บทที่ 1198 ตอนพิเศษ (75.1)
บทที่ 1198 ตอนพิเศษ (75.1)
ชูอีมองชายวัยกลางคนที่อยู่ข้าง ๆ ลู่จื่ออวิ๋นแล้วกล่าว “ขอบคุณ”
สิ้นคำ เขาก็คว้าข้อมือของชายวัยกลางคนพาเข้าไปในบ้านที่สร้างใหม่ในหมู่บ้านหลังนั้น
“คุณหนู ท่านเขยลืมท่านแล้ว” ติงเซียงเอ่ย “เกินไปแล้วจริง ๆ เจ้าค่ะ”
“เขาได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ มีชีวิตอยู่ก็นับว่าโชคดีแล้ว ความทรงจำที่หายไปสามารถฟื้นคืนมาได้ รูปร่างหน้าตาไม่ได้สำคัญเพียงนั้น ตอนนี้ข้าเพียงแค่อยากรอให้เขาค่อย ๆ จำได้”
“แต่เขาเมินเฉยต่อท่าน ท่านยิ่งเข้าใกล้เขา เขายิ่งซ่อนตัว” ไป๋จื่อกล่าว “หากท่านอ๋องกับพระชายารู้จักต้องเจ็บปวดใจเป็นแน่”
ลู่จื่ออวิ๋นนึกถึงพ่อแม่ของตน
มู่ซืออวี่กับลู่อวี้ค้นหาสถานที่ที่เป็นภูเขางดงามลำน้ำใสใช้ชีวิตอย่างสงบสุข พวกเขาท่องไปทั่วขุนเขาลำเนาไพรทุกวัน ผ่อนคลายสบายอุรา ทว่าหลังจากเห็นสถานการณ์ของเซี่ยเฉิงจิ่นก็กล่าวปลอบนางสองสามคำ บิดามารดารู้ว่านางอยากรั้งอยู่รอให้สามีค่อย ๆ ฟื้นความจำ ทั้งคู่จึงออกท่องเที่ยวต่อไป
“คุณหนู ยาขี้ผึ้งนี้รักษาแผลบนใบหน้าท่านเขยได้ หากท่านให้เขาใช้ รอยแผลเป็นของเขาย่อมถูกกำจัดไป” ไป๋จื่อเอายาขี้ผึ้งออกมาจากแขนเสื้อ “ไม่เช่นนั้น อย่าเพิ่งสนใจว่าเขาจะฟื้นความทรงจำกลับมาได้หรือไม่ แต่ให้เขาใช้ยาขี้ผึ้งก่อนเป็นอย่างไรเจ้าคะ”
“ตอนนี้เขาหวาดระแวงทุกคน ปกติข้าเข้าไปพูดคุยกับเขา เขายังไม่แม้แต่จะเงยหน้า เจ้าคิดว่าเขาจะเชื่อข้าหรือ?” ลู่จื่ออวิ๋นขมวดคิ้ว “เก็บยาขี้ผึ้งไว้ก่อน รอเขายินดีที่จะเชื่อใจข้า ข้าค่อยให้เขาใช้”
นายบ่าวทั้งสามกลับมายังบ้านพักของตนเองในหมู่บ้าน
หนึ่งชั่วยามให้หลัง เสียงท่านหมอก็ดังมาจากด้านนอก
ลู่จื่ออวิ๋นวิ่งออกไป เห็นท่านหมออยู่เพียงลำพัง ไม่เห็น ‘ชูอี’ แววตานางดูอับจนปัญญาขึ้นมา
ช่างเถิด
“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เฮ้อ ร่างกายของท่านป้าผู้นั้นเหลือเพียงเปลือกกลวงเปล่ามานานแล้ว ข้าว่าอย่างมากก็อยู่ได้เพียงสามเดือน…”
“ใช้ยาที่ดีที่สุดแก่นาง”
“ถึงแม้จะใช้ยาดีเพียงใด นั่นก็ไม่อาจขโมยคนจากวังพญายมได้”
“ฮูหยิน ท่านอย่าได้ทำให้ข้าลำบากใจเลย ข้าเป็นเพียงท่านหมอธรรมดา ๆ ผู้หนึ่ง”
ไป๋จื่อออกมาจ่ายเงิน
หลังจากท่านหมอไปแล้ว ไป๋จื่อก็เอ่ยขึ้น “ฮูหยิน หากท่านป้าผู้นั้นไม่อยู่แล้ว เกรงว่าท่านเขยจะเศร้าโศกใจยิ่งนะเจ้าคะ”
ติงเซียงถือตะกร้าผักเข้ามาในบ้านแล้วเอ่ยกับไป๋จื่อและลู่จื่ออวิ๋น “หน้าประตูมีกระต่ายป่าสองตัว พวกท่านวางไว้หรือ?”
“กระต่ายป่า?” ไป๋จื่อแปลกใจ “ตัวเป็น ๆ หรือตาย?”
“ตัวเป็น ๆ”
ติงเซียงวางตะกร้าผักลงแล้วออกไปเอากระต่ายป่าเข้ามา
กระต่ายสีขาวตัวหนึ่งและกระต่ายสีเทาตัวหนึ่ง กระต่ายทั้งสองตัวกระโดดโลดเต้นไปมา
ลู่จื่ออวิ๋นมองดูเถาวัลย์บนขากระต่ายแล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าผู้ใดวางไว้ ในเมื่อเขาส่งมาแล้ว เช่นนั้นก็เลี้ยงไว้เถิด ข้าจำได้ว่าด้านหลังมีกรงอยู่สองกรง เอาพวกมันไปใส่เถอะ!”
ชูอีเปิดประตูเข้ามา เห็นความเคลื่อนไหวของป้าหลินพอดีจึงรีบเก็บข้าวของแล้วเข้าไปประคองนางพลางเอ่ย “ท่านอย่าขยับ”
“ขอบคุณฮูหยินท่านนั้นแล้วหรือ?”
“ขอบคุณแล้วขอรับ” ชูอีกล่าว
“ขอบคุณด้วยตนเองหรือ?”
ชูอีนิ่งเงียบ
ป้าหลินจับมือเขาแล้วเอ่ยอย่างมีเมตตา “ข้ามองไม่เห็นแต่ก็สัมผัสได้ว่าฮูหยินผู้นั้นเป็นห่วงเจ้ามาก ได้ยินพี่หญิงผู้เฒ่าบ้านข้าง ๆ บอกว่า ฮูหยินผู้นั้นเดิมทีมีสามี เพียงแต่เกิดเรื่องขึ้นกับสามีของนาง เขาจึงไม่เคยกลับมา นางบอกว่าอีกฝ่ายคงจะเป็นแม่ม่ายผู้หนึ่ง ดูจากท่าทีของนางแล้ว นางสนใจเจ้าเป็นอย่างยิ่ง เหตุใดเจ้าจึงหลบหลีกผู้อื่นเขาเล่า?”
ชูอีขมวดคิ้วน้อย ๆ
ไม่รู้ด้วยเหตุใด ยามฮูหยินผู้นั้นเข้าใกล้เขา เขามักจะรู้สึกไม่สบายราวกับจับไข้ ทั้งร่างล้วนรู้สึกไม่ปกติ
“นางหน้าตางดงาม แต่ข้าหน้าตาอัปลักษณ์มาก”
“บุรุษไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องหน้าตา”
“หากท่านป้าเห็นนาง คงไม่เอ่ยคำพูดนี้” ชูอีเอ่ย “ข้าจับกระต่ายมาได้ คืนนี้พวกเรากินกระต่ายย่างเถอะ”
“ได้ เจ้าทำอะไรข้าก็กินอันนั้น นับตั้งแต่เจ้ามาที่บ้านข้า ชีวิตความเป็นอยู่ข้าดีขึ้นวันแล้ววันเล่า นับว่าได้รับพรแล้ว วันใดข้าจากไปก็ไม่มีอะไรอะไรให้ต้องเสียใจ”
“ท่านอย่าได้พูดจาเลื่อนเปื้อน”
“ข้าพูดจาเลื่อนเปื้อนที่ใดกัน? ร่างกายข้า ข้ารู้ดีแก่ใจ” ป้าหลินกล่าว “ท้องข้ารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย…”
นางเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา
“ข้าช่วยท่าน…”
“ข้ารู้สึกไม่สบายท้อง ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเร่งด่วนสามประการ วันนี้ข้าปวดขาเป็นพิเศษ อย่างไรก็เดินไม่ไหว เจ้าเป็นบุรุษตัวโตผู้หนึ่งจะเอาแต่พยุงข้าไปตลอดไม่ได้ เอาอย่างนี้เถิด เจ้าช่วยข้าไปหาญาติสตรีสักคนมา จะได้สะดวกหน่อย”
“นี่…” ชูอีลังเล
“โถ่เอ๊ย จะยุ่งยากเพียงใดกัน ไปตามฮูหยินบ้านข้าง ๆ ก็ใช้ได้แล้ว” ป้าหลินกล่าว “ข้างกายนางมีบ่าวรับใช้ติดตามมาสองคนกระมัง? เชิญบ่าวรับใช้สองคนนั้นมาช่วยก็ใช้ได้เช่นกัน”
ลู่จื่ออวิ๋นกำลังป้อนหญ้าให้กระต่ายในกรง ส่วนติงเซียงขึ้นเขาไปเก็บเห็ดและไป๋จื่อก็ออกไปซักผ้า
ตอนนั้นที่นางออกมาตามหา ‘เซี่ยเฉิงจิ่น’ พาคนมาไม่น้อย แต่เมื่อหาเขาพบ นางก็รู้ว่าต้องใช้เวลาระยะหนึ่งจึงส่งบ่าวรับใช้ทั้งหมดออกไป
ตอนนี้ที่นี่จึงมีเพียงสตรีสามคนเท่านั้น
“เข้าไปได้หรือไม่?” ชูอียืนอยู่ที่หน้าประตู
ประตูไม่ได้ปิดไว้ เขายืนอยู่ที่นั่น เห็นลู่จื่ออวิ๋นกำลังเล่นกับกระต่ายสองตัวเข้าพอดี
อาทิตย์สาดแสงลงบนใบหน้างามประณีตของนาง ผิวของนางเนียนละเอียด ดวงหน้าดุจดอกบัวตูม หากจะบอกว่าเป็นเทพธิดาจุติลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่เกินจริงนัก
ทันทีที่ลู่จื่ออวิ๋นหันกลับมา ชูอีก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นระรัวของตน
ดังคาด ขอเพียงได้ใกล้ชิดนาง ร่างกายเขาก็ไม่ปกติอีกต่อไป
เมื่อลู่จืออวิ๋นเห็นเขา แววตาของนางพลันเปล่งประกายขึ้นมา
นางลุกขึ้นยืน ถามเขายิ้ม ๆ ว่า “มีเรื่องอะไรหรือ?”
หากไม่มีเรื่อง เขาคงไม่รีบมาหานางเช่นนี้ นับตั้งแต่คนผู้นี้สูญเสียความทรงจำก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหมือนกับตัวเขาเลยสักนิด
คนเอาแต่ใจที่ตามติดหนึบนางก่อนหน้านี้ ราวกับเคยมีตัวตนอยู่ในความฝันเพียงเท่านั้น
“บ่าวรับใช้ทั้งสองของท่านอยู่หรือไม่?”
ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายวับ
นางนั่งลงไปอีกครั้ง หยิบหญ้าอ่อนข้าง ๆ ขึ้นมาแกล้งกระต่ายทั้งสองแล้วเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “พวกนางไม่อยู่ที่นี่”
ชูอีเห็นนางไม่ยิ้มแล้ว ไม่รู้ด้วยเหตุใดในใจจึงตื่นตระหนกขึ้นมา
เขาเดินเข้าไปในลานบ้าน เพิ่งเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เมื่อเห็นนางหันกลับมาจึงหยุดฝีเท้าลงอีกครั้ง
ลู่จืออวิ๋น “…”
ช่างใจเสาะเสียจริง
“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรหรือ?”
คราวนี้บนใบหน้านางไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้มน้อยนิดจะมอบให้เขาแล้ว
“ท่านแม่ข้า นางไม่สบาย มีเรื่องเร่งด่วนสามประการ เพียงแต่ข้าเป็นบุรุษผู้หนึ่ง…”
ลู่จืออวิ๋นเดินเข้าไปหาเขา “ไปกันเถอะ!”
“เช่นนี้จะรบกวนท่านมากเกินไปหรือไม่?” ชูอีกล่าว “มองแวบเดียวก็รู้ว่าท่านมีฐานะสูงศักดิ์ งานหยาบประเภทนี้…”
ลู่จื่ออวิ๋นหยุดฝีเท้า จ้องมองเขาพลางกล่าว “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยหรือไม่ต้องการให้ข้าช่วย? หากไม่ต้องการ ข้าก็ไม่ไปแล้ว”
ชูอีร้อนรนกล่าว “รบกวนท่านแล้ว”
ลู่จื่ออวิ๋นเหลือบมองเขาแวบหนึ่งแล้วเลี้ยวไปทางบ้านข้าง ๆ
ทันทีที่เข้าไปลานบ้าน นางพลันสะดุดเข้ากับธรณีประตู ร่างกายโอนเอนไปข้างหน้า
ชูอีรีบกอดนางไว้แล้วพานางไปยังที่ที่ปลอดภัย
“ท่านไม่เป็นไรกระมัง? ถูกขีดข่วนที่ใดหรือไม่?!”