู่ซืออวี่ไปเดินเล่นในสวน พร้อมกับสิงเจียซือและลูกสาวทั้งสองคนของนาง
ท้องสิงเจียซือเริ่มโตแล้ว น้องสามีทั้งสองจึงคอยพยุงนางคนละฝั่ง
“ท่านแม่ คราวนี้ท่านกับท่านพ่อรั้งอยู่นานอีกหน่อยได้หรือไม่เจ้าคะ?” สิงเจียซือเอ่ยถาม
“รอเจ้าคลอดลูกแล้ว ข้ากับพ่อเจ้าจะออกเดินทางอีกครั้ง” มู่ซืออวี่กล่าว “ถึงเวลาที่ข้ากับพ่อของพวกเจ้าต้องใช้ชีวิตหลังเกษียณแล้ว ต่อไปพวกเจ้าก็ใช้ชีวิตของตัวเอง ไม่ต้องกังวลเรื่องพวกเรา”
“ท่านแม่ เช่นนั้นข้าเล่า? หากข้าคลอดลูก…”
“ยังไม่ทันได้แต่งงานก็คิดเรื่องมีลูกแล้วหรือ?” มู่ซืออวี่ยื่นนิ้วไปจิ้มหน้าผากลู่จื่อชิง “เจ้ารู้จักละอายหรือไม่?”
“ข้าไม่สน หากข้าคลอดลูก ท่านกับท่านพ่อจะต้องกลับมาอยู่กับข้า” ลู่จื่อชิงกล่าว “ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่คลอดแล้ว ข้าจะกลั้นเอาไว้!”
“ได้ จอมยุทธ์หญิงลู่จื่อชิง ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะกลั้นไว้อย่างไร วันนี้พี่สะใภ้เจ้ากับพี่สาวเจ้าอยู่ที่นี่ เจ้าพูดออกมาแล้วย่อมต้องรับผิดชอบคำตนเอง”
“ท่านแม่ ท่านรังแกข้า!”